คุณน่ะเมียผมครับ ตอนพิเศษ ไปค่ายตั้งแคมป์ 4 “มึงเป็นอะไรพรต โกรธอะไรกู” หลังจากกินข้าวเสร็จ
ผมเดินแยกจะมาเข้าห้องน้ำอยู่ๆก็โดนดึงแขนจากด้านหลัง
กำลังจะหันไปด่าปรากฏว่าเป็นไอ้ตินณ์ แม่งทำตกใจหมด
มันดึงผมเดินมาหลังต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากห้องน้ำมากนัก
“ไม่ได้โกรธอะไร” ผมบอกมันตามจริง
“ไม่โกรธแล้วทำไมมึงอยู่ๆก็ลุกไปแบบนั้น รู้ไหมกูตกใจ” มันถามผมต่อ
“กูไม่ได้โกรธมึงแต่ไม่ชอบสายตาเพื่อนมึงที่มองกูเหมือนตัวประหลาดแล้วก็คอยจับผิดกูขนาดนั้น”
ผมบอกมันแต่มันทำท่างงครับ
“ใครครับเพื่อนกูทุกคนก็ยอมรับมึงทั้งนั้นใครจะทำแบบนั้น” มันถามกลับ
“ก็เพื่อนที่เขาหลงใหลมึงมาหลายปีไง” ผมบอกให้มันได้หายโง่
“อ๋อ มินิเหรอกูขอโทษนะ พอดีกูอยู่กลุ่มเดียวกันตั้งแต่ก่อนจะรู้ว่าเขาคิดอะไรกับกู
เลยยังต้องอยู่ด้วยกัน แล้วทำให้มึงไม่สบายใจ แต่กูก็ไม่ค่อยได้คุยกับเขาแล้วนะ” มันรีบอธิบายเลยครับ
“เออ กูก็ไม่ได้ว่าอะไรแค่ไม่ชอบเลยไม่อยากอยู่”
“งั้นมึงไม่ได้โกรธกู”
“ใครบอกว่าโกรธ” ผมถามกลับ
“หึหึ” มันหัวเราะก่อนโน้มใบหน้าตัวเองเข้ามาใกล้หน้าผม
แล้วหอมที่หน้าผากเบาๆ ก่อนลามลงมาที่ริมฝีปากครับ
“อื้อ...ตินณ์เดี๋ยวคนเห็น” ผมบอกมันเมื่อปากเป็นอิสระ
“ไม่มีใครเห็นหรอก” มันว่าก่อนโน้มหน้าลงมาใหม่
“ไม่เอา” ผมหันหน้าหลบพร้อมปฏิเสธครับ
“ไม่เอาก็ไม่เอา มึงรู้ตัวไหมว่าทำให้กูไม่เป็นตัวของตัวเองขนาดไหน
จะทำอะไรก็คิดถึงใจกูบ้าง ลุกออกมาแบบนั้นกูก็นึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ถูกใจมึงอีก”
มันว่าพร้อมกอดผมเข้าไปแนบชิดกับตัวมันครับ
“ขอโทษ” ผมตอบมันเบาๆ
“ครับ กลับกรุงเทพฯเมื่อไหร่โดนทำโทษแน่”
มันว่าก่อนขโมยหอมแก้มผมไปอีกหนึ่งทีแล้วเดินจูงมือผมออกจากพุ่มไม้มาเข้าห้องน้ำครับ
“หายไปไหนกันมาวะ” เสียงพี่คิมถามผมกับตินณ์
“ห้องน้ำทำไม” ตินณ์ตอบเพื่อนมัน
“ป๊าว ถามไปงั้น” พี่คิมว่าก่อนไม่สนใจ ตอนนี้สองทุ่มกว่าๆอากาศเริ่มหนาวแล้วครับ
ผมใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงขายาวตินณ์มันไม่ยอมให้ผมไปใส่เสื้อหนาว
ผมจะไม่ใส่มันก็บ่นไม่เลิกสุดท้ายผมเลยไปใส่เสื้อยืดแทนครับ
คืนนี้อาจารย์ให้ทำกิจกรรมกันเองอยากทำอะไรก็ทำใครไม่ทำก็นอน
แต่พวกผมยังไม่มีใครนอนซักคนครับ มาจุดไฟนั่งล้อมวงคุยกันแก้หนาวครับ
“พรุ่งนี้ไปไหนวะ” พี่โฟมถามขึ้นกลางวง
“เห็นว่าน้ำตกทีลอซู” ตินณ์เป็นคนตอบครับ
“จริงเหรอวะ กูไม่อยากจะเชื่อ” พี่อาร์มถามขึ้นมาบ้าง
ผมก็ไม่อยากเชื่อครับ คนตั้งเยอะจะเอาไปยังไง อย่าบอกนะว่าเดิน
“กูก็ไม่รู้แต่เห็นอาจารย์พูดกันเอาเป็นว่าพรุ่งนี้ก็รู้เอง”
ตินณ์แม่งโยนให้อาจารย์พรุ่งนี้เลยครับ
ทางออกมันไม่มีใครกล้าเถียงซักคนรวมทั้งผมที่นั่งอยู่ข้างๆ
ไอ้นาวนั่งติดกับผมทางขวามือ แล้วต่อด้วยพี่คิม ไอ้ฟิกซ์ไอ้มายด์
ตรงข้ามผมเป็นพี่นัทพี่โฟมและก็พี่มี่กับพี่อาร์มที่นั่งติดกับตินณ์
“ทำไรดีวะกูยังไม่ง่วงเลย” พี่อาร์มเปิดประเด็นใหม่ครับ
“ร้องเพลง” พี่นัทเป็นคนเสนอครับ
“ใครร้อง กูร้องนะ” พี่คิมรับชิ้งคนแรกเลยครับ
“กูก็ไม่” ตินณ์ออกตัวเป็นรายต่อมาครับ
“งั้นประเด็นนี้ตกไป” พี่มี่เป็นคนสรุปครับ
“เล่นเกมส์กัน” ไอ้นาวเสนอขึ้นมาบ้างครับ
“ไม่กูไม่เป็น” ไอ้มายด์รีบปฏิเสธทั้งที่ยังไม่รู้ว่าเป็นเกมส์อะไรเลยครับ
“ทำไมมึงไม่อยากเล่น” ผมถามมันบ้าง
“กูกลัวเกมส์ไอ้เชี้ยนาว ถ้าเกิดกูแพ้แล้วให้กูได้กับไอ้ฟิกซ์ทำไง”
ไอ้มายด์บอกถึงสาเหตุที่มันกลัวเกมส์ของไอ้นาวจนขี้ขึ้นสมองครับ
“งั้นมึงจะทำอะไร” ตินณ์ถามบ้างครับ
“เล่าเรื่องผีกันดีกว่าพี่” ห่าความคิดไอ้เชี้ยฟิกซ์ทำผมอยากเอาตีนยันมันเบาๆเสนอขึ้นมาได้
ผมไม่ได้กลัวนะแค่เคารพสถานที่เฉยๆ
“เออ เล่าเรื่องผีก็ดี” พี่คิมกับพี่โฟมเห็นด้วยแล้วครับ คนอื่นก็ไม่มีใครปฏิเสธ
“ไม่เอากูไม่อยากรู้” ผมรีบบอกก่อนมันจะเริ่มเล่าครับ
“มึงกลัว” ไอ้นาวรีบหันควับมาถามผมเลยครับ ความเสือกนี่เร็วตลอด
“ใครว่ากูแค่เคารพเจ้าป่าเจ้าเขาโว้ย”
“มึงกลัวก็ยอมรับมา กูจะได้หาอย่างอื่นทำ” ไอ้ฟิกซ์ถาม
“กูไม่กลัว” ผมยืนยันคำเดิมครับ ไอ้คนข้างๆแม่งก็ไม่ช่วยอะไรผมเลยเอาแต่นั่งอมยิ้มนิ่งๆ
“สรุปงั้นผมเล่าคนแรก” ไอ้ฟิกซ์รีบด่วนสรุปแล้วชิ่งเล่าเลยครับ
“เออ ตามสบาย” พี่อาร์มรีบอนุญาตไอ้เชี้ยฟิกซ์อย่างกับกลัวมันเปลี่ยนใจ แล้วสุดท้ายไอ้เรื่องผีๆก็เริ่มขึ้น
“ตอนนั้นผมอยู่ม.ต้นก็มีกลุ่มเพื่อนผู้ชายหลายคน
ด้วยความที่เป็นเด็กร่าเริงเพื่อนชวนไปไหนก็ไป วัยคึกคะนอง”
ไอ้ฟิกซ์เริ่มเล่าบรรยากาศรอบข้างเงียบหมดเลยครับ ตั้งใจฟังกันเกินไปรึเปล่าวะ
“เหรอมึงเป็นเด็กร่าเริง หรือกวนตีนแน่” ไอ้นาวถามเพื่อนมัน
“หึหึ รวมๆกันเว้ยชีวิตจะได้มีรสชาติ
ต่อนะคือวันนั้นเป็นงานกีฬาสีที่โรงเรียน
ผมกับเพื่อนแข่งบาสเสร็จก็ไปกินเหล้ากันต่อที่บ้านไอ้ป๋องอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไหร่
วันนั้นไปกัน 7 คนรวมผมด้วย พอถึงบ้านก็เปิดเหล้ากินกันเลยครับ
ไปตั้งแต่ 5 โมงเย็นจน 3 ทุ่มกว่าๆแต่ละคนเมาเหมือนหมา
ไอ้ป๋องพอเมามันก็เริ่มเล่าว่าตรงทางโค้งก่อนมาถึงบ้านมันจะมีต้นไม้ใหญ่ๆ
อยู่คนแถวนี้เชื่อกันว่ามีผีที่คอยดักคนไปอยู่เป็นเพื่อนตัวเอง
หรือเป็นตัวตายตัวแทน ตอนดึกๆจะได้ยินเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือ
หรือไม่ก็เสียงรถชนกัน ผมไม่เชื่อครับบอกมันว่าเรื่องไร้สาระงมงาย
แล้วก็ไม่มีใครเชื่อที่มันพูดพากันเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน
แล้วเหล้าที่กำลังกินกันอยู่ก็หมดครับ ด้วยความอยากกินต่อ
ก็เลยตกลงกันว่าจะออกไปซื้อที่ร้านค้าแถวบ้าน
ไอ้ป๋องที่เป็นเจ้าของบ้านไม่ยอมไปครับ
เพื่อนผมอีกคนเลยหันมาชวนผมไปเป็นเพื่อน ผมก็ไปกับมัน
มันเอากุญแจมอไซด์ไอ้ป๋องมาแล้วสตาร์ทแต่ทำยังไงมันก็ไม่ยอมติดครับ
ที่บ้านก็มีรถไอ้ป๋องคันเดียวเพราะตอนมามารถประจำทาง
ตอนที่กำลังจะหมดหวังผมก็เห็นรถมอไซด์รับจ้างขับผ่านมาเลยเรียก
แล้วขึ้นซ้อนท้ายเพื่อนผมก็ขึ้นมาซ้อนอีกคน คืนซ้อนกันไปสามคนครับ”
ตอนนี้ไม่มีเสียงพูดคุยจากใครเลยครับ
มีแต่เสียงไอ้ฟิกซ์คนเดียวผมก็ขยับเข้ามานั่งใกล้ตินณ์มากขึ้น
มือนี่เริ่มเย็นแล้วครับ ฟังไปก็คิดตามที่มันเล่า
“ผมบอกคนขับให้ไปร้านค้าที่ใกล้ที่สุด พี่แกก็ออกรถอย่างเร็ว
มาถึงร้านผมก็บอกให้แกรอก่อน ผมรีบเข้าซื้อของที่ต้องการก่อนออกมาขึ้นรถกลับ
นั่งมาได้ซักพักไอ้เพื่อนข้างหลังมันสะกิดผมครับ ผมเลยถมมันกลับ
“อะไรวะ”
“มึงจำได้ไหมว่าโค้งไหนที่ไอ้ป๋องมันเล่า”
มันกระซิบถามผม ผมก็นึกเพราะจำได้ลางๆ
“มันบอกโค้งที่มีต้นไม้ใหญ่ผูกผ้าสามสีว่ะ” ผมก็ตอบมันครับ
“ใช่โค้งตรงนั้นรึเปล่าวะ” มันถามพร้อมเอามือชี้ไปข้างหน้า
ที่มีต้นไม้ใหญ่อยู่ตรงโค้งตามที่ไอ้ป๋องบอกเลยครับ
อยู่ๆผมก็เริ่มรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาแล้วมอไซด์ก็ขับเร็วขึ้นมาเฉย
จากที่ไม่ได้คิดอะไรผมก็เริ่มคิดตามแล้วครับ
ความกลัวเกิดขึ้นมาในหัวผมทันที
แล้วผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าตั้งแต่ผมเรียกมอไซด์รับจ้างมาซื้อของ
พี่แกใส่หมวกกันน็อคไว้ยังไม่ยอมถอดให้เห็นหน้าซักครั้งครับ”
ไอ้ฟิกซ์มันทำเสียงเล่าได้น่ากลัวมากครับ
ผมเอามือตัวเองไปจับมือตินณ์แล้วตอนนี้ตัวก็เบียดเข้าไปจนติด
ความจริงถ้าแทรกตัวเข้าไปสิงร่างมันได้ผมคงทำไปแล้วครับ
แม่งเสือกมาเล่าเรื่องผีตอนมืดๆ
บรรยากาศวังเวงแถมเป็นในป่าในเขาแปลกถิ่นแบบนี้ด้วย
“แล้วไงต่อวะ” พี่โฟมถามมันอย่างลุ้นเต็มที่ครับ
“กลัวเหรอ” ตินณ์ก้มหน้าลงมาถามผม
“ป่าวแค่กูหนาว ดูดิน้ำค้างลงเยอะขนาดนี้” ผมบอกมันพร้อมขยับเข้าไปอีก
“หึหึ มือเปียกขนาดนี้เนี๊ยะนะ”
มันหัวเราะใส่ผมก่อนตั้งใจฟังไอ้ฟิกซ์ต่อ ผมก็ได้แต่เงียบไม่รู้จะตอบมันว่ายังไง
“พอผมรู้สึกว่ามันผิดปกติก็เรียกคนขับเลยครับ
“พี่ครับๆ” แต่ก็ไม่มีเสียงตอบจากคนขับรถ ความเร็วก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อนผมที่นั่งข้างหลังเกาะเอวผมแน่นพร้อมตัวเริ่มสั่นแล้วครับ
“เฮ้ยเอาไงดีวะ” มันถามผมเสียงสั่นเลยครับ
“กูลองเรียกใหม่แล้วกัน พี่ครับขับช้าหน่อยได้ไหม”
ผมบอกเพื่อนก่อนหันกลับมาบอกคนขับรถอีกครั้ง
แต่ก็ไม่มีเสียงตอบเหมือนเดิม แถมขาผมที่ใส่กางเกงขาสั้นก็เย็นวาบขึ้นมาอีกจนขนลุก
“มึงพี่เขาทำไมไม่ตอบเราวะ” เพื่อนผมที่นั่งหลังตอนนี้สติไม่อยู่กับตัวแล้วครับ
ผมก็รู้สึกใจเต้นด้วยความกลัวเหมือนกันไม่รู้มอไซด์คันนี้จะพาไปไหน
แล้วผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า 4 ทุ่มกว่าแล้วทำไมยังมีมอไซด์รับจ้างมาวิ่งอยู่อีก
หมวกก็ไม่ยอมถอดให้เห็นหน้า ผมกับเพื่อนก็นั่งเกร็งกันไป
จนรถผ่านต้นไม้ใหญ่ที่ว่ามาแล้วรถก็ยังไม่ยอมลดความเร็วลง อยู่ๆเพื่อนก็สะกิดอีกครับ
“ว่าไงวะ” ผมหันกลับไปถามเบาๆ
“กูว่ามันน่ากลัวหว่ะ เราโดดกันไหม”
มันชวนผมกระโดดลงจากรถที่กำลังวิ่งอยู่ครับ
ผมก็เริ่มประเมินสถานการณ์ถ้าไปต่อก็คงตาย
แต่ถ้าโดดลงไปก็มีสิทธิ์ตายกับรอดครึ่งๆ
“เออ โดดก็โดดวะ” ผมบอกมันก่อนนัดแนะกันกระโดดครับ
พอถึงจังหวะเหมาะผมกับเพื่อนก็เทคตัวออกจากรถมอไซด์ที่กำลังวิ่งอยู่เลยครับ
ตอนที่ผมกระโดดรถเริ่มส่าย ผมกับเพื่อนก็ร่วงไปอยู่ข้างถนน
กลิ้งเป็นลูกขนุนหลายตลบผมพยายามไม่ให้หน้ากับหัวไปโดนอะไร
นอกนั้นจะเป็นอะไรก็ชั่งมันครับ แล้วรถก็ล้มไม่ไกลจากจุดที่ผมนอนเจ็บอยู่
“เป็นอะไรหรือป่าววะ” ผมถามเพื่อนเสียงดังเมื่อตั้งสติได้
“ไม่เป็นไร มึงล่ะ” มันตอบก่อนถามกลับ
“กูก็ไม่เป็นไร” ผมตอบมันก่อนหันไปมองมอไซด์กับคนขับ
ตอนนี้คนขับลุกขึ้นยืนแล้วครับ มันจับรถที่ล้มตั้งขึ้น
แล้วจอดไว้ก่อนเดินเข้ามาใกล้พวกผมเรื่อยๆ ผมก็หาทางออกจากสถานการณ์นี้ครับ
“โดดลงมากันทำไม” เสียงถามดังมาจากหลังหมวกกันน็อค
“ก็พี่จะพาพวกผมไปไหนละ พูดด้วยก็ไม่ยอมตอบ”
ผมถามกลับ ตอนนี้ความเมาหายไปหมดแล้วครับ
“ก็ให้ไปส่งบ้านไม่ใช่รึไง” ผมกับเพื่อนนั่งตัวติดกันเลยครับ
พี่แกก็มายืนจนชิดพอบอกพากลับบ้านผมนึกถึงบ้านเก่าทันที ผีหลอกคนเมาด้วยหรอวะ
“ไม่พี่ผมยังไม่อยากกลับ” ผมพูดรั่วเลยครับ
“ไม่กลับแล้วจะไปไหน” พี่แกถามเสียงดังก่อนค่อยๆถอดหมวกกันน็อค
ผมได้เห็นหน้าแกชัดๆ ก็เป็นเหมือนคนปกติแค่มีหนวดเคราเยอะหน่อยเท่านั้นเอง
“พี่เป็นคนใช่ไหม” ผมถามเลยครับ
“ไอ้นี่ถามวอนตาย กูก็คนดีวะ แล้วค่ารถที่ล้มใครจะจ่าย” พี่แกถามเสียงเครียดเลยครับ
“พี่จะขับเร็วทำไม ผมเรียกก็ไม่ยอมตอบ”หลังจากรู้ว่าไม่ใช่ผีผมก็เริ่มถามเลยครับ
“ก็ไม่ได้ยินเวลาพูดเสียงมันไปข้างหลัง แถมใส่หมวกปิดหูอยู่จะได้ยินได้ไงวะ”
“แล้วขับเร็วทำไม” ผมถามต่ออย่างสงสัย
“ก็น้องเอาน้ำแข็งมาโดนหลังพี่เต็มๆขนาดนั้น
มันเย็นพี่ก็จะรีบขับให้ไปถึงบ้านน้องไวๆ”
พอพี่แกบอกเท่านั้นครับแม่งอยากเอาขวดเหล้าฟาดหัวตัวเองกับเพื่อนซักที
ที่โง่ยอมโดดลงมาจากรถมอไซด์พี่แกเกือบตาย
สุดท้ายต้องจ่ายค่ารถมอไซด์ที่พังให้พี่แกด้วย
ถามไปถามมา พี่แกกำลังจะกลับบ้านเพิ่งเลิกงาน
ผ่านหน้าบ้านไอ้ป่องพอดีผมโบกแกเลยจะวิ่งเป็นรอบสุดท้ายซวยไปครับ”
พอไอ้ฟิกซ์เสร็จเท่านั้นครับโดนไอ้มายด์ตบหัวไปหนึ่งทีโทษฐานทำให้ลุ้นกันทั่วหน้า
“ไอ้เชี้ยฟิกซ์แม่งกูลุ้นซะเยี่ยวเหนียวไม่มีผีซักตัว” พี่โฟมว่ามันเลยครับ
“ ผีที่ไหนจะกล้าหลอกมัน มีแต่มันหลอกตัวเองเท่านั้นแหละครับ” ไอ้นาวว่า
“สัส! ทำเมียกูกลัวจนขี้ขึ้นสมอง” ไอ้ตินณ์แม่งปากดีครับ
“เมียพี่แม่งก็กลัวทุกอย่างยกเว้นผัว” ไอ้นาวหันมาว่าผมครับ
“เงียบปากไปเลยมึง” ผมว่าไอ้นาวก่อนเงียบอีกครั้ง
เพราะพี่โฟมเริ่มเล่าเรื่องของตัวเองบ้างครับ
แล้วเรื่องก็วนไปเรื่อยๆน่ากลัวบ้างตลกบ้างจนอากาศหนาวมากครับ
ผมเลยตกลงกันว่าจะแยกย้ายกันไปนอนก่อนนอนผมก็ไปแปรงฟันแล้วเข้าเต็นท์เลยครับ
“ไอ้พรตกูปวดเยี่ยวไปเป็นเพื่อนหน่อยดิ”
นอนได้ไม่นานเสียงไอ้นาวก็ดังขึ้นมาในความมืดครับ
“ไม่เอามึงไปคนเดียวเลย” ผมบอกมันครับ
มืดขนาดนี้ผมไม่ยากไปไหน ยิ่งฟังเรื่องเล่าของแต่ละคน
ผมยิ่งอยากรีบนอนแล้วให้ถึงเช้าไวๆ
“แต่กูไม่กล้าไปคนเดียว” ไอ้นาวยังไม่ยอมไปครับ
“มึงออกไปเยี่ยวข้างๆเต็นท์ก็ได้ไม่ต้องไปไกลหรอก”
“เอางั้นเหรอ” มันถามเสียงไม่แน่ใจ
“เออเอาแบบนี้แหละ” ผมบอกมัน
ก่อนที่จะได้ยินเสียงมันลุกจากที่นอนแล้วเปิดเต็นท์ออกไป
ผมก็รีบคลุมโปงนอนเลยครับอยู่คนเดียวก็เสียวๆเหมือนกัน
ไม่นานเสียงไอ้นาวก็เข้ามาในเต็นท์ครับ
“เฮ้ยมากอดกูทำไม” ผมตกใจอยู่ๆไอ้นาวแม่งกอดผมจากด้านหลังแน่นเลยครับ
“...” เงียบครับไม่มีเสียงตอบ
“ไอ้ตินณ์ อย่าเล่นแบบนี้กูตกใจ” ผมหันกลับไปเป็นตินณ์ครับ
มันมากอดผมจากด้านหลังเงียบๆทำผมตกใจหมดเลย
ตอนแรกนึกว่าไอ้นาวแต่พอมันเงียบ
ผมก็เริ่มกลัวดันไปนึกถึงเรื่องผีลักลับที่ไอ้เชี้ยมายด์มันเป็นคนเล่าซะได้
“หึหึ กลัวเหรอ” ตินณ์มันถามผมเห็นรอยยิ้มในความมืดลางๆครับ
“มาได้ไงวะ”
“เดินมา แล้วก็รูดซิปเต้นท์เข้ามาด้วย” กวนตีนแล้วไหมครับไอ้ตินณ์
“อย่ากวน กูถามดีๆเดี๋ยวไอ้นาวก็กลับมาแล้วมึงรีบกลับเต็นท์ตัวเองเลย” ผมบอกมันในความมืด
“เบื่อกูเหรอถึงไล่เนี๊ยะ” มันถามเสียงน้อยใจเลยครับ
แต่แอ็คติ้งนะไม่ใช่เรื่องจริงปกติมันด้านจะตายไม่มีทางน้อยใจง่ายๆด้วยเรื่องแค่นี้หรอกครับ
“เบื่อจะนอนนิ่งเป็นท่อนไม้ให้กอดไงวะ” ผมถามมันเสียงนิ่งเลยครับ
“หึหึ ค่อยชื่นใจหน่อย” มันว่าเสร็จก้มลงมาหอมแก้มผมเลยครับ
ที่ไหนก็ไม่เคยแคร์อยากได้ก็ต้องได้ตลอดมัน นิสัยเสียมาก
“ไอ้นาวไปนานจังวะ” ผมเริ่มสงสัยไอ้นาวมันไปไหน นึกว่าแค่ไปใกล้ๆเต็นท์ซะอีก
“ไม่ต้องห่วงมันหรอก ตอนนี้นอนสบายในเต็นท์กูแล้ว”
ตินณ์มันบอกพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่เด่นอยู่ทามกลางความมืดที่เห็นเพียงลางๆ
“หมายความว่าไง เล่ามาให้หมด นัดกันไว้เหรอ”ผมถามเสียงโหดเลยครับ
“ป่าวกูไม่ได้นัด ตอนแรกกูว่าจะเดินมาขอแลกเต็นท์ดีๆ
ดันมาเห็นไอ้นาวจะลุกไปฉี่เลยให้ไอ้คิมพาไปเข้าห้องน้ำ
แล้วลากกลับเต็นท์นู้นไปเลย”
มันเล่าได้อย่างภาคภูมิใจในสั่งที่ทำมากครับ
เรื่องดีๆมีเยอะแต่เรื่องเลวๆนี่ก็ไม่เคยแพ้ใครเหมือนกันครับ
“คืนนี้มึงจะนอนนี่เหรอ” ผมถามมันให้แน่ใจ
“ครับ ใครจะยอมห่างเมีย” มันว่าพร้อมดึงผมเข้าไปกอด
ผมก็ยอมเข้าไปนอนหนุนแขนอยู่ในอ้อมกอดมันอย่างง่ายดาย
ไม่ได้ใจง่ายนะครับ แค่ผมหนาว ตอนนี้อากาศหนาวมาก
เหมือนอากาศจะติดลบด้วยเพราะเท้าผมเย็นมากๆเลยครับ
ว่าแล้วผมก็เอาเท้าตัวเองไปแนบกับขามันซะเลย
“เห้ย!! ทำไมเท้าเย็นแบบนี้กูเย็นเอามาแนบขากูทำไม”
มันโวยวายเลยครับ แกล้งแค่นี้ยอมกูหน่อยกูไม่ได้
“หนาวว่ะ ทำไมหนาวแบบนี้ กลางวันโครตร้อนเหมือนทะเลทราย
กลางคืนโครตหนาวเลยกูจะแข็งตายไหมวะ” ผมเริ่มบ่นเบาๆ
“แข็งไม่ตายครับ กูเคยแล้ว”
“สัส!! ลามกตลอดนะมึง” ผมว่ามันแล้วกระเทิบตัวเข้าไปใกล้มันมากขึ้นครับ
“หนาวมากเหรอ” มันถามพร้อมจับมือผมขึ้นมาลูบเบาๆ
ตอนนี้ปลายมือผมเย็นไปหมดเลยครับ
“อืมหนาวมาก” ผมตอบมันปากเริ่มสั่นเลยครับ
“งั้นมึงเอาถุงเท้ามาใส่เดี๋ยวกูออกไปดูว่าผ้าห่มเหลือหรือป่าวจะเอามาเพิ่มให้”
มันสั่งเสร็จก็มุดออกจากเต็นท์ไปเลยครับ ผมก็หยิบไฟฉายมาส่องหาถุงเท้าใส่ครับ
ถ้ามีถุงมือด้วยจะดีมากแต่มันไม่มี ผมใส่ถุงเท้าเสร็จก็เอาเสื้อหนาวมาสวมด้วยเลยครับ
“ได้มาสองผืนแต่กูให้ไอ้นาวไปผืนนึง” มันกลับมาถึงก็ยื่นผ้าห่มให้ผมเลยครับ
“ขอบคุณนะ” ผมบอกมันตอนที่มันล้มลงนอน
ผมก็ส่องไฟฉายหาถุงเท้ามันแล้วถึงเท้ามันเข้าหาตัว
“มึงจะทำอะไร” มันผงกหัวขึ้นมามองผมงงๆ
“ก็ใส่ถุงเท้าให้มึงไง”
“เห้ย! ไม่ต้องมึงจะมาใส่ให้กูได้ไง”
มันบอกผมเสียงตื่นเลยครับ แต่ทำไมผมจะใส่ให้ไม่ได้วะไม่เข้าใจ
“กูใส่ให้มึงนอนไปเฉยๆเถอะ” ผมบอกก่อนเริ่มสวมถุงเท้าให้มันทั้งสองข้าง
พอใส่เสร็จผมก็ขยับไปตรงที่นอนแล้วเอาผ้าห่ม 3 ผืนมากางทับกัน
แล้วคลุมลงบนตัวผมกับมันจนถึงเอว
แล้วล้มตัวลงนอนหนุนแขนมันอีกครั้งแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มถึงคอเลยครับ
มันก็หันมาตะแคงตัวกอดผมแน่น
“อื้อ...ตินณ์หายใจไม่ออก” ผมบอกมันเบาๆ
“ขอบคุณนะครับ” มันคลายอ้อมกอดลงเล็กน้อยก่อนโน้มหน้ามาหอมแก้มผมแล้วพูด
แม่งจะหอมอะไรหนักหนาก็ไม่รู้เนื้อแก้มผมจะติดไปกับจมูกมันหมดแล้วเนี๊ยะ
“เรื่องอะไร” ผมถามมันกลับงงๆ
“ก็ที่มึงใส่ถุงเท้าให้กู”
“เรื่องแค่นี้นะ” ผมถามอีกครั้งอย่างสงสัย
“เรื่องแค่นี้สำหรับมึง แต่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับกู
กูไม่เคยคิดเลยว่ามึงจะทำให้กูขนาดนี้”
มันพูดซะเวอร์ไปเลยครับยังกับผมตัดนิ้วตัวเองเพื่อขอแลกกับชีวิตมัน
“ตินณ์มึงกับกูเป็นแฟนกันนะ ไม่ใช่คนอื่นอะไรที่มึงทำให้กูได้กูก็ทำให้มึงได้”
ผมพูดยังไม่ทันจบมันเอาริมฝีปากอุ่นๆของตัวเองมาประกบปากผมอีกแล้วครับ
“ตินณ์ไม่เอานะ” ผมบอกมันเบาๆกลัวเต็นท์ใกล้ๆจะได้ยินครับ
“ไม่เอาอะไรครับ” มันถามผมน้ำเสียงเริ่มทุ้มต่ำแล้วครับ
ผมเห็นแววตามันในความมืดแล้วคืนนี้จะรอดไหมวะเนี๊ยะกู
“ตินณ์อย่าเลย นี่มันในค่ายกูกลัวคนอื่นได้ยิน”
ผมบอกมันอีกครั้งพร้อมกับพยายามลูบหลังให้มันสงบสติอารมณ์ตัวเอง
แต่ผมคงคิดผิดครับเพราะแทนที่มันจะสงบ
ผมกลับได้ยินเสียงมันหายใจแรงขึ้นเหมือนกับพยายามระงับจิตใจใต้ซอกขาตัวเองอยู่
แต่คงไม่สำเร็จเพราะมันหายใจออกแรงๆอีกครั้งก่อนคว้ามือผมไปจับส่วนกลางลำตัวของมัน
“กูพยายามแล้วนะ แต่ลูกชายกูมันไม่ยอม”
มันพูดพร้อมกดมือตัวเองทับมือผมให้คลึงลูกชายมันซะอย่างนั้นเลยครับ
“ตินณ์”
“อืม อย่าเรียกอย่างนั้นกูหยุดไม่ได้” มันพูดพร้อมมือที่กดเน้นแรงขึ้น
“กูขอโทษนะ” มันพูดเสร็จก็พลิกตัวผมลงด้านล่างแล้วเอาตัวเองขึ้นคร่อมร่างผมทันทีครับ
“อื้อ...”ปากมันโน้มลงมาประกบปากผมแล้วลุกล้ำปลายลิ้นร้อนๆเข้ามาอย่างอุกอาจ
ผมก็เริ่มทนไม่ไหวตอบสนองมันไปให้เท่าเทียม
มันจูบผมอยู่นานจนผมเริ่มหายใจไม่ทันมันถึงยอมถอนริมฝีปากแล้วเลื่อนลงไปซุกไซ้ตามลำคอแทน
พร้อมกับมือของมันที่สอดเข้ามาในเสื้อสองชั้นของผมแล้วไล่บี้หัวนมเล่นอย่างมันส์มือ
“ขอโทษนะแล้วกูจะชดเชยให้ที่ห้อง”
มันพูดเสร็จก็เลื่อนตัวลงไปที่กระเป๋าเป้ของผมแล้วหยิบบางอย่างออกมา
ไม่นานผมก็รับรู้ได้ว่ามันเป็นถุงยางอนามัยมันเอาปากฉีกซอง
ผมเห็นในเงามืดโครตเซ็กซี่เลยครับ
มันจะรู้ตัวไหมว่าตัวเองก็ทำให้ผมสติไม่อยู่กับตัวได้ง่ายๆเหมือนกัน
ผมนอนมองมันเลื่อนขอบกางเกงทั้งข้างนอกและข้างในลง
พอให้ลูกชายของมันได้ออกมาเผชิญกับอากาศอันหนาวเหน็บด้านนอก
ก่อนมันจะสวมหมวกให้เพราะกลัวลูกชายตัวเองเป็นหวัด
พอใส่เสร็จมันเสือกใจดีเอื้อมมือมายุ่งกับลูกชายผมด้วยครับ
มันขยับมือสองสามทีลูกชายผมที่เริ่มขยายตัวก็ขยายตัวเต็มที่
แล้วมันก็สวมหมวกให้เหมือนลูกชายมันก่อนจับผมพลิกให้นอนคว่ำ
แล้วอยู่ๆความเย็นก็เกิดขึ้นทางด้านหลังเพราะครีมทาผิวของตัวเองครับ
“พร้อมนะ”มันถามเสียงเบา
ผมไม่ได้ตอบแล้วอยู่ๆก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งพยายามลุกล้ำเข้ามาในตัวครับ
“อ๊ะ!!” ผมร้องแค่นั้นแล้วรีบคว้าเสื้อตัวเองที่วางอยู่หัวนอนมากัดทันที
กันเสียงเล็ดลอดออกไปนอกเต็นท์ให้ได้อายคนอื่น
พอมันเข้าไปได้ก็เริ่มขยับช้าๆและเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ไม่สนใจผมที่ตอนนี้ทั้งเจ็บทั้งเสียวแถมตั้งกัดผ้ากลั้นเสียงไม่ให้ใครได้ยิน
“พรต จูบหน่อย” เสียงต่ำของมันดังอยู่ข้างหูเรียกสติที่พล่าเลือนของผมให้กลับมาอยู่ที่มันอีกครั้ง
“โอ๊ะ!!”พอผมปล่อยผ้าที่กัดอยู่แล้วกำลังหันไปเพื่อจะจูบมัน
ปรากฏว่ามันกระแทกตัวเข้ามาแรงทำให้ผมเผลอส่งเสียงครางอีกจนได้ครับ
แต่ดังเพียงนิดเดียวริมฝีปากผมก็ถูกมันครอบครองพร้อมดูดกลืนเสียงครางของผมลงไปในลำคอมันแทน
มันขยับต่อไปเรื่อยๆก่อนถอนริมฝีปากเพราะผมรู้สึกเมื่อยคอที่ต้องกันไปจูบมัน
มันก็หยุดตัวเองแล้วถอดถอนก่อนพลิกผมให้กลับมานอนหงายอีกครั้ง
ก่อนถอดกางเกงผมออกแล้วแทรกตัวเข้ามาในร่างกายผมเป็นครั้งที่สอง
“กัดบ่ากูไว้นะ” มันบอกผมก่อนเริ่มต้นขยับอีกครั้งๆนี้มันขยับแรงและเร็วกว่าเดิม
ขาทั้งสองข้างของผมก็อ้ากว้างและตั้งชันเพื่อให้มันแทรกตัวเข้ามาได้ถนัด
ผมตัดสินใจกัดบ่าตามที่มันบอกเพราะเริ่มจะทนไม่ไหว
กับความแรงของการขยับตัวแต่ละครั้งของมัน
ตอนนี้น้ำตาของผมเริ่มไหลเอ่ออยู่บริเวณขอบตา
มือก็จิกไหล่มันแน่นเลยครับ ผมรู้ว่าต้องเป็นรอยแน่นอนเพราะมันใส่เสื้อกล้ามสีดำเพียงตัวเดียว
แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงได้ถ้าผมไม่จิกผมก็ต้องร้องครางเสียงดังอย่างห้ามไม่อยู่แน่นอน
มันขยับตัวช้าสลับเร็วอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานจนผมทนไม่ไหวปลดปล่อยลูกๆออกไปนอนเล่นอยู่ในถุง
มันก็เร่งความเร็วขึ้นตามผมก่อนเน้นสามสี่ทีแล้วหยุดลงพร้อมตัวมันที่ทิ้งน้ำหนักทับตัวผมเลยครับ
“นอนได้แล้วนะที่นี้” ผมถามมันเสียงเหนื่อยๆ
“ครับ ขอบคุณนะ รักมึงจัง” มันว่าพร้อมเงยหน้าขึ้นจากไหล่ผมแล้วหอมแก้มผมแรงๆหนึ่งที
จากนั้นมันก็ลุกขึ้นถอดหมวกที่สวมให้ลูกชายผมกับมันแล้วมัดปาก
ก่อนหยิบกระดาษทิชชู่มาหุ้มแล้วใส่ถุงพลาสติกมัดอย่างดีเตรียมเอาไปทิ้ง
พอมันจัดการเรียบร้อยก็เอากระดาษทิชชู่มาทำความสะอาด
ให้ผมและตัวมันเองก่อนสวมกางเกงคืนให้ผม
จากนั้นมันก็ล้มตัวลงนอนกอดผมเหมือนเดิม
เหงื่อมีบ้างแต่ไม่เยอะเพราะอากาศหนาวมากถ้าให้ผมไปอาบน้ำตอนนี้แข็งตายพอดีครับ
เอาไว้อาบเช้าทีเดียวเลยแล้วกัน ตอนนี้ขอนอนก่อน
“เจ็บไหม” ผมถามตินณ์เมื่อนึกขึ้นได้แล้วเอื้อมมือไปลูบตรงรอยฟันของตัวเอง
“จี๊ดๆเหมือนมดกัน”
“เหรอกูน่าจะกัดให้หนังขาดเลยเนอะ” ผมว่า
“แค่นี้ก็เลือดซิบ กูแสบไปหลายวันแล้วครับ”
“แล้วมาทำปากดี” ผมว่ามันก่อนดึงคอมันลงมาใกล้แล้วจูบปากแรงๆไปที
ก่อนเลื่อนลงมาดูดที่คอจนขึ้นรอยแน่นอนเพราะผมตั้งใจทำ
ใครที่จ้องของผมอยู่มันจะได้รู้ว่ามีเจ้าของ
“หึหึ” มันหัวเราะสองหึกวนๆก่อนเอาแขนที่ผมหนุนอยู่โอบตัวผมเข้ามาชิดมันมากขึ้น
ผมก็เอื้อมมือไปกอดเอวมันไว้แล้วก็หลับไปเลยครับ
-----------------------------------------------------------------
ขอบคุณที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ค่ะ # เมจิก