“ รักคืนรัง ”
ตอนที่ 12
หลังจากที่ธรณ์และเขตแดนหันมาคุยกันอย่างเปิดอก ก็ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างชายหนุ่มสองคนจะดีขึ้นตามลำดับ อาการงัดข้อก็ลดน้อยลง แต่ก็ยังคงมีบ้างที่ต่างฝ่ายต่างพยายามที่จะท้าทายซึ่งกันและกัน ยกตัวอย่างเช่น ตอนสายของวันที่ธรณ์เดินดุ่มเข้ามาเคาะประตูห้องทำงานของเขตแดน
“เชิญ!”
หลังจากที่เจ้าของห้องอนุญาต ชายหนุ่มร่างสูงก็เปิดประตูพรวดเข้ามาพร้อมกับแฟ้มเอกสารหลายอัน ธรณ์เดินนิ่วหน้ามาทิ้งตัวนั่งลงตรงข้ามเขตแดนที่ยังคงสาละวนกับการเซ็นเอกสาร แต่ผู้มาเยือนก็นั่งรอด้วยความอดทน พยายามย้ำอยู่เสมอถึงตำแหน่งประธานบริษัทของอีกฝ่าย ยามอยู่ที่บริษัทและต่อหน้าคนอื่น ธรณ์จะเคารพเขตแดน อาจมีบ้างที่โต้แย้งตามเหตุและผล แต่ก็ไม่ได้คิดก้าวก่ายอำนาจประธานบริษัท แต่ถ้าอยู่ที่บ้านหรือตามลำพังก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“มีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่า?” เขตแดนถามเสียงเรียบเรื่อยโดยที่ยังไม่ยอมละสายตาจากเอกสาร จนเป็นภาพที่น่าหมั่นไส้สำหรับธรณ์เหลือเกิน
ธรณ์วางแฟ้มเอกสารลงตรงหน้า ก่อนจะเอาปลายปากกาชี้ตัวเลขที่ถูกวงด้วยปากกาสีแดง
“ทำไมงบประมาณที่ผมเสนอเพื่อรับรองลูกค้าถึงถูกตีกลับล่ะ”
“นายคิดว่าทำไมถึงถูกตีกลับล่ะ” เขตแดนย้อนถามกลับ โดยที่มือก็ยังตวัดปากกาเซ็นเอกสาร ไม่ได้เงยหน้ามามองธรณ์แม้แต่น้อย จนธรณ์อดที่จะหงุดหงิดคนที่ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทไม่ได้ ว่าทำไมเขตแดนจะต้องตอบคำถามเขาด้วยคำถามเสมอ
“ถ้าผมรู้ ผมจะมาถามคุณเหรอครับ”
“ฉันอยากให้นายลองไตร่ตรองด้วยตัวเองดูก่อนที่จะวิ่งโร่มาหาฉัน เพราะที่นี่ไม่ใช่โรงเรียน และฉันไม่ใช่คุณครูที่จะมาคอยสอนและบอกทุกอย่าง นี่คือชีวิตจริง ทุกอย่างต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง”
แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังสอนด้วยความปรารถนาดี แต่ธรณ์ก็อดขุ่นในอารมณ์ไม่ได้ เขาก้มลงกวาดสายตามองเอกสาร ไล่สายตาไปมาอยู่นาน แต่เขตแดนก็ไม่ได้เอ่ยเร่งอะไร ปล่อยให้ธรณ์ได้ใช้เวลาอย่างเต็มที่ จนในที่สุดชายหนุ่มก็ยอมแพ้
“ผมหาไม่เจอ ช่วยบอกหน่อยได้ไหม”
เขตแดนวางปากกาลง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วกอดอกมองธรณ์ ที่นั่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะยังหาจุดที่ผิดพลาดไม่เจอ ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็ต้องหยิบเอกสารอีกฉบับออกมาวางตรงหน้าธรณ์
“งบประมาณสำหรับแต่ละแผนกในแต่ละปีจะถูกกำหนดเอาไว้แล้ว และงบประมาณที่นายเสนอมาเพื่อขออนุมัติก็เกินโควตา ถ้าจะให้ฉันอนุมัตินายก็ต้องลดงบประมาณลง”
“แต่คุณก็รู้ว่าเราต้องเต็มที่กับลูกค้าเสมอ ถ้าคุณมาบีบงบประมาณแบบนี้แล้วผมจะทำยังไง”
“นั่นก็เป็นหน้าที่ของนาย บริษัทให้งบนายสิบ นายก็ต้องจัดสรรสิบที่ได้ไปให้พอใช้ ไม่ใช่มาขอเพิ่ม ถ้าฉันเพิ่มงบประมาณให้แผนกต่างประเทศ พอแผนกอื่นรู้ก็จะพากันมาขอ แล้วมันก็จะเสียการปกครอง หวังว่านายคงเข้าใจ ส่วนจะทำยังไงให้สิบที่ได้ไปเกิดประโยชน์สูงสุด นายก็ต้องไปคิดเอาเอง”
ธรณ์พยักหน้ารับเป็นเชิงเข้าใจ แต่เขาจะจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่อย่างไรก็เป็นปัญหาของเขา นี่ก็ไม่ต่างอะไรจากการถูกจำกัดค่าขนมหรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธรณ์ที่มักจะเลือกสิ่งที่ดีสุดเสมอ และนิสัยนี้ก็ยังคงเป็นอยู่ แม้จะนำมาปรับใช้ในการรับรองลูกค้า เพราะธรณ์เลือกโรงแรมห้าดาว ห้องอาหารระดับภัตตาคาร โปรแกรมทัวร์ระดับวีไอพี งบมันถึงได้บานปลายจนเขตแดนต้องส่ายศีรษะ
สุดท้ายชายหนุ่มก็ทำได้เพียงแค่รวบแฟ้มแล้วขอตัวออกจากห้องทำงานของเขตแดน ปล่อยให้ประธานบริษัทหนุ่มนั่งทำงานต่อไปอย่างอารมณ์ดี ซึ่งเขาก็ไม่คิดจะหาสาเหตุหรอกว่าอีกฝ่ายอารมณ์ดีเรื่องอะไร พอกลับมาที่โต๊ะทำงานของตนเอง นั่งลงบนเก้าอี้ยังไม่ทันไร ภวินท์ก็เดินเข้ามาหาผู้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าโดยตรงทันที
“คุณธรณ์ครับ มิสเตอร์จอห์น วิลสันที่เคยติดต่อว่าจะขอเข้ามาพบคุณธรณ์ จะเดินทางมาถึงประเทศไทยพรุ่งนี้ เขาขอนัดหมายเป็นช่วงบ่ายวันศุกร์นะครับ”
“เดี๋ยวขอผมเช็คตารางงานก่อนนะครับคุณภวินท์”
ธรณ์คว้าสมุดออร์แกไนเซอร์มาเปิดดู เขาจำได้ว่ามิสเตอร์วิลสัน คือคู่ค้ารายใหม่ที่เพิ่งติดต่อเข้ามา และเขาก็รับจะเป็นผู้ดูแลและรับผิดชอบทุกอย่างตลอดจนกระทั่งการรับรองแขกเอง แม้ว่าปกติคู่ค้าทุกรายจะต้องผ่านการสกรีนจากเขตแดนก่อนก็ตาม ถ้าการเจรจาราบรื่น นี่ก็จะเป็นผลงานชิ้นแรกของธรณ์ และมิสเตอร์วิลสันก็จะเป็นคู่ค้ารายแรกของธรณ์ด้วยเช่นกัน
“โอเคครับคุณภวินท์ วันศุกร์ผมไม่ติดธุระอะไร นัดหมายกับเขาได้เลยครับ”
“ได้ครับ ยังไงถ้ามีรายละเอียดเพิ่มเติม เดี๋ยวผมจะแจ้งคุณธรณ์อีกทีนะครับ”
ธรณ์ยิ้มรับ ก่อนจะก้มลงจดนัดหมายลงไปในสมุดออร์แกไนเซอร์ของตัวเอง เสร็จแล้วก็สาละวนกับการแก้งบประมาณการรับรองลูกค้าของแผนก ที่ธรณ์คงต้องมาหัวหมุนกับการปรับเปลี่ยนขนานใหญ่ เพราะบางครั้งสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด ก็ไม่ได้แปลว่าเหมาะสมที่สุดเสมอไป
====================
ช่วงเย็นหลังเลิกงาน คฤหาสน์อิสรพัฒน์มีโอกาสได้ต้อนรับแขกอีกสองคนอย่างกระทันหัน เพราะจู่ๆหนึ่งในแขกสองคนก็โทรศัพท์มาบอกธรณ์ว่าจะขอมาร่วมโต๊ะอาหารเย็นด้วย ธรณ์เองก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรอยู่แล้ว จึงบอกให้อีกฝ่ายมาได้เลย ป้าอุ่นเรือนเลยต้องรับหน้าที่จัดการอาหารเย็นเพิ่ม ซึ่งแกก็ไม่ได้ลำบากอะไร ออกจะชอบเสียด้วยซ้ำที่มีแขกมาร่วมโต๊ะอาหารกับคุณชายของแก
ทันที่กลับมาถึงและเดินเข้าบ้านมาพร้อมเขตแดน ธรณ์ก็ต้องเลิกคิ้วนิดๆ เมื่อเห็นว่าแขกที่จะมาร่วมโต๊ะอาหารเป็นฝ่ายมารออยู่ก่อนแล้ว บนโต๊ะตัวเล็กมีของว่างและกาแฟที่พร่องไปเล็กน้อย บ่งบอกว่าแขกคงจะมาถึงซักพัก ธรณ์และเขตแดนหันไปทักทายคนที่อายุมากกว่าก่อน เสร็จแล้วธรณ์จึงหันมาหาเพื่อนรักตนเองที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่
“เป็นอะไรมึง”
“พอดีผมชวนเขาเปลี่ยนที่นอนไปนอนที่กรมน่ะ เลยไม่สบอารมณ์เท่าไหร่”
“พี่มานอนที่เรือนเล็กก็หมดเรื่อง ทำไมต้องให้ผมไปนอนบ้านพักที่กรมด้วยเล่า”
“เกรงใจคุณลุงคุณป้า”
“เกรงใจอะไรกัน พ่อกับแม่ผมเขารักพี่ยิ่งกว่าลูกในไส้อย่างผมอีก”
ถึงถ้อยคำของชินดนัยจะฟังดูประชดประชัน แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้รู้สึกอิจฉาคนที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายตามกฎหมาย ออกจะพอใจเสียด้วยซ้ำที่ท่านนายพลกับคุณหญิงรักและเอ็นดูผู้พันชนวีร์ เพียงแค่หมั่นไส้นายทหารหนุ่มที่ชอบหมกตัวอยู่ที่กรมทหาร นานทีปีหนถึงจะยอมกลับมาอยู่ที่คฤหาสน์จิรวงศ์ ไม่รู้จะคิดมากแล้วก็เกรงอกเกรงใจอะไรกันนักหนา
“ผู้พันเขามีสาวซ่อนไว้ที่กรมทหารหรือเปล่ามึง” ธรณ์แกล้งแหย่เพื่อนรัก
ผลที่ได้คือคนถูกพาดพิงสะดุ้งทันควัน ส่วนเพื่อนรักอย่างชินดนัยก็ทำตาวาววับ ที่ดูแล้วว่าเดี๋ยวคงต้องมีเคลียร์กันนอกรอบแน่ๆ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น ที่ทำได้จึงมีแค่การถามหน้านิ่งๆ
“จริงหรือครับ”
“เชื่ออะไรกับธรณ์เล่า ฉันไม่ใช่เพลย์บอยแบบธรณ์นะ จะได้มีสาวซุกไว้เป็นกระบุง อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เล็กยังไม่รู้นิสัยกันอีกเหรอ”
ผู้พันหนุ่มถือโอกาสโยนเผือกร้อนกลับมาให้ธรณ์ทันที และก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน คนที่กำลังจะกลายเป็นอดีตเพลย์บอยถึงได้เหลือบตามองเขตแดน ก่อนจะรีบแก้ตัวทันที
“อะไรกันผู้พัน เดี๋ยวนี้ผมไม่ค่อยมีแล้วนะ วันๆทำแต่งาน”
“หึหึ อย่าให้มีใครมาเรียกร้องตำแหน่งสะใภ้ตระกูลอิสรพัฒน์ละกัน”
เขตแดนปรายตามองธรณ์นิ่งๆ ก่อนจะเอ่ยขอตัวไปที่ห้องหนังสือ โดยไม่ลืมที่จะบอกว่า ถ้าเกิดป้าอุ่นเรือนเตรียมอาหารเรียบร้อยก็ให้เข้าไปตามเขาด้วย พอนักธุรกิจหนุ่มเดินไปแล้ว ธรณ์ก็ทำหน้าอิหลักอิเหลื่อพิกลก่อนจะเปรยเบาๆ
“เป็นอะไรของเขา สงสัยจะโมโหหิว”
นายทหารหนุ่มแทบอยากจะหลุดหัวเราะมา เพลย์บอยหนุ่มที่ดูหญิงสาวออกมานักต่อนัก ประสบการณ์โชกโชนจนเรียกได้ว่าเจนสนาม กับดูอาการง่ายๆของคนใกล้ตัวไม่ออก แต่เอาเถอะ เขาจะสงเคราะห์ให้หน่อยละกัน เผื่อบุญกุศลจะหนุนนำความรักของเขาให้ราบรื่นบ้าง
“เขาหึง” แค่สองคำที่หลุดออกมาจากปากผู้พันชนวีร์ ก็เรียกอาการอ้าปากค้างจากธรณ์ได้ทันที ขณะที่ชินดนัยเองก็มีสีหน้าเคร่งเครียดทันควัน
“เฮ้ย! ผู้พัน มุกนี้ไม่ขำนะเนี่ย” ธรณ์ปฏิเสธออกไปเสียงหลง แต่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ทำไมพอรู้ว่าเขตแดนอาจจะหึงตัวเองอยู่ มันถึงได้รู้สึกพองในอกอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับว่าตัวเขาเองกำลังพึงพอใจที่ถูกเขตแดนหึงหวงอยู่ยังไงยังงั้นเลย
“ผมไม่ได้มุก พูดไปตามที่เห็นเนี่ยแหล่ะ”
ธรณ์นิ่งเงียบไปทันที ใคร่ครวญไตร่ตรองท่าทางของเขตแดน โดยที่ไม่รู้ว่าได้ตกเป็นเป้าสายตาให้เพื่อนรักลอบสังเกตอาการอย่างไม่สบายใจ ขณะเดียวกันผู้พันชนวีร์ที่มองท่าทีของชินดนัยอยู่ก็นึกรู้ความคิดของอีกฝ่าย ถึงได้เอื้อมมือมาแตะข้อศอกชินดนัยคล้ายจะปราม
“ใจมันบังคับกันไม่ได้หรอก ต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามที่ต้องการ”
ธรณ์คิดว่าประโยคที่นายทหารหนุ่มพูดลอยๆ คงเจาะจงพูดกับตัวเขาและหมายถึงตัวเขาเอง แต่คงมีแค่คนพูดและชินดนัยที่รู้ ว่านายทหารหนุ่มต้องการจะสื่อถึงใคร
====================
พอป้าอุ่นเรือนจัดโต๊ะอาหารเสร็จเรียบร้อย ธรณ์จึงถือโอกาสขอตัวไปตามเขตแดนที่ห้องหนังสือ ปล่อยให้ชินดนัยกับผู้พันชนวีร์ล่วงหน้าไปรอที่โต๊ะอาหารก่อน พอเห็นเพื่อนรักเดินไปแล้ว ชินดนัยก็หันมาเปิดฉากสนทนากับนายทหารหนุ่มทันที
“ผมไม่เห็นด้วยเรื่องธรณ์กับคุณเขตต์หรอกนะ ถ้าเป็นพี่เป็นน้องกันก็อีกเรื่อง”
“นายบังคับธรณ์ได้หรือไง”
แค่ประโยคเดียวจากผู้พันชนวีร์ ก็ทำเอาชินดนัยถึงกับนิ่งงัน เขาและธรณ์เป็นเพื่อนรักกัน แน่นอนว่าธรณ์คงฟังในสิ่งที่เขาพูด แต่จะเชื่อหรือเปล่าก็อีกเรื่อง ถ้ามีเหตุผลสมควรเชื่อ ธรณ์ก็เชื่อ แต่ถ้าธรณ์คิดว่าเหตุผลมันไร้สาระ ชายหนุ่มก็เลือกที่จะไม่เชื่อ และครั้งนี้ชินดนัยก็ไม่รู้ว่า เหตุผลที่เขาเป็นห่วงและไม่อยากเห็นธรณ์เจ็บปวด มันมีน้ำหนักพอให้ธรณ์เชื่อเขาได้หรือเปล่า
“คุณเขตต์ก็เป็นคนดี แต่ผม...ไม่อยากให้เรื่องมันยุ่งยากไปมากกว่านี้อีกแล้ว”
“นายอย่าเพิ่งกลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงเลย มันอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่นายคิดก็ได้”
ชินดนัยถอนหายใจยาว ขยับปากจะเอ่ยโต้แย้งว่าเขารู้จักธรณ์ดีแค่ไหน แต่ไม่ทันได้เอ่ยปากก็ต้องเงียบ เพราะธรณ์และเขตแดนพากันเดินออกมาจากห้องหนังสือเรียบร้อย เห็นสีหน้าธรณ์ในวันนี้ ชินดนัยก็ต้องยอมรับว่าดีขึ้นมาก ธรณ์ดูมีความสุขกว่าช่วงแรกๆ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าความสุขนี้จะอยู่กับธรณ์อีกนานแค่ไหน
ด้านนายทหารหนุ่มเองมองท่าทีของเขตแดนก็นึกรู้ สายตาของเขตแดนที่คอยมองตามและรับฟังทุกเรื่องที่ธรณ์พูด มันก็ไม่ต่างอะไรจากตัวเขาที่คอยมองชินดนัย เคยคิดว่าเป็นสายตาที่พี่ชายมองน้องชาย ก่อนจะมารู้เอาภายหลังว่าความรู้สึกมันได้ก้าวข้ามเส้นแห่งความเป็นพี่น้องไปแล้ว อุปสรรคแรกที่เขาและเขตแดนต้องเจอก็คงไม่พ้นความเป็นผู้ชายเหมือนกัน ส่วนอุปสรรคต่อมาของเขา ก็หนีไม่พ้นความเป็นจิรวงศ์ที่ค้ำคออยู่ สำหรับเขตแดนเองก็คงเป็นเรื่องเดียวกับที่ชินดนัยกำลังกังวล เลยไม่รู้ว่าสำหรับเขาและเขตแดน อุปสรรคของใครกันแน่ที่ใหญ่หลวงกว่ากัน
ระหว่างความรู้สึกของเขตแดน เกียรติณรงค์ที่มีต่อธรณ์ อิสรพัฒน์ หรือความรู้สึกของพันตรีชนวีร์ จิรวงศ์ที่มีต่อชินดนัย จิรวงศ์ ผู้พันหนุ่มเลือกนั่งลงข้างชินดนัย ปล่อยให้เขตแดนยึดที่นั่งข้างธรณ์ การรับประทานอาหารเป็นไปอย่างครึกครื้น เพราะสำหรับชินดนัยแล้ว นอกจากไม่พอใจเรื่องที่เขตแดนอาจจะคิดเกินเลยกับธรณ์ เขาก็ยังไม่เห็นข้อเสียอย่างอื่นของเขตแดน อย่างน้อยเขาก็รู้และมั่นใจว่า...
เขตแดนคงเอาธรณ์อยู่แน่ๆ “ธรณ์นี่โชคดีนะครับ ที่ได้คุณเขตต์เป็น
พี่ชาย”
คำพูดของชินดนัยจะไม่สะดุดหูเขตแดนเลย ถ้าหากเจ้าตัวจะไม่ย้ำคำว่า
‘พี่ชาย’ ชัดเจน เขามองสบตากับอีกฝ่าย ซึ่งชินดนัยก็ไม่ได้หลบสายตา ยังกระตุกยิ้มที่มุมปากน้อยๆ
“ผมกับธรณ์เราต่างก็เป็นลูกชายคนเดียวครับ”
“ผมถึงบอกว่าธรณ์โชคดีไงครับ ที่เป็นลูกชายคนเดียวแล้วคุณเขตต์ยังมาเอ็นดูเป็นน้องชายอีก เป็นพี่ชายน้องชายนี่ความสัมพันธ์มันยืนยาวนะครับ เพราะยังไงพี่น้องกันก็ตัดไม่ขาด”
นายทหารหนุ่มแตะแขนชินดนัยเป็นเชิงปราม คล้ายจะบอกให้รู้ว่าชินดนัยกำลังล้ำเส้นมากไปแล้ว แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่ชินดนัยจะมาสนใจอะไร ในเมื่อสิ่งที่เขาสนใจมีเพียงการตัดไฟแต่ต้นลม
“คงต้องถามธรณ์ครับ ว่าอยากให้ผมเป็น
พี่ชายหรือเป็นแค่
คุณเขตแดนของเขา”
คราวนี้คนที่อุตส่าห์นั่งทานข้าวเงียบๆถึงกับกระแอมออกมา ก็เขตแดนย้ำคำว่า
‘ของเขา’ ชัดเหลือเกิน จนธรณ์อดไม่ได้ต้องเอ่ยปากออกมา
“คุณเขตต์ก็ต้องเป็นพี่ชายอยู่แล้วสิ คุณเขตต์เขาอายุมากกว่ากูนะชิน”
“กูก็แค่กลัวว่า...สมภารเกิดอยากจะกินไก่วัดขึ้นมา” “ชินดนัย!” ผู้พันชนวีร์เรียกชื่ออีกฝ่ายเป็นเชิงปรามทันที
“สมภารอยากจะกินไก่วัด แล้วยังไงวะ กูไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
ชินดนัยคงลืมไปว่า เพื่อนรักของตัวเองไปอยู่ต่างประเทศมาเกือบสิบปี และไม่ได้กลับบ้านทุกปิดเทอมเหมือนเขา พอเขาพูดสำนวนไทยออกมา ธรณ์เลยไม่กระดิกหูแม้แต่น้อยแถมยังทำหน้างง ก่อนจะหันไปเลิกคิ้วใส่เขตแดนเป็นเชิงถามเมื่อไม่ได้รับคำตอบจากชินดนัย เขตแดนเองก็บอกเพียงแค่ว่า...
“สมภารเลี้ยงไก่วัดมา ไก่วัดก็ต้องเป็นของสมภาร” ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ธรณ์เข้าใจอะไรเพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“ช่างมันเหอะ กูคงมึนๆ” สุดท้ายชินดนัยก็เลือกที่จะตัดบท แต่กลายเป็นการเปิดโอกาสให้คนข้างๆที่รอจังหวะอยู่
“โอเค งั้นเดี๋ยวผมขอพาชินกลับไปนอนพักก่อนละกัน ดูท่าจะมึนมากๆเลย ขนาดยังไม่ได้แตะแอลกอฮอล์นะเนี่ย ลาเลยละกันครับ”
ครั้นชินดนัยจะขยับปากเอ่ยทักท้วงก็ทำไม่ได้ เพราะผู้พันชนวีร์ถือโอกาสที่รับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย พาเขาเดินออกจากบ้านโดยไม่เปิดโอกาสให้พูดอะไร เขตแดนเองก็เอาแต่ยิ้มนิดๆก่อนจะเดินตามมา ส่วนธรณ์ก็คงเข้าใจเรียบร้อยแล้วว่าเพื่อนรักรู้สึกไม่สบาย ถึงได้ฝากฝังชินดนัยกับนายทหารหนุ่มเป็นการใหญ่
“ฝากดูแลชินด้วยนะครับผู้พัน”
นอกจากนายทหารหนุ่มจะไม่ตอบรับธรณ์แล้ว ยังถือวิสาสะหันไปฝากฝังธรณ์กับเขตแดนเสียอีก
“คุณเขตต์ก็ดูแลธรณ์ดีๆด้วยนะครับ”
ธรณ์ขมวดคิ้วอย่างงงๆ แต่ไม่ทันได้ซักถามอะไร ผู้พันชนวีร์ก็เดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งคนขับ สุดท้ายเลยได้แต่ยืนมองจนนายทหารหนุ่มขับรถออกไป และคาดว่าสองพี่น้องคงได้เคลียร์กันยาวแน่ๆ เพราะชินดนัยเองก็ดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่
ใช่ว่าจะมีแต่ฝ่ายโน้นที่เฝ้าสังเกตเขตแดนและธรณ์ เขตแดนเองก็ลอบสังเกตอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน พอเดินเข้ามาในบ้านเรียบร้อยแล้ว เขาเลยถือโอกาสพูดในสิ่งที่ตัวเองสงสัย แต่ก็ไม่มั่นใจว่าตนเองเลือกใช้คำถูกหรือไม่
“ชินดนัยกับผู้พันเขาดูห่วงกันแปลกๆดีนะ”
“แปลกยังไงครับ”
“ผู้พันเขาดูแลชินดนัยแปลกๆ เหมือนเป็น...” เขตแดนนิ่งเงียบไป จนธรณ์ต้องเป็นฝ่ายต่อให้จนจบประโยค
“คนรักกันใช่ไหมครับ”
คราวนี้เขตแดนเป็นฝ่ายเบิกตาโพลง เขาเองยังแค่คิด แต่ก็ไม่กล้าคิดว่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะนอกจากชินดนัยกับผู้พันชนวีร์จะเป็นผู้ชายเหมือนกันแล้ว ยังมีสายเลือดเดียวกันอีกไม่ใช่หรือ แต่ดูเหมือนธรณ์จะไม่ได้แปลกใจสงสัยอะไรเลย เหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป
“ผู้พันเขาชื่อ-นามสกุลเต็มว่าอะไรนะ”
“พันตรีชนวีร์ จิรวงศ์ครับ”
“สองคนนั่นนามสกุลเดียวกันนี่”
แค่เห็นหน้าเขตแดน ธรณ์ก็นึกรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ แปลกดีเหมือนกัน พอเป็นเรื่องของคนอื่น ธรณ์มักจะฉลาด แต่พอเป็นเรื่องของตัวเองมักจะต้องมีพลาดบ้าง ไม่ต่างอะไรจากเส้นผมบังภูเขา เพลย์บอยหนุ่มยิ้มน้อยๆก่อนจะเอ่ยไขข้อข้องใจของเขตแดน
“ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดหรอกครับ ผู้พันเป็นพี่ชายบุญธรรมของชิน ความจริงแล้ว...เขาสองคนไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเลยแม้แต่น้อย”
เขตแดนพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ เพราะเท่าที่เคยรู้มา ก็รู้ว่าชินดนัยเป็นลูกชายคนเดียวของท่านนายพล ตอนแรกก็คิดว่าผู้พันชนวีร์คงเป็นญาติ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นพี่ชายบุญธรรมที่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นจะมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งก็คงไม่แปลก
“แล้วตกลงสองคนนั่นเขาเป็นคนรักกันจริงหรือ”
“ไม่รู้สิครับ ถ้าบอกว่ารักกันก็คงใช่ แต่อยู่ในสถานะอะไรกันผมก็ไม่ทราบ”
ดูเหมือนธรณ์จะรู้เรื่องพอสมควรและยังยอมรับได้ถ้าหากเพื่อนรักของตนจะชอบพอกับผู้ชายด้วยกัน ถึงแม้ปัจจุบันจะมีให้เห็นอยู่ทั่วไปจนไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่เขตแดนก็อดคิดไม่ได้ว่า ทำไมคนที่คลุกคลีกับผู้หญิงมาตลอดอย่างธรณ์ถึงยอมรับเรื่องพวกนี้ได้อย่างง่ายดาย
“นายไม่รู้สึกแปลกๆบ้างหรือไง ชินดนัยกับผู้พันเขาเป็นผู้ชายเหมือนกันนะ”
“เขาไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนซะหน่อย แล้วเขาก็ยังเป็นเพื่อนผมเหมือนเดิม สมัยที่อยู่เมืองนอกผมเห็นมาเยอะ ไม่แปลกหรอกครับ”
ถ้าถามว่าเขตแดนรังเกียจไหม ที่ผู้ชายจะชอบกันเอง คำตอบของผู้บริหารหนุ่มก็คือ ‘ไม่’ แถมเขาเองยังรู้สึกยินดีอย่างประหลาดด้วยซ้ำ ที่ธรณ์บอกว่าไม่ได้รังเกียจความรักของเพศเดียวกัน แล้ว...
“นายเคยมีผู้ชายมาชอบหรือนึกชอบผู้ชายบ้างหรือเปล่า”
“ก็มีนะ แต่น้อยมาก ใครๆเขาก็รู้กันทั่วนี่คุณ ว่าผมน่ะควงผู้หญิงเป็นว่าเล่น เลยไม่อยากจะเข้ามาหาให้หน้าแตกกลับไป ส่วนจะให้ไปชอบผู้ชาย ผมก็ยังไม่เคยคิดเหมือนกัน”
ทั้งที่เป็นฝ่ายพูดเองว่ายังไม่เคยคิดเรื่องที่จะไปชอบผู้ชาย แต่ไม่รู้ทำไม พอเห็นสายตาเขตแดนที่มองมา ธรณ์ถึงต้องเบือนหลบก่อนที่เขาจะรู้สึกไม่เป็นตัวเองมากไปกว่านี้
“แล้วนายก็ปฏิเสธผู้ชายทุกคนที่เข้ามานายเหรอ”
“ก็ผมไม่ได้ชอบพวกเขา ไม่รู้จะให้ความหวังไปทำไม”
“แล้วมีโอกาสที่นายจะชอบผู้ชายไหม”
“ผมไม่รู้”
ตอบออกไปแล้ว ธรณ์ก็นึกอยากตบปากตัวเองแรงๆ แทนที่จะตอบว่าไม่มี ดันตอบไปว่าไม่รู้ เหมือนว่าเขาเองก็ยังไม่แน่ใจ ก่อนที่หัวข้อสนทนาอันล่อแหลมจะเลยเถิดไปไกล ชายหนุ่มเลยทำทีเป็นเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่นเสีย
“แล้วตกลงสมภารกินไก่วัดมันหมายความว่ายังไงเหรอครับ”
“อยากรู้จริงเหรอ”
ถึงจะตงิดที่อีกฝ่ายถามตาพราวระยับ แต่ธรณ์ก็พยักหน้าตอบไป ส่วนเขตแดนเอง แม้จะอยากรอให้ความรู้สึกของตัวเองแน่ชัดเสียก่อนแล้วจึงค่อยเอ่ยปาก แต่วันนี้เห็นชินดนัยทำท่าเหมือนจะคอยกันท่าเขา ก็อดไม่ได้ อย่างน้อยถ้ายังไม่ได้พูดออกไปเต็มปากเต็มคำ ก็ขอลองแย็บๆดูก่อนคงไม่เสียหายอะไร
“ฉันก็อธิบายไม่ถูกหรอก คงเหมือนกับว่า...ฉันเป็นผู้ปกครองนาย แล้วก็เกิดรักนายขึ้นมาล่ะมั้ง”
ถ้ามีกระจกให้ส่อง ธรณ์คงได้เห็นว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำหน้าตาตลกที่สุด เพราะเขาไม่รู้ว่าที่เขตแดนพูดมาเป็นแค่การเปรียบเปรยหรืออีกฝ่ายหมายความจริงจังอะไร แล้วแถมคำพูดของผู้พันชนวีร์ที่ว่าเขตแดนหึงเขา ก็ยังตามมาวนเวียนให้ต้องรู้สึกสับสน จนชายหนุ่มต้องเอ่ยปากขอตัวก่อนที่จะรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองไปมากกว่านี้
“คุณเปรียบเทียบได้เห็นภาพดีนะ ยังไงผมก็ขอตัวไปนอนก่อนละกัน”
เขตแดนไม่พูดอะไร ยืนมองแผ่นหลังของธรณ์ที่เดินจากไป ในหัวสมองก็ใคร่ครวญทบทวนความรู้สึกของตัวเอง อยากรอ...ให้แน่ชัดกว่านี้เสียก่อน ว่าที่รู้สึกอยู่มันเพราะความผูกพันฉันท์พี่น้อง หรือเพราะเขาคิดเกินเลยกับธรณ์ไปไกลแล้ว
====================
[มีต่อนะคะ]