ทัศนศึกษาสิ่งแวดล้อมสัมพันธ์ครึ่งแรกผ่านไปอย่างราบรื่น สัปดาห์ต่อมาก็ถึงครึ่งหลังที่ต้องไปเขาใหญ่ เดินทางสามชั่วโมงก็มาถึงจุดหมาย นักเรียนและอาจารย์ลงเดินบนถนนก่อนถึงจุดตั้งแค้มป์ประมาณสองกิโลเมตร เพื่อจะได้สังเกตธรรมชาติไปด้วย และก็ดูเหมือนจะได้ผล นักเรียนชายที่ใช้ชีวิตอยู่แต่รูปทรงเหลี่ยมของตึกรามสูงและมลพิษในเมืองหลวงพอมาเจอรูปทรงธรรมชาติและอากาศเย็นสดชื่นในป่าใหญ่ก็ดูท่าทีที่เคยกระด้างก็อ่อนลง
“’จารย์ๆ จะเป็นตัวขวารึตัวซ้าย” บอสเดินรั้งอยู่ท้ายแถวหันมาคุยด้วย
“อะไร ตัวซ้ายตัวขวา” วันชนะงง
“นั่นไง” เขาชี้ไปที่บนต้นไม้สูง
“หือ” วันชนะมองตาม
นกเงือกเกาะนิ่งอยู่บนนั้น นักเรียนบางคนยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่าย
“ได้ยินเค้าว่านกเงือกมันจะอยู่เป็นคู่นะ” บอสยักคิ้วให้ “เอ้า พูดสิคุณจะเป็นตัวซ้ายรึขวา ส่วนผมเป็นตัวไหนก็ได้นะ” เขายิ้มเผล่
วันชนะส่งสายตาดุ บอสหุบยิ้มแล้วเปลี่ยนเป็นสีหน้าเรียบๆแต่เหล่ตากวนๆมาทางวันชนะ
“ผมเป็นตัวขวาก็แล้วกัน คุณเป็นตัวซ้ายนะ” ว่าแล้วเขาก็รีบวิ่งไปรวมกลุ่มเพื่อนๆ ปล่อยให้วันชนะยิ้มให้กับความน่ารักของบอสอยู่คนเดียว
พอมาถึงจุดตั้งแค้มป์ที่ผากล้วยไม้ทุกคนก็ตกลงกันว่าใครจะอยู่เต็นท์ไหนซึ่งก่อนหน้าที่จะมาถึงมีเจ้าหน้าที่มาเตรียมให้เรียบร้อยแล้ว เอื้องทิพย์กับนุชรินทร์อยู่ร่วมกับอาจารย์ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ส่วนวันชนะเศษอยู่คนเดียวเลยได้อยู่คนเดียว ทีแรกจะให้เอื้องทิพย์หรือนุชรินทร์นอนจะได้สบายกว่า แต่ทั้งคู่ก็ไม่อยากอยู่คนเดียวบอกว่ากลัวผีมุดเต็นท์
หลังจากทานข้าวเที่ยงเรียบร้อย นักเรียนทุกคนก็มาเข้าแถวเพื่อรอขึ้นรถไปยังน้ำตกเหวนรกอันเป็นเป้าหมายในวันนี้
จนถึงจุดที่ต้องลงจากรถเพื่อเดินเข้าไปยังน้ำตกด้านใน นักเรียนจึงเดินไปเป็นกลุ่มๆ โดยมีเสียงคอยเตือนว่าอย่าออกนอกเส้นทางเป็นเด็ดขาด ดังนั้นแทนที่จะเพลิดเพลินกับธรรมชาติเหมือนพวกเด็กๆ เหล่าอาจารย์ต้องคอยสำรวจความปลอดภัยในเรื่องนี้ไปในตัวด้วย
ป่าดงพงไพรดูจะเข้ากันได้ดีกับเด็กจากในเมือง เดินชื่นชมธรรมชาติที่เคยเห็นแต่ในหนังสือไปตามทางจนมาถึงน้ำตกเหวสุวัต พักเล่นน้ำสักครู่เดียวก็เดินต่อไปยังน้ำตกใหญ่เป้าหมาย
น้ำตกเหวนรกชั้นแรกสูงเกือบหกสิบเมตรชันเก้าสิบองศา วันชนะต้องคอยระวังนักเรียนเป็นพิเศษเพราะมองลงไปข้างล่างแล้วน่าหวาดเสียว ยังดีที่ช่วงนี้ยังไม่ใช่ฤดูน้ำหลากแต่ก็ยังไม่วางใจนัก เกิดมีใครพลัดตกลงไปคงรับผิดชอบกันไม่ไหวแม้ว่าข้างล่างจะมีน้ำรองรับแต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นพอถ่ายรูปกันเสร็จจึงรีบไล่นักเรียนให้ออกห่างจากจุดอันตราย จนได้เวลากลับนั่นแหละวันชนะจึงได้คลายความกังวลลงไปบ้าง
ขากลับไม่เหนื่อยเหมือนขามา จึงเดินกันแบบสบายๆ จนมาพักเหนื่อยอยู่ที่น้ำตกเล็กๆที่ตอนขามาไม่ได้สนใจเท่าไรนัก
“’จารย์ๆ มาเล่นน้ำด้วยกันดิ” เสียงคุ้นเคยเรียกวันชนะ มองไปก็เห็นเด็กผู้ชายเล่นน้ำกันสนุกสนานจนตัวเปียกหัวเปียก
“มีปลาด้วยนะ’จารย์ เนี่ยมันตอดขาผมด้วย” บอสทำหน้าทะเล้น
“จริงดิ ไหนดูซิ” วันชนะชะโงกหน้าลงไปดูในสายน้ำใส ขณะที่บอสก็เดินเข้ามาใกล้พร้อมถกขากางเกงบอลขึ้นให้วันชนะเห็นชัดๆว่ามีปลาตัวเล็กๆรุมตอดขาเขาอยู่
“เห็นแล้วๆ ไม่ต้องถกขากางเกงก็ได้” วันชนะวิดน้ำใส่
“แหม ‘จารย์ก็ คนอยากจะโชว์อ่ะ” เขาสวนหน้าทะเล้น
“ขนขามันไม่น่ามองหรอกนะ” วันชนะวิดน้ำใส่อีกก่อนจะพับขากางเกงขึ้นแล้วนั่งลงที่ก้อนหินแล้วแช่ขาลงน้ำ
“เย็นดีจัง”
“ว่าแต่เขา ตัวเองก็ขนขาเยอะใช่ย่อย” บอสว่าแล้วผละไปเล่นกับเพื่อนๆ
วันชนะปล่อยอารมณ์ไปกับสายลมเย็นๆที่พัดพา สายน้ำเย็นๆที่ลูบไล้เท้าช่วยให้ผ่อนคลาย ท่ามกลางป่าเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใบเขียวขจีและแสงแดดที่ลอดผ่านลงมาเป็นภาพที่น่าดูที่สุด หากในกรุงเทพมีต้นไม้เพิ่มมากขึ้นผู้คนคงจะมีจิตใจอ่อนโยนได้มากขึ้นกระมัง
กลับมาที่แค้มป์ราวห้าโมงเย็น หลังจากนับจำนวนสมาชิกว่าครบแล้วก็ปล่อยนักเรียนกลับเต็นท์ของตัวเองเพื่อให้เวลาไปอาบน้ำและทำธุระส่วนตัวก่อนจะกลับมารวมแถวอีกครั้งตอนหนึ่งทุ่มเพื่อจะรับข้าวกล่องแล้วขึ้นรถส่องดูสัตว์หากินกลางคืน
ยิ่งค่ำอากาศที่ชื้นๆเปลี่ยนเป็นหนาวเย็นขึ้นทันที ทั้งครูและนักเรียนจึงสวมเสื้อกันหนาวกันเพียบพร้อม
เสียงอาจารย์สาวคุยกันดีอกดีใจอะไรสักอย่างดังมาจากเต็นท์ข้างๆ วันชนะจึงเดินเข้าไปหา ยังไม่ทันจะถึงตัวนุชรินทร์กับเอื้องทิพย์ก็หันมาทางคนที่กำลังเดินมาสมทบ
“นั่นไงคะ พูดถึงก็มาพอดี” เอื้องทิพย์ว่า
“เรียกผมเหรอครับ” วันชนะยิ้ม แต่แล้วก็ยิ้มค้างเพราะปั้นหน้าอย่างอื่นไม่ถูกเมื่อเห็นคนที่ยืนคุยอยู่ด้วยในวงนั้นคือนักขัต!
“ม...มาได้ไง” วันชนะออกอาการแปลกใจมากกว่าตกใจ แล้วเรื่องที่เขาขโมยช่อดอกไม้ไปก็ผุดขึ้นมากวนอารมณ์ให้ขุ่น
“เราชวนเองแหละ” นุชรินทร์ตอบแทน
“ผมอยากมาพักผ่อนน่ะ พอดีที่คุณนุชชวนด้วย ผมก็เลยมา” เขาพูดเสียงเรียบ
วันชนะรับรู้ นุชรินทร์เอ่ยชวนตั้งแต่คราวก่อน แต่ก็ไม่แสดงออกไปมากกว่าอาการเรียบเฉย
นักเรียนตั้งแถวเป๋ๆเพราะเล่นกันไปด้วยพร้อมอยู่แล้ว อาจารย์สาวอีกคนหนึ่งจึงให้สัญญาณเดินไปขึ้นรถกระบะที่มีกรงยกสูงขึ้นมากันตก
“คุณตั้มก็ไปด้วยกันสิคะ” นุชรินทร์เอ่ยชวน โดยมีเอื้องทิพย์สนับสนุน
“จะดีเหรอครับ” เขาพูดเหมือนลังเลแต่ท่าทางเตรียมพร้อมจะไปด้วย
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” นุชรินทร์คอนเฟิร์ม
ด้วยเหตุนี้นักขัตจึงเข้าร่วมกิจกรรมไปด้วยที่ตอนหลังรถกระบะคันหนึ่ง โดยที่สองสาวแยกไปอยู่อีกมุมปล่อยให้วันชนะต้องคอยทำหน้าที่เทกแคร์แขกคนนี้ไปโดยปริยายเพราะเป็นผู้ชายสองคนถ้าไม่รวมพวกนักเรียนอีกสี่ห้าคนที่มารถคันเดียวกัน
แต่ว่าการ ‘เทกแคร์’ ของวันชนะคือการเงียบและไม่สนใจ ‘แขก’ ที่ได้รับเชิญ นักขัตเองก็ยอมรับการต้อนรับนั้นด้วยการเงียบเช่นกัน จนรถวนกลับมาที่ผากล้วยไม้อีกครั้งทั้งสองก็ยังไม่ได้คุยกันแม้สักคำ สำรวจว่ากลับมาหมดทุกคนแล้วจึงแยกย้ายกันไปนอน
เต็นท์ของนักเรียนกับอาจารย์ก็อยู่ติดกันไม่ได้แยกออกไป ตลอดทั้งคืนมีเจ้าหน้าที่ของอุทยานคอยตรวจตราความเรียบร้อยอยู่แล้วจึงไม่น่าห่วงเท่าไร เดินกลับมาที่เต็นท์ของตัวเองทุกคนก็แยกย้ายกันเข้านอนโดยวันชนะไม่ทันสังเกตว่านักขัตที่เดินตามมาด้วยกันหายไปทางไหนแล้วก็ไม่รู้
อากาศข้างนอกหนาวเย็นมาก แม้จะอยู่ในเต็นท์ก็ช่วยได้ไม่เท่าไร วันชนะนอนห่อตัวอยู่ในถุงนอนที่ไม่หนาเท่าไรนัก เสียงนักเรียนหยอกเล่นกันเฮฮาดังแว่วแต่สักพักก็เงียบไป กลางป่าเขายามนี้ได้ยินเพียงเสียงแมลงและเสียงลมหนาวพัดยอดไม้ไหว ความเพลียจากกิจกรรมตลอดวันทำให้เขาหลับสนิทอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว...
...วันชนะพยายามกระดิกตัวหลังจากหลับไปได้ราวสามชั่วโมงเพราะรู้สึกอึดอัด หลังจากพยายามพลิกตัวได้แล้วลืมตาขึ้นในความสลัวก็ต้องตกใจจนเกือบหลุดเสียงเมื่อพบว่ามีอีกคนนอนกอดเขาอยู่
“อืมม...” นักขัตครางในลำคออย่างคนหลับสบายโดนรบกวน
วันชนะพยายามแกะมือนั้นออกเบาๆ เพื่อไม่ให้เขารู้ตัว ในใจนึกโทษเขาไปว่าถ้าเป็นแบบนี้ไปจนเช้าแล้วหากมีคนมาพบเข้าคงไม่ดีแน่
“ฮื่ออ...” เขาครวญอย่างขัดใจพลางขยับมือกอดแน่นขึ้นอีก
วันชนะเลยดิ้นแรงขึ้นหวังจะให้เขารู้ตัว
“อย่าดิ้นสิ” คนหลับตาพริ้มพูดขึ้นเบาๆ
“ทำอย่างนี้ไม่ได้นะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า” วันชนะดิ้น พูดแทบกระซิบแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจที่วันชนะพูด
“ไม่ได้นะ กลับไปนอนที่เต็นท์ของนายเลยนะ” วันชนะเอ็ดเสียงแข็งขณะที่มือก็ดันเขาให้ออกห่าง
“อย่าผลักไสผมได้มั้ย...หลังจากนี้คงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว” เขาพูดอย่างเอื่อยอ่อย
วันชนะค่อยๆเห็นเขาลืมตาขึ้น สายตานั้นไม่ได้โกหก และเพราะสายตานั้นจึงทำให้คำขอร้องของเขาเป็นผล วันชนะหยุดมือที่ดันเขา ทั้งที่อยากถามว่าทำไมแต่เขาเลือกที่จะปิดปากตัวเอง ปิดหัวใจไม่รับฟัง เขากอดวันชนะอยู่อย่างนั้นจนเมื่อเกือบเช้าเขาก็หอมแก้มวันชนะอย่างนุ่มนวล อย่างแสนรัก ก่อนจะลุกออกไปจากเต็นท์
ไม่รู้สินะ ทุกทีก่อนจากกันวันชนะก็ยังมีความรู้สึกว่าจะต้องได้เจอกับเขาอีก แต่คราวนี้ต่างออกไป
รู้สึกเหมือนว่า ถ้าจากกันคราวนี้ คงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว
“’จารย์ๆ วันนี้มีโปรแกรมไรมั่งอ่ะ” บอสถามขณะที่ปากก็เคี้ยวข้าวตุ้ยๆ
วันชนะที่ดูเหมือนเอาแต่เหม่อลอยจึงสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อบอสเริ่มสะกิดเพราะถามหลายครั้งวันชนะก็ไม่รู้ตัว
“’จารย์เป็นไรอ่ะ” เขานิ่วหน้า
“เปล่า มีอะไรบอส” วันชนะจึงค่อยหันมา
“วันนี้เค้าทำไรกันมั่งอ่ะ” เด็กหนุ่มทวนอีกครั้ง
“ก็ วันนี้มีเดินป่า” วันชนะตอบอย่างคนเพิ่งเรียกสติกลับมา
“’จารย์แปลกๆไปนะ” บอสว่า
ยังไม่ทันได้คุยกันต่อ นุชรินทร์ก็เดินมาหาวันชนะ...มาพร้อมกับนักขัต
วันชนะรีบเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองทันที จนบอสเห็นความผิดปกติแต่เด็กหนุ่มก็ได้แต่ลอบสังเกตโดยไม่ซักไซ้อะไรออกไป
สักพักเอื้องทิพย์กับอาจารย์ผู้หญิงอีกคนก็เดินมาสมทบ บอสเลยปลีกตัวออกไปแต่เด็กหนุ่มก็พอจะเห็นความผิดปกติที่วันชนะมีต่อผู้ชายแปลกหน้าอีกคน
TBC.