[16] ต่อ.. “เตียงของลูกนะไมเคิล ” เสียงทุ้มกระซิบบอกก่อนวางร่างเล็กลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา
“แด๊ดรักลูกนะ คิดถึงลูกทุกวันทุกคืนเลย แด๊ดสัญญาจะไม่ยอมให้ใครพรากลูกไปไหนอีกแล้ว เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป..”
คริสใจหายอย่างแรงเมื่อถอดเสื้อผ้าหนุ่มน้อยออกจะเช็ดตัวให้ ไม่ใช่เพราะความผ่ายผอมของร่างกาย แต่เพราะเกือบทุกส่วนของผิวกายทั้งแขนขาและลำตัวมีรอยแดงเป็นแนวเหมือนถูกตีด้วยหวายหรือแส้ โดยเฉพาะแผ่นหลังเขาเห็นแล้วไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้ รู้สึกเจ็บเหมือนหัวใจถูกบีบ แค่เห็นยังเจ็บขนาดนี้ขณะที่ไมเคิลถูกกระทำจะเจ็บปวดขนาดไหน
คริสคว้าโทรศัพท์กดสายในเรียกแฟรงค์ขึ้นมาหาโดยด่วน เขาเกือบจะตะโกนเรียกแต่นึกขึ้นได้ว่าไมเคิลจะตกใจตื่น
แฟรงค์ตะลึงกับร่องรอยบาดแผลที่เห็นตรงหน้า
...โอ!พระเจ้า จะมีใครทำเรื่องแบบนี้ได้ถ้าไม่ใช่ไอ้หมอนั่น!! มันตั้งใจทารุณเด็กเพราะเจ็บแค้นหรือโกรธเคืองด้วยเรื่องอะไรกัน ถึงเด็กจะดื้อหรือเกเรแค่ไหนมันก็ไม่มีสิทธิจะลงโทษด้วยวิธีที่โหดร้ายป่าเถื่อนเช่นนี้...
“รอยอะไร แฟรงค์..” คริสถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า มือลูบไล้รอยแดงที่ผิวกายขาวแผ่วเบา
“รอยไหนล่ะ.. ” แฟรงค์เลี่ยงไม่ตอบ แม้พอจะสันนิษฐานได้ว่ารอยบอบช้ำเหล่านี้เกิดจากการกระทำที่โหดร้ายอย่างไร
“คุณต้องพาไมเคิลไปโรงพยาบาล อาการที่เป็นอยู่อาจไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ คุณเห็นอย่างที่ผมเห็น คุณสงสัยยังไงก็ยังงั้นแหล่ะ”
คริสพยักหน้ารับทราบ ที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้คือร่องรอยที่ไมเคิลถูกทำร้ายอย่างทารุณ ไม่เพียงแต่ร่างกายเท่านั้นที่เจ็บปวด จิตใจของหนุ่มน้อยคงเจ็บปวดไม่แพ้กัน เสียงร้องไห้และร้องเรียกให้ช่วยในความฝันยังก้องอยู่ในโสตประสาทของเขา
คริสนั่งเฝ้าจนไมเคิลรู้สึกตัวขึ้นในตอนบ่าย สีหน้ามีเลือดฝาดขึ้นหลังจากได้นอนหลับเต็มอิ่ม เมื่อตามองไม่เห็นในสภาพที่จำความไม่ได้ ไมเคิลจึงนอนนิ่งเหมือนเด็กเล็กๆ ที่ช่วยตัวเองไม่ได้
มือใหญ่เสยผมนุ่มกระซิบทักเสียงอ่อนโยน
“หวัดดีไมเคิล... ที่นี่บ้านเรา แด๊ดพาลูกกลับบ้านเราแล้วนะ..”
คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อยก่อนคลายออกและพึมพำเบาๆ
“บ้าน..”
“ใช่!!.. บ้านของเรา จำแด๊ดได้หรือเปล่า ไมเคิล...หือ.. ”
“แด๊ด...”
คริสยิ้มด้วยความรู้สึกปิติ หากแต่แฝงความขมขื่นไว้ภายใน
“ใช่ครับ.. แด๊ดดี้คริสของลูก แด๊ดคิดถึงลูกนะ ไมเคิล.. เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่จากกันอีกแล้วนะ..”
“แด๊ดดี้คริส..” เสียงทวนคำของหนุ่มน้อยก่อนที่ร่างเล็กจะกระเถิบออกห่าง
“ไม่!!.. ผมไม่อยากหาแด๊ด.. ผมจะหาพ่อ จะหาโทนี่...”
“เฮ้!!.. ทำไมล่ะ.. จำแด๊ดไม่ได้หรือ ไมเคิล..”
คริสใจหายเมื่อร่างเล็กพยายามถดหนี ดวงตาเลื่อนลอยฉายแววตื่นกลัว แม้จะตระหนักดีว่าไมเคิลจำความอะไรไม่ได้ แต่การผลักไสเขาและร้องหาโทนี่ทำให้เขารู้สึกเจ็บช้ำในหัวอก รีบรั้งหนุ่มน้อยเข้ามาสวมกอดและกระซิบปลอบอ่อนโยน
“ไม่ต้องกลัว ไมเคิล.. แด๊ดเป็นพ่อของลูก.. ขอแด๊ดกอดให้หายคิดถึงหน่อยนะครับ..”
ร่างเล็กพยายามขืนตัวแต่สักครู่ก็ยอมนอนนิ่งในอ้อมกอดแต่โดยดี
“โทนี่บอกให้นั่งคอย เดี๋ยวจะกลับมารับ.. โทนี่อยู่ไหน..”
..โอ!!.. พระเจ้า.. เขาเป็นคนอื่นไปแล้วจริงๆ ไมเคิลจำเขาไม่ได้ แต่จำโทนี่ได้..
“โทนี่ให้แด๊ดมารับลูก ต่อไปแด๊ดจะดูแลลูกเองนะไมเคิล เราจะอยู่ด้วยกันที่นี่ ที่บ้านของเรา..”
“คุณเป็นพ่อผมจริงเหรอ..”
“แด๊ด.. เอ่อ..”
คริสอึ้งไป ...จะตอบยังไงให้เด็กชายที่อยู่ในสภาพตื่นกลัวและจำความไม่ได้เข้าใจความเป็นพ่อของเขา
“แด๊ดเป็นพ่อบุญธรรมของเธอ ไมเคิล.. ที่นี่คือบ้านของเธอก่อนที่เธอจะไปอยู่ที่อื่น.. ”
แฟรงค์ชิงตอบแทน เขานั่งนิ่งฟังอยู่ห่างๆ เจอคำถามนี้ยังรู้สึกแย่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคริสจะรู้สึกอย่างไร
“ใช่จ้ะ แด๊ดเป็นพ่อบุญธรรมของลูก.. แล้วโทนี่ล่ะ เขาเป็นอะไรกับลูกเหรอ..”
คริสย้อนถามกลับไป หัวอกเขาร้อนรุ่ม อยากรู้ว่าหมอนั่นอยู่ในฐานะอะไร
“โทนี่บอกว่าเป็นพ่อเลี้ยง แต่เขาให้เรียกโทนี่..เฉยๆ ”
คริสโล่งอก ... อย่างน้อยหมอนั่นก็ไม่ได้สมอ้างว่าตัวเองเป็นพ่อที่แท้จริงของเด็ก...
“เกิดอะไรขึ้นกับลูก ไมเคิล.. โทนี่เล่าอะไรให้ฟังบ้าง ลูกอยู่กับใครอีกนอกจากโทนี่...” คริสตะล่อมถาม อยากรู้ว่าไมเคิลรู้ความอะไรบ้าง โดยเฉพาะเรื่องการจากไปของแม่..
“อยู่สองคนกับโทนี่ โทนี่บอกว่าเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำทำให้ตาผมมองไม่เห็น.. และแม่ก็เสียชีวิตในรถด้วย..” น้ำเสียงสะอื้น สีหน้าจะร้องไห้กับเรื่องที่บอกเล่า
คริสกระชับร่างเล็กในอ้อมแขนแน่นขึ้นและปลอบถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“นอกจากตาแล้วเจ็บตรงไหนอีกครับ ตอนนี้ยังเจ็บอยู่มั้ย”
เด็กชายส่ายหน้าและย้อนถามกลับ
“โทนี่อยู่ไหน.. ผมอยากคุยกับโทนี่.. ทำไมเขาถึงให้ผมมาอยู่กับคุณ คุณไม่ใช่พ่อจริงๆ ของผมซะหน่อย..”
เป็นคำถามที่ตอกย้ำให้คริสรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น คำพูดของเจ้าหนูเฉือนหัวใจเขาเหลือเกิน.. ไมเคิลลืมเขาแล้วจริงๆ ขนาดนั่งคุยกับเขายังถามหาแต่หมอนั่น...
“เขาต้องไปทำงานในที่ไกลๆ เอาลูกไปด้วยไม่ได้ ต่อไปแด๊ดจะดูแลลูกเอง เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่จากกันอีกแล้วนะ ไมเคิล..”
คิ้วเรียวขมวด “เราเคยอยู่ด้วยกันเหรอ..”
“เคยซี.. ลูกอยู่กับแด๊ดที่นี่ก่อนจะไปอยู่ที่อื่น ที่นี่เป็นบ้านของลูกนะ ไมเคิล..”
“โทนี่บอกว่าพ่อจริงของผมตายแล้ว ผมมีแต่พ่อบุญธรรมเป็นฝรั่ง ใช่คุณรึเปล่าครับ..”
“ใช่จ้ะ แด๊ดเป็นฝรั่ง.. เราสัญญาเป็นพ่อลูกกันก่อนที่ลูกจะไปอยู่กับแม่ที่ฮ่องกง..”
สีหน้าครุ่นคิดของเด็กชายเหมือนพยายามทบทวนความทรงจำ
“คุณใจดีมั้ย คุณชอบเด็กผู้ชายรึเปล่าครับ..”
คริสใจหายวาบ... ไอ้หมอนั่นบอกอะไรกับไมเคิลงั้นเหรอ.. คิ้วเข้มขมวด เขย่าร่างเล็กในอ้อมแขนด้วยความลืมตัว
“เหลวไหล!! โทนี่พูดจาเหลวไหล.. มันพูดอะไรกับลูกบ้าง ลูกอย่าไปเชื่อนะไมเคิล..”
“อย่าเสียงดังซีคริส.. ไมเคิลตกใจเห็นมั้ย” แฟรงค์ร้องห้าม
คริสรู้สึกตัวคลายอารมณ์ฉุนเฉียวลง เห็นร่างเล็กตกใจกลัวจนตัวสั่นก็รู้สึกเสียใจและโกรธตัวเอง รีบกระซิบปลอบเสียงอ่อนโยน
“แด๊ดไม่ได้ดุ ไม่ได้ว่านะ ไมเคิล.. ไม่ตกใจนะลูก..”
“คุณโมโหเหรอ~~ แปลว่าคุณไม่ชอบเด็ก แล้วรับผมเป็นลูกทำไม..” หนุ่มน้อยย้อนถามน้ำเสียงสั่น
“เปล่านะไมเคิล แด๊ดไม่ได้โมโห แด๊ด.. เอ่อ..” คริสอึกอัก หันไปหาแฟรงค์ก็เห็นนั่งอมยิ้มอยู่ ....เขาเข้าใจความหมายผิดไปเองงั้นเหรอ…
“แด๊ดขอโทษที่เสียงดัง หายตกใจรึยังครับ..” คริสไม่แน่ใจในความหมายของคำว่า ‘ชอบเด็กผู้ชาย’ ที่ไมเคิลถาม จึงเลี่ยงไม่ตอบคำถาม
“มันไม่ได้เกี่ยวกับการชอบเด็กผู้ชายหรือไม่ชอบ ถามแบบนี้แปลว่าลูกยังจำแด๊ดไม่ได้ เราค่อยๆ ทำความรู้จักกันก่อนดีมั้ย พอลูกจำได้ ก็จะรู้เองว่าทำไมแด๊ดถึงรับลูกเป็นลูก..”
เสียงทุ้มปลอบอ่อนโยนทำให้เจ้าหนูหยุดคำถามแปลกๆ พยักหน้ารับโดยดี
“ผมต้องเรียกคุณว่า ‘แด๊ด’ เหรอ..”
“ถ้าลูกยังไม่พร้อมจะเรียกเพราะจำแด๊ดไม่ได้ เรียกชื่อเฉยๆ ก็ได้..”
สีหน้าครุ่นคิดของเด็กชาย สายตาพยายามมองเขาแต่เลื่อนลอยไปไกล
“ชื่อ.. คริส.. หรือครับ..”
“ใช่ครับ.. คริส บริเจคส์ คือชื่อของแด๊ด..”
“ผมจะเรียก คุณคริส ผมก็จำโทนี่ไม่ได้เหมือนกัน เขาก็เลยให้ผมเรียกชื่อเฉยๆ.. ”
คริสยิ้มขื่น.. พูดถึงหมอนั่นอีกแล้ว... คำก็โทนี่.. สองคำก็โทนี่...
“โอเคจ้ะ ลูกเรียกแด๊ดว่าคุณคริส แต่แด๊ดจำลูกได้ เพราะงั้นลูกก็ยังคงเป็นลูกของแด๊ด นับจากวันนี้ไปแด๊ดจะดูแลลูก จะรักษาลูกให้จำได้และมองเห็นเร็วๆ สัญญานะไมเคิล ว่าเราจะไม่จากกันอีก..”
คิ้วเรียวขมวดเหมือนไม่เข้าใจแต่ก็พยักหน้ารับ คริสสวมกอดร่างเล็กในอ้อมแขนด้วยความรัก ท่ามกลางความเจ็บช้ำในหัวอกเขาก็ยังรู้สึกเป็นสุขและดีใจอย่างที่สุด แม้ไมเคิลจะจำเขาและเรื่องราวในอดีตไม่ได้แต่ก็ยังพูดจารู้ความ ความหวังในการรักษาให้หนุ่มน้อยกลับเป็นเหมือนเดิมคงไม่นานเกินรอ เขาภาวนาให้ถึงวันนั้นเร็วๆ วันที่ไมเคิลจำเขาได้และเรียกเขาว่าแด๊ดดี้เหมือนที่เคยเรียก