❀ Moon's Embrace : บทที่ 6 ... ครึ่งแรก ❀
กว่าจะได้ยินคำตอบก็เมื่อเดินเข้าในห้องพักด้านในสุดของที่พักทหาร
“เขาเป็นลูกน้องข้า ตอนมุ่งหน้ามายังวังหลวงสินค้าบรรณาการถูกดักปล้น เขาถูกธนูยิงที่ต้นขา”
อารมณ์หงุดหงิดประดังขึ้นที่ใบหน้าของหมอหนุ่ม ที่โกรธไม่ใช่เรื่องของซุนไป่หาน แต่เป็นอาการของทหารที่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าของเขาซูบตอบ และแดงคล้ำ ริมฝีปากแห้งแตกจนมีเลือดไหลซิบ เหงื่อกาฬพายผุดตามเนื้อตัว มีอาการระส่ำระสาย คล้ายคนนอนละเมอตลอดเวลา
“เขาเป็นแบบนี้กี่วันแล้ว”
ไม่รอช้าที่จะเอ่ยปากถาม ลี่จินย่อตัวลงข้างๆ ก่อนปลายสายตามองไปที่ปลายขาของคนป่วย
บริเวณขาข้างขวามีแผลเหวอะหวะ คล้ายกับถูกวัตถุที่มีลักษณะเป็นแท่งเรียวๆ ยิงทะลุเข้าไป เลือดยังไม่หยุดไหลดี ที่บาดแผลยังคงมีเลือดไหลซึมออกมาไม่หยุด แถมยังบวมช้ำจนเป็นจ้ำสีม่วง และมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวโชยออกมาจากแผลตลอดเวลา
“เข้าวันที่ 3 แล้ว อาการเพิ่งกำเริบเมื่อเช้านี้ ทีแรกข้าคิดว่าไม่น่าจะร้ายแรงอะไรมาก เพราะคิดแค่เป็นบาดแผลจากลูกธนูธรรมดา”
“ท่านเป็นหมอหรือไง! ”
ลี่จินเผลอตวาดออกไปอย่างลืมตัว เกลียดนักคนที่ชอบปล่อยปละละเลยอาการเจ็บไข้เพราะคิดว่าคนป่วยไม่เป็นอะไรมาก สุดท้ายก็มาลำบากคนเป็นหมอในตอนที่อาการกำเริบหนัก องครักษ์หนุ่มถึงกับชะงัก ไม่คิดว่าอู่ลี่จินจะตวาดออกมา แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีเวลามากพอให้หมอคนงามดุด่าอีก
ลี่จินถอนหายใจ ก่อนจะถามเสียงจริงจัง
“ลูกธนูนั่นยังอยู่หรือไม่”
ซุนไป่หานพยักหน้า คิดไม่ผิดที่ยังเก็บลูกธนูดอกนั้นเอาไว้ ก่อนจะรับสั่งทหารนายหนึ่งให้นำมาให้ลี่จิน
หมอหนุ่มขมวดคิ้ว เขาหยิบลูกธนูดอกนั้นขึ้นมาดูอย่างเบามือ ตัวศรเป็นสีไม้อ่อนน้ำหนักเบา ทว่ากลับมีลวดลายเป็นสะเก็ดๆ มีสีดำปะปนอยู่ด้วย ส่วนหัวศรนั้นเป็นเหล็กสีดำ ซึ่งถูกตีจนแหลม แต่หากสังเกตดีๆ แล้วเนื้อเหล็กกลับไม่เนียนเรียบ ผิวหยาบและเป็นจุดเล็กๆ สีขาวปะปน
ลี่จินยกหัวศรขึ้นมาดมเป็นอย่างสุดท้าย มีกลิ่นเหม็นเขียวเจือจางโชยออกมาหากเขาสันนิษฐานไม่ผิดอาจเป็นไปได้ว่า...
“ลูกธนูนี้เป็นพิษไม่ผิดแน่...” พอได้ยินอู่ลี่จินบอกเช่นนั้น สีหน้าของซุนไป่หานก็ดูเคร่งเครียดขึ้น ถึงแม้คำตอบที่ได้ยินจะไม่ต่างจะที่คาดไว้ แต่ที่น่าหนักใจคือหากไม่รู้ว่านี่เป็นพิษจากสิ่งใดก็คงมิอาจหายาถอนพิษได้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าพิษนี้ทำมาจากอะไร”
“อาการบวมและแผลไม่สมานกันเช่นนี้มาจากสัตว์หรือแมลงมีพิษไม่ผิดแน่ และข้าก็มั่นใจว่ามันไม่ได้ทำมาจากพิษงู ไม่เช่นนั้นทหารของท่านคงเสียชีวิตไปแล้ว” ไป่หานพยักใบหน้า คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ตามหมออู่มา
“ข้าเคยได้ยินเรื่องลูกศรที่ทำขึ้นมาจากขนตัวเม่นและเหล็กในผึ้ง หากนำมาตีผสมเข้าด้วยกันแล้วทำเป็นศร พิษจะแสดงผลคล้ายคลึงกับที่ทหารท่านเป็นอยู่” นั่นเป็นแค่การวินิจฉัยจากการสังเกตอาการทางสายตาเท่านั้น นับได้ว่าทหารผู้นี้ยังโชคดีนักที่ไม่มีอาการแพ้พิษเพิ่มขึ้นมาด้วย ไม่เช่นนั้นคงไม่มีชีวิตมาจนถึงป่านนี้ แต่กระนั้นพิษของตัวเม่นและเหล็กในผึ้งกลับทำให้แผลบวมและปวดแสบปวดร้อนไม่รู้จักสิ้น หากทิ้งไว้เช่นนี้คงไม่เป็นการดีแน่
“เจ้ารักษาได้หรือไม่”
ลี่จินเงียบไปทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น หากต้องการถอนพิษด้วยวิธีตามแพทย์หลวงเกรงว่าจะต้องใช้สมุนไพรหายากบางชนิดและยาลูกกลอน หมอหลวงชั้นต้นอย่างเขาไม่มีสิทธิ์เบิกยาราคาแพงเช่นนั้นจากกองโอสถได้ หากไม่ได้รับสั่งจากคนใหญ่คนโต
“ให้หมอหลวงข้างในทำน่าจะดีกว่า”
“ไม่ได้ หมอหลวงพวกนั้น เขาไม่มาเพราะทหารปลายแถวหรอก เจ้าช่วยเขาได้หรือเปล่า”
“รักษาเขาจำเป็นต้องใช้สมุนไพรหลายอย่าง ตำแหน่งข้าเบิกยาทุกอย่างไม่ได้”
ลี่จินตอบตามตรง สีหน้าของซุนไป่หานดูเคร่งเครียดขึ้น วังหลวงแห่งนี้เป็นสถานที่ที่น่าขยะแขยงยิ่งนัก คนเจ็บไข้ได้ป่วยถึงขั้นชีวิตยังมีเรื่องยศฐาเข้ามาเกี่ยวข้อง ลำพังหากอ้างว่าจะใช้ยศของเขาเป็นเพิกถอนยาแทนอู่ลี่จินก็ไม่ได้ เพราะได้ยินได้ว่ากองโอสถเป็นคนของรัชทายาท ไม่มีทางที่จะให้ความร่วมมือแน่นอน
ลี่จินเองก็ลำบากใจไม่แพ้กัน เขาเข้าใจความรู้สึกของคนตรงหน้าดีกว่าต้องการช่วยเหลือคน แต่เพราะบรรดาศักดิ์ของตัวเองต่ำต้อยจึงมิอาจเบิกยาที่มีประสิทธิภาพสูง อย่างมากก็แค่รักษาตามอาการ
“หมออู่ได้โปรดช่วย เพื่อนข้าด้วย หมออู่…”
เสียงขอร้องวิงวอนจากทางด้านหลังทำให้หมอหนุ่มถึงกับชะงัก พอหันหลังกลับไปก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายกลับไหววูบขึ้นมา เมื่อพบทหารหลายนายกำลังคุกเข่าขอร้องเขา
ลี่จินถึงกับพูดไม่ออก เขามองใบหน้าคมคายของซุนไป่หาน ดวงตานักรบคู่นั้นก็ดูอ้อนวอนเขาไม่ต่างจากคนอื่นๆ
หมอหนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะพูด “ข้าต้องกลับไปเอาล่วมยาก่อน ส่วนพวกเจ้า หากต้องการช่วยเขาจริงๆ ช่วยหาของพวกนี้ให้ข้าที”
สิ่งที่ได้ยินทำเอาสีหน้าของทุกคนเปล่งประกายไปด้วยความหวัง ไม่ช้าพอได้พู่กันกับหมึกมา หมอหนุ่มก็รีบเขียนสิ่งของที่จำเป็น ก่อนจะยื่นให้กับซุนไป่หาน
ทว่าพอได้อ่านตัวอักษร องครักษ์หนุ่มถึงกับขมวดคิ้ว
“เตาไฟ ปลิงป่า เกลือ ผงถ่าน ด้วงดิน ดอกหญ้ารุ่ยเจียง และน้ำเย็น”
เตาไฟ ผงถ่าน ดอกหญ้า เกลือ และน้ำเย็นยังพอเข้าใจได้ แต่ตัวด้วงกับปลิงป่าล้วงแต่เป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงทั้งนั้น เขานึกภาพไม่ออกเลยจริงๆ ว่ามันจะช่วยคนของเขาได้
“เจ้าจะเอาของพวกนี้ไปทำไม”
“อยากช่วยเขาหรือเปล่า ถ้าอยากช่วย เช่นนั้นท่านก็ต้องเชื่อใจข้า”
นัยน์ตาคู่สวยดูแน่วแน่ไม่สั่นไหว ไป่หานถึงกับเงียบกริบ เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าลี่จินจะใช้วิธีใดรักษากับของพวกนี้ ทว่าพอเจอสีหน้าจริงจังของอีกฝ่าย มันกลับทำให้เขากลืนคำถามทุกอย่างลงท้องไปจนหมด
ในที่สุดไป่หานก็พยักใบหน้า แล้วออกคำสั่ง ระหว่างนั้น ลี่จินก็เอ่ยขอกลับไปที่สำนักหมอเพื่อไปหยิบล่วมของตัวเองมา ซึ่งขากลับเขาเจอเต๋อหวนชะงักมองเขาที่ถือล่วมยามาด้วย ท่าทางเหมือนอยากจะถามอะไรสักอย่าง แต่ลี่จินไม่ได้สนใจ หมอหนุ่มรับเดินมาที่จวนพักทหารในทันที
กระทั่ง...ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะรวบรวมของทุกอย่างจนครบ อู่ลี่จินไม่รอช้ารีบดำเนินการรักษา เขาให้ทหารช่วยพยุงคนป่วยให้นอนหงายลงบนแค่ไม้ ก่อนจะเปิดกล่องล่วมยา แล้วหยิบมีดกรีดขนาดเล็กออกมา
“จับขาไว้หน่อยข้าจำเป็นจะต้องกดหนองเขาออก”
สิ่งที่พูดทำเอาทุกคนถึงกับมองหน้ากันพลางกลืนน้ำลายเงียบๆ ทว่าก็ยอมทำตามที่หมอหนุ่มพูด ขณะที่ซุนไป่หานยืนพิจารณาหมอคนงามซึ่งกำลังใช้มีดรนไฟอยู่ที่อีกมุมหนึ่ง นัยน์ตานักรบส่อแววประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
“มันจะเจ็บสักหน่อย แต่สักพักเจ้าจะรู้สึกดีขึ้น”
นัยน์ตาคู่สวยเหลือบมองสีหน้าคนที่นอนอยู่ ตอนนี้จะเรียกได้ว่าผู้ป่วยแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับปากบอกเสียด้วยซ้ำ แต่อย่างไรคนเป็นหมอก็ต้องสังเกตอาการก่อนรักษา
เมื่อเห็นว่าไร้อาการต่อต้านใดๆ แล้ว ลี่จินก็ส่งสายตาให้ทุกคนเป็นสัญญาณให้กดตัวทหารหนุ่มผู้นั้นเอาไว้ ไม่ปล่อยให้เสียเวลานาน มือเรียวค่อยๆ บรรจงกดมีดลงบนบาดแผลที่บวมม่วง เพียงแค่สะกิดปลายมีดลงนิดเดียวของเหลวสีเหลืองเขียวเจือแดงเลือดก็ไหลออกมา
ลี่จินใช้พยายามใช้มือกดบาดแผลด้วยแรงไม่หนักไม่เบาเพื่อรีดน้ำหนองออกมาให้หมด พลางชำเลืองสายตามองคนป่วยเป็นระยะๆ มีครู่หนึ่งขาที่กดแผลกลับกระตุกขึ้นเพราะเขาออกแรงมากเกินไป แต่ว่า...หากเขาออกแรงไม่มากพอจนกดหนองออกมาไม่หมด จะทำให้ขานั้นติดเชื้อ แล้วจะยิ่งให้คนไข้อาการทรุดหนัก
กระทั่งของเหลวเสียไหลออกมาจนหมดแล้วกลายเป็นเป็นสีดำเข้มแทน ลี่จินจึงเลิกออกแรง ก่อนจะใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดรอยเลือดที่เลอะเปรอะออก สำหรับเหตุผลที่เขาใช้น้ำเย็นนั้นเป็นเพราะว่าหากใช้น้ำอุ่นจะยิ่งทำให้เลือดไหลออกมากขึ้น แล้วแผลจะหายช้าลง
“ข้าขอสิ่งนั้นหน่อย”
“เจ้าทำอะไร”
ไป่หานถึงกับขมวดคิ้วเอ่ยปากถามทันทีเมื่อเห็นอู่ลี่จินใช้แท่งเงินคีบสิ่งมีชีวิตผิวมันวาวเหมือนเคลือบด้วยเมือกใสขึ้นมาจากกล่องไม้ที่พวกทหารนำมาให้ มันคือปลิงสีดำมะเมื่อมตัวอ้วนกลม น่าขยะแขยง
“เขามีเลือดเสียอยู่ที่แผลหากใช้มือบีบออก หรือกรีดแผลลึกกว่านี้เขาจะเจ็บมาก ฉะนั้นให้ปลิงดูดเลือดพิษที่ค้างในแผลออกมาเป็นทางออกที่ดีที่สุด”
หมอหนุ่มอธิบาย ก่อนจะค่อยๆ บรรจงคีบปลิงป่าลงบนรอบๆ เนื้อผิวที่ม่วงคล้ำ ขณะที่สีหน้าทุกคนดูขยาดและไม่อยากเชื่อสักนิดว่าเจ้าสิ่งนี้ที่หมออู่พูดจะรักษาทหารผู้นี้ได้จริงๆ ลี่จินเข้าใจความหายของสายตาพวกนั้นดี เพราะแต่ไหนแต่ไรวิธีรักษาเช่นนี้เป็นใครก็คงขยะแขยง ทว่าถานเซียงได้พร่ำสอนเขาเสมอว่า ในชีวิตจริงคนเราคงไม่มีปัญหาหายาราคาแพงหรือสมุนไพรดีๆ ได้ตลอดตามที่ต้องการ ถึงสิ่งเหล่านี้มันจะน่าสะอิดสะเอียน แต่ถ้ามันช่วยชีวิตได้เราก็ควรพิจารณามันไม่ใช่หรอกหรือ
ลี่จินเฝ้ารอเวลาให้ผ่านไปอย่างเงียบสงบ สักพักเดียวสายก็สังเกตเห็นได้ว่าอาการม่วงช้ำรอบผิวบาดแผลเริ่มจางลด ขณะที่ตัวปลิวกลับอ้วนใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเกือบสองเท่า จังหวะนั้น เขาจึงลุกขึ้นใช้เกลือผสมกับน้ำเล็กน้อย ก่อนจะใช้แท่งเงินจุ่มลงไปแล้วนำมาหยดที่ตัวปลิง
เพียงเสียววินาที ปลิงที่เกาะอยู่บนแผลก็หลุดออกมา ไม่ช้าเขารีบใช้ผ้าทำความสะอาดแผลเบาๆ ก่อนยืนขึ้นปาดเหงื่อที่เกาะอยู่บนหน้าผากก่อนจะสั่งอีกครั้ง
“ข้าจะไปต้มยา”
“ต้มยา เจ้าหมายถึง ผงถ่าน ด้วงดินกับหญ้ารุ่ยเจียงเข้าด้วยกันน่ะหรือ”
คำถามนั้นทำให้อู่ลี่จินอดไม่ไหวที่จะกลอกตา
“ข้าจะต้องสาธยายสรรพคุณทั้งหมดให้ท่านฟังหรืออย่างไร จะไม่ให้เขาดื่มยาก็ได้ แต่ข้ามั่นใจว่าคืนนี้เขาจะไข้ขึ้นสูง แล้วคงร้องขออยากตัดขาตัวเองทิ้งแน่นอน”
สวนขึ้นมาจนคนถามถึงกับอ้าปากค้าง เขาแค่ถามแค่นิดหน่อยเพราะไม่เคยเห็นวิธีที่รักษาอันแปลกประหลาดเช่นนี้ ผิดนักหรือไงเล่า ไม่เห็นต้องดุด่ากันเลย ขณะที่พวกทหารต่างพากันหน้าซีด มองกันเลิ่กลั่ก เพราะไม่เคยมีใครกล้าพูดจาเช่นนี้กับหัวหน้าของพวกเขามาก่อน
ลี่จินพยายามสงบอารมณ์ของตัวเอง แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาตอบคำถามคนตรงหน้าเช่นกัน เขารีบหันกลับไปต้มยาต่อทันที
ไม่นานนักก็ได้ยาน้ำสีดำขุ่น ที่ทำจากถงผ่าน ด้วงดิน และดอกหญ้ารุ่ยเจียงออกมาถ้วยหนึ่ง
“ประคองตัวเขาขึ้นมาหน่อย ข้าจะให้เขาดื่มยา” ได้ยินคำสั่งทหารทุกคนต่างหันไปมองหน้าซุนไป่หานกันหมด ทว่าองครักษ์หนุ่มกลับไม่พูดอะไร เขาเพียงพยักหน้าอนุญาตให้ตามที่อู่ลี่จินพูด
“รสชาติอาจจะแย่สักหน่อย แต่มันช่วยดูดพิษให้เจ้าได้ ดื่มซะ” ลี่จินกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาดูแน่นิ่งดูไม่มีความอ่อนโยนอย่างคนเป็นหมอควรจะมีเลยสักนิด แต่กลับกันมันกลับแสดงความจริงใจและตรงไปตรงมาอย่างเปิดเผยเช่นกันว่าเรื่องที่เจ้าตัวพูดไม่ใช่เรื่องหลอกลวง
ในที่สุดทหารหนุ่มยอมดื่มยาของอู่ลี่จินเข้าไป รสชาติของมันทั้งขมเฝื่อน แสบร้อน และเหม็นเขียวไปทั่วลำคอจนแทบอยากจะปาถ้วยยาทิ้ง แต่พอเห็นสายตาของหมอที่อยู่ตรงหน้าแล้วเขากลับไม่กล้าพอที่จะกระทำเช่นนั้น ขณะที่คนอื่นๆ กลับทำสีหน้าเหมือนอยากจะอาเจียนออกมา ไม่เว้นแม้แต่ซุนไป่หานที่ถึงกับเบือนสายตาหนี
กระทั่งเสียงกลองตีดังเมื่อเข้าสู่ยามเซิ่น ในที่สุดอู่ลี่จินก็กลับมาหายใจหายคอได้สะดวกอีกครั้ง เขาปล่อยให้ทหารรายนั้นนอนหลับพักผ่อน ก่อนจะเดินขอตัวออกมาด้านนอกพร้อมกับซุนไป่หานที่ตามมาติดๆ เมื่ออยู่กันสองคนแล้วองครักษ์หนุ่มจึงเอ่ยปากถามสิ่งที่ค้างคาใจ
“นี่เป็นวิธีรักษาดั้งเดิมของเจ้าหรือ”
“ใต้เท้ารังเกียจหรือ” ลี่จินถามเสียงนิ่ง แต่เขาเข้าใจดีว่าถ้าไป่หานจะขยะแขยงก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก
“เปล่า...ข้าเพียงไม่คิดว่าเจ้าจะมีวิชาแบบ...” องครักษ์หนุ่มเงียบไปเพราะคิดคำพูดไม่ออก อู่ลี่จินต้องเป็นคนเอ่ยปากขึ้นมาเอง
“หมอยาผีบอก นอกเมืองเขาเรียกกันแบบนั้น”
“เจ้าไปเรียนรู้จากใครมา”
“ท่านจะสนใจไปทำไมว่าข้ามีวิชาแบบไหน แค่รักษาได้ก็เพียงพอ”
สิ่งที่ได้ยินทำเอาซุนไป่หานหวนคิด ในสนามรบที่เขาผ่านมา ได้รับบาดแผลมาก็มาก ในตอนนั้นการมียารักษาแผลย่อมดีกว่าการปล่อยทิ้งชีวิตเอาไว้ พวกเขาเข้าใจช่วงเวลานั้นดีว่ามันยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็นหากขาดหมอมาช่วยเหลือ เขาไม่ได้รังเกียจหรือขยะแขยงวิธีรักษาของลี่จิน เพียงแต่แค่ไม่เคยรู้ว่าสัตว์เหล่านั้นจะนำมาเป็นยาได้
“ถูกของเจ้า แค่รักษาชีวิตได้ก็พอ”
ไป่หานยกยิ้มขึ้นจางๆ ลี่จินพยักใบหน้าก่อนจะตอบ
“โชคดีที่เขาไม่จำเป็นจะต้องเย็บปากแผลเพิ่มไม่เช่นนั้นเขาจะเจ็บตัวมากกว่านี้ ข้าจะเขียนใบเทียบยาอีกฉบับให้เขา เพื่อลดอาการบวมและไข้พิษ รบกวนท่านให้คนไปเบิกที่กองโอสถด้วย”
ว่าจบก็ยื่นใบเทียบยาให้กับองครักษ์หนุ่ม ไป่หานรับมันออกมาแล้วคลี่อ่าน ในนั้นมีรายชื่อสมุนไพรพื้นๆ ที่ช่วยลดไข้อยู่ไม่น้อย
จะว่าไปแล้ว...ครั้งนี้ถือว่าเขาเป็นหนี้หมอรูปงามคนนี้เป็นอย่างมาก
“หมออู่”
เมื่อได้ยืนเสียงเรียกลี่จินจึงเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาเรียวสวยส่อความฉงน
“คืนนี้ให้ข้าได้เลี้ยงเหล้าขอบคุณเจ้า”
“ข้าไม่...”
“ข้าจะขออนุญาตหมอเหลียงเอง”
พูดยังไม่ทันจบก็เป็นอันต้องหุบปากบ้าง เมื่อซุนไป่หานพูดดักจนปฏิเสธไม่ออก ขณะที่นัยน์ตาคมดูวาววับเป็นประกายแปลกๆ
“ข้าจะรอเจ้าที่จวนคืนนี้”
อู่ลี่จินเอาแต่เงียบพลางกลืนน้ำลาย เขาไม่ได้ตกลงหรือปฏิเสธออกไป ทว่าก็พอจะรู้สึกตัวอยู่บ้างว่าเผลอพยักใบหน้ารับออกไปเบาๆ
คิดแล้วก็อยากจะถอนหายใจนัก ทำไมหนอสวรรค์ถึงต้องสร้างให้เขากับองครักษ์ซุนเจอหน้ากันแบบนี้ตลอดด้วยนะ!
♦♦♦♦♦♦
เมื่อวานไม่ได้อัพ แฮร่ มัวแต่ไปเที่ยวกับแม่เง้อออ มาต่อแบ๊ววว ><
อันความเป็นหมอของลี่จินนี้... คาดว่าไป่หานคงยอมป่วยตาย ถถถถ