@@รักเกิดในอู่ซ่อมรถ (บารมี&พิพัฒน์) ตอน วันที่น่ายินดี
พิพัฒน์ทำให้รู้ว่า การมีใครสักคนอยู่ข้าง ๆ ในวันที่อ่อนแอ มันทำให้อุ่นใจมากแค่ไหน และพิพัฒน์ก็ทำให้รู้ว่า การมีใครสักคนอยู่ข้าง ๆ ในวันที่เข้มแข็ง ยิ่งทำให้เกิดความมั่นใจในทุก ๆ สิ่งที่จะทำเพิ่มขึ้น
การมีใครสักคนมาอยู่เคียงข้างกันทำให้บารมีกล้าที่จะตัดสินใจ พร้อมจะอ่อนแอพร้อมจะล้ม และลุกขึ้นสู้ใหม่ในทุก ๆ ครั้งเพราะรู้ว่าแม้จะต้องล้มอีกกี่ครั้ง ก็จะมีพิพัฒน์อยู่ข้าง ๆ ในชีวิตจากนี้ไป
อู่เคยติดลบ อู่เคยมีหนี้สิน และแม้ทุกวันนี้ก็ยังต้องผ่อนใช้หนี้กับธนาคาร แต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่และทำให้บารมีเป็นทุกข์มากเหมือนเมื่อก่อน
เราพอจะมีเงินหมุนบ้างแล้ว สภาพการเงินโดยรวมนับว่าคล่องตัวมาก ตั้งแต่พิพัฒน์มาอยู่ด้วยกัน ชีวิตที่เคยดิ้นรนต่อสู้อยู่คนเดียว มีแสงสว่างชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
บารมีไม่ได้สู้อยู่คนเดียว แต่มีคนคอยช่วยคิดและแบ่งเบาภาระหนักอึ้งที่เคยแบกเอาไว้บนบ่า
ปรึกษากันได้
คุยกันได้
คิดคนเดียวก็มองได้แค่ด้านเดียว แต่เมื่อมีพิพัฒน์อยู่ด้วย ทำให้บารมีได้คิดในหลายๆ มุม
การมีพิพัฒน์อยู่ด้วย มันดีแบบนี้
ดีจนถึงขนาดที่........บารมีเริ่มคิดไม่ออก ว่าถ้าต่อจากนี้ไปถ้าไม่มีพิพัฒน์อยู่ด้วย ชีวิตหลังจากนี้จะเป็นยังไง
พิพัฒน์ยังคงวุ่นวายอยู่กับการทำบัญชี และบารมีที่เพิ่งกลับมาจากไปติดต่องานข้างนอกก็ผลักประตูสำนักงานเข้ามา
"พัฒน์วันนี้กินข้าวหรือยัง"
ทักทายคนที่กำลังทำงานอย่างตั้งใจ และพิพัฒน์ก็เงยหน้าขึ้นมาตอบสิ่งที่บารมีถาม
"เดี๋ยวกิน"
แปลว่า ........ยัง.......ไม่ได้กิน
ตั้งแต่ที่บารมีออกไปติดต่องานเมื่อช่วงสาย ๆ จนถึงป่านนี้ พิพัฒน์ก็ยังคงไม่ได้กินข้าว เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ปล่อยเอาไว้ทีไรเป็นแบบนี้ทุกที
"แล้วเมื่อไหร่จะกิน"
เอ่ยถาม แล้วบารมีก็เดินไปนั่งบนเก้าอี้ เอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ เอียงคอไปมาเพราะความเมื่อยล้า
"รอพี่บัส พี่บัสกินหรือยัง"
คนที่กำลังยุ่งกับการกดเครื่องคิดเลข เอ่ยถามทั้งที่ไม่ได้เงยหน้ามามองหน้าของบารมีด้วยซ้ำ
"ยังเหมือนกัน"
บารมีได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ของคนที่กำลังกรอกตัวเลขลงไปในบิล และเมื่อหันไปมองก็เห็นว่าพิพัฒน์กำลังหัวเราะจริง ๆ
"ขำอะไรวะ"
พิพัฒน์ไม่ตอบ และยังคงสนใจกับการทำงานของตัวเอง
"เย็นนี้ไปเล่นตะกร้อกับเต๋อนะ"
ที่จริงไม่จำเป็นต้องบอกก็ได้ ถ้าจะไป แต่บอกเอาไว้ให้อีกคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ห่างออกไปได้รับรู้คงดีกว่า ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็บ่นแล้วก็ไปตามกลับบ้านอีกแน่ ๆ
"เห็นตะกร้อดีกว่ากู ขยันซ้อมขนาดนั้น ไปแข่งโอลิมปิกเลยไป"
โดนพูดจาประชดประชันใส่ แต่พิพัฒน์ก็ทำเป็นไม่สนใจ และบารมีก็ทำหน้ายุ่ง ลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินหนีออกไปนอกออฟฟิศ
ไปยืนคุมงาน ไปจัดการกับรถที่ต้องส่ง และไปยืนดูพื้นที่ที่กำลังขยายออกไปให้อู่กว้างขึ้น
พิพัฒน์รู้ว่าบารมีงอน งอนด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ และมักหาว่าพิพัฒน์ไม่สนใจเสมอ และพิพัฒน์ก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจบารมีจริง ๆ บางครั้งก็ต้องมีเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้งอนกันบ้าง เพื่อเป็นสีสันของชีวิต ทั้งที่รู้ว่าบารมีจะแสดงสีหน้าและท่าทีว่าไม่พอใจ แต่พิพัฒน์ก็ยังจะทำ
พิพัฒน์ไม่กลัวบารมีโกรธ เพราะไม่ว่ายังไงสุดท้าย พอผ่านกลางคืนไปจนถึงเช้าของอีกวัน
เราก็กลับมาดีกันและจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเมื่อวานเราโกรธกันด้วยเรื่องอะไร
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บารมีโกรธพิพัฒน์มาหนึ่งชั่วโมงแล้ว สาเหตุก็คือเรื่องเดิม ๆ พิพัฒน์ชอบไปเล่นตะกร้อแล้วไม่สนใจบารมีที่นั่งคอยอยู่ที่อู่
"บอกว่าชั่วโมงเดียว แล้วก็ยาว มึงไปเล่นตะกร้อ แล้วมีอีหมวยที่ตลาดมาติดล่ะสิ กูรู้ทันหรอก"
มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง พิพัฒน์รู้ว่าสิ่งที่บารมีพูด ก็เพื่อประชดประชันเรียกร้องความสนใจทั้งนั้น
ใช่ที่ให้รอนาน แต่บางครั้งพิพัฒน์ก็มีมุมแบบเด็ก ๆ ที่อยากทำอะไรตามใจตัวเองบ้าง เล่นสนุกตามประสาเด็ก เพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงาน
ก็เหมือนกับที่บารมีเป็นอยู่ มีมุมแบบเด็ก ๆ มุมที่งอแง งี่เง่า เรียกร้อง และเอาแต่ใจตัวเอง
แต่พิพัฒน์ก็รับสิ่งที่บารมีเป็นได้ บางครั้งก็บ่น บางครั้งก็หงุดหงิด บางครั้งก็โมโหใส่ แต่ทั้งหมดนั้นพิพัฒน์เข้าใจ
เพราะไว้วางใจ เพราะสบายใจที่จะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา เพราะอยู่กับคนที่สบายใจบารมีถึงได้เป็นตัวของตัวเอง
พิพัฒน์ไม่เคยว่า ไม่เคยโกรธ เข้าใจ และคุ้นชินกับสิ่งที่บารมีเป็น ทั้งหมดนั้นไม่ว่าจะเป็นส่วนที่ดี หรือส่วนที่ไม่ดี พิพัฒน์เข้าใจทั้งหมด สิ่งที่ทำก็แค่ปรับตัวเข้าหากัน รับในสิ่งที่อีกฝ่ายเป็นให้ได้
พิพัฒน์ไม่ใช่คนช่างพูด แต่พิพัฒน์ชอบที่จะฟัง และยิ้มกับสิ่งที่บารมีพูดเสมอ
"พรุ่งนี้ต้องไปหาอาพิชัยแต่เช้า เรื่องอะไรก็ไม่รู้ อาพิชัยที่เคยเป็นเพื่อนกับพ่อกูเมื่อก่อนน่ะ ไม่รู้มีเรื่องใหญ่อะไรหรือเปล่า ร้อยวันพันปีไม่เคยติดต่อมาอยู่ดี ๆ ก็ติดต่อมาขอคุยด้วย กูยังสงสัยอยู่ว่าเรื่องอะไรกันแน่"
ชีวิตประจำวันของเราสองคนเป็นปกติดี แต่บางครั้งก็มีเรื่องที่ทำให้ครุ่นคิดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเช่นเรื่องของอาพิชัย ที่บารมีจำหน้าแทบไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ เหมือนคุ้น ๆ ว่าเคยเจอกันเมื่อหลายปีก่อน สมัยที่พ่อยังมีชีวิตอยู่
พิพัฒน์หิ้วปิ่นโตและถุงกับข้าวสองสามอย่างลงมาจากรถ เดินเข้าครัวไปเพื่อจะล้างมือและเตรียมอาหารเย็นให้กับคนที่เดินบ่นไปเรื่อย และกำลังค้นหาน้ำดื่มจากในตู้เย็น
"เออ พัฒน์"
บารมีเทน้ำลงในแก้วและถือเอาไว้
ทุกอย่างดูคล้ายปกติดี แต่พิพัฒน์ก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาบางอย่างที่ผิดไปจากปกติ
บารมีดูเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง และเหมือนกำลังพยายามจะพูดอะไรสักอย่างออกมา
แก้วน้ำในมือ ถูกยกขึ้น และบารมีก็ดื่มน้ำจนหมดแก้วและวางแก้วน้ำไว้บนซิงค์ล้างจาน
"ในลิ้นชักเก็บจาน มีอะไรอยู่ในนั้นหรือเปล่าวะ"
พิพัฒน์เลิกคิ้วขึ้นสูงและยังคงนิ่งเฉย ไม่ได้ไปเปิดลิ้นชักดูอย่างที่บารมีบอก และเป็นบารมีที่ขมวดคิ้วมุ่น เมื่อเห็นพิพัฒน์ยังคงนิ่งเฉย
"ในลิ้นชักมีของอยู่ ช่วยไปเปิดหน่อยได้มั้ย"
เน้นย้ำด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น แต่พิพัฒน์ก็ยังเฉย และบารมีก็เริ่มขมวดคิ้วมุ่นและนึกหงุดหงิดเล็ก ๆ ที่พิพัฒน์ไม่ทำตาม
"โว้ย"
ส่งเสียงให้รู้ว่าไม่ชอบใจกับสิ่งที่พิพัฒน์ทำ และพิพัฒน์ก็แกล้งหันมามองหน้าของบารมีเล็กน้อย สีหน้ายังคงเรียบเฉย และกลายเป็นบารมีที่ต้องเดินไปเปิดลิ้นชักเก็บจานเพื่อจะหยิบของบางอย่าง
กล่องเล็ก ๆ ที่เคยอยู่ในนั้นหายไปแล้ว และมันแทนที่ด้วยกล่องอีกกล่องที่มีลักษณะคล้ายกัน
บารมีหยิบกล่องขึ้นมาดูและพบว่ามีการ์ดใบเล็ก ๆ เสียบเอาไว้
เปิดการ์ดใบนั้นออกดู ก็พบว่าเป็นการ์ดอวยพร และในนั้นมีข้อความที่เขียนถึงบารมีเพียงไม่กี่บรรทัด
......พี่บัส.....
พี่ลืมหรือเปล่าว่าวันนี้เป็นวันเกิดพี่.......สุขสันต์วันเกิดนะครับ
..............................รัก..............
พัฒน์
บารมีเปิดกล่องออกดู และพบว่าของในนั้นคล้ายกับที่บารมีซื้อให้พิพัฒน์ทุกประการ
ข้าวเย็นเตรียมเสร็จแล้ว และพิพัฒน์ก็ตักข้าวใส่จานให้บารมีเรียบร้อย
"พี่บัสกินข้าว"
พิพัฒน์เรียกให้บารมีมานั่งกินข้าวด้วยกัน และบารมีก็ถือการ์ดและกล่องของขวัญมาวางไว้บนโต๊ะ
ทุกอย่างเป็นปกติดี ชีวิตของเราเป็นปกติเหมือนทุกวัน เพียงแต่วันนี้มีบางอย่างแตกต่างจากวันอื่นแค่เล็กน้อยเท่านั้น
นิ้วนางขางซ้ายของพิพัฒน์ที่ไม่เคยมีเครื่องประดับ ตอนนี้มีแหวนทองเกลี้ยงสวมอยู่หนึ่งวง และนิ้วนางข้างซ้ายของบารมีที่เคยว่างเปล่าเมื่อหนึ่งนาทีก่อนก็มีแหวนทองเกลี้ยงแบบเดียวกับที่พิพัฒน์สวมอยู่
พิพัฒน์ไม่ใช่คนช่างพูดช่างคุย ถนัดที่จะฟังมากกว่า และบารมีก็เริ่มพูดเรื่องที่ต้องไปเจอกับอาพิชัยเพื่อนของพ่อในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง พิพัฒน์เพียงแค่ฟังไปเรื่อย ๆ และพยักหน้ารับ และบารมีก็แค่เล่าไปเรื่อย ๆ เหมือนทุก ๆ วัน
เรื่องที่ต้องทำในวันพรุ่งนี้บารมีเล่าจนจบแล้ว และยื่นมือมาแตะเบา ๆ ที่ข้างแก้มของพิพัฒน์
"รักเหมือนกันว่ะ"
บารมีพูดเพียงเท่านั้นและรีบลุกเดินหนีขึ้นห้องไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้พิพัฒน์นั่งอมยิ้มคนเดียวเงียบ ๆ อยู่อย่างนั้น
ยังไม่ทันบอก "สุขสันต์วันเกิด" ด้วยซ้ำ แต่คนที่ควรต้องฟังก็รีบหนีขึ้นห้องไปแล้ว บารมีเป็นคนไม่ค่อยแสดงความรู้สึกของตัวเองให้พิพัฒน์เห็นมากนัก นาน ๆ ทีถึงจะแสดงความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดให้รู้บ้าง และพิพัฒน์ก็รู้และเข้าใจดี
คงจะพยายามเต็มที่แล้วที่จะทำให้แปลกใจ ด้วยการเอาของขวัญใส่ในลิ้นชักไว้ให้ แต่บังเอิญบารมีลืมไปว่าวันนี้เป็นวันเกิดของตัวเอง และพิพัฒน์รู้ว่ายังไงบารมีก็ลืมแน่ ๆ เลยตั้งใจจะทำให้อีกฝ่ายประหลาดใจด้วยของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ
แต่ไม่นึกว่าเราจะใจตรงกันขนาดนี้
บารมีและพิพัฒน์ยังคงใช้ชีวิตปกติเหมือนทุกวัน แต่วันนี้มีบางอย่างเพิ่มเติมขึ้นมาอีกเล็กน้อย
สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือคำว่า "รัก" และผูกพัน และเมื่อมีสองสิ่งนั้นร่วมกันก็เป็นสัญญาณที่ดีในการเริ่มต้นใช้ชีวิตคู่แบบจริงจังของพิพัฒน์และบารมี
TBC.