“พี่เดือนสนุกมั้ยครับ ได้แกล้งผมเนี่ย”
“?”
“หยิกแก้มผมน่ะ” ผมนั่งหน้าบูดอยู่กับพี่เดือนในโรงอาหารสอง พี่เดือนกำลังตักข้าวผัดไข่เข้าปากในขณะที่ผมคนน้ำส้มคั้นในแก้วเล่นเพราะกินผัดไทหมดแล้ว “อย่ากลั้นหัวเราะสิ!”
“ก็กุมภ์ชอบทำตัวให้น่าแกล้งนี่นา”
“เอาพี่เดือนคนเก่าเมื่อเทอมที่แล้วคืนมาเดี๋ยวนี้เลยนะ” ผมแก้แค้นเขาโดนการขโมยไข่ในจานเข้าปากตัวเอง “แบบนั้นยังน่ารักกว่าอีก”
“เขินนะเนี่ยที่มีคนชมว่าพี่น่ารัก” พี่เดือนหลุดหัวเราะออกมาจนได้ นั่นยิ่งทำให้ผมหัวเสียเข้าไปใหญ่เลยนะ!
ผมรอนทีมาที่นี่พร้อมกับเพื่อนอีกสองคน แต่สุดท้ายก็ไม่มาสักทีเพราะพี่ในชมรมของนทีมันไม่ยอมปล่อยให้ออกมากินข้าวตอนนี้ ส่วนคนอื่นก็ส่งข้าวส่งน้ำให้เพื่อนร่วมห้องกันอยู่ มีแค่พวกเราที่ว่างงานจนเดินเล่นได้ “จะว่าไปแล้ววันนี้นทีจะได้ขึ้นเวทีใหญ่มั้ยนะ...”
“เห็นบอกว่าวันนี้ไม่ได้ขึ้นแล้วล่ะ” พี่เดือนมองไปที่นอกโรงอาหาร “อ้าว นั่นเพื่อนนี่นา”
อุ้มกับดินเดินตรงมาด้วยสภาพที่ไม่ค่อยดีนัก เหมือนโดนใช้งานนักก่อนจะลากมาที่นี่ได้ ผมเปิดขวดน้ำกรอกปากเพื่อนไปให้สดชื่อตื่นตัวก่อนที่จะพากันเล่าเรื่องที่ไปเจอมา
“เนี่ย ตอนนี้คนในชมรมดนตรีพากันวุ่นวายใหญ่ จู่ๆนทีมันก็ล้มลงไปเลย”
“อ้าว”
“มันอาการไม่ค่อยดี เพราะคืนก่อนโหมตัวเองหนักไปหน่อยจนมีสภาพเป็นอย่างนั้น ยิ่งมาซ้อมนักวันนี้ก็ยิ่งทำให้ร่างกายรับไม่ไหว สวิทช์เครื่องดับเหมือนถอดปลั๊กคอมทั้งที่ยังไม่ได้ชัดดาวน์” อุ้มอธิบาย “แต่ก็พาไปนอนในห้องพยาบาลแล้วล่ะ วันนี้คงไม่ได้แสดงอะไร”
“น่าเสียดายอยู่นะ แต่เพื่อตัวมัน ทำแบบนี้คงดีกว่า” ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับดิน “พี่เดือน วันนี้เดทกับกุมภ์มีความสุขมั้ยครับ?”
“เดทอะไรเล่า!!”“อ๋อ ทั้งมีความสุขทั้งสนุกที่ได้แกล้งเด็กเลยล่ะ” ว่าแล้วพี่เดือนก็ยื่นมือเข้ามาหยิกแก้มผมอีกแล้ว! “พี่อยากให้กุมภ์ตัวเท่านี้ตลอดไปเลย มีแก้มให้บีบ”
“โปรโมชั่นความรักสุดๆ เอาเป็นว่าช่วงบ่ายพวกผมไม่กวนหรอกนะครับ เดี๋ยวต้องไปลงสนามรบอีก”
“แล้วหลังจากนี้ก็มีงานกีฬาสี” อุ้มร้อง “ตายๆๆ แล้วก็สอบ ตายแน่ๆ”
“พี่ติวให้ก็ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“โอ้ย ไปติวให้กุมภ์มันคนเดียวเถอะค่ะพี่ อยู่ด้วยกันบ่อยๆไปเลย” อุ้มยิ่งใส่ฟืนให้ผมร้อนๆที่หน้า ดังนั้นผมจึงเอื้อมมือไปตบต้นแขนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มให้ “เจ็บนะเฮ้ย!”
“ใครเขาให้พูดเรื่องนี้เสียงดังกัน”
“แหม่ๆ แสดงว่ายังไม่ได้อ่านโพสของเพจคิ้วท์โรงเรียนสินะ ที่ลงแซวมึงกับพี่เดือนอะ”
“ฮะ?”
“เขียนเอาไว้ว่า ‘สองคนนี้อยู่ด้วยกันตลอดจนแทบจะติดกันอยู่แล้ว แถมได้ข่าวว่าดวงพี่เดือนมีแววจะได้สละโสด หรือว่าจะเป็นรองหัวหน้าชมรมบรรณารักษ์คนนี้กัน’ คนแชร์กันเต็มเลย”
“นั่นก็แค่คำทำนายรึเปล่า มันจะเป็นจริงได้สักกี่เปอร์เซ็นกัน” ผมส่ายหน้า
“แต่พี่ก็หวังให้มันเป็นจริงสักวั--”
“ว้าก!!”รีบเอามือตะคลุบปากพี่เดือนเอาไว้ก่อนที่พี่เขาจะพ่นคำหวานชวนขนลุกออกมาจนคนหันมามองทั้งโรงอาหาร อุ้มกับดินหัวเราะเสียงดังลั่นจนผมค้อนสายตาส่งไปให้ ส่วนเจ้าตัวคนพูดก็ทำลอยหน้าลอยตาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เหมือนว่ากำลังปั่นให้ผมอารมณ์เสียอยู่คนเดียว
ผมไม่พูดกับพี่เดือนไปสักสิบนาทีจนเขาเริ่มรู้ว่าผมกำลังหงุดหงิดจริงนั่นแหละ เขาถึงยอมง้อผมด้วยการเอาขนมมาให้
“ขอโทษนะครับ...” พี่เดือนยื่นถาดขนมครกมาให้ น่าจะเพิ่งซื้อมาจากร้านข้างๆร้านข้าว “พี่ไม่หยอกแล้ว”
“...ครับๆ เฮ้อ...” แล้วผมเองก็ใจอ่อนง่ายด้วย พี่เดือนยิ้มร่าก่อนที่จะส่งถาดขนมมาให้หน้าผม “ขนมครกใส่ข้าวโพดกับเผือก? ปกติเขาใส่ผักลงไปไม่ใช่เหรอร้านนี้?”
“เห็นว่าวันนี้เป็นวันพิเศษเลยทำไว้หลายแบบ ความจริงถ้าทำแบบมีข้าวโพดกับเผือกแต่แรกอาจจะขายดีกว่านี้” พี่เดือนมองถาดขนมนั่น “กุมภ์มีกล้องมาด้วยรึเปล่า?”
“กล้อง? ผมไม่ได้เอามานะครับ รอถ่ายงานกีฬาสีอย่างเดียวเลย ดีนะที่ห้องผมไม่ได้ขึ้นแสตนด์ แต่ก็ไม่ได้ไปเดินขบวนเหมือนกัน”
“อ้าว? แล้วห้องกุมภ์ทำอะไรล่ะ?”
“คนที่แข่งกีฬาก็มีงานทำแน่นอนครับ แต่คนที่เหลือนี่คงจะเร่ร่อน” ผมส่ายหน้า “ผมอยากมีส่วนร่วมในงานกีฬาสี ไม่งั้นผมจะไม่ได้ร่วมกิจกรรม แล้วก็จะไม่ผ่านอีก”
“งั้นมาช่วยพี่เปิดกับปิดพิธีมั้ย?”
“ครับ?”
พี่เดือนป้องมือตัวเองเพื่อกระซิบกับผม “เดี๋ยวพี่ใช้เส้นพี่ช่วยให้กุมภ์ยืนเป็นพิธีกรช่วยพี่เปิดปิดพิธี เท่านี้ก็มีกิจกรรมแล้ว”
“มันจะไม่โกงคนอื่นไปหน่อยเหรอครับนั่น” พี่เลิกคิ้ว ปกติแล้วพี่เดือนไม่น่าจะเป็นคนประเภทใช้เส้นตัวเองเพื่อให้ได้ผลประโยชน์อะไรสักอย่าง
“นานๆทีการใช้เส้นบ้างมันก็เกิดผลดีกับเรา หลายคนก็คงจะมองเห็นว่ากุมภ์เป็นคนที่พี่ไว้ใจให้ทำงานช่วยด้วยได้ ไม่มีใครกล้าเถียงหรอก” พี่เดือนหัวเราะในลำคอ “สมัยนี้ใครๆก็ใช้เส้นกันทั้งนั้น เพราะถ้ายังติดกับฐิติมากเกินไป โอกาสที่จะได้พัฒนาตัวเองมันก็ยาก”
คนเรามักจะแข่งกัน ยิ่งถ้าได้เส้นมันก็ยิ่งเป็นใบเบิกทาง
“ถ้าพี่เดือนว่ามาอย่างนั้นก็ได้ครับ หวังว่ามันจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ผมจะเตรียมตัวทันรึเปล่า? ได้ข่าวมาว่าพิธีเปิดงานกีฬาสีตัวแทนนักเรียนจะต้องใส่เสื้อสูทฟอร์มโรงเรียนด้วยนี่นา ผมไม่ใช่คนในสภานักเรียนแล้วผมจะได้เสื้อนี่มาจากไหน?” คำถามมากมายหลุดออกจากปากผม พี่เดือนรีบห้ามเอาไว้แล้วค่อยๆตอบ
“เรื่องปัญหาน่ะมันไม่มีอยู่แล้ว สคริปต์การพูดการอะไรพี่ก็มีของพี่เอามาให้กุมภ์ดูได้ ส่วนเรื่องเสื้อสูทฟอร์มทางโรงเรียนพี่มีตัวเก่าที่เล็กกว่าตัวที่ใส่ตอนนี้อยู่” ผมพยักหน้า “คนในสภานักเรียนไม่ใส่ใจหรอกว่าใครจะใส่ ถ้าครูถามพี่ก็จะอธิบายให้ฟัง”
“อะแฮ่ม คุณกุมภ์คะ ลืมใครที่อยู่ตรงนี้ไปรึเปล่าเอ่ย?”
อุ้มร้องขึ้นมา เพื่อนทั้งสองคนกำลังนั่งจิ้มแตงโมตัดเป็นชิ้นมองผมและพี่เดือนคุยกัน ทำหน้าเบื่อหน่าย “คนมันจะหวานกันก็ให้หวานไปเถอะ”
“แต่กูหมั่นไส้”
“แล้วมึงทำอะไรได้มั้ยล่ะ?”
“ก็ไม่”
“เออ ปล่อยไปเถอะ ฟีลเตอร์ความรักมันกำลังเปิดอยู่—โอ้ย!”
“จะมีสักวันมั้ยที่ไม่แซวกันเนี่ย” ผมคว่างฝาขวดน้ำใส่โดนหัวดินพอดี “ไปกันเถอะครับพี่เดือน ไปดูนทีมันด้วยก็ดี”
“ดูดิ มีการชวนหนีไปที่อื่น แม่กูใจแตกแล้ว”
“หุบปากไปเลยน่า!” ผมมาเยี่ยมนทีที่กำลังนอนหลับบนเตียงเลยไม่กวนมัน สีหน้าตอนมันหลับนั้นดูเหมือนไปค่อยจะดีเท่าไหร่นักราวกับว่าฝันร้ายอะไรสักอย่าง ทีแรกว่าจะปลุกแต่พี่เดือนบอกว่าอย่าเลยเผื่อเป็นคนหลับยาก จึงต้องปล่อยให้นทีนอนกัดริมฝีปากเบาๆอยู่อย่างนั้น
ช่วงตอนบ่ายผมกับพี่เดือนเดินเล่นต่อในโซนซุ้มของนักเรียนชั้นม.5 ผมโชว์ฝีมือยิงลูกกระสุนพลาสติกใส่ลูกเป็ดยางสีเหลืองตัวเล็กๆให้หล่นลงจนได้ครอบครัวเป็ดกลับมาเกือบหกตัว พี่เดือนดูเหมือนว่าจะอาบนิดๆที่ตัวเองปาเป้าไม่โดนสักดอก ผมจึงปลอบใจเขาโดยการแบ่งเป็ดให้ครึ่งหนึ่งเอาไปตั้งโชว์ในห้อง
“ถ้าพ่อแม่พี่มาเห็นเข้าคงมีตกใจโยนเป็ดทิ้ง” เขาว่าขำๆ “มีครั้งหนึ่งเขาบอกว่ามันไร้สาระ พี่ไม่ควรจะต้องสะสมอะไรนอกจากหนังสือและผลงาน”
“...”
“แต่มันผ่านมานานแล้วล่ะ พวกเขาไม่ได้เข้าห้องพี่มาเกือบจะสามปีได้แล้วตั้งแต่ขึ้นม.ปลาย” เขาตีสีหน้ากลับมาร่าเริงเหมือนเดิม “วันนี้ไม่ควรพูดเรื่องแย่ๆสิเดือน แย่จริงๆเลย”
“พี่เดือนลองไปดูตรงนั้นดีมั้ยครับ? มีซุ้มขายโรตีใส่ไข่ด้วยนะ” ผมพยายามสร้างมู้ดที่ดีขึ้น พี่เดือนได้ยินคำว่าโรตีก็หูผึ่งทันที
“โรตีเหรอ...พี่ไม่เคยกินเลย”
“ฮะ?”
“แม่พี่บอกว่าโรตีมันไม่สะอาดที่สุดจากบรรดาอาหารข้างทาง เพราะโต๊ะที่ทำ มือที่ใช้ทำ ผ้าที่ใช้เช็ด หรือแม้กระทั่งนมกระป๋องที่เปิดทิ้งเอาไว้ล้วนแต่มีเชื้อโรค แม่พี่เลยไม่เคยให้กินอะไรพวกนี้”
“ถ้าโรตีไม่สะอาด อย่างอื่นก็ไม่สะอาดหมดแหละครับพี่เดือน แม่พี่เดือนอาจจะไม่อยากให้พี่กินเพราะน้ำตาลจากนมข้นหวานและน้ำตาลทรายมันเกินความพอดีที่พี่ต้องการในหนึ่งวันสมัยเด็กๆ” บางทีแม่พี่เดือนเองก็คงจะอยากเตือนลูกบ้างว่าไม่ให้กินอะไรพวกนี้บ่อยๆ ที่ไม่ให้กินก็เพราะห่วงสุขภาพลูกเพราะตัวเองนั้นเป็นถึงหมอ ก็น่าจะรู้ดีว่าอะไรควรกินมากแค่ไหน “ถ้าอย่างนั้นผมจะพาพี่เดือนกินเอง มากันครับ”
พี่เดือนเดินตามผมมายังซุ้มโรตีใส่กล้วย ผมสั่งมาหนึ่งถาดเพื่อแบ่งกินกับพี่เดือน แถมยังส่งเป็นแบบใส่นมข้นน้อยลงหน่อยเพราะพี่เดือนคงไม่กล้ากินนมข้นเยิ้มๆเหมือนที่หลายคนชอบแน่ๆ โชคดีด้วยที่ร้านนี้สะอาดมากพอที่จะทำให้พี่เดือนไว้ใจได้ระดับหนึ่ง
คำแรกที่พี่เดือนชิมเข้าไป ก็มีคำที่สองคำที่สามตามมา ท่าทางจะติดใจรสชาติหวานๆของโรตีนี่เข้าให้แล้วล่ะ
“ชอบล่ะสิ กินเอาๆแบบนั้น” ผมหัวเราะทันทีที่พี่เดือนขอส่วนที่เหลือทั้งหมดไปถือกินคนเดียว พี่เดือนหันมาพยักหน้ารัวๆพร้อมกับป้อนโรตีให้ผมด้วยหนึ่งคำ แน่นอนว่าผมมองซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจก่อนว่าจะไม่มีใครเห็น
ผมก็อายเป็นเหมือนกันนะ...
พวกเรานั่งเล่นอยู่ตรงซุ้มของห้องสมุดเพื่อรอให้เวลาช่วงการแสดงปิดงานเริ่มขึ้น พอได้ยินเสียงดนตรีคลอๆมาบ้างแล้วพี่เดือนก็ชวนผมเดินไปดูตรงท้ายๆสนามเลยเพราะเขาไม่อยากเข้าไปแย่งคนดู
“ได้ยินเสียงเพลงโอเคแล้วล่ะ”
“นั่นสินะครับ”
ชมรมดนตรีของโรงเรียนเริ่มเล่นเพลงให้คนร้องตาม เปลี่ยนเป็นเพลงช้าบ้างสนุกบ้าง ผมโยกหัวเบาตามจังหวะ ส่วนพี่เดือนก็ยืนกอดอกฟังอยู่เงียบๆ ไม่ได้ร้องตามหรืออะไร
“พี่เดือนไม่ร้องตามบ้างเหรอครับ?”
“ไม่เอาหรอก เสียงพี่เวลาร้องเพลงน่ะเอาไว้ให้แค่คนในชมรมกับกุมภ์ฟังก็พอแล้ว ที่นี่คนมันเยอะกว่าพี่ไม่ชอบ” พี่เดือนยิ้มบางๆ “ท้องฟ้าในฤดูหนาวนี่สวยดีนะ”
ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ แอบเห็นดวงจันทร์ชัดขึ้น เขาบอกว่าฤดูหนาวตอนกลางวันจะเร็วกว่าตอนกลางคืน ทั้งที่ตอนนี้มันยังแค่หกโมงครึ่งกว่าๆฟ้าก็มืดเสียแล้ว
“ในที่สุดมันก็หมดไปอีกวันนะครับ”
“นั่นสินะ...”
วันเวลามันยังคงเดินไปข้างหน้า ในขณะที่เวลาชีวิตของคนเรามันเดินถอยลงไปเรื่อยๆ การที่เราผ่านไปในแต่ละวันนั้นมันหมายถึงเรามีเวลาให้ทำสิ่งต่างๆน้อยลง แต่ถ้าถามว่าทุกสิ่งที่ทำมาตลอดนั้นมันคุ้มค่ามั้ย? เป็นตอนนี้ก็ยังหรอก ผมรู้ว่าผมยังเหลือเวลาอีกมากในการทำสิ่งที่ชอบ ที่สำคัญคือวันเวลาที่ผ่านไปนั้นมันยิ่งย้ำเตือนพวกเราเสมอว่าให้รักษาและอยู่ปกป้องสิ่งที่สำคัญที่สุดเอาไว้ให้ได้นานเท่าที่จะทำได้
และเวลาที่ยิ่งผ่านไป ก็ยิ่งย้ำให้ผมรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่เดือนนั้นมันมากขึ้นเรื่อยๆ
“วันแรกที่เจอกัน...” พี่เดือนพูดขึ้นก่อน “พี่จำได้ว่าเจอตอนวันฝนตก”
“...”
“วันนั้นพี่อุ้มลูกแมวตัวหนึ่งมาหลบฝน พี่ไม่ค่อยได้สนใจคนรอบข้างเท่าไหร่ แต่พี่จำได้ว่าคนที่ยืนมองพี่อยู่เป็นเด็กม.4 ตัวเล็กๆที่สมัครเข้าชมรมบรรณารักษ์ พี่ไม่เคยคิดเลยว่าจากเด็กคนที่ไม่เคยจะสานสัมพันธ์อะไรไปมากกว่าคนในชมรมจะกลายมาเป็นคนที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงมุมมองหลายๆอย่างของพี่”
ผมเองก็จำได้...วันที่ผมเข้าไปยื่นใบสมัครให้พี่เดือนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะชมรม เขาไม่ได้ยิ้ม ไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจ แต่กลับเรียบเฉยจนน่าอึดอัด
“ผมเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าผมจะได้เห็นพี่เดือนในมุมที่ไม่เคยมีใครเห็น”
พี่เดือนในตอนนั้นเขาจะไม่ใช้คำว่าพี่กับผมแน่นอน แต่เป็นคุณ น่าแปลกใจที่หลังจากนั้นไม่นานเขาเปลี่ยนมาใช้พี่กับผม ราวกับว่าผมเป็นข้อยกเว้นและได้รับความไว้วางใจมากกว่าคนอื่น
“พี่พยายามมาตลอดเพื่อที่จะปกปิดสิ่งที่พี่ต้องการจริงๆเอาไว้ภายใต้ความปรารถนาของคนอื่น แต่ว่ากุมภ์ก็เป็นคนเปิดม่านนั่นออก” พี่เดือนจ้องไปที่ท้องฟ้า เอื้อมมือขึ้นไปข้างบน “ม่านนั่นทำให้พี่เห็นสิ่งที่พี่ควรจะได้รับ เห็นสิ่งที่พี่ต้องการ เห็นท้องฟ้าที่สดใสกำลังรอให้พี่บินออกจากกรงที่ขังพี่เอาไว้”
“...”
“กุมภ์”
“ครับ”
“กุมภ์ปกป้องพี่มาหลายรอบแล้ว” พี่เดือนลดมือลงมา จ้องตาผมพร้อมกับรอยยิ้มท่ามกลางหลอดไฟนีออนตกแต่งสีนวลผิว สร้างบรรยากาศอบอุ่น “ถ้าวันไหนที่พี่เข้มแข็งมากพอและสามารถบินออกจากกรงนี่ได้แล้ว”
“...”
“พี่ขอเป็นคนปกป้องกุมภ์บ้างนะ”อ่า...
พี่เดือนคงกำลังบอกผมกลายๆสินะว่าให้รอวันที่เขาเข้มแข็งมากกว่านี้ ให้รอวันที่เขาเป็นอิสระจากทุกสิ่งมากกว่านี้
เขาจะคบกับผมในวันที่เขาสามารถยืนด้วยตัวเองได้จริงๆแล้ว
“พี่ไม่อยากเร่งมัน แต่พี่จะพยายามให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พี่ไม่อยากล้มแล้วยอมแพ้ตั้งแต่ตรงนั้น” พี่เดือนเลื่อนมือมาแตะใบหน้าผมเอาไว้ “กุมภ์รอได้ใช่มั้ย?”
“...แน่นอนสิครับ ผมรอได้อยู่แล้ว” ผมเองก็เลื่อนมือเข้าไปแตะใบหน้าเขา
“เมื่อถึงวันนั้น...พวกเราทั้งคู่ จะจับมือไปด้วยกัน ล้มก็ล้มไปด้วยกัน”พวกเราปล่อยให้เสียงเพลงดังไปตามสายลม ไม่สนใจว่าจะมีใครมองหรือไม่ แค่ในตอนนี้...เวลานี้...ที่มือของพวกเราสัมผัสไออุ่นจากใบหน้าของอีกฝ่าย ที่สายตาของพวกเรากำลังจับจ้องประกายสดใสจากอีกฝ่ายมันก็เพียงพอแล้ว
แค่นี้...มันก็เพียงพอแล้วสำหรับตอนนี้
==========
พี่เดือนของนุเติบโตขึ้นมากเลยนะ จิร้องไห้
ขอใบ้ๆไว้นะคะว่าเรื่องนี้จะมีจบแบบ
What If ด้วย ถ้าเกิดว่าตัวพี่เดือนในอนาคตเลือกทำแบบนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่ในส่วนของ What If นั้นจะเอาไปลงเล่มแทนถ้าได้ตีพิมพ์นะคะ ในเว็บจบดีแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นแต่ระหว่างทางช่วงหลังๆจะสะบักสะบอมไปหน่อยนะ แฮะๆ....
ช่วงนี้ไม่มีเวลาเขียนเลยค่ะ เปิดเทอมแล้ว วิ่งวุ่นวายมากตั้งแต่ได้รับตำแหน่งที่ต้องคุมเพื่อนๆสองห้องเลย รวมไปถึงงานที่โถมเข้ามา เลยทำให้ปั่นช้าไปนิดนึงเพราะกว่าจะทำงานส่วนนั้นเสร็จ เอเนอร์จี้ก็ไม่เหลือแล้ววว