Underlying diseases.
「โรคประจำใจ」
Follow up ครั้งที่ 12
---OMIN---
ผมมีเวลาว่างสองสัปดาห์หลังสอบและก่อนเริ่มฝึกงานในต้นเดือนหน้า เพื่อนหลาย ๆ คนในเอกฟิล์มก็เช่นเดียวกัน และมันก็มากพอที่จะให้เราได้ใช้เวลาร่วมกันในการตัดสินใจอะไรหลาย ๆ เกี่ยวกับละครเวทีร่วมกับรุ่นน้อง
รูปถ่ายมากมายของผู้สมัครกระจายอยู่เต็มบอร์ด แต่ละตัวละครจะมีนักแสดงที่เข้าเค้าอยู่ตัวละไม่เกินห้าคน บางตัวละครเราได้นักแสดงที่ตรงคาแรคเตอร์อย่างรวดเร็วตามผลโหวตเป็นเอกฉันท์ แต่บางตัวละครอย่างเช่นบทเจคที่ยัยจี๊ดเคยออกปากว่าไม่มีใครเหมาะเท่าธรรมศรก็ยังไม่สามารถเลือกใครมารับบทนั้นได้สักที
“ศรไม่น่าโดนแย่งตัวไปเลยว่ะ หงุดหงิดโว้ย” ยัยจี๊ดยีผมสั้น ๆ ของตัวเองระบายอารมณ์ ไม่วายยังส่งสายตาอาฆาตมาทางผมอีกด้วย
“มองอย่างนี้จะให้กูเล่นแทนเลยไหมล่ะ” ผมประชด มองกูดีนัก ก็บอกไปแล้วว่ามันช้าตั้งแต่คนสั่งให้ไปชวนศรมาเล่นแล้ว
“หล่อให้เท่าเมียก่อนเถอะเชี่ยโอม”
“แฟน” ผมพูดเสียงเข้ม หวังว่าใบหน้าขึงขังของผมจะช่วยให้เพื่อนเข้าใจด้วยว่าผมค่อนข้างจริงจังกับสถานะที่คนอื่นมองคนรักของผม
“โทษที ๆ แฟนก็แฟน”
“แล้วเอาไงละวะ เปิดรับสมัครรอบสองเหรอ” ไอ้เต๋าถามขึ้นมา งานนี้มันอยู่ฝ่ายฉากกับไอ้พีท เรื่องงานศิลป์งานอาร์ตต้องยกให้พวกมัน ส่วนไอ้โจโดดไปอยู่ฝ่ายเสียงคนเดียวเลย
“มึงว่าไงอ่ะ” จี๊ดพยักพเยิดหน้าไปทางทีมผู้กำกับเพื่อขอความเห็น “ที่ได้มาพอใจป่ะ”
คนเป็นผู้กำกับทำสีหน้าลำบากใจ “พวกกูคิดกันมาแล้ว หาใหม่อีกรอบได้ป่ะวะ หรือไม่ก็เรียกมาแคสต์ใหม่ ลองเล่นดูใหม่”
“ถ้าไม่ใช่ไม่ถูกใจก็อย่าเปลืองเวลาแคสต์ใหม่เลยว่ะ เปิดอีกรอบไปเลยง่ายกว่า” ผมเสนอ ซึ่งหลายคนก็เห็นด้วย
ฝ่ายประชาสัมพันธ์รีบประกาศผ่านช่องทางต่าง ๆ โดยระบุวันเวลาที่จะแคสติ้งใหม่เป็นวันพรุ่งนี้ตอนบ่าย ที่พวกเราไม่ยอมเริ่มตั้งแต่เช้าหรือสาย ๆ หน่อยเพราะไม่อยากให้ติดเที่ยง ไม่อยากเสียเวลากับอาหารมื้อกลางวันอีก ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าแคสติ้งครั้งนี้ต้องกินเวลานานไปถึงเย็นแน่ ๆ
“ถ้าไม่มีใครถูกใจ กูจะให้มึงเล่นนะไอ้โอม” อยู่ดี ๆ ความซวยก็มาตกที่กูเฉย ทุกคนหันมองผมตามสายตาของไอ้ผู้กำกับ
“มึงจะบ้าเหรอวะ” เป็นยัยจี๊ดที่โวยขึ้นมาก่อนใคร
“เอมว่าก็ดีนะพี่” น้องสาวตัวดีของผมที่นั่งอยู่ในกลุ่มน้องปีสองออกเสียงแสดงความเห็นหลังจากที่นั่งพยักหน้างึกงักกันมาตลอด
“เงียบไปเลยยัยเอม”
“ความจริงโอมก็เหมาะกับบทเจคอยู่นะ” ความเห็นดังกล่าวมาจากทีมเขียนบท ทีมที่มีอำนาจสูงสุดในการคัดเลือกนักแสดง
“กูไม่เล่น!” ผมประกาศกร้าว
“เห้ย เล่นดูหน่อยสิวะ”
“กูแสดงไม่เก่ง พวกมึงก็รู้”
“ของแบบนี้มันโค้ชกันได้ เพื่องานอ่ะทำไม่ได้เหรอวะ”
ผมตั้งท่าจะแย้งอีกครั้งแต่ไอ้เต๋ารั้งไว้ก่อนด้วยการกระซิบบอกถึงข้อดีของการยอมรับบทนี้ “มึงก็ลองเล่นดูหน่อยสิวะ ไม่อยากรู้เหรอว่าไอ้ศรมันจะหึงมึงบ้างรึเปล่า”
“มันจะคุ้มกันเหรอวะ”
“ไม่ลองไม่รู้นะมึง”
บอกตามตรงว่าผมไม่มั่นใจเลยสักนิดว่ามันคือการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ รู้แค่ว่าในตอนที่ไอ้เต๋ารับปากเพื่อน ๆ แทนผม ผมยังคงลังเลอยู่
อย่างที่ผมเคยบอกไป ผมไม่เคยเห็นไอ้ศรหึง ส่วนสำคัญคือผมไม่เคยทำอะไรที่ให้มันหึงเลยแม้แต่น้อย งานนี้ถ้าผมได้รับบทพระเอกของเรื่องจริง...ผมเองก็อดหวังอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ว่าจะได้เห็นมันหึงบ้าง
เย็นวันนั้นผมจึงลองหยั่งเชิงดูท่าทีมันในตอนที่นั่งกินข้าวด้วยกันที่ห้อง
“บทที่อยากให้มึงเล่นอ่ะ ยังหาคนมาเล่นไม่ได้ พรุ่งนี้จะแคสต์กันใหม่ พวกมันบอกว่าถ้าหาคนเล่นไม่ได้มันจะให้กูเล่นบทนี้...มึงว่าไง”
“ก็ดีนี่ กูอยากไปดูมึงเล่น” ศรเงยหน้าจากจานข้าวมามอง แสดงถึงความสนใจจริง ๆ
“มึง...ไม่หวงกูหน่อยเหรอ”
“มันเป็นงานหน่ามึง งานก็คืองาน กูสนใจแค่นั้น” พูดจบก็หันไปสนใจอาหารต่อ ไม่เงยขึ้นมาสบตากันอีกเลย กลายเป็นการตัดบทไปโดยปริยายที่ผมต้องจำยอม
ช่วงนี้ผมกับศรเจอกันแค่เฉพาะที่ห้อง ถึงอย่างนั้นก็มีเวลาน้อยแค่ตอนเย็นเพราะตอนเช้าเราออกจากห้องไม่พร้อมกันเหมือนช่วงมีเรียน อาหารเช้าของศรถูกละเว้นโดยที่ผมไม่สามารถขู่เข็นให้มันตื่นมาทานได้ ผมออกจากห้องช่วงสายทุกวันเพราะเป็นทีมงานละครเวที ขณะที่ศรออกใกล้ ๆ เที่ยงเพื่อไปเวิร์คชอปในฐานะนักแสดง
อดสงสัยไม่ได้ว่าละครเวทีของคณะสถาปัตยกรรมมีกำหนดแสดงหลังคณะผมแต่ทำไมถึงได้ตัวละครครบและเวิร์คชอปกันก่อนเสียอีก ถามศรไปก็ไม่ได้คำตอบ แฟนผมมันแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น ไม่ได้มีส่วนในการตั้งข้อสงสัยใด ๆ กับทีมงานคณะนั้น
ในช่วงเย็นที่เจอกันก็แทบไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันมากไปกว่าการทานมื้อเย็นด้วยกันที่ส่วนใหญ่แล้วอีกฝ่ายสั่งมารอผมกลับมาทานพร้อมกัน ปิดท้ายความเหนื่อยล้ามาทั้งวันด้วยการที่ผมเป็นฝ่ายวอแวไปนอนกอดมันโดยไม่ได้อะไรที่มากกว่านั้นเลยสักครั้ง
“โอม...หลับรึยัง”
“อือ” ผมครางรับในลำคอ กำลังเคลิ้ม ๆ ใกล้หลับเต็มที ก่อนหน้านี้เห็นมันนิ่งไปนานก็คิดว่าหลับไปก่อนแล้วเสียอีก
“วันนั้นที่บ้านอาภพ...มึงได้ยินใช่ไหม” ธรรมศรถามเสียงเบาทว่ากลับทำให้โสตประสาทผมตื่นตัวจนพาลให้ตื่นเต็มตาไปด้วย ผมมองมันจากด้านหลัง ผมดำขลำของมันห่างออกไปแค่คืบหนึ่งเท่านั้น เรียกได้ว่าใกล้จนได้กลิ่นแชมพูที่เราใช้ร่วมกัน ใกล้กันขนาดนี้แต่ผมกลับไม่สามารถล่วงรู้ความนึกคิดของอีกฝ่ายได้เลย
“อือ” ผมยังคงครางตอบในลำคอ ขยับตัวเข้าใกล้มันอีกนิดจนคราวนี้สามารถจูบเรือนผมอีกฝ่ายได้ “เสียงมึงดังออกมา กูตกใจ”
ศรเงียบไปนานทีเดียว นานจนผมคิดว่ามันคงหยุดพูดถึงเรื่องนี้และชิงหลับไปก่อนแล้วเสียอีก “มึงไม่เห็นใช่ไหม”
“อือ ก็มึงสั่งไว้” ผมไม่ได้เชื่อฟังเพียงเพราะว่าเป็นคำสั่งจากศร ผมเพียงแต่เคารพการตัดสินใจของอีกฝ่ายเท่านั้น ถ้ามันบอกให้นั่งอยู่แต่ในรถ ผมก็จะยอมทำตามแม้ว่าเสียงที่ดังออกมาให้ได้ยินจะทำให้ผมห่วงความรู้สึกมันมากแค่ไหนก็ตาม
ตอนนั้นผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าครอบครัวมันไม่ได้เพอร์เฟ็คอย่างที่คิด
“กูไม่อยากให้มึงเครียดหรือกังวลนะ ไม่ชอบแบบนั้น มึงรู้ใช่ไหม” เสียงผมหนักแน่นและชัดเจนไร้แววงัวเงียอย่างก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
“อือ ไว้วันหนึ่งจะเล่าให้มึงฟัง...ถ้ามึงยังไม่ไปไหน”
ผมยิ้ม ยิ้มทั้งที่ศรไม่มีทางมองเห็น ยิ้มให้ตัวเองที่อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสจะได้ช่วยบรรเทาทุกข์ให้อีกฝ่าย แม้ว่าอาจจะต้องรอต่อไปอีกก็ตาม...แต่ผมก็ยินดี
“กูรอเก่งกว่าที่มึงคิดเยอะ”
“...”
“ศร”
“หือ”
“อย่ากลัวว่าจะเดียวดาย จำเอาไว้ว่ากูจะจับมือมึงไว้เสมอ”“อือ ปากหวานจังวะ อยากได้อะไรไหนพูด!”
ผมหัวเราะน้อย ๆ “เห็นกูเป็นพวกทำดีหวังผลไปได้” ว่าแล้วก็กระชับกอดให้เนื้อตัวเราแนบแน่นขึ้น ฝังหน้าลงกับหลังคอของศรแต่ไม่ได้ทำอะไรเกินเลย อีกฝ่ายเองก็ไม่ได้ดิ้นออกหรือแสดงท่าทีรำคาญเหมือนทุกที
ต่างฝ่ายต่างเงียบกันไปปล่อยให้ความเงียบของค่ำคืนได้ทำหน้าที่ของมันแทนทุกสรรพเสียง มันนานจนผมเคลิ้มหลับอีกครั้ง แต่เพราะว่าอยู่ใกล้มาก ในตอนสติสัมปชัญญะสุดท้าย โสตประสาทของผมก็ได้ทำงานอีกครั้งก่อนเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างเต็มที
“เชื่อเถอะ...
ไม่มีใครทำอะไรเพื่อหวังผลเท่ากูอีกแล้ว”
เป็นไปตามคาด งานแคสติ้งครั้งที่สองกินเวลายาวจนผมต้องส่งข้อความไปบอกศรว่าให้ทานอาหารเย็นไปก่อนไม่ต้องหิ้วท้องรอ ผลสรุปของการแคสต์ในวันนี้คือผมต้องรับบทพระเอกของเรื่องอย่างเลี่ยงไม่ได้ จากหน้าที่ฝ่ายภาพกลายเป็นพระเอกเฉยเลยกู
จากที่ชีวิตยุ่งพอประมาณกลายเป็นยุ่งมาก ไหนจะต้องมาถ่ายรูปรวม เข้าพระเข้านาง และนัดเวิร์คชอปก่อนจะต่อบทในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้านี้อีก ไม่ต้องทำนายก็รู้เลยว่าผมคงแทบไม่มีเวลาเจอหน้าแฟนแน่ ๆ ลำพังแค่มันแสดงละครเวทีคนเดียวผมก็คงได้เจอมันน้อยลงแล้ว พอผมต้องเล่นด้วยอีกคนและเป็นคนละเรื่องกันด้วย งานนี้คงได้เจอกันแค่ตอนนอนเท่านั้นแน่ ๆ
ขนาดยังไม่ทันได้เริ่มฝึกงานและซ้อมละครเป็นจริงเป็นจังเรายังได้เจอกันแบบนับชั่วโมงได้เลย และเพราะเจอกันน้อย ผมจึงนัดมันไปเดทด้วยหนังรอบดึกเสียหน่อย แต่ก็นะ...ไม่ได้เตรียมใจที่จะถูกปฏิเสธเลยสักนิด
[กลับไปดูที่ห้องเถอะว่ะ กูเพลียมาก]
ก็พอรู้อยู่ว่าการเวิร์คชอปมันใช้พลังงานชีวิตเยอะขนาดไหน แต่ไม่คิดว่าคนที่บอกว่าเพลียมากจะกลับห้องมาด้วยสภาพเหมือนศพเดินได้ที่ทิ้งตัวใส่ผมทันทีที่เจอกัน
“อุ้มหน่อย” ศรพูดเสียงยานคาง ฟังดูเหมือนอ้อนจนผมหน้าเห่อร้อนขึ้นมา
“อุ้มขึ้นเตียงนะ” ผมแกล้งกระซิบเสียงแหบพร่าชิดใบหูศร อีกฝ่ายก็ดูว่าง่ายไม่ฟึดฟัดขัดขืน มีแต่ครางอือรับแล้วบอกว่าไปไหนก็ได้หมด
ผมพลิกตัวให้มันขี่หลังจนโดนตีด้วยแรงอันน้อยนิดพร้อมคำด่าว่าเล่นใหญ่แต่ผมไม่สน ในเมื่อมันบอกว่าให้อุ้มแต่ผมไม่กล้าอุ้มมันในท่าเจ้าสาวเพราะกลัวตัวเองจะหลังเดาะแล้วพามันล้มไปด้วยจึงจำต้องใช้วิธีนี้เพื่อพามันไปนอนพักได้ ผมไม่ได้พาไอ้คุณชายไปนอนบนเตียงอย่างที่หยอกไว้ แต่เลือกที่จะพามันไปนอนเอนที่โซฟาตัวยาวในห้องนั่งเล่นแทน
“กินข้าวมายัง”
“กินแล้ว”
ผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รองขาที่ถูกขยับมาใกล้กัน มองดวงหน้าหล่อราวเทพช่างปั้นแต่วันนี้แสนอ่อนล้าแล้วยิ้มบาง ๆ ก่อนยื่นมือไปเกลี่ยผมที่ปรกใบหน้าหล่อ “เหนื่อยมากเลยดิ หื้ม”
“เออดิ ทีมงานเขาบอกว่าจะรีบให้กูเป็นตัวละครนั้นให้ได้ก่อนแยกย้ายไปฝึกงาน ช่วงนั้นกลับมาซ้อมจะได้ลื่นไหล” ศรตอบทั้งหลับตา เสียงยานคางเอื่อยเฉื่อยบ่งบอกว่าเจ้าตัวเหนื่อยมากจนน่าสงสาร
“ดื่มน้ำหวานหน่อยไหม”
“ไม่อ่ะ อยากพัก”
แม้จะได้ยินอย่างนั้นแต่ผมก็ตัดสินใจรบกวนการนอนของมันอีกครั้งด้วยการใช้ผ้าเย็นเช็ดใบหน้าราวกับประติมากรรมของมันเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้
ถึงจะหลับตาพักความอ่อนล้าแต่หัวคิ้วยังเคลื่อนเข้าหากันจนหน้ายุ่งไปหมด เห็นแล้วก็ขัดใจไม่อยากให้ศรเครียดมากจึงโน้มตัวเข้าไปกดจูบหนัก ๆ ตรงหว่างคิ้ว
“อื้อ” คนถูกรบกวนเวลาพักครางเสียงรำคาญออกมาจากลำคอก่อนลืมตาขึ้นมองผมตาขวาง “ทำอะไร”
“จะหลับก็หลับ ขมวดคิ้วทำไม”
“มันเป็นไปเองหน่า” ศรหลับตาลงอีกครั้ง ดูเหมือนครั้งนี้เจ้าตัวจะพยายามควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าไม่ให้ยุ่งเหยิงเหมือนเมื่อครู่
“เหนื่อยมากไหม”
“เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”
“งั้นก็คงอาบน้ำเองไม่ไหวสินะ”
“อย่าคิดทะลึ่ง กูไม่มีแรงจะสู้รบกับมึงหรอกนะ”
ผมหลุดขำ
“เอ้อ...ศุกร์นี้กูต้องไปกินหมูกระทะกับทีมละครเวที มึงไปกับกูนะ”
“ที่ไหน”
“ยกครัว” ผมบอกชื่อร้าน ยกครัวเป็นร้านหมูกระทะใกล้มหา’ลัยที่แทบจะกลายเป็นโรงอาหารมื้อเย็นของนักศึกษาสถาบันนี้ไปแล้ว
“งั้นไปพร้อมกัน” ผมเลิกคิ้วแทนคำถามทั้งที่อีกฝ่ายไม่มีทางเห็น ไปพร้อมกันไม่ได้แปลว่า ‘ไปด้วยกัน’ แน่ ๆ “พวกกูก็นัดกินที่นั่นเหมือนกัน”
เซ็งนิดหน่อยที่ต้องนั่งแยก แต่ถือว่าโชคดีที่บังเอิญนัดวันเดียวกัน ผมจะได้ไม่ต้องร้องขอตามไปด้วยในวันอื่น มารู้สึกเซ็งสุด ๆ ก็ตอนที่ได้ยินอีกฝ่ายลืมตาขึ้นมองแล้วพูดขึ้นมาว่า “บอกไว้ก่อนเลยว่าห้ามเข้าไปยุ่งกับโต๊ะกูเด็ดขาด”
เหมือนโดนคำสั่งว่าห้ามหึง...
ผมอ้าปากตั้งท่าจะแย้งแต่ก็ถูกห้ามด้วยสายตาที่มองดุกลับมา “มันเป็นงานละลายพฤติกรรม กูไม่อยากมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน”
“งั้นมึงก็ต้องทำตัวดี ๆ”
“กูจะไม่ยุ่งกับใคร” มันตอบแบ่งรับแบ่งสู้ รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองแม่งดึงดูดคนรอบข้างดีแค่ไหน
“ปฏิเสธใครได้ก็ควรทำ”
“กูจำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นนะเว้ย...อีกอย่างนะ ตั้งแต่กูคบกับมึง กูก็ไม่เคยนอกลู่นอกทางเหอะ ครั้งนี้มึงอย่าทำงานกูพังก็แล้วกัน”
ผมถอนหายใจแรง จริงอย่างที่มันว่า ศรไม่เคยนอกลู่นอกทางหรือทำตัวเจ้าชู้ให้เห็นเหมือนอย่างก่อนคบกัน แต่ความมีมนุษยสัมพันธ์ของมันก็ยังดีอยู่เหมือนเดิม รับน้ำใจเขาไปเสียหมด ใครเข้าใกล้ก็ยินดีปรีดาไม่ได้หวงเนื้อหวงตัว มันไม่ถนอมใจคนขี้หวงอย่างผมเลยสักนิด
“แล้วนี่จะเริ่มฝึกงานเมื่อไหร่” ผมเปลี่ยนเรื่องแก้เซ็ง ได้ยินมันบอกว่าติดต่อบริษัทฝึกงานตั้งแต่ช่วงก่อนสอบแล้ว
“เดือนหน้า”
“อือ พร้อมกัน”
ผมปล่อยศรให้นอนพักอยู่ตรงนั้นโดยที่ผมนั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้ลุกไปไหน เราอยู่กับแบบเงียบ ๆ สุดท้ายวันนี้ผมก็ไม่ได้ดูหนังกับมันอย่างที่ตั้งใจไว้ นั่งไปนั่งมาก็ผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็กลางดึกแต่นอนเหยียดยาวบนโซฟาเบดไม่ใช่เก้าอี้ตัวเดิมแล้ว และยังมีผ้าห่มคลุมกายอยู่ด้วย ผมไม่ได้ลุกขึ้นนั่ง แค่หันไปมองยังทิศของศรก่อนที่ผมจะหลับไป เมื่อเห็นว่าอีกคนก็ยังนอนอยู่ตรงนั้นผมก็ตัดสินใจหลับต่อพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ
ศรเป็นแบบนี้แหละครับ ไม่อาบน้ำก็ห้ามขึ้นเตียง และผมก็ไม่ซีเรียสกับการนอนตรงนี้เสียด้วย แค่มันยอมลุกจากที่นอนมาจัดท่านอนผมเสียใหม่ทั้งที่ตัวเองเหนื่อยแทบแย่ก็ถือเป็นเรื่องดี ๆ ที่ทำให้ใจผมฟูยิ่งกว่าการเดทกันเสียอีก
ในวันที่นัดกินเลี้ยงสานสัมพันธ์ทีมงานละครเวที พวกผมมีนัดถ่ายรูปรวมนักแสดงกันก่อนในตอนบ่าย จากเดิมที่ตั้งใจจะไปร้านอาหารด้วยกันจึงกลายเป็นว่าศรต้องติดรถเพื่อนไปด้วยเพื่อที่ขากลับจะได้กลับพร้อมผม ก่อนออกมาที่คณะผมก็เพิ่งไปส่งมันที่คณะโน้นมา
งานนี้ผมเก๊กหน้าจนเมื่อยไปหมด ไหนจะถ่ายคนเดียว ถ่ายเข้าคู่พระนาง ถ่ายกับนางร้าย ถ่ายกับเพื่อนพระเอก ฝ่ายคอสตูมก็ช่างขยันเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผมเสียจริง ถ่ายกับนางเอกชุดนึง ถ่ายกับนางร้ายก็อีกชุด บ่นใส่พวกนั้นไปก็โดนด่าว่าไม่ทุ่มเทแล้วก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับ ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ทั้งที่มันก็แค่รูปโปรโมทเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ใช่รูปใช้จริงในการแสดงหรือสูจิบัตรเสียหน่อย ทำไมต้องทำอะไรให้เยอะด้วย
“เชี่ย” อยู่ดี ๆ ไอ้พีทที่เพิ่งหลุดออกจากโลกของฝ่ายฉากมาร่วมชมของสวย ๆ งาม ๆ ที่สตูดิโอก็อุทานออกมาหน้าตื่นข้างผมที่รอเข้าฉากต่อจากมิ้นซึ่งรับบทเป็นนางร้ายของเรื่อง
“อะไรของมึง” โจถามแทนสายตาของผมกับเต๋าที่หันมองอย่างสนใจเช่นกัน
“มึงจำวันที่มึงบอกให้กูแยกผู้หญิงออกจากไอ้ศรในผับได้ป่ะ” ไอ้พีทเล่าด้วยเสียงที่เบาลงจนแทบกระซิบทำให้พวกผมต้องยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนเหมือนสุมหัวกัน
“วันไหน กูก็ใช้มึงทุกวันที่มันออกเที่ยวอ่ะ”
ไอ้พีทขยี้หัว “โว้ย วันนั้นอ่ะ วันแสดงสารนิพนธ์รุ่นพี่อ่ะ ที่กูจูบเขาจนปกเจ่อ”
“อ๋อ ทำไม” พอจะนึกออก วันที่ศรกลับไปนอนบ้านอาคนที่เป็นหมอ
“ก็ผู้หญิงที่รับบทเคทอ่ะ นั่นน่ะ คือคนเดียวกับคืนนั้นเว้ย”
“เชี่ยยย” พวกผมสามคนเผลอร้องเสียงหลงออกมาเสียงดังจนแทบงับปากไม่ทัน กว่าจะรู้ตัวก็มีสายตาหลายคู่มองมา รวมถึงสายตายัยจี๊ดที่มองมาอย่างตำหนิด้วย
ผมค้อมหัวให้มันแทนการขอโทษที่เสียงดังทำให้คนที่กำลังทำงานอยู่เสียสมาธิ
“แล้วไงต่อวะ” ไอ้โจถามซื่อ ๆ
“โว๊ะ! ก็ต้องระวังตัวไงวะ เอ๊ะ! หรือกูจะสานต่อดี”
“เขาสนใจกู” ผมไม่ได้อยากทำลายฝันเปียก ๆ ของเพื่อน แต่มันคือความจริง หน้าหื่น ๆ ของพีทตึงขึ้นแต่ก็แฝงไปด้วยความสงสัย
“จะอวดว่าหล่อหรืออะไร”
“เขาเข้าหากู พวกมึงต้องช่วยกันเขาออกไป”
“กันทำไมวะ” เต๋าแสดงความเห็นบ้าง แม้ความเห็นของมันจะฟังดูไม่เข้าหูผมสักเท่าไหร่แต่ก็อดรู้สึกเสียววาบไม่ได้ คนที่ชอบฟังมากกว่าพูด เก็บข้อมูลเก่งและจอมวางแผนอย่างมันพูดออกมาแต่ละครั้งทำผมคิดไม่ตกทุกที “ลองปล่อยให้เธอเข้าหาดูดิ เผื่อไอ้ศรจะหึงบ้าง”
“หาเรื่องใส่ตัว” ผมส่ายหน้า จริงจังครับ ยังไงก็ไม่เอาด้วยเด็ดขาด
“ไม่ลองดูสักหน่อยวะ เอาแต่พองาม พอให้รู้ว่ามันหึงก็พอไง”
“ไม่…”
“มึงอยากรู้ไม่ใช่เหรอว่ามันแคร์มึงบ้างรึเปล่า กูว่านี่เป็นตัวเลือกที่ดีนะ วันนี้ไปกินเลี้ยงร้านเดียวกันด้วยใช่ป่ะ เหมาะมาก เชื่อกู”
“แต่ช่วงนี้มันแสดงออกเยอะขึ้นนะว่ารักกู”
“แต่กูว่าผลลัพธ์มันอาจมีได้หลายแบบ” ไอ้โจขัดขึ้นมา ท่าทางมันซีเรียสดูเอาการเอางานผิดกับตอนเรียน “มันอาจจะหึงมึงจริง หรืออาจจะแค่รู้สึกเสียหน้า หวงของเฉย ๆ ก็ได้”
“แรงว่ะ!” พีทว่า
“อ้าว! ก็จริงนี่หว่า เรื่องของความรู้สึกมันซับซ้อนนะเว้ย อย่างมึงอ่ะแสดงออกทั้งท่าทางและคำพูดมาตลอด แต่มันไม่เคยนะ มึงจะแน่ใจได้ไงว่าหึงจริง”
“พูดเหมือนรู้จักความรักเว้ยเห้ย” เต๋าว่าไอ้โจ ขณะที่ผมเงียบไปนานแล้ว ทุกคำพูดของเพื่อนเข้าหูผมทั้งหมด มันซึมลึกไปถึงสมองและผมก็ดันคล้อยตามคนไม่ได้เรื่องที่สุดอย่างโจแทนเต๋าเสียแล้ว
“สุดแล้วแต่มึงแล้วกันนะ” เต๋าตบบ่าผมให้กำลังใจ มันเองก็คงเห็นด้วยกับโจไม่มากก็น้อยถึงได้ไม่ยุให้ผมทำแบบเดิมต่อ
แม้จะไม่อยากทำตามคำแนะนำเดิมของไอ้เต๋า แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่เป็นใจสักเท่าไหร่เมื่อผมถูกเพื่อนบังคับให้นั่งตรงกลางระหว่างสาวรุ่นน้องที่รับบทนางเอกและมิ้นที่รับบทนางร้ายด้วยเหตุผมที่ว่าต้องสร้างความคุ้นเคยสนิทสนมกันไว้เพื่องานแสดงที่ลื่นไหล
ผมเลี่ยงการปฏิสัมพันธ์ด้วยการทำตัวยุ่งตลอดเวลากับหน้าจอโทรศัพท์บ้าง เดินออกไปคุยนอกโต๊ะบ้าง ซึ่งเป็นการโทรถามศรว่าจะมาถึงร้านกันเมื่อไหร่ จองโต๊ะหรือยัง นั่งกันตรงไหน จนเมื่อถาปัดกลุ่มใหญ่มาถึงกันนั่นแหละ ผมจึงจำต้องพาตัวเองกลับมานั่งที่โต๊ะอย่างช่วยไม่ได้
พวกผมต่อโต๊ะกันจนเป็นแถวยาวที่รองรับกว่าสามสิบชีวิต ผมนั่งโซนกลางซึ่งห้อมล้อมด้วยนักแสดง ขณะที่เพื่อน ๆ ผมต้องระเห็จไปนั่งกับกลุ่มคนเบื้องหลังซึ่งห่างไกลจากจุดที่ผมจะขอความช่วยเหลือได้
กลุ่มศรนั่งห่างออกไปสองโต๊ะ ไม่ไกลเกินกว่าที่สายตาของผมจะมองเห็น และการที่มันเลือกนั่งหันหน้ามาทางผมก็ยิ่งทำให้ผมสะดวกในการสอดส่อง แต่ที่ทำให้หงุดหงิดสุด ๆ คือการที่ไอ้เด็กจากคณะเกษตรนั่งอยู่ข้างมันที่โต๊ะนั้นด้วย!
“หายไปนานเลยนะคะโอม มิ้นย่างไว้ให้แล้วค่ะ” ผมไม่ทันสนใจเนื้อหมูสุกแล้วที่เธอคีบใส่จานผม ไม่สนใจจะเอ่ยขอบคุณด้วยซ้ำเพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับไอ้ศรและเหี้ยนั่น
การที่มันก็เล่นละครเวทีเรื่องนั้นด้วยทำให้ผมร้อนรน อยากจะเดินเข้าไปถามให้รู้เรื่องแต่ทำได้แค่ส่งข้อความไปเท่านั้น
OMIN : มันเล่นเรื่องเดียวกับมึงเหรอ
DharmaSORN : ใคร
OMIN : ไอ้เด็กเกษตรที่นั่งข้างมึง
DharmaSORN : ไอ้ท็อปอ่ะนะ
OMIN : เออสิวะ
DharmaSORN : ก็เออ มันเล่นเป็นคู่แข่งกู
OMIN : ทำไมมึงไม่บอกกู
DharmaSORN : ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรป่ะวะ มันจะเล่นก็สิทธิของมันอ่ะ เรื่องของมันไม่เกี่ยวกับกู
ฮึ่ย!! แต่มันชอบมึงไงโว้ย!!!
OMIN : อย่าให้มันเข้าใกล้มาก
OMIN : กูหวง
OMIN : กับคนนี้กูจริงจังมากนะศร
ไม่อยากบอกมันตรง ๆ ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไรด้วย ผมเลยต้องทำตัวหมาหวงก้างแบบงี่เง่าอยู่อย่างนี้
DharmaSORN : กูไม่ยุ่งกับมันอยู่แล้วหน่า รำคาญมันจะแย่
ถามว่าผมเชื่อมันได้ไหม
ดูจากที่มันไม่ได้คุยกับโอ้ท็อปอะไรนั่นมากนักและยังมีท่าทีรำคาญจริงดังว่าแล้วผมก็เชื่อสนิทใจ แต่มันก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด มันคันยุบยิบในใจจนแทบบ้า
นี่ยังไม่นับรวมสาวสวยพวกนั้นที่ห้อมล้อมและพร้อมใจกันปรณนิบัติเอาใจมันสารพัดอีกนะ
ให้ตายเหอะ ผมหัวร้อนมากจริง ๆ แล้วตอนนี้
ผมคีบหมูที่มีคนย่างให้เข้าปากด้วยความหงุดหงิด นี่ผมนั่งมองแฟนตัวเองถูกคนอื่นกระแซะตักนั่นคีบนี่ให้มาเกือบครึ่งชั่วโมงได้แล้วมั้ง อยากจะเดินเข้าไปอาละวาดเสียให้วงแตก แต่ก็ทำไม่ได้เพราะมันห้ามไว้ก่อนตั้งแต่ต้น มันมากับเพื่อนใหม่ นี่เป็นการละลายพฤติกรรม ไม่ใช่มาทำให้ทุกคนขยาดกับการร่วมงานกันเพราะความขี้หึงของผม
งาน
งาน
งาน
งานโว้ยยยย
นี่ผมเอาแต่ท่องคำนี้มานานแค่ไหนแล้ว บอกเลยว่าครั้งนี้ผมทนได้นานกว่าที่เคยทำสถิติไว้เยอะมาก และตอนนี้ผมก็ทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว!!
ไม่ครับ ผมไม่ได้ทำอย่างที่ใจต้องการหรอก คนอย่างกูทำได้แค่เดินไปสงบสติที่ห้องน้ำเท่านั้นแหละ
วิถี loser สัด ๆ
ผมเดินวนอยู่หน้าห้องน้ำซึ่งเป็นโซนสำหรับสูบบุหรี่ ผมไม่อยากสูบเพราะเลิกไปนานแล้ว (ซึ่งเดิมทีก็ไม่ได้ติดบุหรี่อะไรมากนัก) ถึงจะเครียดถึงจะหงุดหงิดแต่ก็ต้องห้ามใจตัวเองไว้ ผมเป็นคนชวนศรเลิก ผมก็ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้มันด้วย
“โอมคะ” ผมสะดุ้งสุดตัว ไม่ใช่เพราะเสียงหวานหู แต่เพราะถูกใครก็ไม่รู้เข้ามาเกาะแขน จนเมื่อหันไปมองเต็มตาถึงได้รู้ว่าเป็นมิ้น
“ปล่อย” ผมพูดนิ่ง ๆ อย่างไม่สบอารมณ์
“คืนนี้เราไปต่อกันนะคะโอม”
ผมชักสีหน้า นอกจากเธอจะไม่ปล่อยแล้วยังเบียดเนื้อตัวเข้าใกล้ผมอีก “นี่มันที่สาธารณะนะคุณ จะทำอะไรหัดคิดบ้าง”
เธอยิ้ม ไม่ได้สนใจสิ่งที่ผมเพิ่งตำหนิไปสักนิด “หมายความว่าถ้าเป็นที่ลับตาคนก็ทำได้สินะคะ”
“จะที่ไหนก็ทำไม่ได้ทั้งนั้น ผมมีแฟนแล้ว และที่สำคัญคือไม่ได้ชอบคุณ!” ผมสะบัดสาวเจ้าออกได้ในครั้งเดียวด้วยแรงมหาศาลอย่างที่ไม่เคยคิดจะใช้กับผู้หญิงคนไหน วิถีไม่เป็นสุภาพบุรุษไม่เคยมีอยู่ในหัว แต่เวลานี้ผมหงุดหงิดเกินกว่าจะมีอารมณ์ถนอมน้ำใจใครได้อีก
(มีต่อนะคะ)