สวัสดีค่ะ ขออภัยที่มาช้านะคะ งานยุ่งตามประสาค่ะและช่วงนี้มีเรื่องให้คิดเยอะแยะเลย ทำให้อัพล่าช้ามาก ตอนนี้หากมีคำผิดหรือข้อผิดพลาดใดๆก็ขออภัยไว้ด้วยนะคะ ขอบคุณที่ยังติดตามกันค่ะและสำหรับคนอ่านทุกท่านที่กำลังเผชิญมลภาวะฝุ่นควันก็ขอให้ดูแลตัวเอง ป้องกัน สวมหน้ากากอนามัยที่เหมาะสมนะคะ ทางคนแต่งไม่ได้อยู่ตรงนั้นค่ะ ติดเกาะติดทะเลโดนแดดเผาไปเล่นๆ ฮ่าๆ และรวมถึงคนอ่านท่านอื่นๆทุกท่านก็ขอให้รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ รัก ไว้เจอกันค่ะ ++++++++++++++++++++
Holler…เรียกฉันสิที่รัก
ตอนที่ 56 Time to fight.
I don’t wanna be someone who walks away so easily
ฉันไม่อยากจะยอมแพ้แล้วเดินหนีไปอย่างง่ายๆ
I’m here to stay and make the difference that I can make
ฉันขออยู่ตรงนี้เพื่อจะสร้างความแตกต่างเท่าที่ฉันทำได้
Our differences they do a lot to teach us how to use
ความแตกต่างเหล่านั้นช่างมากมายที่สอนเราใช้มัน
The tools and gifts we got yeah, we got a lot at stake
เป็นเครื่องมือและพรสวรรค์ที่มี เราช่างเดิมพันสูงมาก
And in the end, you’re still my friend at least we did intend
และท้ายที่สุดแล้ว เรายังคงเป็นเพื่อนกัน เราทำมันได้เท่านี้
For us to work we didn’t break, we didn’t burn
เพื่อให้เราไปด้วยกันได้ ไม่บุบสลาย ไม่มอดไหม้ไปเสีย
We had to learn how to bend without the world caving in
เราได้เรียนรู้ว่าจะทำอย่างไรกับโลกนี้ที่ยังไม่ได้แหลกสลายไป
I had to learn what I’ve got, and what I’m not
ฉันยังต้องเรียนรู้ในสิ่งที่ได้รับมาและยังไม่ใช่
And who I am
และฉันคืออะไรกันแน่
ธนิตที่จ้องหน้าพิธานด้วยสายตาท้าทาย พิธานเองก็จ้องกลับอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน พระพายที่รู้สึกลำบากใจที่ต้องนั่งตรงกลางท่ามกลางคนสองคนที่ราวกับถือมีดพร้อมจ้วงแทงใส่กันได้ตลอดเวลา
“เอ่อ...ดื่มน้ำล้างคอก่อนไหมครับ...ถูกใช่ไหม?” พระพายทำลายบรรยากาศด้วยการเตรียมน้ำเย็นให้ธนิตกลั้วปากคอก่อนจะดื่มคอนยัค เป็นวิธีที่พิธานบอกตอนที่กำลังจะเริ่มดื่มกัน
“เก่งถึงขนาดไปสอนคนอื่นได้แล้วเหรอ?” ธนิตว่าพลางปรายตามองพระพายที่รีบวิ่งไปหยิบแก้วบรั่นดีมาให้ธนิต
“คิดว่าคุณพ่อสอนคนอื่นเป็นคนเดียวเหรอครับ?”
พิธานว่าพลางยกแก้วกระดกคอนยัคที่เหลือก้นแก้วอยู่นิดหน่อยเข้าปากจนหมด พระพายที่กลับมาพร้อมกับแก้วบรั่นดี วางมันลงบนโต๊ะจากนั้นก็รับแก้วของพิธานมาและเทเหล้าเติมให้อีกนิดหน่อยพอเลยก้นแก้วขึ้นมาเล็กน้อย
“ถ้าสอนคนอื่นได้ก็แปลว่าตัวเองอยู่เหนือกว่า ฉันเคยสอนแก ก็แปลว่าฉันเหนือกว่า”
ธนิตที่ดื่มน้ำเย็นเข้าไปหมดแล้วก็ใช้สายตามองไปที่แก้วบรั่นดีและมองพระพายเหมือนจะออกคำสั่งว่าให้เทเหล้า พระพายจึงรีบเทให้ทันทีแม้จะไม่ได้ยินคำสั่งแต่รู้ดีว่าต้องเป็นเช่นนั้น พิธานขมวดคิ้วนิดๆที่เห็นพระพายเทเหล้าให้ธนิต คงไม่ชอบใจเท่าไหร่นักที่พระพายต้องทำเช่นนั้นให้
“เธอไม่ดื่มเหรอ?” ธนิตมองพระพายที่นั่งนิ่งๆโดยที่แก้วตรงหน้าวางเปล่า
“เอ่อ..ผมไม่ไหวแล้วครับ” พระพายบอก
“อ่อนจริงๆ”
ธนิตว่าพลางส่ายหน้าอย่างระอา พระพายรู้สึกเหมือนมีลูกดอกปักเข้ากลางหน้าผาก...น่าขายหน้าจริงๆ เป็นลูกผู้ชายที่โดนปรามาสจากผู้ชายด้วยกันว่าคออ่อน สงสารตัวเองจริงๆ
พระพายที่นั่งยอมรับชะตากรรมตัวเองอยู่เงียบๆจนลืมมองไปเลยว่าตอนนั้นพ่อลูกคู่นี้กำลังทำอะไรกันอยู่ ธนิตกำลังยกแก้วบรั่นดีขึ้นมาดมกลิ่นนิดหน่อยก่อนที่จะดื่มเข้าไปพอประมาณ
“กลิ่นนุ่มนวลสมกับเป็นเอ็กซ์โอ” ธนิตว่า
“ไม่ใช่แค่กลิ่น...รสชาติก็ด้วย ต่อมรับรสพังแล้วเหรอครับ?” พิธานว่า ตอนนั้นเองพระพายถึงเลิกคิดเรื่องตัวเองและมานั่งดูความเป็นไปของทั้งสองคน
“ของอย่างนี้ต้องละเมียดละไมกันหน่อย ใครเขาบุ่มบามกันล่ะ?” ธนิตออกแนวจะตำหนิพิธาน แน่นอนว่าใบหน้าของพิธานกระตุกนิดๆเลยทีเดียว
“ช้าไปใช่จะดี บางอย่างบางเรื่องหากนานไปจะไม่ทันเอา” พิธานว่า ไม่รู้ว่าพิธานพูดถึงเรื่องอะไร..ใช่เรื่องการดื่มเหล้าอย่างนั้นหรือ
“ช้าๆได้พร้าเล่มงาม ไม่เคยได้ยินรึไง?” ธนิตยกแก้วดื่มขึ้นอีกครั้ง พิธานมองคนตรงหน้าด้วยแววตานิ่งๆ
“สมัยนี้ช้าไม่ทันกินแล้วครับ..คุณพ่อ” พิธานว่าและยกแก้วดื่มหลังจากที่ธนิตวางแก้ว น้ำเสียงนั้นดูไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“เหมือนอย่างที่แกรีบมีแฟนอย่างตอนนี้น่ะเหรอ?” ธนิตถาม และนั่นคือการโยงเข้าสู่หัวข้อที่มีพระพายอยู่ในนั้นเต็มๆ
“อายุยี่สิบเก้านี่ยังเด็กอยู่เหรอครับ?” พิธานว่าพลางมองธนิตที่จ้องตอบกลับมาเช่นกัน
“ถึงจะยี่สิบเก้าแต่แกก็ยังเหมือนเดิม...ไม่รู้จักคิดเหมือนสมัยเด็ก”
“เรื่องอะไรล่ะครับ ผมออกจะคิดได้เสมอ ว่าใครสมควรได้รับอะไรและไมได้รับอะไรจากผม”
“แล้วไอ้การคบผู้ชายเหมือนกันนี่เรียกว่าคิดได้แล้วเหรอ?” เหมือนจะพูดคนละหัวข้อกันเลยทีเดียว
“ผมคิดแค่ว่าสิ่งไหนคือความสุขผมก็จะทำมัน” พิธานว่า แววตาที่เริ่มจริงจังนั้นมองธนิตราวกับจะตอกย้ำว่านี่คือสิ่งที่ผ่าน
กระบวนการความคิดมาเป็นอย่างดีแล้ว
“แน่ใจเหรอว่าจะสุขจริง?”
“คนอย่างคุณพ่อ ไม่มีทางเข้าใจหรอก” พิธานพูดลุกขึ้นและเดินออกไป
“คุณพิธานจะไปไหน?” พระพายร้องถามขึ้น
“ไปห้องน้ำ เดี๋ยวมา” บอกแล้วเดินเข้าไปในบ้านทิ้งให้พระพายอยู่กับธนิตเพียงลำพัง
บรรยากาศตอนที่พิธานนั่งปะทะคารมกับธนิตว่าอึดอัดแล้ว แต่สภาพตอนนี้อึดอัดกว่าเป็นไหนๆ พระพายที่ไม่อาจจะหาหัวข้อในการพูดคุยใดๆได้เพราะดูอย่างไรแล้วธนิตก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาอยู่ดี แต่พอๆคิดๆดูแล้วนี่อาจจะเป็นโอกาสที่ไม่ได้มีมาบ่อยๆที่จะได้พูดกับธนิตตามลำพัง พระพายยังคงอยากให้ธนิตยอมรับเขาบ้างสักหน่อยก็ยังดี เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วพระพายจึงเริ่มเอ่ยปากพูดขึ้น
“คุณลุง...สบายดีไหมครับ?” พระพายถามอย่างกล้าๆกลัวๆ ธนิตมองหน้าพระพายก่อนตอบ
“สบายดี” ธนิตสั้นๆออกติดห้วนๆเสียด้วยซ้ำ พระพายกำลังนั่งนึกว่าจะถามอะไรต่ออีกแต่จู่ๆธนิตก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
“ไม่ต้องลำบากหาเรื่องชวนคุยกับฉันหรอก” ธนิตว่า พระพายได้แต่เลิกตาขึ้น...นิสัยแบบนี้เป็นกันเกือบทั้งบ้านเลยหรืออย่างไร นิสัยรู้ทันและพูดดักจนไม่รู้จะไปทางไหนต่อดี
“ขอโทษครับ” พระพายได้แต่ก้มหน้า
“ฉันมีเรื่องจะถาม..เธอคิดว่าจะตอบฉันได้รึเปล่า?” ธนิตว่าพลางยกแก้วดื่มจนหมดแล้วยื่นแก้วให้พระพาย พระพายรู้งานทันทีว่าต้องเทเหล้าเติมให้
“คิดว่าได้ครับ” พูดพร้อมยื่นแก้วที่เติมเหล้าใส่ให้แล้ว
“เธอรักเขามากกว่าตัวเองไหม?” ธนิตถามตรงๆ พระพายที่ได้ยินอย่างนั้นถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียว
“ตอบได้ไหมล่ะ?” ธนิตถามย้ำเมื่อเห็นว่าพระพายนิ่งไป
คำถามนี้ของธนิตนั้นกำลังต้องการคำตอบแบบไหน คำตอบเอาใจเหมือนในละครทีวีที่พ่อแม่ของพระเอกถามนางเอกที่ฐานะยากจนกว่า ที่หากได้ยินแล้วจะรู้สึกว่าตัวนางเอกรักจริงไม่อิงเรื่องการเงิน หรือถามส่งๆไปเพราะจะอย่างไรก็ไม่เชื่อ พระพายคิดหลายตลบแต่ในที่สุดก็เลือกได้ว่า ความจริงเท่านั้นคือสิ่งที่จะบอกได้ ไม่อยากคิดอะไรให้มากมายไปกว่านี้แล้ว
“จริงๆ...ผมรักตัวเองมากกว่าครับ” นี่คือความในใจจริงๆของพระพาย
“รักตัวเองมากกว่า เลยคบกับลูกชายฉันเพื่อหวังสบายสินะ” ธนิตหมองเหยียดเมื่อได้ยินคำตอบของพระพาย
“ใช่ครับ ผมหวังสบายจริงๆ...เพราะทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยกันผมจะมีแต่ความสบาย...สบายใจทุกครั้งที่นั่งดูหนัง กินข้าวด้วยกัน สบายใจเสมอเวลาที่เขานั่งอยู่ข้างๆ แม้จะไม่พูดเยอะ เอ่อ...ที่จริงพูดเยอะกว่าตอนแรกๆที่เจอกันมากเลยล่ะครับ แต่ผมชอบช่วงเวลานี้จริงๆ ผมเลยเป็นคนเห็นแก่ตัว เพราะความสบายใจของผมคือคุณพิธาน”
พูดออกมาพร้อมรอยยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องล่าสุดที่นั่งดูหนังด้วยกันและซบไหล่พิธานไปด้วย รู้สึกเหมือนเป็นคู่รักวัยแรกแย้ม ทั้งๆที่มันตรงกันข้ามเพราะแท้จริงแล้วกลับเป็นคู่รักประหลาดที่ชอบร่วมรักกันด้วยความรุนแรงเร่าร้อนสุดๆ แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ชีวิตรักของทั้งสองก็ยังมีเรื่องราวเล็กๆที่แสนจะกุ๊กกิ๊กไม่น้อยในความคิดของพระพาย
“จะเขินทำไม?” ธนิตเอ่ยแหวกความคิดอันหวานหอมของพระพายให้กระเจิงและกลับมาสู่บทสนทนาต่อ
“ขอโทษครับ” พระพายรีบขอโทษทันทีเมื่อถูกดึงกลับมาสู่ความเป็นจริงต่อ
“ชอบอะไรในตัวพิธานถ้าไม่ใช่เรื่องเงิน”ดูเหมือนธนิตจะเข้าใจอะไรขึ้นมาได้นิดหน่อยจึงถามต่อ
“บรรยากาศมั้งครับ...เหมือนเข้าถึงยาก เดาใจยากแต่หากตั้งใจมองก็จะรู้ว่าเขาคิดอะไร มันคือสิ่งแรกๆที่ดึงดูดผมเข้าไป” พระพายตอบได้ในทันที แต่อีกเรื่องที่บอกไม่หมด...คือความเข้ากันได้เป็นอย่างดีในเรื่องอย่างว่าด้วยเช่นกัน
“ไม่เคยคิดเหรอว่าความรักแบบพวกเธอมันจะไม่ยั่งยืน?” จ้องหน้าพร้อมถาม
“ไม่รู้หรอกครับว่าข้างหน้าจะเป็นยังไง แต่ตอนนี้พวกเรามีความสุขในทุกๆวัน ผมบอกได้แค่นี้ครับ”
“ถ้าวันหนึ่งเกิดเลิกกัน กับเด็กที่ยึดติดมากขนาดนั้น คงจะเสียใจน่าดู”
ธนิตพูดลอยๆขึ้นมา ฟังก็รู้ว่ากำลังพูดถึงพิธานเหมือนที่เคยได้ยินมาจากพัชชาถึงความยึดติดที่พระพายนึกภาพออกแต่ไม่รู้ว่าจะรุนแรงมากแค่ไหน คำพูดนั้นสำหรับพระพายแล้วเหมือนธนิตเป็นห่วงพิธานมากเลยทีเดียว
“ทำไมคุณลุงถึงไม่ยอมพูดดีๆกับคุณพิธานล่ะครับ?” พระพายที่หลุดสิ่งที่คิดอยู่ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ธนิตจ้องเขม็งโดยทันที
“ทำไมฉันต้องยอมอ่อนข้อให้ลูกชายที่หัวรั้นแบบนั้นล่ะ?” ธนิตว่าพลางกอดอกเชิดหน้าขึ้นอย่างวางมาด ท่าทีเช่นนี้เหมือนมองเห็นพิธานในวัยแก่เลยทีเดียว
“แต่ผมคิดว่า ถ้าคุณลุงยอมอ่อนให้สักหน่อย...คุณพิธานก็จะรับรู้ได้นะครับ เพราะเขาเป็นคนละเอียดอ่อนพอตัวเลย” พระพายว่า ธนิตปรายตามองพระพาย ทำท่าจะพูดอะไรออกมาสักอย่างแต่พิธานกลับเดินเข้ามาพอดี
“ทำไมไปนานจัง?” พระพายถามทันทีที่พิธานนั่งลง
“ไปแวะดูคุณแม่มา” พิธานตอบ
“คุณแม่หลับอยู่รึเปล่า?”
“นอนหลับอยู่” พิธานบอก
“แม่แกดีขึ้นเยอะแล้ว” ธนิตบอก พิธานไม่พูดอะไรก่อนที่จะยกแก้วดื่ม เมินคำพูดของธนิตซึ่งๆหน้า แน่นอนว่าผู้ถูกเมินนั้นคิ้วกระตุกขึ้นมาทันที
“โดนพูดอะไรไม่ดีรึเปล่า?” พิธานถามพระพายตรงๆต่อหน้าธนิตเลยทีเดียว
“แกเห็นฉันเป็นคนยังไง?” ธนิตถามด้วยอารมณ์โมโหพอควรที่ได้ยินเช่นนั้น
“คนยังไงล่ะ...คนที่ไม่คิดจะพูดดีๆกับคนอื่น” พิธานว่า พระพายรีบสะกิดพิธานทันที
“ไม่ๆ คุณลุงไม่ทำอย่างนั้นสักหน่อย” พระพายรีบออกตัวก่อนจะเลยเถิด ธนิตไม่พูดอะไรต่อก่อนที่จะกระดกแก้วดื่มที่เหลือจนหมดและลุกขึ้น
“กินเสร็จก็เก็บให้เรียบร้อยด้วย” ธนิตพูดเพียงเท่านั้นก่อนที่จะเดินออกไปและในขณะที่กำลังจะก้าวเดินเข้าประตู ธนิตก็หันมาบอก
“อย่านอนดึกล่ะ...พระพาย”
ธนิตพูดก่อนจะเดินหายไป ทิ้งให้พระพายนั่งงงและกำลังคิดว่าตัวเองหูฝาดหรือเปล่าที่ได้ยินธนิตเรียกชื่อ จึงหันไปยืนยันความจริงกับพี่พิธานที่นั่งอยู่ข้างๆด้วยใบบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด
“เมื่อกี้พ่อคุณเรียกชื่อผมใช่ไหม...” พระพายถามพลางจ้องหน้าหาคำตอบ พิธานพยักหน้านิดๆ
“จริงๆใช่ไหม?” ถามย้ำอีกครั้ง คราวนี้พิธานไม่ได้หยักหน้าแต่กลับพูดออกมาแทน
“ใช่...แต่ตอนที่ฉันไม่อยู่เขาพูดอะไรกับนาย?” เสียงดูตึงๆไม่ต่างจากหน้าตาตอนนี้เลย
“หืม....ก็พูดคุยทั่วไป” พระพายตอบในทันที
“เรื่องทั่วไป อะไรล่ะ?” พิธานจี้คำถาม พระพายชะงักไปนิดก่อนตอบ
“ก็...ถามเรื่องผมว่าเป็นไงมาไงประมาณนั้น” นี่คือการโกหกที่ปรับอารมณ์ได้ยากมาก เพราะความลิงโลดไม่ทันจะหายแต่กลับต้องมาโดยบี้ด้วยคำถามเช่นนี้
“ไม่ได้มีอะไรแปลกๆใช่ไหม?”
“ไม่เลย...ว่าแต่คุณไม่ดีใจเหรอที่พ่อคุณท่านเริ่มเปิดใจรับผมสักนิดแล้ว?” พระพายถาม
“ฉันไม่เคยสนหรอกว่าเขาจะรับได้ไหม ฉันสนแค่คนที่ฉันแคร์” พิธานบอกเพียงเท่านั้น
“อย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ ไปนอนดีกว่า เริ่มดึกแล้ว” พระพายปัดเปลี่ยนหัวข้อไปทันทีเพราะจะอย่างไรพิธานก็คือพิธานที่ไม่คิดจะญาติดีกับพ่อตัวเอง
“อืม” พิธานตอบรับสั้นๆก่อนที่จะเก็บแก้วและขวดเหล้าเข้าที่ เดินขึ้นไปยังห้องนอนพร้อมกันทั้งสองคน...
.
.
เช้าวันอาทิตย์มาเยือนแล้ว เมื่อคืนเดินมาถึงห้องนอนหัวแตะหมอนพระพายก็หลับลงอย่างรวดเร็ว ไม่รู้เพราะง่วงหรือดื่มเหล้าหรือดีใจที่ธนิตเริ่มจะเปิดใจขึ้นมาบ้างแล้ว
ตื่นมาก็พบว่าพิธานยังคงหลับอยู่ข้างๆ พระพายได้แต่บิดขี้เกียจและนอนบิดไปบิดมาเพราะไม่อยากลุกจากเตียงเท่าไหร่นัก เมื่อตื่นมาก็นึกถึงเรื่องเมื่อคืน ถ้าหากธนิตเริ่มใจอ่อนกับเขาแล้ว คงจะง่ายขึ้นหากคิดจะสามสัมพันธ์ของสองพ่อลูกนี้
พระพายหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางข้างหมอน เปิดดูก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบสิบโมงแล้ว พระพายจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำ แต่ก็ลืมไปว่าเสื้อผ้าสำหรับกลางวันไม่มีเปลี่ยน พระพายจึงใส่ชุดนอนตัวเดิม ออกมากจากห้องน้ำและหยิบเสื้อผ้าที่ถอดกองไว้ ทั้งของตัวเองและของพิธานเพื่อจะเอาลงไปซัก เปิดประตูออกไปพบว่าป้าแม่บ้านเดินขึ้นมาพอดี
“คุณพระพาย จะเอาเสื้อผ้าไปไหนคะ?”
“เอาไปซักครับ”
“เดี๋ยวป้าจัดการให้ค่ะ อบแห้งเสร็จก็ประมาณบ่ายโมงน่าจะได้ใช้ค่ะ” พูดพลางรับเสื้อผ้าไปทั้งหมด
“ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมใส่ชุดนอนรอก่อนก็ได้” พระพายว่าและเดินกลับเข้าห้องไปและพิธานยังคงไม่ตื่นอยู่ดี
พระพายไม่ได้สิงที่เตียงต่อจึงเดินดูรอบๆห้องว่ามีของอะไรน่าสนใจหรือไม่ มองรูปภาพสองสามรูปของพิธานที่เป็นรูปสมัยมัธยมและข้าวของที่ไม่ได้เยอะแยะหากเทียบกับแผ่นหนังซื้อเยอะกว่าเป็นไหนๆ มองหาอยู่พักใหญ่จนเมื่อไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่พระพายจึงคิดจะลงไปยังด้านล่าง ก่อนออกไปก็แอบไปดูพิธานว่ามีท่าทีจะตื่นหรือไม่แต่ก็เปล่าอยู่ดี พระพายจึงก้มลงจูบแก้มพิธานเบาๆก่อนที่จะเดินออกไป
ลงมายังชั้นล่างพบว่าธนิตกับพัชชานั่งอยู่แล้ว พัชชาที่ดูจะสดชื่นขึ้นแม้จะไม่เหมือนยามปกติแต่สีหน้าดีกว่าเมื่อคืนมาก ทั้งสองนั่งคุยอะไรกันสักอย่างแต่พระพายไม่ทันได้ยิน บทสนทนานั้นก็พลันหยุด พัชชาหันมาทักทายพระพาย
“ตื่นแล้วเหรอ?” พัชชาทักทาย
“ครับ” ขานรับพลางนั่งลงตรงโซฟา
“ทำไมยังใส่ชุดนอน?” ธนิตมองอย่างไม่ชอบใจ
“เอ่อ เสื้อผ้ากำลังซักอยู่ครับ บ่ายๆน่าจะได้เปลี่ยน” พระพายบอก ธนิตไม่ว่าอะไรอีก
“เอ๊ะ....พูดกับพระพายแบบนี้ได้ด้วยเหรอ?” พัชชาถามอย่างแปลกใจ
“ทำไมจะพูดไม่ได้” ธนิตทำหน้านิ่งก่อนที่จะหันหน้าไปมองทีวีแทน
“ค่ะ พูดได้ค่ะ” พัชชายิ้มเชิงล้อเลียนก่อนที่จะหันมาพูดกับพระพาย
“พิธานยังไม่ตื่นสินะ”
“ครับ”
“หิวรึยัง เดี๋ยวจะได้ให้เด็กจัดโต๊ะให้”
“ยังครับ เดี๋ยวรอคุณพิธานตื่นดีกว่า ว่าแต่คุณแม่กินข้าวเช้าแล้วใช่ไหมครับ?”
“แม่กินแกงจืดแล้ว” พัชชาว่า
“คุณอาการดีขึ้นรึยังครับ?” พูดไม่พอ ใช้สายตามองไปรอบๆตัวของพัชชา
“เกือบจะหายแล้วล่ะ ตอนนี้หยุดถ่ายแล้วนะ มีมวนท้องแต่แค่นิดหน่อย” พัชชาตอบ
“ดีจังเลยครับ เมื่อคืนคุณแม่เข้าห้องน้ำบ่อยมากจนกลัวจะไม่ไหว” พระพายดูโล่งใจขึ้นเยอะ
“ขอบใจพระพายมากจริงๆ แม่ดีใจนะที่พระพายมาอยู่ตรงนี้ได้”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”
จากนั้นก็พูดคุยกันเรื่อยเปื่อยโดยที่มีธนิตนั่งอยู่เงียบๆโดยในมือถือไอแพดนั่งอ่านอะไรสักอย่าง แต่กระนั้นก็ไม่ยอมลุกไปไหน มีบางทีที่เหลือบมองเมื่อคุยเรื่องตลกๆของพิธานแล้วพระพายกับพัชชาพากันหัวเราะ
“มาแล้ว” พัชชาว่าพลางมองไปยังพิธานที่เดินลงมาพร้อมพร้อมหน้าตาที่ล้างและผมที่ไม่ได้ชี้โด่ชี้เด่ คงจัดการตัวเองเรียบร้อยแม้ว่าจะยังไม่ได้เปลี่ยนชุดก็ตามที
“ตื่นแล้วเหรอ?” พระพายว่าพลางยิ้มให้ พิธานนั่งลงข้างๆพระพาย
“คุณแม่ดีขึ้นรึเปล่า ยังปวดท้องอยู่ไหมครับ?” พิธานถาม แม้น้ำเสียงจะนิ่งๆแต่ดูเป็นห่วงไม่น้อยเลยทีเดียว
“ดีขึ้นมากเลย เพราะพิธานมาดูแลแม่นั่นแหละ”
พัชชาว่าพลางยิ้มเอาใจ พิธานไม่พูดอะไรแต่รู้สึกเหมือนกำลังจะยิ้มนิดๆ ธนิตหันมองพิธานและแน่นอนว่าพิธานเมินเฉยราวกับธนิตไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้น
“ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่” พิธานหันมาถามพระพายบ้าง
“พักใหญ่แล้ว”
“หิวไหม?” พระพายว่า คิดว่านั่งคุยกันแค่ไม่นานแต่เวลาผ่านมาจะเป็นชั่วโมงแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงวันพอดี
“เริ่มแล้วล่ะ” พิธานตอบ
“ข้าวเช้าข้าวเที่ยงรวมกันเลย” พระพายว่าพลางหัวเราะ พัชชาจึงหันไปถามธนิต
“คุณคะ กินข้าวเที่ยงเลยไหม?”
“ก็ได้” ธนิตตอบเพียงเท่านั้น
“เดี๋ยวขอไปดูหน่อยว่ากับข้าวเสร็จรึยัง” พัชชาว่าพร้อมลุกขึ้น พระพายจึงลุกตามไปด้วย
ผ่านไปพอสมควรอาหารก็วางบนโต๊ะ อาหารประมาณสามสี่อย่างเพราะจำนวนคนที่เพิ่มขึ้นอีกทั้งบวกกับอาหารรสอ่อนๆเพื่อคนเพิ่งหายป่วยอย่างพัชชา พัชชาดูมีความสุขสังเกตได้จากการยิ้มแย้มและพูดคุย ตัดอาหารให้ทั้งธนิต พิธานและพระพายอยู่ตลอดเวลา
“ตักกินเองบ้างสิ” ธนิตปรามขึ้นเมื่อเห็นพัชชาเอาแต่ตัดให้คนอื่นจนไม่ยอมกินเอง
“ฉันไม่ค่อยหิวนี่คะ” พัชชาว่า ธนิตส่ายหน้านิดๆก่อนที่จะรวบช้อนบ่งบอกว่าอิ่มแล้ว ทั้งพิธานและพระพายก็เช่นกัน ที่อิ่มจัดเพราะอาหารที่พัชชาตักให้นั้นเยอะเอาการเลยทีเดียว
“เสื้อผ้าซักเสร็จแล้วนะคะ อยู่ในห้องแล้วค่ะ” ป้าแม่บ้านบอก ทั้งสองคนจึงขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พิธานเปลี่ยนเสร็จก่อนและนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือ พระพายที่เสร็จทีหลังจึงเดินมานั่งบนเตียงข้างๆ
“ไคชวนไปซื้อของ” พิธานบอกเช่นนั้น
“ตอนนี้เหรอ?”
“ใช่ วันเกิดเพื่อนพรุ่งนี้”
“ถ้าอย่างนั้นก็กลับกันเลยดีกว่า”
“อืม” ทั้งสองคนลงมายังข้างล่าง เห็นธนิตกับพัชชานั่งดูอะไรสักอย่างในไอแพดด้วยกันโดยทีพัชชานั่งหัวเราะ
“มาแล้วเหรอ นี่ๆมาดูคลิปนี้สิ ตลกมากเลย” พัชชากวักมือเรียกทั้งสอง
“คุณแม่ ผมต้องกลับแล้วครับ” พิธานบอก
“อ้าว ทำไมรีบจัง เย็นๆหน่อยไม่ได้เหรอ?” พัชชาเริ่มหน้าตูมขึ้นเมื่อได้ยินว่าทั้งสองจะกลับกันแล้ว
“พอดีมีธุระนิดหน่อยครับ” พระพายสำทับขึ้นมาอีกคน
“ก็ได แต่วันหลังต้องมาอีกนะ เข้าใจไหม?” พัชชาว่าพลางบังคับเอาคำตอบ
“ได้ครับ” พิธานว่า
“ถ้าอย่างนั้นผมลานะครับ” พระพายว่าพลางยกมือไหว้พัชชา ที่รับไหว้และกอดพระพายแถมด้วย พิธานก็โดนด้วยเช่นกัน
“ไปนะครับคุณลุง” พระพายหันไปยกมือไหว้บอกธนิต ด้านพิธานยกมือไหว้แบบรีบๆ
“เรียกว่าอะไร?”
“ครับ?” พระพายทวนคำถามอย่างงงๆ
“เรียกคุณพัชชาว่าแม่ แต่เรียกฉันว่าลุงเหรอ? ช่วยเรียงลำดับให้มันถูกหน่อย” ธนิตว่าพลางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย
“ผมต้องเรียกว่า..คุณ..เอ่อ..คุณพ่อ..เหรอครับ?” พระพายเข้าใจอย่างนั้นได้อย่างเดียวจริงๆ
“ก็เรียกถูกแล้วนี่” ธนิตว่า พิธานที่ดูจะอึ้งๆไปนิดก่อนที่จะปรับสีหน้าเข้าสู่โหมดปกติ พัชชาอมยิ้มจนแก้มแทบปริเลยทีเดียว
“คุณพ่อนี่น่ารักจังนะ” พัชชาว่าพลางเหล่มองธนิตที่เหมือนปรายตามองแบบดุๆ
“น่ารักอะไรคุณ พูดดีๆหน่อย” ธนิตว่าก่อนจะลุกขึ้นและทิ้งท้ายประโยคสุดท้าย
“ขับรถกันดีๆล่ะ” พูดจบก็เดินขึ้นไปยังชั้นสอง ทิ้งให้คนสามคนยืนนิ่งอย่างไม่รู้จะมีรู้จะมีปฏิกิริยาตอบโต้ว่าอย่างไรดี
“เอ๊ะ...อย่างนี้ได้เหรอ?” พัชชาหันมามองพระพาย พระพายได้แต่ยิ้มๆ ด้านพิธานไม่พูดอะไรได้แต่เดินออกไปยังนอกบ้านด้วยความรวดเร็ว
“พระพาย....” พัชชาจับมือพระพายด้วยความดีใจจนกลั้นไว้ไม่อยู่
“ไว้คุยกันนะครับคุณแม่” พระพายยิ้มกว้างและรีบเดินตามพิธานไปทันที พระพายเดินตามออกมาพบว่าพิธานเปิดเครื่องยนต์รถแล้ว เมื่อเห็นอย่างนั้นพระพายก็รีบขึ้นรถทันที
“เอ่อ..คุณพิธาน” พระพายเอ่ยเรียก ตอนนี้พิธานยังไม่ออกรถคงกำลังอุ่นเครื่องยนต์นิดหน่อย
“ว่าไง”
“ผมควรจะทำไงต่อดี?” พระพายว่าพลางจับแขนของพิธาน
“ทำไงล่ะ?” ใบหน้านิ่งๆนั้นถามกลับ
“เขา...เขาเริ่มเปิดรับผมแล้วเหรอ?”
“ตกใจเหรอ?” พิธานถาม
“สุดๆเลยล่ะ” พระพายยังคงทำตัวไม่ถูกอยู่
“นายเป็นคนน่ารัก..และไม่ใช่แค่ฉันเท่านั้นที่เห็น” พิธานว่าพลางเอื้อมมือไปลูบหัวพระพาย ที่ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
“คุณ..รู้สึกยังไง?”
“ไม่รู้....แต่เห็นนายดีใจฉันก็ดีใจ” พิธานว่าก่อนที่จะขับรถออกไป
พระพายได้แต่มองสีหน้าด้านข้างของพิธาน สายตาที่เห็นดูวูบไหวและเหมือนจะคิดอะไรอยู่สักอย่าง ท่าทีเช่นนั้นเหมือนกำลังตรึกตรองใคร่ครวญบางสิ่งอยู่ คงกำลังไม่มั่นใจในท่าทีของผู้เป็นพ่อที่ตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่และคงสับสนในอะไรสักอย่าง เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว จึงกำลังใจมีมากขึ้นที่จะหาทำให้ทั้งสองคนกลับมาดีกันดั่งเดิม พระพายจะบุกทำแผนนี้ให้สำเร็จอย่างเต็มตัวเสียที...
Lyrics: I won’t give up By Jason Marz.