Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev. มาแจ้งจ้าา
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev. มาแจ้งจ้าา  (อ่าน 63921 ครั้ง)

ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
«ตอบ #180 เมื่อ10-12-2015 18:45:13 »




 

 
ตอนที่ 23

[ตะวัน]
แอ๊ดด
ผมเปิดประตูเข้าไปยังห้องที่ขังเรย์เอาไว้ที่ตอนนี้เงียบไปแล้ว คงจะเหนื่อยจากการเดินทางถึงได้หลับไปแบบไม่รู้ตัว แล้วก็คงไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำว่าผมกำลังอยู่ใกล้ๆ พอเห็นแบบนี้แล้วมันก็อดที่จะทำให้ผมคิดไม่ได้จริงๆ ว่าเรย์น่ารักมาก...มากซะจนผมอยากจะครอบครองเขาแต่เพียงผู้เดียว
นานเท่าไหร่แล้วนะที่ผมไม่ได้เห็นร่างเล็กบอบบางหลับอยู่ใกล้ๆ กว่าจะเข้าใกล้เรย์ได้ขนาดนั้นมันไม่ได้ง่าย ผมใช้อำนาจเงินแฝงตัวเข้าไปอยู่ในบ้านของเอเดน แล้วออกกลอุบายนิดหน่อยเพื่อให้คนที่เฝ้าเรย์อยู่ให้ออกห่างก่อนที่จะพาเรย์ออกมาจากบ้านหลังนั้น แต่ก็ดันเกิดเรื่องซะก่อน...
มีคนคิดจะกำจัดเรย์
ผมไม่รู้หรอกว่าเรย์กำลังมีเรื่องอะไร แต่ที่รู้ๆ เรย์คงไม่ปริปากบอกผมง่ายๆ แน่ๆ แต่ผมไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เรย์กำลังทำคืออะไรกันแน่ ทำไมต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงขนาดนั้น ไปยุ่งกับคนชั่วๆ แบบครอบครัวเอเดน ทำไมผมจะไม่รู้ว่าครอบครัวเอเดนทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร ถ้าคนภายนอกมองอาจมองเห็นว่าแค่ธุรกิจส่งออกและปล่อยเงินกู้อย่างทั่วๆ ไป แต่ใครจะรู้ว่าที่แท้จริงแล้วภายใต้หน้ากากสังคมคนพวกนั้นเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ปล่อยเงินกู้ที่ผิดกฎหมาย ค้าสารเสพติดและทำร้ายร่างกาย ถ้าจะให้พูดให้ถูกก็คือ...คนพวกนั้นชั่วอย่างไร้ที่ติ
บ้านที่ผมพาเรย์มาอยู่เป็นบ้านพักส่วนตัวอีกหลัง จริงๆ ก็เป็นบ้านที่ผมเคยมาอยู่ตอนเด็กๆ นั่นแหละ เอาไว้เป็นที่พักตอนที่มาทำธุระหรือมาเที่ยว แต่พอหลังจากย้ายไปอเมริการผมก็ไม่ได้มาอีกเลย แต่ครอบครัวผมก็ยังจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดเอาไว้ตลอด เพื่อว่าวันใดวันนึงจะกลับมาเหมือนเดิม ตอนแรกผมก็ไม่ได้ตั้งใจพาเรย์มาที่นี่หรอก แต่เพราะเจ้าตัวเอาแต่ดื้อด้านไม่ยอมปริปากพูดออกมาง่ายๆ ผมก็เลยพามาซะเลย แต่กว่าจะมาถึงได้ก็เสียเวลาหลงทางนานเหมือนกัน
“อืม”
เสียงครางหวานแผ่วเบาพร้อมกับเจ้าตัวที่ขยับท่าทีเล็กน้อยเพื่อให้นอนสบายขึ้น ท่าทางน่ารักๆ ของเรย์มันทำให้ผมอดที่จะยิ้มไม่ได้จริงๆ
ผมลูบไปที่ใบหน้าหวานอย่างเมือที่สุดก่อนที่จะก้อมหน้าลงไปใกล้ที่แก้มนวล
ฟอดด
ฝันดีนะ
 .
.
.
.
[เรย์]
ผมตื่นมาอีกทีก็ตอนค่ำ พอตื่นมาก็มีผ้าห่อมคลุมตัวผมเอาไว้แล้ว ไม่อยากคิดเลยจริงๆ ว่าตะวันเขาตะเป็นคนห่มผ้าให้ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นก็แสดงว่าเขาเข้ามาตอนที่ผมหลับนะซิ!
แกร็ก
“ตื่นแล้วเหรอ”
บานประตูที่ถูกล็อคสนิทถูกเปิดออกมาจากด้านนอกพร้อมกับคนที่ผมไม่อยากเจอหน้าที่สุดโผล่เข้ามาให้เห็น
“ลงไปกินข้าวเถอะ”
เหอะ! คงจะมีอารมณ์กินหรอกเนอะ!
“ไม่!”
ผมตอบแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่น...คอยดู! จะประท้วงให้ดู!!!
จ๊อก...
แต่ดูเหมือนว่าท้องของผมจะไม่ให้ความร่วมมือเลย มันดันร้องออกมาซะงั้น แถมยังเสียงดังมากซะด้วย
“หึหึ”
เสียงคนที่ยืนอยู่หน้าประตูหัวเราะออกมาเบาๆ
“อะ อะไรเล่า! หัวเราะอะไร!”
ผมหันไปตวาด...ไม่ได้หิวนะ แต่แค่ท้องมันร้องแค่นั้นเอง
“เปล่านี่ ไปกินข้าวเถอะ หิวไม่ใช่เหรอ”
“ก็บอกว่าไม่หิวไงละ! เฮ้ย! จะทำอะไร ปล่อยฉันนะตะวัน!!!”
ขณะที่ผมกำลังจะปฏิเสธแต่ยังพูดไม่ทันจบ ร่างหนาของตะวันก็เข้ามาประชิดตัวแล้วอุ้มผม! แถมยังอุ้มในท่าเจ้าหญิงซะด้วย!!!
ตะวันไม่ยอมปล่อยผมเลย เขาหัวเราะเบาๆ แล้วอุ้มผมไปที่โต๊ะอาหาร ไม่เพียงแค่นั้นเขายังไม่ยอมปล่อยผมให้เป็นอิสระแต่กลับจับผมนั่งตักเขา แล้วกอดผมเอาไว้แน่น ทำเหมือนผมเป็นเด็กเล็กๆ ที่ต้องให้มานั่งตักแล้วป้อนข้าว
ผู้ชายบ้าอะไรเนี่ย!
นี่ผมยังไม่แปรงฟันเลยนะ! ตื่นมาจะให้กินเลยหรือยังไง!
“อ้าปาก”
“ไม่!”
ผมหันหน้าหนี..
เรื่องอะไรจะยอม! เขาไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้กับผม!
“ดื้อจริงๆ”
เขาส่ายหน้าเบาๆ แล้วจับผมให้เปลี่ยนท่าให้นั่งหันหน้ามาทางเขา แล้วใช้มือซ้ายโอบเอวผมไว้เหมือนเดิม ท่านั่งที่ล่อแหลมแบบนี้มันทำให้ผมทำตัวแทบไม่ถูก พยายามจะดันตัวเองออกมาแต่แรงของตะวันกลับมีมากกว่าที่ผมคิด
“ปล่อย! ปล่อยนะตะวัน!”
ผมดิ้น แล้วก็ดิ้น แต่ก็เหมือนเดิม ตะวันไม่ยอมปล่อย
“เรย์...ถ้านายจะยังมาดิ้นแบบนี้มันจะแย่เอานะ”
“...?”
ผมหยุดนิ่งแล้วมองตะวันอย่างไม่เข้าใจ การที่ผมจะดิ้นหนีเอาตัวรอดมันทำให้ผมแย่ตรงไหน?
แต่ว่า...สายตาของผมก็ดันไปสะดุดกับช่วงล่างของตะวันที่ตอนนี้กำลังพองนูนเล็กๆ แค่มองดูก็รู้เลยว่าเขากำลังเกิดอารมณ์ มันถึงกับทำให้ผมหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันที
“อะ อะ ไอ้บ้า!”
“อยู่เฉยๆ แล้วกินข้าวซะ”
ร่างหนาดันร่างของผมให้แนบชิดเข้าไปอีก จนใบหน้าของเราทั้งคู่เกือบจะชิดกันอยู่รอมร่อ ถ้าไม่มีมือของผมคอยดันเอาไว้นะ ป่านนี้คงยิ่งกว่านี้แน่ๆ... ตะวันกำลังมองผมด้วยแววตาหยาดเยิ้ม เราสองคนสบตากันท่ามกลางความเงียบงันพร้อมกับเสียงหัวใจของผมที่กำลังเต้นแรงจนแทบไม่เป็นจังหวะ
ตึก ตึก ตึก
“ปะ ปล่อยเซ่! อยู่แบบนี้แล้วจะกินได้ไงเล่า!”
ผมเบือนหน้าหนีแล้วเปลี่ยนเรื่อง...
“จะป้อน”
“ห่ะ!”
“ไม่งั้นก็นั่งอยู่แบบนี้แหละ”
พอผมตั้งท่าจะท้วง ตะวันก็พูดดักขึ้นมาซะก่อน
โธ่เว้ย! ไอ้บ้านี่! ได้คืบแล้วจะเอาศอก!!!
แต่พอเห็นสายตาของตะวันผมก็รู้เลยว่าเขาไม่ได้พูดเล่นแน่ๆ ต่อให้ผมขัดขืนยังไงก็คงไม่มีทางที่จะหนีพ้น ผมก็เลยต้องยอมจำใจเป็นฝ่ายทำตามอย่างว่าง่าย แม้ว่าภายในใจไม่ได้อยากทำซะเท่าไหร่ก็เถอะ แต่การที่จะต้องมานั่งตักผู้ชายด้วยกันแบบนี้มันน่าอาย...น่าอายที่สุด!
เขาป้อนข้าวผมไปมองผมไป บางทีก็หัวเราะกับท่าทีพยศเล็กๆ ของผม ทำราวกับว่าผมเป็นเด็กที่กำลังถูกขัดใจอย่างนั้นแหละ แล้วกว่าจะกินเสร็จก็ทำเอาหน้าของผมแทบสุกเลยก็ว่าได้ เพราะอะไรนะเหรอ? ก็เพราะว่าผมนั่งทับไอ้นั่นของตะวันอยู่ไงละ! แถมมันดันนูนขึ้นมาสัมผัสกับของๆ ผมอีก! ถึงจะมีเสื้อผ้ากั้นกลางก็เถอะ แต่ให้ผู้สายสองคนมานั่งแบบนี้มันก็น่าอายสุดๆ
อีตาบ้า!
 
โครม!
เสียงข้าวของที่หล่นกระจายเพราะน้ำมือบางของนันที่ปัดลงพื้นด้วยความโทสะ จะให้ต้องมาทนอยู่บ้านโกโรโกโสแบบนี้นะเหรอ! สู้ยอมที่จะตายๆ ไปซะยังดีกว่า
“ฉันทนอยู่แบบนี้ไม่ได้หรอกนะคุณพจน์! ฉันทนไม่ได้! ฉันอยู่ไม่ได้!” นันเอ่ยเสียงกร้าวใส่สามี
“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง!”
“ขอความช่วยเหลือสิ! ความช่วยเหลือจากเพื่อนของคุณ เพื่อนๆ คุณมีเยอะไม่ใช่เหรอ เขาต้องช่วยเราได้อยู่แล้ว เงินแค่ไม่กี่ล้านขอยืมเขาสิคุณ!”
“คุณยังจะให้ผมหน้าด้านไปขอความช่วยเหลือพวกเขาอีกหรือไง! ขนาดเพื่อนคุณเขายังหนีคุณเลย แล้วผมเป็นใคร! ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากคุณนักหรอกคุณนัน!... ไม่มีใครช่วยพวกเรา! เข้าใจไหมคุณนัน! ไม่มีใครช่วยพวกเรา!!!”
หมดแล้วซึ่งความอดทน พจน์หันตวาดภรรยาตัวเองทันทีหลังจากที่ทนฟังบ่นมาเป็นชั่วโมงๆ ถึงเขาจะเป็นผู้ชายที่ใจเย็นและสุขุมแต่ใครจะทนได้นานเล่าเมื่อภรรยาที่น่ารักและเรียบร้อยกลับกลายเป็นคนมีปากมีเสียงและมีท่าทีแสดงออกถึงความก้าวร้าว พจน์ไม่คิดเลยจริงๆ ว่านันจะกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้ เหมือนกับเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก ยิ่งทำให้พจน์รู้สึกผิดหวัง...ผิดหวังมากจริงๆ
“นี่คุณ! นี่คุณกล้าตวาดฉันเหรอคุณพจน์!”
นันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองด้วยซ้ำ ว่าสามีของเธอจะกล้าขึ้นเสียงใส่ มือบางทุบไปที่ไหล่ของพจน์เพื่อระบายความอัดอั้นและโมโห
“พอสักทีเถอะคุณนัน! อย่าให้ผมสมเพชคุณไปมากกว่านี้เลย!”
ปัง!
พูดจบพจน์เดินออกจากห้องไปทันที
“คุณพจน์! คุณพจน์! ฮือ ฮือ”
นันร้องไห้ออกมาด้วยความอดสู น่านึกน้อยใจผู้เป็นสามีนัก! ทำไมกันนะ...ทำไมถึงไม่เข้าใจว่าเธออยู่อย่างนี้ไม่ได้ นันไม่อยากกลับไปมีชีวิตเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วไม่อยากกลับไปอดๆ อยากๆ ต้องกัดฟันทน ดิ้นรนสู้ชีวิตเพื่อมีชีวิตที่ดีกว่านี้ มันเป็นอดีตที่เลวร้ายจนเธอไม่อยากจดจำจริงๆ แต่ทั้งนันและพจน์หารู้ไม่ว่าเสียงที่พวกเขาโต้เถียงกันเมื่อสักครู่กลับมีร่างเล็กอีกคนได้ยินเต็มสองรูหู
“ฮึก คุณพ่อ คุณแม่...”
หนึ่งร้องไห้ออกมาเบาๆ พยายามสกัดกลั้นเสียงตัวเองไม่ให้เล็ดลอดออกมา มือบางยกปิดปากตัวเองเอาไว้ด้วยกลัวว่าพวกท่านทั้งสองจะได้ยิน เพราะกำแพงเป็นกำแพงไม้ราคาถูก ดังนั้นการเก็บเสียงจึงไม่ต้องพูดถึงเลย มันไม่มีด้วยซ้ำ... หมดตัวยังไม่พอ พ่อกับแม่ก็ยังมาทะเลาะกันอีก ปัญหาที่เริ่มถามโถมเข้ามาทำให้หนึ่งจนปัญญาที่จะแก้ ราวกับว่าตัวเองกำลังหลงอยู่ในเขาวงกตที่หาทางออกไม่เจอ
“ตะวัน นายอยู่ที่ไหน”
ร่างเล็กครางเรียกชื่อคนที่คิดถึงด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทั้งๆ ที่ตอนนี้ต้องการกำลังใจที่สุด แต่คนที่เรียกหากลับหายไปไร้ซึ่งเงาของเจ้าตัว
หนึ่งกำลังคิดถึง...คิดถึงตะวันเหลือเกิน
 
 .
.
.
.
หลายวันผ่านไป
ตะวันพาผมมาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้นี่ก็ปาไปหลายวันแล้ว วันๆ ผมแทบไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากนั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้อง ในทุกๆ วันจะมีคนมาส่งข้าวส่งน้ำให้ไม่ขาด แล้วพอถึงเวลาตะวันก็จะพาผมไปกินข้าวโดยที่เขายังป้อน! ผมเหมือนเดิม... เน้นย้ำคำว่าป้อนมากๆ พอผมจะกินเองเขาก็เอารัดเอาเปรียบผม หาเศษหาเลอจากร่างกายของผมจัง! ลูบๆ คลำๆ จนตัวผมแทบจะสึกหมดแล้ว!
“เฮ้อ”
บ่นมากไปก็เท่านั้น ถอนหายใจทิ้งดีกว่า เพราะยังไงตะวันก็คงไม่ยอมปล่อยผมง่ายๆ ใช่ว่าผมจะไม่หนีนะ ผมหนีแต่ก็ถูกตะวันจับได้ทุกครั้ง ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมจะหนีเขาพ้น พอเขาจับผมได้ทีไรก็มักจะมานั่งจ้องหน้าทำตัวติดกับผมเป็นตังเม บอกตรงๆ ว่าเบื่อมาก!!! แม้กระทั่งตอนนี้ก็เหมือนกัน
“หึหึ”
“ชิ!”
ผละเกลียดเสียงหัวเราะของเขาจริงๆ
“เหนื่อยที่จะหนีแล้วไง”
“...” ผมไม่ตอบ ไม่หันหน้ามามองเขาด้วยซ้ำ
“เมื่อไหร่นายจะเลิกหนีสักทีนะเรย์”
“นายก็ปล่อยฉันเซ่!”
แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นรอยยิ้มบางๆ พร้อมกับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เหมือนเคย มันน่าโมโหนักนะ! ผมไม่เคยคิดเลยว่าตะวันจะกลายเป็นผู้ชายแบบนี้!!! ภายใต้ใบหน้าที่แน่นิ่งแต่กลับเป็นคนที่เอาแต่ใจมาก! ถึงมากที่สุด!!!
“แล้วจะกอดฉันไปถึงเมื่อไหร่ ปล่อยได้แล้ว!”
“ไม่”
“นี่!”
ผมขึ้นเสียงใส่ ผู้ชายอะไรทำไมหน้าด้านได้ขนาดนี้นะ! มันจะน่าโมโหเกินไปแล้ว!
“นายก็เลิกดื้อสักทีสิ”
นี่สรุปกลายเป็นว่าผมเป็นคนผิดใช่ไหม?
“ฉันเปล่าดื้อ!”
“ถ้านายไม่ดื้อก็บอกมาซะทีสิว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายกันแน่...คนพวกนั้นเป็นใคร”
คำถามเดิมๆ ที่มักจะออกมาจากปากของเขาเป็นประจำ ผมเม้มปากแน่นเงียบสนิท เรื่องอะไรจะยอมบอกละ...มันไม่ใช่เรื่องของเขาสักหน่อย มันไม่จำเป็นที่เขาจะต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวผม ไม่จำเป็นจะต้องรู้ว่าทำไมผมถึงต้องมาหมั่นกับเอเดนและเหตุผลต่างๆ ที่ผมทำ
มันไม่เกี่ยวกับเขาสักนิด
“กะ ก็บอกว่าไม่รู้เรื่องไงเล่า! ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง!”
“...เรย์”
เสียงทุ้มต่ำเรียกผมอีกครั้ง
“อะไร! นี่นาย...”
“ฉันอยากอยู่แบบนี้กับนายตลอดไปจัง”
ตึก!
คำพูดเบาๆ ของตะวันแต่ผมกลับได้ยินชัดเจน แล้วมันก็ทำให้วูบนึงใจของผมกระตุก ทุกอย่างรอบตัวราวกับหยุดหมุนอัตโนมัติ ดวงตาที่ตะวันมองมายังผมมันกำลังเปร่งประกาย...ดวงตาที่แสดงออกถึงความห่วงใย
“พะ พูดอะไรของนายเนี่ย! ปล่อยฉันได้แล้ว!”
ผมแสร้งทำเป็นเมินทั้งที่ใจมันกำลังสั่นไหว ไอ้หัวใจไม่รักดีเอ้ย! จะมาเต้นดังทำไมเนี่ย! ถ้าเกิดว่าตะวันเขารู้ว่าผมกำลังหวั่นไหวเพราะเขานะ มีหวังได้อยากเอาหน้ามุดลงดินแน่ๆ เกิดมาจนป่านนี้แล้วยังไม่เคยมีใครมาทำแบบนี้กับผมเลย จะมีก็แต่ตะวันนี่แหละที่ใจกล้าหน้าด้านมากอดอยู่นั่นแหละ! กินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่าก็ไม่รู้
“หึหึ”
หนอย! ยังจะมาหัวเราะอีก หูหนวกหรือไง ห่ะ!
“เบื่อไหม?”
“เหอะ ยังจะกล้ามาถามอีกนะ นายก็ลองมาเป็นฉันซิจะได้รู้ว่าเบื่อหรือไม่เบื่อ”
“ไว้ฉันจะพานายไปเที่ยว”
“ไม่จำเป็น! แค่ปล่อยฉันก็พอ”
ใช่! มันไม่จำเป็นเลยที่เขาจะต้องมาทำแบบนี้ มันไม่จำเป็นสักนิดเดียว ผมอยู่ตัวคนเดียวได้ ทำทุกอย่างตัวคนเดียวได้
“ฉันเป็นห่วงนายนะเรย์”
น้ำเสียงทุ้มต่ำ ใบหน้า ดวงตา และทุกๆ อย่างที่คนๆ นี้พูดมา มันกำลังกลืนกินผม มันกำลังจะเริ่มทำให้ผมกลับไปอ่อนแออีกครั้ง
“หึ เป็นห่วงงั้นเหรอ พูดง่ายดีนะ...นายลืมไปแล้วเหรอ ว่าเมื่อก่อนนายเองก็มองฉันยังไง”
ผมเค้นยิ้มบอกด้วยสีหน้าที่นิ่งเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้...ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมจะลืมเลือน ทุกคนรอบตัวต่างก็มองว่าผมเป็น ‘นางร้าย’ คนที่คอยเอาแต่แกล้งหนึ่ง คนที่ใจยักษ์ใจมารและทำทุกอย่างได้เพื่อความพอใจของตัวเอง...ตะวันเองก็เหมือนกัน เขาไม่ได้ต่างอะไรจากคนพวกนั้นเลย จะมาพูดอะไรตอนนี้...มันสายเกินไปแล้วละ เพราะผม...ไม่ใช่เรย์คนเดิมอีกต่อไปแล้ว
เรย์คนเก่าได้หายไปจากโลกนี้ ตั้งแต่วันที่เย็นไปจากผม...
 

อย่างไม่มีวันกลับ...
 

ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
«ตอบ #181 เมื่อ10-12-2015 18:46:13 »


 
ตอนที่ 24

วิ้ว...
สายลมอ่อนๆ ที่พัดผ่านร่าง อากาศเย็นๆ ของธรรมชาติรอบตัวมันทำให้ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก บางทีก็รู้สึกเหนื่อยที่จะต้องมานั่งคิดหาวิธีหนีผมก็เลยนั่งอยู่เฉยๆ บ้าง แต่พอลองทำแบบนี้แล้วมันก็ทำให้ผมเริ่มที่จะสังเกตรอบตัวเองมากขึ้น บางทีผมคิดว่าที่นี่...มันก็สวยดีเหมือนกัน
จริงๆ แล้วตะวันก็ยังไม่ยอมปล่อยผมนะ เขาก็ยังจับผมอยู่นั้นแหละ เพียงแต่ว่าตอนนี้ที่ผมมานั่งชมนกชมไม้ที่สวนหลังบ้านได้ก็เป็นเพราะว่าผมถูกตะวันยึดเสื้อผ้าออกหมดนะซิ! ให้ผมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวบางไม่มีแม้กระทั่งกางเกงชั้นใน! ดีหน่อยที่ชายเสื้อมันยาวเลยทำให้ผมไม่ค่อยโป๊ แต่คิดดูสิ...ผู้ชายต้องมาใส่ชุดแบบนี้รู้ถึงไหนอายไปถึงนั่น!
คอยดูนะ คอยดู! ถ้าออกไปจากที่นี่ได้เมื่อไหร่นะ ผมจะแจ้งตำรวจข้อหาทำ ‘อนาจาร!’
ตุบ
“เฮ้ย!”
ขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ จู่ๆ ตะวันก็เข้ามาจู่โจมแบบไม่ให้ได้ทันตั้งตัว ร่างหนาเอนตัวลงมานอนตักผมโดยที่ไม่ได้ถามสักคำว่าเต็มใจจะให้เขานอนตักหรือเปล่า
“ง่วง”
ไม่พูดเปล่าแต่เขายังคงหลับตาพริ้มทำตัวไม่รู้สึกรู้สา ส่วนผมก็ได้แต่อ้าปากค้างด้วยความตกใจกว่าจะหาเสียงตัวเองเจอก็ตอนที่ถูกมือแกร่งโอบเอวซะแล้ว
“นี่ตะวัน! ลุกออกไปเลยนะ!!!”
ผมพยายามผลักตัวเขาให้ออกห่าง
“อืม อยู่เฉยๆ สิ ขอนอนหนุนตักหน่อย”
ตะวันไม่พูดเปล่าแต่กลับเอาหน้ามาซุกบนตักผมมากขึ้นกว่าเดิมแล้วเขาก็ยังไม่ลืมตาขึ้นมาเหมือนเดิม ทำราวกับว่าไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรสักนิด
“ลุกออกไปเดี๋ยวนี้นะ! ลุกออกไป!!!”
ผมทุบไปที่ไหลแกร่ง ไม่ยอมแพ้หรอก...ถ้าหากว่าไม่ลุกออกไปนะ ผมจะทุบให้ไหล่หักเลย!
แต่เพียงไม่นานนักผมก็หยุดมือพร้อมกับสะดุ้งตัวเบาๆ เมื่อรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดตรงกลางลำตัว ขนแขนของผมก็พร้อมใจกันลุกชันทันที จะขยับก็ไม่กล้าจะขยับ ถึงจะเพียงแค่นิดเดียวแต่ลมหายใจอุ่นๆ ของตะวันก็กำลังหายใจรดตรงนั้นของผมอยู่ ผมก็เลยได้แต่นั่งตัวเกร็งไม่กล้าที่จะขยับเขยื้อนเลยสักนิด
“ตะ...ตะวัน ออก...ออกไปนะ!”
“...”
“ตะวัน!”
“...”
“ตะวัน!”
ผมทั้งส่งเสียงเรียกและปลุกให้เจ้าตัวตื่น หวังเพียงสักนิดให้เขาลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วสำนึกได้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร แต่ดูท่าแล้วคงจะไม่ง่ายแน่ๆ เพราะตะวันนอกจากจะไม่ขยับตัวแล้วเขายังกอดรัดเอวผมมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก
อ๊ากก!!! ไอ้บ้าๆ
ฟี้~ ฟี้~
แต่พอผ่านไปไม่นานนัก ผมก็ได้ยินเสียงลมหายใจอ่อนๆ ที่ถูกพ่นออกมาอย่างสม่ำเสมอ... นี่อย่าบอกนะว่าเขากำลังหลับ! ตะวันกำลังหลับอย่างนั้นเหรอ!!! แล้วดันมาหลับบนตักผมเนี่ยนะ!
“ตะ...”
แต่ด้วยความรู้สึกบางอย่างมันเลยทำให้ผมเลือกที่จะนั่งอยู่นิ่งๆ ท่าเดิม
ผมค่อยๆ เอื้อมมือบางไปเกลี่ยผมที่ปรกหน้าของตะวันเบาๆ ทำราวกับว่ากลัวเขาจะตื่นขึ้นมา ทำไมถึงไม่ผลักออกไปนะ...มันเป็นโอกาสดีไม่ใช่เหรอ? แต่ว่า...ผมกลับไม่ทำ แล้วปล่อยให้ตะวันนอนตักอยู่แบบนั้น... ความเงียบมันทำให้ผมเอนตัวไปทางด้านหลังแล้วทอดสายตามองไปบนท้องฟ้าสีคราม
ใจของผมรู้สึกสงบ...จนอยากที่จะหลับตาลงช้าๆ เพื่อลืมเรื่องราวทั้งหมดและความขุ่นมัวในใจ
ขอพักสักหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง
 
“อืมม”
ผมครางเบาๆ เมื่อรู้สึกถึงเหมือนมีใครสักคนมายุ่งย่ามกับใบหน้าของผม แต่ด้วยความยากที่จะลืมตาตื่นขึ้นมาเลยทำให้ผมยังขยับตัว แต่ก็ยังรู้สึกว่าถูกกวนอยู่เนื่องๆ แล้วที่ผมนอนก็รู้สึกนุ่มสบาย อบอุ่นดีจัง... เอ๊ะ? แต่เดี๋ยวนะ...ถ้าจำไม่ผิดผมต้องนั่งอยู่ที่สวนด้านหลังนี่นา...
พรึ่บ!
“เฮ้ย!”
พอคิดได้แค่นั้นแหละผมก็ลืมตาตื่นขึ้นมาทันที แต่สิ่งแรกที่ผมเจอคือใบหน้าของตะวัน เขากำลังยิ้มให้แล้วเกลี่ยแก้มผมเล่นเบาๆ อยู่จนผมต้องปัดมือเขาออก แก้มผมไม่ใช่ของเล่นของเขานะถึงจะมาจับอยู่ได้!
ผมเผลอหลับไปเหรอเนี่ย!
“ฉันเป็นคนพามา”
แล้วดูเหมือนไม่ต้องให้ผมเอ่ยปากถามเลย ตะวันก็ตอบข้อสงสัยของผมซะหมด นึกๆ แล้วก็น่าอายนัก นี่ผมหลับไปได้ยังไงละเนี่ย
“แล้วทำไมนายไม่ปลุกฉัน!”
“ก็ไม่อยาก”
ดูสิ! ดูคำตอบของเขา! มันน่าโมโหนักนะ นี่จะหาเรื่องกันหรือไงกัน!
“ฉันอยากเห็นหน้านายตอนหลับ...แบบนี้”
ดวงตาคมมองมาทางผม แววตาที่เต็มไปด้วยหมายบางอย่างกำลังบอกอะไรกับผมอยู่จนทำให้ใบหน้าผมแดงซ่านขึ้นมา แล้วยังใจเต้นอีก ทุกอย่างรอบตัวราวกับถูกหยุดเวลาไว้ให้นิ่งงันจนผมแทบจะลืมหายใจเลยก็ว่าได้
“พะ พูดอะไรออกมา”
ผมเบือนหน้าหนีเพื่อหลบซ่อนใบหน้าที่แดงซ่าน
“ลุกไปอาบน้ำเถอะ”
“อ่ะ”
ตะวันยิ้มให้ผมแล้วขยี้หัวผมเบาๆ ทำเหมือนว่าผมเป็นเป็นน้อยยังไงยังงั้นแหละ แล้วจากนั้นเขาก็ลุกออกจากที่นอนแล้วเดินออกไปโดยที่ผมยังคงนอนนิ่งอยู่ที่เดิม... แต่ฝ่ามือที่ใหญ่ของเขามันทำให้ผมคิดถึง...
ใครบางคน...
ใครบางคนที่คุ้นเคย
ใครบางคนที่มักอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ
ภาพบางอย่างมันค่อยๆ ฉายชัดเข้ามาทีละนิดๆ ความทรงจำที่เลือนรางพร้อมกับภาพของชายหนุ่มที่อยู่ข้างผม... เพราะตะวัน มันทำให้ผมคิดถึงเขาคนนั้น
“ไม่ๆ ไม่ใช่! คนอย่างตะวันไม่มีทางเป็นคนๆ นั้นได้หรอก”
ผมส่ายหน้าไปมาเพื่อไล่ความคิด มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอกน่า... คนอย่างตะวัน ต้องไม่ใช่คนๆ นั้น...ต้องไม่ใช่แน่ๆ
เพราะคนๆ นั้น
เขาไม่มีจริง
 
“อะไร?”
พอทำอะไรๆ เสร็จผมก็ลงมาที่ข้างล่าง ตะวันนั่งรอผมอยู่แล้ว แล้วเขาก็ลากผมเข้ามาที่ห้องครัวพร้อมกับผักสดต่างๆ และเนื้อสดที่ถูกเตรียมเอาไว้ แต่ทุกอย่าง...
มันยังไม่ได้ทำ!
“ทำกับข้าวไง”
“ไม่!”
ผมตอบทันทีแทบจะไม่ทันคิด จะให้ผมลงมือทำกับข้าวเนี่ยนะ?
ฝันไปเถอะ!
“มาเถอะน่า”
ตะวันเดินอ้อมมาทางด้านหลังแล้วดันร่างของผมให้ไปนั่งตรงที่โต๊ะทำอาหาร มีทั้งเขียงและมีดพร้อมเลย ใบหน้าหล่อก็ยืนยิ้มแบบไม่รู้สึกรู้สา นี่เขาไม่เห็นสีหน้าที่แสดงออกอย่างไม่พอใจของผมหรือเปล่านะ หรือว่าสมองของเขาจะมีปัญหา ถึงอ่านความรู้สึกผมไม่ออก
“หรือว่าทำไม่เป็น?”
ตะวันเลิกคิ้วแล้วมองผม
“คะ ใครว่าฉันทำไม่เป็น!”
ผมเหวใส่... ถึงจะทำไม่เป็นจริงๆ ก็เถอะ แต่เรื่องอะไรจะให้ตะวันมาดูถูกละ จริงๆ แล้วผมก็เริ่มทำเป็นเองนิดหน่อย เพราะตอนที่อยู่ห้องเช่าผมก็ต้องทำกับข้าวกินเอง...อย่างเช่นมาม่า แต่มันก็ไม่ได้ยุ่งยาก แค่ฉีกซองแล้วใส่ๆ อะไรๆ ก็ว่าไปแค่นั้นเอง
“งั้นก็ทำสิ”
“แล้วทำไมฉันต้องทำ! ฉันไม่ทำ!”
“หรือว่าไม่กล้า?”
หนอย! นี่กล้าดูถูกกันเหรอ! ได้!...อยากให้ทำใช่ไหม? ก็จะทำให้ดู!
ผมทำหน้าบึ้งหันไปมองตรงสิ่งที่อยู่ด้านหน้าอีกทีก่อนที่จะตัดสินใจเอาเขียงมาใกล้ๆ ตัวเพื่อจัดการหั่นไอ้เจ้าผักที่อยู่ตรงหน้าโดยที่มีตะวันยืนยิ้มมาให้อย่างไม่รู้สึกรู้สา
เอาวะ!
 
“เอ้า เสร็จแล้ว”
ตึง!
ผมวางจานอาหารที่มีกับข้าวสองสามอย่างให้ตะวันดู หลังจากที่ทุลักทุเลทำมันออกมาจนได้ กับข้าวที่ผมทำมันก็ง่ายๆ ไม่ได้มีอะไรมาก แค่ผัดผัก ไข่เจียว แค่นั้นแหละ... ถึงจะทำเสร็จแล้วก็จริงแต่มีสิ่งหนึ่งที่ตะวันยังไม่รู้เพราะผมแอบทำตอนที่เขาเผลอ
อยากให้ผมทำดีนักใช่ไหม?
จะแกล้งให้เข็ดเลย!
“นี่?...”
ร่างสูงขมวดคิ้วมอง
“กับข้าวไง อยากให้ฉันทำไม่ใช่เหรอ? ก็ทำมาแล้วไง...ถ้าไม่กินก็ช่าง ฉันกินเอง หิวแล้ว”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจเท่าไหร่แล้วตักไข่ที่อยู่ในจานทันที เรื่องนี้ผมพูดจริงนะ...เพราะว่าผมไม่ค่อยถนัดทางด้านนี้สักเท่าไหร่มันเลยทำให้ใช้เวลานานมากพอดูกว่าจะทำออกมาได้แต่ละอย่าง มันก็เลยทำให้ผมหิวมากๆ... ผมเหลือบมองตะวันที่ทำแบบเดียวกันกับผม เขาค่อยๆ ตักผัดผักใส่จานตัวเอง...แล้วนั่นมันก็ทำให้ผมยิ้ม!
กินไปสิ!
กินเลย!
แอบลุ้นระทึกอยู่ในใจคนเดียว รอดูว่าเมื่อไหร่ตะวันจะตักมันเข้าปาก...ก็เพราะว่าผมแอบใส่น้ำปลาเข้าไปเยอะเลย อยากให้ทำดีนัก! จะเอาให้ไม่กล้าใช้ให้ผมทำกับข้าวอีกเลย คอยดู!
“อึก!”
เย้~ และแล้งสิ่งที่ผมรอคอยก็มาถึง ตะวันตักข้าวเข้าปากแล้วทำสีหน้าแปลกๆ แล้วมันทำให้ผมรู้สึกสะใจจัง อยากจะหัวเราะออกมาดังๆ อยากแกล้งผมก่อนทำไมละ
แต่สิ่งที่ผมไม่คาดฝันมันก็ทำให้ผมขมวดคิ้วมอง ตะวันไม่เพียงแต่จะไม่คายทิ้งแต่กลับกลืนลงไปแล้วก็ตักใหม่ทำราวกับว่าไม่รู้สึกรู้สา หรือว่ามันเค็มไม่พอนะ? หรือว่าผมใส่มันน้อยไป ก็ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะผมใส่น้ำปลาลงไปตั้งเยอะ
ด้วยความสงสัยผมก็เลยรีบตักผัดผักที่ผมทำกับมือมาเข้าปากทันที
แหวะ! เข็มชะมัด!
“กินเข้าไปได้ยังไงเนี่ย”
ผมแทบจะคายทิ้งออกมา เค็มขนาดนี้ตะวันกินได้ยังไง! ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยหรือไงนะ!
“เพราะเป็นนายทำ เป็นกับข้าวมื้อแรกที่นายทำให้ฉัน ไม่ว่าจะทำอะไรก็อร่อยทั้งนั้น”
ตึก
หัวใจผมสั่นไหวให้กับคำพูดของเขา ดวงตาที่แน่วแน่จับจ้องมาทางผม บ่งบอกได้เลยว่าสิ่งที่ตะวันพูดเป็นความจริง เขาไม่ได้โกหก เขายอมกินกับข้าวฝีมือแย่ๆ ที่ผมทำ เขาทำให้ผม...
ใจเต้นแรงอีกแล้ว...
 .
.
.

อีกด้านหนึ่ง
“ขอโทษครับ ทางคุณอายุเกินแล้ว เราไม่รับครับ”
เป็นอีกครั้งที่พจน์ถูกปฏิเสธงานจากคนรอบข้าง เหตุผลเพียงเพราะแค่ว่าเขา ‘อายุ’ มากเกินไปที่จะทำงานให้ ต่อให้มีวุฒิการศึกษาสูง หรือจบมาจากเมืองนอกมาก็ตาม แต่มันก็ไม่สามารถใช้เป็นใบเบิกทางให้ได้เลยสักนิด แล้วยิ่งเศรษฐกิจแบบนี้อีกเลยทำให้ไม่มีใครรับพจน์เข้าทำงานเลย
พจน์เพิ่งรู้ตัวว่าเขาไร้ความสามารถก็วันนี้แหละ เพราะตลอดเวลาเขานั่งอยู่ในหน้าที่ตำแหน่งประธานบริษัทฯ หน้าที่ของเขามีเพียงชี้นิ้วแล้วก็สั่ง
ชายวัยกลางคนเดินออกมาจากตึกระฟ้าด้วยท่าทางสิ้นหวัง วันนี้ทั้งวันเขาก็เหนื่อยกับการหางานทำมากพออยู่แล้ว เหนื่อยจนแทบหมดแรงเดิน เงินในกระเป๋าก็มีไม่มากแล้วก็ใกล้จะหมดลงในทุกขณะเพราะพจน์ต้องเอาเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง แต่ดูท่าตอนนี้คงจะสิ้นหวังเสียแล้ว... พจน์เลยตัดสินใจเดินไปที่ป้ายรถเมย์ที่อยู่ไม่ไกล การขึ้นรถเมย์และรถสองแถวครั้งแรกมันทำให้เขาประหม่าพอดูแต่มันก็ผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว มันทำให้เขามองเห็นวิถีชีวิตของมนุษย์ในระดับหนึ่ง ทุกคนต้องแข่งกับเวลาด้วยความเร่งรีบ ใครดีใครได้ ส่วนชายชราที่มีอายุอย่างเขาก็ทำได้แค่มองและทำใจถ้าหากว่าต้องถูกเอารัดเอาเปรียบจากคนที่หนุ่มสาวกว่า
“จะทำไงดีนะ”
พจน์กล่าวกับตัวเองเบาๆ ถ้าเป็นอย่างนี้เขาคงแย่แน่ๆ ถ้าไม่มีทั้งงานและไม่มีทั้งเงิน ลูกและเมียที่รออยู่ที่บ้านอาจถึงคราววิกฤษ พจน์เป็นผู้ชาย เป็นหัวหน้าครอบครัว เพราะฉะนั้นการหาเงินจึงตกมาอยู่ที่เขาอย่างช่วยไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นพจน์ก็เต็มใจที่จะทำ
เพียงเพื่อให้ลูกและเมียไม่ต้องอยู่แบบอดๆ ยากๆ
จนกระทั่งสายตาของพจน์ไปสะดุดกับบางอย่างที่อยู่ตรงหน้า... อะไรบางอย่างที่ทำให้ให้เขานั่งคิดชั่งใจอยู่สักครู่ก่อนที่จะตัดสินใจลุกเดินไป
สถานที่ก่อสร้าง...รับสมัครคนงาน
 
“ขอโทษนะหนึ่ง”
ไคจับมือกับคนตัวเล็กด้วยความรู้สึกผิดอย่างท่วมท้น รู้สึกผิดที่ช่วยเหลือคนตัวเล็กไม่ได้ ทั้งๆ ที่ถูกร้องขอมา ยิ่งมาเห็นสภาพของหนึ่งในตอนนี้ก็ยิ่งทำให้ไคนึกโทษตัวเอง คุณหนูที่เคยอยู่อย่างสุขสบาย ที่เคยมีทุกอย่างกลับต้องมาตารปัดเพราะคนเพียงคนเดียว! ถ้าไม่ใช่เพราะเรย์หนึ่งคงไม่ต้องมามีชีวิตแบบนี้
หลังจากที่ไครู้ว่าหนึ่งหมดตัวก็พยายามที่จะร้องขอพ่อกับแม่ตัวเองเพื่อให้ช่วยเหลือ เพราะทั้งคู่ก็เคยทำธุรกิจร่วมกันมา แต่คำตอบที่ได้มันกลับทำให้เขาผิดหวังแถมยังถูกสั่งห้ามเด็ดขาดว่าห้ามยุ่งกับหนึ่งและครอบครัวนั้นอีก เหตุผลหนึ่งก็เพราะว่าเริ่มมีข่าวเสียๆ หายๆ เกี่ยวกับครอบครัวของหนึ่ง ซึ่งทุกคนกำลังเข้าใจว่าพจน์และนันติดหนี้กับธนาคารหลายร้อนล้าน หมดตัวไปกับการพนัน เลยทำให้บดินทร์ช่วยซื้อบริษัทฯ และทรัพย์สินต่างๆ ของพจน์เอาไว้ แต่เรื่องมันก็ยังไม่จบเพียงแค่นั้นเมื่อบดินทร์จับได้ว่าเรย์ที่เข้ามาหาเอเดนหวังเพียงเพื่อจะหลอกเอาเงิน จึงทำให้ตอนนี้ทั้งคู่ได้เลิกรากันไปแล้วเรย์ก็หนีไปอยู่ที่อื่น เพียงแต่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันไม่ได้เป็นข่าวออกไป มีเพียงคนในเท่านั้นที่รู้
“อืม”
หนึ่งพยักหน้าเบาๆ รับรู้... เพราะรู้อยู่สถานการณ์ของตัวเองเป็นยังไง คนที่หมดตัวอย่างเขามีเหรอคนอื่นจะยื่นมือเข้ามาช่วยง่ายๆ
“ติดต่อตะวันได้ไหม”
หนึ่งดึงมือของตัวเองออกมาแล้วถามหาคนที่คิดถึง นี่มันก็ผ่านไปหลายวันแล้วแต่หนึ่งก็ไม่สามารถติดต่อตะวันได้เลย โทรไปก็ปิดเครื่อง ให้ไคไปหาที่บ้านก็ไม่อยู่ แต่ดูเหมือนว่าคำตอบของไคมันจะทำให้หนึ่งรู้สึกผิดหวังซะเหลือเกิน... ตะวันจะรู้ไหมนะว่าในตอนนี้หนึ่งกำลังต้องการกำลังใจจากคนที่รักมากที่สุด
ไคมองคนตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้าพลางคิดถึงคนที่ก่อเรื่องและเพื่อนตัวดีที่หายไปไหนก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่หนึ่งกำลังเดือดร้อนแท้ๆ แต่กลับมาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย นึกแล้วมันก็น่าโมโหนัก! แทนที่จะมาช่วยกัน ส่วนเรื่องของเรย์เองไคก็คิดไว้ตั้งแต่แรกเหมือนกัน คนอย่างนั้นไม่มีทางกลับตัวกลับใจมาเป็นคนดีแน่ๆ
‘คนอย่างนายไม่น่าเกิดมาเลยเรย์’
 
“เจอตัวแล้วครับ”
ลูกน้องคนสนิทเอ่ยรายงานพร้อมกับยื่นบางสิ่งให้กับผู้เป็นนายด้วยใบหน้าเรียบ... เอเดนจับจ้องรูปถ่ายที่อยู่ในมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึมก่อนที่จะขย้ำมันอย่างแรงด้วยความโทสะ! ในที่สุดคนที่ตามหาตัวก็ได้เจอสักที คิดว่าใครที่ไหนพาตัวเรย์ไป แต่ไม่คิดว่าจะเป็นจุดใต้ตำตอขนาดนี้ ในเมื่อกล้าแหย่เสืออย่างเขามีหรือที่จะปล่อยไปง่ายๆ
ไอ้ตะวัน!
“จัดการซะ”
“ครับ”
ชายหนุ่มโค้งรับคำก่อนที่จะเดินออกไป
เอเดนมองตรงไปยังรูปถ่ายอีกครั้ง เขายอมรับว่ากำลังโกรธมาก...โกรธที่ศัตรูตัวฉกาจโผล่มาเอาเรย์ไปจากเขา แต่ในเมื่ออยากเข้าถ้ำเสือแล้วละก็ เสืออย่างเขาก็พร้อมที่จะขย้ำให้ตายอยู่ตลอดเวลา... ร่างสูงยกยิ้มเหี้ยมบนมุมปาก พอมองแบบนี้แล้วมันทำให้เขานึกถึงครั้งเมื่อที่ยังเรียนอยู่ด้วยกันซะจริง
ในตอนนั้นถึงเขาจะยังเป็นเด็กและอยู่ในรั้วโรงเรียนแต่ด้วยความมีฐานะที่มั่นคงทำให้มีลูกน้องตามต้อยๆ อยู่ตลอดเวลา แล้วก็เพราะว่าเป็นอย่างนี้เลยทำให้เรื่องผู้หญิงไม่ขาดปากหรือแม้กระทั่งผู้ชายก็ตาม ทุกคนที่เข้าหาล้วนแต่หวังผลประโยชน์กันทั้งนั้น แม้กระทั้งตัวเรย์เองก็เช่นกัน... เด็กผู้ชายผู้มีนัยน์ตาหยิ่งยะโส ทำท่าไม่เกรงกลัวใคร มันดึงดูดให้เขาเข้าหาจนเผลอคิดจะทำร้ายเรย์ในห้องน้ำ แต่คงเป็นเพราะความโชคดีของเจ้าตัวเลยทำให้รอดน้ำมือเขาไปได้ หลังจากนั้นเอเดนก็พยายามเข้าหาเรย์มาโดยตลอดแต่ก็ถูกตะวันคอยกันท่าจนเรียนจบ แต่ถึงอย่างนั้นเอเดนก็ยังคงส่งคนคอยตามสืบเรื่องของเรย์อยู่ตลอดเวลา จนได้รู้ว่าเรย์มีปัญหากับพจน์และหนีออกจากบ้าน แล้วนับตั้งแต่วันนั้นมันก็ทำให้เอเดนคิดจะเอาเรย์มาอยู่ในครอบครอง แล้วคิดหรือว่าเขาจะปล่อยให้ไอ้ตะวันมาฉุบมือเปิบ
เรย์เป็นของเขา!
 

ของเขาคนเดียวเท่านั้น!

ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
«ตอบ #182 เมื่อ10-12-2015 18:54:24 »


 
ตอนที่ 25

“สวยจัง”
ผมเอ่ยเบาๆ กับตัวเองพลางมองดาวบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน มันช่างสวยจริงๆ สวยกว่าในกรุงเทพฯ เยอะเลย...จริงๆ มันก็อยู่ภายใต้ท้องฟ้าเดียวกันแท้ๆ แต่ทำไมมันถึงกลับแตกต่างกันขนาดนี้นะ แต่ก็อย่างว่านั้นแหละ...ที่โน่นมีแต่ตึกและควันรถมากมายมันเลยทำให้บดบังดวงดาวสวยๆ แบบนี้ไปหมด
“สวยเนอะ”
ตะวันมานั่งข้างๆ ผมแล้วพูดขึ้น
“อืม”
ผมตอบเบาๆ โดยที่ไม่ได้หันไปมอง ตอนนี้ไม่มีอารมณ์มองใครหรอกนอกจากดาวบนท้องฟ้า โดยเฉพาะเขาเนี่ย! อีกอย่างดาวมันสวยจริงๆ นี่นา
“มองอะไร?”
แต่ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว กลับต้องเป็นฝ่ายหันไปถามไอ้คนที่เอาแต่จ้องมองผมจนได้ ก็ตะวันเล่นจ้องผมจนเกือบจะทะลุอยู่แล้ว! เสียบรรยากาศหมด!
“ดาวสวยนะ”
“สวย...แต่พอมาอยู่กับนายมันก็หมดความสวยแล้ว!” พูดประชดซะเลย แล้วผมก็ทำเป็นไม่สนใจต่อ อยากมองก็มองไปไม่สนใจซะอย่าง
“นายเองก็สวยเหมือนกัน”
ผมรีบหันหน้าไปหาคนพูดอีกครั้ง เมื่อกี้ตะวันบอกว่าอะไรนะ? เขาบอกว่าผมสวยอย่างนั้นเหรอ...จะบ้าหรือเปล่า! ผมเป็นผู้ชายนะจะสวยได้ยังไง!
“อะ ไอ้บ้า!”
แต่ทำไมผมต้องหน้าแดงด้วย รู้สึกเหมือนว่าหน้าตัวเองกำลังจะไหมเลย พูดออกมาได้ไงก็ไม่รู้ เสี่ยวเป็นบ้า!!!
แต่ว่า...ทำไมผมกลับยิ้มไม่หุบนะ
ผมลอบมองตะวันนิดหน่อย เขาเองก็กำลังทำท่าทำทางเขินๆ อยู่เหมือนกัน แล้วก็ดูเหมือนว่าตะวันจะรู้ว่าผมมองเขาอยู่เลยหันมายิ้มให้ ทั้งๆ ที่เป็นแค่รอยยิ้มธรรมดาๆ แท้ๆ แต่ทำไมผมกลับมองว่าเขาทำได้น่ารักจัง แล้วมันก็ยิ่งทำให้ผมประหม่ามากขึ้นกว่าเดิมอีก
หน้าแดง
ใจเต้นแรง
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
คงเป็นเพราะบรรยากาศด้วยละมั้งมันก็เลยทำให้ผมมองตะวันอยู่นาน กว่าจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองหน้าของผมกับตะวันก็อยู่ใกล้กันมากเสียแล้ว ใจของผมมันสั่นไปด้วยความหวั่นไหวอย่างไม่รู้ตัว แล้วเพียงไม่นานริมฝีปากของผมกับของตะวันก็มาประกบกัน
มันเป็นแค่จูบบางเบา แต่ผมกลับรู้สึกอบอุ่น
อบอุ่นมากจริงๆ
แล้วเพียงไม่นานนักลิ้นอุ่นร้อนก็ค่อยๆ สอดแทรกเข้ามา แล้วผมก็เผยอปากรับสิ่งนั้นด้วยความเต็มใจอย่างไม่มีอิดออด
“อืม...”
ผมครางเบาๆ ในลำคอด้วยความรู้สึกวาบหวาม ลิ้นหนาหยอกล้อกับลิ้นเล็กๆ ของผมสลับกันไปมาพร้อมกับบดขยี้ ราวกับว่าคนทำกำลังจงใจแกล้งผมอยู่ แต่ผมกลับตอบสนองอย่างไม่นึกรังเกียจ แถมมือของผมก็ยังเคลื่อนไปโอบที่คอของตะวันเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวกันตัวเองจะล้มไปเพราะความอ่อนแรง ลมหายใจที่หาดห้วงมันทำให้ผมแทบตายทั้งเป็น
ทำไมถึงไม่ผลัก
ทำไมถึงได้ไม่ห้าม
ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน...รู้แต่ว่าตอนนี้ผมกำลังเคลิบเคลิ้มไปกับจูบที่แสนหอมหวาน ท่ามกลางแสงดาวที่สาดส่อง ความรู้สึกบางอย่างมันบอกกับผมว่า
ผมอยากอยู่อย่างนี้ตลอดไป
เราสองคนจูบกันอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะค่อยๆ ละหน้าออกจากกัน ร่างสูงสบตามองผมด้วยแววตาหยาดเยิ้ม มือที่แสนอบอุ่นก็ลูบไปที่แก้มนวลด้วยความทนุถนอม
“นายจะบอกฉันได้ไหม...เรื่องทั้งหมด ทั้งเอเดนและก็ตัวนาย...ฉันพร้อมที่จะเชื่อนายทุกอย่าง ขอเพียงแค่นายบอกมา...ทำไมถึงได้ทำแบบนี้ บอกฉันให้เข้าใจสิเรย์”
แต่คำถามหลังจากที่เขาจูบผมเสร็จมันทำให้ผมเลือกที่จะเงียบเป็นคำตอบ เพราะบรรยากาศรอบๆ ตัวแน่ๆ มันเลยทำให้ผมเผลอที่จะใจกระตุกนิดหน่อย ถ้าเกิดว่าผมบอกเรื่องทั้งหมดกับตะวันไป...ถ้าเกิดว่าผมเล่าเรื่องหลังจากที่ผมหายตัวไป เขาจะเชื่อผมใช่ไหม แล้วเขาก็จะยังอยู่เคียงข้างผมเหมือนอย่างที่พูดหรือเปล่า แต่อีกใจนึงมันก็บอกกับผมว่าให้ผมปฏิเสธไป...มันเป็นไปไม่ได้ ถึงตะวันจะเชื่อผมจริงๆ ก็เถอะ แต่ว่าเรื่องนี้...มันไม่เกี่ยวกับเขา
“ไม่มีอะไรทั้งนั้น”
ผมเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง...เลือกที่จะ ‘โกหก’ ออกไปอีกครั้ง โกหกว่าไม่มีอะไร ทั้งๆ ที่จริงแล้วมันอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมกลายเป็น ‘ลูกเนรคุณ’ ก็เป็นได้
 
หลังจากที่ผมเดินออกมาจากห้องของเอเดน ผมก็เดินไปตามทางเดินเรื่อยๆ แล้วก็ด้วยความไม่ชินทางและผมดันเดินเหม่อลอยมันก็เลยทำให้หลงทางได้ง่ายๆ กว่าจะรู้ตัวว่าผมเดินมาทางผิดก็ทำให้ผมแทบหาทางออกไม่เจอ ผมลุกลี้ลุกลนมองซ้ายมองขวาเพื่อหาคนที่พอจะช่วยเหลือผมได้ อย่างน้อยก็น่าจะเป็นพนักงานที่นี่ แต่มองไปมองมาไม่ยักมีใครสักคน จนกระทั่งผมมองเห็นหลังไวๆ ของใครสักคนที่อยู่อีกทาง
‘ตอนนี้คุณเรย์ออกไปจากห้องของคุณเอเดนแล้วครับ’
‘หึ งั้นเหรอ’
แต่เสียงสนทนาที่ดังมากจากอีกทางมันทำให้ผมหยุดชะงัก...เมื่อกี้ถ้าฟังไม่ผิดมันเป็นชื่อของผมนี่นา หรือว่าเขาจะรู้ว่าผมเป็นใคร?
‘จะให้ผมทำยังไงต่อครับ’
‘ส่งคนไปจับตาดูไอ้พจน์ไว้ มันกำลังจะทำอะไรก็ต้องมารายงานให้ฉันรู้ทุกอย่าง’
‘ครับ…แล้วคุณเรย์...’
‘ยัง รอก่อน...รอให้เอเดนเอาเรย์มาเป็นพวกได้ก่อน ถึงตอนนั้นค่อยกำจัดให้พ้นทางพร้อมกับครอบครัวของมัน!’
‘ครับท่าน’
แล้วเพียงไม่นานนักเสียงสนทนาก็เงียบหายไปพร้อมกับคนพูดเดินเข้าไปในห้องที่อยู่ตรงหน้า พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่แล้วผมก็เดินออกมาจากที่ซ่อน ถึงผมจะเห็นใบหน้าเพียงแค่เสี้ยวเดียวแต่ก็รู้ดีว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร...เขาเป็นคนที่มีอำนาจไม่น้อยเลยทีเดียวแล้วก็ยังเป็นคู่แข่งกับบริษัทฯ ของพ่อผมอีก ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเขากำลังคิดแผนการณ์บางอย่างอยู่
ผมหาทางออกจากตึกของเอเดนอย่างระมัดระวังที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตุแต่ก็ดูเหมือนว่าสิ่งที่ผมทำมันจะไร้ผล เมื่อผมกำลังถูกจับตามองและถูกสะกดรอยตาม...คนพวกนั้นกำลังมองผมอยู่จากอีกทาง แสร้งทำเป็นคนที่ไม่รู้จักแต่จริงๆ แล้วกลับไม่ใช่สักนิด... พอเห็นแบบนี้แล้วมันก็ทำให้ผมอดคิดถึงสิ่งที่ได้ยินมาเมื่อสักครู่ไม่ได้... ผมกอดเอกสารไว้แน่นแล้วก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป แล้วก็ด้วยความรีบร้อนก็เลยทำให้ผมลืมมองทางอีกครั้ง โผล่มาอีกทีผมก็อยู่ในซอยเปลี่ยวที่ไร้ผู้คนซะแล้ว รอบข้างยังเต็มไปด้วยพงหญ้าอยู่เลยแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ใส่ใจเพราะในหัวของผมมันตีกันยุ่งเหยิงไปหมด ยิ่งคิดมันก็ยิ่งทำให้ผมกลัว กลัวจนลืมสังเกตุสิ่งรอบข้างว่ามีรถคันหนึ่งกำลังแล่นมาทางผมอย่างจงใจ
ผมอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึง สองขาเล็กๆ พยายามที่จะพาตัวเองให้ออกมาจากตรงนั้นแต่มันก็แข็งทื่อเกินไปที่จะขยับ...
จนกระทั่ง
เอี๊ยดด!!!
โครม!!!
ผมถูกชนอย่างจังจนตัวของผมกระเด็นไปที่หน้ากระจกรถ มันเจ็บมาก...เจ็บจนผมลืมตาแทบไม่ขึ้นแต่ช่วงวินาทีที่ผมกำลังลืมตามันก็ทำให้ผมมองเห็นคนทำได้อย่างชัดเจน
ผู้หญิงที่ผมคิดว่าดีแสนดี
ผู้หญิงที่ผมคิดว่าเธอเองก็คงจะเอ็นดูผมเหมือนกัน ไม่มากก็น้อย
ผู้หญิงที่อยู่บ้านเดียวกันกับผม แต่เธอกลับทำร้ายผมได้ลงคอ
คุณนัน!!!
ทันทีที่ผมถูกชนจนกระเด็นไปอีกทาง ผู้หญิงคนนั้นก็จอดรถชั่วครู่ก่อนที่จะรีบแล่นออกไปโดยทิ้งให้ผมนอนจมกองเลือดอยู่อย่างนั้น ความเจ็บจากร่างกายมันไม่ได้เจ็บไปมากกว่าที่ใจของผมเลย...ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้ทำร้ายผมแบบนี้
ไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจสักนิดเดียว
จากนั้นผมก็สลบไปไม่รับรู้อะไรอีกเลย ตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองก็นอนอยู่ที่โรงพยาบาลซะแล้ว ร่างกายของผมก็มีผ้าพันแผลเต็มไปหมด แถมคนแรกที่ผมเจอก็เป็นเอเดนซะด้วย...
แล้วนับตั้งแต่วันนั้นผมก็เลือกที่จะอยู่เคียงข้างกับเอเดน

 
“เรย์...”
ตะวันเลิกคิ้วมองผมเมื่อเห็นว่าผมเงียบไป ผมสบตามองเขาอีกครั้งก่อนที่จะตัดสินใจลุกขึ้น
“ฉันง่วง”
ผมบอกเพียงแค่นั้นแล้วเดินออกมาทันที...ยังไงซะเรื่องนี้ตะวันก็จะรู้ไม่ได้เด็ดขาด! เพราะผมไม่อยากดึงเขามาเกี่ยวกับเอเดน...แล้วอีกอย่างผม...
ไม่อยากให้ตะวันเป็นอันตราย
 .
.
.

เช้า
ตื่นเช้ามาผมก็พาตัวเองไปที่หลังบ้านเพื่อหาอะไรทำ สวนสวยๆ ถูกประดับประดาไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาพรรณ มันก็ดูสวยดีนะ...แต่ผมมาอยู่นี่ก็หลายวันแล้วไม่เห็นมีใครมารถน้ำเลย เดี๋ยวดอกไม้สวยๆ จะเหี่ยวเฉาแล้วตายเอาซะก่อน
ตะวันเองก็ยอมปล่อยให้ผมทำโน่นทำนี่เองแต่โดยดี แล้วการที่ผมทำอะไรๆ แบบนี้ใช่ว่าผมจะไม่หนีเขานะ...แต่ผมเลิกคิดที่จะหนีเองต่างหาก บางทีการวิ่งหนีมันก็ทำให้ผมเบื่อเหมือนกัน
ซ่า...
ผมลากสายยางแล้วรถน้ำต้นไม้ไปด้วยอารมณ์ที่กำลังดีสุดๆ เห็นไหม...ว่าแค่เพียงต้นไม้โดนน้ำแค่นี้มันก็ทำให้สวยขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัวเลย แต่มันก็แปลกดีนะ...ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่คิดที่จะอยากทำอะไรทำนองนี้เลย ไม่คิดที่จะแตะต้องเลยด้วยซ้ำ แต่คงเพราะผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างเลยทำให้ความคิดของผมเปลี่ยนไป แม้กระทั่ง...
เรื่องของตะวันก็เหมือนกัน
เรื่องเมื่อคืน...มันทำให้ผมคิดหนักเลยทีเดียว ดันนึกถึงเหตุการณ์ที่ไม่อยากจำซะได้ ถึงผมจะมาอยู่กับเอเดนก็จริง...แต่ว่า
มันมีอะไรมากกว่านั้น
“ฝึกทำงานบ้านเอาไว้รอเป็นแม่บ้านหลังแต่งงานหรือไง”
ผมรีบหันไปมองคนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยความตกใจ แต่คำพูดที่เขาพูดออกมามันทำให้ผมถลึงตามองเลยก็ว่าได้...คิดได้ยังไง! ผมเป็นผู้ชายนะ จะไปเป็นเจ้าสาวได้ยังไงละ!
“แต่ก็ดีนะ ฝึกเอาไว้ก็ดี”
ตะวันยังพูดไม่หยุด แต่ผมก็ไม่ได้สนใจหันไปรดน้ำต้นไม้ต่อ ไม่ใช่อะไรหรอก...ผมแค่ต้องการซ่อนใบหน้าของตัวเองก็เท่านั้น ยิ่งมาเห็นตะวันตัวเป็นๆ แบบนี้ก็ยิ่งทำให้ผมอายจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี แล้วจะยังไอ้หัวใจบ้านี่อีก ทำไมมันไม่หยุดเต้นสักทีนะ!!!
ซ่า!
“เฮ้ย! ตะวัน! ทำอะไรเนี่ย เปียกหมด”
แต่คงเป็นเพราะว่าผมไม่สนใจเขาละมั้ง ตะวันก็เลยอาศัยช่วงจังหวะนั้นแย่งสายยากไปจากมือของผมแล้วก็ฉีดน้ำใส่จนผมเปียกไปหมดเกือบครึ่งตัว
“ฮ่าๆ”
ฮึ่ย! มันน่าโมโหนักนะ! ยังจะมีหน้ามาหัวเราะอีก!!!
แกล้งกันนักเหรอ นี่ๆๆ...
ผมยื้อแย่งสายยางมาจากตะวันแล้วก็ฉีดไปที่ตัวเขาเหมือนกัน จะได้รู้บ้างว่าผมกำลังรู้สึกยังไง!
“เรย์ มันเปียกนะ”
“ก็นายอยากมาแกล้งฉันก่อนทำไมละ นี่แหนะๆ”
ซ่า ซ่า
ผมยังคงฉีดน้ำใส่ตะวันไม่หยุด เขาเองก็ตั้งหลักพยายามที่จะแย่งสายยางไปจากมือของผม แต่ผมก็ยังไม่ยอมง่ายๆ พวกเราทำอย่างนี้กันอยู่พักใหญ่อย่างไม่มีใครยอมใคร จนเสื้อผ้าของเราสองคนเปียกชุ่มไปทั้งตัว ผมมีความสุข หัวเราะไปกับการเล่นของตะวัน แล้วคงเพราะผมกับตะวันเล่นกันมากเกินไปเลยทำให้ผมตกอยู่ในอ้อมอกของตะวัน สายน้ำที่ไหลรินพร้อมกับเสียงหัวเราะที่เปล่งออกมา
“หึ มีความสุขกันดีจังนะ”
แต่แล้วความสนุกของผมก็จบลงเมื่อมีใครอีกคนก้าวเข้ามา
ในที่สุดเขาก็ตามหาตัวผมเจจนได้ แต่สายตาที่เขามองมายังผมและตะวันมันเป็นสายตาแห่งความเกรี้ยวกราด
 .
.
.

ตะวัน PASS

“เอเดน”
ผมเรียกชื่อคนบุกรุกพร้อมกับมองสบตากับแววตากร้าวคู่นั้น ด้านหลังของเอเดนมีลูกน้องยืนเรียงรายนับสิบคน แต่ละคนมีอาวุธครบมือ แถมน่ากลัวทั้งนั้น เอเดนตามหาตัวเรย์จนพบสินะ ผมไม่น่าประมาทเลย คิดว่าผมกับเรย์กำลังอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแล้วแท้ๆ เพราะความสุขนั่นมันก็เลยทำให้ผมหลงลืมไปว่ากำลังมีตัวอันตรายที่กำลังจ้องเล่นงานอยู่ แล้วตอนนี้มันก็อยู่ตรงหน้าผมซะแล้ว
“จับมัน”
“ครับ!”
สิ้นเสียงคำสั่ง คนของเอเดนก็กรูเข้ามาล้อมตัวผมเอาไว้ เมื่อเห็นว่าท่าจะไม่ดีผมจึงรีบเอาตัวเองมาบังเรย์เอาไว้แล้วดันให้ร่างบางไปอยู่ทางด้านด้านหลัง
ผลั่ก!
ผมยกขาสูงถีบชายตรงหน้าอย่างแรงแล้งรีบพาเรย์วิ่งหนีจากคนกลุ่มนั้นอย่างเร็วที่สุด...ผมไม่ได้กลัว แต่ดูจากจำนวนคนกับผมที่มีเรย์อยู่ด้วย คงจะชนะไม่ได้แน่ๆ แล้วอีกอย่างผมเป็นห่วงเรย์...ผมไม่อยากให้เรย์กลับไปอยู่กับเอเดน ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเอเดนเป็นคนยังไง และผมไม่อยากให้เรย์ไปอยู่กับคนแบบนั้น
เอเดนร้ายเกินไป
แล้วการที่เรย์ไปอยู่กับมันผมก็เชื่อได้ว่าเรย์มีเหตุผล จนถึงตอนนี้เจ้าตัวจะยังไม่ได้บอกผมเหตุผลนั้นกับผมแล้วทุกครั้งที่ผมถามเขาก็มักจะปฏิเสธอยู่เสมอก็เถอะ แต่ผมก็ไม่เชื่อ...ทุกอย่างมันมีเงื่อนงำ เพียงแต่ว่าผมยังไม่รู้เท่านั้น
ปัง!
แต่ผมก็วิ่งได้เพียงแค่ไม่กี่ก้าว ด้านหลังของผมก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันที รู้ตัวอีกทีผมก็ทรุดลงไปกับพื้นเบื้องล่าง
“ตะวัน!”
ผมได้ยินเสียงของเรย์ร้องเรียกชื่อ แล้วสิ่งที่ผมเห็นคือเรย์ที่กำลังอยู่ในเงื้อมมือของเอเดน...อยากเข้าไปช่วย แต่ผมก็ถูกลูกน้องของเอเดนมารุมจับเอาไว้ ด้วยจำนวนที่มากกว่าทำให้ผมทำได้เพียงแค่มองคนตัวเล็กที่กำลังร้องเรียกชื่อ ผมพยายามที่จะสะบัดตัวให้หลุดออกไป พยายามที่จะลุกขึ้น แต่สุดท้ายแล้วมันก็ทำได้เพียงแค่มองก่อนที่ใครคนใดคนหนึ่งในลูกน้องของเอเดนจะมาตะบันหน้าของผม
ผัวะ!
“อั่ก!”
 

ด้วยแรงของผู้ชายมันทำให้ไม่ยากเลยที่จะทำให้ผมเจ็บตัว แล้วเพียงไม่นานนักร่างกายของผมก็ถูกซ้อมซ้ำแล้วซ้ำแล้ว แต่ผมก็ยังพยายามลุกขึ้นมาเพื่อวิ่งไปหาร่างเล็กที่กำลังมองผมแต่ดูเหมือนว่าร่างกายของผมจะไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไหร่เมื่อมันพร้อมที่จะหมดแรงลงดื้อๆ ก่อนที่สติผมจะดับวูบลงไปในที่สุด
 
 
TAKE


มาลงกันยาวๆ เลยทีเดียวเชียว
เรื่องนี้ไม่ต้องถามหาเอ็นซีครัช! เทคบอกเลยว่าไม่มี ฮ่าๆ
ขอบคุณทุกเม้นและทุกกำลังใจน้าาาา อีกไม่เกินสิบตอนเรื่องนี้ก็จบแล้วครัช!

ออฟไลน์ Paparazzi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1050
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-11
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
«ตอบ #183 เมื่อ10-12-2015 22:18:51 »

ขอบคุณที่มาต่อนะค้า :impress2:

อ่านไปอ่านมาสงสารหนึ่งแทน  :katai1:

ออฟไลน์ bebe

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 672
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-5
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
«ตอบ #184 เมื่อ11-12-2015 00:27:43 »

สมควรและสาสมดี แม่นังหนึ่งน่าจะเจอดีอะไรสักอย่าง

ออฟไลน์ Sorso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-3
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
«ตอบ #185 เมื่อ11-12-2015 01:10:23 »

สะใจคุณนันกับหนึ่งนะ สงสารคุณพจน์

ออฟไลน์ Satang_P

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 856
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-2
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
«ตอบ #186 เมื่อ11-12-2015 13:20:46 »

สนุกมากๆๆๆ :katai2-1:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
«ตอบ #187 เมื่อ12-12-2015 01:03:01 »

โตเกินไว

ออฟไลน์ rogerr

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 834
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
«ตอบ #188 เมื่อ24-12-2015 20:52:34 »

จะเอา ncๆๆ

ออฟไลน์ rogerr

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 834
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
«ตอบ #189 เมื่อ22-02-2016 01:17:19 »

คิดถึงแล้วน้าาาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
« ตอบ #189 เมื่อ: 22-02-2016 01:17:19 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน26-30 22/02/16
«ตอบ #190 เมื่อ22-02-2016 22:50:12 »



 
ตอนที่ 26

“เฮ้ย! ทางนั้นนะเร็วๆ สิวะ!”
เสียงทุ้มดังขึ้นเมื่อเห็นว่าคนมาใหม่กำลังชักช้ากับการทำงาน น้ำเสียงจิจ๊ะในลำคอที่บ่งบอกว่าเขากำลังไม่พอใจกับคนงานใหม่ที่เพิ่งเข้ามาได้ไม่นานเสียงจริง
ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง!!!
“ครับ”
พจน์ได้แต่ก้มหน้าต่ำพลางรีบยกถังปูนด้วยความร้อนรน ถึงจะโชคดีที่มีงานทำแล้วก็ตามแต่พจน์ไม่รู้ว่านั่นจะเรียกว่าความโชคดีได้หรือไม่เพราะงานที่เขาทำเป็นงาน ‘ก่อสร้าง’ เป็นเพียงแค่ลุงแก่ๆ คนนึงที่ต้องหามปูนแบกปูน มันเป็นงานที่ใช้แรงงานแต่ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ ถึงพจน์จะไม่สันทัดเรื่องแบบนี้แต่ถ้าไม่ทำก็ไม่มีอะไรกิน
โครม!
และด้วยความที่ไม่เคยทำงานแบบนี้มาก่อนสักครั้งเลยทำให้พจน์ที่กำลังเร่งรีบสะดุดขาตัวเองจนทำให้ล้มลงอย่างจัง ถังปูนที่ถือมาก็หล่นระเนระนาดเปราะเปื้อนพื้นไปทั่ว
“มึงทำงานยังไงของมึงเนี่ย!!!”
ธัญ...หัวหน้าคงงานที่อายุน้อยกว่าพจน์ชี้หน้าใส่ด้วยความโมโหหนักยิ่งกว่าเดิม เพราะเห็นเป็นคนใหม่แล้วดูท่าทางจะยังไม่เคยทำงานพวกนี้ เขาเลยให้ทำงานแบกปูนไปก่อน แต่ช่วงหลายวันมานี้พจน์กลับทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองอายุแก่ขึ้นเป็นเท่าตัว
“ขะ ขอโทษ จะรีบเก็บเดี๋ยวนี้”
พจน์ระล่ำระลักเก็บปูนที่หกอยู่...
“แก่จนป่านนี้แล้วยังทำอะไรไม่เป็น! กูคิดผิดหรือคิดถูกวะเนี่ยที่เอามึงมาทำงาน!!!”
“ผะ ผมขอโทษ…อย่าไล่ผมออกเลยนะ”
พจน์เงยหน้าขึ้นมองธัญด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เพราะสิ่งที่ธัญพูดทำให้พจน์รู้สึกกลัวว่าตัวเองจะถูกไล่ออก แล้วถ้าเกิดเป็นแบบนั้นต้องแย่แน่ๆ
“เก็บๆ เก็บซะ! แล้วก็อย่าทำหกอีก ถ้าครั้งนี้ทำหกอีกกูจะหักเงินเดือนมึง!”
ธัญชี้นิ้วสั่งอีกครั้งอย่างไม่ปราณี ถึงจะน่าสงสารแต่พจน์ก็เหมือนเป็นตัวถ่วงสำหรับงานที่ต้องเร่งทำให้เสร็จสำหรับสถาปนิกอย่างเขา
พจน์พยายามซ่อนน้ำตาเอาไว้ไม่ให้มันไหล...สมเพช! พจน์กำลังสมเพชตัวเองที่สุด ถูกดูถูกและทำงานหนัก คนที่ไม่มีประสบการณ์อย่างเขาก็ย่อมที่จะทำงานผิดพลาดเป็นธรรมดา ถึงจะรู้ดีว่าตัวเองทำงานแย่ยังไงแต่ส่วนหนึ่งก็ยังไม่อยากถูกไล่ออก
แค่อดทนแล้วก้มหน้าทำต่อไป
 .
.
.
“อ๊า!!! อ๊ากก!!!”
โครม!
มือบางปัดข้าวของระเนระนาดด้วยความโมโห นันกรีดร้องไปด้วยความทรมานและความเจ็บปวด หลายวันมานี้มันทำให้เธอแทบคลั่ง ต้องลงมือทำทุกอย่างเอง ทั้งซักผ้าและทำกับข้าว มันเป็นเรื่องที่รับไม่ได้...รับไม่ได้สักนิด ตลอดเกือบยี่สิบปีที่แต่งงานกับพจน์มาเธอไม่เคยแม้กระทั้งทำเรื่องพวกนี้ กินอยู่อย่างสุขสบาย มีคนทำให้ตลอด ถ้าหากว่าต้องกลับไปเป็นแบบก่อนก่อนที่จะแต่งงานกันละก็สู้ฆ่ากันให้ตายไปเลยดีกว่า!!!
เธอเกลียดเด็กนั่น! เกลียดเรย์!!! เป็นเพราะเรย์เพียงคนเดียวที่ทำให้เป็นแบบนี้!!! ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกสู้ฆ่าให้ตายตั้งแต่วันนั้นดีกว่า!
ในวันนั้น...นันกำลังขับรถกลับบ้านหลังจากที่ไปบ้านเพื่อนไฮโซของเธอมา แล้วระหว่างทางกลับเธอก็เจอกับเรย์โดยบังเอิญ แล้วความรู้สึกบางอย่างมันก็สอดแทรกเข้ามามันเลยทำให้นันเลือกที่จะขับรถตามเรย์ไปเงียบๆ จนไปถึงซอยเปลี่ยว
ถ้าไม่มีเด็กนี่สักคน!
ถ้าหากว่าไม่มีเรย์! ทุกอย่างมันก็ต้องตกเป็นของหนึ่ง! ถ้าหากว่าไม่มีเรย์สักคน!
เพราะคิดได้แบบนั้นมันก็เลยทำให้นันเลือกที่จะทำบางอย่าง...บางอย่างที่เรียกได้ว่าเกือบคร่าชีวิตของคนหนึ่งคน
หลังจากนั้นเธอก็กลับมาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถวนั้นไม่มีกล้องวงจรปิด เธอเช็คแล้วทุกอย่าง...ไม่มีใครจับได้แน่ๆ ที่เหลือก็รอแค่ออกข่าว แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่เธอรอทั้งวันมันไม่มีวันเป็นความจริง มันทำให้นันประสาทเสียไม่น้อย แล้วตอนนั้นเองสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อมีคนโทรมาหาเธอ ใช่แล้ว...นันจำได้ดีว่าคนๆ นั้นเป็นใคร
เอเดน!
ผู้ชายคนนั้นข่มขู่และหาหลักฐานมาจับผิดเธอได้ ภาพทุกอย่างชัดเจนจนนันไม่สามารถหนีรอดไปได้
‘จะเอาอะไรก็ว่ามา!’
‘มาเป็นพวกของผมสิ แล้วหลักฐานทุกอย่างรวมแม้กระทั่งเรย์ก็จะไม่สามารถเอาผิดคุณไปได้’
ข้อเสนอถูกหยิบยื่นมาให้ นันไม่มีทางเลือก จำใจที่จะต้องเข้าไปเป็นฝ่ายของเอเดนอย่างช่วยไม่ได้เพราะคำขู่ เอกสารลับของบริษัทฯ บางอย่างก็ถูกหยิบยื่นให้กับเอเดน ความลับของบริษัทฯ ถูกเผยแพร่ให้กับศัตรูคู่แข่งเลยทำให้ช่วงนั้นเป็นช่วงที่วิกฤษมากที่สุดของพจน์เลยก็ว่าได้ แล้วหลังจากนั้นนันก็หนีไปต่างประเทศ หนีไปอยู่ที่อื่นเพื่อสงบจิตสงบใจก่อนที่จะกลับมาอีกครั้งเมื่อรู้ว่าเรย์ได้กลับมาแล้ว แถมยังร้ายกว่าเก่า...
‘ผมรู้นะว่าคุณทำอะไรไว้ คราวนี้แหละ ผมจะทำให้คุณเจ็บปวดเหมือนอย่างที่คุณทำผม’
เสียงกระซิบที่แหบพร่าที่เรย์บอกกับเธอตอนนั้นยังจำได้ดีติดตา ไม่ผิดแน่ๆ ไม่ผิดจริงๆ เรย์กลับมาเพื่อแก้แค้น! แล้วการแก้แค้นที่ดีที่สุดก็คือหนึ่ง!!! ทำให้นันเจ็บปวด ทำให้นันเสียสติได้อย่างง่าย แล้วมันก็เป็นผลสำเร็จ!
ทุกอย่างมันดูตาลปัดไปหมด เธอถูกเรย์จัดการอย่างร้ายกาจ
ความเกลียดชังก็มีขึ้นเป็นทีวีคูณ ถึงแม้ว่าจะพยายามซ่อนความร้ายจากผ่านใบหน้าที่ใสซื่อและดูใจดีขนาดไหน พยายามที่จะคิดที่จะรักเรย์เหมือนลูกแต่ความรู้สึกบางอย่างมันกลับปฏิเสธ นันไม่เคยรักเรย์เลย...ไม่เคยสักครั้งที่คิดจะรัก เธอสะใจทุกครั้งที่เรย์ถูกต่อว่า ด่าทอ เธอมีความสุขทุกครั้งที่พจน์ยกย่องเชิดชูลูกชายเพียงคนเดียว เพียงแต่ว่าเธอจะเก็บมันไว้ให้ลึกที่สุด
“ฉันเกลียดแก! ฉันเกลียดแกไอ้เรย์!!! เกลียดๆๆ เกลียด!”
นันกรีดร้องอีกอีกครั้งโดยที่เธอไม่ได้เอะใจเลยว่ากำลังมีอีกคนที่ยืนร่ำไห้ด้วยความเสียใจ... หนึ่งปิดปากตัวเองแน่นเพื่อกลั้นเสียงร้อง เจ็บปวดเหลือเกินที่เห็นแม่ตัวเองเป็นแบบนี้
คนที่ใจดีและใจเย็น
แต่กลับกลายเป็นคนละคนเมื่อสิ้นเนื้อประดาตัว กลับกลายเป็นคนที่ชอบโวยวายและทำลายข้าวของ หรือนี่อาจจะเป็นตัวตนที่แท้จริง ที่ถูกซ่อนเอาไว้กันแน่
 .
.
.
เรย์PASS

ผมถูกเอเดนเอาตัวกลับมาอีกครั้ง ภายในห้องกว้างที่มีผมกับเอเดนและลูกน้องนับสิบอยู่ เขานั่งอยู่กลางห้องโดยที่มีผมอยู่ตรงหน้า แต่ผมทำได้เพียงแค่ยืนนิ่งๆ ก็เท่านั้น สายตาของเขารับกับว่ากำลังจะจับผิดผมอยู่ แล้วมันก็ทำให้ผมไม่ชอบเลย
“ฉันต้องการคำอธิบาย”
เอเดนถามผมเสียงเข้ม
“ไม่มีอะไรจะพูด”
ตึง!
เอเดนทุบโต๊ะ มันเสียงดังมากจนผมเผลอสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ยังคงท่าทีเอาไว้เหมือนเดิม
“แล้วสิ่งที่ฉันเห็นจะอธิบายว่ายังไง ห่ะ!”
“ไม่มี”
ผมตอบเสียงนิ่ง
“เรย์!”
เอเดนตวาดลั่นแล้วเปลี่ยนมาจับผมเอาไว้ แต่ผมไม่มีอะไรจะพูด...มันไม่รู้จะตอบอะไรเหมือนกัน เพราะในตอนนี้ตะวันกำลังสลบอยู่ตรงหน้าผม! เขาถูกเอเดนยิง...แล้วก็ถูกพาตัวกลับมาเหมือนกับผม เลือดที่ไหลจากการถูกยิงก็ยังไม่ได้รักษามันเลยทำให้เสื้อผ้าของเขาเต็มไปด้วยเลือดและรอยเปื้อน ถ้าไม่ได้รับการรักษาโดยเร็วตะวันจะต้องตายแน่ๆ
“อุ๊ก!”
ผมหันไปมองยังเสียงคุ้นเคยที่อยู่ด้านหลัง ตะวันกำลังเริ่มรู้สึกตัว เขาค่อยๆ ขยับตัวทีละนิด คงเป็นเพราะพิษบาดแผลมันก็เลยทำให้เขาขยับลำบากมากพอดู แล้วไหนจะยังร่างกายที่ถูกเชือกมัดพันธนาการนั่นอีกเลยยิ่งทำให้ขยับลำบากเข้าไปใหญ่
“เรย์...”
ตะวันเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง แต่ผมก็ยังนิ่งอยู่เหมือนเดิม
“หึ อยากรู้จริงว่ามึงจะใจแข็งได้นานเท่าไหร่”
เอเดนเอ่ยอีกครั้ง ไม่ต้องเดาเลย...ผมรู้ว่าตอนนี้เขากำลังโมโหมาก เพราะถ้าเอเดนเกิดมีอารมณ์ขึ้นมาเมื่อไหร่เขามักจะขึ้นมึงขึ้นกูกับผมแบบนี้เสมอ
ร่างของตะวันถูกลูกน้องของเอเดนจับเอาใว้ให้นอนคว่ำหน้าลงกับพื้นโดยที่ช่วยเหลืออะไรตัวเองไม่ได้เลย คนที่อยู่ตรงหน้าผมเปลี่ยนเป็นลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปใกล้กับคนเจ็บแล้วใช้เท้าเหยียบแรงๆ ลงบนแผลของตะวัน
“อ๊าก!!!”
ร่างสูงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“ว่าไงเรย์..”
เอเดนหันถามผมอีกครั้ง
“ก็ตามใจ...อยากทำอะไรก็ทำ”
ผมยืดกอดอกมองอย่างไม่รู้สึกรู้สา อยากทำอะไรทำเลย...ตะวันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมอยู่แล้ว
“จัดการมัน!”
เอเดนมองผมพร้อมกับยิ้มร้ายกาจมาให้ ปากก็เอ่ยสั่งลูกน้องเขาไปด้วยก่อนที่เขาจะเดินออกมาจากจุดนั้นแล้วร่างของตะวันก็ถูกจับให้ลุกขึ้นมาโดยที่เจ้าตัวยังไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ
ผัวะ! พลั่ก!
เหล่าชายฉกรรณ์เข้าไปรุมสกรัมคนเจ็บอย่างไม่เห็นใจสักนิด ฝ่าเท้าหนักๆ กระทืบไปที่ใบหน้าและลำตัว ตะวันที่ยังคงนอนเจ็บอยู่ก็ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลยได้แต่นอนรอรับความเจ็บปวดที่มาประทะเป็นรอกๆ อาจมองว่าผมเหมือนคนใจร้ายที่ไม่ยอมช่วย
ก็แล้วทำไมละ...
ทำไมผมจะต้องไปช่วยตะวันด้วย ในเมื่อเขาหาเรื่องเองแท้ๆ แล้วผมกับเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ปล่อยให้โดนซ้อมไปแบบนั้นแหละดีแล้ว...ดีแล้วจริงๆ
“คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีก กูไม่ชอบที่มึงไปสนิทกับคนอื่น...โดยเฉพาะมัน!”
เอเดนเชยคางผมให้เงยขึ้นสบตากร้าวคู่นั้น เขาพูดจริงแน่เพราะผมรู้นิสัยของเอเดนดี เขาทำร้ายคนรอบข้างได้อย่างหน้าตาเฉยๆ แม้ว่าคนๆ นั้นจะตายเขาก็ไม่คิดจะสนใจอยู่แล้ว เพราะอำนาจเงินที่มีเลยทำให้ทุกคนทำอะไรไม่ได้
ร่างสูงยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ก่อนที่ทาบทับริมฝีปากลงมา... เอเดนกำลังจูบผมท่ามกลางลูกน้องของเขาและตะวัน! ถึงไม่ต้องหันไปมองผมก็รู้ว่าตะวันกำลังมองผมอยู่...
ผมหลับตาลงเพื่อรอรับสัมผัสนั้น ลิ้นอุ่นร้อนสอดแทรกเข้ามาในโพรงปากของผมอย่างช้ำชองและรุนแรง ทำเหมือนกับว่าเขากำลังประกาศให้ทุกคนรู้ว่าผมเป็นของเขาและก็ไม่มีใครสามารถแย่งผมไปจากเขาได้...มันควรจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว ใช่! มันต้องเป็นแบบนี้นะถูกแล้ว ที่ตะวันเจ็บตัวก็เพราะเขาเข้ามาแส่เอง เขาอยากเข้ามาเจ็บตัวเองมันก็ช่วยไม่ได้
หลังจากนั้นผมก็ถูกพาตัวให้เข้าไปในห้อง ส่วนตะวันก็ยังถูกลูกน้องของเอเดนซ้อมอยู่ ผมเลยไม่รู้ว่าตอนนี้ตะวันเป็นยังไงบ้าง จะตายไปหรือยังนะ... แผล...ที่ถูกยิงก็ยังไม่ได้ทำ
จะตายหรือเปล่านะ
ช่างสิ! เขาจะเป็นจะตายยังไงก็ช่าง ไม่เห็นจะต้องไปสนใจเลย...ตะวันหาเรื่องเอง เขาแส่เอง ถ้าหากว่าเขาไม่มายุ่งกับผมตั้งแต่แรกก็คงจะไม่เป็นแบบนั้นหรอก แต่ว่า... แต่ว่า...
กึก!
ผมกำมือแน่น กัดฟันทน...ต้องทน ทำได้แค่ต้องทนเท่านั้น...อีกเพียงแค่นิดเดียว ทุกอย่างก็จะจบลง...แล้วผมก็จะไปจากที่นี่
“คุณเรย์”
เสียงทุ้มเอ่ยดังจากทางด้านหลัง แล้วเข้ามากระซิบที่ข้างหูเพื่อรายงานบางอย่างให้ผมฟัง... ผมกำมือแน่นพร้อมกับยกยิ้มร้ายบนใบหน้า ในที่สุดสิ่งที่รอคอยก็กำลังจะมาถึงสินะ
นะครับ...คุณแม่
 .
.
.
.
เอเดน PASS

“สาดมัน!”
ซ่า!
ผมมองร่างที่เปียกชุ่มจากน้ำมือของลูกน้องผมด้วยรอยยิ้มเยอะ รู้สึกสะใจดีจริงๆ ที่มันสยบแทบเท้าของผมได้ ผมพามันมาขังที่โกดังส่วนตัวหลังจากที่ซ้อมมันจนสะบักสะบอมที่บ้านจนสลบ พอโดนน้ำสาดมันก็เริ่มรู้สึกตัว ดวงตาที่ปิดทั้งสองข้างก็ค่อยๆ ลืมตามองผมอย่างช้าๆ ด้วยความยากลำบาก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังแสดงความเกรี้ยวกราดออกมาให้เห็นได้ชัด
เหอะ! มันน่าสมเพช... ถูกซ้อมจนยับเยินขนาดนั้นแล้วแท้ๆ ยังจะมาอวดดีอีก
“เป็นไงละมึง เจอตีนลูกน้องกูอย่างกับหมาข้างถนน”
“ถ้ามึงไม่เล่นสกปรกกูก็ไม่มีทางแพ้มึง! อึ๊ก!”
“ปากดีนะมึง”
ผมจับกระชากที่เรือนผมสีดำสนิท ใบหน้าของมันบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด แต่แค่นี้ยังไม่พอหรอก...มันยังไม่พอ สำหรับมัน! ต้องโดนมากกว่านี้อีก!!!... ใบหน้าของมันที่ดูเรียบเกลี้ยงในคราวแรกถูกเติมเต็มไปด้วยบาดแผล
ดูน่าสงสารซะจริง
“กูจะทำให้มึงรู้ว่านรกเป็นยังไง จัดการมันซะ!!!” ผมปล่อยให้มันเป็นอิสระแล้วหันไปสั่งลูกน้องแทน
ผัวะ!
“อั๊ก!”
แล้วไม่นานนักร่างตรงหน้าก็ถูกซ้อมจากลูกน้องผมอีกรอบ... ความจริงแล้วจะฆ่ามันให้ตายตอนนี้ง่ายอย่างกับปลอกกล้วยเข้าปาก แต่มันไม่สาแก่ใจ... อย่างที่ผมบอกกับไอ้ตะวัน! มันต้องเจอมากกว่านี้ ผมจะทำให้มันทรมานตาย แค่กำจัดคนเพียงคนเดียว...มันไม่ได้ยากเลยสักนิด
 
“แกคิดจะทำอะไร”
พอกลับมาถึงบ้านผมก็เจอกับพ่อที่นั่งรออยู่ที่ห้องโถงแล้ว สีหน้าของท่านดูเคร่งขรึม คงจะมีคนไปรายงานแน่ๆ ว่าผมทำอะไรลงไป ไม่อย่างนั้นพ่อไม่ทำหน้าแบบนี้หรอก
“ผมก็แค่ทวงคนของผมคืน”
“ฉันบอกให้แกฆ่ามันไปซะทำไมไม่ทำ!”
ชายสูงวัยผู้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“เรย์เป็นของผม! พ่อไม่มีสิทธิ์มายุ่ง!!!”
“แต่มันจะทำให้แกพินาศ! แกอย่าลืมสิเอเดน...ขนาดพ่อมัน มันยังทรยศได้ลงคอแล้วแกเป็นใคร ฉันเป็นใคร! แกคิดว่ามันจะไม่ดัดหลังอย่างนั้นเหรอ! เด็กนั่นจะทำให้แกเดือนร้อน!!!”
เป็นอีกครั้งที่พ่อพูดเรื่องนี้กับผม ถึงพ่อจะพูดถูกทุกอย่าง...เรย์ในตอนนี้ไม่สามารถเชื่อใจได้จริงๆ แต่ผมก็ปล่อยเรย์ไปไม่ได้
“พ่อไม่ต้องห่วง...ถ้าถึงเวลานั้นเมื่อไหร่ ผมจะจัดการกับเรย์เอง”
พ่อมองหน้าแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา ท่านรู้ว่าผมเป็นคนยังไง ถ้าในเมื่อผมบอกว่าจะทำก็คือจะต้องทำ! แล้วถ้าเกิดว่าเรย์ทรยศผมเมื่อไหร่ ถึงผมจะต้องการเรย์มากขนาดไหนแต่ผมก็สามารถฆ่าเรย์ได้ลงคอ!
“ฉันจะรอดู”
พ่อพูดจบก็เดินไปอีกทาง...
ผมกำมือแน่นพลางมองไปที่ชั้นสองของบ้าน มองตรงไปยังห้องที่เรย์อาศัยอยู่ก่อนที่จะตัดสินใจเดินขึ้นไป พอไปถึงหน้าห้องก็เจอกับลูกน้องผมที่เฝ้าอยู่หน้าห้อง เพียงแค่เห็นหน้าผมพวกเขาก็ยอมที่จะเปิดประตูให้โดยง่าย
“คิดถึงมันอยู่หรือไง”
แต่พอผมเข้ามาก็เห็นเรย์ทำหน้าเหม่อลอยมันก็ทำให้ผมอดที่จะพูดกระทบกระทั่งไม่ได้
“...เปล่า” ร่างเล็กตอบเสียงนิ่ง
หึ! กลับมาเหนื่อยๆ พอเห็นท่าทางแบบนี้แล้วมันก็น่าโมโหซะจริง
“อึ๊ก!”
ผมเอื้อมมือไปบีบลำคอบาง
“กูไม่ชอบให้ของๆ กูนึกถึงผู้ชายคนไหน โดยเฉพาะไอ้ตะวัน!!!”
“อ่ะ!”
ผมเหวี่ยงร่างเล็กลงไปที่เตียง ใบหน้าหวานตื่นตระหนกเพียงเล็กน้อยแต่ก็ยังแสดงสีหน้านิ่งเรียบในแบบฉบับของเจ้าตัว... ผมค่อยๆ ถอดเน็กไทน์ของตัวเองออกก่อนที่จะขึ้นคร่อมร่างบางเอาไว้ แล้วใช้สองแขนแกร่งทั้งสองข้างกักตัวเอาไว้
“จะทำอะไร”
“หึ มึงก็รู้”
ผมตอบพลางค่อยๆ ปัดปอยผมที่ปรกหน้าออกเบาๆ กลิ่นกายที่หอมหวานกับผิวกายที่อ่อนนุ่มราวกับหญิงสาวมันทำให้ผมแทบคลั่ง... ผมก้มหน้าซุกไซร้ที่ลำคอบางแล้วเม้มดูจนเป็นรอยแดงหลายจุด แล้วก็เพราะความหมั่นเขี้ยวเลยทำให้อดไม่ได้ที่จะกัดจนเจ้าตัวสะดุ้ง มือที่วางขนาบข้างในคราวแรกก็เปลี่ยนเป็นสอดเข้าไปใต้เสื้อตัวบางแล้วสะกิดกับยอดอกที่เริ่มชูชัน แล้วเริ่มถอดมันออกช้าๆ จนท่อนบนเปล่าเปลือยเผยให้เห็นผิวเนื้อที่ขาวผุดผ่อง
ผมละตัวออกมานิดหน่อย มองตรงไปยังร่างตรงหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความต้องการ ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาผมยอมรับว่าผมไม่เคยล่วงเกินเรย์เลยสักครั้ง อย่างมากก็มีแค่จูบ...แต่วันนี้ผมจะทำให้มากกว่านั้น เพราะร่างกายนี้เป็นของผม
เรย์เป็นของผม!
“อึ๊ก!”
ร่างเล็กหลับตากัดริมฝีปากตัวเองแน่นเพื่อกลบเสียงร้องยามเมื่อผมกดไปที่แผ่นอกบางทั้งสองข้างแล้วขยุ้มมันเต็มแรง
“อ่ะ! อ๊า”
เสียงครางหวานถูกเอื้อนเอ่ยดังออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมใช้มือลูบไล้ไปที่สะโพกมนแล้วจับมันอย่างแรง เนื้อนิ่มๆ ที่สัมผัสมันทำให้ผมหมั่นเคี้ยวจนอดไม่ได้ที่จะย้ำมันแรงๆ
“อ่ะ!”
ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกอีกครั้งยามที่ผมจับแยกขาขาวๆ ออกแล้วถอดกางเกงออกจนเหลือปราการชิ้นสุดท้าย แล้วมันก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อผมใช้นิ้วเกี่ยวกวัดชั้นในสีเทาให้หลุดออกมาเผยให้เห็นแก่นกายสีขาว หัวของมันอมชมพูสวย ร่างเล็กบิดเร้าไปด้วยความเขินอาย
“มึงต้องเป็นของกู”
 
 

                                                                                                         

ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน26-30 22/02/16
«ตอบ #191 เมื่อ22-02-2016 22:52:08 »



 


ผมมองผู้ชายตรงหน้าด้วยสีหน้านิ่งเรียบ พยายามสกัดกลั้นความวาบหวิวที่เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้ตัวเองเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสของเอเดน ผมยอมรับว่าเขาช่ำชองมาก เจนจัดเสียจนผมแทบควบคุมสติไว้ไม่อยู่ รสจูบที่แสนรุนแรง เขาบดขยี้ริมฝีปากของผมเพื่อแสดงเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ตอกย้ำว่าผมเป็นของเขาแล้วก็ไม่มีวันที่จะหนีเขาไปได้ แล้วอีกอย่างเอเดนคงไม่ยอมที่จะปล่อยผมให้รอดเงื้อมมือเขาไปได้แน่ๆ
คงต้องยอมสินะ
เอเดนจูบไปที่ใบหน้าของผมจนพอใจแล้วเคลื่อนริมฝีผากไปที่ไซร้ที่ซอกคอบางพร้อมดูดเม้นจนเป็นรอยจ้ำแดงอีกครั้ง หน้าอกของผมก็ถูกมือหนาบีบเค้นซะจนรู้สึกเจ็บ ร่างกายและจิตใจของผมสั่นระริกอย่างหวาดกลัวแต่ก็ต้องทน เพราะว่าสิ่งที่เขาทำมันทำให้นึกถึง...
เรื่องเมื่อครั้งก่อน...เมื่อครั้งที่เอเดนทำกับผมในห้องน้ำวันนั้น มันยังฝังรากลึกจนรู้สึกหวาดกลัว
“ฮึก”
ผมกัดริมฝีปากตัวเองแน่นพยายามที่จะไม่เปล่งเสียงออกมา แต่มันก็ดูช่างยากเย็นเหลือเกิน ลิ้นอุ่นร้อนลากไล้ไปที่ลอคอบางแล้วเคลื่อนไปที่หน้าอกทั้งสองข้างพร้อมดูดสลับกันอย่างรุนแรง มือของเขาก็จับไปที่แก่นกลางลำตัวของผม แล้วบีบเบาๆ จนผมสะดุ้งเฮือกก่อนที่จะเริ่มรูดขึ้นลงช้าๆ สลับเร็ว
“อ่ะอ๊า”
พอเขาทำแบบนี้แล้วมันทำให้ผมควบคุมตัวเองแทบไม่อยู่ ใบหน้าผมเชิดขึ้นแล้วเปล่งเสียงครางออกมาเบาๆ มือก็จกลงไปบนที่นอนเพื่อระบายความเสียวซ่าน
“หึ”
เอเดนหัวเราะในลำคอเบาๆ
ผมปรือตามองเขาด้วยความยากลำบาก เอเดนกำลังจับขาของผมให้แยกออกกว้างมากขึ้นกว่าเก่า แล้วนั่น...มันก็ทำให้ผมเริ่มรู้ว่าเอเดนกำลังจะทำอะไร
“ฮึก!”
“อย่าเกร็ง”
เขาบอกพร้อมกับค่อยๆ สอดนิ้วเข้ามาในตัวผม เพราะไม่มีสารหล่อลื่นเลยทำให้ผมเริ่มเกร็งตัวและเจ็บ ช่องทางด้านหลังก็ปฏิเสธสิ่งแปลกปลอมที่สอดแทรกเข้ามา เอเดนมองผมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความต้องการก่อนจะสอดนิ้วเข้ามาจนสุดในคราวเดียว
“จะ เจ็บ”
ผมกัดฟันทน ร้องบอกด้วยความทรมาน มันเจ็บจริงๆ นะ เหมือนร่างกายจะถูกแยกออกจากกันเลย แต่ดูเหมือนว่าเอเดนจะไม่ฟังคำของผม เขาหมุนคว้านนิ้วเป็นวงกว้างแล้วเริ่มกระแทกเข้าไปตรงจุดไวสัมผัสจนทำให้ผมสะดุ้งเฮือกหลายต่อหลายครั้ง ถึงมันจะเจ็บแต่ก็ยังรู้สึกดีอยู่บ้างแล้วก็เริ่มปรับตัวให้กับสิ่งแปลกปลอม... พอเห็นว่าผมเริ่มที่จะปรับตัวได้เขาก็เปลี่ยนจากหนึ่งนิ้วเป็นสองนิ้วแล้วก็ทำแบบเดิม ส่วนผมก็ยังขดตัวเกร็งแน่น ทั้งเจ็บ และจุก เมื่อจำนวนนิ้วเพิ่มเข้ามาเป็นสามนิ้ว
ตอนนี้คิดอะไรไม่ออกเลย
“พร้อมละนะ”
เสียงทุ้มเอ่ยถาม ผมมองเอเดนผ่านม่านน้ำตาบางๆ ด้วยความอ่อนแรง ขาทั้งสองข้างก็ถูกจับไปไว้ตรงบ่าแกร่ง สะโพกมนก็ถูกยกขึ้นไว้บนตัก ผมหลับตาลงช้าๆ อยู่นิ่งๆ แล้วก็ทำใจยอมรับ
ต้องยอมรับให้ได้!
 .
.
.

“เรียบร้อยแล้วครับ ทางเราหาหลักฐานได้แล้วครับ”
ชายหนุ่มในชุดสูทสง่าเอ่ยรายงานรายงานแก่หญิงตรงหน้าพร้อมกับยื่นเอกสารให้เพื่อรายงานบางอย่าง...
บางอย่างที่เป็นหลักฐานสำคัญ!
“ติดต่อกับเจ้าหน้าที่หรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วครับ”
‘โรส’ ยกยิ้มอย่างพอใจ เมื่อเห็นลูกตัวเองเดือดร้อนมีเหรอที่คนเป็น ‘แม่’ จะอยู่เฉยๆ...ถ้าหากว่าไม่ใช่คำขอของเรย์ละก็เธอไม่มีวันที่จะอยู่นิ่งๆ แบบนี้หรอก! จนกว่าจะถึงเวลาและจนกว่าจะหาหลักฐานได้ เรย์ถึงต้องเข้าไปอยู่ในดงเสือแบบนั้น!!!
“จัดการให้เรียบร้อย แล้วก็เอาเรย์ออกมาจากบ้านหลังนั้นซะ”
“ครับ นายหญิง”
ชายหนุ่มโค้งรับก่อนที่จะเดินออกไปเพื่อจัดการ ‘งาน’ ที่เหลืออยู่ให้เสร็จสิ้น งานชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่...
 
“อ๊ากก!!!”
ร่างสูงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเมื่อถูกชายฉกรรณ์รุมเหยียบย่ำตรงแผลที่ถูกยิง ร่างหนากัดฟันทนความเจ็บปวดที่โถมเข้าหาเป็นระรอกคลื่น เจ็บที่กายไม่เท่าไหร่ แต่เจ็บที่ใจนี่สิ!
ภาพที่เรย์ถูกเอเดนจูบยังฉายชัดอยู่ในความทรงจำ อยากจะเข้าไปห้าม อยากจะเข้าไปช่วยแล้วเอาตัวเรย์ออกมาใจแทบขาด แต่ก็ติดตรงที่ตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงพอและถูกลูกน้องของเอเดนจับเอาไว้ เลยได้แต่ทนมองเหมือนใจจะขาดรอนๆ
ตุบ! ผัวะ!
“อั๊ก!”
หยาดเลือดสีสดไหลทะลักออกมาจากปาก ไม่มีการออมแรงของผู้กระทำแต่อย่างใด ในเมื่อมันเป็นคำสั่งและพวกเขาก็เป็นลูกน้อง มีหน้าที่แค่ทำตามก็เท่านั้น
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นมาจากอีกทางทำให้เหล่าลูกน้องของเอเดนหยุดชะงัก
“เฮ้ย มึงไปเปิดดิ สงสัยนายมา”
หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้น
“แต่นายเพิ่งไปไม่ใช่เหรอวะ”
“สงสัยจะมาดูผลงาน”
ทั้งสามคนยกยิ้มที่ใบหน้าทันทีเมื่อคิดถึงเงินจำนวนมากที่ตัวเองจะได้รับ เพราะงานครั้งนี้เป็นแค่งานง่ายๆ แค่ทำให้คนหายไปจากโลกนี้เพียงคนเดียวก็ได้เงินมาได้อย่างสบาย แล้วดูท่าว่าพวกเขาจะทำงานได้ดีซะด้วย เพียงแค่นี้ค่าตอบแทนก็คงจะได้มากพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอีกนานแน่ๆ
พอคิดได้แค่นั้นชายคนหนึ่งก็เดินไปที่ประตูโกดังพร้อมกับค่อยๆ เปิดประตูต้อนรับผู้เป็นนาย...หากแต่ว่าสิ่งที่รอรับพวกเขาไม่ใช่เป็นอย่างที่คิด เพราะทันทีที่บานประตูถูกเปิดผู้มาใหม่ก็เข้ามาเยือน
“หยุด! นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ!”
!!!
 .
.
.
.

“Game Over”
ผมนำวัตถุสีดำที่ถูกซ่อนเอาไว้ใต้หมอนมาจ่อที่หน้าผากของเอเดนโดยที่เขายังไม่ทันตั้งตัว รอยยิ้มเหี้ยมแห่งชัยชนะฉายชัดบนใบหน้าของผม...แต่ดูเอเดนเขาคงกำลังตกใจมากพอดู
“เรย์!” เอเดนเรียกชื่อผมด้วยเสียงทุ่ม
“ออกไปซะ อย่าคิดว่านี่เป็นของเล่น แค่ฉันลั่นไก นายได้ไปเฝ้ายมโลกแน่เอเดน”
ผมพูดพลางพยักหน้าให้เอเดนถอยห่างออกไปจากตัว มือของผมก็ยังคงเอาปืนจ่อหน้าผากของเอเดนอยู่ ใช่!...อย่างที่บอก ปืนที่ผมถืออยู่มันเป็นของจริง ถ้าเกิดว่าเขาจะทำอะไรผมแค่เพียงอีกนิดเดียว ผมจะยิงเขาแน่!เขาเล่นสนุกกับร่างกายของผมมากพอแล้ว แล้วที่ผมยอมให้เขาทำอะไรต่อมิอะไรยกเว้นแต่สอดใส่ตัวตนเข้ามาก็แค่เพื่อ...
ถ่วงเวลา!
“มึงไม่กล้าหรอกเรย์”
เอเดนกระเถิบตัวถอยหลังแล้วพูดออกมาด้วยสีหน้านิ่งเรียบเหมือนอย่างเคย
“หึ รู้ได้ยังไงว่าฉันไม่กล้า ฉันกล้ามากกว่าที่นายคิดอีกเอเดน”
เอาสิ...ถ้าอยากลองผมก็พร้อมที่จะให้ลอง
“มึงทรยศกู”
“ฮ่าๆ เพิ่งรู้เหรอ ฉันบอกแล้วไง…Game Over!”
“มึง!”
ร่างสูงทำท่าจะทำร้ายผม เขายกมือขึ้นแล้วพยายามเอามือขวามาปัดปืนที่จ่อหน้าผากเขาอยู่ออก
ปัง! ปัง! ปัง!
“นายครับ! แย่แล้ว ตำรวจมาครับนาย!”
แต่ก่อนที่เขาจะทำอะไรมากกว่านั้น บานประตูที่ถูกปิดสนิทก็ถูกเคาะจากคนด้านนอกพร้อมกับข่าวร้ายสำหรับเขา แต่สำหรับผมมันเป็นข่าวดีซะจริง คนของผมทำงานเร็วเสมอ เพียงแค่ชั่วอึดใจผมว่าตอนนี้มีคนของผมและตำรวจเต็มคฤหาสแล้วมั้ง
“เหี้ยเอ้ย!!!”
เอเดนสบถคำหยาบออกมา เขามองหน้าผมอย่างคนโกรธแค้น แต่มันทำให้ผมรู้สึกสะใจดีเหลือเกิน
 
“ผมขอจับพวกคุณข้อหาพยายามฆ่า”
หมายจับถูกคลี่ออกมาให้เห็นพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รายลอบ ทั้งเอเดนและบดินทร์ถูกจับ ลูกน้องของพวกเขาก็ด้วย
“ฮึ่ม! พวกแกมีหลักฐานอะไร!”
บดินทร์ขบกรามแน่น
“ทางเรามีทั้งพยานและหลักฐาน รวมทั้งคลิปเสียงครับ เชิญพวกคุณให้ปากคำที่โรงพักด้วยครับ”
“ปล่อย! กูไม่ผิด! อย่าให้กูออกมาได้นะกูจะฟ้องร้องพวกมึงทุกตัว! กูจะเรียกทนาย! ปล่อยกู!!!”
เขายังคงดิ้นไม่หยุดระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพาออกไป ส่วนเอเดนเขากุมท่าทีได้ดีเลยทีเดียว ไม่เหมือนคนเป็นพ่อสักนิด แต่ดูท่าแล้วเขาคงจะแค้นผมมากพอดู ก็แน่ละ...เล่นถูกดัดหลังขนาดนั้นถ้าไม่แค้นนี่ก็แปลกแล้ว...ผมยืนยิ้มอยู่ที่ระเบียงพลางมองไปที่คนพวกนั้นที่เดินไปจนลับตา
มันจบแล้วสินะ
ทุกอย่างมันจบแล้ว
“เรย์”
ผมหันไปมองยังเสียงผู้หญิงที่เรียกผมจากอีกทาง
“คุณแม่”
ผมคลี่ยิ้มบางให้ คุณแม่เดินมาอยู่ตรงหน้าผมพลางโอบกอดผมไว้ด้วยไออุ่น ผมหลับตานิ่งแล้วโอบกอดท่านไว้เช่นกัน
เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้น เรื่องที่ผมมาอยู่กับเอเดน เรื่องของพ่อ...ทุกอย่างมันเป็นแค่แผนการที่ผมวางไว้เท่านั้น แต่ที่ทำทุกอย่างได้ถึงขนาดนี้ก็เพราะว่ามีแม่คอยช่วยเหลือและอยู่เบื้องหลัง ผมถึงได้หาหลักฐานมาเอาผิดได้...ตั้งแต่แรก
ในวันที่ผมเข้าโรงพยาบาลเพราะถูกผู้หญิงคนนั้นชน ถึงตอนแรกคนที่ผมลืมตาขึ้นมาจะเป็นเอเดนก็จริง... เอเดนยื่นข้อเสนอมาให้อีกครั้งพร้อมกับบอกว่าใครเป็นคนร้ายพร้อมกับผู้ที่อยู่เบื้องหลัง เขาบอกว่า ‘พ่อ’ ของผมเป็นคนสั่งให้ผู้หญิงคนนั้นทำ เอเดนบอกผมว่าถ้าแค่กำจัดผมทิ้งไป ทุกอย่างที่เป็นของผมก็จะตกเป็นของหนึ่งโดยทันที
แต่ว่า...ทุกอย่างมันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด ทันทีที่เอเดนเดินออกไปได้ไม่นานก็มีคนที่เข้ามาใหม่ แล้วคนๆ นั้นก็คือ ‘แม่’ ของผม
อ้อมกอดที่คุ้นเคยกับเสียงร่ำไห้เพราะความเสียใจ มันทำให้ผมรู้ว่าผมไม่ได้ฝันไปเองแน่ๆ แม่เล่าเรื่องทุกอย่างให้ผมฟัง เรื่องที่ไปจากผม เรื่องที่ความจำเสื่อมแล้วก็เรื่องความทรงจำที่กลับมา แม่บอกว่าจะพาผมไปอยู่ด้วยแล้วไปเริ่มต้นใหม่ด้วยกันที่นั่น ไปมีชีวิตใหม่ด้วยกันแล้วลืมทุกอย่างไปซะ... ผมกอดแม่เอาไว้ โหยหาในความรักที่ขาดมานาน แต่แวบหนึ่งผมกับคิดถึงคำพูดของบดินทร์
‘ฆ่ามันซะ’
ผมพยายามไล่ความคิดนั้นออกไป พยายามที่จะไม่สนใจเรื่องของผู้ชายคนนั้น จะเป็นจะตายยังไงมันก็เรื่องของเขา...
แต่ผมกลับทำมันไม่ได้
ผมปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้
ผมเลยวางแผนซ้อนแผน ร่วมมือกับเอเดนเพื่อหาหลักฐานว่าพวกเขาทำอะไรและวางแผนอะไรบ้าง ทำให้พวกเขาเชื่อใจให้มากที่สุด ยอมแม้กระทั้งเข้าพิธีหมั่นหลอกๆ ท่ามกลางสายตาผู้คนนับร้อย แต่ข่าวที่แพร่สะพัดออกไปมันทำให้ผมคิดว่าแผนได้ดำเนินการมาเกือบครึ่งทางแล้ว ที่เหลือก็เพียงแค่หาหลักฐานเท่านั้น คนของผมแทรกซึมเข้ามาในบ้านหลังนี้ คอยปกป้องผมห่างๆ แล้วก็รายงานทุกอย่างให้ผมฟังอยู่เสมอ... ส่วนเรื่องของผู้หญิงคนนั้นที่ทำร้ายผม เขาพยายามฆ่าผมให้ตายผมก็เลยไปทำร้ายหนึ่ง ลูกชายที่เขารักมากที่สุด มันเป็นผลพลอยได้ในเรื่องเอเดนเหมือนกัน แม้ว่าผมจะรู้ว่าหนึ่งไม่ได้ทำอะไรผิดแต่ถ้าจะทำให้ผู้หญิงคนนั้นเจ็บก็ต้องทำหนึ่ง! แล้วมันก็ได้ผลซะด้วย...ผมทำให้เธอแทบคลั่งแล้วแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา...ใบหน้าที่แสนร้ายกาจถูกปกปิดด้วยรอยยิ้มที่ใจดี ทั้งๆ ที่ตัวตนของเธอนั้นร้ายกาจมากพอดู
“กลับกันเถอะเรย์ เรื่องทุกอย่างมันจบลงแล้ว”
แม่ลูบผมของผมเบาๆ เป็นเชิงปลอบประโลม
“...คุณแม่ แล้ว...”
ผมเงยหน้าสบตามองแม่ อยากถามเหลือเกินว่าตะวันเป็นยังไงบ้าง...แต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดออกไป
“ผู้ชายคนนั้นแม่ให้คนพาไปโรงพยาบาลแล้ว ไม่ต้องห่วง”
“...ครับ”
ผมยกยิ้มบางๆ ให้พลางโอบกอดแม่อีกครั้ง...
ตะวันปลอดภัยแล้วสินะ...โชคดีจริงๆ ที่เขาไม่เป็นอะไร อย่างน้อยการที่ผมกำลังจะจากไปที่นี่ผมก็จะได้ไม่ต้องติดค้างเขา เพราะหลังจากที่เสร็จเรื่องของเอเดน ผมก็จะไปจากที่นี่ทันที
หลังจากนั้นผมก็กลับไปที่คอนโดที่แม่อาศัยอยู่ชั่วคราวที่ประเทศไทย ข่าวของเอเดนดังกระฉ่อนไปทั่ว เรื่องที่ฉ้อโกง ค้าอาวุธเถื่อนและคดีพยายามฆ่า บริษัทฯ ต่างๆ ที่ทำสัญญาซื้อขายกับพวกเขาเอาไว้ต่างก็พากันถอนหุ้นไปหมด จนตอนนี้แทบเรียกได้ว่าทั้งบดินทร์และเอเดนกลับกลายเป็นคนล้มละลายในชั่วพริบตา ถึงจะเอาทนายมาขู่ฟ้องกลับแต่หลักฐานมัดตัวขนาดนั้นก็คงจะรอดยากอยู่ แค่เรื่องพยายามฆ่านี่ก็คงติดคุกไปเป็นสิบๆ ปีแล้ว ส่วนเรื่องของผมกับเอเดนไม่มีการพูดถึง ส่วนนึงเพราะแม่ช่วยปิดข่าวให้ ซึ่งมันก็ดีมากสำหรับตัวผมแล้ว...เพราะแค่นี้เรื่องของผมก็คงจะเป็นที่นินทาสนุกปากไปแล้วละ
แต่อย่างว่า...อำนาจเงินมักพึ่งพาได้เสมอ
“แม่ฟังคำขอของลูกมามากพอแล้วนะเรย์ ต่อไปนี้ฟังคำของแม่บ้าง”
ใบหน้าของแม่เคร่งขรึมมองผมด้วยแววตาจริงจัง
“คุณแม่?”
แม่พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงกันนะ?
“เรื่องผู้หญิงคนนั้น...แม่ไม่ยอมให้มันเสวยสุขหรอกนะ!”
“แม่หมายความว่า...”
ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ไม่อยากนึกถึงสิ่งที่แม่กำลังจะพูดมาเลย...
“นังนั่น! แม่จะเอามันเข้าคุก!”
!!!
“แต่…”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น! แม่ให้อิสระมันมากพอแล้วเรย์ แม่ไม่ยอมให้ลูกเจ็บตัวฟรีๆ เด็ดขาด!”
ผมรู้ว่าแม่พูดจริงทำจริงแน่ แล้วที่ท่านยอมอยู่เฉยๆ จนถึงวันนี้ก็คงเป็นเพราะคำขอร้องของผมว่าอย่าเพิ่งยุ่งเรื่องนี้จนกว่าทุกอย่างจะจบลง พอทุกอย่างเรียบร้อยก็คงจะถึงตาของแม่ผมบ้างแล้วสินะ...
แต่เอาเถอะ อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด
ปล่อยให้ทุกอย่างมันไปตามเวรตามกรรมก็แล้วกัน
 
 
                                                                                                         

ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน26-30 22/02/16
«ตอบ #192 เมื่อ22-02-2016 22:55:08 »


 
ตอนที่ 28

“กรี๊ดๆ กรี๊ด!!!”
โครม!
เป็นอีกวันที่นันทำลายข้าวของของบ้าน เธอกำลังโมโหอย่างหนักที่ต้องมาทนทำงานเหนื่อยทุกวัน ไหนจะซักผ้าและทำกับข้าว ไหนจะต้องออกไปเดินตลาด ต้องแบกหน้าหลบหน้าหลบตาทุกคนเพราะกลัวว่าจะจำเธอได้ว่าเธอเคยเป็นใครมาก่อน กับพจน์เองก็ทะเลาะกันแทบทุกวัน...นันไม่อยากใช้ชีวิตอยู่แบบนี้! มันลำบากเกินไป!
“ทำไมชีวิตฉันต้องมาเป็นแบบนี้ด้วย!!! อ๊ากก!!! เพราะแก! เพราะแกเพียงคนเดียวไอ้เรย์!!!”
เพล้ง! โครม!
“พอสักทีเถอะคุณ!”
เป็นอีกครั้งที่พจน์หมดความอดทนกับภรรยาของเขา ปัญหาครอบครัวที่เริ่มเกิดขึ้นทำให้พจน์เองก็เริ่มทนไม่ไหวเหมือนกัน! ไม่คิดเลยภรรยาที่อ่อนโยนคนนั้นจะกลับกลายมาเป็นคนแบบนี้ได้ พอเขาเริ่มหมดตัว อะไรๆ ก็ดูแย่ไปหมด เหนื่อยจากการทำงานยังไม่พอ ยังต้องมารับมือกับปัญหาทางบ้านอีก!
“ก็ฉันเหนื่อย! คุณรู้ไหมว่าฉันเหนื่อย!!! ฉันไม่อยากอยู่แบบนี้ ฉันไม่ต้องการคุณได้ยินไหม!!!”
นันกรีดร้องเอ่ยความรู้สึกของตัวเองออกมา พจน์มองสบตานิ่งพลางส่ายหน้าเบาๆ เพราะไม่อยากให้ลูกและเมียรู้ว่าตอนนี้ตัวเองได้งานอะไรถึงปกปิดและไม่บอกกล่าว การทำงานที่ผิดพลาดทำให้ตัวเขาเกือบถูกไล่ออกอยู่รอมร่อ แต่พจน์ก็พยายามทน! แม้ว่าเขาจะไม่เคยทำงานนี้ก็ตาม กลับบ้านมาก็แทนที่จะเจอกับเรื่องที่ทำให้อุ่นใจ สบายใจ แต่นี่อะไร? นันมีแต่อาละวาดและชวนทะเลาะอยู่ทุกวัน!
มันทำให้พจน์รู้สึกเหนื่อยหน่าย
“คุณเองก็อดทนหน่อยสิ! ผมเองก็เหนื่อยเหมือนกัน”
“แต่ฉันเหนื่อยกว่า! ฉันไม่อยากอยู่แบบนี้!!! ฉันอยู่ไม่ได้! ฉันต้องการเงิน! ได้ยินไหมคุณพจน์ว่าฉันต้องการเงิน!”
เพราะต้องอดทนมาตลอดทำให้นันเผลอที่จะพูดความคิดของตัวเองออกมา เธอรีบยกมือปิดปากตัวเองอย่างคนลืมตัว แต่เพียงแค่คำพูดเล็กๆ มันทำให้พจน์ถึงกับมองนันอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“...คุณแต่งงานกับผมเพราะอะไรกันแน่”
พจน์กลั้นใจถาม ทั้งที่ความจริงเขาเองก็รู้สึกทั้งเจ็บและจุกไม่แพ้กัน แต่คำตอบที่ได้มากลับกลายเป็นความเงียบ นี่ภรรยาของเขาเป็นแบบนี้เองเหรอ...ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่อยู่ด้วยกัน มันไม่เคยทำให้เธอรักเขาเลยเหรอ? หรือว่าที่แต่งงานกันก็เพียงเพราะว่าเขามีเงิน
“นั่นคุณจะไปไหน! คุณพจน์!”
ทันทีที่เห็นสามีไม่คิดจะสนใจเธอ นันจึงรีบรั้งแขนพจน์เอาไว้แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“ผมจะไปทำงาน!”
พจน์ดึงแขนตัวเองออกมาแล้วเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง
“กรี๊ดๆ คุณพจน์! คุณพจน์! กลับมาเดี๋ยวนี้นะ!!! กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน คุณพจน์!”
นันยังคงเรียกสามีของเธอให้หันกลับมา แต่ก็มีแต่เพียงความว่างเปล่าเท่านั้น...เธอรู้ว่าสิ่งที่พูดออกไปเมื่อสักครู่มันอาจทำร้ายจิตใจของพจน์ ใช่ว่าเธอจะไม่รักเขา แต่ความรักมันก็ต้องอยู่ในพื้นฐานของ ‘การเงิน’ ด้วยเช่นกัน
“ฮึก คุณแม่...พอเถอะ”
หนึ่งเดินเข้ามาโอบกอดนันจากทางด้านหลัง ร่างเล็กร้องไห้ด้วยความเสียใจ ทำไมหนึ่งจะไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ยินสิ่งที่คนเป็นพ่อและแม่เอ่ยขึ้นมาเมื่อสักครู่ แม่แต่งงานกับพ่อก็เพียงเพื่อหวังเงินเท่านั้นหรือ...เพียงแค่นี้มันก็ทำให้ใจดวงน้อยแตกสลายจนไม่มีชิ้นดีแล้ว
“คุณพจน์! กลับมา! คุณพจน์!”
“ฮึก คุณแม่...คุณแม่”
หนึ่งร้องเรียกนันด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเสียใจอย่างที่สุด ใบหน้าหวานนองไปด้วยน้ำตาอย่างห้ามไม่อยู่
ใครก็ได้! ช่วยหยุดความทรมานนี้ที!!!
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้ร่างเล็กหันหน้าไปมองด้วยความสงสัยก่อนที่จะเช็ดน้ำตาตัวเองให้แห้งเหือดแล้วไปเปิดประตูให้ แต่ทันทีที่บานประตูถูกเปิดออกก็ทำให้หนึ่งถึงกับมองอย่างฉงน
“คุณตำรวจมีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“สวัสดีครับ ผมเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งให้มาจับผู้ต้องหา ข้อหาพยายามฆ่า”
“คุณตำรวจ พูดอะไรนะครับ...ใครฆ่าอะไร? ผมว่าคุณเข้าใจผิดแล้วละ”
ถึงจะสงสัยแต่หนึ่งที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวก็ตอบออกไปอย่างที่ตัวเองคิด ในบ้านหลังนี้จะมีฆาตกรได้ยังไง? เพราะทั้งบ้านก็มีกันอยู่แค่สามคนเท่านั้น
“ไม่ผิดหรอกครับ เชิญคุณนันไปให้ปากคำกับเราด้วย”
สายตาของผู้พิทักษ์สันติราชหนุ่มมองไปยังทางด้านหลังของหนึ่งด้วยสีหน้านิ่งเรียบ แต่ผิดกับคนที่ถูกมองกลับแสดงสีหน้าซีดเผือดออกมาอย่างเห็นได้ชัด นันกำมือแน่นพยายามบังคับตัวเองไม่ให้สั่นแต่ภายในจิตใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัวตั้งแต่เห็นตำรวจ
 



“ปล่อยฉันนะ! ปล่อยฉัน!!! ฉันไม่ผิด ฉันไม่ได้ทำ!!! ปล่อยฉัน!!!”
นันร้องโวยวายอย่างคนไร้สติทันทีหลังจากที่ถูกจับมาอยู่ในห้องขุมขัง จะมาทำแบบนี้กับเธอไม่ได้เด็ดขาด! เธอไม่ได้ผิด! คนที่ผิดคือเรย์เพียงคนเดียว!!!
“ฮึก ฮือ ฮือ คุณแม่”
เสียงร่ำไห้ที่น่าสงสารจับจ้องผู้เป็นแม่ด้วยใจที่ปวดร้าวเมื่อเห็นคนที่รักต้องไปอยู่ในคุก
“หนึ่ง...หนึ่งช่วยแม่ด้วยนะลูก แม่ไม่ผิด!”
“ฮือ ฮือ หนึ่งจะช่วยคุณแม่...คุณแม่ครับ ฮึก คุณตำรวจ...ปล่อยแม่ผมได้ไหม ฮือ ฮือ”
ร่างเล็กหันไปขอร้องกับเจ้าหน้าที่ด้วยใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตา
“ผมคงปล่อยไม่ได้ครับนอกจากว่าจะมีคนมาประกันตัว”
“ฮือ ฮือ ฮึก คุณแม่...”
แต่คำตอบของผู้พิทักษ์สันติราชทำเอาหนึ่งแทบทรุดลงไปกับพื้น เขาจะไปหาเงินมาจากไหนมาประกันตัว ข้อหาฆ่าคนตายต้องใช้เงินประกันอย่างน้อยก็หลักแสน แต่ดูตอนนี้สิ...ทั้งเนื้อทั้งตัวเขากลับไม่เหลืออะไรเลย จะให้เชื่ออย่างนั้นเหรอว่าแม่เขาจะฆ่าคนตาย มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก แม่ที่ใจดีคงไม่มีทางทำแบบนั้น แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่หนึ่งคิดมันผิดเมื่อเห็นใครอีกคนก้าวเข้ามาในโรงพักด้วยสีหน้าหยิ่งยโสในแบบฉบับของเจ้าตัว
“สวัสดี หนึ่ง...ไม่เจอกันนานนะ”
!!!
 


พจน์มาทำงานที่สถานที่ก่อสร้างด้วยใจที่หดหู่ คำพูดของนันที่เอื้อนเอ่ยต่อเขายังคงดังก้องอยู่ในหัวจนไม่สามารถสะบัดให้หลุดไปได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงต้องมาทำงานเหมือนปกติ แม้ว่าใจจะยังไม่อยากทำอะไรเท่าไหร่ แต่ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบเลยทำให้เขาไม่สามารถที่จะหยุดมันได้ ถึงพจน์จะทำงานก่อสร้างมาหลายวันแล้วก็ตามแต่เขาก็ยังไม่คุ้นชินกับหน้าที่นี้อยู่ดี ทำให้วันๆ นึงเขาโดนหัวหน้างานต่อว่าหลายต่อหลายครั้ง
แดดที่ร้อนเปรี้ยงปร้างราวกับว่ามันกำลังแผดเผาทุกอณูผิว พจน์มองไปที่ท้องฟ้าที่เจิดจรัญ เพราะความร้อนของแสงอาทิตย์แล้วก็เพราะว่าเขาทำงานกลางแจ้งบวกกับร่างกายที่มีอายุมาก ไม่ใช่คนหนุ่มไฟแรงเลยทำให้พจน์รู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าคนอื่น
“ลุง! ขอปูนหน่อย เร็วๆ”
“ได้ๆ”
พจน์หันไปตามเสียงเรียกแล้วรีบตักปูนใส่ถังก่อนที่จะแบกไปให้กับคนที่กำลังทำการฉาบผนังอยู่
“ลุง ทางนี้ด้วย”
“ได้ๆ”
พอส่งให้อีกคนเสร็จพจน์ก็ต้องรีบไปส่งปูนให้กับอีกคน ก่อนที่จะรีบไปแบกไม้ขึ้นไปบนตึก แต่พจน์กลับไม่รู้เลยว่ากำลังมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขา
Rrr. Rrr. Rrr.
เสียงรอสายที่คุ้นชินทำให้พจน์วางงานแล้วมองหน้าจอ
‘หนึ่ง’
เขาไม่ลังเลสักนิดก่อนที่จะกดรับสาย หากแต่สิ่งที่ได้ยินกลับกลายเป็นเสียงสะอื้นไห้ด้วยความเสียใจ มันทำให้ผู้เป็นพ่อถึงกับใจหล่นวูบ
//ฮึก คุณพ่อ//
“หนึ่ง! หนึ่งเป็นอะไร!”
//ฮือ ฮือ คุณพ่อ...คุณแม่ ฮึก//
“แม่?...แม่เป็นอะไร”
พจน์ขมวดคิ้วถาม ยิ่งเห็นหนึ่งพูดออกมาแบบนี้ก็ยิ่งใจไม่ดี
//คุณแม่ถูกจับ//
!!!
 .
.
.
.


ผมมองร่างเล็กที่กำลังร่ำไห้อย่างน่าสงสาร แต่มันก็แค่สำหรับคนอื่น...ส่วนผมกลับไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะหนึ่ง...มักเป็นแบบนี้มาตลอด เขามักจะร้องไห้อยู่เสมอจนใครๆ ที่เห็นต่างก็สงสารแล้วก็มอบความรักให้กับเขา ซึ่งผิดกับผม... น้ำตาของผมมันแห้งเหือด ความเสียใจที่ถาโถมเข้ามาเป็นระรอกๆ ไม่ว่าจะเท่าไหร่ก็ตามแต่น้ำตาของผมกลับไม่ไหล
เพราะมันเคยร้องไห้ จนหมดแรง
หลังจากที่แม่บอกว่าจะเอาผู้หญิงคนนั้นเข้าคุก แม่ก็ส่งหลักฐานทั้งหมดให้กับตำรวจแล้วตำรวจก็บุกไปที่บ้านพร้อมกับหมายจับ ส่วนผมต้องมาให้ปากคำเพราะเป็นพยานคนสำคัญ
“พวกแกใส่ร้ายฉัน! ฉันจะฟ้องร้องให้หมด! ฉันจะบอกนักข่าว ฉันทำให้ทุกคนรู้ว่าพวกแกมันเป็นคนชั่ว!”
ผู้หญิงคนนั้นพูดคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา บอกว่าตัวเองไม่ผิดจนผมชักเริ่มที่จะรู้สึกรำคาญ
“เหรอ? นี่ฉันก็เพิ่งรู้นะว่าคนที่ชนลูกฉันหน้าคล้ายเธออย่างกับแกะ”
“แกทำหลักบานปลอม!”
“ปลอมไม่ปลอมเดี๋ยวก็รู้ แต่ฉันไม่เอาเธอไว้แน่นัน!”
แม่พูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจัง แต่ผมกลับเบือนหน้าหนีไปทางอื่นด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น เมื่อสักครู่ผมเห็นว่าหนึ่งกำลังโทรศัพท์อยู่ ผมไม่รู้ว่าหนึ่งกำลังโทรหาใครแต่ถ้าเดาไม่ผิดคงจะเป็นผู้ชายคนนั้นแน่ๆ แล้วอีกไม่นานเขาก็จะมาสินะ
ถ้าเกิดว่าเขามาเห็นครอบครัวที่รักเป็นแบบนี้ละก็ คงจะทั้งโกรธและเกลียดผมมากขึ้นไปอีกแน่ๆ
“หนึ่ง! นัน!”
แล้วสิ่งที่ผมรอคอยก็มาถึง เสียงกระหืดกระหอบของลมหายใจถูกพ่นออกมาอย่างแรง ผมหันไปมองตามเสียงนั้น แต่สิ่งที่ผมเห็นทำให้ผมแทบไม่เชื่อในสายตาตัวเอง ผู้ชายที่เคยดูภูมิฐานตรงหน้ากลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แค่ไม่เจอกันไม่นานนี่เขาเปลี่ยนไปมากขนาดนี้เลยเหรอ? เนื้อตัวที่เคยสะอาดสะอ้านกลับมีแต่รอยเปื้อน ผิวพรรณที่เคยดูดีกลับเริ่มคล้ำลงนิดหน่อย ใบหน้าของเขาก็ดูซูบซีดลงไปมาก แสดงถึงความเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด
ดูก็รู้ว่าคงจะลำบากมากพอดู
“คุณพ่อ ฮือ ฮือ ช่วยคุณแม่ด้วย ฮึก ฮือ”
หนึ่งวิ่งเข้าไปโอบกอดเพื่อร้องขอให้ช่วย ทั้งๆ ที่มันเป็นภาพที่ชินตาแต่ทำไมผมกลับรู้สึกเจ็บทุกครั้งที่เห็นภาพแบบนี้นะ
“มันเกิดอะไรขึ้น?”
ไม่มีการทักทายระหว่างพวกเรา เขามองหน้าผมสลับกับแม่
“ไม่คิดจะทักทายกันหน่อยเหรอคะคุณพจน์...แต่เอาเถอะคะ ไม่จำเป็นที่จะต้องทักกันก็ได้เพราะยังไงซะฉันก็ไม่ได้อยากคุยกับคุณสักเท่าไหร่”
แม่พูดเย้ยหยัน ดวงตาเรียวมองไปที่อดีตสามีอย่างไม่เกรงกลัว
“คุณ ฮึก ฮือ ฮือ ช่วยฉันด้วย ฉันไม่อยากอยู่ในนี้ ฮึก”
เสียงร่ำไห้ของผู้หญิงคนนั้นดังขึ้นเพื่อขอร้องให้เห็นใจ
“คุณเป็นสามีของผู้ต้องหาใช่ไหมครับ เชิญให้ปากคำกับทางเราด้วย”
ตำรวจที่เป็นคนดูแลคดีนี้กล่าวขึ้นพร้อมกับเชิญเขาไปนั่งที่โต๊ะก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังพร้อมกับยื่นหลักฐานให้ ผมเห็นเขามองภาพเหล่านั้นจากกล้องวงจรปิดด้วยแววตาสั่นๆ ภาพที่ผมกำลังโดนรถชนแล้วก็เลขทะเบียนพร้อมกับใบหน้าของผู้ต้องหา หลักฐานทุกอย่างมัดตัวขนาดนี้แล้วถ้ายังจะมาบอกว่าไม่ผิดอีกก็คงจะเป็นไปไม่ได้
หนึ่งเองก็เหมือนกัน...เขารับฟังความและโทษทัณฑ์ของผู้เป็นมารดาด้วยแววตาสั่นระริก คงจะไม่เชื่อเหมือนกันว่าแม่ตัวเองที่คิดว่าดีแสนดีจะทำแบบนี้ได้ลงคอ
ความเงียบงันเข้ามาหลังจากที่ตำรวจพูดจบ เขาไม่พูดอะไรออกมาสักคำ มีแต่นั่งนิ่งอยู่กับที่ ใบหน้าที่ดูโรยราหันมามองผมด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“หลังจากนี้ฉันจะให้ทนายจัดการเรื่องทั้งหมด คุณคงเข้าใจนะคุณพจน์ ฉันเองก็รักลูกของฉันเหมือนกัน เหมือนอย่างที่คุณรักลูกและเมียของคุณ มันทำลูกฉันก่อน ฉันก็ไม่ปล่อยมันเอาไว้เหมือนกัน!”
“...”
ไร้คำตอบจากผู้เป็นพ่อ... เขามองผมสลับกับแม่อีกครั้ง ร่างกายที่เคยแข็งแรงเซเล็กน้อยแล้วทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด
ตุบ
พ่อคุกเข่าต่อหน้าผมอย่างช้าๆ ท่ามกลางสายตาของผู้คน
“คุณพ่อ!”
หนึ่งวิ่งเข้ามาประคองร่างใหญ่แล้วฉุดให้ลุกขึ้น
“คุณจะทำอะไร?”
นั่นเป็นประโยคแรกที่ผมพูดกับเขาตั้งแต่เข้ามาในโรงพัก ผมมองด้วยความฉงนเพราะสิ่งที่เขาทำอยู่มันทำให้ผมใจสั่นไปด้วยความนึกกลัว
“...พ่อ...ขอโทษ”
คำขอโทษสั่นๆ ถูกกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“พ่อขอโทษ”
เขาพูดขึ้นอีกครั้งโดยที่ยังก้มหน้าต่ำมองพื้นอยู่ที่เดิมก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองผม
“คุณทำแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ลุกขึ้นมาเถอะ”
ผมเบือนหน้าหนีไม่กล้าที่จะสบตากับเขาตรงๆ
“จะให้พ่อทำยังไง...พ่อก็ยอม ยกโทษ...ให้คุณนันเถอะนะ...เรย์”
ผมกำมือแน่นแล้วหันไปมองเขา ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มแดงก่ำทีละนิดๆ ผมอยากจะหัวเราะออกมาซะจริงๆ ถึงขนาดนี้แล้วเขายังจะกล้าให้ผมยกโทษให้ผู้หญิงคนนั้นอีกเหรอ? ทั้งๆ ที่ผู้หญิงคนนั้นทำผิด! ทั้งๆ ที่เขาเกือบจะฆ่าผม แต่ก็ยังลงทุนคุกเข่าอ้อนวอนขอร้องให้ผมยกโทษให้
รักมันมากสินะ!
รักผู้หญิงคนนั้นมากกว่าผมที่เป็นลูกในไส้!
“ถ้าคนที่อยู่ในห้องขังเป็นผม...ถ้าผมถูกจับ คุณจะยอมคุกเข่าแบบนี้ไหม ถ้าคนๆ นั้นเป็นผม ไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น...คุณจะยอมทำแบบนี้กับคนอื่นเหมือนกับที่ทำกับผมไหม”
คำถามถูกเอื้อนเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเบา ความเจ็บปวดที่ได้รับมันแทบทำให้ใจผมด้านชาแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ดี ผมเสียใจ...เสียใจที่เขายอดลดศักดิ์ศรีตัวเองขนาดนี้ แล้วถ้าเกิดคนที่อยู่ในห้องขังเป็นผม...
เขาจะยอมทำแบบนี้หรือเปล่า
“กราบเท้าผมสิ”
“เรย์!”
ทันทีที่ผมพูดออกไปแม่ก็เรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความตกใจ หนึ่งมองหน้าผมอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ส่วนเขาก็สบตามองกับผมด้วยความรู้สึกสับสน... ผมพูดจริง อยากรู้นักว่าเขาจะยอมทำตามที่ตัวเองต้องการได้มากขนาดไหน ถ้ารักผู้หญิงคนนั้นมากนักเรื่องแค่นี้ทำไมเขาจะทำไม่ได้
รอยยิ้มเย้ยหยันเกิดขึ้นบนใบหน้า ผมเห็นเขาลังเล...แน่นอน! ผมก็คิดไว้เหมือนกันว่าเขาคงไม่กล้า แค่คุกเข่าก็ลดศักดิ์ศรีเขามากพอแล้ว คงไม่ถึงขนาดทำแบบนั้นหรอก
“เรย์! ทำแบบนี้มันเกินไป” หนึ่งท้วง
“อะไร? อะไรที่ว่าเกินไป นายไม่เป็นฉันไม่รู้หรอกหนึ่ง คนที่ได้รับความรักมากมายอย่างนายจะมาเข้าใจอะไรฉัน นายมีชีวิตที่ดี ทุกคนรักนาย แต่ฉันสิ...ไม่มีอะไรเลย เขาไม่เคยรักฉัน ทุกคนเห็นว่านายดีไปหมดแต่ฉันกลับเป็นคนเลว”
“ฉัน...”
“ทั้งนายและแม่ของนายที่ได้รับความรักจากเขาเต็มเปี่ยม ถึงจะฆ่าฉันให้ตาย...” ผมกลืนน้ำลายลงคอ “ก็ไม่ผิด”
ผมรู้สึกได้ว่าเสียงตัวเองกำลังสั่นและคำพูดที่พูดออกไปก็เต็มไปด้วยคำตัดเพ้อ ไม่ไหว...น้ำตาผมกำลังจะไหลออกมา จนถึงกระทั่งตอนนี้ผมก็ยังไม่สามารถเอาชนะใจของเขาได้จริงๆ แล้วที่เขาบอกกับผมเมื่อวันนั้น ให้ผมไป ‘เริ่มต้นใหม่’ กับเขามันก็คงจะเป็นแค่เรื่องโกหกสินะ
“...พ่อขอโทษ ขอโทษที่เคยทำผิดกับลูก ขอโทษที่เคยทำให้ลูกเสียใจ ยกโทษให้พวกเรานะเรย์ ตอนนี้พ่อรู้แล้ว...พ่อรู้ความเจ็บปวดของลูกแล้ว”
เขายกมือขึ้นช้าๆ...
“คุณพ่อ! อย่า!”
!!!
 

ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน26-30 22/02/16
«ตอบ #193 เมื่อ22-02-2016 22:56:44 »



 
ตอนที่ 29

ผมชักเท้ากลับทันทีเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะทำอะไร ร่างสูงที่กำลังก้มกราบเท้าผมหยุดชะงักแล้วเงยหน้าสบตากับผมด้วยน้ำตา
จะร้องไห้ทำไม?
เสียใจอย่างนั้นเหรอที่เห็นผมเป็นแบบนี้
หรือว่าเสียใจที่ต้องทำถึงขนาดนี้กันนะ
“เรย์...”
แม่เรียกชื่อผมพลางจับมือผมแน่น... หนึ่งเข้าไปโอบกอดพ่อเอาไว้เพื่อห้ามไม่ให้ทำ สำหรับทุกคนในตอนนี้ผมคงเป็นนางมารร้ายสินะ แต่ผมเองก็เจ็บเหมือนกัน... ไม่คิดเลยว่าเขาจะกล้าทำถึงขนาดนี้ ไม่คิดเลยจริงๆ
“ฮึก ฮือ ฮือ เรย์...พอเถอะนะ อย่าทำคุณพ่อเลย”
หนึ่งร้องไห้อ้อนวอน ถูกลูกที่รักปกป้องขนาดนี้เขาจะดีใจหรือเปล่านะ...แน่ละสิ คงจะดีใจแน่ๆ ยังไงซะผมก็เป็นลูกที่เขาไม่ต้องการ
“...แค่นี้ใช่ไหม ที่คุณจะพูด”
ผมกำมือแน่นมองเขาด้วยม่านน้ำตา ทั้งๆ ที่คิดไว้แล้วว่าผมจะต้องไม่อ่อนแอ คิดเอาไว้แล้วแท้ๆ แต่ผมกลับทำมันไม่ได้... ผมเกลียดเขา! เกลียดผู้ชายคนนี้มากจริงๆ แต่ว่า...
ผมก็รักเขามากเหมือนกัน
“คุณตำรวจครับ...ปล่อยตัวผู้หญิงคนนั้นออกมาเถอะ” ผมนิ่งชั่วอึดใจ “ผมยอมความ”
สิ่งเดียวที่ผมจะให้เขาได้...แล้วก็คงจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะได้รับจากผม หลังจากที่ปล่อยตัวผู้หญิงคนนั้นไปผมก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาอีก เพราะหลังจากนั้นผมจะกลับอเมริกากับแม่แล้วก็จะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว ผมจะหลงลืมว่าเคยมีเขาเป็นพ่อ ผมจะลืมให้หมด!
สายตาที่แสดงถึงชัยชนะถูกจับจ้องมาทางผมทันทีที่ถูกปล่อยตัว มันเป็นสายตาที่ผมเกลียดแสนเกลียดดีจริงๆ
“แค่นี้ใช่ไหมครับที่คุณต้องการ”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเย็นชาก่อนที่จะเดินออกไปจากโรงพักโดยที่ไม่ได้หันไปมองพวกเขาสักนิด แม่กุมไหล่ผมเอาไว้เบาๆ ด้วยความเป็นห่วง ถึงท่านจะไม่พอใจที่ผมปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นลอยนวลแต่ถ้าเป็นการตัดสินใจของผม แม่ก็จะไม่ห้าม
ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ที่เหลือผมก็ให้ทนายจัดการไป อยากจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด...ไม่อยากเห็นหน้าเขาแม้แต่วินาทีเดียว
“เรย์ เดี๋ยวก่อน!”
เขาเรียกผมเอาไว้ แต่ผมก็ไม่ได้หันไปมอง ยังคงตั้งหน้าตั่งตาเดินต่อไปจนกระทั่งออกมาจากโรงพัก
Rrr. Rrr. Rrr.
“…Hi Darling~”
โทรศัพท์ของแม่ดังขึ้น แม่ก็กดรับแล้วหยุดเดิน...แค่ดูก็รู้ว่าใครโทรมา คงจะเป็นสามีใหม่ของแม่แน่ๆ ดูท่าทางของท่านดูมีความสุขดีจัง ใบหน้าหวานเขินอายเล็กๆ อย่างน่ารัก ปฏิกิริยาของท่านมันทำให้ผมนึกถึงใครอีกคนที่ตอนนี้ยังอยู่ในโรงพยาบาล
ตอนนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ...จะฟื้นหรือยัง
ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย สองขาก็เดินออกห่างจากแม่เพื่อให้ท่านได้คุยเป็นการส่วนตัวกับคนที่รัก โดยที่ผมไม่รู้ตัวเลยว่าถูกสายตาพิฆาตจับจ้องมาทางด้านหลัง
 


นันกำมือแน่นมองเด็กที่เย่อหยิ่งด้วยความอาฆาต ไม่ว่าจะยังไงเขาก็ยังคงเกลียดเด็กนั่นเข้าไส้!ทั้งความโกรธและความเกลียดที่มีมันยากเกินจะยับยั้งชั่งใจ ถึงจะเพิ่งถูกปล่อยตัวออกมาแต่เธอก็เลือกที่จะให้ความโกรธเข้าครอบงำนันไม่ได้ฟังที่เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือคนอื่นพูดสักนิด รู้ตัวอีกทีเธอก็วิ่งเข้าตรงไปหาร่างเล็กที่กำลังเดินจากไปเสียแล้ว
ถ้าหากว่าไม่มีมัน!
ชีวิตของเธอก็คงจะไม่เป็นแบบนี้!
ถ้าเด็กนั่นตายๆ ไปซะได้!
สองมือบางถูกยกขึ้นมาเสมอหัวไหล่ก่อนที่จะผลักร่างเล็กอย่างแรงให้ล้มลงไปกับพื้นเบื้องล่าง
ตุบ!
“โอ๊ย!”
เรย์ร้องออกมาด้วยความเจ็บเล็กๆ เมื่อหัวเข่าทั้งสองข้างครูดลงกับพื้น... เรย์พยายามลุกขึ้นแล้วมองไปที่คนที่ทำด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ แต่โชคคงไม่เข้าข้างสักเท่าไหร่ เพราะตรงที่ร่างบางล้มลงไปมีรถคันหนึ่งที่กำลังแล่นเข้ามา... ชายคนขับรถเบิกตาโผลงด้วยความตกใจแบบสุดขีดเมื่อจู่ๆ ก็มีคนมาปาดหน้า แล้วก็ด้วยความตกใจนั้นเขาก็เผลอที่จะเหยียบคันเร่งมากกว่าเหยียบเบรก จนทำให้รถที่แล่นมาเร็วอยู่แล้วกลับแล่นเร็วขึ้นไปอีก... เรย์มองรถคันนั้นด้วยความตกตะลึงพร้อมกับหลับตาปี๋อย่างตกใจ
พจน์ที่วิ่งตามนันออกมาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่นันผลักเรย์ตกพื้น เขาเห็นตั้งแต่รถคันนั้นกำลังจะเลี้ยวเข้ามา ร่างสูงใหญ่เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงก่อนที่สองขาจะทำหน้าที่วิ่งไปตรงจุดเกิดเหตุให้ไวที่สุดเท่าที่ชายชราอย่างเขาจะทำได้
เรย์!
ลูกพ่อ!
ความทรงจำสีจางที่แวบผ่านเข้ามา ห้วงแห่งความสับสน พจน์คิดอยู่อย่างเดียวคือต้องปกป้องลูกชายที่กำลังเผชิญอันตรายตรงหน้า
ขอเพียงแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว
แค่ครั้งเดียวจริงๆ
ที่เขาอยากจะทำหน้าที่ของพ่อ
โครม!
ตัวรถพุ่งชนร่างใหญ่อย่างเต็มแรง พจน์กอดเรย์ไว้แน่นแนบอก หากแต่โชคร้ายที่มันไม่ใช่พื้นที่โล่ง ตรงหน้าเป็นรถอีกคนที่จอดอยู่ เพราะรถที่ชนมาจากทางด้านหลังทำให้ชนเข้ากับรถอีกคันเข้าเต็มๆ ร่างชราเสียหายจากแรงกระแทกแต่ถึงอย่างนั้นสองมือก็ยังไม่ปล่อยจากลูกน้อย
“กรี๊ดด!!!!!!! ม่าย!!!! คุณพจน์! ไม่ๆ”
นันกรีดร้องอย่างสุดเสียง ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างด้วยความนึกกลัว ความผิดที่ตัวเองเป็นคนก่อมันทำให้เธอนึกกลัวขึ้นมาจับใจ ยิ่งเห็นตำรวจที่กำลังวิ่งมาก็ยิ่งทำให้นันตื่นตกใจ มือบางสั่นสะท้านไปทั่ว เธอกัดฟันตัวเองก่อนที่จะวิ่งหนีไปอีกทาง
“คุณแม่!”
หนึ่งร้องเรียกผู้เป็นมารดาด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้จะควรทำยังไงดี พ่อที่รักก็กำลังตกอยู่ในอันตราย ส่วนแม่ก็กำลังวิ่งหนี... หนึ่งไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องทำอะไรก่อน ห่วงแม่ก็ห่วง ห่วงพ่อก็ห่วง แต่สุดท้ายแล้วหนึ่งก็เลือกที่จะวิ่งตามนันไปเพราะเห็นว่ายังไงซะพจน์ก็ยังมีคนคอยช่วยเหลือ
“ไม่! ฉันไม่ผิด! ฉันไม่ผิด! อย่ามาจับฉันนะ ม่ายย!!!!”
นันยังคงควบคุมสติเอาไว้ไม่อยู่กรีดร้องออกมาด้วยความบ้าคลั่ง เธอกลัวที่ต้องกลับไปอยู่แบบนั้นอีกครั้ง เพราะความไม่ย้ำคิดของตัวเองแท้ๆ เลยทำอะไรไม่ยับยั้งชั่งใจ เลยทำให้มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นและทำให้พจน์บาดเจ็บ แต่ถึงอย่างนั้นนันก็ยังไม่โทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง เพราะมัน! เพราะมันเพียงคนเดียวที่ทำให้เป็นแบบนี้ ถ้าหากว่าไม่มีมันสักคนทั้งเขาและหนึ่งก็ต้องอยู่อย่างมีความสุข พจน์ที่เคยรักเขานักรักเขาหนามาตั้งแต่เมื่อครั้งสมัยยังวัยรุ่นก็คงไม่แต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นแล้วมีลูก ยิ่งเห็นหน้าก็ยิ่งเกลียด!
เส้นทางที่นันวิ่งไปเป็นเส้นทางที่กำลังมีจราจรขับแน่นพร้อมกับผู้คนมากหน้าหลายตาที่กำลังเดินกันให้ขวักใขว่นันไม่ได้ยินเสียงหนึ่งเรียกมาจากทางด้านหลัง รู้แต่ว่าตัวเองต้องหนีไปให้ไกลที่สุด หนีไปจากความผิดที่ตัวเองเป็นคนก่อ
จนกระทั่ง...
ตุบ!
“เฮ้ย เดินระวังหน่อยสิ”
“อ่ะ!...กรี๊ด!!!!!!!!!!!!!”
ด้วยความที่เธอกำลังกระวนกระวายจนทำให้ไม่ทันมองเห็นรถที่กำลังเดินสวนมาแล้วโชคร้ายก็มาเยือนเมื่อตรงที่เธอกำลังจะล้มกลับไม่ใช่พื้นแข็งๆ แต่เป็นท่อน้ำที่ถูกเปิดฝาระบายน้ำเอาไว้ แล้วร่างของหญิงสาวผู้โชคร้ายก็หล่นลงไป
ตูม!
.
.
.
.
.
เจ็บ...
ผมกำลังรู้สึกเจ็บไปทั่วร่างเมื่อถูกแรงกระแทกจากรถคันที่วิ่งมา ความรู้สึกชาเกิดขึ้นอยู่ชั่วขณะพร้อมกับเสียงกรีดร้องของคนรอบข้าง คิดไว้เลยว่าตัวเองจะต้องตายแน่ๆ ถึงจะคิดแบบนั้นก็เถอะแต่ผมก็ยังมีลมหายใจ ร่างของผมรู้สึกเหมือนกับถูกโอบกอดเอาไว้แต่ผมก็ยังไม่ลืมตาขึ้นมา
“ไม่เป็นอะไรนะ”
น้ำเสียงที่ฟังคุ้นหูทำให้ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ภายในใจก็นึกภาวนาขอให้สิ่งที่ผมคิดเป็นเพียงเรื่องที่ผมคิดไปเอง
!!!
แต่มันไม่ใช่... ตัวของผมถูกกอดเอาไว้แน่นจากอ้อมแขนแกร่งที่ผมเคยโหยหา ผมมองเขาอย่างไม่น่าเชื่อแต่ก็ขยับตัวไม่ได้ เพราะตอนนี้ผมถูกบี้อยู่ตรงกลางระหว่างรถสองคัน หนึ่งคันที่ชนผม กับอีกคันที่อยู่ด้านหลัง
“ทะ ทำไม?”
ผมถามเขาเสียงสั่น...เขาปกป้องผมอย่างนั้นเหรอ? มาปกป้องผมทำไม...
“เจ็บไหม ทนอีกนิดนะลูก”
เขาถามผมโดยที่ยังมีเลือดไหลออกมาจากตัว... ผมส่ายหน้าไปมา น้ำตามันมาจากไหนก็ไม่รู้ก็ค่อยๆ เริ่มไหลออกมาช้าๆ
“คุณ...”
อยากถามเหลือเกินว่าเจ็บมากไหมแต่มันเหมือนมีอะไรมาจุกที่คอทำให้พูดไม่ออก
“...พ่อ...ขอ”
สองมือที่อ่อนแรงมาลูบหน้าผมเบาๆ แต่เพียงไม่นานนักร่างทั้งร่างก็ทรุดลงกับไหล่ของผม เพราะยังติดอยู่ระหว่างรถทั้งคู่ทำให้แทบขยับไม่ได้ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นผมก็ยังรู้สึกว่าตัวเองกำลังสั่น... เพราะมันทำให้ผมนึกถึงวันที่เสียคนที่รักที่สุดไป
ตอนนั้นก็เป็นแบบนี้...เย็นตายในอ้อมอกของผม เย็นยิ้มให้กับผมเหมือนกัน... ผมเอ่ยเรียกแล้วพยายามปลุกเขาเบาๆ ให้ตื่น แต่ก็ไม่กล้าที่จะทำรุนแรงเพราะกลัวว่าถ้าขยับมากกว่านี้เขาจะเป็นอะไรหนัก
ผมได้ยินเสียงแม่ร้องเรียกด้วยความเป็นห่วง เสียงของผู้หญิงคนนั้นที่กำลังกรีดร้องด้วยความตกใจ เสียงร้องไห้ของหนึ่งแล้วก็เสียงเรียกจากรอบๆ ตัวให้พากันช่วย…แต่ผมมองไม่เห็นอะไรเลย ควันรถมันขึ้นบังเต็มไปหมด... น้ำตาผมกำลังไหลแต่ผมกลับร้องไม่ออก
คุณพ่อ...คุณพ่อ...
ปกป้องผม...
แล้วนั่นก็คือสิ่งสุดท้ายที่ผมคิดได้ก่อนที่สติของผมทั้งหมดจะดับวูบลงไปในที่สุดแล้วไม่รับรู้อะไรรอบตัวอีกเลย
 
“...อืม”
ผมค่อยๆ ขยับตัวช้าๆ ด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบที่ด้านหลัง เพดานสีขาวกับกลิ่นของยา...ไม่ต้องเดาเลยว่าที่นี่ที่ไหน
จริงสิ ผมสลบไปสินะ...
“เรย์…”
ผมหันไปหาผู้หญิงที่กำลังนั่งน้ำตาซึมอยู่ข้างตัว เธอลูบหัวผมเบาๆ แล้วยิ้มให้ รอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ทำให้ผมอดที่จะยิ้มตอบไม่ได้
“...คุณแม่”
ผมเรียกชื่อเธอเบาๆ ด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“ไม่เป็นอะไรแล้วนะลูก หมดทุกข์หมดโศกแล้วนะ”
น้ำเสียงของแม่สั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังแสดงสีหน้ายิ้มออกมาให้ผมได้เห็น...จากนั้นแม่ก็กดออดเรียกพยาบาลให้เข้ามาตรวจร่างกายของผม โชคดีที่ไม่ได้เป็นอะไรมากไม่ต้องถึงขึ้นกระดูกหักแต่ก็ยังมีแผลฟกช้ำอยู่ตามตัวแล้วก็อาการปวดตามข้อต่างๆ อีกไม่นานผมก็จะหายเป็นปกติ...แต่ตอนนี้รู้สึกเจ็บชะมัด! เพราะโดนแรงกระแทกสินะ ขยับตัวแทบไม่ได้เลย ขยับทีก็เจ็บที...
“ถ้าอย่างนั้นขอตัวก่อนนะคะ”
“ขอบคุณคะ คุณหมอ”
พอตรวจเสร็จหมอก็เดินออกไปจนเหลือผมกับแม่อยู่กันแค่สองคนอีกครั้ง แม่คอยหาโน่นหานี่ให้ผม ถามว่าอยากกินอะไรไหม หรือต้องการอะไรหรือเปล่า แม่ดูแลผมเหมือนอย่างกับที่เย็นดูแล...
เฮ้อ พูดแล้วก็คิดถึงเย็นดีจัง
แต่ว่า...มันก็มีสิ่งหนึ่งที่ยังค้างคาใจของผม
“...แล้ว...เขา”
ผมชั่งใจอยู่ชั่วครู่ว่าจะถามดีไหม แต่จนแล้วจนรอดผมก็ตัดสินใจถามออกไป ความจริงผมก็น่าจะถามตั้งนานแล้วแต่มันไม่มีความกล้าพอที่จะเอ่ยปากพูด
“กระดูกหักเพราะถูกชนเต็มๆ ตอนนี้ยังไม่ฟื้น แต่ก็ไม่ต้องห่วง...เขาปลอดภัยดี”
ความรู้สึกโล่งใจเข้ามาแทนที่เมื่อแม่พูดจบ ริมฝีปากผมคลี่ยิ้มบางๆ และแสดงสีหน้าคลายกังวลอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยผมก็จะได้ไม่ต้องรู้สึกผิด...
แม่เล่าให้ผมฟังว่า หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นผลักผมให้ล้มลง แม่กำลังคุยโทรศัพท์กับคนรักของแม่อยู่ พอหันมาอีกทีรถก็วิ่งแล่นเข้ามาแล้ว พร้อมกับเขาที่วิ่งเข้าไปรับร่างผมเอาไว้จนหลังโดนกระแทกอย่างเต็มแรง... ส่วนผู้หญิงคนนั้นพอเห็นพ่อถูกรถชนก็กรีดร้องอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับบอกว่าตัวเองไม่ผิด ไม่ได้ตั้งใจ ก่อนที่จะวิ่งหนีไป แต่โชคคงไม่เข้าข้างเธอสักเท่าไหร่ เพราะตอนที่เธอวิ่ง เธอก็เกือบจะโดนรถมอเตอร์ไซต์เฉี่ยวเอาเหมือนกัน แล้วทางด้านหลังของเธอก็เป็นท่อระบายน้ำที่กำลังเปิดฝาเอาไว้อยู่ เลยทำให้ตกลงไปในนั้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว แล้วกว่าจะถูกช่วยขึ้นมาก็นานพอสมควร
เธอจมลงไปในน้ำเน่าๆ ที่ดำปิ๊ดปี๋ กลืนน้ำเหม็นๆ เข้าไปหลายอึกที่มีแต่ขยะ ตำรวจก็พาทั้งผมและพ่อรวมทั้งผู้หญิงคนนั้นส่งโรงพยาบาล ผมและพ่อรอดชีวิต แต่เธอโชคร้าย...น้ำที่สกปรกมันมีเชื้อโรคอยู่มากมาย ถึงจะมาถึงมือหมอแล้วก็เถอะแต่เชื้อโรคนั้นมันก็วิ่งแล่นเข้าไปสู่เซลล์สมองและร่างกาย ทำให้ในตอนนี้เธอยังไม่ฟื้น แล้วดูจากอาการก็อาจย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ ดีไม่ดีอาจกลายเป็นอัมพาตไปเลยก็ได้
“เรย์...กลับอเมริกากับแม่เถอะ แม่ไม่อยากให้เรย์อยู่ที่นี่อีกแล้ว แม้แต่วินาทีเดียว”
แม่กอดผมเอาไว้แนบอก ฟังจากน้ำเสียงของท่านแล้วคงจะไม่ยอมให้ผมอยู่ที่นี่อีกต่อไป เพราะแค่นี้ผมก็เอาแต่ใจมากพอแล้ว
“ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับแม่ที่โน่นเถอะนะ”
“...ครับ”
ผมหลับตาลงช้าๆ ได้ยินเสียงหัวใจของแม่เต้นดังด้วย มันเลยยิ่งทำให้ใจของผมรู้สึกสงบไปมากขึ้น...ไม่กระวนกระวาย
ถึงเวลาต้องไปแล้วสินะ
 
ผมออกจากโรงพยาบาลทันทีที่รู้สึกตัว ถึงจะยังเจ็บอยู่แต่ก็อยู่ในระดับที่ยังพอทนได้อีกอย่างแม่ก็ได้จ้างพยาบาลเอาไว้ดูแลผมตอนที่ขึ้นเครื่องบินจนกระทั่งไปถึงอเมริกาแล้ว ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ อย่างเช่นเสื้อผ้าผมก็ไม่จำเป็นต้องใช้ เพราะไม่ว่าจะยังไงไปถึงโน่นแม่ก็บอกว่าจะซื้อให้ใหม่อยู่ดี แต่สิ่งที่จำเป็นมากที่สุดของผมก็คือเถ้ากระดูกของเย็น แล้วก็อัลบัลผมเคยคู่กับเย็นเอาไว้
ทั้งหมดมันเป็นความทรงจำของผม
ที่ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่มีวันลืม
ผมเดินไปตามทางเดินของโรงพยาบาล ไปยังห้องผู้ป่วยฉุกเฉินที่มีผู้หญิงคนนั้นนอนอยู่ รอบตัวของเธอเต็มไปด้วยสายน้ำเกลือและสายอากาศอ๊อกซิเจนเพื่อช่วยหายใจระโยงระยางเต็มไปหมด โดยที่มีคนที่ผมเกลียดที่สุดกำลังยืนมองด้วยน้ำตานองหน้าเหมือนอย่างเคย
หึ อ่อนแอแบบนี้ต่อไปจะช่วยเหลืออะไรตัวเองได้
“เรย์...”
หนึ่งเรียกผม ดวงตาทั้งสองข้างสั่นระริก
“ปะ เป็นไงบ้าง ดีขึ้นแล้วเหรอ”
“...” ผมไม่ตอบ
“ยังเจ็บตรงไหนไหม”
“...”
คำถามซ้ำๆ เดิมๆ เอ่ยออกมาจากริมฝีปากบางด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าหวานพยายามยิ้มให้ผมเป็นปรกติ แต่คำพูดพวกนั้นมันไม่ได้ซึมซับเข้ามาในจิตใจของผมเลยสักนิด
“มีอะไรก็พูดมา”
มันเป็นสิ่งแรกที่ผมพูดกับเขาหลังจากที่ปิดปากเงียบมาพักหนึ่ง เหอะ...แค่คำพูดสวยหรู ผมรู้ว่าหนึ่งก็แค่พูดไปตามระเบียบก็เท่านั้น แค่มองตาก็รู้ว่าต้องมีอะไรอีก
“...เรย์ ฮึก ขอโทษ...ฮึก ขอโทษแทนคุณแม่ ฮึก ฮือ ตอนนี้คุณแม่ป่วย ยกโทษให้คุณแม่เถอะนะ ฮึก”
ว่าแล้วเชียว...หนึ่งก็ทำได้แค่นี้ เอ่ยปากขอโทษและร้องขอแทนคนอื่น ถ้าเพื่อคนที่ตัวเองแคร์ก็ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้อีกฝ่ายให้อภัยโดยที่ไม่สนเลยว่าคนที่โดนทำร้ายจะรู้สึกยังไง... ผมรู้ว่าการให้อภัยมันเป็นการทำให้จิตใจสงบ ทุกคนก็บอกแบบนั้น...แต่ใครละที่จะทำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่ผม
ถึงปากจะบอกว่าให้อภัยก็จริง แต่มันก็มีบ้างที่ส่วนหนึ่งในใจจะไม่ยอมรับและไม่ให้ ถ้าเป็นแบบนั้นสู้ผมไม่ให้เลยจะยังดีกว่า
“ฮึก ขอโทษ...ขอโทษนะเรย์ ยกโทษให้พวกเราด้วยนะ”
หนึ่งยังคงร้องไห้ไม่หยุด สองมือบางเอื้อมมาจับมือของผม มันสั่นจนผมรู้สึกได้... มุมปากผมยกยิ้มขึ้นมาเบาๆ แล้วสบตามองหน้าหนึ่ง
“แค่คำขอโทษมันง่ายไปหรือเปล่า”
ผมปัดมือนั้นออกอย่างรังเกียจ
“...เรย์”
“คนแบบนายก็ทำได้แค่นี้แหละหนึ่ง อ่อนแอ ไร้ทางสู้ ชอบพูดว่าขอโทษพร่ำเพื่อ...เหอะ น่าสมเพชจริงๆ แล้วการที่แม่ของนายเป็นแบบนี้นะ ฉันไม่รู้สึกสงสารเลย มันสมควรแล้วหนึ่งที่เขาจะได้รับมัน” ผมยิ้มแล้วเดินผ่านร่างเล็กที่กำลังร่ำไห้อย่างน่าสงสารแล้วผมก็บอกสิ่งที่อยู่ภายในใจอีกครั้ง
“สมน้ำหน้า!”
จากนั้นผมก็ไม่หันไปมองหนึ่งอีกเลย
มันรู้สึกสะใจยังไงก็ไม่รู้สิ...ครอบครัวของหนึ่งพังพินาศ โลกที่สวยงามก็แตกสลายไปชั่วพริบตา แม่ก็เป็นแบบนี้ หึ จงรับคำสาปแช่งของผมไปเถอะ ต่อให้ตายผมก็ไม่มีวันให้อภัย!
ผมเข็นรถเข็นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปหยุดที่หน้าห้องๆ นึง... ผมมองบานประตูที่ปิดสนิทด้วยความชั่งใจ จะทำยังไงกับมันดีนะ...จะเข้าไปหรือไม่เข้าไปดีนะ ผมกำลังสับสน...ใจนึงก็อยากเข้าแต่อีกใจนึงก็ไม่กล้าที่จะเข้าไป แต่สุดท้ายแล้วผมก็เลือกที่จะเปิดมัน
 

แอ๊ด...
 
 
                                           

ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน26-30 22/02/16
«ตอบ #194 เมื่อ22-02-2016 22:59:05 »



ตอนที่ 30

ชายวัยกลางคนกำลังนอนอยู่บนเตียงสีฟ้าสะอาดของโรงพยาบาล เขาใส่เฝือกเกือบทั้งตัวทั้งแขนและขา เขายังไม่รู้สึกตัว...ผมเดินมาอยู่ข้างเตียงของเขาช้าๆ พลางมองไปที่ใบหน้าที่แก่ชราลงไปมาก สีหน้าที่ดูคล้ำลงไปถนัดตา พ่อที่เคยดูภูมิฐานกลับเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ ทั้งหมดมันก็คงเป็นเพราะผมสินะ... หลังจากที่พ่อออกจากบ้านผมก็ให้คนคอยสืบตลอดว่าเขาทำอะไรบ้าง ส่วนเรื่องงานก็เหมือนกันทำไมผมจะไม่รู้ว่าพ่อไปทำงานก่อสร้าง
ผมเอื้อมจับที่มือของเขา ฝ่ามือที่เคยนุ่มนิ้มในคราวแรกกลับมีรอยแผลฟกช้ำและรอยแดงเป็นจ้ำๆ บ่งบอกได้ดีเลยว่าไม่เคยทำงานหนัก คงจะลำบากมากสินะ ที่ต้องทำงานอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เพราะตัวผมเองก็เคยเป็นแบบนั้นเหมือนกัน ถูกคนดูถูก ถูกคนเหยียดหยาม ถูกกล่าวหาต่างๆ นาๆ เรื่องพวกนั้นผมดีเลยละว่าเป็นยังไง
ความทรงจำสีจางค่อยๆ ฉายชัดเข้ามา ห้วงแห่งความทรงจำที่น้อยนิด ถึงแม้ว่าจะนานและเกือบลืมไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อครั้งยังเด็กๆ ตอนที่ผมกำลังวิ่ง แล้วผมก็ล้มลงไปกับพื้นปูนแข็งๆ เพราะความที่ยังเป็นเด็ก ทั้งตกใจและกลัว ผมร้องไห้ให้กับบาดแผลเล็กๆ ที่ตัวเองเป็นคนก่อแบบไม่ทันระวัง คุณแม่ก็ไม่อยู่ ทุกคนก็เอาแต่โอ๋ลูกเมียน้อย จนผมต้องอยู่คนเดียว
‘ฮึก เจ็บ...เจ็บจังเลย’
‘เป็นอะไร’
‘...ปะ ป่าวคับ’
‘ลุกขึ้นมาสิ’
‘คุณ...พ่อ...’
เป็นครั้งแรกที่เขายื่นมือมาหาผม
เป็นครั้งแรกที่เขาฉุดผมให้ลุกขึ้นแล้วปัดฝุ่นให้ออกจากเสื้อผ้า
เป็นครั้งแรกที่ผมอยากร้องไห้เพราะความดีใจ
“ฮึก คุณพ่อ...”
ผมพยายามสกัดกลั้นเสียงตัวเองไม่ให้สั่น ภาพที่เขาพยายามปกป้องผมยังคงชัดเจน เพียงเท่านี้...เพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับผม สิ่งที่ผมต้องการไม่ใช่ทั้งเงิน ทอง หรือทรัพย์สมบัติต่างๆ ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่สิ่งที่ผมปราถนาก็มีเพียงแค่ข้อเดียว
ความรักจากพ่อ
ถึงผมจะรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ ถึงผมจะโกรธเขามากขนาดไหนแต่ผมก็ไม่เคยเกลียดเลยสักนิด เรื่องของเอเดนก็เหมือนกัน ถ้าผมทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ถ้าผมทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เอเดนจะทำอะไรมันก็เรื่องของเขา แล้วพ่อจะเป็นจะตายยังไงก็ช่าง... แต่ผมกลับทำมันไม่ได้ ผมปล่อยให้เอเดนทำร้ายพ่อไม่ได้ ผมถึง...เอาตัวเองมายุ่งเกี่ยว แล้วมันก็คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจะทำเพื่อพ่อได้...ก่อนที่ผมจะไปจากที่นี่ ผมทำให้พ่อได้เพียงแค่นี้จริงๆ
ขอบคุณครับพ่อ
ขอบคุณที่ปกป้องผม
ผมละมือออกจากมือที่เต็มไปด้วยบาดแผลก่อนที่จะวางมือใหญ่เอาไว้ที่เดิมแล้วพยายามห้ามน้ำตาตัวเองไม่ให้ไหล ครั้งนี้คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกัน เพราะผมจะไม่กลับมาที่นี่อีก
ลาก่อนครับ...คุณพ่อ
ปัง
บานประตูถูกปิดลงอีกครั้งพร้อมกับน้ำตาของผมที่ร่างไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ผมกล้ำกลืนฝืนความเจ็บปวดมันลงไปในอก จะหันหลังกลับไม่ได้อีกแล้วละ พอสักทีเถอะ...ทิ้งความอ่อนแอของตัวเองแล้วเดินหน้าต่อไป
มันก็แค่นั้น
ทิ้งที่นี่แล้วไปเริ่มต้นใหม่ซะ
“ยังมีหน้ามาอีกนะ”
กึก!
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเดินไปไหนได้ไกล เสียงหนึ่งที่คุ้นเคยก็ดังมาจากทางด้านหลัง มันทำให้ผมหยุดเท้าที่จะเดินแต่ก็ยังไม่ได้หันหน้าไปมอง เพราะผมรู้ว่าคนที่เรียกผมเป็นใคร...ผู้ชายอีกคนที่ผมเกลียดแสนเกลียด เขาเป็นผู้ชายอีกคนที่มักกล่าวหาผมเป็นประจำ มาเจอกันตอนนี้ก็คงกำลังจะมาหาหนึ่งสินะ
“หึ คนเลวๆ แบบนายยังต้องการอะไรอีกเรย์”
“...”
“พอใจหรือยังละที่เห็นพ่อตัวเองเป็นแบบนี้”
“...”
“พอใจหรือยังที่เห็นแม่ของเรย์ต้องนอนอยู่ที่เตียง”
“...”
“พอใจหรือยังที่เห็นหนึ่งต้องร้องไห้! พอใจหรือยังที่ต้องเห็นทุกคนพินาศเพราะฝีมือนาย!!! พอใจหรือยังเรย์!!!”
คำต่อว่าที่มาพร้อมกับความชิงชัง ผมยังคงไม่หันไปมองไค แค่ฟังจากน้ำเสียงผมก็เดาได้ไม่ยากว่าเขาทั้งโกรธและเกลียดผมขนาดไหน ผมเลือกที่จะเงียบ...แล้วก้าวเท้าเดินหน้าไปต่อ ไม่จำเป็นที่จะต้องสนใจอะไรทั้งนั้น เขาไม่ได้มีค่าพอที่จะให้ผมต้องไปเสวนาด้วย อยากคิดอะไรก็คิดไป อยากจะพูดยังไงก็เชิญตามสบายเพราะผมไม่จำเป็นที่จะต้องแก้ตัว
“ตะวันบาดเจ็บก็เพราะนาย ทุกคนเป็นแบบนี้ก็เพราะนาย คนอย่างนายมัน!”
กึก
ผมหยุดเดินอีกครั้ง
“ไม่น่าเกิดมาเลยจริงๆ”
“คนอย่างนาย...ก็คิดได้แค่นี้แหละ ไค”
เป็นคำแรกที่ผมพูดกับเขาหลังจากที่เงียบมานาน
“หมายความว่ายังไง”
“นายมัน...ไม่ได้รู้อะไรจริงๆ มองไม่เห็นหัวใครนอกจากคนที่ตัวเองแคร์ นายมันก็ไม่ได้ดีอะไร เป็นแค่กบอยู่ในกะลาแค่นั้นแหละ...ดูถูกและเหยียดหยามคนอื่น นี่นะเหรอลูกผู้ดี หึ ที่แท้มันก็ยิ่งกว่าเศษสวะซะอีก” ผมละคำ “คนอย่างนาย ไม่น่าเกิดมาเหมือนกัน”
“มันจะมากไปแล้วนะ!”
ไคดูโกรธมาก...แต่ที่ผมพูดมันเป็นความจริง เขาไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับผมสักนิด แล้วมาต่อว่าคนอื่นได้ยังไง แต่เขาไม่มีค่าพอที่จะเสวนาด้วยอีกต่อไป...พูดไปก็ไม่รู้เรื่อง ผู้ชายแบบไคที่คอยแต่จะทับถมคนอื่น ไม่มีทางที่จะปกป้องใครได้หรอก
“จิตใจของนายมันอ่อนแอสิ้นดี”
คำพูดที่ราบเรียบของผมถูกส่งไปให้ร่างสูงอีกครั้ง แล้วผมก็ไม่สนใจเขาอีก ทางของผมคือเบื้องหน้าไม่ใช่หันหลังกลับ เพราะฉะนั้นไคไม่สามารถทำให้ผมหันหลังกลับไปได้หรอก
ผมเดินตรงมายังทางเดินของโรงพยาบาลมาเรื่อยๆ อีกไม่นานก็จะถึงหน้าโรงพยาบาลแล้ว ต่อจากนี้ผมก็จะไปนั่งเครื่องบินเพื่อกลับไปที่อเมริกา ส่วนตะวัน...เขาก็อยู่โรงพยาบาลนี้ด้วยเหมือนกัน แต่ผมไม่ไปหาเขาหรอก...ไม่สิ ผมไปหาเขาไม่ได้ ตะวันที่ไม่มีส่วนรู้เห็นอะไรกลับต้องมารับบาดเจ็บก็เพราะผม เพราะมายุ่งเกี่ยวกับผม เขาเลยพลอยติดร่างแหไปด้วย
แต่ถึงอย่างนั้น...
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น...
ขอบคุณนะ...ขอบคุณที่คิดจะยอมเชื่อคนแบบผม
‘ฉันเชื่อนายนะเรย์’
‘มันเป็นอาหารมื้อแรกที่นายทำให้ฉัน ไม่ว่าจะอะไรก็อร่อย’
‘เรย์...ฉัน...’
รักนาย...
“ฮึก”
ผมสะอื้นในลำคอเบาๆ เมื่อคิดถึงคนที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาล คงต้องลากันแค่นี้...
“ไปกันเถอะเรย์”
แม่เดินมากอดไหล่ของผมเอาไว้ทันทีที่ผมเดินออกมาจากโรงพยาบาล ตรงหน้าของผมเป็นรถคันใหญ่หรูที่คอยรับส่งจากที่ไปถึงสนามบิน
“คุณแม่”
ผมหันไปมองหญิงสาวที่อยู่ในวัยกลางคนแต่ก็ยังสวยสะพรั่งราวกับหญิงสาวแรกแย้มก็ไม่ปาน แม่ดูแลตัวเองอย่างดี ทำให้เหมือนมีเวทมนต์ที่ทำให้คงสภาพเดิมไว้ จากกันก็นานแสนนาน...เกือบสิบปีแล้วสินะที่เราไม่ได้เจอกัน แม่ก็ยังเป็นแม่ของผม อยู่กับผมแล้วก็ไม่เคยทิ้งกันไปไหน อ้อมอกของแม่อบอุ่นเหลือเกิน...คงไม่มีเรื่องอะไรอีกแล้วสินะ
“ไม่ไปเยี่ยมเขาจะดีเหรอ”
แม่ถามผมหลังจากที่พวกเราขึ้นรถมาแล้ว
“ไม่ครับ”
ผมส่ายหน้าตอบก่อนที่ไม่นานตัวรถจะเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ จนออกไปนอกเขตของโรงพยาบาลในที่สุด...ท้องถนนที่เต็มไปด้วยรถรากับเหล่าผู้คนที่เดินไปเดินมาอย่างคับคั่ง อีกไม่นานเกินรอก็คงจะใกล้ถึงสนามบิน...
จนกระทั่ง...
ตูม!!!

“เกิดอะไรขึ้น!!!”
“แย่แล้ว! รถระเบิด!”
“เรียกพยาบาลกับรถดับเพลิงมาเร็ว!!!”
เสียงโหวกเหวกโวยวายของคนรอบด้านดังขึ้นมาทันทีเมื่อรถคันหรูที่เพิ่งขับผ่านไปเมื่อสักครู่เกิดระเบิดขึ้นอย่างกระทันหัน ใบหน้าของผู้คนเห็นเหตุการณ์ตื่นตระหนกไปด้วยความตกใจ พวกเขาไม่คิดเลยสักนิดว่าเรื่องแบบนี้จะมาเกิดใกล้ตัว เพลิงที่ร้อนระอุได้ลุกมอดไหม้เป็นจนทำให้รถคันหรูที่ดูสวยงามในคราวแรกแปรเปลี่ยนเป็นสีดำตอตะโก
“เฮ้ย! มีคนติดอยู่ในรถ! มีคนติดอยู่ในรถ!!! รีบมาช่วยกันเร็วเข้า”
“ไหนๆ”
“ไปช่วยกันเร็ว!”
ชายคนหนึ่งตะโกนบอกเมื่อเห็นเงาจางๆ ที่อยู่ด้านใน ถึงแม้จะมีควันโขมงออกมามากแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเห็นเป็นตัวคน โดยที่พวกเขาไม่อาจรู้เลยว่ามีรอยยิ้มเหี้ยมของใครอีกคนที่ถูกส่งมาจากอีกทางเมื่อเห็นว่างานของตนสำเร็จไปด้วยดี

ภายในห้องพยาบาลที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอของยา พจน์ยังคงนอนสงบนิ่งอยู่ที่เตียง ใบหน้าชราที่เต็มไปด้วยริ้วรอยกับดวงตาที่ปิดสนิทมีน้ำตาไหลลงมาจากหางตาเล็กๆ ถึงจะยังไม่รู้สึกตัวแต่ภายในใจของพจน์กลับเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง
เพราะอะไรกันนะ...
ความรู้สึกเช่นนี้คืออะไร...
เพราะสูญเสียคนสำคัญ เพราะคิดได้เมื่อสาย แม้จะยังอยู่ในห้วงแห่งความฝันแต่มันก็ทำให้น้ำตาของผู้เป็นพ่อไหลออกมาด้วยความเสียใจ
...เรย์
“คุณพ่อ...”
หนึ่งมองดูสีหน้าของพจน์ด้วยความกังวล ราวกับว่าท่านกำลังฝันร้าย ด้วยความเป็นลูกทำให้อดห่วงคนเป็นพ่อไม่ได้จริงๆ
“สีหน้าทำไมดูไม่ดีเลย”
ยิ่งเห็นสีหน้าของพจน์ที่แย่ลงก็ยิ่งทำให้หนึ่งเป็นห่วง หรือว่าบางทีอาจจะเป็นอาการข้างเคียงก็เป็นได้ มือบางจับไปที่ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยบาดแผลอย่างคนรู้สึกผิดที่ปล่อยให้พ่อตัวเองต้องไปเผชิญชะตากรรมลำบาก ทำงานหนักแต่เพียงผู้เดียว ส่วนตนกับแม่ก็ได้แต่นั่งๆ นอนๆ อยู่กับบ้านโดยที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
“ผมขอโทษครับคุณพ่อ”
หนึ่งร่ำไห้อย่างรู้สึกผิด...
รอบตัวที่เกิดความเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ทำให้หนึ่งแทบตั้งสติไว้แทบไม่อยู่ นันก็อาการยังไม่ดีขึ้น แถมจะยังมีแต่ทรุดลงเรื่อยๆ ส่วนพจน์ก็ยังมาเป็นแบบนี้อีก คำสบถที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสะใจของเรย์ยังคงดังก้องอยู่ในหัว
ไม่มีวัน...ที่จะยกโทษให้
ก็แน่ละ...เป็นใครก็คงจะยกโทษให้ไม่ได้
ถ้าเป็นเขาเองก็จะเป็นเหมือนกับเรย์ ไม่มีวันยกโทษให้คนที่จะทำร้ายคนอื่นอย่างแน่นอน แล้วที่เรื่องมันเป็นแบบนี้จะโทษใครก็ไม่ได้นอกเสียจากครอบครัวของเขาเอง
.
.
.

ข่าวด่วน
เมื่อเวลาประมาณ 13.45 น. ได้มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นแถวถนน............ ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่และหน่วยดับเพลิงกำลังช่วยกันดับเพลิงอย่างเต็มที่ โดยที่ทางเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพบว่ารถคันดังกล่าวเป็นเจ้าของธุรกิจดัง บลาๆๆ...

ข่าวจากทีวีที่เปิดทิ้งเอาไว้เรียกความสนใจจากร่างเล็กไม่น้อย แต่ทว่าทันทีที่หันไปมองดวงตากลมโตกลับเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง
เรย์!!!




ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน31-35 28/08/16
«ตอบ #195 เมื่อ28-08-2016 22:59:54 »



 
ตอนที่ 31

ตะวัน PART
เฮือก!
ผมลืมตาโผลงทันทีที่รู้สึกตัว ราวกับว่าตัวเองเพิ่งตื่นจากฝันร้ายที่ยาวนานจนรู้สึกว่าคอตัวเองกำลังแห้งผากไปด้วยความกระหายน้ำ จริงสิ...ผมถูกเอเดนซ้อมจนเกือบสลบแต่ช่วงวินาทีสุดท้ายที่ผมกำลังจะหลับไปรู้สึกว่าเหมือนมีคนเข้ามาช่วย
“ตะวัน! ตะวันตื่นแล้ว”
ผมหันไปตามเสียงเรียกที่สั่นเครือราวกับว่ากำลังจะร้องไห้ก็ไม่ปาน หนึ่งจับมือของผมเอาไว้แน่นด้วยความดีใจ
“เป็นไงบ้างวะ”
ไคที่ยืนอยู่ข้างๆ หนึ่งก็ถามผมด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความเป็นห่วง
“นะ น้ำ”
ริมฝีปากที่แหบพร่าค่อยๆ ขยับทีละนิด หนึ่งก็รับกุลีกุจอรินน้ำใส่แก้วให้ผม ร่างเล็กจับหัวให้ผมตั้งขึ้นนิดหน่อยก่อนที่จะประคองแก้วน้ำให้ผมดื่มได้ถนัด ความชุ่มช่ำของน้ำเย็นมันทำให้ผมรู้สึกดีไม่น้อยเลยทีเดียว
“แค่กๆแค่กๆ”
แล้วคงเพราะผมรีบมากไปเลยสำลัก
“ตะวัน! เป็นไงบ้าง”
“ไม่เป็นไร” ผมพยักหน้าตอบ
“รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวเราไปตามหมอมาให้”
หนึ่งพูดอีกครั้งพลางเอื้อมมือไปกดออดจากข้างเตียง แล้วไม่นานนักชายใส่ชุดกราวน์สีขาวก็เดินเข้ามาทำหน้าที่ตรวจร่างกายของผมคร่าวๆ แต่ดูจากรอยพวกนี้แล้วผมคงไม่น่าจะเป็นหนักเท่าไหร่นัก จะมีก็เจ็บตรงแผลที่ถูกยิงก็เท่านั้นกับรอยเขียวช้ำบนตัว เอเดนมันเล่นผมหนักจริงๆ ถ้าไม่มีคนมาช่วยเอาไว้ป่านนี้ผมก็คงจะกลายเป็นศพไปแล้วแน่ๆ นั่นอาจจะเป็นเพราะความโชคดีของก็ได้ แต่ว่าใครเป็นคนช่วยผมกันละ...หรือว่าจะเป็นเรย์?
“ตะวันยังเจ็บตรงไหนบ้างไหม”
“นิดหน่อย แต่ไม่เป็นอะไรมาก”
ร่างเล็กเอ่ยถามอีกครั้งหลังจากที่ผมตรวจเสร็จเรียบร้อย ผมก็ได้แต่ตอบไปเบาๆ เพราะตอนนี้ยังคงใช้เสียงมากไม่ได้
“เออ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว คุณลุงกับคุณป้าจะได้สบายใจ”
ไคพูดเสียงนิ่งตามสไตล์ แต่ผมกับไคคบกันมานาน ผมย่อมรู้ดีที่สุดว่ามันเองก็เป็นห่วงผมไม่น้อยเหมือนกัน แล้วก็คงเป็นไคนี่แหละที่จัดการเรื่องทุกอย่างตอนที่ผมเข้าโรงพยาบาล ป่านนี้พ่อกับแม่ผมที่อเมริกาคงเป็นห่วงกันน่าดู สงสัยถ้ากลับไปคราวนี้คงต้องไปอธิบายกันยกใหญ่แน่ๆ
“ตะวันรู้ไหม ตะวันหลับไปตั้งสามวัน...เรา...เราเป็นห่วงตะวันมากเลย”
สามวัน?
นี่ผมหลับไปนานขนาดนั้นเลยเหรอ
“คราวนี่ก็ถึงตานายแล้ว อธิบายมาซะดีๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ไคถามด้วยสีหน้าจริงจัง เขาคงจะไม่ยอมง่ายๆ แน่ๆ ถ้าหากว่าผมปิดบังหรือไม่เล่าความจริง... ผมก็เลยตัดสินใจเล่าทุกอย่างออกไปตั้งแต่แอบสะกดรอยและตามเรย์เข้าไปอยู่ในบ้านของเอเดน จนกระทั่งถึงวันที่ผมถูกเอเดนซ้อมแล้วก็ตื่นมาอีกทีก็ตอนที่ผมอยู่โรงพยาบาลนี่แหละ แต่ระหว่างที่ผมเล่าหนึ่งก็ทำสีหน้าเศร้าคล้ายคนจะร้องไห้ไปด้วย
“ฉันละเชื่อจริงๆ เลยวะ”
ผมยิ้มบางๆ เมื่อไคดูหัวเสีย
“แต่ก็ดีแล้วที่ตะวันไม่เป็นอะไรมาก โชคดีจริงๆ”
ถึงผมจะโชคดีที่รอดมาได้อย่างที่หนึ่งพูดก็จริง แต่ตื่นมาผมก็ยังไม่รู้เลยว่าเรย์เป็นยังไงบ้าง ป่านนี้แล้วเจ้าตัวจะนอนร้องไห้เพราะความเป็นห่วงผมอยู่หรือเปล่านะ
“...อะไร?”
ร่างสูงยืนกอดอกถามเมื่อเห็นว่าผมยังคงจับจ้องไม่วางตา
“เรย์...เรย์เป็นยังไงบ้าง”
ทันทีที่ผมถามถึงร่างเล็กทั้งไคและหนึ่งก็ทำหน้าซีด ใบหน้าของคนทั้งคู่ดูเปลี่ยนไปจากคราวแรกอย่างเห็นได้ชัด ผมขมวดคิ้วด้วยความงุนงง ใจที่นิ่งสงบก็เริ่มเต้นระรัวอีกครั้ง ความรู้สึกที่คนทั้งคู่แสดงออกมันบอกกับผมว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับเรย์ แล้วผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร...
“เอ่อ คือ...”
“มีอะไรเกิดขึ้นกับเรย์!”
“ใจเย็นดิวะ”
“เกิดอะไรขึ้นกับเรย์!”
ผมถามคำถามเดิมด้วยน้ำเสียงต่ำเมื่อเห็นว่าทั้งหนึ่งและไคยังไม่ยอมที่จะปริปากพูดเรื่องของเรย์ออกมา ให้ตายสิ! พวกนี้ทำไมต้องให้ผมรู้สึกไม่ชอบใจด้วยนะ คนยิ่งร้อนใจอยู่... ผมเป็นห่วงเรย์ เป็นห่วงเขามากๆ ยิ่งเห็นว่าเรย์ถูกเอเดนพาตัวไปอีกครั้งก็ยิ่งห่วงกว่าเดิม อีกอย่าง...ผมก็ไม่เชื่อว่าเรย์จะเป็นอย่างที่ใครๆ กล่าวหา เพราะผมรู้ดีที่สุดว่าแท้จริงแล้วเรย์เป็นคนยังไง
ภายใต้ใบหน้าที่เย่อหยิ่งกลับเต็มไปด้วยน้ำตา
นิสัยที่เป็นคนไม่ยอมคนแต่แท้จริงแล้วกลับอ่อนโยนมากกว่าใคร
ถึงผมจะเป็นอีกคนที่เข้าใจผิดตั้งแต่แรก เป็นอีกคนที่เคยไม่ชอบเรย์เพราะเรย์เป็นแบบนี้ แต่ผม...ไม่เคยเกลียดเรย์ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว...ผมพร้อมที่จะเชื่อเรย์ทุกอย่าง แล้วก็พร้อมที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าผม...รักเรย์ขนาดไหน ขอแค่โอกาสอีกสักครั้ง...แค่ครั้งเดียวจริงๆ ที่เรย์จะให้อภัยผม ให้ผมได้อยู่เคียงข้าง ได้ปกป้อง...ผมขอแค่เท่านี้ก็พอ
“ตะวัน...เอ่อ คือ...คือ เรย์เขา...”
หนึ่งทำหน้าลำบากใจ
“เรย์ทำไม?”
ผมขมวดคิ้วถาม
“เรย์เขาตายไปแล้ว”
!!!
“ไค!”
แต่ยังไม่ทันที่หนึ่งจะเอ่ยปากพูด ไคก็พูดแทรกแทนที่ แต่สิ่งที่ผมได้ยินมันกลับทำให้ใจของผมสั่นระริกไปด้วยความหวาดกลัว
“ว่าอะไรนะ”
ผมหันไปถามไคอีกครั้ง
“...เรย์...ตายแล้ว”
“โกหก!”
ผมจับกระชากคอเสื้อของไคด้วยความโมโห กล้าดียังไงมาบอกว่าเรย์ตายแล้ว ผมไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด! เรย์จะตายได้ยังไงก็ในเมื่อผมยังเจอเรย์อยู่เลย
“ตะวัน!”
มือเล็กๆ ของหนึ่งจับแขนผมไว้เพื่อห้ามปราม ใบหน้าหวานคลอไปด้วยน้ำตา
“...เรย์เขาเสียแล้ว ฮึก เขาตายแล้วจริงๆ นะ”
“ไม่เชื่อ! ฉันไม่เชื่อ!”
ผมโวยวายลั่นแล้วพยายามดึงสายเข็มเกลือที่เจาะแขนผมอยู่ สมองของผมไม่รับรู้อะไรแล้วตอนนี้ ทุกคนกำลังโกหกผม!
“ตะวัน…หยุดเถอะ อย่าทำแบบนี้”
“ตะวัน!”
“ฉันจะไปหาเรย์! ปล่อย!!!”
ผมยื้อหยุดมือของทั้งคู่เอาไว้ ตอนนี้สติของผมแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สิ่งเดียวที่ผมคิดคือรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าของเรย์ ทุกอย่างรอบตัวราวกับหยุดหมุน ผมคิดอะไรไม่ออกเลย...รู้แค่ว่าต้องไปหาเรย์ แต่ต้องไปที่ไหน? ผมไม่รู้...ไม่รู้เลยจริงๆ น้ำตาลูกผู้ชายที่แห้งเหือดกลับค่อยๆ ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ความรู้สึกที่สูญเสียคนสำคัญทำให้ผมแทบบ้าจนต้องโวยวายใส่คนรอบข้าง ไม่แม้กระทั่งหยุดฟังเพื่อนทั้งสองจะคอยห้ามปรามก็ตาม
มันไม่จริงใช่ไหม...เรย์!!!
 
กว่าผมจะสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้ก็ใช้เวลาอยู่นาน ผมมองไปตรงเบื้องหน้าด้วยความเหม่อลอย...ถึงตอนนี้สิ่งที่ผมได้ยินมามันก็ไม่ใช่ความฝัน ผมยังทำใจไม่ได้เรื่องที่เรย์จากไป... หนึ่งเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ที่เรย์ต้องทำแบบนี้ก็เพราะแม่ของหนึ่งที่เป็นคนไปขับรถชนเรย์ก่อน เรย์ก็เลยที่ต้องการจะเอาคืน แต่ทุกอย่างก็ต้องตาลปัดเมื่อวันที่ถูกจับแม่ของหนึ่งผลักเรย์ล้มลงไปกับพื้นประจวบเหมาะที่มีรถอีกคันกำลังแล่นมาพอดี แล้วก็ด้วยความตกใจทำให้คนขับรถเผลอที่จะเหยียบคันเร่งมากกว่าเหยียบเบรก แล้วจังหวะนั้นเองพ่อของหนึ่งก็ได้เอาตัวมาปกป้องเรย์เอาไว้จนได้รับบาดเจ็บ ส่วนเรย์ที่ออกจากโรงพยาบาลทันทีที่ฟื้นขึ้นจู่ๆ รถที่ขับก็เกิดระเบิดขึ้น
แล้วเรย์ก็อยู่ในรถคันนั้น
ทุกอย่างเกิดขึ้นในขณะที่ผมกำลังนอนหลับอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
เจ็บใจ...เจ็บใจตัวเองที่ไม่สามารถช่วยอะไรเรย์ได้เลย...ทั้งๆ ที่เรย์กำลังลำบากแต่ผมกลับมาอยู่ในโรงพยาบาล มันช่างน่าสมเพชตัวเองจริงๆ
ตอนนี้ทุกคนรู้ความจริงหมดแล้วเรื่องของเรย์ ทั้งเรื่องที่บ้านเด็กกำพร้านั่นก็ด้วยเหมือนกัน ทุกคนที่เคยดูถูกเรย์เอาไว้ต่างก็สำนึกผิดในสิ่งที่ตัวเองทำ แม้กระทั่งไคเองก็เหมือนกัน...เขาเอาแต่กล่าวโทษตัวเองที่เป็นคนพูดจาว่าร้ายเรย์ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ถึงไคอยากจะขอโทษเรย์สักเท่าไหร่แต่คำขอโทษนั้นมันก็สายเกินไปเสียแล้ว
“ตะวัน...อย่าเอาแต่เงียบสิ พูดอะไรบ้าง”
“...”
“ฮึก ตะวัน...”
“...”
“ตะวัน...”
หนึ่งเรียกผมซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ผมก็ยังคงเงียบอยู่เหมือนเดิม...ใครมันจะไปทำใจได้ ผมทำไม่ได้หรอกที่จะทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วพูดกับคนอื่นหน้าตาเฉยๆ มันเจ็บทุกครั้งที่คิดถึงร่างเล็กที่ผมจะไม่มีทางได้เห็นอีกแล้ว
“คุณพ่อก็เป็นอีกคน ฮึก ตะวันอย่าเป็นแบบคุณพ่อเลยนะ ฮือ ฮือ”
ร่างบางยังคงร้องไห้ไม่หยุด ผมรู้ว่าหนึ่งกำลังขวัญเสียและอ่อนแอ แต่ผมก็ยังไม่สามารถที่ปริปากพูดออกมาได้จริงๆ
“ฉันอยากเจอคุณลุง”
ผมพูดโดยที่ไม่ได้หันไปมองหน้าหนึ่ง ผมอยากเจอพ่อของเรย์...หลังจากตื่นขึ้นมาผมก็ยังไม่ได้ไปเยี่ยมเลย เห็นหนึ่งว่าตอนนี้ท่านก็กำลังช็อกเหมือนกันกับผม ไม่กิน ไม่พูดอะไรกับใครเลยด้วยซ้ำ
 
แอ๊ดด
บานประตูที่ถูกเปิดออกพร้อมกับผมที่นั่งอยู่ในรถเข็นถูกเข็นเข้าไปในห้องที่มีชายวัยกลางคนกำลังเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง ดวงตาที่ไร้จุดหมาย ร่างกายที่ซูบผอมลงไปถนัดตา หนึ่งกับไคยังรอผมอยู่ด้านนอกเพราะผมขอร้องเอาไว้ว่าอยากคุยกันแค่สองคน ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น แต่ผมรู้แค่ว่าความรู้สึกของผมกับลุงพจน์อาจจะเหมือนกันก็ได้
ความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถปกป้องคนสำคัญเอาไว้ได้
“คุณลุง”
ร่างสูงเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงทุ้ม คุณลุงหันมามองผม ดวงตาทั้งสองข้างนิ่งเรียบ
“เป็นยังไงบ้างครับ”
ผมถามอย่างเป็นห่วง คุณลุงทำเพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ ตอบผม ท่านคงช็อกมาก คงไม่คิดมาก่อนว่าเรย์จะด่วนจากไปเร็วขนาดนี้
“...ฉันเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่องเลยนะ ว่าไหม” คุณลุงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ตอนที่เรย์เกิดฉันไม่ได้มาอยู่ข้างๆ เขา ตอนที่เรย์เป็นเด็กก็ด้วยเหมือนกัน...ฉันไม่เคยที่จะ...อยู่เคียงข้างเขาเลย เพราะความโกรธและเกลียดแท้ๆ ที่ตัวเองถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก ฉันเลยเลือกที่จะเมินเฉยต่อเขา...”
คุณลุงยังคงก้มหน้าพูด บอกเล่าเรื่องต่างๆ ให้ผมฟังโดยที่ผมไม่พูดอะไรออกไปเลย น้ำเสียงนิ่งๆ เรียบๆ แต่คนฟังมันกลับดูหดหู่ไม่น้อย ความผิดบาปในสิ่งที่ตัวเองเป็นคนก่อมันทำให้พวกเราทุกคนรู้สึกผิด...ผมฟังคุณลุงพูดอยู่นาน บรรยากาศที่สดใสเพราะแสงแดดค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีส้มพร้อมกับน้ำตาของคุณลุงที่ค่อยๆ ไหลออกมาช้าๆ
“ลุงช่าง...เป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ”
ผมกำมือแน่น...เจ็บปวดไปกับน้ำตาของลูกผู้ชาย กว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองได้ทำผิดมหันต์มันก็สายเกินไป เวลาไม่อาจย้อนกลับมาก็จริง แต่ผม...ผมเชื่อว่า...
“เรย์ยังต้องมีชีวิตอยู่ครับ”
ผมไม่มีทางเชื่อแบบที่ใครๆ พูดเด็ดขาดว่าเรย์ได้หายไปจากโลกใบนี้แล้ว ตามข่าวที่บอกและที่ได้ยินมา หลังจากที่รถระเบิดก็ไม่มีข่าวว่าเห็นศพของเรย์หรือหลักฐานแม้กระทั่งภาพยืนยันว่าเป็นศพของเรย์ ถึงจะบอกว่าศพถูกสามีคนใหม่ของแม่เรย์พาไปที่อเมริกาแล้วก็เถอะ แต่ผมก็ไม่เชื่ออยู่ดี
“...เธอ”
“ผมไม่เชื่อครับ...”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น”
“...เพราะเรย์” ผมเว้นคำ “ไม่ใช่คนอ่อนแอ”
ดวงตาทั้งสองข้างสบกับนัยน์ตาสีนิลกาลโดยตรง เรย์ไม่ใช่คนอ่อนแอที่จะมายอมแพ้ง่ายๆ กับเรื่องแค่นี้
“แล้วเธอจะทำยังไง”
“ผมจะกลับอเมริกา!”
 

ทางเดียวที่จะพิสูจน์ทุกอย่างได้คือผมต้องกลับไปยังที่ๆ เรย์อยู่ ในเมื่อเรย์อยู่ที่นั่นผมก็จะพิสูจน์ให้เห็นกับตา
 
 

ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน31-35 28/08/16
«ตอบ #196 เมื่อ28-08-2016 23:01:09 »



 

 

 
ตอนที่ 32

“ตะวัน...จะไปจริงๆ เหรอ อย่าเพิ่งไปเลยนะ”
ร่างเล็กห้ามผมเอาไว้ทันทีเมื่อเห็นว่าผมกำลังเก็บเสื้อผ้าเพื่อกลับอเมริกา ดวงตาทั้งสองข้างต่างก็เต็มไปด้วยความเศร้าหมอง ผมลูบหัวเบาๆ พลางยิ้มให้ ความจริงผมเองก็ยังไม่หายดีหรอก บาดแผลทางกายยังคงต้องรักษา แต่ว่าบาดแผลทางใจมันหนักยิ่งกว่า
“ฮึก อย่าไปเลยนะ”
“ไม่ได้หรอกหนึ่ง”
“ทะ ทำไมละ ตะวันไม่สงสารฉันเหรอ”
ผมละมือออกจากผมสีดำขลับ
“ขอโทษนะ”
แต่สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงแค่เท่านี้
“ฮึกตะวัน! ฮือ ฮือ”
ร่างบางโผเข้ากอดผมอย่างเต็มแรง เสียงสะอื้นเบาๆ ของเจ้าตัวทำให้ผมเลือกที่จะอยู่เฉยๆ ไม่มีการโอบตอบหรือปลอบใจ เพราะถ้าทำแบบนั้นมันจะทำให้หนึ่งคิดไปไกลมากกว่านี้
“อย่าไปเลยนะ ตะวันยังเจ็บอยู่...เรย์เขาตายแล้ว ยอมรับความจริงเถอะนะ”
“...”
“ตะวัน ฮึก”
“ปล่อยเถอะหนึ่ง”
ผมรั้งแขนบางออก แต่หนึ่งก็ยังคงกอดผมไว้แน่นเหมือนเดิม
“ฮึก ฉัน...ฉันรักนายนะตะวัน”
ความในใจถูกส่งมายังผมพร้อมด้วยใบหน้านองน้ำตา ดวงตาหม่นทั้งสองข้างมองผมด้วยความเว้าวอน ผมยิ้มให้กับร่างเล็กบางๆ
“ขอบคุณ”
“ตะวัน...” หนึ่งเผยยิ้มเบาๆ
“แต่สักวันนายจะต้องเจอคนที่รักนายและนายก็รักเขามากกว่าฉันแน่ๆ”
แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นร่างเล็กก็หุบยิ้มทันที ทั้งหมดมันเป็นความรู้สึกของผมที่มีต่อหนึ่ง...ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีหนึ่งก็ยังคงเป็นเพื่อนของผมเสมอ เขาเป็นเพื่อนที่ดีและน่ารัก แต่ผมก็ไม่อาจที่จะมอบความรู้สึกแบบอื่นเพื่อตอบแทนเขาได้ หนึ่งมีคนที่รักเขามากมายพออยู่แล้ว
แต่เรย์ไม่มี...
ไม่มีใครอยู่เคียงข้างเขามาตั้งแต่ต้น สิ่งที่อยู่เป็นเพื่อนมีเพียงแค่คราบน้ำตาและความเหงา...เป็นแค่เพียงคนอ่อนแอที่ทำเป็นเข้มแข็ง เพราะฉะนั้น...ผมจึงเลือกที่จะรักเรย์ เพื่ออยู่เคียงข้างพร้อมเดินไปด้วยกัน
รักที่เรย์เป็นเรย์
เป็นนางร้ายของทุกคน
“รักเรย์มากเลยเหรอ” หนึ่งถามเสียงสั่น
“อืม”
ผมยิ้มตอบ...ถึงจะเป็นคำตอบเพียงสั้นๆ แต่มันเป็นความรู้สึกทั้งหมดของผมที่มีต่อเรย์
“เข้าใจแล้ว” หนึ่งยิ้ม “ขอให้โชคดีนะตะวัน”
แต่มันช่างเป็นรอยยิ้มที่แสนเศร้า คงพยายามยิ้มเพื่อผม...ทั้งหนึ่งกับเรย์ก็เป็นเหมือนเหรียญสองด้าน ด้านหนึ่งคือหนึ่งที่เป็นคนอ่อนแอ ส่วนอีกด้านก็เป็นเรย์ที่เป็นคนเข้มแข็ง พวกเขาไม่เหมือนกันถึงได้ดึงดูดซึ่งกันและกันโดยที่ไม่รู้ตัว แต่ลึกๆ แล้วผมว่าพวกเขาอาจจะเหมือนกันมากก็ได้
ความเหมือน...ที่แตกต่าง
 
หลังจากนั้นผมก็ให้ไคมาส่งที่สนามบิน อีกไม่นานเครื่องก็จะออกแล้ว...ผมกับไคเป็นเพื่อนกันมานาน อยู่ด้วยกันมาก็ตั้งหลายปีพอต้องจากกันแบบนี้มันก็ทำให้อดที่จะรู้สึกโหวงๆ ไม่ได้เหมือนกัน
“โชคดีนะ”
“อืม นายเองก็เหมือนกัน”
“ไปถึงโน่นแล้วก็อย่าลืมโทรมาละ”
“เออ รู้แล้วน่า”
“...โชคดีนะ”
เสียงเล็กเอ่ยยิ้มให้กับผม
“นายเองก็เหมือนกัน”
ผมจับไปที่เรือนผมสีดำเบาๆ ก่อนที่จะละตัวออกมาแล้วเดินหันหลังไปยังบานประตูที่ถูกเปิดไว้อยู่ ถ้ากลับไปพ่อกับแม่คงจะต้องตกใจมากแน่ๆ แล้วผมก็คงจะโดนต่อว่า...ยังไม่หายดีแท้ๆ แต่กลับฝืนร่างกายเดินทางตั้งหลายชั่วโมง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็จะทำ
รอฉันก่อนนะเรย์
 
“ฮึก...”
ลับหลังร่างสูงที่เดินจากไปแล้ว ใบหน้าหวานก็คลอไปด้วยน้ำตา มือเล็กๆ ถูกยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาของตัวเองที่ไหล ทั้งเสียใจและเศร้าใจ ความรักที่มีให้คนร่างสูงมานานกลับต้องมาพังทลายลงเพียงแค่ไม่กี่นาที หนึ่งที่ฝืนยิ้มมาตลอดตอนนี้กลับทนไม่ไหวซะแล้ว มันทำใจลำบากที่จะต้องสูญเสียคนที่รักไปแต่หนึ่งก็รั้งตะวันไว้ไม่ได้ เขาร่างเล็กรู้ตัวดีว่าตะวันไม่มีทางหันมามองตัวเองเด็ดขาด
เพราะหัวใจของเขามีแค่เรย์คนเดียว
“กลับกันเถอะ”
“อื้อ”
หนึ่งพยักหน้าเบาๆ ตอบ
มือหนาของไคกุมมือร่างเล็กไว้แน่น ความรู้สึกอุ่นถูกส่งผ่านมือคู่นี้เหมือนกับว่าไคกำลังต้องการที่จะให้กำลังใจดวงน้อยที่ยังบอบช้ำ
ส่วนลึกของจิตใจแล้ว หนึ่งอิจฉาเรย์...
อิจฉาเหลือเกิน...
เขาไม่เหมือนตัวเองสักอย่าง ทั้งเข้มแข็ง แข็งแกร่งและอ่อนโยน...ก็สมควรแล้วที่ตะวันจะรัก เพราะเป็นแบบนี้ไงหนึ่งถึงได้ยอมแพ้ง่ายๆ แล้วขอแค่บอกความรู้สึกของตัวเองออกไปก็พอ
ฉันรักนายนะ...ตะวัน
 
“กลับมาแล้วเหรอพ่อตัวดี”
คำทักทายของพ่อเกิดขึ้นทันทีที่ผมเดินทางมาถึงบ้านของตัวเอง แต่กว่าจะมาถึงได้เล่นทำเอาผมแทบไข้ขึ้นอีกรอบเพราะการอักเสบของแผล โชคดีหน่อยที่พ่อให้คนไปรับที่สนามบิน ไม่อย่างนั้นผมคงถูกหามเข้าส่งโรงพยาบาลก่อนที่จะเข้าบ้านแน่ๆ
“กลับมาแล้วเหรอตะวัน”
“กลับมาแล้วครับคุณแม่”
เสียงใสๆ ของคุณแม่กล่าวต้อนรับพร้อมกับร่างอ้อนแอ้นเข้ามาโอบกอดด้วยความคิดถึง ผมเองก็คิดถึงแม่มากเช่นเดียวกัน ไม่เจอกันตั้งนานดูคุณแม่ยังเหมือนเดิมเลย ไม่สิ...สวยขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่าเนี่ย
“แม่ขอโทษนะที่ไม่ได้ไปหาที่ไทย เห็นไคบอกว่าบาดเจ็บ เป็นอะไรมากหรือเปล่า” คุณแม่พูดแล้วสำรวจร่างกายของผมไปด้วย
“อย่าไปโอ๋มันมากสิคุณ”
“อุ๊ย คุณคะ”
ร่างของแม่ถูกดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นสามีซึ่งก็คือคุณพ่อของผมนั่นแหละ คุณพ่อรักคุณแม่มากขนาดผมที่เป็นลูกยังหวงมากเลย
“ลูกของเรามันแกร่งจะตาย แค่นี้ไม่ตายหรอกน่า”
“คุณอาทิตย์ก็…นี่แนะ”
“โอ๊ย! ผมเจ็บนะคุณมิเชล”
“สมน้ำหน้า”
คุณแม่หยิกไปที่ลำแขนของคุณพ่อ มันสร้างเสียงหัวเราะได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงคุณพ่อจะพูดจาขวานผ่าซากแบบนั้น แต่สำหรับคุณแม่และผมต่างก็รู้ดีเลยว่าแท้จริงแล้วคุณพ่อก็เป็นห่วงผมไม่น้อยเหมือนกัน เพียงแต่ว่าท่านเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นนักธุรกิจที่ต้องปกครองผู้คนหลายพันคนจำเป็นที่จะต้องรักษามาดเอาไว้ แต่ก็แค่ต่อหน้าคนทั่วไปแค่นั้นแหละ พออยู่ต่อหน้าคุณแม่จริงๆ คุณพ่อกลายเป็นแมวเชื่องๆ ได้เลยละ
“ไหนตะวัน...เล่าให้แม่ฟังหน่อยสิว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้รับบาดเจ็บแบบนี้” คุณแม่พาผมไปนั่งตรงโซฟา...
หลังจากนั้นผมก็เล่าเรื่องต่างๆ ให้กับคุณพ่อและคุณแม่ได้ฟังอีกครั้ง ถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศไทย...เรื่องของเรย์
ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ก็ฟังผมแบบไม่ถามสักคำ เหมือนกับที่ผมเอาแต่นั่งฟังพ่อของหนึ่ง...สีหน้าและแววตาของท่านทั้งคู่เต็มไปด้วยความกังวลและเศร้าใจ ความสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้
“แล้วตะวันมั่นใจได้ยังไงว่าเด็กคนนั้นยังไม่ตาย”
“นั่นสิ เด็กคนนั้นอาจจะตายไปแล้วก็ได้”
ทั้งคุณแม่และคุณพ่อต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน ผมก้มหน้าประสานมือตัวเองเอาไว้แน่น
“...ผมไม่รู้”
ใช่! ผมไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องของเรย์สักอย่าง
“ตะวัน...”
“แต่ผมเชื่อ...ผมเชื่อว่าเรย์ยังไม่ตายแล้วผมจะตามหาเรย์ให้พบ”
ผมเงยหน้าขึ้นมองท่านทั้งสอง
“ถ้าพบแล้วจะทำยังไง” คุณพ่อถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ดวงตาคมที่เหมือนกับผมจ้องมองมาอย่างไม่ละสายตา
“ผมจะอยู่เคียงข้างเรย์”
ผมตอบด้วยแววตามุ่งมั่นแล้วผมก็เชื่อในสัญชาติญาณของตัวเอง ถึงจะต้องใช้เวลาหาตลอดชีวิตผมก็จะต้องตามหาเรย์ให้เจอ
“หึ เข้าใจแล้ว”
คุณพ่อลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“เชื่อมือฉันที่เป็นพ่อแกเถอะ”
!!!
 
หลังจากนั้นทั้งผมและคุณพ่อก็ช่วยกันสืบค้นหาที่อยู่ของเรย์ ในเมื่อคุณพ่อเป็นคนพูดเองแบบนี้ผมคิดว่าไม่นานนักก็คงจะเจอตัวแน่ๆ อเมริกามันกว้างใหญ่มากก็จริง แต่ถ้ามีนักสืบฝีมือดีๆ ก็คงไม่นานที่ผมจะเจอตัว ป่านนี้เรย์จะเป็นยังไงบ้างนะ ดูแลตัวเองบ้างหรือเปล่า หรือว่ากำลังร้องไห้อยู่
รู้ไหมว่าฉันคิดถึงนายเหลือเกิน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ตะวัน ขอแม่เข้าไปหน่อยได้ไหม”
เสียงคุณแม่เคาะเรียกจากด้านนอก
“ครับ”
ผมลุกขึ้นไปเปิดประตู
คุณแม่เดินเข้ามาข้างในด้วยรอยยิ้มหวาน มันเป็นรอยยิ้มที่ผมชอบ ดูใจดีและมีเมตตา ดังนั้นผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณพ่อถึงได้หวงแหนคุณแม่นัก
“ยังเจ็บแผลอยู่ไหมตะวัน”
“ไม่ครับ”
“ไม่ต้องห่วงนะตะวัน เด็กคนนั้น...คุณพ่อจะต้องตามเขาเจอแน่ๆ”
“...ครับ”
ผมโผเข้ากอดร่างอ้อนแอ้นของคุณแม่อย่างเต็มรัก อาจจะมองว่าผมเป็นเหมือนลูกแหง่ แต่สำหรับผมกลับคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าอายสักนิด
ชื่อของผมที่คุณแม่ตั้ง ส่วนหนึ่งจะได้เข้ากับคุณพ่อที่ชื่ออาทิตย์ก็จริง แต่คุณแม่บอกผมว่าชื่อนี้มันมีความหมายลึกซึ้งมากกว่านั้น คุณแม่อยากให้ผมเติบโตเป็นเด็กที่แข็งแรงและอบอุ่นเหมือนดวงตะวัน แต่ผมในตอนนี้กลับคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับชื่อนี้สักนิด เพราะกว่าดวงตะวันจะส่องแสงไปถึง คนที่ผมรักสุดหัวใจก็หายไปจากสายตาซะแล้ว
“คุณแม่...เรย์จะยกโทษให้ผมไหม”
“ตะวัน...”
“ผมเคยทำผิดต่อเรย์ เขาจะยังยกโทษให้ผมไหม”
ผมละตัวออกมาถาม สบตานิ่ง...ถึงจะบอกว่าต่อให้ได้อยู่ในฐานะอะไรผมก็ยอม แต่อีกใจนึงผมก็กลัว...กลัวว่าผมจะไม่ได้เจอเรย์อีกแล้ว กลัวว่าเรย์จะไม่ยกโทษให้
“ตะวัน...ฟังแม่นะ” คุณแม่ยิ้ม “คนเราทุกคนย่อมเคยทำผิดพลาด ไม่มีใครดีร้อยเปอร์เซ็นต์กันทุกคนหรอกนะ ทุกคนย่อมเคยทำผิด...คนทำผิดแล้วรู้สำนึกไม่มีใครไม่ให้อภัยหรอกนะ”
คำปลอบโยนที่คุณแม่เอื้อนเอ่ยอีกครั้ง มันทำให้ใจของผมที่สั่นระรัวสงบนิ่ง ภายในใจก็ได้แต่ขอภาวนาขอให้ผมได้เจอกับเรย์เร็วๆ
แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่ผมคิดมันจะผิด
 
ฟิ้วว...
สายลมที่พัดผ่านร่างเบาๆ ผมมองไปยังเบื้องหน้าด้วยหัวใจปวดร้าว หลังจากที่ผมให้พ่อช่วยตามหาคนที่ผมรัก แน่นอน...ว่าผมเจอ แต่สิ่งที่ผมเห็นอยากให้มันเป็นเพียงแค่ฝันร้ายเท่านั้น ป้ายหลุมศพตรงหน้าเป็นชื่อของเรย์อย่างชัดเจน รวมทั้งรูปถ่ายด้วยเหมือนกัน มันบ่งบอกได้ดีเลยทีเดียวว่าสิ่งที่ผมเชื่อมาตลอดมันเป็นความคิดที่ผิด
เรย์ตายแล้ว
“เรย์...”
ผมเอื้อมมือไปจับป้ายหลุมศพตรงหน้าอย่างเบามือ น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ก็ค่อยๆ ไหลลงมาจากดวงตาทั้งสองข้างอย่างช้า
ความเจ็บปวด
ความเศร้า
 

มันทำให้ผมอยากกรีดร้องออกมา แต่ผมก็ทำได้แค่ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาเงียบๆ ไม่ใช่ว่าผมไม่เจ็บ...แต่มันเจ็บจนร้องไห้ไม่ออกต่างหากเข้าทั้งสองข้างทรุดลงกับพื้นด้วยความอ่อนแรง มันคงจบแล้วจริงๆ สินะ...ต่อไปนี้จะไม่มีเรย์อีกแล้ว
 

ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0

ตอนที่ 33

ผมอยู่ที่ป้ายหลุมศพของเรย์ จ้องมองป้ายหลุมศพตรงหน้าเป็นเวลานานพอสมควร ถึงทุกอย่างที่เห็นมันจะบอกว่าเป็นความจริงทุกประการ แต่ส่วนหนึ่งของจิตใจผมก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี หรือว่าทั้งหมดเป็นเพราะผมกำลังหลอกตัวเองกันแน่
ตั้งแต่ผมเจอเรย์ครั้งแรกมันก็เกือบ 4 ปีแล้วสินะ
ร่างเล็กยืนกอดอกตัวเองไว้แน่น ดวงตาทั้งสองข้างจ้องเขม็งมาทางผม เป็นสายตาที่ไม่ยอมลงให้กับใครและไม่เป็นมิตรกับใครแม้กระทั่งผมที่เพิ่งเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก แต่เป็นเพราะอะไร? ผมรู้สึกหลงใหลกับดวงตาคู่นั้น มันเหมือนมีมนต์สะกดที่ทำให้ผมไม่สามารถละสายตาไปจากเด็กผู้ชายที่ตัวเล็กกว่าผมได้เลย มันดึงดูดโดยที่ผมไม่รู้ตัว
‘มองอะไร!’
น้ำเสียงแข็งกร้าวเอ่ยพูดประโยคแรกออกมา ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อ มันยิ่งทำให้ผมจับจ้องจนแทบลืมหายใจไปชั่วขณะ ในตอนนั้นผมกำลังคิดว่าเด็กคนนี้เป็นผู้ชายอย่างนั้นเหรอ
ถ้าหนึ่งเปรียบเหมือนเจ้าหญิงที่แสนบริสุทธิ์
เรย์ก็เปรียบเสมือนเจ้าหญิงที่น่าหลงใหลด้วยเช่นกัน
ทั้งสีหน้า แววตา ท่าทางดื้อรั้นแบบนั้น มันช่างสะกดใจของผมซะจริง
‘ฉันถามว่ามองอะไร!’ เด็กคนนั้นถามอีกครั้ง
‘เอ่อ...’
‘เข้ามาได้ยังไง!หรือว่าเป็นขโมย!’
‘เปล่า เรามาหาหนึ่ง’
ผมตอบออกไปตามความจริง ผมกับหนึ่งเป็นเพื่อนบ้านกัน แล้วผมก็มาหาหนึ่งที่บ้าน
‘เป็นเพื่อนกับมันเหรอ?’ ร่างเล็กขมวดคิ้วถาม
“อื้อ ใช่”
‘...เหรอ’
วูบหนึ่งผมเห็นดวงตาที่หยิ่งยโสแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าสลด แต่ก็เพียงแค่แปปเดียวเท่านั้นมันก็กลับมาเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
‘ตะวัน’
แต่ยังไม่ทันที่เราสองคนจะพูดอะไรต่อน้ำเสียงเล็กก็เอ่ยเรียกผมจากทางด้านหลัง ใบหน้าหวานของเพื่อนอีกคนกำลังมองมาทางที่ผมกับเด็กอีกคนยืนอยู่ด้วยกัน
‘หนึ่ง’
‘มาทำอะไรตรงนี้’
‘มาเดินเล่นนะ แล้วพอดี...’
ผมหันไปอีกทางตรงที่มีเด็กคนนั้นยืนอยู่ แต่ว่าพอผมหันไปแล้วกลับไม่เจอใครนอกจากต้นไม้ที่เขียวชอุ่มและความว่างเปล่าของอากาศ
หลังจากนั้นผมก็รู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกคนละแม่กับหนึ่ง แล้วเด็กคนนั้นก็ชื่อ ‘เรย์’ พ่อกับแม่ของเรย์ได้แยกทางกันแล้วเรย์ก็มาอยู่กับพ่อ... ผมที่ยังเป็นเด็กไม่เข้าใจความรู้สึกของคนอื่นเท่าไหร่ ไม่เข้าใจเลยว่าเรย์กำลังรู้สึกยังไงเมื่อคิดว่าตัวเองกำลังเป็นส่วนเกินของครอบครัว เลยทำให้เรย์มักจะทำตัวร้ายๆ และแกล้งหนึ่งเป็นประจำ มันเลยทำให้ผมมองข้ามแววตาที่เศร้าสร้อยนั้นไปอย่างไม่รู้ตัว
บางทีอาจจะเป็นครั้งแรกเลยก็ได้ที่ผมเริ่มหลงรักเด็กผู้ชายร่างเล็กคนนั้น แต่อาจเป็นเพราะผมกำลังหนีใจตัวเองด้วยเช่นกันเลยทำให้เรื่องทุกอย่างเป็นแบบนี้ กลายเป็นผมที่ผิดตั้งแต่ครั้งแรก ถ้าเกิดว่าผมอยู่เคียงข้างเรย์ให้นานกว่านี้ ถ้าเกิดว่าผมอยู่ข้างๆ เขา
เรย์ก็อาจจะไม่ตาย
 
“ขอโทษ”
ผมพูดซ้ำๆ ซ้ำไปซ้ำมาเพื่อหวังให้คนที่กำลังนอนหลับได้ยิน ผมเจ็บปวด ผมทรมานกับการสูญเสีย ได้โปรดเถอะ...ขอให้ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความฝัน
คืนเรย์มาให้ผมเถอะ
 
แกร็ก
เสียงที่ดังมาจากทางด้านหลังทำให้ผมหันกลับไปมอง ดวงตาทั้งสองข้างของผมเบิกกว้างด้วยความตกใจและงุนงง ใบหน้าที่คุ้นเคยมองตรงมายังผมก่อนที่จะรีบหันหลังเดินจากไป ผมจำได้! ผมจำได้ดีเยว่าใคร! ร่างกายของผมมันวิ่งไปเองอัตโนมัติ วิ่งเพื่อไปหาคนที่คิดถึง
“เรย์!”
“หยุดนะ!”
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเข้าไปถึงตัวผมก็ถูกชายชุดดำสองสามคนมาชาร์จตัวเอาไว้จนร่างกายทรุดลงไปกับพื้นแข็งๆ ที่มีแต่หญ้าและดิน
“เรย์! อย่าเพิ่งไป! เรย์!”
ผมร้องเรียกอีกครั้งแล้วพยายามดิ้นให้หลุดจากร่างแกร่งที่คิดว่าจะเป็นบอดี้การ์ดของเรย์ พวกเขาแรงเยอะมาก แต่ผมไม่ยอมหรอก!
“ปล่อย!”
ผมอาศัยแรงเฮือกสุดท้ายละตัวออกจากชายชุดดำสำเร็จแล้ววิ่งตรงไปหาร่างเล็กที่กำลังเดินไปที่รถอีกครั้ง บาดแผลที่ถูกยิงก็เริ่มเจ็บเล็กน้อยเพราะขยับมากเกินไป แต่ด้วยความไวของผู้ที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดีทำให้ตัวผมถูกจับอีกครั้ง พวกเขากดตัวผมกับพื้นด้วยความรุนแรงจนทำให้บาดแผลกระแทกโดนพื้นเต็มก่อนที่จะจัดการซ้อมผม
ผัวะ!ผัวะ! ตุบ!
“บอกมาแกเป็นใคร!”
“คิดจะมาทำร้ายคุณหนูใช่ไหม!”
น้ำเสียงเข้มเอ่ยถามไปพลางกระทืบผมไปพลาง ด้วยความที่มีจำนวนมากกว่าและผมก็ยังได้รับบาดเจ็บอยู่ทำให้ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ แต่ผมก็ยังตะเกียดตะกายไปหาร่างเล็กที่กำลังเหลือบสายตาหันมามองผมเล็กน้อย
“กลับ” ร่างเล็กออกคำสั่งกับคนที่กำลังซ้อมผมอยู่
“แต่!”
หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นทำท่าเหมือนจะแย้ง แต่พอเห็นสายตาของเรย์เขาก็หยุด แต่ก็ยังคงจับตัวผมเอาไว้อยู่ จากนั้นเรย์ก็เดินไปตรงรถที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก
“ออกรถ”
“ครับ”
เสียงเล็กๆ เอ่ยสั่งกับคนรถที่ยืนรอ เพียงไม่นานเรย์ก็หายเข้าไปกับรถคันนั้นแล้วมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ร่างของผมถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ พวกเขาปล่อยผมแล้วก็รีบวิ่งไปขึ้นรถอีกคันที่จอดอยู่เหมือนกัน ผมรีบพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นด้วยความทุลัดทุเลแล้ววิ่งตามรถคันที่แล่นออกไป
“เรย์!...เรย์!”
ผมร้องเรียกคนตัวเล็กที่อยู่ภายในรถ ถึงจะรู้ว่ายังไงซะเขาก็คงไม่ได้ยินเสียงของผมแน่ๆ แต่ผมก็จะวิ่งตามให้สุดกำลัง ผมได้เจอเรย์แล้วจะไม่ยอมปล่อยเขาไปเด็ดขาด! แล้วก็คงเป็นเพราะผมวิ่งมากไปเลยทำให้บาดแผลที่โดนยิงอักเสบมากขึ้นไปอีก ปากแผลก็เริ่มปริเล็กน้อยจนมีเลือดซึมออกมา ผมจับไปที่แผลตัวเองไว้แน่นแล้วก็พยายามวิ่งต่อไป
วิ่ง..
วิ่ง...
แล้วก็วิ่ง...
เสียงของผมตะโกนกู่ร้องเรียกชื่อซ้ำไปซ้ำมา คงเพราะมัวแต่วิ่งมากไปเลยทำให้ผมล้มหลายรอบ เนื้อตัวก็เริ่มถลอกปอกเปิกไปหมด เสื้อผ้าที่ใส่มาคราวแรกก็เต็มไปด้วยฝุ่น ความเหนื่อยล้าจากการวิ่งทำให้ขาของผมเริ่มอ่อนแรงจนแทบทนไม่ไหว ในที่สุดผมก็ร่วงหล่นไปกับพื้นพร้อมกับเลือดที่ไหลซึมมากกว่าเดิม
ตุบ!
“เรย์...แฮ่กแฮ่ก”
ผมหอบหายใจเข้าออกระรัวด้วยความเหนื่อยอ่อน ขาทั้งสองข้างของผมก็แทบไม่มีแรงแล้ว คงเป็นเพราะผมเสียเลือดไปมากและอาการบาดเจ็บที่แผลเลยทำให้ผมเกิดอาการหน้ามืดจนทำให้ผมที่กำลังพยุงตัวเองลุกขึ้นล้มไปอีกรอบ
แต่ในระหว่างที่ผมกำลังจะลุกขึ้นอีกครั้งผมก็เห็นเงาของใครอีกคนทาบทับลง ผมเงยมองไปที่ด้านบนที่ตอนนี้กำลังทำหน้าเศร้ามองผม ราวกับว่าเขากำลังจะร้องไห้... ผมไม่ชอบเลย ไม่ชอบเห็นน้ำตาของคนที่ผมรักสักนิด
“เรย์”
ผมเอ่ยเรียกชื่อเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอีกครั้ง
“นายยังไม่ตาย นายจริงๆ ด้วยเรย์!”
ผมโผเข้ากอดร่างเล็กๆ เต็มแรงด้วยความคิดถึง ผิวเนื้อที่สัมผัสทำให้ผมรู้เลยว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป เรย์ยังคงมีชีวิตอยู่แล้วเขาก็ยืนอยู่ตรงหน้าผมแล้ว
“กลับไปซะ แล้วอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก”
ร่างเล็กเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ผมละตัวออกมาแล้วมองใบหน้าที่ตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นความเฉยชา
“เรย์...”
“เรย์ได้ตายไปแล้ว นายกลับไปซะเถอะแล้วอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ต่อไปนี้เราสองคนจะไม่รู้จักกัน”
“ไม่!”
ผมกอดเจ้าตัวแน่นกว่าเดิม ถ้าต้องปล่อยให้เรย์จากผมไปอีกครั้งผมคงยอมไม่ได้...หัวใจของผมมันเต้นกระหน่ำด้วยความกลัวและกังวล ถึงจะยังไม่เข้าใจก็เถอะว่าทำไมเรย์ถึงได้โกหกทุกคน โกหกว่าตายไปแล้วแต่เรื่องนั้นผมไม่สนใจ เพราะสิ่งที่ผมสนใจมากที่สุดคือเรย์คนที่ผมกำลังโอบกอดอยู่แค่นั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ ผมไม่สนใจสักนิด
“ฉันรักนายนะเรย์...รัก...ฉันรักเธอ”
ผมบอกความรู้สึกตัวเองออกไป
“ปล่อยฉันนะ!”
เรย์เองก็พยายามผลักร่างของผมให้ออกห่าง มือเล็กๆ ของเขาดันไปตรงช่องท้องแต่ก็ไม่ออกแรงมาก
“กลับมาเถอะนะเรย์ กลับมาหาฉัน ฮึก อย่าจากฉันไปอีกเลยนะ ฮึก”
ผมพยายามสกัดกลั้นน้ำตาของตัวเองไม่ให้ไหลออกมา เสียงสะอื้นไห้เบาๆ มันทำให้เรย์หยุดมือที่จะผลักตัวผมออก ความรู้สึกของผมมันช่างตีกันมั่วซั่วไปหมด ทั้งหวั่นใจ กลัว และดีใจ มันสับสนปนเปกันจนไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป
“ฉันรักนาย อย่าจากฉันไปอีกเลยนะ”
“...”
“ฉันรักนายนะเรย์”
ผมบอกกับเขาซ้ำๆ หวังว่าจะทำให้คนร่างเล็กรับรู้ถึงความรู้สึกของผม
“...ทำไม นายถึงรักฉัน”
เรย์เอ่ยเบาๆ แต่ผมกลับได้ยินชัดเจน ผมละตัวออกร่างเล็กแล้วสบไปที่ดวงตาที่นิ่งเรียบแต่กลับสั่นเครือ
“เรย์”
“ฉันมีอะไรดี...ฉันเป็นนางร้าย ฉันเป็นคนไม่ดี นายจะยังรักฉันอีกเหรอ”
“รักสิ...ฉันรักนาย รักที่นายเป็นนาย รักในตัวของนาย...ถึงนายจะร้ายแต่ฉันก็จะรัก”
เรย์ช้อนตามองผม
“ฉันรักนาย นางร้ายของฉัน”
ผมกอดเรย์ไว้แน่น ต่อให้ไม่ว่าจะยังไงผมก็จะไม่ยอมสูญเสียเรย์ไปอีกเด็ดขาด! ผมรักของผม...ผมรักนางร้ายคนนี้ของผม
ผมรักเรย์มากจริงๆ
 
“เจ็บหรือเปล่า”
หลังจากนั้นเรย์ก็พาผมไปทำแผล มือบางจับไปที่แผลที่โดนยิงเบาๆ มันสั่นจนผมรู้สึกได้ รอบผ้าพันแผลมีเลือดไหลซึมออกมาเยอะพอสมควร อีกทั้งรอยเปื้อนฝุ่นตอนที่ผมล้มลงไปอีกด้วยเลยทำให้มันดูไม่น่าพิศมัยสักเท่าไหร่
“เจ็บ...แต่มันไม่เท่ากับเจ็บที่ตรงนี้”
ผมจับมือบางไปทาบที่หัวใจของตัวเอง มันกำลังเต้นตึกตักด้วยความตื้นตันใจที่เรย์ยังมีชีวิตอยู่
“บ้า”
ร่างเล็กทำหน้าเขินอายหลบสายตาผม
“ฉันพูดจริงๆ นะเรย์...ตรงนี้มันเจ็บจริงๆ มันเจ็บตรงที่ตัวเองตื่นขึ้นมาก็พบกับข่าวร้าย มันเจ็บที่ตัวเองไม่สามารถปกป้องนายได้ มันเจ็บตรงที่เมื่อรู้ว่าจะไม่ได้เจอนายอีกต่อไป”
ผมกำมือบางเอาไว้แน่นเพื่อให้เขารู้ว่าผมกำลังเจ็บจริงๆ เรย์ค่อยๆ หันมามองสบตากับผมพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ ร่างเล็กกำลังทำหน้าแดงแล้วก็ก้มหน้าทำแผลให้ผมต่อ ความเย็นของน้ำที่ประคบเพื่อเช็ดทำความสะอาดมันสัมผัสกับผิวของผมเบาๆ ดูเรย์จะกลัวที่จะทำให้ผมเจ็บมากเขาถึงพยายามที่จะเบามือ จนไม่นานนักน้ำในกาละมังก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงจางๆ เรย์ทายาให้กับผมแล้วก็พันแผลให้ใหม่ ผมเองก็นั่งนิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อน มองดูทุกการกระทำของเขาด้วยความสุข
“เรย์”
ผมเรียกชื่อเขาในขณะที่เรย์กำลังพันผ้าพันแผลให้ผมอยู่
“อะไร”
เรย์เองก็ขานรับแต่ก็ยังไม่มองหน้าผม
“ให้โอกาสชั้นนะ...ให้โอกาสชั้นได้ดูแลนาย ได้ไหม”
บางทีผมคิดว่า ความรักของผมกำลังที่จะเริ่มต้นขึ้น...
 
 

ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0


 
ตอนที่ 34

ผมยังไม่ตาย
ผมยังมีชีวิตอยู่
แล้วผมก็กำลังจะเริ่มต้นใหม่กับที่ใหม่ๆ
ความจริงที่ถูกปิดบัง ความจริงที่ถูกซ่อนเอาไว้หลังจากที่รถที่ผมระเบิดเมื่อครั้งนั้น ผู้จ้างวานไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนของเอเดน... เอเดนเกลียดผมมาก ก่อนที่เขาจะถูกตัดสินจำคุก เขาได้ใช้มูลทรัพย์ประกันตัวแล้วก็จ้างวานนักฆ่าเพื่อที่จะมาฆ่าผม แต่สุดท้ายแล้วก็หนีไม่รอด ตำรวจสืบสาวราวเรื่องจนได้พบต้นตอที่แท้จริง
ผมรู้ว่าคนอย่างเอเดนไม่ปล่อยผมไปได้ง่ายๆ แน่ ก่อนที่รถจะระเบิดทั้งผมและแม่รวมทั้งคนขับรถก็ได้ออกมาจากรถได้ทัน เพียงแค่เสี้ยววินาทีรถก็เกิดระเบิดขึ้น ด้วยอำนาจเงินมันจึงเป็นเรื่องไม่ยากเลยที่จะกลบเกลื่อนข่าวที่ออกไป แล้วผมก็อาศัยช่วงจังหวะที่ชุลมุนกลับอเมริกาพร้อมกับแม่ ทั้งเปลี่ยนชื่อและเปลี่ยนที่อยู่ใหม่
เป็นเรย์คนใหม่ ที่ไม่ใช่คนเดิม
หลังจากที่ผมมาอยู่ที่อเมริกากับแม่ผมก็ได้เจอกับริชาร์ตผู้เป็นแฟนใหม่ของแม่ เขาเป็นนักธุรกิจชื่อดัง เคยลงนิตยสารหลายๆ ฉบับๆ ว่าเป็นนักธุรกิจที่น่าจับตามองอันดับต้นๆ ของประเทศ แม่กับริชาร์ตมีลูกด้วยกันหนึ่งคน เขาเป็นน้องของผม อายุห่างกันก็พอสมควร เด็กคนนั้นเป็นเด็กน่ารัก ผมสีบรอนด์เหมือนกับเด็กฝรั่งทั่วๆ ไปแต่มีนัยน์ตาสีดำสนิทเหมือนกับแม่ น้องชายของผมอายุเพียงแค่ 10 ขวบ เท่านั้น เขามีชื่อว่า ลัคกี้... ลักกี้เป็นเด็กขี้อายและอ่อนแอนิดหน่อย เป็นเด็กที่ค่อนข้างแตกต่างจากผมเลย แต่เพราะเป็นน้องเลยทำให้ผมรู้สึกดีด้วย อีกอย่าง...รอยยิ้มของลักกี้มันก็ทำให้ผมคิดถึงหนูนา
ถึงผมจะจากมาที่นี่แต่ผมก็ไม่ได้ทิ้งเด็กกำพร้า ไม่ได้ทิ้งหนูนา ผมยังรับอุปภัมพ์อยู่แต่ใช้ชื่อในนามอื่นและพาไปอยู่ที่อื่นที่ดีกว่านี้
“ลักกี้ มารู้จักพี่ของลูกซะสิ”
แม่พูดเป็นภาษาอังกฤษบอกให้ลักกี้มาทักทายผม เด็กน้อยดวงตากลมโตมองผมด้วยความหวาดหวั่นเมื่อเห็นคนแปลกหน้า
“ไม่เอา”
ลักกี้ส่ายหน้าตอบพลางหลบไปที่ด้านหลังแต่เขาก็ยังคงมองผมอยู่
“ลักกี้”
“งื้อ~”
แม่เรียกร่างเล็กอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าลักกี้จะไม่ยอมง่ายๆ คงเพราะเห็นว่าผมเป็นคนอื่น เด็กคนนี้จึงไม่ยอมเข้าใกล้ ก็แน่ละ...เล่นคิดว่าเป็นลูกคนเดียวมาตลอดแต่จู่ๆ กลับมามีพี่แบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้เป็นใครใครก็คงจะทำใจลำบาก...พอคิดได้แบบนั้นผมก็ยิ้มบางให้แล้วยื่นมือไปให้เด็กน้อยตรงหน้า
“พี่ชื่อเรย์...ยินดีที่ได้รู้จัก”
ลักกี่มองผมอย่างชั่งใจ ตอนแรกก็ดูลังเลอยู่เหมือนกัน แต่คงเห็นแม่ยิ้มแล้วพยักหน้าให้เป็นเชิงบอกนัยๆ ว่าไม่มีอะไรหรอก ลักกี้ก็เลยค่อยๆ ที่จะผละร่างเล็กๆ ออกมายืนอยู่ตรงหน้าผม
“สะ สวัสดีครับ”
เด็กน้อยทำหน้าเขินอาย แล้วนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่าตัวเองกำลังเริ่มที่จะมีครอบครัว แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่ส่วนหนึ่งในใจของผมกลับรู้สึกเหงาเล็กๆ ที่นี่ผมไม่มีคนรู้จักและไม่มีใครรู้จักผม แต่ในทุกๆ วันที่ผมอยู่กลับเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง ความรู้สึกที่ยังค้างคามันยังคงมีอยู่ภายในใจที่เปล่าเปลี่ยว
ผมเป็นห่วงตะวัน
เป็นห่วงเขามากเหลือเกิน ป่านนี้เขาจะฟื้นหรือยังนะ...ป่านนี้แล้วเขาจะรู้หรือยังว่าผมตายไปแล้ว แล้วถ้าเกิดว่าตะวันรู้เขาจะทำหน้ายังไง ทั้งคำถามและคำตอบมันตีวนอยู่ในหัวสมองของผมซ้ำไปซ้ำมา คิดจนหัวแทบระเบิดและคิดถึงใจแทบขาด
แต่ผม...กลับไปไม่ได้แล้ว
“...เรย์...เรย์!”
“คะ ครับ”
ผมสะดุ้งตกใจเบาๆ เมื่อจู่ๆ ก็มีเสียงเรียกจากทางด้านหลัง
“กำลังคิดอะไรอยู่”
แม่ถามแล้วนั่งลงข้างๆ สายตาที่อ่อนโยนมองตรงมายังผม
“...เปล่าครับ”ผมตอบเสียงเบา
“อย่าฝืนเลยนะเรย์”
แต่ดูเหมือนว่าท่านจะไม่เชื่อผมสักเท่าไหร่นัก ฝ่ามือที่อบอุ่นจับไปที่มือของเพื่อให้กำลังใจ แต่ผมกลับได้แต่นิ่งเงียบ ผมรู้ว่าแม่เป็นห่วงผม แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
ผมใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ มีครอบครัวใหม่ที่น่ารัก มีน้องชายที่กำลังเริ่มสนิทกันดี ต้องไม่ใส่ใจและไม่คิดถึงวันเก่าๆ รวมทั้งคิดเรื่องของตะวันและผู้ชายคนนั้นด้วย ป่านนี้แล้วทุกคนที่นั่นก็คงเข้าใจว่าผมตายไปแล้วด้วย ไม่ต้องไปใส่ใจแล้วใช้ชีวิตใหม่ของตัวเองที่นี่ไปก็พอ ผมเริ่มสมัครเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยฯ ใหม่ และช่วยงานที่บริษัทฯ ของริชาร์ตไปด้วยพลางๆ ริชาร์ตเป็นคนเก่งมากเลยทีเดียว ทุกคนให้ความรักผมเป็นอย่างดี จนบางครั้งผมก็แทบลืมไปเลยว่าส่วนลึกของจิตใจผมก็ยังคงเหงาอยู่ก็ตาม
“คุณเรียกผมมีอะไรหรือเปล่าครับ”
ผมถามเป็นภาษาอังกฤษทันทีที่เมื่อเห็นหน้าผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนของแม่และเป็นพ่อเลี้ยงของผม ริชาร์ตเรียกผมมาพบเป็นการส่วนตัวภายในห้องทำงานของเขา
“ไม่มีอะไร ฉันแค่อยากจะคุยกับเธอเท่านั้น”
ริชาร์ตตอบ ใบหน้าที่มีหนวดเคราเล็กๆ กระตุกตามริมฝีปากที่คลี่ยิ้มให้กับผม มันทั้งดูอ่อนโยนและแข็งแกร่ง น่าเกรงขามในคราวเดียวกัน
“ครับ?”
ผมทำหน้าฉงน สบดวงตาคู่นั้น
“เป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เธอเริ่มชินหรือยัง”
อา...ให้ตายสิ ผมไม่ชอบที่เขาเรียกผมว่า ‘เธอ’ เลย มันฟังดูเหมือนเป็นผู้หญิงยังไงก็ไม่รู้
“ครับ ก็ดีแล้ว ผมเริ่มที่จะชินแล้ว”
“ก็ดีแล้ว ฉันดีใจนะที่เธอเริ่มสดใสร่าเริงขึ้น”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยบอกกับผม ถึงเขาจะไม่ได้มีท่าทีรุกรามก็เถอะแต่การมาอยู่แบบนี้มันก็ทำให้ผมอึดอัดเหมือนกันแฮะ
“เธอรู้ไหมตอนที่ฉันพบกับแม่ของเธอครั้งแรกฉันก็ตกหลุมรักเลย”
“ครับ?”
ผมเอียงคอมองเขานิดหน่อย นี่เขาต้องการจะพูดอะไรกันแน่ จู่ๆ ก็มาพูดเรื่องอดีตตอนที่พบกับแม่ผมซะอย่างนั้น
“เราเจอกันครั้งแรกที่เกาะที่แม่ของเธอพักอาศัยอยู่ โรสเป็นคนสวยมาก ชุดที่เธอใส่ครั้งแรกที่เราเจอกันก็เป็นเสื้อสีแดงสดนี่แหละ ฉันพยายามจีบแม่ของเธออยู่นานเลย แต่โรสเป็นผู้หญิงที่ใจแข็งสุดๆ แล้วก็ยังไม่ยอมลงกับใครง่ายๆ ฉันในตอนนั้นนะใช้แผนทุกอย่างเพื่อให้ได้แม่ของเธอมาครอบครอง บอกได้เลยว่าชั่วสารพัดอย่าง ฮ่าๆ”
เอ่อ ชั่วสารพัดอย่าง? ไม่น่าเชื่อจริงๆ เลยว่าผู้ชายแบบนี้จะทำเรื่องเลวร้ายไปได้ แถมยังจะนั่งหัวเราะได้หน้าตาเฉยอีก
“ถึงฉันจะเป็นคนชั่วในสายตาคนอื่นแต่สิ่งที่ฉันต้องการก็เพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น คือความรักจากแม่ของเธอ”
ประโยคสุดท้ายที่ริชาร์ตเอ่ยบอกมันทำให้ใจของผมกระตุกอยู่วูบนึง
“คุณหมายความว่ายังไง”
“มีคนต้องการที่จะพบเธอนะ ไปตามหาสิ่งที่เธอต้องการซะ”
ริชาร์ตยื่นเอกสารบางอย่างให้กับผม ผมมองแผ่นกระดาษบางๆ ที่อยู่ตรงหน้าก่อนที่ดวงตาของผมจะเบิกกว้างด้วยความตกใจ ขอความในนั้นแม้ว่าผมจะไม่ต้องอ่านจนจบแต่ก็สรุปได้ง่ายๆ ว่ากำลังมีคนตามสืบเรื่องของผมอยู่ แล้วคนๆ นั้นๆ ก็คือตะวัน...
นี่เขา...ตามหาผมถึงนี่เลยเหรอ
เขาไม่คิดจะเชื่อหรือไงนะว่าผมได้ตายจากไปแล้ว
คนบ้า...
 
เรื่องของตะวันมันทำให้ผมสับสนอยู่พอสมควร ผมไม่รู้ว่าจะเอายังไงกับเขาดี จะอยู่เฉยๆ แล้วทำไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างนี้ดีหรือเปล่านะ แต่อีกใจนึงมันก็...ก็อยากที่จะพบตะวัน จนแล้วจนรอดผมก็ทนไม่ไหวกับความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองก็เลยเลือกที่จะไปยังสุสานปลอมๆ ของตัวเองที่เป็นคนสร้างขึ้น นัยนึงก็เพื่อหลอกทุกคนว่าผมตายไปแล้วแล้วก็ฝังทุกอย่างเกี่ยวกับผมลงไป
แต่ใครมันจะไปคิดว่าผมเจอตะวันที่นั่นด้วย เขากำลังร้องไห้หน้าป้ายหลุมศพของผม...น้ำตาของเขามันทำให้ผมปวดใจ อยากเดินเข้าไปหา อยากเดินเข้าไปใกล้ๆ ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ตัวเองเดินไปเหยียบกิ่งไม้เล็กๆ ซะแล้ว
แกร็ก
ผมยืนตกตะลึงชั่วครู่ ตะวันก็หันมองผม ในคราวแรกเขาเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเองสักเท่าไหร่ แต่เพียงไม่นานรอยยิ้มก็เผยที่ใบหน้า เขากำลังดีใจที่ได้เจอผม...แต่ผมก็ทำได้แค่เดินหนี หนีให้ไกลจากตรงนี้เพราะรอยยิ้มของเขามันทำให้ผมใจสั่นแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก
“เรย์!”
เสียงเรียกจากทางด้านหลัง ตะวันกำลังเรียกชื่อของผมแต่ตัวของเขาถูกการ์ดของผมจับเอาไว้ น้ำเสียงที่สั่นเครือและเต็มไปด้วยความดีใจกำลังร่ำร้องให้ผมหยุด ร่างของเขาถูกซ้อมอย่างสะบักสะบอมเพราะไม่ยอมหยุดที่จะเข้าหาผม
ผมสั่งให้พวกเขาหยุดเพื่อที่จะต้องไม่ทำร้ายตะวันไปมากกว่านี้ แทนที่ตะวันจะหยุดแต่เขากลับไม่หยุด เขาวิ่งตามผมพร้อมกับร้องเรียกชื่อของผมไปด้วย ผมมองผ่านร่างที่วิ่งอย่างทุลัดทุเล ล้มบ้าง วิ่งบ้าง ความจริงแล้วผมสามารถให้คนขับรถขับรถเร็วๆ เพื่อหนีไปจากเขาได้ แต่ทำไมผมถึงได้สั่งให้ขับไปช้าๆ กันนะ น้ำตาของที่ไหลสะอื้นออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง
ร่างกายของเขาก็เริ่มเต็มไปด้วยบาดแผล เนื้อตัวก็เต็มไปด้วยฝุ่น ผมพยายามที่จะสกัดกลั้นมันไม่ให้ไหลออกมาแล้วนะแต่มันทำไม่ได้จริงๆ
มันเจ็บปวดเหลือเกิน
“หยุดรถ”
เอี๊ยด!
ทันทีที่ผมสั่งตัวรถที่กำลังขับเคลื่อนอยู่ก็หยุดลง ผมรีบก้าวลงจากรถแล้ววิ่งไปหาร่างที่กำลังล้มอยู่ ตะวันค่อยๆ ทอดสายตามองผม
“นายยังไม่ตาย นายจริงๆ ด้วย เรย์!”
ตะวันโผเข้ากอดผมแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ดวงตาทั้งสองข้างผมเบิกกว้างด้วยความตกใจแต่ทำไมผมถึงได้ไม่ผลักเขาออกไปนะ
“กลับไปซะ แล้วอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก”
“เรย์...”
“เรย์ได้ตายไปแล้ว นายกลับไปซะเถอะแล้วอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ต่อไปนี้เราสองคนจะไม่รู้จักกัน”
“ไม่!”
เขากอดผมแน่นกว่าเดิมจนได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของเขา... มันเต้นเพราะกลัวว่าจะสูญเสียผมไปอีกครั้งหรือว่าเป็นเพราะดีใจที่ได้เจอผมกันแน่ แต่จะยังไงก็ช่างเพราะเสียงหัวใจของเขามันทำให้หัวใจของผมเต้นแรงไปด้วย
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
ตะวัน...ตะวัน...ตะวัน...
ฉัน...รัก...
“ฉันรักนายนะเรย์...รัก...ฉันรักเธอ”
ในขณะที่ผมอยู่ในห้วงความคิด จู่ๆ ตะวันก็พูดออกมาซ้อนทับกับความคิดของผม...ตะวันกำลังบอกว่ารักผมอยู่ ความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นในจิตใจมันทำให้ผมแทบอยากจะโอบกอดเขาตอบ แต่ผมก็ทำได้แค่เพียงกำมือตัวเองแน่นแล้วพยายามผลักร่างสูงให้ออกห่าง
ไม่ได้! ผมจะทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด! จะยอมแพ้ให้กับความรู้สึกของตัวเองไม่ได้!
“ปล่อยฉันนะ!”
“กลับมาเถอะนะเรย์ กลับมาหาฉัน ฮึก อย่าจากฉันไปอีกเลยนะ ฮึก”
แต่เสียงสะอื้นเบาๆ ของตะวันมันทำให้ผมหยุด...เขากำลังร้องไห้เพราะผม แล้วทำไมน้ำตาของเขามันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดไปด้วยนะ ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ เลย
“ฉันรักนาย อย่าจากฉันไปอีกเลยนะ ฉันรักนายนะเรย์”
เขาบอกกับเขาซ้ำๆ
“...ทำไม นายถึงรักฉัน”
ผมถามเสียงเบาแต่มันก็ดังพอที่จะทำให้เราสองคนได้ยินชัดเจน
“เรย์”
“ฉันมีอะไรดี...ฉันเป็นนางร้าย ฉันเป็นคนไม่ดี นายจะยังรักฉันอีกเหรอ”
“รักสิ...ฉันรักนาย รักที่นายเป็นนาย รักในตัวของนาย...ถึงนายจะร้ายแต่ฉันก็จะรัก”
ร่างสูงยิ้มบางให้แล้วละหน้าออกมามองผม เราสองคนสบตากันอย่างสื่อความหมายแล้วมันก็ทำให้หัวใจของผมเต้นแรงมากขึ้นกว่าเดิม ใบหน้าที่ถูกทาบทับจากดวงตะวันจากทางด้านหลังดูจริงจังมากกว่าเคย จนผมอดคิดไม่ได้ว่าบางทีผมกำลังถูกมนต์สะกดเลยทำให้แทบขยับตัวไม่ได้เลย
“ฉันรักนาย นางร้ายของฉัน”
แล้วผมก็กำลังคิดว่าบางทีความรักของผมคงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ต่อจากนี้และตลอดไป
 .
.
.
4 ปีผ่านไป
กาลเวลาหมุนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทุกสิ่งรอบตัวกำลังดำเนินไปตามวิธีชีวิตของมัน รอบตัวของผมก็เปลี่ยนไป ทั้งสิ่งก่อสร้าง เทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกต่างๆ รวมแม้กระทั่งผู้คน เมื่อเวลาผ่านพ้นไปทุกคนก็ย่อมมีวุฒิภาวะที่เพิ่มขึ้น ตัวผมเองก็เหมือนกัน... จากวันเลื่อนเป็นเดือน จากหนึ่งเดือนก็กลายเป็นสองเดือนและสามเดือนจวบจนกระทั่งผ่านไปเป็นปี นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ที่ผมเริ่มต้นชีวิตใหม่ก็ผ่านไป 4 ปีแล้วสินะ...ผมไม่ใช่เด็กๆ ที่เอาแต่ใจไปวันๆ อีกต่อไปแล้ว แทบเรียกได้ว่าตัวผมในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนด้วยซ้ำ
ทุกคนเปลี่ยนไป
ผมก็เปลี่ยนไป
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เรย์...เสร็จหรือยัง”
ริชาร์ตเปิดประตูเข้ามาแล้วแล้วเดินมาตรงผมที่กำลังนั่งอยู่ที่หน้ากระจก
“เสร็จแล้วครับ”
ผมลุกขึ้นแล้วหันไปยิ้มตอบ
“ไปกันเถอะ ทุกคนรออยู่”
“ครับ”
ว่าจบผมก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปนอกห้อง ทางเดินที่เงียบสงบในคราวแรกค่อยๆ มีเสียงดังเล็ดลอดออกมาจากบานประตูที่อยู่ตรงด้านหน้าเบาๆ รู้สึกตื่นเต้นจนประหม่าเลย
แอ๊ดด
บานประตูที่ปิดสนิทถูกเปิดออกพร้อมกับแสงสว่างจ้าที่สว่างไสว มันสาดส่องโดนตัวของผมจากแสงเล็กๆ และเริ่มใหญ่ขึ้นๆ เรื่อยๆ ผมเดินไปทางพื้นพรมสีแดงที่นุ่มนิ่มด้วยใจสั่นระรัว ทุกคนกำลังรอผมอยู่ พวกเขาต่างก็มีสีหน้าที่แสดงถึงความยินดี ผมเดินไปอยู่เคียงข้างคนที่รอผมอยู่ก่อนหน้านี้อยู่แล้ว
แล้วคำปฏิญาณก็เริ่มขึ้น
พิธีแต่งงานของพวกเราสองคน
ทุกอย่างดำเนินไปตามพิธี ทั้งครอบครัวของผม ริชาร์ตและลักกี้ และครอบครัวของตะวันต่างก็แสดงความยินดี งานแต่งงานของพวกเราสองคนต่างก็ไม่มีใครคัดค้านและไม่ได้เป็นข่าวดัง ผมกับตะวันต้องการที่จะจัดงานกันอย่างเงียบๆ ไม่ต้องหรูหรา ไม่ต้องฟุ้มเฟือย แค่เราสองคนมีความสุขก็เพียงพอ
“ขอให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวจุมพิตซึ่งกันและกัน”
บาทหลางเอ่ยประโยคสุดท้ายหลังจากที่พวกเราทั้งคู่แลกแหวนซึ่งกันและกัน
“จูบเลยๆ จูบเลยๆ”
“เอาเลยๆ จูบเลยๆ”
“กรี๊ดดดด”
เสียงโห่ร้องที่ดังกึกก้อง ตะวันจับไปที่แก้มนิ่มของผมทั้งสองข้างเพื่อประคองใบหน้าให้เงยขึ้นไปสบตาก่อนที่ริมฝีปากอุ่นชื้นจะประกบลงมาเบาๆ เป็นจูบที่แสนเบาหวิว ไม่ได้หวาบหวาม แต่มันก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่คุ้นเคย
4 ปีที่ผมจากมาอยู่ที่อเมริกา
4 ปีที่ตะวันอยู่เคียงข้างผม
4 ปีที่ได้เราได้เรียนรู้ซึ้งกันและกัน
และ 4 ปี ที่เขารักผม
มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานแต่ก็แสนสั้นด้วยเช่นกัน ขอบคุณที่อยู่ยอมอยู่กับคนร้ายๆ แบบผม คนที่คนอื่นมองไม่ดีคนนี้
ขอบคุณ
 
 

ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0


 

 
บทส่งท้าย


หลังจากเสร็จสิ้นพิธีแต่งงานผมก็มาอยู่ที่เรือนหอกับตะวัน ความจริงแล้วก็เป็นบ้านของตะวันนั้นแหละ แล้วนี่ก็เป็นห้องของตะวันด้วย ความจริงแล้วตอนที่กำลังคบกันผมก็เคยมาห้องของเขานะ แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรมากแค่เข้ามาไม่กี่ครั้งเอง ส่วนใหญ่ผมกับตะวันจะอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่มากกว่า แล้วก็เป็นตะวันนั่นแหละที่มักจะเป็นฝ่ายไปหาผมที่บ้านมากกว่า แล้วพอแต่งงานกันผมกับตะวันก็ตกลงที่จะไม่ซื้อบ้านใหม่แต่มาอยู่บ้านของพ่อกับแม่ตะวันแทน ถึงจะเคยเข้ามาก็เถอะแต่พอรู้ว่าตัวเองจะเข้าในฐานะอะไรมันก็รู้สึกตื่นเต้นไม่ได้จริงๆ
ซ่า...
สายน้ำที่ไหลรดลงมาบนร่างกายมันยิ่งทำให้ใจของผมเต้นแรงมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
ตื่นเต้นจังเลย...เพราะคืนนี้...คืนนี้ผมจะกลายเป็นของตะวันอย่างเต็มตัว ทั้งร่างกายและหัวใจดวงนี้จะเป็นของๆ เขาเพียงคนเดียว
‘เท่านี้คงพอแล้วละมั้ง’
ผมมองรูปร่างตัวเองผ่านบานกระจกแล้วจัดแจงใส่เสื้อคลุมสีฟ้าอ่อน ผิวกายที่ถูกขัดสีฉวีวรรณอย่างดีทุกซอกทุกมุม ผมยิ้มบางๆ ให้กับตัวเองก่อนที่จะเดินออกจากห้องน้ำ ภายนอกห้องมีตะวันที่กำลังถอดเสื้อผ้าของตัวเองออก
อ่า...ให้ตายสิ! ประมาทจังเลย -///-
“อะ ออกมาแล้วเหรอ”
ตะวันถามอย่างเขินๆ
“อะอืม”
ผมก้มหน้าตอบพยายามซ่อนใบหน้าที่แดงซ่านของตัวเอง
“งั้นไปอาบน้ำก่อนนะ”
“อะอืม”
ผมพยักหน้าอีกครั้ง แล้วตะวันก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ
โอ๊ย! ทำไมอาการใจเต้นมันไม่หยุดสักทีนะ จะมัวแต่ตื่นเต้นทำไม อีกเดี๋ยวเราก็จะกลายเป็นของตะวันแล้วแท้ๆ
ผมส่ายหัวไปมาเพื่อไล่ความคิดของตัวเองแล้วไปนั่งลงที่เตียง ไม่รู้ทำไมเหมือนกันว่าจะต้องมานั่งลงตรงนี้แต่มันไม่มีที่นั่งนี่นา จะให้นั่งลงตรงหน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งก็กะไรอยู่ แต่ใจของผมยังเต้นไม่หยุดเลย...เวลาก็เหมือนไปอย่างเชื่องช้า จนผมเผลอคิดไปว่าทำไมตะวันถึงได้ออกมาช้าจังนะ แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความคิดเท่านั้นนะแหละ  ผมยังนั่งตัวแกร็งอยู่บนที่นอนอยู่เลย
แกร็ก
ตะวันออกมาแล้ว มันทำให้ผมยิ่งเกร็งไปใหญ่เลยแต่ก็อดไม่ได้ที่เหลือบไปมองเขานิดหน่อย ร่างสูงสมส่วนในชุดคลุมสีเทาเข้ม น้ำที่เกาะตามแผงอกแกร่งและลำคอมันทำให้เขาดูเซ็กซี่มากจริงๆ จนผมต้องหลุบตาลงอีกครั้งเพื่อซ่อนความอาย
ผมไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกเหมือนผมไหม แต่ผมเขินจนใจแทบขาดเลย
ตะวันมานั่งข้างๆ เราต่างคนก็ต่างเงียบ ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี มันเป็นคืนแรกของเราสองคนเลยทำให้ประหม่า ตลอดเวลาสี่ปีที่คบกันมาเราไม่เคยมีเรื่องอย่างว่าเลย ตะวันเขาเป็นสุภาพบุรุษกับผมเสมอ ไม่เคยร้องขอและล้วงเกินอะไรเลย อย่างมากก็แค่จูบกันแค่นั้นแหละ...
“เอ่อ/เอ่อ”
อ่ะ ผมกับตะวันพูดพร้อมกัน เขาเอามือมาเกาแก้มตัวเองอย่างน่ารัก ท่าทีผ่อนคลายของเขามันทำให้ผมอดที่จะหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ เหมือนเด็กเลย
“ฮะ ฮ่าๆ”
“หัวเราะอะไร”
“เปล่า”
ผมยิ้มกว้างแต่ก็ยังคงส่งเสียงหัวเราะในลำคออยู่รอยยิ้มอบอุ่นถูกส่งมายังผมเบาๆ เลยทำให้ผมหยุดหัวเราะแล้วสบตากับร่างสูงแทน ดวงตาที่เต็มไปด้วยความต้องการถูกส่งมายังผมแต่ก็ยังคงถูกสกัดกลั้นเอาไว้อยู่ แค่มองก็รู้แล้วว่าตะวันในตอนนี้กำลังต้องการผมขนาดไหนกัน ใบหน้าที่คุ้นเคยมาตลอดสี่ปีอยู่ใกล้แค่เอื้อม ผมค่อยๆ เอื้อมมือไปจับที่คางได้รูปของตะวันแล้วประทับริมฝีปากตัวเองลงไปที่ริมฝีปากอุ่นๆ ความวาบหวามหล่อหลอมให้เราสองคนเริ่มที่จะกลายเป็นคนเดียวกัน ร่างเล็กของผมถูกให้เอนลงบนที่นอนนุ่มๆ ที่โรยด้วยกลีบกุหลายหอมๆ จูบที่แสนแผ่วเบาในคราวแรกๆ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นรุกหนักขึ้นเมื่อลิ้นชื้นถูกสอดแทรกเข้ามากวาดต้อนทั่วโพรงปาก ผมเองก็จูบตอบอย่างไม่รังเกียจ จูบที่รุนแรงและเต็มไปด้วยความต้องการแต่มันก็หอมหวานสำหรับเราสองคน
ทุกอย่างก็เริ่มเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น เสื้อคลุมของผมถูกมือหนารูดออกไปจากร่างกายช้าๆ ของตะวันเองก็เหมือนกัน จนในที่สุดก็เหลือแต่เพียงร่างกายที่เปล่าเปลือยของเราสองคน แผงอกของตะวันอยู่ตรงหน้าผมแล้ว หัวใจของเขาก็อยู่ใกล้มากจนสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจที่กำลังเต้นแรง
“ขอบคุณนะเรย์...ขอบคุณที่ยอมเริ่มต้นใหม่กับฉัน”
ตะวันจับมือผมแล้วจูบเบาๆ ที่หลังมือ
“อื้อ ไม่หรอก” ผมส่ายหน้า “ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณนาย...ขอบคุณนะที่มารักฉัน” มือของผมเอื้อมไปกอดลำคอหนา
“ฉันรักนาย”
“ฉันเองก็รักนายเหมือนกัน”
ผมกอดตะวันไว้แน่น ดันร่างหนาให้ลงมารับจูบที่ร้อนแรงของผมอีกครั้ง ตะวันเองก็ไม่ปฏิเสธ มือหนาเคลื่อนมาที่หน้าอกของผมแล้วขยี้ที่เม็ดทับทิมสีแดงเบาๆ จนผมรู้สึกเสียวซ่าน ร่างสูงละหน้าออกมาแล้วขบกัดไปที่ลำคอบางจนผมสะดุ้ง ตะวันค่อยๆ สร้างรอยจูบไปทีละจุดๆ จนทั่ว มือของเขาก็แทบไม่อยู่นิ่งลูบไล้ไปทั่วเรื่อนกายขาวพร้อมกับบีบเข้นอย่างหมั่นเขี้ยว
“อ่ะอ๊า”
มันรู้สึกดีมากจนผมเผลอที่จะร้องครางออกมาไม่ได้
“หึ”
ร่างสูงหัวเราะเบาๆ ให้กับปฏิกิริยาของผม จนอดไม่ได้ที่จะตีไปที่ลำแขนทีนึง น่าหมั่นไส้นัก! เห็นอย่างนี้ผมก็อายเป็นเหมือนกันนะ!
“อ๊า”
แต่ก็ต้านทานได้ไม่นานนักผมก็สั่นสะท้านไปด้วยความหวั่นไหวเมื่อมือหนาโอบอุ้มกลางลำตัวของผมเอาไว้แล้วจับรูดขึ้นลงเบาๆ นิ้วโป้ก็ประกบอุดตรงส่วนปลายเอาไว้พร้อมกับคลึงเบาๆ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกมากขึ้นกว่าเดิม ดูเหมือนว่าตะวันกำลังแกล้งผมอยู่ เขาคอยทำให้ผมสั่นสะท้านไปด้วยแรงสัมผัสที่แผ่วเบาแต่มันกลับเสียวซ่านไปทุกอณูของร่างกาย ริมฝีปากของเขาก็ขยับจากลำคอบางที่สร้างรอยไว้เคลื่อนมาที่แผ่นอก ลิ้นสากๆ ที่ลาดเลื่อนลงมามันทำให้รู้สึก...เสียว
“อ๊า ตะวัน...ฉัน...ฉัน อ๊า”
ผมจิกมือลงบนเรือนผมสีดำขลับ ส่ายหน้าไปมาเมื่อถูกริมฝีปากคู่เดิมละเลงลิ้นกับยอดอกที่เริ่มชูชัน ฟันซี่ขาวขบกัดเบาๆ แต่มันก็ยิ่งทำให้ร่างกายของผมไม่สามารถหยุดนิ่งอยู่กับที่ได้ มันกำลังเพิ่มความต้องการขึ้นเรื่อยๆ ตะวันเล่นกับยอดอกทั้งสองข้างสลับกันไปมาอย่างถือวิสาสะ มือที่กอบกุมแก่นกายของผมเอาไว้ก็ยังคงทำหน้าได้ดี เขาไม่หยุดมือที่จะขยับมันเลย
พอร่างสูงหยอกล้อเล่นกับหน้าอกของผมจนพอใจก็ค่อยๆ เคลื่อนต่ำลงไปที่หน้าท้องแบนราบ เขาหยอกล้อเล่นกับสะดือของผมนิดหน่อย
“อ๊า อื้อ”
“เรย์...”
เสียงทุ้มเอ่ยเรียก เขาจับจ้องไปที่ส่วนกลางลำตัวที่ตอนนี้มีน้ำเยิ้มออกมาปริ่มๆ แค่มองก็รู้แล้วว่าเขาจะทำอะไรกับมันเป็นอันดับต่อไป
“อ๊า! อืม...อ๊า”
ผมกัดริมฝีปากตัวเองแน่นพยายามกลั้นเสียงเอาไว้ แต่มันทำไม่ได้เลยยามที่ส่วนนั้นถูกริมฝีปากของตะวันครอบลงไป เขาใช้ลิ้นเล่นกับส่วนปลาย ขบกัดเบาๆ เพียงแค่นั้นก็ทำให้ผมแทบหมดแรงแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่พอสำหรับเขาสักเท่าไหร่ ร่างสูงกอบกุมส่วนอ่อนไหวของผมจนสุดความยาว เขาใช้ลิ้นชื้นเลียวนไปรอบๆ
“อื้อ อ่ะอ๊า”
ใครก็ได้ช่วยบอกผมหน่อยว่าตะวันเขาไม่เคยทำแบบนี้กับใครมาก่อนมันเป็นเรื่องโกหกหรือเปล่านะ! ทำไมเขาดูเชี่ยวจังเลย
“ตะ...ตะวัน อ๊า”
อยากถามเขานะ แต่ปากของผมกลับพูดอะไรไม่ได้เลย...นอกจากครางอย่างเดียว
แล้วผมก็พูดได้ไม่กี่คำเหมือนเคย ตะวันดูดส่วนอ่อนไหวของผมขึ้นลงสลับกันไปมา ช้าบ้าง เร็วบ้าง สองขาของผมสั่นระริก มันแทบจะรั้งให้หยัดยืนไม่อยู่ น้ำที่ปริ่มตรงปลายมันก็ยิ่งทวีความต้องการมากขึ้น ตะวันเขาช่ำชองมากจนผมอยากปลดปล่อยออกมา แต่ตะวันก็ไม่ปล่อยให้ผมไปถึงฝั่งฝันเลย เขากวัดลิ้นละเลงยอดปลายซ้ำไปซ้ำมาจนรู้สึกได้ถึงความชื้นเฉอะแฉะของน้ำลาย
“ชอบไหมเรย์”
คนบ้า! ถามอะไรออกมาก็ไม่รู้ ใครจะกล้าตอบละ
“อื้อ อ๊าอ๊า”
แต่พอผมไม่ตอบคำถาม ตะวันก็ยิ่งแกล้งผมหนักขึ้นไปอีก สมองผมคิดอะไรไม่ออกแล้วจนต้องร้องครางออกมาเพื่อปลดปล่อยความเสียวกระสัน
“ชอบไหม”
“อะอืม ชอบ...ชอบ อ๊า”
เขาถามคำถามเดิมออกมา
“ชอบ...ชอบสิ มันเสียว อ่ะอ๊า!”
สะโพกบางแอ่นรับปลายลิ้นอุ่นชื้นที่ครอบคลุมส่วนอ่อนไหวที่กำลังรูดขึ้นลงไปมา เพราะความรู้สึกแปลกใหม่ที่แทบทนไม่ไหว ผมก็เลยยกมือขึ้นมาจับไปที่เรือนผมสีดำของเขาแล้วขยุ้มมันเบาๆ ตามจังหวะการลงลิ้นที่ช้ำชอง ซึ่งผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปฝึกมาจากไหน
“อ่ะ! ตะ ตะวัน! ยะ อย่า! มันสกปรก”
ผมร้องออกมาเมื่อจู่ๆ ตะวันลากลิ้นเคลื่อนลงมาที่ส่วนซ่อนเร้น มันกำลังขมิบเหมือนต้องการเชิญชวนให้ตะวันลองสัมผัสมันอย่างนั้นแหละ ดวงตาแพรวพราวที่กำลังหยาดเยิ้มจ้องมองด้วยสีหน้าที่แดงระเรื่อนิดหน่อยก่อนที่จะก้มหน้าลงไปอีกครั้งแล้ว ส่วนปลายลิ้นก็ลียวนเข้าไปในช่องทางต้องห้าม
“ยะ อย่า! อ๊าอ๊า”
ผมขยุ้มผมของตะวันแรงขึ้น มันสับสนไปหมดเลย เขากล้าที่จะทำแบบนี้ได้ยังไงกันนะ ตรงนั้นมันสกปรกจะตาย แถมลิ้นของเขาที่ถูไถตรงปากทางก็ค่อยๆ แหย่เข้ามาในตัวผมช้าๆ มันรู้สึกแปลกๆ มันอธิบายไม่ถูกแต่ก็รู้สึกดี ขาที่สั่นระริกทั้งสองข้างถูกจับขึ้นไปพาดบนบ่าแกร่ง มือของตะวันก็ไม่อยู่เฉยเขาขยี้ลงมาที่ยอดอกของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ช่องทางที่ปิดสนิทก็ถูกรุกล้ำไม่หยุด ปลายนิ้วอุ่นค่อยๆ ถูไถที่ช่องทางสงวนแล้วดันเข้ามาช้าๆ
“อ่ะ! มะ มันเจ็บ”
นี่เพียงแค่ปลายนิ้วชี้นิ้วเดียวมันก็ทำให้ผมรู้สึกเจ็บ
“อดทนนะเรย์ ไม่งั้นมันจะรู้สึกเจ็บกว่านี้”
เขาบอกด้วยน้ำเสียงทุ้ม ผมก็พยักหน้าเบาๆ ตอบรับ ก็พอจะรู้มาอยู่บ้างนั้นแหละว่าผู้ชายมีอะไรกันมันต้องเตรียมพร้อมหลายอย่าง แต่แบบนี้มันไม่ชินเอาซะเลย นิ้วอุ่นที่เข้ามาในตัวผมก็เริ่มที่จะเข้ามาจนเกือบสุดความยาว ทั้งเจ็บ ทั้งรู้สึกแปลกๆ
“อี๊! อ่ะ!”
ร่างสูงหมุนคว้านนิ้วเบาๆ แค่เพียงเขาทำแค่นั้นมันก็ทำให้ผมหมดแรงแล้ว มือที่ใช้ขยุ้มผมตะวันในคราวแรกแปลเปลี่ยนเป็นวางเรียบลงกับที่นอนแล้วใช้เล็บจิเอาไว้ ตะวันละหน้าออกมาจากช่องทางสงวนของผมแล้วจัดการหยอกล้อเล่นกับแก่นกลางลำตัวของผมอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเขากำลังทำให้ผมเบี่ยงเบนความสนใจ แล้วมันก็ได้ผลซะด้วย ตอนนี้ความรู้สึกมันตีกันมั่วไปหมดเลย
ไม่ไหว...อยากปล่อยออกมา
แต่มัน...แต่มันยังไม่สุด มันยังไม่ถึงสักที ปลายนิ้วที่ถูกสอดใส่เข้ามาก็ค่อยๆ ขยับเข้าออกช้าๆ จนกลายเป็นเร็วขึ้นๆ มันกระแทกเข้ามาตรงส่วนไวสัมผัสจนทำเอาผมสะดุ้งเฮือกหลายต่อหลายครั้ง พอเห็นว่าผมเริ่มที่จะชินและผ่อนคลายเขาก็เพิ่มนิ้วเข้ามา คงเพราะยังมีน้ำลายเป็นตัวช่วยเลยทำให้เขาสอดใส่เข้ามาได้ถึงแม้ว่ามันจะเพียงแค่ครึ่งทางก็เถอะ แต่มันก็เจ็บจนผมต้องกัดริมฝีปากตัวเองแน่น
“ไม่เป็นไร ค่อยๆ ผ่อนคลาย”
ตะวันเช็ดน้ำตาของผมเบาๆ คงเพราะท่านี้ละมั้งมันทำเลยทำให้ผมเห็นความเป็นชายของเขาที่กำลังพองนูนจนเหมือนมันจะระเบิดออกมา ผมเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกันเลยรู้เลยว่าเขากำลังอดทนขนาดไหน เพราะผมเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง การเตรียมความพร้อมก็เลยเยอะกว่า ตะวันเขากำลังอดทนที่จะไม่ทำให้ผมเจ็บ เขาดูห่วงผมมากเลย
“ไม่เป็นไร เข้ามาเถอะ...เข้ามา”
ผมเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแหบพร่า พยายามผ่อนลมหายใจที่ขาดห้วงให้เป็นปกติเพื่อผ่อนคลายร่างกายที่ตึงเครียด ตะวันเองก็ช่วยผมเต็มที่ เขาละเลงลิ้นเล่นกับส่วนอ่อนไหวเพื่อดึงความสนใจจากช่องทางด้านหลัง ยอมรับเลยว่าไม่ว่าจะกี่ครั้งๆ มันก็ดึงความสนใจของผมได้ดีจริงๆ ผมรู้สึกได้ถึงนิ้วที่กำลังสอดใส่เข้ามาในตัวอีกครั้ง ตะวันดันเข้ามาเรื่อยๆ จนสุด เขาแช่ไว้ชั่วครู่ก่อนที่จะเริ่มขยับนิ้วทั้งสองอีกครั้ง มันเจ็บ...เจ็บจนผมหายใจไม่ออก แต่มันก็มีความรู้สึกแปลกใหม่เข้ามาด้วยเช่นกัน ทุกครั้งที่นิ้วยาวกระแทกกระทั้นลงบนจุดกระสันมันทำให้ผมขนลุกสู่ จนบางครั้งก็เปล่งเสียงที่น่าอายออกมา เขาทำแบบนั้นย้ำๆ ซ้ำๆ จนช่องทางเริ่มขยายแล้วก็สอดใส่นิ้วที่สามเข้ามา
“ตะวัน...ตะวัน อ๊า”
ใจของผมขาดแล้ว ไม่เอา...ไม่อยากได้นิ้ว
“เรย์ จุ๊บ จุ๊บ”
เขากดจูบที่ส่วนอ่อนไหว ขกกัดที่ส่วนหัว หยอกล้อเล่นกับส่วนปลายบานสีแดงเข้ม นิ้วทั้งสามก็ยังทำหน้าที่อย่างดี แล้วนั่นมันก็ทำให้ผมอดทนไม่ไหวอีกต่อไป
“อ๊า!”
ผมปลดปล่อยออกมาใส่ริมฝีปากคู่สวย ตะวันเองก็กลืนกินอย่างไม่รังเกียจจนบางส่วนไหลย้อยออกมาจากมุมปากของเขา ผมนอนหอบหายใจรวยรินอย่างหมดแรง มองดูตัวเองที่กำลังถูกช้อนไปอยู่บนตักแกร่ง อีกไม่นานสิ่งนั้นก็จะเข้ามาอยู่ในตัวผมแล้ว
“พร้อมนะ”
“อะอืม”
ผมตอบรับ ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มเลือนรางไปทุกขณะ ทำอย่างกับเพิ่งไปวิ่งมารอนธอนมาเลย แรงที่จะขยับก็แทบไม่มี
“ผ่อนคลายนะเรย์ ฉันไม่ไหวแล้ว”
เสียงทุ้มบอกกับผมอีกครั้ง แล้วไม่นานนักผมก็รู้สึกถึงตัวตนของตะวันกำลังจ่อมาที่ช่องทางสงวน ส่วนหัวถูกดันเข้ามาช้าๆ ผมสะดุ้งเฮือกไปด้วยความตกใจ
“จะ เจ็บ! ฮึก”
มันเจ็บมากเลย แค่เพียงส่วนหัวแค่นั้นเองแต่ทำไมมันถึงได้เจ็บขนาดนี้นะ แต่คนที่ทรมานมากกว่าก็คือตะวัน เขาอดทนเพื่อผม ดูจากสีหน้าตอนนี้สิตงกำลังพยายามสกัดกลั้นอารมณ์เต็มที่ แต่ไม่อยากให้ผมเจ็บก็เลยยังทนสินะ
“เข้า...เข้ามาเถอะ เข้ามาเร็วๆ ฉันต้องการนายนะ”
“อึก เรย์”
ผมโอบไปที่ลำคอของเขาแล้วซุกหน้าลงไปบนบ่าแกร่ง ฝันขาวขบกัดจนมันเป็นรอยแต่ก็ไม่เท่ากับที่ตะวันสร้างรอยเอาไว้จนทั่วลำคอของผม พอเห็นแบบนั้นแล้วตะวันก็เริ่มขยับสะโพกให้ส่วนแข็งขืนให้ดันเข้ามาจนสุดความยาว ขาทั้งสองข้างของผมเองก็หมดแรงจนต้องปล่อยให้ขนาบไปกับที่นอนแต่ก็ถูกตะวันรั้งเอาไว้แล้วสอดแขนมาใต้ข้อพับเอาไว้
“ฉันทนไม่ไหวแล้วเรย์”
“อ่ะ! อ๊าอ๊า ตะ...ตะวัน”
ร่างสูงขยับเข้าออกช้าๆ แล้วเริ่มเร็วขึ้นๆ จนตัวผมสั่นคลอน มันเจ็บก็จริงแต่ว่าพอตะวันกระทุ้งเข้ามาด้านในทีไรมันก็โดนจุดเสียวกระสันของผมทุกที ร่างกายที่ขาวระเรื่อก็แดงขึ้นมา ผมเผยอริมฝีปากคู่สวยกู่ร้องทุกครั้งที่เขาสอดใส่ ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ยิ่งกว่านิ้วทั้งสามมันทำให้ผม...หายใจไม่ทั่วท้อง
“อ๊าเรย์”
“อ่ะ! อ๊าอ๊า”
ผมไม่รับรู้อะไรเลย ได้ยินแต่เสียงเนื้อกระทบกันเท่านั้น ตะวันก้มหน้ามาจูบผม ลิ้นของเราสองคนพันกันเป็นพัลวัน ร่างกายของผมถูกจับเปลี่ยนท่วงท่าให้ตะแคงข้างโดยที่เจ้าตัวยังไม่ถอนแก่นกายออก พออยู่ในท่านี้แล้วมันทำให้ผมยิ่งรู้สึกเสียวกระสันมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม มือหนาเอื้อมมาจับที่แก่นกลางลำตัวของผมอีกครั้งแล้วขยับขึ้นลงเบาๆ ตามจังหวะที่กระแทกกระทั้นลงมา
มือของผมก็จิกไปที่นอนแน่นเพื่อระบายอารมณ์ที่กำลังอัดอั้น มือของตะวันก็ไม่ยอมปล่อยผมให้เป็นอิสระ เขาทำให้ผมรู้สึกอยากจะถึงอีกครั้ง แล้วมันก็ไม่นานด้วยเมื่อคราวนี้ผมปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นออกมาจนล้นฝ่ามือของตะวัน
“อ๊า~”
ผมฟุบหน้าลงไปกับหมอนใบนุ่ม มันเหนื่อยจัง อย่างกับไปวิ่งมารอนธอนมาเลย
“ดะ เดี๋ยวตะวัน! เดี๋ยวก่อน! อ๊าอ๊าอ่ะอ๊า”
ผมที่กำลังนอนหมดแรงสะดุ้งเฮือกอีกครั้งเมื่อถูกร่างหนาสอดใส่เข้ามาในตัวอย่างรุนแรง ถึงผมจะเสร็จไปแล้วสองรอบก็เถอะแต่ตะวันยังไม่เสร็จเลย แล้วก็คงเพราะผมเกร็งตัวมากไปหน่อยเลยทำให้ช่องทางด้านหลังขมิบถี่รัวราวกับว่ามันกำลังเชิญชวนให้แก่นกายใหญ่สอดใส่เข้ามาแรงๆ
“ตะวัน...ตะวัน อ๊าอ๊า”
ผมส่ายหน้าไปมาเมื่อทนไม่ไหว
“เรย์อ๊า”
น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกชื่อผมแหบพร่าแต่ก็เต็มไปด้วยเสน่ห์ แรงที่โหมกระหน่ำราวกับพายุมันทำให้ผมเริ่มที่จะเกิดความต้องการขึ้นอีกรอบ แก่นกายที่สงบนิ่งก็เริ่มชูชันอีกครั้ง ปากของผมก็พร่ำบอกให้ตะวันทำเร็วอีก แรงอีก ช่องทางของผมก็โอบรัดส่วนแข็งขืนเอาไว้แน่น กลืนกินตัวตนใหญ่เข้ามาจนสุดครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดเราสองคนก็ปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน
มันเป็นครั้งที่สามของผมแล้ว...ร่างกายก็เริ่มไม่ไหวจริงๆ มันอยากจะหลับมากเลย ผมตาปรือมองคนรักด้วยรอยยิ้ม ช่องทางที่ถูกเติมเต็มยังคงรัดแน่นจนผมรู้สึกว่าเขาคงยังไม่พอใจแน่ๆ แล้วดูท่าว่าผมจะต้องตามใจสามีของผมซะด้วย คืนรักของเราสองคนคงไม่จบง่ายๆ ซะแล้วสิ
 

 
 
TAKE
แฮ่ๆ >< กว่าจะมีเอ็นซี ก็เล่นซะตอนสุดท้ายเบย ไม่รู้จะฟินกันหรือเปล่า แต่พยายามทำให้ฟินละ ส่วนเรื่องภาค2 ตอนแรกเทคก็คิดว่าจะทำแต่มีปัญหานิดหน่อย ก็เลยอาจจะไม่มีน้องเรย์ภาค2 หรืออาจจะมี คืออันนี้เทคไม่แน่ใจอ่ะ เอาเป็นว่า ตอนจบของน้องเรย์ภาคนี้ บทสรุปจะอยู่ในเรื่องน้าาา อาจไม่ได้เอามาลงให้อ่าน แต่จะอยู่ในเล่มอ่ะ
ส่วนใครที่รออุดหนุนน้องเรย์อยู่ อดใจรอนิสนุงน้าาา ตอนนี้กำลังทำปกอยู่ และรอคิวทำเล่ม ซึ่งทางเรฟแจ้งว่าจะเปิดพรีเดือนมกราคม ปีหน้า ยังไงก็อดใจรออีกนิส!!!!! และเก็บตังค์ซื้อด้วยก็ดี ฮ่าๆ
 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน31-35 28/08/16 END
« ตอบ #199 เมื่อ: 28-08-2016 23:05:40 »





ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0


ประกาศ!

 
เปิดจองนิยายจ้าาาาา

 
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

 
สนพ.Rev Publishing

https://www.facebook.com/Rev.Publishing.BL/?fref=ts

[/size]

 

ออฟไลน์ zaturday

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
ร้องไห้หนักมากกกกกกกก อ่านจบคือแบบปวดตาเลยอ่ะ สงสารเรย์ แต่ก็นะ สุดท้ายทุกคนก็มีความสุข แฮปปี้เอน ตัวร้ายได้รับกรรม แต่อยากให้คนเขียนติดต่อแอ้ดมินเปลี่ยนกระทู้เป็นหัวข้อนิยายที่จบแล้ว เพราะอ่านไปแรกๆเราเกือบหยุดอ่านตอนเห็นกระทู้ว่าเป็นนิยายที่ไม่มาต่อจนจบ

ออฟไลน์ Aunttk

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ชอบแนวนี้อะ ดราม่าหนักๆแต่คือแฮปปี้ น้ำตาไหลพรากก  :hao5:

ออฟไลน์ Bb nale

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
น้ำตากี่ลิตรนี่ โธ่ ดราม่าชีวิตนายร้าย

ออฟไลน์ brookzaa

  • Chill out
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-6

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
ดราม่ามาก แต่คำผิดเยอะอยู่

ออฟไลน์ เข็มวินาที

  • Those who make the worst use of their time are the first to complain of its shortness
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ Dark_Evil

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ร้องไห้หนักมาก และอินมากค่ะ สนุกมาก

ออฟไลน์ dilokrittisak

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบเรื่องนี้ ดราม่าน้ำตาไหล :hao5: :hao5:
อินมากๆ

ออฟไลน์ nuch-p

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 345
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
 :sad4: :sad4:
ร้องไห้หนักมากกกกก

เนื้อเรื่องดีมากค่า

 o13 o13 o13

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด