ตอนที่ 23
หลังจากที่คุยธุระกับมิกะเสร็จผมก็ขึ้นไปห้องพักซึ่งอยู่ชั้นบนสุดของโรงแรม พออาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยแล้วก็ต้องมาหนักใจเรื่องที่จะต้องบอกวิน
เห้อ
เรื่องงานต้องมาก่อนเรื่องส่วนตัว นั่นเป็นสิ่งที่พ่อบอกผมเสมอ...แต่มันก็ไม่ได้ทำง่ายขนาดนั้นเมื่ออีกคนสำคัญสำหรับผมมากกว่าอะไรทั้งหมด
ก้าวขึ้นเตียงเรียบร้อย เอนหลังนั่งพิงพนักหัวเตียงก่อนจะคว้าโทรศัพท์กดวิดิโอคอลไปหาคนที่อยู่คนละประเทศ รอสัญญาณไม่นานใบหน้าน่ารักๆก็ปรากฏขึ้นที่หน้าจอ
(งานวันนี้เรียบร้อยแล้วเหรอ) วินยังอยู่ในชุดที่คุยกันเมื่อตอนเย็นแค่ต่างที่ตอนนี้นั้นคนตัวเล็กอยู่ในห้องนอนของตัวเองไม่ใช่บ่อปลาหลังบ้านเช่นเดิม
“ครับ” ยิ่งเห็นหน้าวินก็ยิ่งคิดเรื่องที่จะบอกอย่างกลัดกลุ้ม
(พัต)
“ครับ?” ละสายตาที่เหม่อไปไกลกลับมายังเครื่องมือสื่อสารในมือ มองคนตรงหน้าที่กำลังขมวดคิ้วหน่อยๆ
(เป็นอะไรรึเปล่า เหนื่อยเหรอ) ใบหน้าหวานฉายชัดถึงความเป็นห่วง
“นิดหน่อยน่ะ วินครับ...พัตมีเรื่องจะบอก” ไม่ว่าจะลำบากใจในการที่จะบอกแค่ไหนแต่สุดท้ายแล้วก็ต้องบอกอยู่ดี
(อื้อ เรื่องอะไร ทำไมต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้น)
“คือว่า...”
(...)
“...”
(ไม่ได้นอกใจเราใช่ไหม?)
“ไม่ใช่นะวิน!” คำพูดวินทำเอาผมต้องร้องออกมาอย่างตกใจ สีหน้าแววตาที่วินแสดงออกมามีความไม่มั่นใจอยู่ในนั้นจนผมร้อนรน อะไรที่ทำให้เขาคิดแบบนั้นกัน
“พัตไม่เคยคิดเรื่องนั้นเลยนะ ไม่เคยมองคนอื่นเลยด้วยซ้ำ”
(ก็พัตทำให้เรากลัว อึกๆอักๆแบบนั้นเราก็คิดไปเรื่องไม่ดีก่อนเลย) คนตัวเล็กเอ่ยตอบเสียงเบา
“เรื่องที่พัตจะบอกก็คือ...” แล้วเรื่องราวของมิกะก็ถูกถ่ายทอดออกมาให้วินฟังโดยไม่มีการปิดบังอะไรทั้งนั้น ตลอดเวลาที่ผมเล่าวินตั้งใจฟังเงียบๆโดยไม่พูดอะไร อีกคนมีสีหน้าเรียบเฉยที่ผมก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่บ้าง
“นี่แหละเรื่องที่พัตจะบอกวิน...”
(...)
“วินครับ” วินยังคงนิ่งจนผมกังวลไปหมด เราทั้งสองสบตากันผ่านหน้าจอเล็กๆท่ามกลางความเงียบรอบตัว ก่อนจะเป็นวินที่ค่อยๆถอนหายใจออกมา
(จะให้เราพูดว่าไม่เป็นไรก็คงเป็นไปไม่ได้หรอกนะ เราเข้าใจถึงเหตุผลทุกอย่าง...เพียงแต่ก็อดไม่ชอบใจไม่ได้อยู่ดี จะให้แฟนไปดูหนังไปทานข้าวกับผู้หญิงคนอื่นเป็นใครก็ต้องทำใจยอมรับลำบากใช่ไหม ยิ่งเราอยู่ไกลกันแบบนี้แล้วด้วย...)
“พัตอยากให้วินเชื่อใจ ถ้าพัตจะสนใจมิกะพัตก็คงสนใจไปนานแล้ว...เพราะฉะนั้นวินจะเชื่อใจพัตได้ไหม สัญญาว่าวันนั้นจะไลน์หาตลอด” จะคอยรายงานว่าอยู่ไหนทำอะไร ไม่อยากให้เขาต้องกังวลหรือคิดไปเองว่าวันนั้นผมทำอะไรอยู่บ้าง ภาพในหัวมันมักจะไปไกลกว่าความจริงเสมอ
(...เห้อ เราจะพยายาม) รอยยิ้มจางๆถูกส่งมาให้จากคนที่อยู่คนละประเทศ ผมรู้ว่าวินก็คงไม่ได้สบายใจแต่ยังดีที่เขาเข้าใจไม่ได้โวยวายแบบไม่มีเหตุผล
“พัตรักวินนะ” เอ่ยย้ำคำนี้อีกครั้งให้เขามั่นใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นมันจะเป็นอย่างนี้เสมอ ความรู้สึกผมไม่เคยเปลี่ยน
(เราก็รักพัตนะ...ขอบคุณที่ยังบอกกัน) ที่ผมตัดสินใจบอกเขาเพราะถ้าให้วินมารู้มาเห็นเรื่องนี้จากคนอื่นมันคงแย่กว่าที่เขารู้จากปากผมเอง เป็นคนรักกันไม่ควรจะมีเรื่องที่ปิดบังหรือเรื่องที่เป็นความลับต่อกัน พอพูดให้อีกคนฟังเราก็จะสบายใจขึ้น ไม่ต้องทำอะไรหลบๆซ่อนๆลับหลังกัน แม้ว่าจะเป็นการปิดบังเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจก็ตาม
“แล้วนี่ยังไม่อาบน้ำอีกเหรอหืม” ผ่านเรื่องมิกะไปก็เป็นแค่เรื่องผมกับเขาสองคน ไม่มีความจำเป็นที่ต้องพูดถึงคนอื่นแล้ว
(ที่นี่พึ่งจะหกโมงกว่าๆเองนะ ยังไม่ดึกซักหน่อย) ที่ไทยหกโมงกว่าๆ ที่นี่ก็สองทุ่มกว่าๆ
“อาบเร็วไว้ก็ดีนะครับ จะได้ไม่เป็นหวัด...แล้วนี่ทานข้าวหรือยัง”
(ทานแล้ว~ พัตทานอะไรรึยัง) พอวินถามขึ้นผมถึงนึกได้ว่าตัวเองยังไม่ได้ทานข้าวตอนเย็น
“ยังเลยครับ ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่” ใช้คำว่าตื้อน่าจะใกล้เคียงที่สุด
(ไม่ได้นะ ไม่หิวก็ต้องทานอะไรบ้าง)
“ไม่มีแฟนกินข้าวด้วยอะไรก็ไม่อร่อยซักอย่าง” เอ่ยอ้อนคนรักออกมาจนอีกฝ่ายต้องหลบสายตาไป ดูเหมือนว่าแก้มที่ผมจำได้ดีว่านุ่มและหอมแค่ไหนนั้นจะขึ้นสีจางๆด้วยความเขิน ไม่บ่อยเลยที่ผมจะพูดแบบนี้
(ไม่ต้องมาทำเป็นพูดเลย เดี๋ยวก็ต้องไปดินเนอร์หรูกับสาวๆนี่ก็คงลืมแฟนไปแล้วมั้ง) ผมรู้ว่าวินยังคงคิดเรื่องนี้อยู่ตลอด มันคงยากที่จะให้เขาพยายามลืมๆไป
“โถ่วิน เลือกได้พัตก็ไม่อยากไปเลยซักนิด...คิดถึงคนที่อยู่เมืองไทยคนเดียว คิดถึงจะแย่ อยากนอนกอด อยู่นี่นอนไม่ค่อยหลับเลย” ไม่มีร่างนุ่มนิ่มคอยให้นอนกอดผมนอนไม่ค่อยจะหลับจริงๆ คิดถึงไม่คิดถึงก็แอบเอาเสื้อของวินติดมาด้วยคิดดูสิ เป็นเอามากจริงๆ
(ให้มันจริงเถอะ) สายตาค้อนขวับแต่ปากเล็กกลับฉีกยิ้มออกมาจนผมต้องยิ้มตาม
แล้วเราก็คุยกันต่อทั้งคืนจนวินเห็นว่าที่นี่ดึกมากแล้วนั่นแหละเลยบอกให้ผมเข้านอนเพราะต้องไปทำงานเช้าทุกวัน แม้ว่าอยากจะเห็นหน้าเขาอยากได้ยินเสียงเล็กๆนั่นต่อแค่ไหนแต่ก็ทำไม่ได้
.
.
.
.
.
.
.
ทุกๆวันผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึก เข็มนาฬิกากว่าจะขยับแต่ละทีช่างดูลำบากยากเย็น แต่ผมก็ยังต้องทำงานตามปกติจนเวลาล่วงเลยมาเป็นอาทิตย์ มิกะบอกว่าเธอยุ่งๆเลยยังไม่มีเวลาที่จะนัดวันมาซึ่งนั่นก็ทำให้ผมได้มีเวลาหายใจหายคอบ้าง แค่คิดว่าต้องอยู่กิบเธอทั้งวันก็พลันไม่อยากจะทำอะไรขึ้นมาทันที แต่เรื่องที่น่าเบื่อหน่ายและน่าหงุดหงิดไปยิ่งกว่านั้นก็คือวันนี้ทั้งวันผมยังติดต่อวินไม่ได้เลย!
เข้าไปดูทั้งในไอจีและเฟสบุ๊คเป็นรอบที่ล้านก็ไม่เห็นมีความเคลื่อนไหวอะไร หลังจากคืนที่เราคุยกันวินก็ปกติดีทุกอย่าง เราคุยกันบ่อยเท่าที่ผมจะมีเวลาให้ ทุกอย่างไม่ได้ผิดแปลกอะไรเลย
ก๊อก ก๊อก
วางโทรศัพท์ที่พยายามจะกดโทรไปหาคนทางนั้นลงเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู
“เชิญครับ”
“ทำอะไรอยู่เรา หน้านิ่วคิ้วขมวดเชียว” แม่เป็นคนเอ่ยถามขึ้นเมื่อท่านเดินเข้ามาหาพร้อมกับพ่อที่ตามมาทางด้านหลัง พอคนเป็นแม่ท้วงถึงพึ่งรู้ตัวว่าตอนนี้คิ้วตัวเองขมวดกันแน่นแค่ไหน จนต้องยกมือขึ้นนวดหัวคิ้วเบาๆให้มันคลายออกเพราะเริ่มรู้สึกปวดตุบๆที่ขมับ
“ก็ตรวจเรื่องค่าใช้จ่ายในโรงแรมนี่แหละครับ พ่อกับแม่มีอะไรรึเปล่าถึงมาหาผมถึงที่นี่เลย” ถ้าเป็นปกติอาจจะโทรมาให้ผมไปพบที่ห้อง
“พอดีพ่อกับแม่มีนัดสำคัญตอนค่ำนะจ้ะ เลยมาบอกเรา...เคลียร์งานแล้วออกไปข้างนอกกัน” ก็คงจะเป็นนักธุรกิจนักการเมือง หรือเซเลปซักคนที่ต้องการเข้ามาคุยเพื่อความสัมพันธ์ที่จะเอื้อให้ทั้งสองฝั่งทำงานกันง่ายขึ้น ผมเบื่องานแบบนี้แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ การผูกสัมพันธ์กับคนเยอะๆจะทำงานของเราดำเนินไปได้ง่ายและรวดเร็ว
“ก็ได้ครับ ผมไม่ได้ติดอะไรอยู่แล้ว” ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะสี่โมงเย็น แสดงว่าคงต้องออกไปในอีกไม่กี่ชั่วโมง
“แล้วตรวจงานเป็นไงบ้างล่ะเรา” คราวนี้เป็นพ่อที่เอ่ยถามขึ้นมา
“ก็ดีครับ แต่มีบางจุดที่ผมยังคิดว่าเรามีทางที่จะลดค่าใช้จ่ายลงได้อีกโดยที่ยังคงรักษามาตรฐานของโรงแรมเอาไว้ได้เช่นเดิม ยังไงเดี๋ยวผมจะเข้าไปคุยกับพ่ออีกที”
“โอเค งั้นพ่อกับแม่ไม่รบกวนแล้ว เจอกันตอนหกโมงเย็นแล้วกัน...ไปกันเถอะคุณ” ผมยิ้มให้ท่านทั้งสองก่อนที่จะกลับมาขมวดคิ้วอีกครั้งเมื่อประตูห้องปิดลง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาวินอีกก็ไม่ติด ในใจเริ่มกังวลไปหมด กลัวว่าเขาจะเป็นอะไรรึเปล่า
“คนนี้สำคัญมากเลยเหรอครับเราถึงต้องมากันทั้งหมดเลย” ในระหว่างที่กำลังเดินเข้ามาในร้านทางส่วนที่เป็นโซนห้องวีไอพีผมก็อดจะถามขึ้นมาไม่ได้
“ก็...สำคัญสิจ๊ะ มากเลยล่ะ” พอถึงห้องพนักงานก็ผายมือเชิญเราให้เข้าไป โดยที่ผมเดินเข้าไปเป็นคนสุดท้าย...
“วิน! มาได้ยังไงครับ?!” คนที่ผมพยายามจะติดต่อทั้งวันมานั่งฉีกยิ้มกว้างอยู่ตรงนี้ได้ยังไงกัน! คิดว่าตัวเองฝันจนต้องถลาเข้าไปสัมผัสตามเนื้อตามตัวของคนที่นังอยู่บนพื้น ลูบหน้าลูบตาเขาไปมา
ตัวเป็นๆ ตัวจริงๆ...ไม่ได้ฝัน!
“ก็...นั่งเครื่องมา” ตอบแบบนี้นี่ตั้งใจจะกวนกันใช่ไหม คิดถึงจนอยากจับฟัดจะแย่แล้ว
แต่...เดี๋ยวนะ
“พ่อกับแม่ก็รู้เรื่องด้วยเหรอครับ” คราวนี้หันมาถามพ่อกับแม่ตัวเองที่นั่งยิ้มๆอยู่ฝั่งตรงข้าม ไม่คิดเลยว่าทั้งสามคนจะรวมหัวกันเซอร์ไพร์สผมแบบนี้
“ใช่จ๊ะ รู้ตั้งแต่น้องวินขึ้นเครื่องจากเมืองไทยมาแล้วล่ะ” แม่ครับบบบบ
“ไม่ต้องมายิ้มเลย เดี๋ยวต้องเคลียร์กันยาวแน่ๆ...พัตเป็นห่วงแทบแย่ที่ติดต่อไม่ได้เลยทั้งวัน”
“เรื่องของเราเอาไว้ก่อนนะ...สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่ ขอโทษที่เสียมารยาทไม่ได้สวัสดีตั้งแต่แรกนะครับ” วินหันไปไหว้พ่อกับแม่ผม ท่านทั้งสองก็รับไหว้แล้วอมยิ้มเล็กน้อย โดยเฉพาะแม่ที่สัมผัสได้ว่าจะมีความสุขจนหน้าบานใหญ่ นี่แฟนผมหรือแฟนแม่กัน==
“ไม่เป็นไรลูก ลูกชายพ่อเข้าชาร์จเราเร็วขนาดนั้นจะเอาเวลาที่ไหน...พัตก็เข้าไปใกล้น้องอะไรขนาดนั้น เขยิบมาหน่อยก็ได้เดี๋ยววินอึดอัด” พ่อหันมาพูดกับผมที่ยังคงจับไหล่เล็กของวินไว้แน่น
“ถ้าสิงวินได้ผมคงทำไปแล้ว”
“พัต!” ฝ่ามือเล็กฟาดเบาๆลงบนหน้าขาพร้อมกับส่งค้อนมาให้ พ่อกับแม่ก็ส่ายหน้าใส่ด้วยความระอา แต่ถามว่าผมสนใจไหม? แน่นอนว่าไม่
“ยังไงตอนนี้ก็สั่งอาหารกันก่อนดีไหมจ๊ะ น้องวินพึ่งลงเครื่องยังไม่ได้ทานอะไรใช่ไหมลูก”
“ครับ” วินตอบรับ
ผมขยับมานั่งข้างวินดีๆหลังจากที่ตอนแรกนั่งหันหน้าเข้าหา เอื้อมมือไปคว้ามือเล็กมาวางไว้บนตักตัวเองโดยที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแม้ว่าเจ้าของมือจะพยายามดึงกลับไปแค่ไหน แสร้งทำเป็นกดกริ่งเรียกพนักงานเข้ามาสั่งอาหารให้วินต้องหยุดดิ้นไปก่อน
ปากเล็กบ่นขมุบขมิบแต่ท้ายสุดแล้วก็ต้องยอมให้จับ...
กลับไปโรงแรมต้องเคลียร์กันยาวนะตัวแสบ.
“เล่ามาให้หมดเลยนะครับ” ตอนนี้ผมกำลังทำการสอบสวนนักโทษอยู่...
“อ๊ะ...จะให้เราเล่าหรือจะทำอะไร มานอนทับเราทำไมกัน” เป็นการสอบสวนแบบพิเศษเลยต้องสอบสวนบนเตียง เพราะว่าพอสอบสวนเสร็จก็ต่อด้วยการลงโทษทันที จะเอาให้ลุกไม่ขึ้นเลยคอยดู
“ทั้งให้เล่าทั้งจะทำอะไร ถ้าไม่เล่างั้นจะทำอะไรก่อนแล้วนะ ค่อยคุยกันอีกทีพรุ่งนี้” โน้มหน้าลงไปใกล้เพื่อยืนยันว่าที่พูดไปนั้นไม่ได้พูดเล่นจนวินเบี่ยงหน้าหลบแล้วรีบละล่ำละลักบอก
“ฮื่อ เล่าแล้วๆ...เล่าแล้วนะ ฟังเราก่อน”
“โอเคครับ ให้เวลาพูดห้านาที” เพราะหลังจากนี้จะไม่ไห้พูดแล้ว
“พัตอ่ะ...ก็เราว่างสามวันก่อนที่จะเริ่มทำโปรเจ็ค ก็เลย...ก็เลย...แว๊ปมาหาพัตก่อน แล้วคุณแม่ท่านโทรมาหาเราก็เลยปรึกษาถามทางว่าโรงแรมอยู่ตรงไหน แล้วเราก็เป็นคนขอร้องให้ไม่ให้ท่านบอกพัตเองแหละ...ก็อยากเซอร์ไพร์สไง” ไม่ต้องมาพูดด้วยเสียงน่ารักและหน้าตาน่ารักใส่ให้ผมใจอ่อนเลย เขาจับจุดอ่อนผมได้ รู้ดีว่ายังไงผมก็ไม่กล้าดุเขามากอยู่แล้ว
“ไม่ต้องเลยนะครับ พัตเป็นห่วงนะไม่อยากให้เดินทางคนเดียวเลย...แล้วยิ่งติดต่อไม่ได้ทั้งวันอีกเป็นห่วงจะแย่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาพัตจะทำยังไง” แล้วนั่งเครื่องมาคนเดียวตั้งกี่ชั่วโมงกัน คอยบอกให้ผมรู้ก็จะได้สบายใจบ้าง นี่แค่คิดว่าระหว่างที่ผมติดต่อเขาไม่ได้เกิดวินเป็นอะไรขึ้นโดยที่ผมไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ไหนใจก็แทบจะทนไม่ไหวแล้ว
“เราไม่เป็นไรเลย ญี่ปุ่นนี่เคยมาบ่อยแล้วนะ...อีกอย่างคราวนี้คุณแม่ก็ส่งคนไปรับถึงสนามบิน หายห่วงแน่นอน” แล้วร่างเล็กก็ขยับเข้ามาคลอเคลียอย่างออดอ้อน
เห้อ ก็เป็นซะอย่างนี้ ใครจะกล้าดุเขาไปมากกว่านี้กัน
“ทีหลังถ้าจะมาก็บอกพัตก่อนนะรู้ไหม ต้องคอยบอกตลอดด้วยว่าถึงไหนอะไรยังไง ไม่ใช่ว่าหายมาเฉยๆแบบนี้อีกนะ”
“อื้อ หายโกรธนะ” หัวทุยๆซุกเข้าอกแล้วถูไถไปมาราวกับแมวอ้อนเจ้าของ
“ไม่โกรธครับ แต่ยังไงก็ต้องลงโทษนะ”
“ฮื่อ ลงโทษอะไรเล่า” คราวนี้วินผละออกมามองหน้ากัน
“อ้อนวอนแค่ไหนวันนี้พัตก็ไม่ให้นอนหรอก”
“อะ อื้อ!” แล้วกว่าที่วินจะได้นอนก็ตอนที่แสงสว่างของดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้านั่นแหละ ครั้งสุดท้ายที่ผมยอมปล่อยให้เขานอนก็ตอนที่วินหลับไปทันทีที่เสร็จสิ้นภารกิจในยกนั้น ยิ่งไม่ได้เจอกันเกือบอาทิตย์ยิ่งทำให้ผมห้ามใจตัวเองไม่ได้ และอีกคนเองก็ไม่ได้ห้ามปรามหรือขัดขืนอะไร แม้จะเหนื่อยแค่ไหนแต่วินก็ให้ความร่วมมืออย่างดีจนร่างกายเขาทนไม่ไหวปิดสวิตซ์ตัวเองไป
“ตัวเราเป็นรอยอย่างกับตุ๊กแกเลย” วินโวยวายออกมาในตอนที่เรากำลังนั่งกินข้าวเย็นด้วยกัน ร่างกายเขาระบมจนต้องย้ายตัวเองมานั่งกินที่หน้าโซฟาแล้วเอาทั้งผ้าห่มและหมอนมารองให้นั่ง นี่คือข้าวมื้อแรกของเราทั้งคู่เพราะกว่าจะตื่นก็ปาไปสี่โมงเย็นแล้ว
“ก็ตอนทำเห็นวินร้องบอกว่าเอาอีกๆพัตเลยไม่ขัด”
หมอบใบเล็กลอยมาหวืดจากฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็วแต่ผมไหวตัวหลบทัน ก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อประโยคล้อเลียนนั้นทำให้แฟนของผมเขินจนหน้าแดงและลามไปทั้งตัว
“จะพูดทำไมเล่า!” ยิ่งเห็นเขาเขินผมยิ่งอารมณ์ดี วันนี้พ่อกับแม่อนุญาตให้หยุดงานเป็นกรณีพิเศษเลยมีเวลาว่างที่จะอยู่ด้วยกัน
“ฮ่ะๆ แล้วนี่โปรเจ็คจะเริ่มทำวันไหนครับ” ตักอาหารในจานให้วินทานข้าวต่อก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเมื่อแกล้งเขาจนพอใจแล้ว ที่วินตามมาไม่ได้ในทีแรกเพราะปิดเทอมนี้เขามีโปรเจ็คที่ต้องส่งอาจารย์ ทั้งยังต้องไปเก็บข้อมูลถึงต่างจังหวัดเลยตามมาไม่ได้ กว่าที่งานจะเสร็จก็เป็นช่วงที่ผมกลับไทยพอดี
“ก็อีกสามสี่วันแหละ เพราะมัวแต่เสียเวลามาหาใครก็ไม่รู้อยู่นี่ไง”
“ใครไม่รู้ที่ไหนกัน...นี่แฟนไง หรือต้องบอกว่าเป็นสามีแล้วไหม”
“พัต!”
“เห้ย! วินครับ...นั่นแก้วๆ หัวแตกได้” มือเล็กๆนั่นไปอย่างรวดเร็วมาก คว้าแก้วข้างตัวมาไว้ในมือแล้วทำท่าเหมือนจะโยนใส่กัน อะไรจะเขินแรงขนาดนั้นครับ
“แตกไปเลย...พูดอะไรก็ไม่รู้” คนหน้าขึ้นสีวางแก้วลงที่เดิมก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างไม่ยอมสบสายตา
“โอ๋ ไม่แกล้งแล้วก็ได้” เดี๋ยวจะหาว่าผมใจร้ายชอบแกล้งแฟนตัวเอง(แฟนน่ารักขนาดนี้ใครไม่ชอบแกล้งนี่เป็นไปไม่ได้จริงๆ)
“ชอบแกล้งเรานะ เดี๋ยวเถอะ...จะงดเรื่องนั้นทั้งเดือน”
“ไม่เอา! ถ้างดขนาดนั้นก็ฆ่ากันเลยเถอะ...ไปหยิบมีดในครัวมาเลย” ให้ทนขนาดนั้นผมใจขาดตายพอดี
“งั้นก็เลิกแกล้งเราสิ...คนนิสัยไม่ดี : P "
“ไม่รักก็ไม่แกล้งหรอกนะครับ” พูดเสียงอ่อนพร้อมส่งสายตาไปให้อีกฝ่าย ถ้าวินรู้วิธีการที่จะอ้อนผม ผมก็มีวิธีการของผมเหมือนกัน ไม่มีเลยซักครั้งที่วินจะสู้ได้ เขาทนสายตากับเสียงอ่อนๆของผมไม่ได้นานหรอก หึหึ
“กะ กินข้าวต่อได้แล้ว!” แล้ววินก็รีบเปลี่ยนเรื่องไปทันที ตัวผมเองก็ยอมไม่แกล้งเขาต่อในที่สุด เราต่างกินข้าวกันไปโดยมีการตักอาหารให้กันบ้าง พูดคุยกันเรื่องเล็กๆน้อยๆบ้าง การมีวินอยู่ด้วยทำให้วันที่แสนน่าเบื่อของผมกลายเป็นวันที่แสนจะมีความสุข แต่ก็น่าเสียดายที่เขาอยู่ได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น แต่แค่นี้ก็ถือว่ายังดีแล้ว
“พัต คุณมิกะอะไรนั่นสวยมากไหม” อยู่ดีๆวินก็ถามขึ้นในขณะที่ผมนั่งดูงานผ่านไอแพดอยู่บนโซฟาโดยที่ตัวเขาก็นั่งดูรายการเกมโชว์อยู่ข้างๆ
“สำหรับพัตไม่ครับ” ผมไม่ชอบแบบนั้นนี่ ผมชอบแบบคนที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆกันตอนนี้มากกว่า
“มีรูปเธอรึเปล่า?”
“ไม่มีครับ วินอยากเห็นเหรอ?...เสิร์ชในเน็ตก็คงจะมีมั้งพัตเองก็ไม่แน่ใจ ไม่เคยสนใจ” เธอเป็นลูกหลานนักธุรกิจหรือที่เรียกง่ายๆว่าเซเลปก็เลยอาจจะมีภาพขึ้นตามอินเทอร์เน็ตบ้าง แต่ผมไม่เคยเปิดดูหรืออะไรทั้งนั้น ไม่มีความจำเป็นอะไรเลยซักนิด ผมไม่เคยเห็นเธอผ่านหน้าจออะไรเลยด้วยซ้ำเพราะไม่สนใจจริงๆ
“อื้อ ก็อยาก...แต่เดี๋ยวเราหาเอง”
“ครับ ตามใจ...งั้นพัตดูงานต่อนะ” วินอยากจะทำอะไรก็ตามใจเขาผมไม่ห้ามอยู่แล้ว ยิ่งเป็นเรื่องมิกะยิ่งไม่ได้สนใจเลย หันกลับมามองงานในมือต่อเมื่อวินไม่ได้พูดอะไรอีก เห็นแค่เขากดๆจิ้มๆที่ไอแพดส่วนตัวของผมเพียงเท่านั้น
“คนนี้เหรอ?” วินยกไอแพดในมือขึ้นให้ผมดูรูป
“ครับ...คนนี้แหละ เห็นไหมว่าเฉยๆ”
“เซ็กซี่จัง...” เหมือนคำนี้วินจะพูดกับตัวเองมากกว่า
“เซ็กซี่ไม่เท่าวินหรอก เห็นหมดขนาดนั้นยังมีอะไรให้ตื่นเต้นอีกครับ” มิกะชอบแต่งตัวเปิดเผยเนื้อหนังและโชว์ส่วนเว้าส่วนโค้งของเธอ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมไม่ชอบใจที่สุด ถ้าเป็นวินแค่สวมเสื้อยืดบางๆผมให้ไปเปลี่ยนเป็นตัวใหม่แล้ว ของแบบนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเปิดเผยให้คนอื่นดูซักนิด ถ้าอยู่ในห้องกับผมสองต่อสองก็ว่าไปอย่าง อันนั้นวินจะไม่ใส่อะไรเลยผมยิ่งชอบ
“ก็เธอสวย จะโชว์ขนาดนั้นก็ไม่แปลก...ถ้าเป็นเราก็คงมองตามเหมือนกัน”
“ใครให้มองหืม จะผู้ชายหรือผู้หญิงพัตก็ไม่ให้มองทั้งนั้นแหละ” ผมหวงเขา ไม่ว่าจะกับใครก็ตาม
“ไม่เคยอยากมองเธอเลยเหรอ?” คราวนี้ผมวางไอแพดในมือลงแล้วดึงตัววินให้นั่งลงบนตัก แขนเล็กของคนในอ้อมกอดก็คล้องเข้าที่คอโดยอัตโนมัติ
“ไม่นะ เฉยๆเลย” ผมไม่ได้ตายด้านอะไรแบบนั้นหรอก เจอผู้หญิงคนอื่นก็มองบ้างตามธรรมดาของผู้ชายแต่ไม่ใช่ในสไตล์แบบนี้ ส่วนมากจะคล้ายๆวินมากกว่า คนที่ดูเรียบๆซื่อๆแต่มีเสน่ห์ที่ออกมาโดยไม่ต้องปรุงแต่งอะไรทั้งนั้น มองแล้วสบายตา
“แล้วเคยมองคนอื่นไหม?” นั่นไง วกเข้ามาถามจนได้สินะ คราวนี้ผมขยับตัวอย่างเกร็งๆ สายตาของคนตรงหน้าเริ่มนิ่งเฉย
“ก็...ยอมรับเลยว่านิดหน่อย แต่แค่มองไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆครับ” เห็นของสวยงามคนเราก็มองเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่มันไม่ใช่ว่าผมอยากได้หรืออะไร แค่มองเฉยๆ
“โอเค ถ้าแค่มองเราไม่ว่าอะไร แต่ถ้าคิดมากเกินกว่านั้นล่ะก็...”
“...”
“จะเฉือนทิ้งให้หมดเลย!”
TBC.
Talkมาเร็วเคลมเร็วมาก
คนเขียนน่ารักขนาดนี้ส่งกำลังใจให้กันเล็กๆน้อยๆหน่อยได้ไหมน๊าาาาา~
รวั๊กกกกกก
Talk with me. >>
https://www.facebook.com/Writer-Ex-SoulL-713126712164342/?ref=aymt_homepage_panel