สัมผัส{❤}ครั้งที่6
ตั้งแต่ตื่นเช้ามาเทพอย่างผมก็นั่งมองตินที่นอนหลับสบายอยู่ตลอดจนกระทั่งอีกฝ่ายตื่นแต่ท่าทางแปลกๆที่เห็นตอนนี้ทำให้ผมขมวดคิ้วพร้อมกับเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัย...
คิดไปเองรึเปล่านะที่เหมือนถูกตินจ้องอยู่
แถมพออีกฝ่ายเรียกชื่อผมเสร็จก็นิ่งไปไม่พูดอะไรต่อด้วย
“ติน”ผมลองเรียกคนตรงหน้าดูอีกครั้ง
“...”ความเงียบที่มีทำให้ผมขยับเข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นโดยการขึ้นไปนั่งบนตักเหมือนอย่างทุกครั้งแต่ครั้งนี้ดวงตาสีฟ้านั้นหันมามองผมที่ขึ้นมานั่งบนตักด้วยความตกใจ
การกระทำนั่นทำให้ผมเริ่มเอะใจ...ทั้งที่ยังไม่ได้พูดอะไรแต่เขากลับหันมาตามที่ผมขยับราวกับว่ามองเห็นผมเลย...
มองเห็นเหรอ?
“นี่ติน”ผมไม่รอช้ารีบหาคำตอบในสิ่งที่คิดโดยขยับเข้าไปใกล้แล้วสบตาเข้ากับดวงตาสีฟ้าตรงหน้า...
ภาพของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในดวงตานั่นทำให้คนมองอย่างผมยิ้มกว้างออกมา
ตินมองเห็นผมแล้ว
“มองเห็นผมใช่ไหม”ผมถามออกไป
“...รู้ได้ยังไง”คำถามนั้นก็เหมือนกับเป็นคำตอบให้ผมนั่นแหละ
“ดวงตาคุณสะท้อนภาพผม”นี่เป็นคำตอบง่ายๆ
“...แพน”
“อะไร”
“นายไม่ได้ปรากฏตัวให้ฉันเห็นใช่ไหม”จากคำถามที่ได้ยินคงคิดได้อย่างเดียวว่าตินยังไม่แน่ใจในการมองเห็นของตัวเองเท่าไหร่
“เปล่า...คุณมองเห็นผมได้ด้วยตัวเอง...สุดยอดเลยเนอะ”
“...อืม”ตอบเสร็จตินก็ยกมือขึ้นจะสัมผัสกับใบหน้าผมแต่มือนั่นกลับผ่านไปโดยไม่อาจแตะต้องอะไรได้ คิ้วทั้งสองข้างของตินขมวดเข้าหากันทันทีที่เป็นแบบนั้น
“อะไรกันติน...พึ่งมองเห็นกันก็อยากสัมผัสแล้วเหรอ”ผมถามพร้อมยกยิ้มขึ้น
“แล้วไม่ได้?”
“ก็อย่างที่เห็น...คิดว่าได้ไหมล่ะ”ผมย้อนถามด้วยใบหน้าสะใจเล็กๆ
“ทำหน้าสะใจเกินไปแล้ว”
“ผมก็ทำแบบนี้ตลอดอยู่แล้ว”
“...ทำไมพอเห็นแล้วรู้สึก...”
“รู้สึกอะไร ผมหล่อ หน้าตาดี ผิวขาวอมชมพู...รูปร่างเหมือนนายแบบใช่ไหมล่ะ”ผมรีบถามก่อนจะลุกยืนแล้วหมุนตัวให้คนตรงหน้าเห็นชัดๆ
“ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนนัก”อีกฝ่ายถามกลับ
“ก็ความจริงนี่”
“หลงตัวเอง”
“ห๊ะ?...นี่จะกวนกันใช่ไหมติน”พูดว่าผมหลงตัวเองแบบนี้มันน่าโดนนัก
“เอาที่ท่านสบายใจเลยครับท่านเทพ”
“อะ...”มันมาอีกแล้วไอ้เสียงไม่จริงใจนั่น
“ฉันไม่คุยกับเทพที่หลงตัวเองแล้ว...ต้องเตรียมตัวไปข้างนอกอีก”พูดจบตินก็ลุกจากเตียงเดินเข้าห้องน้ำไปปล่อยให้ผมยืนอ้าปากพะงาบๆอยู่แบบนั้น
ให้ตายเถอะ
น่าหงุดหงิดชะมัด
ผมลอยตัวอยู่หน้าห้องน้ำรอคนข้างในออกมาด้วยใบหน้าตึงๆ...คอยดูนะถ้าตินไม่ขอโทษผมจะไม่คุยด้วยไปตลอดชีวิตเลย
แกร็ก!
ร่างสูงโปร่งของตินเดินออกมาจากห้องแต่งตัวหลังอาบน้ำเสร็จด้วยชุดทางการที่ไม่เคยเห็นมาก่อน...เขามองซ้ายขวาเหมือนหาอะไรก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมที่ลอยตัวอยู่ด้านบน ผมรีบยกมือกอดอกแน่แล้วทำหน้าโกรธเพื่อให้คนด้านล่างรู้ว่าผมโกรธอยู่นะ
“ทำหน้าแบบนั้นอยากเข้าห้องน้ำรึไง”
“ห๊ะ?”ผมถึงกับร้องเสียงหลง
“อยากเข้าก็ตามสบาย”เป็นอีกครั้งที่อีกฝ่ายไม่สนใจสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ
“นี่คุณอยากโดนสาปมาใช่ไหมที่ทำกันแบบนี้น่ะ!”ผมตะโกนกลับพร้อมลอยตัวลงมาหาคนด้านล่าง
“ทำแบบไหน”ตินหันมาถาม
“ก็ที่ทำอยู่นี่ไง...ขอโทษที่บอกว่าผมหลงตัวเองเลยนะ”
“ฉันพูดความจริงทำไมต้องขอโทษด้วย”
“ผมไม่ได้หลงตัวเองสักหน่อย...คุณเห็นผมแล้วไม่คิดว่าหน้าตาดีหรือหล่อบ้างเลยเหรอ”ผมลอยไปด้านหน้าตินแล้วถามอีกรอบ
คนถูกถามมองจ้องมาอย่างสำรวจ ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมหมุนตัวให้อีกฝ่ายดูก่อนจะหันกลับมาขอคำตอบด้วยความตื่นเต้น
“นายควรทำความเข้าใจซะใหม่เกี่ยวกับคำว่าหล่อ”
“ผมไม่เข้าใจ”
“จริงอยู่ที่หน้าตานายดีแต่ไม่ใช่หล่อ...ถ้าจะให้พูดคือค่อนไปทางน่ารักมากกว่า”
“ใครน่ารักกัน!”ผมตะโกนสุดเสียง
อีกแล้วนะไอ้คำว่าน่ารักเนี่ย
ได้ยินมาจนเอียนแล้ว
“ไม่เอาน่ารักก็สวย”
“หนักกว่าเดิมอีกเฟ้ย!”ผมตะโกนแล้วคิดจะชกอีกฝ่ายแรงแต่กลับถูกอ่านทางได้ตินเลยหลบหมัดผมได้สบายๆ ผมที่หยุดหมัดตัวเองไม่ทันก็ได้แต่พุ่งลงพื้นทั้งๆแบบนั้น...โชคดีที่ไม่เจ็บมาก
“คิดว่าจะชกกันได้ตลอดรึไงครับท่านเทพ”ใบหน้ากวนๆหันกลับมาเย้ยก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“อะ...ตินคนขี้แกล้ง”
ผมพาร่างในชุดยูกาตะสีเขียวอ่อนออกมาจากห้องแล้วหันซ้ายขวาเพื่อมองหาเข้าของห้องก่อนจะเจอตินที่พึ่งเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเสื้อ...
“ทำอะไรอยู่น่ะติน”
“หายงอนแล้วเหรอ?”
“ไม่ได้งอนแต่โกรธต่างหาก”
“ก็นั่นแหละ...หายโกรธรึยัง”
“ยัง”ผมตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ถ้าฉันพาไปเที่ยวจะหายโกรธไหม”คำถามนั่นทำให้ผมตารุกวาวทันที
“หายสิ”ผมตอบกลับด้วยรอยยิ้มกว้าง
ไปเที่ยว
อยากไปสุดๆเลย
“หึ...หายง่ายไปแล้ว”
“ไม่ดีเหรอ”ผมย้อนถาม
“เปล่า...ดีแล้ว”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูด้านหน้าเรียกความสนใจของเราทั้งคู่ให้หันไปมอง ตินเองก็เดินไปยังประตูแต่ก่อนที่จะถึงเขาก็หันมาหาผมที่ลอยตามมา...
“อยู่ข้างนอกฉันคุยกับนายไม่ได้”
“อืม”เรื่องนี้อยู่แล้ว
“ขอบอกไว้ก่อนว่าที่ที่จะพาไปอาจทำให้นายหลงได้เพราะงั้นห้ามห่างจากฉันเข้าใจนะ”ตินพูดย้ำ
“เราจะไปไหนเหรอ”
“รอดูเองดีกว่า...คำตอบล่ะ”
“เข้าใจแล้ว...ถึงจะหลงผมก็กลับมาหาคุณได้อยู่แล้วน่าไม่ต้องห่วงหรอก”
“จะลอยหาฉันรึไง”
“เปล่า...จำได้ไหมที่ผมเคยบอกว่าพลังของผมตอนนี้อยู่ในตัวคุณ”
“อืม”
“พลังของผมมันจะเรียกร้องหาเจ้าของทำให้ผมสามารถรู้ได้ว่าคุณอยู่ที่ไหน...ดังนั้นถึงจะหลงผมก็จะกลับมาหาคุณได้...ไม่ต้องห่วงหรอก”ผมอธิบาย
“ใครห่วงกัน”พูดจบตินก็เปิดประตูออก
ผมอมยิ้มกับคนปากไม่ตรงกับใจนั่น...
“ห่วงก็บอกว่าห่วงสิ...ผมยังบอกว่าห่วงคุณตามตรงเลย”ผมตะโกนไล่หลังก่อนจะตามตินออกไป
คนที่มาเคาะประตูคือกายและจิมตามที่คิดไว้...ทั้งคู่ทักทายตินเล็กน้อยก่อนที่พวกเราจะพากันลงไปยังรถยนต์คันสีดำสนิทด้านล่าง ผมลอยทะลุกระจกรถเข้าไปภายในท่ามกลางความอึ้งของตินที่มองมาอย่างไม่เชื่อสายตา
สิ่งที่ตินอยากถามแสดงออกทางสายตาจนผมต้องยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วตอบคำถามนั้นกลับไป...
“เทพอย่างพวกเราเมื่อยู่ในสภาวะที่ลอยตัวแบบนี้จะสามารถทะลุผ่านของได้ทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่มนุษย์...สะดวกดีไหมล่ะ”
“...”ใบหน้าที่คลายความสงสัยลงหันมามองเพียงเล็กน้อย
รถยนต์คันสีดำแล่นไปตามถนนใหญ่แล้วเลี้ยวเข้าไปยังตึก...ไม่สิ...ที่เห็นนี่มันห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ตามทางที่เลี้ยวเข้ามาต่างมีรถจอดอยู่จนแทบไม่มีที่ว่าง
“ตินพาผมมาเที่ยวห้างเหรอ”ผมหันไปถามเสียงใส
ห้างสรรพสินค้าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่อยากไปมากที่สุด
“รู้ใจจังเลยติน”
“...”อีกฝ่ายไม่ตอบทำเพียงแค่ยกคิ้วขึ้นข้างนึงอย่างไม่เข้าใจ
“จะว่าไปคนเยอะสุดๆเลยนะ...แบบนี้ไม่มีที่จอดแน่”ผมพูดต่อโดยมองไปนอกหน้าต่าง
ขนาดที่จอดรถด้านนอกยังเต็มแล้วที่จอดด้านในจะเหลือเหรอ
ผมคิดเมื่อรถที่นั่งอยู่ขับเข้าไปยังที่จอดรถในร่ม ที่จอดที่ว่างอยู่เพียงที่เดียวถูกกั้นไว้ด้วยราวเหล็กเหมือนจะบอกว่าเป็นที่จอดสำหรับคนพิเศษเท่านั้น...ทันทีที่พนักงานเห็นรถคันนี้ก็รีบแสดงความเคารพก่อนจะเลื่อนราวเหล็กออกให้เลี้ยวรถเข้าไปจอดได้ง่ายๆ
“ทำไมเขาถึงให้จอดได้ล่ะ”ผมหันไปถามติน
“...”ตินไม่ตอบแต่ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
ผมได้แต่งงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแต่พอได้ยินคำพูดของพนักงานที่เปิดประตูให้ตินผมก็ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน...
“สวัสดีครับท่านประธาน”
“ประ...ประธานเหรอ?!”
อย่าบอกนะว่าประธานที่พูดคือเจ้าของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แบบนี้น่ะ
“อืม”ตินตอบรับเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปภายในห้างโดยมีกายและจิมเดินตามหลัง
ตลอดทางที่เดินมีเจ้าของร้านค้าหลายคนที่เข้ามาทักทายแต่ก็มีอีกมากที่มองมาอย่างงๆว่าตินเป็นใคร...ส่วนมากที่งงคือลูกค้าที่เข้ามาเดินเที่ยว
“ตินๆๆ...ที่นี่คุณเป็นเจ้าของเหรอ”ผมถามพร้อมกับลอยไปขวางหน้าอีกฝ่ายจนตินต้องชะงักเท้าที่กำลังก้าวอยู่ คนด้านหลังสองคนเองก็ชะงักตามก่อนจะมองมาอย่างสงสัย
“...”ดวงตาสีฟ้าเงยขึ้นมาสบอย่างไม่พอใจนัก
“แล้วคุณจะหยุดเดินทำไมเล่า...ก็บอกอยู่ว่าไม่ชนอยู่แล้ว”ผมแก้ตัว
“เอ่อ...มีอะไรรึเปล่าครับ”กายที่เดินตามถามขึ้น
“...เปล่า”พูดจบเขาก็เดินเลี่ยงไปอีกทาง
บันไดเลื่อนที่สูงกว่าทุกห้างที่เคยเจอทำให้ตื่นตาตื่นใจสุดๆ...ปกติบันไดเลื่อนจะเลื่อนขึ้นเพียงชั้นเดียวแต่นี่กลับเลื่อนขึ้นไปถึงประมาณชั้นที่10ได้
“สุดยอดๆๆๆ...สูงมากเลย”ผมพูดด้วยเสียงตื่นเต้น พอมองลงไปแล้วรู้สึกเสียวหน่อยเหมือนกันแฮะ
“อย่าเหม่อจนตกลงไปล่ะ”เสียงทุ้มพึมพำเสียงเบาแต่ผมกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน
“ไม่อยู่แล้ว”
พวกเราเดินขึ้นต่อแล้วขึ้นลิฟต์ที่อยู่ด้านหลังมาถึงชั้นบนสุดที่ติดป้ายว่าห้ามบุคคลภายนอกเข้า...สำนักงานขนาดใหญ่ถูกจัดสรรอย่างเป็นระเบียบ พนักงานทุกคนที่เห็นตินเดินเข้ามาต่างก็ลุกขึ้นทำความเคารพอย่างพร้อมเพียง
“สวัสดีครับ/ค่ะ...ท่านประธาน”
“อืม...กานต์บัญชีของเดือนนี้ไปถึงไหนแล้ว”ตินหันไปถามหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่อีกฝั่ง
“ใกล้เสร็จแล้วค่ะตอนนี้เหลือแค่ตรวจทานอีกรอบเท่านั้น”
“ดี...เสร็จแล้วเอาไปให้ฉันที่ห้องด้วย”
“ได้ค่ะ”เธอพยักหน้าแล้วนั่งลงจัดการงานต่อ
พอเดินเข้าไปจนเกือบสุดก็พบกับห้องขนาดเล็กที่เหมือนเป็นห้องส่วนตัว
“ไม่ต้องตามมา”ตินหันไปบอกคนสนิททั้งสองคน
“ครับ...ถ้าอย่างนั้นผมขอไปจัดการงานของแผนกบุกคลที่ยังไม่เรียบร้อยนะครับ”กายขออนุญาต
“ผมด้วยครับ...ฝ่ายขนส่งก็เหมือนยังไม่เรียบร้อยเหมือนกันครับ”จิมขอบ้าง
“อืม...ไปจัดการให้เรียบร้อยซะ”
“ครับ”ทั้งคู่รีบออกไปทันทีเมื่อได้รับอนุญาต
“คุณเหมือนเป็นประธานจริงๆเลย”ผมบอกพลางเข้ามาภายในห้องส่วนตัวนี่ด้วย มองจากข้างนอกเหมือนจะไม่ใหญ่แต่พอเข้ามาแล้วใหญ่น่าดูเหมือนกัน
“ไม่ใช่เหมือน...ฉันนี่แหละประธาน”ตินแก้
“จริงอ่ะ...ไม่ใช่ว่าเป็นพ่อแม่คุณเหรอ”นึกว่ามาสืบทอดกิจการซะอีก
“ไม่ใช่...ครอบครัวฉันมีธุรกิจเป็นของตัวเองพ่อกับแม่ทำธุรกิจเสื้อผ้า”
“อ้อ...เข้าใจล่ะ...แล้วคุณต้องนั่งทำงานใช่ไหม”ผมถามต่อ
“ใช่...คงหลายชั่วโมงกว่าจะเสร็จ”ตินตอบก่อนจะเปิดแฟ้มเอกสารบนโต๊ะออก
“งั้นผมขอไปเที่ยวข้างล่างได้ไหม”
“...ห่างขนาดนั้นไม่เป็นไร?”เขาเงยหน้าขึ้นมาถามเสียงเครียด
“ไม่เป็นไรหรอก...อยู่นี่เบื่อจะตาย...ขอไปข้างล่างนะ”
“ถ้าไม่ให้ล่ะ”
“ก็จะหนีไปเลย”ผมสวนกลับอย่างไม่กลัว
“หึ...ฉันให้แค่สามชั่วโมง”
“ทำไมต้องสาม”
“ฉันจะทำงานเสร็จในสามชั่วโมง”
“ดูมั่นใจจังนะ...งานออกเยอะขนาดนี้”ผมพูดโดยมองไปยังแฟ้มเอกสารที่วางทับกันจนแทบมองไม่เห็นหน้าเจ้าของโต๊ะ
“แน่นอน”
“งั้นก็ได้...สามชั่วโมงจะกลับมา”
เมื่อตกลงกันได้ผมก็ลอยตัวออกไปด้านนอกสำนักงานโดยเริ่มจากชั้นบนสุดเป็นส่วนของสำนักงานเนื่องจากไม่มีอะไรน่าสนใจผมเลยลงไปยังชั้นก่อนหน้านี้ซึ่งเป็นโรงหนังขนาดใหญ่หลายโรง จำนวนผู้คนที่เดินไปมามากมายจนเรียกว่าเดินเบียดกันเลยทีเดียว
จะว่าไปก็ไม่ได้ดูหนังมานานแล้วนี่นะ
ร่างผมในชุดยูกาตะหันกลับไปยังโรงหนังอันแออัดไปด้วยผู้คนก่อนจะลอยเข้าไปดูว่ามีเรื่องไหนที่น่าสนุกบ้าง หลังจากที่หาอยู่นานในที่สุดก็เจอหนังเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจเลยหาที่นั่งว่างๆนั่งดู...หนังที่เลือกเป็นเรื่องเกี่ยวกับการต่อสู่ด้วยเวทย์มนต์และศึกชิงอำนาจของสองอาณาจักร
“สุดยอด...จัดการเลย!”ผมตะโกนอย่างไม่กลัวใครรำคาญเพราะไม่มีใครได้ยินเสียงเทพได้อยู่แล้ว
กว่าหนังจะจบก็กินเวลาไปพักใหญ่...การที่ดูหนังฟรีไม่เสียเงินแบบนี้ก็ดีเหมือนกันถึงจะรู้สึกผิดที่ทำให้ห้างของตินเสียรายได้แต่ก็คิดได้ว่าคนเยอะขนาดนี้ยังไงก็มีกำไรอยู่แล้ว ความคิดนั่นทำให้ผมยกยิ้มขึ้นแล้วเปลี่ยนหนังดูในอีกโรงแทน
ไหนๆก็เข้าฟรี...ขอดูให้คุ้มหน่อยละกัน
หนังหลายต่อหลายเรื่องที่ดูทำเอาตาแทบแฉะ...ผมเลยหยุดหลังจากดูเรื่องที่3จบแล้วลอยออกมาด้านหน้าโรงหนังอย่างเหนื่อยๆ ทันใดนั้นดวงตาสีเขียวอ่อนของผมก็เบิกกว้างขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าต้องกลับไปก่อนสามชั่วโมง
จะว่าไปผมก็ไม่มีนาฬิกาเลยไม่รู้ว่าตอนนี้เวลาผ่านนานแค่ไหนแล้ว
เทพอย่างพวกเราไม่ค่อยสนใจเรื่องเวลาเหมือนอย่างมนุษย์เพราะพวกเรามีเวลามากมายที่จะค่อยๆทำในสิ่งที่อยากทำ...ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบหรือตรงต่อเวลา
แค่รู้ว่าทุกครั้งที่พระอาทิตย์ขึ้นหมายถึงการขึ้นวันใหม่เท่านั้น
“ติน...”ผมพึมพำชื่อของอีกฝ่ายเบาๆก่อนจะขึ้นไปหาบนห้องแต่ภายในห้องนั้นไม่มีตินอยู่ นั่นยิ่งทำให้ผมขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม...
อย่าบอกนะว่ากลับไปโดยไม่รอผมน่ะ
ไม่...ตินไม่ใช่คนแบบนั้น
แปลว่าลงไปหาผมแน่ๆ
“คุณอยู่ไหนกัน...ติน”ดวงตาสีเขียวอ่อนหลับลงอย่างช้าเพื่อตั้งสมาธิในการหาพลังของตัวเองที่อยู่ในร่างของติน แม้ว่าระยะห่างของเราจะกว้างมากแต่ผมก็สามารถหาตินเจอในที่สุด
ผมไม่รอช้ารีบลงไปหาตินที่เดินเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆโดยไม่หยุดพักมาตั้งแต่เมื่อครู่...จากที่อยู่ชั้น4ตอนนี้ขึ้นมาชั้น5แล้ว
ชุดยูกาตะสีเขียวอ่อนปลิวเล็กน้อยเมื่อผมตัดสินใจทิ้งตัวลงมาจากชั้น10ไปยังชั้น5ที่ตินอยู่...ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้มีตรงกลางห้างที่เปิดโล่งในทุกชั้นทำให้มองเห็นรอบๆได้อย่างทั่วถึง
“เจอล่ะ”ร่างของตินที่ก้าวยาวๆผ่านร้านหนังสือที่เรียงรายอยู่อย่างเร่งรีบโดยที่ดวงตาสีฟ้านั้นมองเข้าไปแทบทุกร้าน ผู้คนที่ทั้งรู้จักและไม่รู้จักต่างมองไปยังตินอย่างสงสัย
ท่าทางแบบนั้นคงเป็นอะไรไม่ได้นอกจากหาผมอยู่
ให้ตายสิ...ผมทำให้เขาห่วงอีกแล้ว
“ติน!”ผมตะโกนเรียกสุดเสียงจะคนที่กำลังก้าวเร็วๆหยุดชะงักแล้วหันมามองตามเสียงเรียก ดวงตาคมที่เห็นผมหรี่ลงอย่างโกรธๆจนคนมองอย่างผมต้องทำหน้าสำนึกผิดลอยเข้าไปหาอีกฝ่ายช้าๆ
“แพน!”เสียงตะโกนของตินไม่ได้แค่ทำให้ผมสะดุ้งเท่านั้นแต่ยังทำให้คนที่อยู่รอบๆสะดุ้งไปด้วย เขาก้าวเข้ามาหาผมที่ลอยลงมาตรงหน้าโดยไม่สนคนอื่นที่มองมาอย่างสนใจสักนิด
นี่เป็นครั้งแรกที่ตินตะโกนเรียกผมต่อหน้ามนุษย์มากมายแบบนี้
“ติน...ใจเย็นๆก่อน...คนอื่นมองอยู่นะ”ผมรีบเข้าไปหาพร้อมกับบอกสถานการณ์ ถ้าตินยังคงพูดมากกว่านี้คงได้มีข่าวลือไม่ดีเกิดขึ้นแน่
“...”คนฟังหันไปมองรอบก่อนจะทำหน้าไม่พอใจ ใบหน้าที่เงยขึ้นมามองไม่จำเป็นต้องมีคำพูดอะไรผมก็รู้สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อได้ทันที...
‘ตามฉันมา’
นั่นเป็นสิ่งที่รับรู้ได้ทางสายตา ผมเลยต้องลอยตามหลังท่านประธานหนุ่มหน้าหงิกเดินไปยังทางหนีไฟที่อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่
“ไปอยู่ไหนมา”คำถามแรกดังขึ้นทันทีที่ประตูหนีไฟปิดลง
“...ไปดูหนังมา”
“แค่ดูหนังมันนานเกือบ6ชั่วโมงเลยรึไง”
“ก็...ไม่ได้ดูเรื่องเดียว”ผมตอบกลับเสียงอ่อย
“สัญญาว่าไง”ตินถามเสียงเข้ม แววตาที่มองมานั้นทำให้ผมรู้สึกกลัวอยู่นิดๆ
“...จะกลับมาในสามชั่วโมง”
“เทพทุกองค์ไม่รักษาสัญญาแบบนี้เหรอ”
“ไม่ใช่นะ...ผมขอโทษที่ดูหนังจนลืมเวลา...ความจริงผมก็ไม่รู้ว่าสามชั่วโมงมันนานขนาดไหน”
“ก่อนหน้านี้ยังปลุกฉันได้นี่”
“ก็นั่นมีนาฬิกาอยู่นี่...ผมไม่มีนาฬิกาเลยไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว”ผมตอบพร้อมยกมือทั้งสองข้างให้ตินดูว่าไม่มีนาฬิกาจริงๆ
“...”
“ติน...ขอโทษจริงๆนะ...ผมทำให้คุณเป็นห่วงจนต้องเดินหาแบบนี้”พูดจบผมก็ขยับเข้าไปใกล้พร้อมกับปาดเหงื่อที่ไหลลงมาให้ด้วยใบหน้าสำนึกผิด
“...ใครเดินหากัน”
“คิก...เป็นห่วงกันก็บอกตรงๆสิ”ผมหลุดขำออกมาเล็กน้อยเพราะตินไม่ยอมรับทั้งที่ตอนนี้เสื้อเชิ้ตสีฟ้าชุ่มไปด้วยเหงื่อแถมยังหอบอยู่หน่อยๆด้วย
“ถ้าบอกตรงๆจะไม่ทำให้เป็นห่วงอีกไหมล่ะ”คนตรงหน้าถามกลับด้วยใบหน้าจริงจัง
“...จะไม่ทำแล้ว...ครั้งนี้สัญญาจริงๆ”ผมนิ่งไปสักพักก่อนจะตอบกลับ
“ฉันไม่เชื่อเทพที่ไม่มีนาฬิกาหรอกนะ”
“เดี๋ยวไปหาใส่ก็ได้”ผมพึมพำ
แค่ไม่มีนาฬิกานี่ถึงกับไม่เชื่อกันเลยเหรอ
“ไปหาจากไหน”
“...ไปแอบหยิบของตินมาใส่”ผมตอบไปตรงๆ
“ทำไมไม่ไปหยิบเอาตามร้านล่ะ...ไม่มีใครเห็นอยู่แล้วนี่”
“จะให้ไปขโมยตามร้านผมไม่เอาด้วยหรอกถึงจะไม่มีคนรู้แต่ผมรู้...อีกทั้งถ้ามีของหายก็ต้องมีคนต้องลำบากเพราะงั้นผมจะไม่ขโมยเด็ดขาด”แต่ถ้าเป็นของตินแค่แอบไปใช้สักเรือนคงไม่รู้หรอกมีตั้งเยอะขนาดนั้นนี่...”เมื่อวานตอนที่สำรวจห้องนอนก็ไปเจอกับห้องแต่งตัวที่มีทั้งเสื้อผ้า กางเกง ถุงเท้า รองเท้าและพวกนาฬิกาอยู่เต็มห้องขนาดใหญ่นั่น แค่นาฬิกาที่เห็นก็ไม่ต่ำกว่า20เรือนแล้วแค่แอบหยิบมาสักเรือนคงไม่รู้หรอก
“ไม่ขโมยแต่เลือกจะแอบหยิบของฉัน?”
“อืม...ตินใจดีไม่ว่าผมอยู่แล้ว”
“หึ...ตามมา”ตินพูดก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้างอีกครั้ง
“เราจะไปไหนเหรอ”ผมถามบ้างแต่ตินไม่ตอบคำถามนั้นทำให้ผมตามตินไปเงียบๆจนถึงชั้น6ที่มีเสื้อผ้าขายอยู่มากมายและมีโซนหนึ่งที่มีร้านนาฬิกาหลายร้านอยู่ติดๆกัน
“ร้านไหน”
“อะไร”ผมถามตินกลับเพราะไม่เข้าใจคำถามสั้นๆนั่น
“อยากได้นาฬิการ้านไหน”
“จะซื้อให้ผม?”ผมพูดด้วยเสียงตื่นเต้น
เกิดมาก็พึ่งจะมีคนซื้อของให้นี่แหละ ปกติอาจมีแต่คนถวายให้
“อืม...เร็วๆ”ตินเร่งเพราะแถวนี้มีผู้คนพลุกพล่านทำให้มีหลายคนเริ่มมองมายังตินที่ยืนพูดคนเดียวอยู่
“ผมไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้หรอก...ตินเลือกให้ผมเลยก็ได้”ไม่ว่าจะได้แบบไหนมาสำหรับผมก็ไม่ได้ต่างเพราะใช้แค่ดูเวลาเท่านั้น
ตินขมวดคิ้วเล็กน้อยกับสิ่งที่ผมบอกก่อนจะเดินตรงเข้าไปในร้านนาฬิกาที่ตกแต่งอย่างหรูหราร้านหนึ่งด้วยท่าทางนิ่งๆ...พนักงานร้านที่เห็นก็รีบเข้ามาทำการต้อนรับกันอย่างพร้อมเพรียง
“สวัสดีค่ะคุณคณาธิป...วันนี้อยากได้นาฬิกาแบบไหนคะ”พนักงานคนหนึ่งทักทายด้วยรอยยิ้ม
“ตอนนี้มีนาฬิกาแบบที่คุณคนาธิปชอบออกใหม่ด้วยจะลองดูสักหน่อยไหมคะ”พนักงานสาวอีกคนก็ไม่ยอมน้อยหน้าเข้ามาทักทายด้วยเช่นกัน
“พ่อคนเนื้อหอม”ผมพูดยิ้มๆ
ไม่แปลกหรอกที่ตินจะเนื้อหอม...หน้าตาขนาดนี้ไม่เนื้อหอมสิแปลก
“ไม่ล่ะ...เดี๋ยวฉันเดินดูเองไม่ต้องตามมา”ตินบอกปัดพนักงานสาวทั้งสองคนก่อนจะเดินไปตามตู้โชว์ที่เต็มไปด้วนนาฬิกาหลายหลายรูปแบบตามความต้องการที่แตกต่างกันออกไป...
สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือนาฬิกาพวกนี้มีดีไซน์ที่เรียบหรูมาก
ผมเองก็มองตามตู้โชว์ด้วยความสนใจก่อนดวงตาสีเขียวอ่อนจะเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นราคาที่ห้อยตัวเล็กๆเอาไว้
“ตะ...ติน”ผมลอยไปสะกิดอีกฝ่ายที่กำลังเลือกนาฬิกาด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“...”คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยเป็นเชิงถามว่ามีอะไร
“ราคานาฬิกาพวกนี้มัน...มัน...แพงไปนะ...แบบว่าแค่เรือนเล็กๆก็หลายหมื่นเข้าไปแล้ว...เอ่อ...ไปซื้อเอาตามตลาดก็ได้นะติน”ผมบอกคนตรงหน้า ราคาสูงลิ่วแบบนี้ผมก็เคยเห็นมาบ้างตอนที่อยู่ประเทศญี่ปุ่นแม้ค่าเงินจะต่างกันแต่ราคานั้นสูงลิ่วไม่ต่างกันเลย
ผมใช้แค่นาฬิการาคา199บาทก็หรูแล้ว
“...”คนฟังทำเพียงสบตาผมก่อนจะหันกลับไปมองตู้โชว์นาฬิกาตามเดิม
นี่เขาไม่ฟังผมเลยสินะ
“เฮ้อ...ก็ได้ๆ...ยังไงก็เงินคุณนี่”เมื่อรู้ว่าพูดไปก็ไม่ฟังผมก็ไม่อยากเสียแรงพูดหรอกนะ
จะว่าไปตินก็ยินนิ่งอยู่ที่ตู้นี้มาสักพักแล้ว...หรือว่ามีเรือนที่ถูกใจ
ผมรีบหันไปมองตู้โชว์ตรงหน้าด้วยความอยากรู้ก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นอีกรอบเพราะความสวยงามของนาฬิกาเรือนเงินออกเขียวหม่นตรงหน้า หน้าปัดสี่เหลี่ยมผืนผ้าดีไซน์อออกมาอย่างเรียบง่ายแต่ดูหรูหรามาก ส่วนสายก็เป็นหนังสีเทาซึ่งเข้ากับหน้าปัดสีเงินปนเขียวสุดๆ
“...สวยจัง”ผมหลุดปากออกไปเบาๆแต่นั่นทำให้ตินที่อยู่ข้างๆยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“เอาเรือนนี้”ตินหันไปบอกพนักงานที่ยืนอยู่ไม่ไกลพร้อมกับยื่นบัตรสีทองออกไปให้ ถ้าให้เดาคงเป็นบัตรเครดิตแน่ๆ นาฬิกาที่เขาเลือกเป็นเรือนเดียวกับที่ผมมองอยู่พอดี
“ทำไมรู้ว่าผมชอบเรือนนี้”มีนาฬิกาหลายเรือนที่โชว์อยู่ตู้เดียวกันแต่ตินกลับเลือกนาฬิกาเรือนนี้
“ไม่รู้สักหน่อย”
“แล้วเลือกเรือนนี้ทำไม”ผมหันไปมองหน้าตินอย่างไม่เข้าใจ
“...เรือนนี้เหมาะกับนายที่สุดแล้ว”คำตอบดังขึ้นเบาๆก่อนที่ตินจะเดินไปเซ็นบัตรที่หน้าเคาน์เตอร์ทำให้มองไม่เห็นว่าผมยิ้มกว้างออกมาแค่ไหนตอนที่ได้ยินคำพูดนั่น
“ติน...ขะ...”คำขอบคุณที่กำลังพูดชะงักแทบจะทันเมื่อเห็นราคาของนาฬิกาเรือนสวยนี้
แน่นอนว่าไม่ใช่หลักพัน...
และไม่ใช่หลักหมื่นด้วย...
ตัวเลขบนใบเสร็จทำให้ผมอ้าปากค้าง...แค่หลักหมื่นก็ถือว่าแพงสุดๆแล้วแต่นี่...
สามแสนหกหมื่นสามพันเก้าร้อยบาท
ได้ยินไหมว่านาฬิกาเรือนเดียวราคาสามแสนหกหมื่นสามพันเก้าร้อยบาทถ้วน!
“ตินนนน!!”ผมตะโกนเรียกจนคนได้ยินนิ่วหน้า เขาพยายามไม่แสดงออกอะไรเพราะมีพนักงานอยู่พอได้รับของก็เดินออกจากร้านอย่างไม่รีบร้อน
“ตินๆๆๆ...เอาไปคืนเลยนะราคามันแพงไป...แพงไปจริงๆนะ”ผมไม่รอให้ไปไกลกว่านี้เพราะอาจคืนไม่ได้
จะให้เทพอย่างผมใส่นาฬิกาเรือนหลายแสนนี่ไปทำไมกัน...ยังไงก็ไม่มีใครเห็นอยู่แล้ว
ฝ่ายตินที่ได้ยินก็ยังทำหน้านิ่งแล้วกลับขึ้นไปที่ห้องทำงานเหมือนเดิมโดยไม่สนใจเสียงผมที่ตะโกนไม่หยุดตั้งแต่ออกจากร้านเลยสักนิดเดียว
“ติน...ผมขอเถอะ”สุดท้ายผมก็ลอยมานั่งบนโซฟาในห้องทำงานของตินด้วยใบหน้าเหนื่อยๆ
ทำไมไม่ยอมฟังกันเลยนะ
“ไม่ต้องขอให้อยู่แล้ว”ตินตอบพร้อมกับยื่นนาฬิกาที่พึ่งซื้อมาให้
“...มันแพงไปนะ”
“ฉันอยากให้...รับไว้แพน”สายตาที่มองมานั่นทำให้ผมเม้มปากอย่างช่างใจก่อนจะแบมือของตัวเองให้ตินวางนาฬิกาลงมา
นาฬิกาเรือนเงินค่อยถูกใส่ที่ข้อมืออย่างไม่รีบร้อนและเมื่อใส่เสร็จผมก็ตัดสินใจได้ว่าจะรับของชิ้นนี้ไว้ ของชิ้นแรกที่ตินให้...
“ติน”
“อะไร...ไม่รับคืนหรอกนะ”
“รู้แล้วน่า”
“งั้นจะบอกอะไร”ตินถามพร้อมยกคิ้วขึ้นข้างนึง ท่าทางของเขาทำให้ผมยิ้มก่อนจะลอยตัวเข้าไปใกล้ติน ผมยกมือลูบใบหน้านั้นเบาๆแล้วโน้มไปกระซิบข้อความบางอย่างด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความดีใจ...
“ขอบคุณนะ...จะรักษาอย่างดีเลย”
.........................................................................................
มาอัพแล้วค่า
มีใครรอกันอยู่ไหมมม
ก่อนจะพูดอะไรขอตอบคำถามของ 'เป็ดอนุบาล' ว่าด้วยเรื่องอายุของแพนหน่อยนะคะ
สำหรับอายุของเทพแน่นอนค่ะว่ามากกว่ามนุษย์มากกก(ก.ไก่อีกล้านตัว) แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องแพนจะเหงาหรือโดดเดี่ยวตอนไม่มีตินนะคะ(ทำไมคิดไปไกลจัง555) เพราะเราวางพล๊อตสำหรับส่วนนี้ไว้แล้ว
ซึ่งไม่อยากสปอยดังนั้นจะพูกแค่ว่าไม่ต้องห่วงเรื่องนี้นะคะเรามีทางออกอยู่ค่ะแค่ยังดำเดินเรื่องไปไม่ถึงเท่านั้นเอง แฮะๆ
เห็นแบบนี้เราอ่านทุกคอมเม้นท์ในทุกเว็บเลยนะคะ แอบปลื้มบางตอนที่คนเม้นท์เยอะด้วยๆ
ขอบคุณมากๆค่ะ แค่เห็นว่ามีคนสนใจเรื่องนี้เราก็ดีใจสุดๆเลย
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าน้า
บ๊ายบายยย
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪