Chapter 17
“เอาแค่เสื้อผ้าก็พออุ้ม ของเล่นไม่ต้องเอาไป” อินทัชบอกน้องชายคนเล็กที่กำลังจะเอารถบังคับวิทยุมาใส่กระเป๋าเป้
อ้นช่วยม้วนเสื้อของพี่แล้วรูปซิปปิด สำรวจว่ายังต้องเอาของจำเป็นอะไรไปอีกบ้าง
“ไปได้แล้ว รถออกสองทุ่ม” เขามองนาฬิกา จากกลางเมืองไปหมอชิตสอง ช่วงนี้รถอาจจะติดได้ อย่างน้อยไปให้เร็วหน่อยจะได้ทัน
อินทัชซื้อตั๋วรถโดยสารกรุงเทพ-ทุ่งช้าง แล้วแวะลงที่อำเภอปัว บ้านเกิดของเขา ใช้ระยะเวลาเดินทางตอนกลางคืน ถึงปลายทางช่วงเช้า หลังจากนั้นค่อยขอให้คนแถวบ้านช่วยมารับ
เด็กหนุ่มสำรวจปลั๊กไฟ ต้อนน้องๆออกมาแล้วล็อกกุญแจห้อง อ้นกับอุ้มดูจะตื่นเต้นที่ได้กลับบ้าน
ตอนที่นั่งอยู่บนรถแท็กซี่ เขาโทรบอกปาลินว่าจะไม่อยู่ช่วงสงกรานต์ ทางนั้นเองก็มีแผนจะไปพักผ่อนกับพี่ชายเหมือนกัน เพราะว่าทางร้านหยุดยาว เปิดอีกทีก็หลังเทศกาลเลย
‘เดินทางปลอดภัยนะโอ๊ต’ ปาลินบอก
“ขอบคุณครับ..เราก็ด้วย อย่าซนจนเป็นไข้ล่ะ”
‘โตแล้วน่า ยังไงก็อย่าลืมของฝากนะ’ อีกฝ่ายทวง ‘เราอยากได้ภาพกระซิบรัก ซื้อมาให้หน่อยนะ’
“อ้อ..ปู่ม่านย่าม่าน วัดภูมินทร์” อินทัชหัวเราะ “รู้ไหมว่าปู่บอกอะไรย่า”
‘ไม่รู้อ่า’
“ความรักของน้องนั้น พี่จะเอาฝากไว้ในน้ำก็กลัวเหน็บหนาว จะฝากไว้กลางท้องฟ้าอากาศกลางหาว ก็กลัวเมฆหมอกมาปกคลุมรักของพี่ไปเสีย” ร่างสูงยิ้ม เสียงนุ่มนวลเล่าคำกลอน “หากเอาไว้ในวังในคุ้ม เจ้าเมืองมาเจอก็จะเอาความรักของพี่ไป เลยขอฝากเอาไว้ในอกในใจของพี่ จะให้มันร้องไห้รำพี้รำพันถึงน้อง..ไม่ว่ายามพี่นอนหลับหรือสะดุ้งตื่น”
‘หวานมาก..’ ปาลินชอบใจ
“อาจารย์สมเจตน์ วิมลเกษมท่านแต่งเอาไว้ จริงๆเป็นภาษาเหนือ แต่แปลแล้วซึ้งดีนะ”
‘จำได้ขนาดนี้ ท่องไว้รอจีบใครใช่ไหม’
อินทัชขบขัน “คงงั้นมั้ง”
‘โหย..แล้วลุยหรือยัง’
“จีบไปแล้ว” เขาผลักหัวเจ้าอ้นที่ทำท่าทางอยากรู้อยากเห็น
‘ห๊ะ! เก็บเงียบเลยนะ ไม่ยอมบอกกันเลย’
“บอกไปแล้วไง” บอกเมื่อครู่นี้นี่แหละ เขายิ้มน้อยๆ ตัดบทแค่นั้น “วางแล้วนะ ดูแลตัวเองด้วย”
‘ปัดโธ่..ทำเป็นมีความลับ’ ปาลินบ่น ‘โอเคๆ บายคร้าบ~ โชคดีนะ เดินทางปลอดภัย’
อินทัชวางสาย กำลังจะเก็บมือถือลงเป้ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าน่าจะบอกใครบางคนด้วย เขาเลยส่งไลน์ไปหาพี่กุนต์ บอกว่าจะกลับน่านช่วงสงกรานต์ เผื่อว่าฝ่ายนั้นไปหาที่ห้องแล้วไม่เจอ
เด็กหนุ่มรอไลน์ตอบกลับจากอีกคน กระทั่งถึงหมอชิต ก็ยังไม่มีทีท่าว่าเจ้าตัวจะเปิดอ่านข้อความ จนถึงเวลารถออก ไม่รู้เขานึกอย่างไร ถึงได้กดโทรหา
เสียงรอสายดังอยู่ร่วมนาที แต่ไม่มีใครรับ เขาเลยกดวางและโทรอีกครั้ง แต่ก็ยังเหมือนเดิม เลยตัดสินใจเก็บมือถือ คิดว่าถ้าพี่กุนต์เห็นก็คงจะโทรกลับมาเอง
......
เสียงหวดแร็กเก็ตผ่านอากาศดังกลางความเงียบ ลูกเทนนิสตกกระทบพื้นอีกฝั่งแล้วกระดอนขึ้น ร่างสูงโปร่งก้าวไปรับ ตีโต้กลับไปยังอีกฟากของสนาม
ไผทขยับเข้าหา หยดเหงื่อผุดพราวขึ้นทั่วใบหน้าตอนที่เหวี่ยงไม้รับลูก มันข้ามผ่านตาข่ายไปตกลงคอร์ทในร่ม เขาจงใจตีเบี่ยงไปซ้ายทีขวาทีเพื่อหลอกล่อกนธีให้วิ่ง เผื่อว่าอีกคนจะหมดแรงและยอมแพ้ให้เขาเสียที
“แกล้งผมหรือ” ชายหนุ่มหัวเราะ วิ่งไปรับแล้วหวดกลับสุดแรง
ไผทตีวืด เสียคะแนนไปอย่างง่ายดาย “โธ่..ไม่ออมมือให้เลยคุณกุนต์”
กนธีเดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กตรงม้านั่งมาเช็ดหน้า เขาอดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นไผทดูหมดเรี่ยวแรง “อะไร คุณอายุน้อยกว่าผมนะ ลุกขึ้นมาต่อให้จบเซ็ตเร็ว”
“ก็ได้” ไผทวิ่งเหยาะๆกับที่ “ถ้าคุณแพ้บ้าง เลี้ยงเบียร์ผมนะ”
“ผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์”
“ก็ขอให้เลี้ยง ไม่ได้ขอให้ดื่ม”
กนธีหัวเราะชอบใจ โยนผ้าที่เปียกชุ่มไปวางทับกระเป๋ากีฬา ไม่ทันได้สนว่าโทรศัพท์มือถือสั่นครืด เขาวิ่งเข้าสนาม รับลูกเทนนิสมาและเป็นฝ่ายเสิร์ฟ
เกมหลัง ไผทแรงดีขึ้นจนผิดสังเกต หรือไม่ก็แกล้งทำแพ้เขามาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หมอนั่นตีโต้มาหลายลูก เขารับพลาดไปเยอะ กนธีเลยฮึดกลับ ทำสกอร์ขึ้นมาสูสี แต่ก็ต้องยอมลงให้กับลูกสุดท้ายที่อีกฝ่ายหวดโต้ เขามองแล้วว่าออกแน่ แต่ปรากฏว่าลูกเทนนิสกระดอนลงพื้น เฉียดเส้นข้างด้านในสนามไปเพียงนิดแต่ก็ยังลงในกรอบอยู่ดี
“เย้! เบียร์!” ไผทชูมือ ทำท่าดีใจ
กนธียอมแพ้ เดินตัวเปียกซ่กกลับมาจับมือฝ่ายตรงข้าม “โอเค..สัญญาต้องเป็นสัญญา คุณอยากดื่มที่ไหน”
“ขอแอร์เย็นๆกับเบียร์วุ้น มีกับข้าวอร่อยๆด้วยจะดีใจมาก”
เขาส่ายหัวยิ้มๆ “คุณนี่เหมือนเด็กเลย”
ไผทยิ้มอวดเขี้ยว แสงไฟจากเสาด้านบนส่องกระทบกับต่างหูเงินเป็นประกาย เรือนผมสีเข้มเปียกลู่ไปตามหยดเหงื่อ เสื้อกีฬาชุ่มโชก แนบกับรูปร่างสูงใหญ่
“ก็ไม่ได้บอกว่าเป็นคนแก่นี่ครับ” เขาถอดผ้าพันมือออก รับแร็กเก็ตจากคุณกุนต์มาถือพลางชะโงกหน้าเข้าใกล้ “หรือคุณคิดว่าผมแก่..”
กนธีชะงักเล็กน้อย กลิ่นน้ำหอม The One สปอร์ตที่ไผทใช้มันให้ความรู้สึกเซ็กซี่อย่างน่าประหลาด
“เปล่า” เขาขำ “ที่จริงก็ยังดูเด็ก”
“แน่ล่ะ..ผมน่ะแค่สามสิบเอง” ชายหนุ่มเอาผ้าสีขาวที่กนธีวางพาดกระเป๋าขึ้นมาเช็ดหน้า
“ผิดผืนแล้วคุณไท” กนธีชี้ไปที่ผ้าขนหนูของอีกคน “ที่คุณใช้น่ะมันของผม”
ไผทยักไหล่ ยื่นผืนของเขาที่ยังไม่ได้ใช้มาให้ “คุณเอาผืนใหม่ไป ส่วนของคุณ..ผมไม่ถือ”
คนฟังหัวเราะในลำคอ รู้สึกแปลกๆกับกิริยาสนิทสนมแบบง่ายดาย เรียกได้ว่าไม่มีเส้นขอบเขตหรือตั้งการ์ดอะไรเลย แต่เขาก็ไม่ได้คิดมาก สมัยอายุยังน้อย เขาก็เข้าหาคนอื่นได้ง่ายๆเหมือนกัน
กนธีหยิบเป้ขึ้นสะพาย เดินตามไผทไปที่ห้องอาบน้ำ
วันนี้ตอนเย็น คุณไผทเป็นคนโทรชวนเขาออกมาเล่นเทนนิส กนธีเป็นเมมเบอร์ของสปอร์ตคลับอยู่แล้วเลยพามาที่นี่ ตอนแรกตั้งใจจะเล่นแค่พอประมาณ ไม่รู้เลยว่าสู้กันเอาเป็นเอาตายตอนไหน
“ปวดไปหมด คืนนี้หลับเป็นตายแน่” ชายหนุ่มนวดข้อมือขวาของตน ตอนสนุกเขาเองก็ไม่ได้บันยะบันยังเลย
“คุณเล่นเก่งเหมือนกันนะ” ไผทยิ้ม ยกผ้าขึ้นยีผมของตน
“พอไปได้ครับ” กนธีเปิดล็อกเกอร์ ยัดกระเป๋าที่มีของมีค่าเข้าไป ส่วนพวกเสื้อผ้าที่เอามาเปลี่ยนเขาแยกไว้ด้านนอกแล้ว “ผมชอบเล่นกีฬาในร่ม แต่กลางแจ้งก็อยากเล่นนะ ตอนวัยรุ่น ผมน่ะอยากขี่ม้ามาก..แต่พอเจอข่าวคริสโตเฟอร์ รีฟ ตกจากหลังม้าแล้วเป็นอัมพาตตอนปีเก้าห้า อาผมก็สั่งห้ามเด็ดขาดเลย ถ้ากล้าขัดคำสั่ง เป็นได้โกรธกัน”
“ถ้าระวังหน่อยก็ไม่อันตรายหรอกครับ เราไม่ได้ขี่ผาดโผน” ไผทถอดเสื้อออก เห็นกล้ามเนื้อกระชับได้รูปใต้ผิวสีแทน “เอาไว้วันไหนผมจะสอนให้..อยากลองไหมล่ะ”
กนธีเลิกคิ้ว “พูดจริงหรือเปล่า”
“จะโกหกทำไมล่ะครับ” ไผทหัวเราะ หยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่มาพันเอวแล้วถอดกางเกง โยนใส่ล็อกเกอร์ “คุณไปเที่ยวไร่ผมสิ จะสอนทั้งวันเลย”
“โอเค..” คนอายุมากกว่ายิ้มจางก่อนคว้าขวดแชมพูกับสบู่เข้าห้องอาบน้ำไป
ไผทมองตามช่วงขาเพรียวยาวใต้กางเกงวอร์ม เขาเอียงคอ สนใจสะโพกตึงแน่นเวลาอีกฝ่ายเดิน เพื่อนใหม่ของเขาดึงม่านมาปิด เสียงน้ำจากฝักบัวเปิดซู่ สายน้ำกับฟองของแชมพูไหลมาตามผิวเนื้อขาวแล้วไหลวนลงท่อ
“รีบๆมาอาบสิคุณไท เดี๋ยวก็ไม่มีที่นั่งหรอก”
“จะไปกินที่ไหนหรือครับ” เขาก้าวเข้าไปใช้ห้องอาบน้ำที่อยู่ติดกัน
“The Deck ท่าเตียน ตรงข้ามวัดอรุณน่ะ เคยไปไหม”
“ไม่เคย” เขาปลดผ้าเช็ดตัวไปพาดรางผ้าม่าน เปิดฝักบัวแล้วแหงนหน้าขึ้นรับสายน้ำเย็นสดชื่น “แพงไหมนี่”
“พอควรครับ ส่วนมากฝรั่งชอบไปนั่ง..คุณแคร์หรือ”
ไผทบีบโฟมมาล้างหน้า “ถ้าบอกว่าแคร์ คุณจะว่าผมขี้งกไหมล่ะ”
กนธีหัวเราะ หยิบสบู่มาถูตัว “ขึ้นอยู่กับว่า คุณแคร์เรื่องค่าใช้จ่ายแบบไหน อย่างสบู่ก้อนละแปดสิบในพารากอน กับก้อนละสิบกว่าในบิ๊กซี ผมเห็นด้วยที่ว่าเราใช้ก้อนละสิบบาทก็พอ..แปดสิบน่ะแพงไป ใช้ก้อนละสิบไม่ได้แปลว่าขี้งก แต่มันคือประหยัดและมัธยัสถ์”
อีกหนึ่งหนุ่มหัวเราะเสียงต่ำ สบู่ก้อนละสิบบาท เขายังอุตส่าห์เก็บเศษมารวมกัน ล้างให้สะอาดแล้วละลายในน้ำร้อน ทำเป็นสบู่เหลวต่อเลย
“แต่ถ้าอะไรก็ตามที่เราจำเป็นต้องจ่าย แต่คุณคิดว่าไม่สมควรจ่าย อันนั้นผมถึงจะมองว่าขี้งก”
“เช่น?”
“อย่างเราต้องกินข้าวสามมื้อ แต่คุณไม่อยากเสียเงิน ก็เลยรวบกินมันมื้อเที่ยงมื้อเดียว แล้วเอาน้ำเปล่าลูบท้องตอนมื้อเย็นน่ะ ไม่พูดถึงคนที่ไม่มีเงินนะครับ พูดถึงคนที่มีความสามารถพอจะจ่าย แค่ไม่อยากจ่าย”
ไผทหัวเราะ เท้ามือกับขอบผนัง “ผมชอบคุณจัง..เป็นคนที่เข้าใจอะไรได้ง่ายดี แล้วก็ไม่ตีความด้านเดียวด้วย”
กนธีขำ ปิดน้ำแล้วเอาผ้ามาเช็ดตัว “จะถือว่าเป็นคำชมสำหรับมิตรภาพของเพื่อนใหม่นะครับ”
ใครอีกคนยิ้มมุมปาก..เพื่อนก็น่าสนใจ แต่สถานะอื่นน่ะน่าดึงดูดกว่า
..สี่สิบกับสามสิบ..ไม่ใช่ปัญหาหรอก..
.........................................................................................
แดดตอนเช้าเริ่มทอขึ้นเหนือยอดไม้ มองไปยังท้องฟ้าสีสด เห็นแนวขุนเขาทอดตัวผ่านเป็นเงาอยู่ไกลๆ ตัดกับเส้นขอบฟ้าที่มีกลุ่มเมฆลอย ไอหมอกหนาแน่นค่อยจางลงและหายไปกับสายลมเมื่อแดดแรงขึ้น
รถบขส.ที่จะไปยังทุ่งช้างแวะส่งผู้โดยสารที่อำเภอปัว อินทัชพาน้องๆที่เพิ่งจะตื่นได้เกือบชั่วโมงก่อนลงมารอคนรู้จัก จากตรงนี้ พวกเขาต้องนั่งรถเข้าไปต่อ
น้องอุ้มงัวเงีย ปกติเด็กชายตื่นเช้า แต่เมื่อคืนกึ่งหลับกึ่งตื่นตลอดเลยนอนได้ไม่เต็มอิ่ม
อากาศช่วงเช้ากำลังสบายแม้จะเป็นหน้าร้อน สายลมอบอุ่นของฤดูพัดมาปะทะหน้า เด็กหนุ่มสูดกลิ่นอายบ้านเกิดที่คุ้นเคยด้วยความสุข เขาหันมายิ้มให้น้องๆ เจ้าอ้นดูจะดีใจมากที่ได้กลับมา
“พรุ่งนี้เราสรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวยายแล้วไปไหว้แม่กันนะ” เขาขยี้หัวเด็กๆก่อนหยิบมือถือออกมา จะโทรบอกคนที่นัดแนะกันไว้ พอดีเหลือบเห็นสายที่ไม่ได้รับเมื่อประมาณห้าทุ่มครึ่ง ตอนนั้นเขาปิดเสียงและหลับไปบนรถแล้ว
..พี่กุนต์โทรมา..
อินทัชยิ้ม ตั้งใจไว้ว่าเดี๋ยวเข้าบ้านแล้วค่อยโทรหาฝ่ายนั้นอีกที
รอไม่นานนัก คุณลุงที่รู้จักมักคุ้นกันดีก็ขับรถกระบะมารับ แกทักทายอย่างเป็นกันเอง ถามสารทุกข์สุกดิบตามประสาคนบ้านเดียวกัน
“โตขึ้นเยอะเลยนี่หว่าไอ้แสบสองตัว” ลุงหัวเราะร่า “ไป..ยายพวกเอ็งคิดถึงจะแย่แล้วมั้ง บ่นอยากเจอ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ผอมเป็นไม้แล้วนั่น”
อ้นกับอุ้มยิ้มตาปิด เด็กสองคนปีนขึ้นไปนั่งท้ายกระบะพร้อมกับพี่โอ๊ต ตอนที่รถวิ่ง เด็กชายเอาหน้าลู่ลม หลับตาพริ้ม สูดกลิ่นความเงียบสงบและกลิ่นหญ้าตามแนวดิน
ช่วงนี้เป็นฤดูร้อน ชาวบ้านปลูกพืชทดแทน ต่อเมื่อถึงฤดูฝนจะเป็นหน้านา พอเริ่มโตจะเห็นเป็นยอดเขียวชอุ่ม ไล่เรียงกันเป็นทิวแถว ย่างเข้าหน้าหนาว ต้นข้าวออกรวง เมื่อท้องแก่ ตลอดเส้นทางจะกลายเป็นสีทองอร่ามจนสุดแนวหุบเขา จากนั้นก็รอการเก็บเกี่ยวไม่เกินเดือนเมษา วนเวียนเป็นวิถีชีวิตไปตลอดปี
กระบะคันเก่าผ่านถนนที่ทอดคดเคี้ยว บ้านของอินทัชอยู่หลังวัดปรางค์ มีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยวเรื่องต้นดิกเดียม เขาเคยเห็นกับตามาครั้งหนึ่ง พอนึกแล้วก็คิดว่าถ้ามีโอกาส จะพาปาลินมาดูต้นไม้อารมณ์ดีแห่งเดียวในไทยบ้าง เจ้านั่นคงจะชอบใจน่าดู
ลุงขับมาจอดตรงหน้าบ้านไม้เก่าสองชั้น สีของมันคร่ำคร่าแต่ยังแข็งแรงดี อินทัชอุ้มน้องๆลงจากท้ายรถ ยกมือไหว้แกเป็นการขอบคุณ
“อยู่กี่วันล่ะ หมดสงกรานต์เลยไหม”
“ใช่ครับ” เขายิ้ม “เดี๋ยวพรุ่งนี้ว่าจะพาน้องไปทำบุญที่วัดพร้อมกับยายด้วย”
“เออ..ดีๆ แล้วยังไงค่อยเจอกัน ลุงไปรับป้าแกก่อน” ชายชราตบบ่าเด็กหนุ่มแล้วขับรถจากไป
เสียงล้อที่บดกับพื้นถนนเรียกให้หญิงวัยกลางคนเดินออกมาจากบ้าน แกชะโงกหน้ามองแล้วยิ้มดีใจ ไม่รู้มาก่อนว่าเด็กๆจะมาเพราะอินทัชนึกอยากจะเซอร์ไพรส์ยายของตน
“ป้า..สวัสดีครับ” อินทัชยกมือไหว้เพื่อนบ้านที่เขารบกวนเป็นธุระเรื่องดูแลยาย ระหว่างที่เขากับน้องไปอยู่กรุงเทพ “เป็นไงกันบ้าง สบายดีไหมครับ”
“เรื่อยๆตามประสา” แกยิ้ม “เข้าบ้านก่อน ยายเอ็งยังนอนไม่ตื่นเลย”
ร่างสูงถอดรองเท้า ตามด้วยอ้นกับอุ้มที่วิ่งถลาไปหาญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ ชั้นล่างของบ้านมีเตียงขาสิงห์ อินทัชซื้อฟูกนอนมาให้ยายใช้ แกเคยมีปัญหาเรื่องข้อเข่า เลยไม่ได้ขึ้นไปนอนชั้นสองมานานแล้ว อาศัยกางมุ้งอยู่ด้านล่างแทน
“ยาย..” เขาเรียก เห็นเงาตะคุ่มนอนตะแคงอยู่ในมุ้ง ลมหายใจสม่ำเสมอ
“เมื่อคืนกว่าจะนอนก็ตีหนึ่งตีสองน่ะ” คนดูแลบอก “เห็นบ่นว่าอึดอัด ปวดท้องอะไรของแก เลยเอายาแก้ท้องอืดให้กิน กินแล้วก็ยังไม่ค่อยดีขึ้นหรอก พลิกไปพลิกมาตลอด หายใจไม่ค่อยสะดวกด้วยมั้ง”
อ้นกับอุ้มทำท่าจะปลุก แต่เขาห้ามไว้ก่อน ปกติแล้วยายตื่นเช้า แต่อาจจะด้วยอายุมากขึ้น หรือตัวโรคอะไรก็ตาม เขาคิดว่าให้แกพักผ่อนเยอะๆจะดีกว่า
อินทัชมองสำรวจจากนอกมุ้ง แสงด้านนอกเล็ดลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามา เขาเลยเดินไปปิด ตั้งใจให้ยายหลับเต็มที่ เดี๋ยวตื่นแล้วค่อยคุยกันก็ได้ “อ้น..อุ้ม ไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวจะได้กินข้าวกัน”
เด็กๆตะเบ๊ะรับ ชวนกันขึ้นไปบนห้องนอนเก่า ส่วนของห้องน้ำจะสร้างต่อจากตัวบ้าน ถัดมาอีกข้างจะเป็นครัวไทยที่ค่อนข้างโล่ง ก่อผนังจากอิฐมอญสูงประมาณแค่เอว มีลูกกรงเหล็กเก่าๆกันขโมยเชื่อมไปถึงหลังคา เวลาทำอาหารกลิ่นแรง ลมจะตีออก จากห้องครัวมองออกไป เห็นวิวทุ่งนาทอดยาวเป็นแนวไปถึงเทือกเขาได้
“เออ..ป้าเก็บค่าเช่าทำนางวดล่าสุดเอาไว้ให้” แกควักเงินออกมาจากกระป๋องเหล็ก
“ขอบคุณครับ” อินทัชยิ้ม “ผมเอาเข้าบัญชีนะ เอาไว้เป็นค่ารักษาของยาย”
บ้านของอินทัชมีที่นาอยู่สามไร่แต่ไม่ได้ทำเอง อาศัยปล่อยเช่าให้คนมาใช้ที่ พอสีเป็นข้าวสารได้กี่ถัง ก็หักเงินตามราคาที่ตกลงกันไว้ หากปีไหนผลผลิตไม่ดี เขาก็เก็บค่าเช่าในราคาถูกลง ถือว่าช่วยคนกลุ่มเดียวกัน
อินทัชไม่ได้วางแผนว่าจะอยู่กรุงเทพไปตลอดชีวิต เขาพยายามเก็บเงิน เมื่อได้จำนวนที่มากพอ จะขอแบ่งซื้อนาของคนรู้จักที่อยู่ใกล้กันเพื่อขยายที่ดินและทำเกษตรกรรมต่อ วิถีชีวิตแบบนี้มันน่าอยู่มากกว่าในเมือง
ที่นี่เป็นบ้านเกิดของเขา..แต่กรุงเทพไม่ใช่
เขาก็แค่ไปอยู่แค่ชั่วคราว มีชีวิตแค่ชั่วคราวเท่านั้น
อินทัชออกมาคุยเรื่อยเปื่อยกับคนรู้จัก จากนั้นอีกฝ่ายก็ขอตัวกลับไปดูบ้าน อีกประมาณสองชั่วโมงจะกลับมา เขาเห็นว่ายายยังหลับสบายเลยไปจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยบ้าง ตอนที่อาบน้ำเสร็จ อ้นกับอุ้มนั่งเล่นกันเงียบๆอยู่ตรงห้องกลาง
“พี่จะออกไปซื้อข้าวให้ พวกเรารอในบ้านนะ ถ้ายายตื่นก็หาอะไรให้กินด้วย ป้าแกต้มข้าวเอาไว้ในครัวแล้ว”
เด็กหนุ่มเปิดเป้ หยิบกระเป๋าสตางค์กับมือถือขึ้นมา ตอนนี้ถึงเพิ่งนึกได้ว่าตั้งใจจะโทรหาพี่กุนต์
เขาต่อสาย รอสักพักก็มีคนรับ “พี่กุนต์..”
‘ครับ?’ เสียงทุ้มพร่าเหมือนคนเพิ่งจะตื่นนอนกรอกมา ‘จะคุยกับคุณกุนต์หรือ’
“คุณ..พสิษฐ์?” เขาว่าไม่ใช่..เพราะเขาเคยคุยกับคุณพสิษฐ์มาหลายครั้งแล้ว
‘ไม่ใช่ครับ’
อินทัชเหลือบมองนาฬิกา ตอนนี้ยังไม่เก้าโมงดี เขาไม่คิดว่าพี่กุนต์จะนัดลูกค้าเช้าขนาดนั้น
‘เดี๋ยวคุณค่อยโทรมาใหม่ได้ไหม คุณกุนต์ยังไม่ตื่นน่ะ พอดีเมื่อคืนดื่มกันมา’
คนฟังขมวดคิ้ว “พี่กุนต์ไม่ดื่มแอลกอฮอล์” ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะ ในเมื่อเจอกันแต่ละหน เจ้าตัวดื่มน้ำผลไม้ตลอด และน้อยคนนักที่จะรู้ ว่าเหตุผลของการไม่แตะต้องเหล้าคืออะไร
‘ก็ไม่นี่..ดูไม่ได้รังเกียจอะไร’ ทางนั้นว่าเสียงกลั้วหัวเราะ ‘เอาเป็นว่าตอนนี้เขายังนอนอยู่ คุณชื่ออะไร เดี๋ยวผมรอเขาตื่นแล้วจะบอกให้’
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวสายๆโทรใหม่ได้” เขาบอกปัด
‘คุณ..ไท’ มีเสียงแทรกเข้าจากปลายสาย ‘สายเข้าหรือ’
อินทัชนิ่งงัน ถ้าใกล้กันถึงขนาดนี้ และพี่กุนต์เพิ่งจะตื่น
..ก็แปลว่าสองคนนั้น..อยู่บนเตียง..
เด็กหนุ่มถอนหายใจ..เขาพลาดเสียแล้วที่โทรมาผิดเวลา
“ขอโทษที่รบกวนครับ ยังไงฝากบอกเขาด้วยว่าช่วงสงกรานต์ผมกลับบ้านที่น่าน ขอบคุณครับ” บอกแล้วตัดสายทันที ส่วนมือถือก็วางทิ้งไว้บนหลังตู้ไม้
“อ้าว..อ้นยังไม่ได้คุยกับพี่กุนต์เลย” น้องคนกลางประท้วง
อินทัชส่ายหัว “เอาไว้ทีหลังแล้วกัน ตอนนี้เขาไม่ว่างคุยหรอก”
..เพราะเขาอยู่กับคนของเขา..
“งั้นเดี๋ยวพี่โอ๊ตก็โทรไปอีกรอบสิ”
อินทัชปฏิเสธ หยิบกระเป๋าเงินแล้วคว้าจักรยานคันเก่าออกไปนอกบ้าน
“ถ้าเขาอยากคุยเมื่อไร เขาก็คงโทรมาหาเอง”
.
.
.
[ต่อด้านล่าง]