ตอนที่ 7 6 โมงเช้าลุคลงมาเปิดร้าน แต่ยังไม่ทันจะเริ่มจัดโต๊ะเก้าอี้ เจตน์ก็มาถึง
“อ้าว ไหนบอกว่าจะพาเมียไปหาหมอ”
“ผมจำผิดครับ กลับไปดูวันนัดอีกที ปรากฏว่าเป็นวันพรุ่งนี้”
“งั้นพรุ่งนี้ก็เหมือนเดิม หยุดไปเลยก็ได้”
ตี๋น้อยร้านปาท่องโก๋ และขนมปังวิ่งตามหลังเจตน์มาไม่กี่ก้าวร้องเรียกแล้วส่งของตามที่สั่งไว้ ระหว่างทางมาร้าน
“ตี๋ มาไวมากเลย” เจตน์ทักแล้วส่งค่าอาหารให้
“ม้าบอกให้เอาของลูกค้าคนอื่นมาให้ร้านกาแฟเฮียฝรั่งก่อน” ตี๋น้อยบอกพร้อมกับรับเงินจากลุค แล้วก็รีบวิ่งกลับไป
ที่ต้องสั่งของกันรายวันแบบนี้ เพราะลุคปิดร้านบ่อยจนต้องใช้วิธีแวะสั่งของในระหว่างทาง
“คุณจะปิดร้านอีกแล้วหรือครับ”
ลุคพยักหน้า หันไปบอกให้เจตน์เตรียมอเมริกาโน่แก้วใหญ่
เจตน์ยังทำกาแฟให้เจ้านายยังไม่เสร็จ ลูกค้ารายแรกก็เดินเข้ามาในร้าน
จัสตินผู้มีสีหน้าบึ้งตึงเดินเข้ามาแล้วชี้ขึ้นไปข้างบน ลุคก็พยักหน้า จัสตินตอบกลับด้วยอาการกลอกตามองบนที่ไม่ได้เข้ากับใบหน้าแบบชาวเยอรมันเข้มข้นของเขาสักเท่าไหร่
เมื่อจัสตินนั่งลงตรงข้ามกับลุค เจตน์ก็ยกกาแฟและแซนด์วิชมาเสิร์ฟ
“คิดว่าจะมาตอนสายกว่านี้เสียอีก”
จัสตินตอบด้วยภาษาเยอรมันแบบโบราณ “ฉันไม่ได้มองนาฬิกา คิดว่าควรจะมาก็มา”
“จัสติน”
“ฉันมีหน้าที่คุ้มครอง ดังนั้นนายควรเลิกใช้วิธีหลอกฉันไปทางอื่น เพื่อที่นายจะไปผจญภัยกับคนรักของนาย”
ลุคจ้องมองจัสตินด้วยสายที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจ ทำให้จัสตินกล่าวคำขอโทษที่แทบไม่พ้นริมฝีปากแล้วจิบกาแฟ ตามด้วยแซนด์วิช
กลุ่มลูกค้าผู้สูงอายุ ทยอยเข้าร้านมาทักทายกับเจ้าของร้านแล้วเลือกหยิบของว่างตามชอบ จากนั้นไปจับกลุ่มอยู่ที่โต๊ะหน้าร้าน พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องข่าวสารและเรื่องทั่วไป เจตน์ชงชา-กาแฟโบราณอย่างรวดเร็ว แล้วตามไปเสิร์ฟ
“กินเสร็จ นายขึ้นไปนอนพักสักครู่ก่อนก็ได้ เพราะเขาเพิ่งจะได้นอน” ลุคเหลือบตามองนาฬิกาที่ผนัง “ก็ตอนเกือบเช้าแล้ว”
“แล้วนายได้นอนหรือยัง”
“ยัง”
“กู้ด”
ลุคตบไหล่จัสตินเบา ๆ “เจอกันตอนสาย”
ลุคกลับขึ้นมาข้างบนเพื่อเตรียมอาวุธ และสำรวจแผนที่ที่จะเดินทาง ไม่ถึง 5 นาทีจัสตินก็ตามขึ้นมา พูดคุยกันได้ครู่หนึ่ง บลูก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง
ทันทีที่บลูเห็นจัสตินก็ซัดลูกไฟเข้าใส่จัสตินทันที แต่เพราะว่าลุคใช้เครื่องรางควบคุมไว้ทำให้ลูกไฟนั้นสลายไปก่อนที่จะถึงตัวของจัสติน
บลูหันไปคว้าหนังสือและสิ่งของใกล้มือขว้างใส่ ลุคจึงเข้าไปกอดไว้ แต่บลูก็ยังพยายามเงื้อขาจะเตะ
แปลกที่บลูไม่ส่งเสียงออกมาจนกระทั่งถูกลุคกอดไว้
“ปล่อย”
“นายจะเริ่มต้นทำความรู้จักกับทุกคนด้วยการไล่เตะเขาไม่ได้นะบลู”
“มันคือผู้พิทักษ์!”
“เขาคือผู้พิทักษ์ของฉัน”
บลูหันกลับมามองหน้าลุค ขณะที่จัสตินแนะนำตัว
“ยินดีทีได้รู้จัก ฉันคือจัสติน ฮอฟมันน์ ผู้พิทักษ์ของลุค เมอร์ฟี”
บลูหน้างอออกคำสั่งกับคนที่กอดอยู่ “ปล่อยได้แล้ว”
แต่พอลุคปล่อย บลูก็เงื้อหมัดชกลุคทันที
และในเวลาเดียวกันนั้นเองที่จัสตินส่งพลังเพื่อที่จะผลักบลูออกห่างจากลุค แต่ลุคหมุนตัวมารับพลังของจัสตินเข้าไปเต็ม ๆ
ลุคที่ยังกอดบลูไว้ก้มลงมองคนที่มีสีหน้าตกใจ
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไอ้ ไอ้บ้า ลุค เมอร์ฟี!”
ลุคยิ้มขณะที่เช็ดเลือดที่มุมปาก “ยังด่าได้ แสดงว่าไม่เป็นไร”
“ฉัน ไม่เป็นอะไรหรอก นายน่ะแหละ ที่เป็น” บลูช่วยเช็ดเลือดที่มุมปากแล้วพยายามจะหมุนตัวลุคเพื่อที่จะดูแผ่นหลังที่รับพลังของจัสตินไปเต็มแรง “ผู้พิทักษ์บ้าอะไรวะ ซัดพลังใส่ลูกพี่ตัวเอง”
ได้ยินเสียงจัสตินบ่นอะไรสักอย่างเป็นภาษาเยอรมัน ประมาณว่า ‘พวกน่าเบื่อ’ แต่บลูไม่สนใจ ขณะที่เจตน์วิ่งหน้าตาตื่นขึ้นมาดู
“เกิดอะไรขึ้นครับ ผมได้ยินเสียงโครมครามดังลงไปถึงข้างล่าง”
“เรื่องเข้าใจผิดน่ะ ไม่มีอะไร ฝากขอโทษลูกค้าด้วย” ลุคบอกกับเจตน์
ส่วนบลูเปิดเสื้อด้านหลังของลุคจนได้ และได้เห็นว่ารอยแดงช้ำที่แผ่นหลังกำลังจางหายลงไปต่อหน้า
เมื่อเจตน์เห็นว่าไม่มีอะไรแล้วจึงกลับลงไปข้างล่าง
“เออ ใช่ นายรักษาตัวเองได้นี่หว่า” ดวงตาสีฟ้าช้อนมองคนที่หันมายิ้มให้ “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
“เพราะอย่างนี้เอง...” จัสตินพูดขึ้น
“อะไร” บลูหันมาหาเรื่อง
แต่จัสตินกระแทกเสียงในลำคอ แล้วยืนกอดอกหลังตรง “ไม่ต้องสนใจฉัน เชิญพวกนาย 2 คนตามสบาย”
บลูเงื้อหมัดจะชกคนตัวใหญ่ที่มีรอยยิ้มจาง ๆ แต่หันไปเห็นว่าจัสตินขยับตัวจะเข้ามาขวางก็เลยลดหมัดลง “ตกลงว่าเขาเป็นผู้พิทักษ์ของนาย แล้วไงต่อ”
“เปลี่ยนอารมณ์ไวชะมัด” จัสตินทำเป็นบ่นคนเดียวอีกครั้ง
“ฉันไม่ได้อยากเปลี่ยนอารมณ์ แต่ฉันต้องการจัดการเรื่องราวให้มันเสร็จ ๆ ไปจะได้กลับมาจัดการกับนาย” ดวงตาสีฟ้าของบลูเข้มขึ้น บ่งบอกว่าไม่พอใจจัสตินอย่างชัดเจน
แต่ทั้ง 3 คนต่างก็รู้ดีว่า บลูก็แค่ขู่ เพราะรู้ตัวแล้วว่าไม่ได้มีพลังมากพอที่จะทำอะไรสองคนตรงนี้ได้ และสาเหตุที่บลูโจมตีจัสติน ตั้งแต่แรกเหมือนกับในตอนที่เจอลุค ก็เพราะการที่ทั้งคู่คือมือปราบกับผู้พิทักษ์ ที่มีหน้าที่ปราบปรามพ่อมด ผู้ใช้เวทย์ดำ และปีศาจแบบบลูนั่นเอง
ลุคลูบด้านหลังศีรษะของบลู “ใจเย็น นอนไม่พอแล้วอารมณ์ไม่ดีตลอด”
บลูหันมาถามลุค “นายบอกว่าจะไปหาแม่มดสายดำ เมื่อไหร่จะไป”
ลุคดันคางสวยให้เงยขึ้นมารับจูบเร็ว ๆ “ไปสิ”
...
เบสฝันร้าย มีเงาดำที่ไม่เป็นรูปร่างเข้ามาห้อมล้อมและสร้างแรงกดดันจนหายใจไม่ออก เมื่อสะดุ้งตื่นขึ้นมาก็พบว่าข้าวโพดเป็นคนที่มาปลุก
ทั้งที่นอนอยู่ในห้องนอนที่มีเครื่องปรับอากาศ แต่ก็ยังมีเหงื่อซึมจากไรผมที่หน้าผาก และแผ่นหลังมีเหงื่อเปียกชุ่ม
“เบส เป็นอะไร”
เบสหอบหายใจ เหลียวมองไปรอบห้องแล้วมองหน้าข้าวโพด “ข้าวโพด”
“ใช่ กูเอง กูกำลังจะไปเรียน แวะมาดูเบสว่าเป็นไงบ้าง เห็นท่าทางอึดอัดเลยปลุก เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เราฝันร้ายน่ะ”
ข้าวโพดพยักหน้า ช่วยเช็ดเหงื่อที่ไรผม “งั้นก็ลุกมาอาบน้ำล้างหน้าเลยแล้วกัน วันนี้ไปเรียนไหวไหม”
“ไหว” เบสบอกแล้วลุกขึ้น
แม้ว่าจะไม่ได้ลุกขึ้นยืนในทันที แต่ตอนที่ลุกขึ้นยืนเบสก็ยังเซจนข้าวโพดประคองไว้
“ไหวจริง ๆ หรือวะ หยุดเรียนสักวันไหม”
“ไหวสิ” เบสบอก แตะที่มือของข้าวโพดแล้วเบี่ยงตัวเดินไปไปหยิบผ้าเช็ดตัว
“เออ งั้นก็อย่าล็อกประตูห้องน้ำแล้วกัน ถ้าล้มจะได้เข้าไปช่วยได้”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า” เบสเถียงด้วยรอยยิ้มขำ
“งั้นกูลงไปบอกให้เขาเตรียมข้าวต้มไว้ให้ แล้วจะขึ้นมาดูอีกทีนะ”
รอเบสเข้าห้องน้ำไปแล้ว ข้าวโพดถึงได้ลงมาบอกแม่บ้านให้เตรียมข้าวต้มสำหรับเบสด้วย
“เบสไปเรียนไหวหรือลูก” แม่ถาม
“ดื้อน่ะแม่”
“อ้าว”
“เมื่อกี้ตอนไปปลุก พอลุกขึ้นมายังเซอยู่เลย แต่ก็บอกว่าจะไปเรียน ไม่ยอมหยุดอยู่บ้าน”
อัจฉรารู้สึกขำ “ตรงข้ามกับข้าวโพดเลยนะ เราน่ะ ปวดหัวนิดน้อยก็โอดครวญไม่อยากไปเรียน”
“ปวดหัวไม่นิดหน่อยนะแม่” ข้าวโพดเถียงแล้วหันไปมองนาฬิกา “ผมขึ้นไปดูเบสอีกทีดีกว่า ไม่ลงมาสักที แม่จะไปทำงานแล้วใช่ไหม”
“ใช่ สายแล้วรถติด แม่ออกเช้าหน่อยดีกว่า นี่แล้วอย่าลืมนะ ว่าพฤหัสฯ นี้แม่ไปญี่ปุ่น”
“ลืม” ข้าวโพดบอกตามตรง
“เรานี่มันจริง ๆ เลย” อัจฉราส่ายหน้า แล้วหันไปสั่งแม่บ้านเรื่องการดูแลทั้ง 2 หนุ่มและบ้านในระหว่างที่เธอไม่อยู่
ข้าวโพดเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วก็เดินขึ้นมาดูเบสที่ห้องนอน เห็นว่าแต่งตัวเสร็จแล้ว
“เสร็จแล้ว ถึงกับต้องขึ้นมาดูเลยหรือ”
“ก็เออสิ เห็นตั้งนานแล้วไม่ลงไปสักที” ข้าวโพดมองดูเบสที่กำลังเซ็ตผม เสร็จก็หันไปหยิบกระเป๋าเรียน
“เสร็จแล้ว”
“อืม ลงไปกินข้าวต้มก่อน แล้วจะได้ไปเรียน”
เบสนั่งหลับตามาตลอดทางตั้งแต่บ้านจนถึงมหาวิทยาลัย และลืมตาขึ้นก็ตอนที่ข้าวโพดกำลังถอยหลังรถเข้าจอดที่ลานจอดรถข้างหอสมุดคณะศิลปศาสตร์ ที่จะใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาที ไปถึงคณะบริหารธุรกิจ
“เบสนอนต่ออีกสักสิบห้านาทีก็ได้ อีกครึ่งชั่วโมงถึงจะถึงชั่วโมงเรียน”
“ไม่เป็นไรแล้ว” เบสพูดขณะที่หยิบกระเป๋า “ทำไมนอนในรถข้าวโพดกลับหลับสบายกว่านอนที่บ้านเสียอีก”
“ดีเลย งั้นเดี๋ยวพักเที่ยงกินข้าวเสร็จ เบสก็มานอนต่อในรถกูเลย”
ทั้ง 2 คนลงจากรถข้าวโพดก็เดินอ้อมมาหาเบส แตะหลังมือที่หน้าผากสวย
“เราไม่เป็นไรแล้วจริง ๆ”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
เบสสงสัย “มีอะไรหรือเปล่า”
“อะไรคือมีอะไร”
“ก็ดูข้าวโพดเป็นห่วง”
“กูก็ต้องห่วงสิวะ” ข้าวโพดอยากแย่งกระเป๋ามาถือไว้เอง แต่คาดว่าเบสคงไม่ยอม “เบสไม่เห็นตัวเองนี่ ว่าเป็นยังไงบ้าง นี่เพราะดื้อจะมาเรียนหรอก กูถึงต้องคอยดู”
เบสพูดขอบใจ “เราไม่อยากขาดเรียนน่ะ”
ตอนที่เดินผ่านบอร์ดข้างทางเดินที่เชื่อมต่อจากอาคารหอสมุด มาที่อาคารคณะบริหารธุรกิจ มีแผ่นกระดาษขนาด A4 สีเหลืองกรอบติดอยู่ที่มุมขวามือล่างของตู้ ทั้ง 2 คนที่กำลังจะเดินผ่านไปต้องหยุดมอง
เดินผ่านบอร์ดนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นป้าย
“อะไรน่ะ” เบสก้มลงอ่าน “คลาสพิเศษการควบคุมจิตใจตอนสี่ทุ่ม ที่อาคาร06 คณะสังคมฯ อาคารเก่า ๆนั่นน่ะหรือ”
ข้าวโพดพูดขึ้นบ้าง “วิชาเลือกมั๊ง กูไม่ได้ลงตัวนี้ เบสเองก็ไม่ได้ลงเหมือนกันใช่ไหม” ข้าวโพดจำได้ “นี่ระบุวันที่เป็นวันนี้ด้วย แต่กระดาษนี่มันเหลืองกรอบอย่างกับติดมานานเป็นปีเลยนะ”
“แบบนี้มันก็ดูแปลก ๆ” เบสนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “เออ ใช่ แล้วเมื่อคืนพี่บลูมาหรือเปล่า”
ข้าวโพดไม่อยากโกหก ก็เลยปัดไปเรื่องเรียน “ไปเรียนกันดีกว่า”
“เดี๋ยว ข้าวโพด” เบสดึงมือข้าวโพดไว้ “พี่บลูมาใช่ไหม แล้วทำไมข้าวโพดไม่ปลุกเรา”
“ก็เบสไม่สบาย”
“แต่เรารอเขาอยู่ ข้าวโพดก็รู้” เบสตัดพ้อ “เราอยากเจอพี่บลู แล้วพี่เขาคุยกับข้าวโพดว่ายังไงบ้าง ข้าวโพดบอกเขาหรือเปล่าว่าเราไม่สบาย แล้วเขาบอกไหมว่าจะมาอีกเมื่อไหร่”
ข้าวโพดเลือกตอบคำถามข้อสุดท้าย “ไม่ได้บอก”
“ข้าวโพดไม่อยากบอกเรามากกว่า เหมือนกับที่ไม่ยอมปลุกเราทั้งที่พี่บลูมาหาแล้ว แล้วเขาคุยอะไรกับข้าวโพดบ้าง”
ข้าวโพดก้มลงมอง 2 มือที่จับมือของตนเองไว้ แล้วมองสายตาอ้อนวอนของเบส
“เขาก็บอกให้ดูแลเบสดี ๆ บอกว่าอย่าเพิ่งให้กลับบ้าน”
“ทำไมล่ะ ทำไมถึงไม่ให้กลับบ้าน”
“ไม่รู้หรอก เขาบอกแค่นี้”
“ข้าวโพดไม่อยากบอกมากกว่า”
“เขาสั่งให้กูไม่บอก ว่าเขามาหาแล้ว แต่กูก็ขัดคำสั่งเขา แล้วก็ยังถูกต่อว่าเสียอีก”
เบสที่ไม่พอใจทำตอบนี้ปล่อยมือจากข้าวโพด แล้วเดินนำกลับไปที่อาคารเรียน ปล่อยให้ข้าวโพดส่ายหน้าด้วยความเซ็งแล้วเดินตามมา
การที่เบสออกอาการ ‘งอน’ อย่างจริงจัง ไม่พูดด้วยจนถึงคาบบ่ายที่จะต้องแยกกันเข้าเรียน ทำให้ข้าวโพดต้องใช้วิธีส่งข้อความเข้ามือถือบอกว่าเลิกเรียนแล้วให้รออยู่ที่หน้าอาคาร อย่าเพิ่งรีบกลับไปก่อน
พอเลิกเรียนเบสก็เดินกลับมารออยู่ที่หน้าอาคารเจอกับกลุ่มของนานาที่รอรวมกลุ่มเพื่อที่จะพากันไปเดินเล่นหลังเลิกเรียน
“เบส” นานาโบกมือเรียกหนุ่มตัวเล็กให้มานั่งด้วยกัน “เบสอยู่ชมรมละครหรือเปล่า”
เบสส่ายหน้าทันที “อยู่ชุมนุมสัมพันธ์”
ปายที่นั่งอยู่กับนานา ถามต่อ “ที่ไปดูแลคนพิการน่ะหรือ”
“คนพิการ คนชรา เด็กในชุมชน สัตว์ที่ถูกเอามาทิ้ง ก็ด้วย”
“ตอนปี 1 เบสก็อยู่ชุมนุมนี้ใช่ไหม” ปายถามต่อ
“ใช่ พี่เขาน่ารักดี ไม่บังคับเรื่องลงเวลาให้ครบ ถ้าไม่ว่างไปทำกิจกรรมก็ช่วยค่าอาหารได้” แต่ส่วนใหญ่เบสจะรับหน้าที่ขับรถไปซื้อของ และช่วยจัดเตรียมของที่ชุมนุม
“สนใจไปช่วยงานชุมนุมละครไหม” นานาถามขึ้นมา “เขากำลังขาดคน”
“ไม่ละ” นั่นเป็นชุมนุมสุดท้ายที่เบสคิดถึง “ทำไมชวนเราล่ะ”
“ก็บอกอยู่นี่ไงว่าเขาขาดคน ฉันก็ชวนไปทั่วละแก แต่ทุกคนพากันทำหน้าอย่างแกหมด”
“ไม่อยากเชื่อว่าชุมนุมนี้ขาดคน” ปายบอก “แล้วแกจะไปช่วยเขาไหม”
นานาพยักหน้า “ก็ทำหน้าที่ช่วยหาคนอยู่นี่ไง”
ปายทำหน้าเบื่อหน่าย “สรุปคือแกช่วยทุกชุมนุมเหมือนเคย”
“ไม่ใช่สักหน่อย มันเป็นเรื่องที่ช่วยได้ก็ช่วยแค่นั้นแหละ” นานาหันมาบอกกับเบส “ตอนที่พี่เก่งประธานชุมนุมเขาจะทำละครเรื่องใหม่ เขาเคยมาคุยกับข้าวโพดให้ไปเล่นละครให้เขาด้วยนะ แต่มันปฏิเสธเขาไป บอกว่าเล่นไม่เป็น”
เบสสงสัย “ทำไมเขาถึงชวนข้าวโพดล่ะ”
“ไม่รู้ ฉันก็ถามแกอยู่นี่ไง”
“เราก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าชื่ออยู่ชุมนุมกราฟฟิค แต่ไม่เคยเห็นไปชุมนุมเลยสักครั้ง”
นานาพยักหน้าเพราะข้าวโพดก็ไม่ได้ต่างจากชายหนุ่มคนอื่นในคณะเดียวกันที่มีชื่ออยู่ในชุมนุมแต่เข้าชุมนุมไม่เกิน 5 ครั้งตลอดทั้งปี
ที่แปลกก็คือการที่เบสไม่ค่อยรู้เรื่องของข้าวโพด ขณะที่ข้าวโพดรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเบส
“นานา รู้จักใครที่ลงคลาสพิเศษการควบคุมจิตใจไหม”
2 สาวส่ายหน้าพร้อมกัน
“ชื่อน่ากลัว” ปายบอก
“มีด้วยหรือ” นานาถาม
“อย่างนั้นก็คงเป็นเรื่องแกล้งกันของเด็กศิลป์” เบสบอก
นานากับปายช่วยกันถามว่าทำไมจู่ ๆเบสถึงได้ถามเรื่องนี้ เบสก็บอกไปตามที่เห็นมา ทั้ง 2 สาวก็สรุปเรื่องตรงกันว่านี่คือเรื่อง ‘แกล้งกัน’ ของเด็กศิลป์อย่างแน่นอน
เมื่อเพื่อน ๆ เลิกเรียนแล้วทยอยเข้ามาสมทบ หัวข้อการพูดคุยกันก็เปลี่ยนไปที่เรื่องอื่น
แหม่มพอเห็นว่าเบสนั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าอาคารก็ตรงเข้ามาทัก
“เบส ฉันถามแกตรงๆ เลยนะ”
เบสพยักหน้า
“แกรอใคร”
“รอใคร” เบสย้อน
“ก็เนี่ยมานั่งรอใครอยู่”
“จะรอใคร ก็รอแฟนเขาสิ” ปายบอก “พี่บลูน่ะ แกก็เห็นไม่ใช่หรือไง ที่เขามาหาเบสอาทิตย์ก่อนน่ะ”
แหม่มบอกว่าจำได้ “หน้าตาดีขนาดนั้น จะลืมได้ไง แต่ถ้าแกรอพี่บลู ฉันก็จีบข้าวโพดได้ใช่ไหม”
เบสอึ้งไปวินาที แล้วพยักหน้าแบบงง ๆ “จะจีบก็จีบสิ แล้วถามเราทำไม”
“เช็คเพื่อความชัวร์ไง ว่าแกไม่เอาข้าวโพดแน่ ๆ”
นานาสะกิดแหม่ม “ใจเย็นนังแหม่ม เดี๋ยวผู้หนีหมด”
ปายหัวเราะเพื่อนสาวคนกล้า “ประกาศเสียงดังขนาดนี้ รู้กันทั้ง 4 ชั้นปี 5 ภาควิชาแล้วมั๊งเนี่ย”
“แกร๊” แหม่มเสียงแหลมปรี๊ด แล้วหันมาบอกกับเบส “ยังมีใครที่ไม่รู้ว่าฉันเล็งข้าวโพดอีกหรือไง”
“เรา” เบสพูดเบา ๆ
“งั้นตอนนี้แกก็รู้แล้วใช่ไหม”
เบสพยักหน้า ขณะที่นานาส่ายหน้า แล้วไล่แหม่มไปเติมแป้งระหว่างที่รอข้าวโพดเลิกเรียน ปายก็เลยตามแหม่มไปด้วย
พอ 2 สาวห่างออกไปนานาก็หันมาถามเบส “นัดพี่เขาไว้กี่โมง”
“ไม่ได้นัดเวลาหรอก”
“มิน่าถึงได้มองนาฬิกา มองโทรศัพท์อยู่ตลอด” พอเบสไม่ตอบ นานาก็เดา “เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ที่จริงเมื่อวานเราไม่ค่อยสบาย ตอนที่กำลังหลับอยู่ปรากฏว่าเขามาหาแล้วเจอกับข้าวโพด ก็เลยไม่ได้เจอ”
“แล้วเขาเข้าใจผิดหรือไง ที่แกอยู่กับข้าวโพด”
“ไม่หรอก เขารู้แหละว่าเพื่อนกัน”
“แล้วพอตื่นก็เลยโทรหาเขา นัดให้มารับที่มหา’ลัย หรือไง” นานาเดาไปเรื่อย ๆ
“ไม่ได้โทรหรอก เพราะปกติมีแต่เขาที่โทรมา”
นานาสงสัย แต่มีมารยาทมากพอที่จะไม่ซ้ำเติมความกังวลของเพื่อน “เขารู้ว่าแกไม่สบาย ยังไงก็ต้องติดต่อกลับมาอยู่แล้ว”
เบสพยักหน้าแบบซึม ๆ นานาก็ให้กำลังใจต่อ “ดูเขาเป็นห่วงแกออก” จากนั้นก็เปลี่ยนไปอีกเรื่อง “เมื่อวันก่อนที่ฝากนทีเอาแซนด์วิชไปให้ แกกินหมดหรือเปล่า”
“หมด ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไร พอวันนี้เห็นแกกลับหน้าใสกิ๊กเหมือนเดิมก็ดีแล้ว”
“นานาก็พูดเกินไป” เบสหัวเราะเบาๆ
“ไม่หรอก เราพูดความจริง เบสน่ะผิวดีจนสาว ๆ ยังอิจฉา”
“นานา เป็นอะไรเนี่ย จู่ ๆก็มาชมกันแบบนี้ เราเริ่มไม่ไว้ใจละนะ”
นานาหัวเราะคิกคัก “ให้กำลังใจเพื่อนคิดมากไง ไม่ต้องกลัว ฉันไม่คิดจะจีบแกแน่นอน”
“นที”
“โอ้ย บ้า” นานาตีแขนเบส “ห้ามพูดถึงนะ”
“ทำไม พูดถึงแล้วเป็นไง” นทีเพื่อนผิวเข้ม ‘พุ่ง’ ตรงเข้ามาที่โต๊ะ โดยมีข้าวโพดกับกลุ่มเพื่อนของเขาเดินตามหลังมาด้วย
“เพราะแกก็จะอยากรู้นั่นนี่ไม่หยุดน่ะสิ เบื่อจะตอบคำถาม”
“เธอเองก็ถามนั่นนี่ไม่หยุดเหมือนกันนั่นแหละ เห็นมาตั้งแต่ไกลว่าพูดไม่หยุดเลย”
“นที” นานาเสียงเข้ม
“จ๋า”
“อย่ามาจ๋า น่ากลัวกว่าหนังสยองขวัญเสียอีก ไปซื้อน้ำให้หน่อยสิ เผื่อเบสด้วยนะ”
นทีวางหนังสือ แล้วหันไปเรียกข้าวโพด “มึงไปซื้อน้ำกะกูหน่อย นายหญิงสั่ง”
แต่เพื่อนอีกคนวางหนังสือไว้ที่โต๊ะแล้วอาสาไปแทน
“เบส ยังไม่สบายอยู่หรือเปล่า”
เบสส่ายหน้า
เพื่อน ๆที่เพิ่งเลิกเรียนลงมาถึงส่งเสียงทักทายกันวุ่นวาย แต่ข้าวโพดยังเฝ้ามองคนที่หันไปมองทางอื่น จนนทีถือขวดน้ำกับขนมมาให้
เบสขอบใจนที แต่ไม่ได้ขอบใจคนที่เปิดขวดน้ำให้
ทั้งนทีและนานาต่างลอบสังเกตอาการของทั้งคู่ แล้วสบตากันเงียบ ๆ
ข้าวโพดเหลียวมองไปรอบตัว เห็นว่าวันนี้เพื่อน ๆ เกือบทั้งคณะยังรออยู่
“ยังไงกันเนี่ยสาว ๆ เลิกเรียนแล้วไม่ไปไหนกันหรือไง ทำไมอยู่กันเยอะ”
แหม่มที่เพิ่งมาถึงสะกิดให้นทีลุกไปนั่งที่อื่น นทีก็ลุกขึ้นอย่างงง ๆ แต่ร้องอ้อในทันทีที่เธอนั่งลงแล้วกอดแขนข้างหนึ่งของข้าวโพด “ข้าวโพด วันนี้ขอแหม่มติดรถกลับบ้านด้วยคนสิ”
ข้าวโพดที่มีรถไว้คอยรับ-ส่งเพื่อนตอบรับทันทีทั้งถามต่อว่าจะมีใครติดรถกลับไปด้วยอีก
นานาหันมาบอกเบสที่กำลังบิขนมปังเป็นชิ้นเล็ก ๆ เข้าปากไปชิ้นเดียวแล้วทำท่าจะอิ่ม
“กินอีกนิดสิเบส กว่าจะถึงบ้าน กว่าจะได้กินมื้อเย็นอีกเป็นชั่วโมง”
“กลัวอ้วกหรือ” นทีถาม
“ไม่หรอก ไม่ค่อยอยากกินน่ะ”
นานามองขนมปังในมือของเบสแล้วหันมาหานที “มื้อเช้านึกอะไรไม่ออกก็ซื้อแซนด์วิชให้เพื่อน เย็นลงก็ยังซื้อขนมปังให้เพื่อนอีก ไม่สร้างสรรค์เลยนที”
“ตอนนี้ ที่ซุ้มเจ๊อ้อ นอกจากขนมปังก็เหลือแต่ขนมถุงแล้วขอรับนายหญิง”
เบสมองเพื่อน 2 คนแล้วกินขนมปังต่ออีกหน่อย “กินแล้ว ไม่ต้องเถียงกัน”
ท่าทางกลัวเพื่อนจะทะเลาะกันของเบสน่ารักจนเพื่อน ๆกลั้นขำจนเจ็บแก้มไปตามกัน
เบสหน้าตาเหรอหรา “เป็นอะไร”
“ไม่เป็นไร แกกินเถอะ ข้าวโพดไปส่งเบสใช่ไหม” ตอนท้ายนานาหันไปถามข้าวโพดที่ยังยิ้มค้างอยู่
“ส่งฉันด้วย” แหม่มที่ไร้ตัวตนไปชั่วครู่ท้วงขึ้นมา
ข้าวโพดพยักหน้า แล้วหันไปมองเบสที่ก้มหน้ากินขนมปังไส้ถั่วหวานต่อ
นานากับนทีหันไปมองกันแล้วพยักหน้าเงียบ ๆอีกครั้ง
“ไม่ต้องรีบนะ เดี๋ยวติดคอ”
ต่อให้ข้าวโพดไม่พูดอะไร เบสก็ไม่ได้เร่งความเร็วในการกินอยู่แล้ว
ระหว่างที่เพื่อนกำลังคุยกันเรื่องที่ใครจะไปรถใคร และจะไปลงที่หน้ามหาวิทยาลัย หรือจุดผ่านตรงไหน กลุ่มเกย์สาวหลายคนจากต่างคณะ กำลังเดินมาทางนี้
เพราะเป็นกลุ่มที่มาจากคณะอื่น ทำให้หลายคนที่นั่งอยู่หันไปมอง
หนึ่งในกลุ่มแยกเดินออกมาหาข้าวโพด
“ข้าวโพด เราชื่อวิทนีย์”
ข้าวโพดหันมามองเบสทันที แต่เบสก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง
“วิทนีย์ขอเบอร์ข้าวโพดได้ไหม”
แหม่มโวยวายทันที “นี่ไม่เห็นหรือว่า ฉันกอดแขนข้าวโพดอยู่ แกมาจากไหนนี่ ถึงได้กล้ามาขอเบอร์”
“ก่อนนี้เราคิดว่า ข้าวโพดเป็นแฟนเบส แต่ในเมื่อไม่ใช่ ก็แปลว่าข้าวโพดโสด” วิทนีย์หันมาถามย้ำกับเบส เบสก็พยักหน้า “เห็นมั้ย เรามีสิทธิ์ที่จะขอเบอร์ได้”
ข้าวโพดมีสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่รับโทรศัพท์ของวิทนีย์มาพิมพ์เบอร์โทรฯแล้วส่งคืนให้
วิทนีย์รับมาด้วยความดีใจ ขณะที่กลุ่มเพื่อนสาวที่รอให้กำลังใจพากันส่งเสียงกรี๊ด และยิ่งส่งเสียงดังขึ้นกว่าเดิมเมื่อวิทนีย์เขย่งเท้าหอมแก้มข้าวโพดแล้ววิ่งกลับไปรวมกับกลุ่มเพื่อน
“นางไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหนกัน” แหม่มหมั่นไส้สุด ๆ
นานาเอียงตัวมากระชิบกับเบส “น่าสงสารแหม่มเหมือนกันนะ ชอบข้าวโพดมาตั้งนาน พอนางจะจีบก็มีเกย์เข้ามาเป็นคู่แข่งเสียอีก”
เบสพยักหน้า ปายส่งค้อนให้นานาเบา ๆ แล้วหันมาถามข้าวโพด
“ตอนที่พี่บลู ฝากข้าวโพดดูแลเบส เขาว่าไงบ้าง”
ข้าวโพดไม่รู้ว่า เบสบอกกับเพื่อนไว้อย่างไร แถมเบสก็ไม่ได้ทีท่าทีว่าจะช่วยตอบเลยสักนิดก็เลยตอบไปแบบที่ปลอดภัยที่สุด “เขาก็แค่บอกว่าฝากดู เพราะเขามีงานเยอะ” จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องเมื่อเบสกินขมมปังเสร็จแล้วดื่มน้ำ “สาว ๆ เชิญที่รถครับ จะกลับแล้วครับ”
“งั้นก็แสดงว่าข้าวโพดเจอพี่เขาที่บ้านเบสบ่อยละสิ”
“สาว ๆ ครับตกลงเป้าหมายของสาว ๆ อยู่ที่ไหนครับ พี่บลู เบส หรือกูครับผม โฟกัสไม่ถูกแล้วครับ”
“ข้าวโพดนะ” สาว ๆ โวยวาย “ก็อยากรู้ทั้งหมดแหละ”
ข้าวโพดไม่ยอมตอบอะไรอีก แต่เร่งให้ทั้งหมดไปขึ้นรถ แต่ปรากฏว่า สาวทั้งกลุ่มรวมถึงนทีพากันไปขึ้นรถของนานา มีแต่แหม่มที่เดินควงแขนข้าวโพดมาที่รถ เบสก็เลยไปนั่งที่เบาะหลัง ทั้งไม่ได้ย้ายไปนั่งหน้า แม้ว่าแหม่มจะลงรถไปแล้ว
“เบส” ข้าวโพดหันมาเรียก แต่เบสกอดอกหันออกไปมองนอกรถ “เบสครับ หายโกรธได้แล้ว กูขอโทษ ถ้าคืนนี้พี่บลูมา สัญญาว่าจะปลุกแน่นอน” อ้อนขนาดนี้ แต่เบสก็ยังนิ่งเงียบมาจนถึงบ้าน
(มีต่อครับ)