เพื่อนร่วมงานแบบที่ 5
เพื่อนร่วมงานบางคนก็เป็นพวกชอบคุยโม้โอ้อวดทำตัวอยู่เหนือคนอื่น
เบลคิดว่าคงได้ออกจากงานจริง ๆ เพราะโดนนายใหญ่เรียกเข้าพบด่วน ไม่ได้เตรียมใจมา แต่ก็ต้องยอมรับสภาพ เพราะรู้ว่าหลานเจ้าของบริษัทอย่างชยาคงไม่ปล่อยให้เบลเอาใบส่งของปาใส่หน้าแบบนั้นฟรี ๆ โดยไม่ทำอะไรเลย
ช่างแม่งเหอะ จะเป็นอะไรก็เป็น
“คุณทำงานกับบริษัทเราขึ้นปีที่ 7 แล้วนะ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ความผิดพลาดที่เกิดจากการทำงานของคุณน้อยมาก จนแทบจะนับครั้งได้เชียวล่ะ”
นั่นคือคำชมที่เอาไว้สำหรับลูบหลังแล้วค่อยตบหัวตอนท้ายหรือเปล่าเบลไม่แน่ใจ ยกมือไหว้คุณวิษณุ แล้วเบลก็รอฟังสิ่งที่คุณวิษณุพูด
“งานรับสินค้าหนักมากนะ ต้องละเอียดรอบคอบ ต้องใส่ใจขนาดไหนทำไมผมจะไม่รู้”
ตกลงจะไล่ออกตอนไหน บางทีการอารัมภบทให้มากความก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนักถ้าจะตลบหลังกันในตอนท้าย
“ผมขอพูดตรง ๆ เลยนะคุณเบล”
เริ่มแล้วสินะ เบลเข้าใจเรื่องนี้ดี และเต็มใจจะรับทุกความผิดพลาดเอาไว้
“ผมฝากชยากับคุณด้วยนะคุณเบล”
หมายความว่ายังไง คำว่าฝากที่ว่า...
“มันออกจะน่าอับอายสักหน่อย แต่ผมก็อยากจะพูดเรื่องนี้กับคุณแบบตรงไปตรงมา ชยามันเป็นหลานผมก็จริง แต่ตอนนี้มันเสียผู้เสียคนไปหมดเพราะโดนตามใจมาจนเหลิง ผมเองก็ผิดที่ไม่ได้ดูแลหลานให้ดีตั้งแต่แรก มารู้อีกทีก็ตอนที่โตแล้ว ที่ผ่านมาก็สร้างปัญหาอยู่ตลอด เหมือนเด็กไม่รู้จักโต เพราะแม่เขาคอยให้ท้าย”
หมายความว่ายังไง ไม่เข้าใจ
“อยู่ที่นี่ก็คิดอยู่แล้วว่าสักวันจะต้องสร้างปัญหาอะไรจนได้ แต่ผมก็ดีใจที่คุณไม่ปล่อยตามใจเพราะเห็นว่าเขาเป็นหลานผม ขอบคุณที่ดูแลผลประโยชน์ของบริษัทอย่างเต็มที่และไม่ปล่อยปละละเลย เพิ่งมีคุณนี่แหละที่ผมคิดว่าน่าจะฝากความหวังเอาไว้ได้ จากนี้ไปผมขอให้คุณเข้มงวดกับชยาให้มากกว่านี้ สอนเขา ฝึกเขาให้ทำงานให้เป็น ตรงไหนที่ไม่โอเค คุณจัดการได้เลยตามความเหมาะสม ผมอนุญาต มีอะไรให้คุณต่อสายถึงผมโดยตรงได้เลย คุณพอจะช่วยผมหน่อยได้มั้ยคุณเบล”
แบบนั้นมันจะดีเหรอ แต่ว่าชยาเป็นหลานของคุณวิษณุ ทำแบบนั้นแล้วจะดีแน่เหรอ
“ผมแจ้งให้ฝ่ายบัญชี เพิ่มเงินพิเศษถือเป็นค่าเทรนส์ ค่าฝึกอบรมในสถานที่จริงสำหรับเรื่องนี้ให้คุณโดยเฉพาะแล้ว ยังไงผมฝากคุณด้วยนะคุณเบล”
เบลยกมือไหว้คุณวิษณุ และยังงงไม่หายกับสิ่งที่คุณวิษณุขอร้องมา ตั้งใจมาโดนด่าหรือโดนไล่ออก แต่กลายเป็นว่า นับจากนี้ไปต้องเป็นพี่เลี้ยงให้กับชยา เด็กเส้นใหญ่ของบริษัทให้กลับมาเป็นผู้เป็นคน ใช้ชีวิตในสังคมได้ โดยที่นายใหญ่เป็นคนขอร้องเองโดยตรง หลังจากพูดคุยกับคุณวิษณุเสร็จเรียบร้อย เบลก็เดินออกมาจากห้องและยังไม่เข้าใจ ว่ากลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง
+++
นอกจากบ้านหลังใหญ่แล้ว ตอนนี้ชยาไม่เหลืออะไรเลย บัตรเครดิตใช้ไม่ได้ ทุกการช่วยเหลือถูกตัดทิ้งหมด และแม่ของชยาก็ทำเสียงฮึดฮัดโมโหเดินไปเดินมาเพราะไม่รู้จะทำยังไง
“อาเรามันร้ายมากชยา คิดจะตัดขาดไม่ยอมช่วยเหลือกัน แถมยังให้ชยาไปทำงานเป็นกรรมกรอีก ตกลงกันเอาไว้แล้วแท้ ๆ ว่าจะให้ไปทำงานที่มีหน้าที่มีตำแหน่งชัดเจน แต่สุดท้ายก็ส่งไปทำงานกรรมกร แม่พูดแล้วขอร้องแล้วก็ไม่เคยเห็นหัวกันเลย”
บ้านเราแทบไม่เหลืออะไรแล้ว และชยาที่นั่งนิ่งก็ขบริมฝีปากแน่น ก่อนหน้านี้คุณอาบอกว่าให้มาทำงานหาเงินใช้เอาเอง เคยไปลองทำงานที่อื่นแล้วแต่งานหนักเกินไปและไม่สามารถจะทำได้ คุณอาวิษณุก็เลยให้เข้ามาทำที่บริษัท แต่ไม่นึกว่าจะโดนโยนให้ไปอยู่กับแผนกที่ต้องทำงานหนักแบบนั้น ถึงจะบอกว่าเป็นคิวเอ คอยตรวจสอบสินค้าแต่ความจริงก็คือกรรมกรชัด ๆ ร้อนแทบตายและงานที่ต้องไปทำก็ทั้งหนักทั้งเหนื่อย
“ชยาปวดไปหมดทั้งตัวแล้วครับแม่”
กำมือและทุบแรง ๆ ที่หลังของตัวเองและชยาก็แทบอยากลงไปนอนบนพื้น ภายในบ้านหลังใหญ่ทรัพย์สมบัติไม่มีแล้ว คิดจะนอนเปิดแอร์เย็น ๆ ก็ทำไม่ได้เพราะจะไม่มีเงินมาจ่ายค่าไฟ
“ชยา แม่ขอโทษที่ทำให้ลูกต้องลำบากแบบนี้ แม่ขอโทษ”
ถึงจะย่ำแย่แค่ไหน แต่ก็มีกันอยู่สองคนแม่ลูก ญาติ ๆ คนอื่นไม่เคยเห็นหัวและมองข้ามไปหมด ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ แม่ของชยาก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ถ้าไม่โดนหลอกให้ไปเล่นหุ้นจนหมดตัว คงไม่ต้องกลายมาเป็นแบบนี้ เหลือแค่บ้านที่ยังไม่ได้ขาย เพราะถูกระบุไว้ในพินัยกรรมว่าห้ามขาย ไม่อย่างนั้นแม้กระทั่งที่ซุกหัวนอนตอนนี้ก็คงไม่มี
ถึงวันที่ไม่มีทรัพย์สินติดตัวแล้ว แต่ก็ยังอยากสบายอยู่ แย่หน่อยตรงที่ถึงพยายามปรับตัวให้เคยชินกับความยากลำบากแค่ไหน แต่สุดท้ายจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ชินสักที
+++
ไม่มีรถขับ งั้นก็ขี่จักรยานมาไปทำงานก็ได้ เพราะบริษัทไม่ได้ไกลจากบ้านมากนัก
“สวัสดีครับคุณชยา”
ยามหน้าบริษัทยืนทำความเคารพชยาและชยาก็เชิดหน้าขึ้นและพยักหน้ารับ ยังคงวางมาดเป็นหลานเจ้าของบริษัททั้งที่สภาพที่แท้จริงตอนนี้ย่ำแย่มากแต่จะบอกเรื่องนี้กับใครไม่ได้
“วันนี้ก็ปั่นจักรยานเพื่อสุขภาพมาทำงานอีกแล้วนะครับ”
“ใช่สิ ผมเป็นคนรักสุขภาพมากนะ รู้มั้ยการปั่นจักรยานช่วยทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง เพราะได้ออกกำลัง ร่างกายก็สดชื่น”
ข้ออ้างต่าง ๆ นานาถูกยกขึ้นมาอ้าง แต่จริง ๆ แล้วคือไม่มีรถ ไม่มีเงินอีกแล้ว
ชยาเดินไปที่ออฟฟิศ แสกนนิ้วมือแล้วก็เบ้หน้าเมื่อพบว่าสายไปเกือบครึ่งชั่วโมง แบบนี้โดนตัดเงินอีกแล้วแน่ ๆ แต่จะทำยังไงได้ เพราะเมื่อคืนทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย แต่ต้องตื่นมาทำงานเช้าขนาดนี้ใครจะตื่นไหว
“สวัสดีค่ะคุณชยา วันนี้ต้องลงไปทำงานที่แผนกรับสินค้าแล้วใช่มั้ยคะ”
ที่จริงคือโดนส่งไป แต่ใครจะพูดแบบนั้น ได้แต่บอกทุกคนว่าขอร้องให้คุณอาวิษณุส่งไปเอง เพราะอยากเรียนรู้งาน ทั้งที่จริงไม่เคยคิดอยากจะไปทำงานส่วนที่ทั้งหนักและเหนื่อยที่สุดเลย
“อ๋อ งานที่แผนกรับสินค้าเหรอ ใช่แล้ว ผมรีเควสเอง ผมขอไปเองโดยตรง เพราะผมเห็นว่าคุณเบลยังทำงานไม่มีประสิทธิภาพมากพอ คิวเออย่างผมก็ต้องลงไปตรวจสอบ คุณอาของผมไว้วางใจให้ผมทำงานนี้ เพราะเห็นแล้วว่าผมช่วยบริษัทได้มากขนาดไหน”
ยังคุยโม้โอ้อวดทั้งที่ไม่มีอะไรจะอวด และพนักงานที่เข้ามาทักทายก็แอบเบะหน้าด้วยความหมั่นไส้กับการคุยโม้โอ้อวดของชยาแต่ก็ยังปั้นหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“พอดีพี่เบลมาบอกว่า ถ้าคุณชยาเข้ามาแล้วให้บอกคุณชยาให้รีบไปที่ลานรับสินค้าด่วนเลยค่ะ”
แต่ว่า...เพิ่งจะเข้ามาเองนะ ยังไม่ได้นั่งพักผ่อนจิบกาแฟเลย ทำไมถึงได้...ทำไมถึงกล้ามาสั่งขนาดนี้
“นี่เพราะผมให้เกียรติคุณเบลหรอกนะ ผมจะรีบไปดูแลงานตอนนี้เลยก็ได้”
ยอมลุกจากเก้าอี้และเดินออกไปที่ประตู แต่ยังไม่ทันลับสายตาก็พบว่าโต๊ะของตัวเองมีคนมานั่งและชยาก็รีบเดินกลับเข้ามาทันที
“โต๊ะผมจะให้ใครนั่งไม่ได้นะ”
ทวงโต๊ะทำงานคืนและพนักงานของบริษัทก็ยังฉีกยิ้มสดใสและพยายามอธิบายให้ชยาเข้าใจ
“โต๊ะของคุณชยาอยู่ที่แผนกรับสินค้าแล้วค่ะ โต๊ะนี้ให้พนักงานใหม่ที่เข้ามาค่ะ คำสั่งนี้มาจากนายใหญ่โดยตรง”
จากคุณอาวิษณุงั้นเหรอ
แล้วชยาจะไปทำอะไรได้ นอกจากทำหน้ายุ่งและรู้สึกหงุดหงิดโมโหจนพูดอะไรไม่ออก เดินกระทืบเท้าปึงปังเหมือนเด็กเดินออกจากจากออฟฟิศตรงดิ่งไปที่แผนกรับสินค้าโดยมีสายตาของพนักงานในออฟฟิศทุกคนที่หันมามองหน้ากันและยิ้มหัวเราะกันอย่างมีความสุข เมื่อตัวปัญหาที่สร้างความน่ารำคาญออกไปจากออฟฟิศสักที
+++
“สายหนึ่งชั่วโมง ถ้าจะมาทำงานสายขนาดนี้ก็ลาออกไปกินนมนอนอยู่บ้านเฉย ๆ ซะสิวะ”
เสียงตะโกนพูดลอย ๆ จากคนที่เพิ่งปาใบส่งของใส่ชยาเมื่อวันก่อน ทำให้ชยาโมโหมากและก็ยกข้ออ้างขึ้นมาพูดให้อีกฝ่ายเข้าใจ
“ผมติดธุระสำคัญอยู่ บอกไว้เลยว่าผมเป็นคนรักษาเวลา ไม่จำเป็นผมไม่เคยมาเลทหรอก”
“แต่ก็เลทไปหนึ่งชั่วโมงแล้วไง”
ยังคงโดนตอกย้ำไปอีกครั้ง และชยาก็กระแทกกระดานตรวจนับสินค้าลงบนเคาน์เตอร์ด้วยความหงุดหงิดไม่พอใจ
“ผมเป็นคิวเอนะ”
“อ้าวเหรอ นึกว่าเป็นกาฝาก”
โดนเยาะเย้ยและเบลก็เอียงคอและยักไหล่ ไม่ได้แคร์เลยสักนิดว่าอีกฝ่ายจะทำหน้ายังไง
“แล้วนี่ยังไม่โดนไล่ออกอีกหรือไง”
“ก็เห็นแล้วนี่ไง ว่ายัง”
เสียเวลาจะต่อปากต่อคำด้วย ชยาเดินไปตรวจสอบสินค้าที่มาส่งและเบลก็หัวเราะออกมาด้วยความขำ
“รีบ ๆ เช็กรีบ ๆ ตรวจ เอาให้เป๊ะนะ เพราะรอบนี้ถ้ามีอะไรผิดพลาด เขาให้ผมเขียนรายงานถึงนายใหญ่โดยตรง”
ชยารู้สึกทั้งเกลียดทั้งโมโหคนที่ประจำอยู่ที่แผนกรับสินค้าและชยายังต้องทำงานด้วยอีกนาน
ถ้าเป็นเมื่อก่อนคนอย่างนายเบลที่คอยเอาแต่พูดจาเยาะเย้ยชยาคงไม่กล้าพูดจาแบบนี้ใส่ชยาแน่ แต่ตอนนี้..... ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
พยายามจะไม่นึกเรื่องนี้ แต่พอนึกขึ้นได้ก็เสียใจและเสียดายกับช่วงเวลาที่แสนสุขสบายของตัวเองที่ผ่านไปแล้ว
ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยคิดว่าจะต้องมาลำบากขนาดนี้
ไม่เคยคิดเลยจริง ๆ
ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งคนอย่างชยาจะต้องมาทำงานเป็นกรรมกรที่ทั้งเหนื่อยทั้งร้อน แต่ต้องอดทน ถ้าไม่ติดว่ายังต้องทำงานหาเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้าน คิดเหรอว่างานแบบนี้ คนอย่างชยาจะยอมทำ
TBC.