...ผลั๊วะ!! ผลั๊ก...!! ตุ๊บ...!
“อ๊ากกกกกกก!!!” เสียงร้องครวญครางดังลั่นด้วยความเจ็บปวด แต่บัวกลับบาปนักที่รู้สึกดีกับเสียงเหล่านั้น เพราะมันทำให้บัวรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง ว่าพวกเขารอดแน่แล้ว...
“ไท!! ไทกอนลูก!!! พ่อหนู...นายเหมืองมาช่วยเราแล้วลูก...” บัวบอกเด็กในอ้อมแขนอย่างดีใจ ส่วนไทกอนเองก็กอดครูบัวแน่นพลางมองลอดใต้แขนบัวไปที่ภาพการต่อสู้อันหน้าตื่นตาตื่นใจตรงหน้า โดยมีร่างสูงใหญ่ของผู้ชายคนหนึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของความวุ่นวายนั้น และดูเหมือนว่าชายคนนั้นจะเป็นฝ่ายได้เปรียบเมื่อระดับชั้นฝีมือและรูปร่างร่างกายมันต่างชั้นกันมาก แล้วยิ่งผู้มาใหม่สามารถแย่งชิงปืนมาเป็นของตัวเองได้สำเร็จถึงสองกระบอก พวกมันทั้งสามคนที่ตามไล่ล่าบัวกับไทกอนมาก็ถึงกับต้องยอมหมอบกระแต เมื่อเห็นแล้วว่าใครเป็นใคร อีกทั้งพวกมันเองก็โดนนายเหมืองสิงห์ แห่งเหมืองสุตนันท์มอบยำมือและยำตีนให้สารพัดจนรู้ซึ้งแล้ว ว่าพละกำลังระหว่างเจ้าป่าหนึ่งตัวกับหมาไนอย่างพวกมันแค่สามตัวนั้นมันต่างกันมากขนาดไหน
“นะ...นายเหมือง!! ผะ...พวกผมไม่รู้...ว่าเด็กนั่น...เป็นลูกนายเหมือง...” เสียงร้องบอกเพื่อขอชีวิตดังขึ้น แต่นายเหมืองสิงห์ร่างใหญ่ที่เห็นเหตุการณ์ตอนที่บัวกำลังกอดลูกชายเขาอยู่โดยมีพวกมันกำลังยกปืนเล็งมายังคงติดตา ไม่มีทางที่มันจะได้ตามที่ประสงค์แน่ เพราะเมื่อกี้หากเขามาช้าไปอีกแค่นิดเดียว ไม่รู้เลยจริงๆว่าเขาจะรู้สึกใจสลายแค่ไหนที่ต้องเห็นสองดวงใจตรงหน้านี้ของเขามลายหายไป
“ไม่รู้มึงก็รู้ไว้ซะ ว่าคนในครอบครัวกู ห้ามพวกมึงมาแตะต้องอีกเป็นอันขาด! มึงวางปืนลงเดี๋ยวนี้...ถ้าไม่อยากให้กูเจาะขมับเพื่อนมึง” นายเหมืองสิงห์ขู่ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ชายคนร้ายที่ยังมีปืนถืออยู่ในมือมีอาการละล้าละลัง นายเหมืองจึงยกนิ้วขึ้นไกปืนพร้อมเอ่ยสำทับไปว่า “อย่าคิดนะว่ากูจะไม่กล้าฆ่าคนต่อหน้าลูก ยังไงวันหนึ่งลูกกูก็ต้องโตเป็นผู้ใหญ่ และเติบโตอยู่ในสังคมที่คนมันเล่นกันอยู่นอกกฎหมาย พวกเขาจะต้องได้เรียนรู้ไว้ ว่าบางครั้งถ้าเราต้องการที่จะปกป้องชีวิตตัวเองและคนที่รักเอาไว้ให้ได้ ก็อาจจำเป็นต้องแลกกับชีวิตคนอื่นบ้างเป็นธรรมดา...”
นายเหมืองสิงห์พูดขึ้นอย่างเหี้ยมเกรียม นัยน์ตาคมวาววับไปด้วยแรงโทสะและไฟอาฆาต เขาเสียภรรยาที่รักยิ่งไปคนหนึ่งแล้วก็เพราะคนอย่างพวกมัน เขาจะไม่ยอมให้ทั้งไลเกอร์ ไทกอน รวมทั้งหุ้นส่วนครอบครัวคนใหม่ที่เขาเพิ่งแต่งตั้งเป็นอะไรไปอีกเด็ดขาด ความล้มเหลวในชีวิต เขามีแค่ครั้งเดียวก็เกินพอ
“ไปสู่สุขคติซะเถอะนะ...” คำพูดที่ไม่ได้ปั้นแต่ง แค่ออกมาจากจิตใจและใต้บึ้งความรู้สึกของนายเหมืองสิงห์ทำให้บัวที่นั่งอยู่ตั้งห่างขนลุกชันได้ขนาดนี้ ไม่ต้องคิดเลยว่าทั้งสามคนที่โดนจิตสังการของนายเหมืองพุ่งเข้าใส่เต็มๆจะไม่กลัว
บัวปิดหูปิดตาเด็กในอ้อมกอด จากนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้นซ้อนกันสามนัด และทุกนัดก็ทำให้บัวสะดุ้งเพราะเสียงมันช่างดังอยู่ใกล้ตัวเสียเหลือเกิน...
เวลาประมาณครึ่งนาทีผ่านไปด้วยความเงียบงัน บัวค่อยๆลืมตาขึ้นมามองสิ่งรอบกาย แต่สิ่งแรกที่เห็นกลับเป็นเด็กน้อยผิวขาวคนหนึ่งที่วิ่งกางแขนตรงมาทางเขา เด็กคนนั้นเรียกบัวดังลั่น
“ครูตาหวาน!!! ไทกอน!!!!”
“ไลเกอร์!!” บัวอุทาน
“พี่ไลเกอร์!!! ฮือ...” มีไม่กี่ครั้งที่ไทกอนจะเรียกไลเกอร์ว่าพี่ ตอนที่กลัวอะไรจัดๆ ตอนที่คิดถึงมากๆ และตอนที่รักมากๆอย่างเช่นตอนนี้
บัวอ้าแขนรับร่างเด็กที่พุ่งเข้ามาหาอย่างแรงด้วยความรักลึกซึ้งจนล้นอก มันดีใจจนปริ่มอกเมื่อได้ทั้งไลเกอร์และไทกอนกลับมาสู่อ้อมแขนนี้พร้อมกัน หัวใจที่เปล่ากลวงในตอนแรกเริ่มรู้สึกอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด น้ำตาแห่งความปลื้มปิติค่อยๆไหลลงมาพร้อมรอยยิ้มของบัวที่มอบให้เด็กทั้งสอง
“ไลเกอร์...ไลเกอร์ลูก ไม่เป็นไรใช่มั้ย บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าลูก...ไหนขอครูดูหน่อย” ร่างเล็กของไลเกอร์มีผมเปียกหมาด แต่ตามเนื้อตามตัวไม่มีรอยแผลเป็นอะไรใหญ่โตนอกจากรอยกิ่งไม้ขูดที่แขนจนขึ้นรอยแดงแค่สองสามเส้นเท่านั้น บัวถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าไลเกอร์นั้นปลอดภัย รวมถึงไทกอนด้วย เด็กน้อยโผเข้ากอดพี่ชายด้วยความคิดถึง เด็กสองคนกอดกันกลมพลางร้องครางฮือฮาแข่งกันพลางสลับกันพร่ำบอกความรู้สึกว่า
“เกอร์...ฮึก...เกอร์รู้มั้ย ตอนที่เกอร์โดนน้ำพัด ไทใจหายหมดเลย...ฮือ...” ไทกอนว่า
“เกอร์ก็ด้วย เกอร์เห็นไทกับครูอยู่บนฝั่ง...แต่น้ำมันแรงมาก พ่อพาเกอร์ว่ายข้ามน้ำไปไม่ไหว...ฮือ...เกอร์...เกอร์ก็เลยลอยไปกับพ่อ ฮือ...”ไลเกอร์เล่า
สิงห์น้อยกับเสือเล็กหมดสภาพสองแสบแห่งเหมืองสิงห์ไปสิ้น เหลือเพียงเด็กน้อยไร้เดียงสาสองคนที่กำลังกอดคอกันร้องไห้ดีใจที่ได้เจอครอบครัวตัวเองอีกครั้ง
“ครูเองก็ใจหายรู้มั้ยไลเกอร์ ตอนที่เห็นหนูกับพ่อโดนน้ำพัดไปนะ...ครู...ครู...” บัวพยายามจะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลจนอายเด็ก แต่ความดีใจที่ได้เจอไลเกอร์อีกครั้งก็ตีตื้นขึ้นมาในอกจนลำคอตีบตัน เขาพูดบรรยายอะไรต่อไปไม่ถูกอีกเลยในนาทีนั้น สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่โอบกอดเด็กสองคนที่กอดกันกลมเอาไว้อีกชั้นเท่านั้น นึกขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์และทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ทั้งนายเหมืองและเจ้าลูกศิษย์ตัวเล็กของเขาปลอดภัย และได้กลับมาเจอกันในช่วงเวลาที่เขาคิดว่าอาจจะเป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตอีก...บัวรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่เลยจริงๆ
...เขาดีใจ...ดีใจมากที่สุดจริงๆ...
“เอ้าๆ กอดกันแค่สามคนลืมฮีโร่อย่างพ่อไปเลยนะ หืม...ไทกอน ไลเกอร์...บัว”
คำพูดนั้นมาพร้อมอ้อมแขนอบอุ่นอันยิ่งใหญ่ เพราะคนพูดนั่งลงคุกเข่ากอดทั้งสามคนเอาไว้ในอ้อมแขนได้อีกชั้น ตอนนั้นบัวถึงเพิ่งรู้ว่านายเหมืองตัวใหญ่มากแค่ไหน...ที่สำคัญ...บัวเพิ่งตระหนัก ว่านายเหมืองนั้นสำคัญกับเขามากแค่ไหนก็ตอนนี้เองเหมือนกัน
“นายเหมือง...เจ็บ...เจ็บตรงไหนมั้ย...” เสียงบัวครางเครือจนสั่นตอนที่ออกปากถามคนร่างใหญ่ที่โผล่เข้ามาช่วยเขาไว้ทันเวลาราวสวรรค์มาโปรด ดวงตากลมคลอหยาดน้ำเงยมองคนร่างสูงที่ตระกองกอดเขากับลูกๆสองคนเอาไว้ด้วยความยินดีจากใจจริงๆที่ได้กลับมาเจอคนคนนี้อีกครั้ง สิงห์มองสบตากับครูบัวก่อนจะก้มลงมอบจูบให้ที่กลางหน้าผากของคุณครูตัวขาวโดยไม่แคร์สายตาลูกๆ แถมไม่หยุดแค่นั้น นายเหมืองยังมอบจูบระไปที่ข้างขมับ ก่อนจะวกกลับไปที่หน้าผากอีกครั้ง แล้วค่อยก้มลงไปสำรวจตัวไทกอนพร้อมมอบจูบที่เดียวกันให้กับลูกๆทั้งสองด้วยอย่างเท่าเทียม
“พี่กับไลเกอร์ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงนะ...” นายเหมืองคลายท่อนแขนที่โอบทั้งบัวและลูกๆเอาไว้ออกเล็กเพื่อมองหน้านวลขาวของคนถาม ก่อนจะออกปากเล่าคร่าวๆว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างและพวกเขารอดพ้นจากมวลนำนั้นมาได้ยังไงว่า “...ตอนน้ำพัดไป พี่เหนี่ยวกิ่งไผ่ที่ยื่นลงน้ำมาทัน มันเหนียวพอที่พี่กับลูกจะใช้ยึดได้ จากนั้นพี่ค่อยดึงตัวเองเข้าฝั่ง ก่อนจะเดินย้อนมาตามทางเดิมเพราะหวังว่าอาจจะได้เจอบัวกับไทกอนที่คงจะเดินตามน้ำลงมาตามหาพี่กับลูกแน่ๆ แต่ระหว่างทางพี่ได้ยินเสียงคนพูดเสียงดังขึ้นมาในป่าก็เลยลองเดินตามเสียงมาดู โชคดีจริงๆที่มาทัน...พี่เลยยังได้ปกป้องบัวกับลูกเอาไว้ได้ทัน...”
“บัว...บัวดีใจ...ดีใจที่นายเหมืองปลอดภัย ดีใจ...ที่ได้เจอไลเกอร์อีก...บัว...บัวบอกไม่ถูกจริงๆว่ารู้สึกดีใจแค่ไหนที่...”
“ไม่เอาไม่ร้องนะบัว อายลูกพี่มั่ง...ร้องเป็นเด็กขี้แยไปเสียแล้ว” นายเหมืองสิงห์ผู้ทรนงเอามือลูบศีรษะบัวเบาๆเพื่อปัดเศษดินเศษหญ้าที่ติดอยู่ออกให้อย่างเบามือ...เขาเองก็ไม่ต่างกันหรอก ดีใจมากไม่ต่างกันเลย... “พี่เองก็ดีใจ และขอบคุณบัวมากนะ ที่ช่วยปกป้องไทกอนลูกของพี่...ขอบคุณที่ช่วยดูแลแกแทนพี่นะบัว...”
“บัว...บัวไม่รู้ว่าทำไม แต่บัวเหมือนรู้สึกได้ว่านายเหมืองกับไลเกอร์ยังไม่ตาย บัวคิดแต่ว่าต้องพบนายเหมืองที่ไหนสักแห่งในป่า...ก็เลยพาไทกอนเดินล่องน้ำมาเรื่อยๆ จนกระทั่ง...มาพบพวกมัน...อ๊ะ แล้วศพพวกนั้น...” พูดถึงตรงนี้บัวถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ แล้วเขาจะทำอย่างไรกับร่างของสามคนนั้นต่อไปล่ะ
“หึ...ศพเหรอ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก คงกลัวมากจนสลบไปมากกว่า พี่ยิงโดนจุดสำคัญมันที่ไหน...”
...ใช่ แค่ยิงให้ถากพวงไข่พวกมันไปก็เท่านั้นเอง...
“แต่ตอนนี้เรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ ไม่รู้ว่าพวกของมันจะตามมาถึงเมื่อไหร่ อยู่ในป่าตั้งสามคนคงจะมีแหล่งกบดานของพวกมันอยู่แถวนี้แน่ๆ...” นายเหมืองสิงห์บอกบัว ก่อนจะยื่นมือไปฉุดทั้งไทกอนและไลเกอร์ให้ยืนขึ้นดีๆ สองพี่น้องกอดกันกลมแถมยังจับมือเอาไว้ไม่ยอมปล่อยอีกต่างหาก บัวเลยต้องเดินไปจับมือไทกอนไว้ ในขณะที่นายเหมืองก็เดินไปจับมือไลเกอร์ ผู้ใหญ่ทั้งสองคนช่วยพยายามประคับประคองให้ทั้งไลเกอร์และไทกอนไม่มองไปทางร่างทั้งสามร่างที่นอนจมกองเลือดตรงหว่างขา โดยที่มีนายเหมืองสิงห์นำหน้าและบัวรั้งท้าย ทั้งหมดก็สามารถกลับไปสู่เส้นทางเลียบน้ำตกได้อีกครั้ง
ตอนแรกนายเหมืองคิดจะย้อนกลับไปแล้วหาพวกคนร้ายแล้วเอาเถาวัลย์มัดพวกมันรวมกันไว้เผื่อออกไปได้แล้วจะได้แจ้งตำรวจให้มาจัดการต่อ แต่พอบัวบอกว่าสิ่งที่บัวเห็นน่าจะเป็นกลุ่มของกระบวนผู้ลักลอบตัดไม้เถื่อนแบบผิดกฎหมาย และออกปากห้ามนายเหมืองสิงห์อย่างเด็ดขาดว่าไม่อยากให้กลับไป เพราะพวกมันคงจะต้องออกตามล่าพวกเขาแน่ถ้าได้เจอสภาพคนของพวกมันแบบนั้น นายเหมืองสิงห์ก็ยอมรับฟังและบอกว่าจะรีบพาพวกเขาออกจากป่าให้เร็วที่สุดเสียก่อน
“บัว กลัวน้ำตกหรือกลัวที่จะเดินในน้ำมั้ย...” จู่ๆพอพวกเขาเดินมาได้สักพัก นายเหมืองร่างใหญ่ก็เอ่ยปากถามบัว คุณครูหนุ่มเงยมองหน้าคนถามแล้วส่ายหน้าให้พลางตอบ
“ไม่กลัวหรอกครับ...มีทั้งไลเกอร์ทั้งไทกอน แล้วตรงนี้ก็ยังมีคุณอยู่...บัวไม่กลัวอะไรทั้งนั้น...” บัวเอ่ยบอกคนมีศักดิ์เป็นทั้งเจ้านายและเจ้าบ้านที่บัวอาศัย นายเหมืองยิ้มที่บัวไม่ใช่คนที่ฝังใจกับเรื่องอะไรง่ายๆ เขาสังเกตุเห็นแล้วว่าทั้งไลเกอร์และไทกอนนั้นคงจะเจ็บขากันน่าดู เพราะสองแสบเดินกระหย่องกระแหย่งเหมือนเจ็บขามากมาได้สักพักแล้ว
เขานั้นถ้าจะให้เอาไทกอนขึ้นหลังแล้วเอาไลเกอร์อุ้มไว้ข้างหน้าก็ยังพอได้อยู่ แต่กำลังแรงขาที่จะพาเดินคงจะลดน้อยถอยลงไป ส่วนจะให้ครูบัวช่วยอุ้มลูกเขาคนใดคนหนึ่งให้ก็คิดว่าไม่น่าจะไหว ครูบัวตัวเล็กแถมยังบาง ถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่ก็ไม่อยากให้ครูบัวต้องมาเหนื่อยกับลูกเขาเพิ่มอีก แค่ที่ตั้งใจจะพามาเที่ยวแล้วสุดท้ายต้องมาลำบากด้วยกันนี่ก็รู้สึกแย่พอแล้ว แต่กระนั้นก็เหมือนบัวจะรู้ว่านายเหมืองคิดอะไรอยู่ คุณครูหนุ่มรีบย่อเข่าแล้วบอกให้ไทกอนขึ้นหลัง เด็กน้อยสองคนมองหน้าเขาอย่างงงๆ รวมถึงนายเหมืองด้วยที่รีบออกปากห้าม แต่บัวกลับยิ้มให้แล้วบอก
“ผมเคยแบกลูกคุณวิ่งหนีโจรมาแล้วนะ เรื่องแค่นี้สบายมาก...อย่ามองบัวเป็นผู้หญิงนักสิ” ...เขาให้แค่เรื่องบนเตียงอย่างเดียวก็พอแล้ว...บัวคิดต่อในใจ
ได้ฟังอย่างนั้นนายเหมืองจึงได้ยอมบอกให้ไลเกอร์ไปขึ้นหลังครูบัว ส่วนตัวเองนั้นก้มลงไปแบกไทกอนแทน เพราะไลเกอร์นั้นจะน้ำหนักเบากว่าน้องชายอยู่หน่อย ครูบัวจะได้ไม่ต้องรับน้ำหนักมาก เมื่อสองแสบยอมปล่อยมือออกจากกันแล้วไปขึ้นหลังพ่อกับครูเรียบร้อยแล้วนายเหมืองก็พาออกเดินต่อ
ดวงอาทิตย์เริ่มตกคล้อยต่ำลงไปเรื่อยๆแล้ว นายเหมืองนั้นไม่ได้กลัวความมืด แต่กลัวอันตรายอย่างพวกสัตว์ป่าที่จะออกหากินตอนกลางคืนมากกว่า เขามีแค่มีดที่เอาติดกระเป๋าและปืนสามกระบอกที่ยึดมาได้จากพวกมันเท่านั้น เมื่อครู่ก็เอายื่นให้ครูบัวพกไว้กระบอกหนึ่งแล้ว ส่วนไฟฉายหรืออะไรอย่างอื่นนั้นไม่มีเลย บัวยังแอบหวังว่าอาจได้พบชาวบ้านหรือชาวสวนที่น่าจะเข้ามาหาของป่าหรืออะไรพวกนั้นบ้างอยู่เสมอ แต่นายเหมืองก็ตอบตรงๆให้กับความเข้าใจของบัวว่าน้ำตกแห่งนี้ยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ถนนหนทางก็ยังไม่ได้รับการสร้างให้ดีอะไรนัก ยิ่งวันนี้มีน้ำป่าไหลหลากอีก คงยากที่จะได้พบคนที่จะเข้ามาใกล้ๆแถวนี้ พวกเขาคงจะต้องเดินล่องเลียบน้ำต่อไปเรื่อยๆเท่านั้นก่อน
“อ๊ะ พ่อ!! ดอกไม้ๆ” จู่ไลเกอร์ที่อยู่บนหลังบัวก็เอ่ยขึ้นพลางชี้มือไปที่กลางน้ำซึ่งมีอะไรขาวๆกำลังไหวเอนไปมาตามกระแสลม
บัวเพ่งมองจากระยะไกลว่าดอกไม้ที่ไลเกอร์ว่านั้นคือดอกอะไร รูปร่างกิ่งเรียวชะลูด และตัวดอกสีขาวที่แผ่แฉกเป็นเส้นโค้งงองุ้มเข้าหาก้าน อีกทั้งตัวเกสรสีเหลือที่ชูไว้เสียสูงยิ่งทำให้บัวตาเบิกกว้าง แล้วออกปากถามนายเหมืองตัวสูงที่ยืนเคียงกันด้วยความประหลาดใจ
“นายเหมือง ใช่ดอกพลับพลึงธารมั้ย...”
คนฟังคำถามเดินเข้าไปใกล้ริมน้ำเพื่อเพ่งมองเจ้าดอกไม้ที่ว่าให้ชัด
“ใช่จริงๆด้วยบัว...” นายเหมืองเอ่ยตอบเมื่อพิจารณาจนแน่ใจแล้ว “ไม่เห็นเคยรู้เลยว่ามีดอกนี้ขึ้นแถวนี้ด้วย”
“นั่นน่ะสิครับ เขาบอกว่าแหล่งพลับพลึงธารผืนสุดท้ายของโลกอยู่ที่คลองนาคา จังหวัดระนองติดพังงานู่นไม่ใช่เหรอ แล้วนี่...” บัวเอ่ย มองความสวยงามของลำน้ำที่มีดอกไม้น้ำพันธุ์หายากชนิดนี้ขึ้นกระจายอยู่เป็นหย่อมๆ แม้จะไม่มากเท่าที่เคยเห็นตามหนังสือหรือเว็บไซต์ แต่มันก็ช่วยทำให้ลำน้ำสายนี้งดงามราวทางเดินขึ้นสวรรค์จริงๆ
“นี่ถ้าติดกล้องมาด้วยจะถ่ายไปอวดพวกไอ้เอเสียเลย พวกมันจะได้รีบๆมาทำทางทำถนนที่นี่เร็วๆ” นายเหมืองสิงห์พูด แต่บัวกลับทำหน้าคิดแล้วเอ่ยต่อว่า
“แต่ใจจริงบัวยังไม่อยากให้ถนนเข้าถึงที่นี่เลยนะครับ เพราะถ้ามีถนน ความเจริญก็จะเข้ามาหา ธรรมชาติสวยๆแบบนี้ก็อาจจะค่อยๆโดนทำลายไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็อยู่ไม่ถึงให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้เห็น...บัวพูดอาจฟังดูเห็นแก่ตัวไปหน่อยที่อยากเก็บภาพสวยๆงามๆแบบนี้ไว้ดูคนเดียว แต่ว่า...มันก็อดไม่ได้จริงๆนะนายเหมือง เห็นตามน้ำตกที่อื่นมีแต่ดอกไม้พลาสติกขึ้นเต็มแทนดอกไม้จริงหมดแล้ว” นัยคำพูดของบัวหมายถึงที่อื่นที่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมนั้นมีแต่เศษถุงขยะพลาสติกขึ้นแทนทัศนียภาพสวยๆเสียหมดแล้ว ความงามของดอกไม้ป่าก็หายาก โดนคนเด็ดทึ้งไปเสียหมด พอคิดว่าความสวยงามของน้ำตกเจ็ดสวรรค์จะถูกทำลายแบบนั้นบ้างแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดายขึ้นมา
“ที่ครูพูดก็ถูกนะ...แต่คนเราก็มักจะชอบสรรหาความเจริญ ชาวบ้านแถวนี้ก็คงอยากที่จะมีความร่ำรวยหรือความมั่งคั่งเหมือนแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆเขาบ้างเหมือนกัน...เอาเป็นว่า...มันก็คงต้องขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของคนแล้วล่ะ ว่าถ้าอยากมีธรรมชาติสวยๆงามๆแบบนี้ให้เราดูต่อไปก็ต้องช่วยกันดูแลรักษา ไม่ใช่ช่วยกันทำลาย จนบ้านเมืองเราต้องมาโดนธรรมชาติลงโทษเหมือนทุกวันนี้...” นายเหมืองเอ่ยโต้ตอบ
“งั้นไลเกอร์จะช่วยด้วยพ่อ ถ้าโตขึ้นนะ...เกอร์จะเป็นผู้พิทักษ์ป่า คอยดูแลไม่ให้มีใครมาทำลายป่า ดีมั้ยพ่อ...” เด็กน้อยบนหลังบัวเอ่ยแทรกขึ้น บัวกับนายเหมืองหันมองหน้ากันเมื่อได้ฟังความคิดของเจ้าตัวเล็ก ในขณะที่ไทกอนกลับทำหน้าเบ้แล้วบอกพี่ชายว่าเพ้อฝันว่ะ
“เกอร์ต้องไปเห็นเหมือนที่ไทกับครูตาหวานเห็นก่อนเว้ย ไอ้พวกตัดไม้น่ะมันน่ากลัวมากเลยนะ มันตัดต้นไม้ฉึบๆเลย แป๊บเดียวเองต้นไม้ก็เหลือแต่ตอเลยแหละไลเกอร์...แต่ดูพ่อปลูกต้นไม้ที่ฐานทัพลับของเราดิ ปลูกตั้งนานแน่ะกว่าจะโตอ่ะ” ไทกอนเองก็เอ่ยตอบโต้กับพี่ชาย บัวอมยิ้มให้กับความคิดเด็กที่เชื่อมโยงสิ่งที่ทั้งคู่เคยพบเจอเข้ากับสิ่งที่เขากับพ่อของเจ้าสองแสบคุยกันได้ดี เขาแอบเหลือบมองไปทางนายเหมืองก็เห็นเจ้าตัวกำลังทำสีหน้าปลื้มปริ่มอยู่
“ดีใจล่ะสินายเหมือง...” บัวแอบแซว
“มากเลยล่ะครู...ไม่รู้พ่อแม่คนอื่นเป็นรึเปล่านะ แต่สำหรับผม...ได้ยินลูกพูดว่าโตขึ้นแล้วจะทำดีแถมยังเห็นคุณค่าของสิ่งที่จะทำแล้วมันปลื้มใจยิ่งกว่าลูกมาบอกว่าสอบได้ที่หนึ่งอีกมั้ง” นายเหมืองบรรยายออกมาตามความรู้สึก และนั่นก็เข้าทางสองแสบพอดี
“จริงดิพ่อ!!! งั้นที่หนึ่งเทอมหน้าพ่อก็ไม่เอาแล้วใช่ป่ะ เย้!!! ไม่ต้องอ่านหนังสือแล้วว้อย” ไทกอนร้องเย้เสียงดังลั่นป่า ในขณะที่ไลเกอร์คนพี่นั้นหัวเราะเป็นลูกคู่
“ไม่ได้โว้ย พ่อจะเอาให้พวกแกทั้งเป็นคนดีแล้วก็เป็นคนเก่งด้วย ทำเพื่อแม่เขาหน่อย เขาจะได้ภูมิใจว่าพ่อเลี้ยงลูกจนได้ดี เข้าใจรึเปล่า” นายเหมืองบอกลูกชายพร้อมเหวี่ยงไทกอนไปมาราวจะแกล้ง
“โฮ่ยพ่อ...คนที่เลี้ยงพวกผมจนได้ดีน่ะครูตาหวานต่างหาก เนอะๆครูเนอะ...” ฝ่ายไลเกอร์พอฟังคำพ่อแล้วก็โบ้ยความดีไปให้คุณครูตัวขาวเสียอย่างนั้น คุณครูหนุ่มก็ได้แต่ยิ้มรับคำพูดเด็กแล้วก็หัวเราะตามไป เมื่อนายเหมืองนั้นจนแต้มพูดไม่ออกไปด้วยกับคำพูดที่ไลเกอร์ว่า
บรรยากาศในการเดินทางของทั้งสี่คนเริ่มดีขึ้นมาก นายเหมืองพาลูกๆกับครูบัวลงไปเดินลุยน้ำเพื่อคลายเมื่อย มือบัวจับกับมือไลเกอร์ ส่วนไลเกอร์นั้นจับกับน้องชาย ในขณะที่มีนายเหมืองเดินจับมือไทกอนปิดท้ายอยู่อีกด้าน ทั้งสี่คนเดินลุยน้ำที่มีความสูงประมาณครึ่งน่องไปเรื่อยๆ ดอกพลับพลึงธารที่ขึ้นล้อแสงแดดยามเย็นนั้นดูสวยงามเสียจนทั้งหมดต้องหยุดชื่นชมความสวยงามนั้นเป็นพักๆ บางช่วงน้ำใสไทกอนกับไลเกอร์ก็สาดน้ำเล่นกัน เด็กทั้งคู่ไม่มีอาการจิตตกหรือกลัวน้ำอย่างที่บัวคิดว่าอาจจะเป็นเลยทั้งๆที่เพิ่งจะผ่านเหตุการณ์ร้ายๆมาหมาดๆ เด็กทั้งสองคนนั้นทั้งจิตใจดีและเข้มแข็ง จนก็แอบรู้สึกอิจฉาคุณแหม่มกับนายเหมืองจริงๆที่มีลูกๆน่ารักขนาดนี้
จนเริ่มย่ำค่ำทั้งสองหนุ่มน้อยก็เริ่มบ่นหนาว เพราะอากาศกลางป่ากลางเขาแบบนี้นั้นเย็นจัดง่ายกว่าในเมืองอยู่แล้ว บัวนึกขึ้นได้จึงรีบขอหยิบยืมมีดจากนายเหมืองมาแล้วถอดเสื้อของตัวเองออก ก่อนจะใช้มีดนั้นกรีดเสื้อตัวเองแบ่งเป็นสองส่วนโดยไม่รับฟังคำร้องห้ามของนายเหมืองที่ว่าบัวอาจจะไม่สบายเสียเอง เสร็จแล้วก็เอาเศษเสื้อทั้งสองผืนไปคลุมร่างเด็กท่อนบนแล้วมัดปมไว้ให้ อย่างน้อยคงจะพอช่วยปกป้องลมไม่ให้พัดโดนมากจนเด็กเป็นไข้ไปเสียก่อน ในขณะที่นายเหมืองนั้นถึกอยู่แล้วคงไม่น่าห่วงอะไรมาก มีแค่กางเกงตัวเดียวมาตั้งแต่ต้นแต่ก็ยังไม่เห็นบ่นอะไร
ส่วนนายเหมืองสิงห์นั้นร่ำๆอยากจะถอดกางเกงเอามาให้ครูบัวห่มบ้างเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเป็นไข้ตามลูกๆ แต่กลับโดนบัวด่าว่าอนาจาร แถมลูกๆยังพยักหน้าเห็นด้วยนายเหมืองร่างใหญ่จึงต้องยอมจำนน ปล่อยให้ครูบัวเดินอกขาวล้อแสงอาทิตย์และต้นไม้ใบหญ้าไปนั่นเอง
...ดีนะที่ที่นี่เป็นกลางป่ากลางเขา คงไม่มีใครทะเล่อทะล่ามาเจอชี(เกือบ)เปลือยอย่างพวกเขาสี่คนแบบนี้หรอก...
...ไม่ใช่อะไร ก็นมครูบัวน่ะเขาเห็นได้คนเดียวนี่หว่า ไม่คิดว่าจะต้องมาแบ่งปันให้หญ้าให้ปลาแถวนี้ได้เห็นด้วยนี่...
“คิดอะไรลามกๆอยู่ใช่มั้ยครับนายเหมือง” บัวดักทางอย่างรู้ทัน ฝ่ายนายเหมืองก็ตอบว่า ‘เปล่า’ แต่เสียงสูงจนบัวหน้างอ ยกมือมากอดอกปิดบังร่างกายตัวเองอย่างไร้ประโยชน์ในทันที
จนเมื่อเด็กสองคนเริ่มบ่นว่าหิวแล้วก็เริ่มโดนยุงกัด นายเหมืองกับครูบัวจึงตัดสินใจกันว่าคงต้องนั่งพักและอาจเลยต้องพักค้างคืนกันในป่าด้วย แต่ในระหว่างที่ทั้งสี่คนกำลังนั่งพักกันอยู่นั่นเอง ก็มีเสียงคนเดินดังแว่วเข้ามาใกล้ ในคราแรกนายเหมืองคิดว่าอาจจะเป็นคนร้ายที่ย้อนรอยตามพวกเขามา แต่ทว่าในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีเหลืออยู่ เมื่อบุคคลกลุ่มที่มาใหม่นั้นเป็นทีมเจ้าหน้าที่ป่าไม้ลาดตระเวน ความคิดที่ว่าพวกเขาอาจต้องได้พักค้างคืนกลางป่าแล้วก็บริจาคเลือดให้ยุงเป็นอาหารค่ำจึงได้พับเก็บไป
เหล่าเจ้าหน้าที่เมื่อได้ทราบว่าทั้งสี่เป็นใครมาจากไหนก็รีบให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ โดยการพาพวกเขาส่งโรงพยาบาลก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อทำแผลที่เกิดขึ้น แล้วเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าจากบัวและนายเหมืองว่าได้พบเจอสิ่งผิดปกติในป่ามาอย่างคนร้ายสามคนนั่น ทีมเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็รีบรับเรื่องไว้ก่อนจะส่งต่อพวกเขาให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งนายตำรวจที่มาก็ทำเอาบัวงงเต็กเพราะคิดว่าคนทั้งคู่น่าจะกลับไปแล้ว นายตำรวจภากรกับนายตำรวจคมสันต์ เพื่อนของนายเหมืองที่บัวจำได้ว่าเคยถูกแนะนำว่าเป็นนายตำรวจจากกรุงเทพฯ แต่จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่กลับไปอีก แถมยังขอสอบปากคำบัวเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาพลักลอบตัดไม้ที่บัวเห็นด้วยว่ามันเป็นอย่างไร บัวจึงพยายามลงรายละเอียดในสิ่งที่เห็นออกไปให้ได้มากที่สุด
“...บัวเห็นที่ต้นไม้มีรอยบากเป็นรูปกากบาทเต็มเลยครับ แล้วก็ได้ยินเสียงเร่งเครื่องของรถยนต์หรือรถกระบะนี่แหละครับถึงได้เดินตามเสียงไปเพราะคิดว่าอาจะเป็นของพวกชาวบ้าน แต่พอเห็นสภาพมีตอไม้แล้วก็รอยบากที่ว่านั่นแล้วก็เลยตัดสินใจอุ้มไทกอนวิ่งก่อน บัวคิดว่าพวกมันไม่น่าจะเห็นแต่ก็อย่างที่นายเหมืองเล่า มีพวกมันสามคนวิ่งตามบัวมา และบัวรอดมาได้ก็เพราะนายเหมืองเข้ามาช่วยบัวเอาไว้ได้ทันพอดี” คุณครูหนุ่มออกปากเล่า นายตำรวจทั้งสองนายหันมองหน้ากันแล้วพยักหน้าเข้าใจ ก่อนภากรจะเอ่ยปากแซวว่า
“อย่างกับในละครเลยนะเว้ย...นางเอกถูกคนร้ายไล่ล่า พระเอกก็โผล่เข้าไปช่วยได้ตรงจังหวะพอดี”
“เออ กูยินดีเป็นพระเอก ปกป้องลูกตัวเองได้น่าภูมิใจจะตาย” คนรับยืดอกรับคำชมแบบแมนๆ เลยโดนเพื่อนขว้างปากกาใส่ไปที
“แล้วครูบัวได้ยินพวกมันพูดชื่อเจ้านาย หรือแหล่งกบดานหรือคำพูดอื่นๆบ้างมั้ยครับ อะไรก็ได้ฮะเล็กๆน้อยๆที่พอจะให้พวกเรารู้ได้ว่าพวกมันเป็นใครมาจากไหน” คมสันต์ถามต่อ บัวพยายามนึก แต่ที่ได้ยินก็มีแต่เสียงข่มขู่และบอกแต่ว่าจะต้องจัดการเขา...แต่เอ๊ะ...มีอย่างหนึ่งนี่นา
“จริงสิ...บัวจำได้ว่ามีคนหนึ่งสักที่ต้นแขนเป็นรูปแปดเหลี่ยมครับ ไม่รู้จะเกี่ยวกันมั้ยแต่ที่จำได้ก็มีเท่านี้แหละครับ” บัวเอ่ย ทันใดนั้นทั้งสามคนหันมองสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย โดยเฉพาะนายเหมืองที่กดตรงหัวคิ้วแล้วพึมพำออกมาว่า
“จริงด้วยสิ ตอนกูสู้กับพวกมันก็มัวแต่เลือดขึ้นหน้า ไม่ทันได้สังเกตอะไร...สัญลักษณ์แปดเหลี่ยมงั้นเหรอ...”
จากนั้นเมื่อเห็นว่าสิ่งที่บัวรู้และเห็นนั้นถูกซักคนละเอียดแล้วบัวกับนายเหมืองก็ถูกพากลับไปส่งถึงในเหมืองด้วยรถตำรวจ และพอไปถึงบ้านบัวก็ต้องรู้สึกซาบซึ้งกับความรักความห่วงใยของคนในเหมืองอีกครั้ง เมื่อที่หน้าตัวบ้านมีคนงานในเหมืองมาออกันอยู่เต็ม พอทั้งสี่คนลงมาจากรถคนงานเหล่านั้นก็รีบกรูกันเข้ามาหาแล้วออกปากถามไถ่นายเหมืองของพวกเขากันเสียงระงม โดยเฉพาะป้าพุดฤทัย พอแกเจอหน้าสองแสบกับบัวเท่านั้นก็ร้องห่มร้องไห้ใหญ่ เอาแต่ลูบหัวบัวและสองแสบพร้อมบ่นพึมพำว่าขวัญเอ้ยขวัญมาไม่ได้หยุด
แกเล่าว่าเมื่อตอนเลยเที่ยงไปหน่อยมีคนงานเจอกระเป๋าของสองแสบลอยมาตามน้ำก็เลยรีบเอามาบอกนายพุฒ กอปรกับตอนนั้นมีชาวบ้านแถวนั้นขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาหาป้าพุดที่บ้านว่าเขาเห็นรถนายเหมืองจอดอยู่ยังไม่ได้ลงมาจากเขา และตอนนั้นก็มีน้ำป่าไหลหลากที่น้ำตก เขาเกรงว่าทั้งนายเหมือง สองแสบและคนที่ไปด้วยจะเป็นอันตรายก็เลยลองขับรถมาดู ปรากฎว่าพอได้ยินอย่างนั้นป้าพุดฤทัยแกลมแทบจับ นายเม่นที่อยู่ด้วยกับแกตอนนั้นก็เต้นเป็นเจ้าเข้า ประกาศไปเสียทั่วเหมืองว่านายเหมืองสิงห์ ครูบัวและสองแสบโดนน้ำป่าพัดหายไปแล้ว พวกคนงานเหมืองพอได้ยินอย่างนั้นก็ไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานกัน ช่วยกันเดินลุยน้ำขึ้นเขาไปเพื่อหวังจะช่วยหาเจ้านายตัวเอง เมื่อพุดฤทัยโทรศัพท์แจ้งความแล้วเขาไม่รับเพราะทั้งสี่คนยังหายไปไม่ครบ 24 ชั่วโมง
พอได้ฟังคำเล่าบัวก็หันมองไปที่นายเหมืองซึ่งถูกรุมล้อมโดยคนงานทั้งหน้าทั้งหลังแล้วก็รู้สึกดีใจแทน นายเหมืองไม่ได้ซื้อคนพวกนี้ด้วยเงินจริงๆด้วย เขาซื้อด้วยใจ คนงานถึงช่วยกันทำงานอย่างสุดความสามารถแถมยังพอถึงทีเจ้านายเดือดร้อนก็เป็นเดือดเป็นร้อนแทนกันได้อย่างน่าชื่นชม ขนาดบัวเองที่เพิ่งมาอยู่ใหม่ยังโดนคนงานเก่าแก่จับไม้จับมือแล้วท่องอะไรสักอย่างเป็นภาษาใต้ใส่พร้อมกับลูบหัวให้ก่อนจะเอ่ยเป็นภาษากลางสำเนียงทองแดงว่าขอให้โชคดีหรือให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครอง
บัวอยู่ไหว้ขอบคุณคนงานในเหมืองที่ต่างก็เป็นห่วงพวกเขาอยู่จนดึกดื่น ส่วนสองแสบนั้นป้าพุดพาไปทานข้าวที่โดนปลอบขวัญด้วยของโปรดจนเต็มโต๊ะ และแน่นอนว่าเด็กแสบก็กวาดเสียหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือเมื่อทั้งสองคนนั้นมีอาการหิวโหยเป็นอย่างมาก จากนั้นก็โดนป้าพุดต้อนขึ้นไปนอนให้แล้วเรียบร้อย
จนเมื่อนายเหมืองบอกให้บัวขึ้นไปพักผ่อนได้แล้วนั่นแหละ...คืนวันอันยาวนานของบัวถึงได้สิ้นสุดลงเสียที
-----------------------------------------------------------------------
อิอิ มาเร็ว (กว่าปกติ) เคลมเร็ว (กว่าปกติ)
เจอกันตอนหน้าค้าบบบบบบ