11
จูบแรก
หลังจากสร่างเมา ธันวาก็งัวเงียตื่นขึ้นในห้องที่สภาพรกเหมือนรังหนู ซึ่งก็ไม่ใช่ที่ไหนไกล หอพักของอากรนั่นเอง ธันวานอนเบียดกับนนท์และเปรมยศอยู่บนเตียง อีกมุมหนึ่งของห้อง มิ่งเมืองนอนหมดสภาพอยู่บนโซฟาตัวเก่า ส่วนอากร ผู้เป็นเจ้าของห้องนั้นนอนกองอยู่บนพื้นห้องพร้อมกับเสียงกรนอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
นักเทควันโดหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นนั่ง สองมือกำขอบเตียงแน่น รอให้ในหัวที่กำลังหมุนวนกลับเข้าที่ ก่อนจะพยายามประติดประต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ห้องเขาไม่เคยมีแม้แต่มดสักตัวเดียวเข้ามาก้ำกราย แต่เมื่อคืนมันคือฝูงปีศาจที่ไม่ใช่ธรรมชาติรังสรรค์แน่ๆ มันจะต้องเป็นฝีมือของใครสักคน!
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว ก่อนจะหันไปกราดสายตามองดูบรรดาเพื่อนหนุ่มที่แทบสิ้นสภาพความเป็นคนเต็มที แล้วพยุงร่างสูงของตัวเองก้าวข้ามอากรที่นอนกรนครอกๆ เพื่อเดินออกจากห้องไป
ธันวาเหลียวมองประตูห้องที่อยู่ตรงกันข้าม ก่อนจะเปิดเข้าห้องตัวเองที่ไม่ได้ล็อกไว้ตั้งแต่เมื่อคืน คำถามในหัวถูกเฉลยแล้วเมื่อก่อนหน้านี้ ด้วยภาพจากกล้องวงจรปิดมุมเดิมอีกครั้ง ต้องขอบคุณนิติของคอนโด รอก็แค่เวลาแก้เผ็ดก็เท่านั้น
ผ่านมาหลายวัน จนธันธเนศลืมเรื่องราวที่เอาแมลงไปปล่อยเข้าห้องธันวาเสียสนิท เพราะความที่คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้เอะใจอะไร
เช้าวันหยุดที่แสนสดใส เสียงนกร้องจากต้นไม้ในบริเวณพื้นที่คอนโดดังขึ้นมาถึงห้องของเขาที่เปิดหน้าต่างทิ้งเอาไว้ ลมเย็นในตอนเช้าผัดเอื่อยๆ เข้ามาพาผ้าม่านปลิวไสว ธันธเนศลุกขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุกเหมือนเช่นเช้าวันอื่นๆ ก่อนจะเดินบิดขี้เกียจเข้าไปในห้องน้ำ
แม้จะยังเช้าอยู่ แต่ท้องเขาก็ลั่นโครกครากด้วยความหิว ธันธเนศยื่นมือไปจับลูกบิดประตูก่อนจะออกแรงบิดให้มันลั่นดาลอย่างง่ายดาย แต่พอจะดึงประตูเข้ามากลับทำไม่ได้เหมือนทุกครั้ง ชายหนุ่มออกแรงดึงมันอยู่หลายครั้งจนหน้าดำหน้าแดง แต่ก็ได้ยินเพียงเสียงกระทบกันของอะไรบางอย่างที่ด้านนอกเท่านั้น ส่วนประตูยังคงถูกตรึงไว้แน่น
เมื่อเห็นว่าไม่ได้การ เขาจึงรีบตัดสินใจโทรไปหานิติของคอนโดในทันที
“คุณธันธเนศคะ ห้องของคุณมีโซ่ล่ามไว้จากข้างนอกค่ะ” เสียงตื่นเต้นดังลอดโทรศัพท์เข้ามา
นั่นไงล่ะ!แบบนี้ไม่น่าจะใช่ฝีมือใครที่ไหนไกล อริเขามีอยู่คนเดียว
“ล่ามได้ยังไงครับ”
“ล่ามลูกบิดประตูกับตู้ดับเพลิงที่อยู่ข้างห้องคุณเลยค่ะ”“ฝีมือใครอะครับ”
“อันนี้นีน่าก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ต้องลองไปดูกล้องแล้วล่ะค่ะ คุณธันธเนศเองไปสร้างศัตรูไว้ที่ไหนหรือเปล่าคะเนี่ย” นิติคอนโดสาวพูดเสียงขำ
“ก็...”
“เดี๋ยวนีน่ารีบไปตามช่างมาช่วยสะเดาะกุญแจให้ดีกว่าค่ะ รอสักครู่”ปลายสายกดวางในทันที ก่อนที่เสียงฝีเท้าถี่ๆ จะดังห่างออกไป
ธันธเนศกัดฟันกรอด
ไอ้ธันวา! เวลาร่วมชั่วโมงกว่าสถานการณ์ชวนปวดประสาทจะคลี่คลาย ธันธเนศก้าวออกจากห้องพร้อมกับจัดการค่าใช้จ่ายให้ช่างที่มาเสียเวลาไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ก่อนหางตาจะไปสะดุดเข้ากับใครบางคนที่ยืนพิงประตูยิ้มน้อยยิ้มใหญ่รออยู่แล้ว
“ขอบคุณมากนะครับทั้งนีน่าแล้วก็พี่ช่าง” เขาหันกลับไปขอบคุณผู้ช่วยเหลือทั้งสองก่อน
“คุณธันธเนศจะลงไปดูกล้องกับนีน่าไหมคะ” สาวน้อยไม่ลืมจะเอ่ยถาม
“ไม่เป็นไรครับ ผมรู้ตัวการละ” ธันธเนศกัดฟันยิ้มส่งผู้มาช่วยเหลือทั้งสอง รอทั้งคู่เดินออกไปจนลับตา ก่อนจะหันกลับไปยังคนที่ยังคงยืนรออยู่
“กรรมใดใครก่อ...” ร่างที่กอดออกพิงประตูทำเป็นผิวปากชมนกชมไม้ไปเรื่อย ชวนให้อารมณ์ของอีกฝ่ายมันพุ่งพล่าน เมื่อเห็นว่าธันธเนศเดินเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มก็ยืนตรงตั้งหลัก
ธเนศปรี่เข้าไปทันที คอเสื้อของคนที่สูงกว่าถูกกระชากมากำไว้ มืออีกข้างชูขึ้นกำหมัดแน่น
“เอาเดะ ต่อยเดะ ลองดูเดี๋ยวรู้เลย” คนที่ถูกคุกคามยังคงใจเย็น รอยยิ้มยังปรากฏอย่างชวนให้ประหลาดใจ
หมัดหนักไม่รอช้าเมื่อถูกท้าทาย ธันธเนศเหวี่ยงหมัดตรงไปที่หน้าของอีกฝ่ายขณะที่อีกมือยังกำคอเสื้อไว้ ร่างสูงดึงตัวหลบอย่างรวดเร็ว จนขาที่สั้นกว่าเสียหลักลงอย่างงงๆ แต่เรียวแขนหนาทั้งสองข้างของคนที่ถูกจู่โจมที่ยังเป็นอิสระคว้าไหล่ของคนที่กำลังเสียท่าไว้พร้อมกับดึงเข้าหาตัว ริมฝีปากร้อนผ่าวประกบเข้าที่ริมฝีปากของเขาอย่างไม่รอช้า ธันธเนศตาเบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึง ใจหล่นวูบไปถึงตาตุ่มและสั่นระรัวเหมือนคนขาดยา
เหี้ยอะไรเนี่ย อย่างน้อยมันก็ควรจะต่อยกูกลับไม่ใช่เหรอ เมื่อตั้งตัวได้จากความเพลี่ยงพล้ำที่มาพร้อมกับความน่าอับอายนั้น ธันธเนศก็ผลักอกอีกฝ่ายออกจากตัวอย่างแรงจนดังปึก
“ทำบ้าอะไรเนี่ย”
ริมฝีปากบางถูกขบจนแดงแจ๋ คนถูกกระทำหน้าเจื่อนทั้งๆ ที่ยังโกรธ
“เอ้า” อีกฝ่ายตอบเสียงขำในคอ “เตือนแล้ว” สีหน้าของคนพูดบ่งบอกถึงชัยชนะ
ธันธเนศน้ำท่วมปาก เจ็บใจจนพูดไม่ออก ความโมโหโกรธามันจุกอยู่ที่ลิ้นปี่ แต่ถ้าขืนยังดึงดันจะมีเรื่องต่อไป เกรงว่าคนอย่างธันวาจะมีลูกไม้อะไรที่น่ากลัวกว่านี้อีก จูบเพศเดียวกันเพื่อเอาชนะยังทำมาแล้ว นับประสากับอย่างอื่นที่อาจจะสิ้นคิดกว่านี้
การประจันหน้ายังเป็นอยู่อย่างนั้นชั่วขณะ ตาขวางจ้องมองตาเจ้าเล่ห์ ธันธเนศตัดสินใจถอยล้นกลับมาที่ห้องของตนเอง ขณะที่ร่างสูงก็ยังจะสาวเท้าตามมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เมื่อได้จังหวะเขาจึงรีบเปิดประตูเขาห้องไปแล้วปิดพร้อมกับล็อกทุกอย่างอย่างแน่นหนา ณ จังหวะนี้เขายอมให้โซ่มาล่ามประตูเขาไว้สักสิบชั้นยังดีเสียกว่าต้องออกไปเจอธันวา
ถือว่าเขาแพ้ยับเยินในครั้งนี้ และรู้ดีว่าที่ธันวาจูบเขาไม่ใช่เพราะพิศวาสอะไรเขาหรอก แต่เป็นเพราะต้องการทำให้เขารู้สึกอาย เหมือนแสดงให้เขาเห็นว่าท้ายที่สุดแล้วใครคือคนที่อยู่เหนือกว่า
ธันธเนศพอจะมองออกมานานแล้วว่าคนอย่างธันวาไม่สนหรอกว่าใครจะมองเขาอย่างไรหรือต้องทำอย่างไร ขอแค่ให้เป้าหมายเขาบรรลุ และเหยื่อพ่ายแพ้นั่นก็เพียงพอ แต่เขาไม่น่าเลย ไม่น่าหลงเข้ามาในเกมของไอ้บ้านี้เลย
ประตูปิดปังลงซึ่งเหลืออีกแค่นิดเดียวก็ชนเข้ากับปลายจมูกโด่งของเขา ลมจากแรงประตูพัดผมเขาปลิววูบหลังจากได้ยินเสียงลงกลอนและล็อกลูกบิดอย่างเกรี้ยวกราดจากทางด้านใน ธันวาจึงเดินกลับมาที่ห้องของตนเอง เขาดึงประตูปิดอย่างเบามือ ใบหน้าปริ่มสุขยังคงยืนอยู่ตรงนั้น
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้เขาทำกับอีกฝ่ายไปแบบนั้น เขารู้แค่ว่าตอนนี้เขาไม่ได้มีอารมณ์อยากจะทะเลาะเบาะแว้งกับอีกฝ่ายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว การเลือกที่จะจูบธันธเนศในครั้งนี้ มันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกชนะหรือเหนือกว่าอีกฝ่ายแต่อย่างใด แต่เขากลับรู้สึกว่าเขาได้ทำในสิ่งที่อยากทำ สองนิ้วยกขึ้นสัมผัสที่ริมฝีปากตัวเองเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้น
ปากนุ๊มนุ่ม ไกลออกไปสุดโถงทางเดิน บรรณาธิการหนุ่มที่เพิ่งเดินออกมาจากลิฟต์ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น หลังจากเห็นเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นทุกอย่าง เขารู้สึกเหมือนชาไปทั้งตัวชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะเดินกลับออกไป
เวลาสองทุ่มนิดๆ ธันธเนศก้าวขึ้นรถเมล์สายประจำที่เขาใช้ในการเดินทางระหว่างคอนโดกับยิมคาราเต้ เขาเป็นอีกคนที่ไม่ค่อยชอบขับรถตัวเองไปไหนมาไหนนัก ถ้าไม่ใช่ที่ไกลๆ หรือถ้าไปโดยรถสาธารณะแล้วลำบากจริงๆ เขาก็เลือกที่จะจ่ายเงินเล็กๆ น้อย เพื่อใช้บริการรถสาธารณะมากกว่า
แม้วันนี้คนบนรถจะบางตา แต่เพราะระยะทางไม่ได้ไกลมากเขาจึงเลือกที่จะยืนเพื่อให้คนที่ต้องการนั่งแล้วขึ้นมาทีหลังได้นั่ง ไม่นานนักรถเมล์ก็มาจอดลงที่ป้ายถัดมา ป้ายนี้มีคนขึ้นหนาตา แต่เขาก็ไม่ได้สังเกตว่าใครเป็นใคร
เพลงๆ หนึ่งดังขึ้นหลังจากเพลงก่อนหน้าจบลง คนที่เสียบหูฟังอยู่ยกโทรศัพท์ในมือขึ้นมาเลื่อนหาเพลงใหม่ เพลงบางเพลงเขาก็ไม่ต้องการจะฟังมันอีกต่อไปแล้ว เพราะเมื่อได้ยินมันทีไรก็รังจะนึกถึงแต่อดีตที่ขื่นขม แต่เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมไม่ลบมันออกไปสักที
มือที่เกาะราวเหล็กไว้แน่นถูกมือของใครบางคนเลื่อนเข้ามาชิดจนนิ้วก้อยเกยกัน ธันธเนศขยับมือของเขาออกห่าง แต่ก็ยังมิวายโดนมือนั้นเลื่อนตามมาอีก เขาจึงเงยหน้ามองเจ้าของมือที่ยืนอยู่ตรงหน้า
ธันวา! อีกแล้ว
หนุ่มในชุดออกกำลังกายสบายๆ กับกระเป๋ากีฬาใบโตยักคิ้วให้เขาเชิงทักทาย พร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่มชวนยียวนอารมณ์เช่นเดิม
ธันธเนศพยายามจะดึงมือของเขากลับแต่ก็โดนอีกฝ่ายกำไว้แน่นเสียก่อนแล้ว
“ปล่อย” เขาสั่งเสียงเบาเพื่อไม่ให้เป็นจุดสังเกตของคนบนรถ
แต่คนฟังยังตีหน้ามึน หาได้สนใจคำขอเขาไม่ ทำเป็นมองลอดหน้าต่างรถออกไปชมนกชมไม้อย่างสบายอุรา
“บอกให้ปล่อย” เขาเสียงแข็ง แต่ยังคงเบาอยู่
“ปล่อยก็ได้ แต่บอกก่อนว่าไปไหนมา”
“เจ๋อ”
“ทำไมไม่มีมารยาทกับคนรู้จักเลยละครับคุณธันธเนศสุดหล่อ” น้ำเสียงเว้าวอนบาทาพูดขึ้น
รถเมล์มาหยุดลงที่ป้ายหนึ่ง ธันธเนศจึงดุ่มลงไปโดยไม่ร่ำลา เมื่ออีกฝ่ายเห็นดังนั้นจึงรุดตามไปอย่างไม่รีรอ
ธันธเนศเดินไปตามฟุตบาทสลัวๆ ริมถนนที่รถวิ่งกันขวักไขว่ แต่เสียงก้าวเท้าหนักดูท่าเร่งรีบของใครบางคนที่ก็ตามเขามาติดๆ
“ตามมาทำไม”
อีกฝ่ายหยุด
“ใครตามคุณ” คนแก้ตัวทำหน้าเฉไฉ “อย่าหลงตัวเองดิ”
แถวนี้เป็นตลาดและแหล่งร้านอาหารดีๆ มากมาย ก็อาจจะไม่แปลกหากอีกฝ่ายจะต้องใจมาลงป้ายนี้ตั้งแต่แรก อาจจะจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด อย่าหลงตัวเอง
ธันธเนศจึงเดินดุ่มๆ ออกไปโดยไม่ได้สนใจธันวาอีกเลย เพราะใครบางคนกำลังรอเขาอยู่
และแล้วโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่าเขาเลยเวลานัดจริงๆ มานานแล้ว
ปึก!ขณะที่เขาหยุดเดินกะทันหันเพื่อรอสัญญาณไฟเพื่อข้ามถนนนั้น ใครบางคนก็ชนเขาเข้าอย่างจังจากทางด้านหลัง คนโดนชนหันขวับไปยังบุคคลนั้น
ธันวาค่อยๆ ถอยออกห่างจากคนตรงหน้า เพราะมัวแต่ก้มหน้าเดินงุดๆ เร่งฝีเท้ากลัวอีกฝ่ายจะทิ้งห่าง พอคนที่เดินอยู่ข้างหน้าหยุดเอาดื้อๆ จึงทำให้เบรกไม่ทัน
“ไหนบอกไม่ได้ตามมาไง”
จากที่ที่ลงรถเมล์มาจนถึงตรงนี้เป็นระยะทางที่ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว เขาจึงมั่นใจแล้วว่าธันวากำลังคิดจะทำอะไรอยู่
“ก็...” คนหน้าเจื่อนยืนเกาหัวแครกๆ
โทรศัพท์ในมือยังสั่นอยู่อย่างนั้น คนที่กำลังรีบไม่สนใจจะอยู่ฟังอะไรให้ยืดยาวแล้ว เมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว เขาจึงรีบเดินข้ามถนนไปทันที
คนที่ถูกเดินหนีจากไปอย่างไม่ใยดียืนนิ่งอยู่อย่างนั้นสักพัก ร่างสูงที่ทำหน้าหงอยเหมือนหมาป่วยจึงเดินคอตกออกไปอีกทางอย่างจำใจ ดูจากอารมณ์ของอีกฝ่ายแล้ว ถ้ายังขืนดึงดันจะตามไปไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
“ป้าครับ เอาไส้เค็มสามอันครับ” ธันวาที่เดินเอ้อระเหยไปเรื่อยในที่ๆ มีของกินวางขายกันเต็มสองข้างทาง ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่รถเข็นขายขนมโตเกียว
“พี่ธัน”
ผู้เป็นเจ้าของชื่อหันไปตามเสียงเรียก เป็นเด็กสาวมหาวิทยาลัยรุ่นน้องเขาน่ะเอง
“จะมาไม่เห็นบอกเลยล่ะคะ ยีนส์จะได้มาด้วย” คนพูดไม่พูดเปล่ารีบเดินมาคล้องแขนทรงงามของคนที่สวมเสื้อกล้ามกีฬาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“อ้อ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะมาหรอก”
“ตลอดอ่ะ” สาวหน้าหวานตัดพ้อ
“อ้าวมึง เอาไง ยังจะไปกินข้าวกับพวกกูอยู่ไหม เจอผู้แล้วหน้าระรื่นเชียว” เพื่อนสาวร่างอวบที่เดินมาด้วยกันถาม
“พี่ธันเราสามคนกะว่าจะไปกินข้าวกัน ไปด้วยกันไหมคะ”
“เอ่อ...” คนฟังทำหน้าอึกอัก
“ไปนะคะ เราไม่ได้กินข้าวด้วยกันตั้งนานแล้ว นะคะๆ” พูดไม่พูดเปล่า สาวเจ้าเขย่าแขนชายหนุ่มพร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอนเหมือนเด็กอยากได้ขนม
“โทษทีนะพี่ ช้าไปหน่อย เกือบลืมไปเลยว่าวันนี้มีนัดกับพี่”
“เออๆ ไม่เป็นไร มาถึงก็ดีแล้ว สั่งอาหารดีกว่ามา”
แม้จะต้องรอมาร่วมสามชั่วโมง แต่แค่อีกฝ่ายโผล่หน้ามาจริงๆ เขาก็ดีใจแทบแย่ ใบหน้าหล่อของคนอายุสามสิบกว่ายิ้มรับ
“ไปออกกำลังกายมาเหรอ”
“ใช่พี่ วันหยุด อยู่ว่างๆ ก็เบื่อ”
“ใช่นี่เนอะ ที่ทำงานใหม่เขาคงไม่ใช้งานหนักเหมือนตอนอยู่กับพี่”
“คงเพราะยังใหม่อยู่น่ะแหละ งานเลยไม่ได้เยอะ อีกอย่างคนของเขาก็เยอะด้วย”
“มีความสุขไหม ถ้าไม่มีความสุขกับมาหาพี่ได้นะ อ้าแขนรอตลอด”
“โห ซาบซึ้งน้ำตาจะไหล” คนพูดก้มมองเมนูที่กางอยู่บนโต๊ะ “แต่ผมคงกลับไปไม่ได้แล้วจริงๆ”
คนฟังถอนหายใจ มันคือสัจธรรม แม้เขาจะหวังอยู่ลึกๆ ว่าวันหนึ่งหนุ่มรุ่นน้องจะหวนกลับมาหาเขาอีกครั้ง แต่ความจริงก็คือความจริง
“เอาเถอะ มึงสบายใจยังไงกูก็ว่าอย่างนั้นแหละ กูก็จะรู้เท่าที่มึงอยากให้รู้แล้วกัน แม้จะค้างคาใจว่าอยู่ดีๆ มึงออกทำไมก็เถอะ”
“เอาน่า เออ ว่าแต่วันนี้นัดผมมามีอะไร”
“ทำไม เจ้านายเก่าอยากเจอบ้างไม่ได้ไง” คนพูดทำเสียงประชดประชัน “ก็แค่อยากเลี้ยงข้าว มึงออกปุ๊บปั๊บ ยังไม่ทันได้เลี้ยงส่งมึงเลย อีกอย่าง ตั้งแต่ออกมึงก็ไม่โผล่หน้ามาให้พี่เห็นเลย”
เวลาล่วงเลยไป ธันวากับอีกสามสาวรุ่นน้องอิ่มหนำสำราญกับอาหารแถวๆ นั้น ก่อนจะเดินย่อยดูของในตลาดแถวนั้นไปเรื่อยเปื่อยตามคำขอของรุ่นน้องสาวสวย ส่วนเพื่อนสาวทั้งสองของเธอขอตัวกลับไปก่อน แม้ตอนนี้เขาเองก็อยากจะทำแบบนั้นบ้างแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปาก เพราะลักขณาเล่นออกตัวขอเสียขนาดนั้น
เมื่อสาวสวยรุ่นน้องพอใจแล้ว ก็ได้เวลากลับเสียที ริมถนนที่ข้างทางที่เรียงรายไปด้วยร้านอาหารหรูหลายร้าน ธันวากับรุ่นน้องสาวเดินผ่านร้านอาหารมังสวิรัติที่หน้าร้านตกแต่งด้วยบานกระจกใสแจ๋วแทนผนัง ไฟสีส้มจากในบริเวณร้านส่องสว่างออกมาข้างนอกกระทบกับไฟข้างถนนจนกลบความสลัวบริเวณหน้าร้านไปเสียสิ้น
บางอย่างในนั้นดึงสายตาเขาให้มองเข้าไปข้างใน ก่อนที่ร่างสูงจะหยุดกึก
น้าชายของเขากับธันธเนศนั่งคุยกันอย่างออกรสออกชาติอยู่ที่โต๊ะๆ หนึ่งในร้านนั้น
“ยีนส์กลับไปก่อนนะ พี่มีธุระนิดหน่อยน่ะ”
แม้จะยังงงๆ แต่น้ำเสียงและสีหน้าที่ดูจริงจังทำให้สาวน้อยหน้าใสจำใจตอบตกลงไป ร่างสูงถอยออกจากแท็กซี่ที่ลักขณาเพิ่งขึ้นไปนั่ง รอจนแท็กซี่วิ่งห่างออกไป เขาจึงวกกลับมาหย่อนก้นนั่งลงเงียบๆ ที่มุมๆ หนึ่งที่บริเวณหน้าร้านที่เดินผ่านเมื่อครู่นี้ เป้าหมายยังคงนั่งคุยกันอย่างออกรสออกชาติอยู่ในนั้น
เพราะธันวารู้ดีอยู่แล้วว่าจรัญคิดยังไงกับธันธเนศ แต่ที่เขายังไม่รู้คือธันธเนศคิดยังไงกับน้าของเขา เพราะฉะนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่แน่ธันธเนศอาจจะตกลงคบกับจรัญผู้เป็นน้าของเขาไปแล้วก็ได้ใครจะไปรู้ แล้วการนัดพบกันสองต่อสองอย่างนี้มันชวนให้คิดเป็นอื่นไม่ได้จริงๆ เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าจากนี้แล้ว ทั้งคู่จะไปจบกันที่ไหน
ไม่นานเกินรอสองหนุ่มวัยทำงานก็เดินออกมาจากร้าน คนที่หลบอยู่ในมุมมืดยืนรอดูสถานการณ์อยู่ตรงนั้นอย่างใจเย็น
“แน่ใจนะว่าไม่ไปต่อกับพี่”
“ไม่อะพี่ เพิ่งกลับจากเล่นกีฬาเนี่ย เหนื่อยจะตายห่า จะไหวได้ยังไง”
“เออๆ งั้นเอาที่มึงว่า แน่ใจนะว่าไม่ให้ไปส่ง”
“อือ ที่บ้านมีบ่อน้ำมันเหรอ ไปคนละทางจะอ้อมไปส่งเพื่อ?”
บทสนทนาของคนสองคนแว่วมาเข้าหูคนที่หลบซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดแทบจะทุกคำพูด สิ่งที่ได้ยินมันทำให้คนฟังอดที่จะคันยิกๆ ในใจไม่ได้
ที่กะจะไปต่อกันนี่ก็คงหนีไม่พ้นเตียงสินะ หึ คนนิสัยไม่ดี คบผู้ชายไม่เลือกหน้า มีไอ้เด็กนั่นอยู่แล้วไม่พอ ยังจะมาวอแวกับน้ารัญอีกหนุ่มวัยมหา’ลัยก่นด่าในใจ
บริเวณทางเข้าคอนโดที่มืดสลัว มีเพียงแสงที่บดบังในพุ่มไม้ครึ้มที่ถูกตัดแต่งสวยงามพอส่องสว่างสองข้างทางและจากป้อมยามที่อยู่ไกลออกไปพอให้สัญจรเข้าออกได้ ธันธเนศเดินทอดน่องอย่างสบายอารมณ์เข้าไปหลังจากท้องอิ่ม ช่วงต้นของค่ำคืนที่ไอร้อนเบาบางกำลังระเหยสู่อากาศ ตัวที่มีคราบเหงื่อไคลจากการเล่นคาราเต้อย่างหนักหน่วงเหนียวเหนอะไปหมด
บรรยากาศรอบตัวที่เงียบสงบ ธันธเนศหยุดกึก เมื่อร่างมืดทะมึนของใครบางคนก้าวออกมาขวางหน้าจากมุมหนึ่งของแนวพุ่มไม้ ใจที่เต้นระรัวเพราะความตกใจค่อยๆ สงบลง
“ว่างมากเหรอ ถึงได้โผล่ที่นั่นทีนี่ทีเหมือนผีไม่มีศาล” สีหน้าสุดแสนจะเอือมระอาของคนที่ถูกทำให้ตกใจต่อว่า “ยังๆ ยังไม่หลบอีก”
ร่างสูงยังคงหยุดนิ่งมองเขาอยู่อย่างนั้น เขาจึงเดินเลี่ยงหมายจะอ้อมไป คนที่สูงกว่าก็ขยับมาขวางไว้อยู่อย่างนั้น
“ถอย จะเดิน”
“ไม่”
“คุณต้องการอะไรจากผมกันแน่ธันวา เลิกตามตอแยผมซะทีเถอะนะ ถือว่าขอร้องเถอะ”
“กับผมนี่จะรังเกียจอะไรนักหนา ทีไปกับคนอื่นนี่หน้าระรื่นเชียว”
“จะทำอะไรมันก็เรื่องของผม”
คนถูกว่าไม่อยากต่อล้อต่อเถียง พูดจบก็เดินต่อทันที ไม่สนใจร่างสูงที่ยืนขวางอยู่
“ไอเราก็นึกว่าจะรีบไปไหน ที่แท้ก็นัดผู้ชาย” น้ำเสียงแดกดันพูดขึ้นไล่หลัง
คนที่เดินอยู่หยุดกึก
“แหม ทีผมทำท่าจะตามไปนิดๆ หน่อยๆ ก็ฟาดงวงฟาดงาใส่ ไม่เห็นเหมือนตอนอยู่กับน้าของผมเลย”
ธันธเนศหันกลับมาช้าๆ มองร่างสูงที่กำลังใช้คำพูดกระแหนะกระแหนตนอยู่
“เขาเป็นเจ้านายเก่าผม คนเป็นอะไรกับผมมิทราบ”
คนฟังถึงกับหงายเงิบไปไม่เป็น รู้สึกจุกอยู่ในอกยิ่งกว่าโดนฝ่าเท้าพิฆาตในครั้งนั้นเสียอีก
คนที่เหมือนจะชนะในสงครามน้ำลายครั้งนี้หันกลับ แต่แล้วร่างสูงก็วิ่งมาขวางหน้าไว้อีกครั้ง สองมือหนาจับไหล่เขาทั้งสองข้างแล้วดึงเข้าหาตัว สองตาแข็งกร้าวจ้องมองตาเขา
“อยากลองเป็นดูหน่อยไหมล่ะ” ร่างสูงที่มีกลิ่นเหงื่อจางๆ พูดพลางโน้มหน้าหล่อเหลาเข้าใกล้
แทนที่จะขัดขืน หรือโวยวาย แต่ธันธเนศยิ้มรับอย่างใจเย็น แต่มันคือรอยยิ้มของเพชฌฆาตที่คนอย่างธันวาไม่อาจรู้ตัว
เพียงเสี้ยววินาที ร่างสูงที่เหมือนจะมาเหนือกว่า ก็ลงไปนั่งกองกับพื้น พร้อมกับสองมือกุมเป้าไว้แน่น ใบหน้าเหยเกบ่งบอกถึงความเจ็บปวด
ธันธเนศเหยียดขาข้างหนึ่งในท่ายืนปกติ หลังจากใช้เข่าอันทรงพลังกระแทกไปที่ของรักของหวงของคนที่สูงกว่าด้วยความเร็วแสง
“คุณนี่มันปีศาจในร่างมนุษย์ชัดๆ” เสียงที่เค้นออกมาจากความจุกพยายามต่อว่าคนที่ทำให้เกือบสูญพันธุ์ “ถ้าผมเป็นหมันไป คุณรับผิดชอบเลยนะ”
“เล่นไรไม่เข้าเรื่องดีนัก” สีหน้าแห่งชัยชนะที่แท้จริงพูดขึ้น ก่อนจะเดินจากไปอย่างไม่ใยดี คนที่นั่งตัวบิดอยู่พยายามจะลุกตามแต่ก็ไม่อาจทำได้ในตอนนั้น
... ก่อนเหมันต์ ...