ตอนพิเศษ 7: จากเพื่อนสู่รัก (Part 1)
"ถามจริงๆ เริ่มรู้ตัวว่าชอบต้นจริงๆ ตั้งแต่ตอนไหน"
หลังจากฟังเรื่องรักแรกของต้นมาได้สักพัก บวกกับความงงๆ ของสนอีกนิดหน่อย ปั้นจั่นก็ยิงคำถามนี้ขึ้นมา เรียกเสียงฮือฮาจากคนที่มาร่วมงานครบรอบแต่งงานห้าปีต้น-สนได้เป็นอย่างดี
สนหันไปมองต้น เหมือนจะขอแรงคนช่วยคิด เพราะนี่เป็นคำถามที่สนตอบได้ยากที่สุด แม้กระทั่งตัวสนเองก็ยังนึกไม่ออก ความรักที่เขามีให้ต้นนั้นซ้อนทับกับความเป็นเพื่อน จนนึกไม่ออกว่าความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน
"ก็ตอบยากนะครับ" สนเกริ่น ที่ต้องพูดเพราะเพราะมีแขกเหรื่อผู้ใหญ่มาร่วมงานหลายคน "แต่เป็นไปได้ว่าน่าจะเกิดขึ้นตอนมอสี่"
"มอสี่เหรอ แล้วเรื่องมันเป็นยังไง เล่าให้ฟังหน่อย" นิกถามบ้าง
ภูคาทำตาโตด้วยความอยากรู้ ตอนนี้อายุเจ็ดขวบแล้ว ฟังเรื่องผู้ใหญ่เข้าใจมากขึ้น เด็กน้อยรีบหันไปรบเร้าพ่อทันที "พ่อสน ภูคาอยากฟังแล้ว"
สนหัวเราะเขินๆ ก่อนทำท่านึกอยู่สักพัก แม้จะนานแค่ไหน แต่สนก็ยังพอจำได้ เหตุการณ์ตอนมอสี่น่าจะเป็นช่วงที่ความรู้สึกซ้อนทับเริ่มแยกกันชัดขึ้น
... ... ...
มอสี่เทอมสองปีนั้น สนต้องซ้อมฟุตบอลกับครูพละอย่างจริงจังช่วงเย็นทุกวัน เพราะทางโรงเรียนจะส่งไปแข่งระดับจังหวัดอีกสองเดือนข้างหน้า พร้อมกับถือโอกาสส่งนักเรียนบางส่วนเข้าร่วมคัดเลือกนักฟุตบอลทีมชาติรุ่นอายุไม่เกินสิบหกปีในอีกสามเดือนด้วย คนที่มีแววมากที่สุดตอนนี้คือสนและเพื่อนร่วมชั้นอีกคนชื่อ "พระนาย" ครูจึงช่วยดูเป็นพิเศษ
ช่วงนั้นสนกลับบ้านราวๆ หกโมงเย็นหรือค่ำกว่านั้น เขาเริ่มซ้อมตั้งแต่บ่ายสามเศษๆ หรือเร็วที่สุดเท่าที่ครูจะปล่อยมาได้ พอต้นเลิกเรียนแล้วก็มักจะมานั่งดู พร้อมกับซื้อน้ำมาให้เหมือนเช่นเคย ดีที่ว่าช่วงนี้สนไม่มีแฟน ต้นจึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีสาวที่ไหนเอาน้ำมาให้สนตัดหน้าเหมือนคราวนั้น
"เฮ้ยสน เมียมึงมารอกลับบ้านอีกแล้วว่ะ มาทุกวันเลย ห่างๆ กันบ้างก็ได้ เพราะงี้หรือเปล่าวะ กูถึงไม่เห็นมึงมีแฟนเลยช่วงนี้ หรือว่ามึงเปลี่ยนรสนิยมแล้ว"
เสียงเพื่อนๆ ในสนามผลัดกันพูดแซวสน ดังพอที่ต้นจะได้ยิน มีเสียงหัวเราะขบขันตามมาด้วย แทนที่สนจะกระอักกระอ่วนใจ เขากลับหันมาส่งยิ้มให้ต้น สนอาจจะชินแล้วก็ได้ เพราะเพื่อนๆ มักแซวแบบนี้เป็นประจำ
วันนี้ครูพละให้นักเรียนวิ่งรอบสนามก่อนลงซ้อม จากนั้นก็ให้ซ้อมเดาะบอล ซ้อมเตะชนคานและอื่นๆ อีกหลายอย่าง ส่วนมากเน้นพื้นฐานเพราะเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใช้
ในระหว่างรอต้นก็เล่นบาสเก็ตบอลกับเพื่อนๆ รุ่นน้องบ้าง รุ่นเดียวกันบ้าง รุ่นพี่บ้าง แล้วแต่ใครอยากมาเล่นด้วย
ไม่ถึงชั่วโมงหลังจากนั้น คนที่เล่นบาสด้วยกันก็ทยอยกลับไปทีละคนสองคนจนหมด ต้นจึงเลิกเล่นและกลับมานั่งรอสนอีกสักพัก วันนี้ต้นไม่มีการบ้าน วันไหนมีต้นก็จะนั่งทำที่โรงเรียนและรอกลับพร้อมสนอยู่ดี
เกือบหกโมงเย็น สนวิ่งตัวเปียกโซกด้วยเหงื่อมาหา ต้นรีบส่งขวดน้ำให้อย่างรู้ใจ "ทำไมวันนี้ซ้อมเสร็จเร็วล่ะ"
"ครูเขามีธุระ จะไปงานศพญาติ" สนบอก ก่อนเปิดขวดน้ำดื่มอึกใหญ่หลายอึกจนหมดขวด สักพักก็พูดต่อ "วันนี้เรามีการบ้านเยอะด้วย ไม่รู้คืนนี้จะทำทันหรือเปล่า"
"เดี๋ยวเราช่วยดูให้ วันนี้เราไม่มีการบ้าน" ต้นบอกพลางยิ้ม
สนพยักหน้ารับรู้ ก่อนหันไปมองรอบๆ พลันสายตาก็สะดุดกับอะไรบางอย่าง อยู่ดีๆ เขาก็พูดเหมือนเพ้อ "เฮ้ยต้น น่ารักว่ะ นายรู้เปล่าว่าใคร"
รอยยิ้มและแววตาเจ้าชู้ของสนพาต้นหวั่นใจอีกแล้ว เมื่อต้นหันไปมองตาม สิ่งที่เห็นก็ไม่ยากเกินจะคาดเดา สาวน้อยคนหนึ่งนั่นเองที่เป็นเป้าสายตาของสนอยู่ตอนนี้
ต้นยิ้มเจื่อน ก่อนตอบไปเบาๆ "ใบข้าวไง เขาเรียนห้องเดียวกับเฟิร์นนั่นแหละ"
"จริงเหรอ สวยขึ้นเยอะเลย" สนทำเสียงตื่นเต้น สายตายังคงไม่ละจากสาวน้อยรุ่นน้องมอสามคนนั้น
แม้ว่าจะเรียนโรงเรียนเดียวกัน แต่ที่นี่ก็มีนักเรียนหลายร้อย บางคนเห็นหน้าแต่ไม่รู้จักชื่อ บางคนนานๆ ทีจะมาให้เห็น สาวน้อยคนนี้ก็เช่นกัน เมื่อก่อนไม่เคยอยู่ในสายตาสนเลย แต่ปีนี้เธอเริ่มโตเป็นสาวแล้ว จึงรักสวยรักงามมากขึ้นและหัดแต่งเนื้อแต่งตัวตามประสา
"ต้น ไปกับเราหน่อย" สนหันมาบอก ก่อนจะเดินดุ่มๆ นำไปก่อน
ต้นรีบเดินตามไปอย่างงงๆ พลันก็ถึงบางอ้อว่าสนต้องการทำเป็นเดินเฉียดไปทางสาวน้อยคนนั้น เพื่อหาทางทำความรู้จักนั่นเอง
"ใบข้าว ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ" สนร้องทัก
ใบข้าวหันมามอง เธอทำหน้าแปลกๆ เพราะไม่ค่อยสนิทกับสนมากนัก แทบไม่เคยคุยกันเลยด้วยซ้ำ อยู่ดีๆ วันนี้ก็มาทัก แถมยังยิ้มแปลกๆ ให้อีก
"อ๋อ...กำลังจะกลับ พ่อใกล้จะมาถึงแล้ว" ใบข้าวตอบ พอเห็นต้นเดินตามมาสมทบอีกคนก็หันไปมองด้วย เธอจำต้นได้ นอกจากนี้ก็ยังรู้ด้วยว่าต้นกับสนเป็นเพื่อนรักกัน เพราะที่จริงคนก็รู้ทั้งโรงเรียน
"ทำไมพ่อมารับค่ำจังล่ะ" สนถามต่อ
"ช่วงนี้พ่อมีงานเยอะ ก็เลยเลิกค่ำ อ้าว พ่อมาพอดีเลย ไปก่อนนะ"
สิ้นคำสาวน้อยก็วิ่งถือกระเป๋านักเรียนไปหารถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่สีน้ำเงินๆ คันหนึ่ง ไม่แสดงท่าทีสนใจชายหนุ่มที่มาคุยด้วยสักนิด
"น่ารักว่ะต้น พอเขาไว้ผมยาวแล้วน่ารักขึ้นเยอะเลย มีเขี้ยวด้วย อึ๋มอีกต่างหาก" สนทำหน้าทะเล้นตอนท้าย
"สงสัยเขาจะไม่ชอบนายหรือเปล่า วิ่งหนีไปเลย" ต้นแสร้งพูดเล่นสนุก แต่ความรู้สึกหวิวๆ ในใจเริ่มก่อตัวอีกแล้ว ทุกครั้งที่สนจีบสาว ต้นมักจะมีความรู้สึกแบบนี้เสมอ แต่ก็ใช่ว่าจะชิน
"แรกๆ ก็งี้แหละ" สนหัวเราะเบาๆ "แต่เชื่อมือเราดิ อีกไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ ใบข้าวจะต้องเป็นแฟนเรา" สนยิ้มอย่างมีหวัง แววตาเป็นประกาย เขามั่นใจเพราะมีสาวๆ คลั่งไคล้ความหล่อของเขาหลายคน
กระแสเสียวแปลบพุ่งทะลุเข้าสู่หัวใจ ต้นได้แต่ยิ้มเศร้า ปีนี้เป็นปีที่สี่แล้วที่ต้นอยู่กับการแอบรักเพื่อน แต่ความรักไม่เคยคืบหน้าไปถึงไหนเลย เพราะต้นรู้ว่ามีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น ทางเลือกที่หนึ่ง เจ็บต่อไปและเป็นเพื่อนกับสนต่อไป ส่วนทางเลือกที่สอง บอกให้สนรู้และจบความเป็นเพื่อนกัน
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้นเลือกทางเลือกไหนหลังจากนั้นไม่กี่วัน ไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ด้วยซ้ำ สนก็จีบใบข้าวเป็นแฟนสำเร็จ วันหนึ่ง ต้นก็มีเพื่อนมานั่งรอสนซ้อมบอลเพิ่มอีกคน ถึงเธอจะคุยกับต้นระหว่างรอ แต่เป้าหมายของเธอไม่ใช่ต้น และต้นก็คงไม่คิดแย่งแฟนเพื่อนอย่างแน่นอน
ใบข้าวบอกต้นว่าช่วงนี้พ่อของเธอกลับบ้านค่ำทุกวัน เพราะที่ทำงานมีออร์เดอร์ด่วนเข้ามาจำนวนมาก และอาจจะเป็นอย่างนี้ไปเกือบทั้งเดือน ปกติเธอจะกลับบ้านกับพี่ชาย แต่ตอนนี้ย้ายไปเรียนมหาลัยที่กรุงเทพแล้ว เธอก็เลยต้องรอพ่อมารับ พ่อจะรับแม่ที่ทำงานก่อน จากนั้นถึงมารับเธอที่โรงเรียนและกลับบ้านพร้อมกัน
"พี่สนบอกข้าวว่าจะเอาเสื้อทีมชาติมาเป็นของขวัญวันเกิดให้ข้าวด้วย อยากเอามาใส่ไวๆ จัง คงเท่น่าดู" ใบข้าวยิ้มร่า สายตาของเธอจับจ้องไปที่ชายหนุ่มซึ่งกำลังซ้อมบอลกับเพื่อนๆ อย่างขะมักขเม้น แม้ว่าจะเคยทำเป็นไม่สนใจสนตอนแรกๆ แต่ตอนนี้เธอดูคลั่งไคล้สนมากทีเดียว
ต้นฟังแล้วก็อดน้อยใจไม่ได้ วันเกิดของต้นก็อยู่ถัดจากวันที่สนไปแข่งคัดเลือกไม่กี่วันแท้ๆ แต่สนกลับไม่เห็นเคยบอกต้นเลยว่าจะเอาเสื้อกีฬาทีมชาติมาเป็นของขวัญให้ต้นบ้าง
"ข้าวเกิดวันไหนเหรอ" ต้นหันไปถาม
"สิบสี่ธันวา" ใบข้าวตอบเสียงใส ก่อนเอ่ยชวน "พี่ต้นอย่าลืมไปงานวันเกิดข้าวด้วยนะ ปีนี้พ่อบอกให้ข้าวชวนเพื่อนๆ ทุกคนมาที่บ้านเลย"
ต้นพยักหน้ารับ เพราะตามมารยาทก็ต้องทำอย่างนั้นอยู่แล้ว เขายุติการสนทนากับแฟนของเพื่อนไปสักพัก สายตามองไปยังคนสำคัญกลางสนาม แม้ไม่อยากน้อยใจ แต่มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ
กว่าพ่อของใบข้าวจะมารับ สนก็เลิกซ้อมพอดี ต้นไม่ได้เอาน้ำเตรียมไว้ให้เพื่อนเหมือนอย่างเคย เพราะมีคนทำหน้าที่นั้นแทนอีกแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้ ต้นคิดว่าเขาจะเลิกมานั่งรอ เจ็บปวดหัวใจก็เป็นเหตุผลหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือ ต้นอยากปลดพันธนการออกจากสนให้ได้ การที่มีคนอื่นมาสนใจสนบ้าง เอาเวลาบางส่วนของสนไปจากต้น น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่ต้นจะค่อยๆ ปลดพันธนาการรักที่เป็นไปไม่ได้นี้เสียที
แต่วันนี้ ต้นก็ยังนั่งมอเตอร์ไซค์กลับบ้านกับสนอยู่ดี แต่ต่อไปต้นคงไม่ได้ทำแบบนี้บ่อยๆ อีกแล้ว
"ใบข้าวบอกว่าอาทิตย์หน้าพ่อกับแม่เขาจะกลับดึกมาก เขาจะให้เราไปส่งที่บ้านน่ะต้น" สนบอกระหว่างทางที่ขับมอเตอร์ไซค์คู่ใจกลับบ้าน พ่อซื้อให้สนใช้ขับไปโรงเรียนตอนอยู่มอสอง ต้นก็ได้อาศัยไปกลับด้วยเป็นประจำ
"ก็ไปส่งเขาดิ" ต้นบอกสั้นๆ
"นายจะโกรธเราหรือเปล่า" สนทำหน้ากังวล เพราะเขารับส่งต้นเป็นประจำก็เลยเกรงใจ
"โกรธทำไม เรากลับกับซีลก็ได้"
"แล้วนายจะน้อยใจเราหรือเปล่า"
"ไม่น้อยใจหรอก อย่าคิดมาก" ต้นแสร้งหัวเราะ
"ก็คราวที่แล้วนาย..." สนหยุดพูดไปดื้อๆ คล้ายกับไม่แน่ใจว่าควรพูดหรือเปล่า
"เราบอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ ไปเหอะ อีกอย่าง...นายมีแฟนก็ดีแล้ว เพื่อนๆ จะได้เลิกล้อเราสองคนไง" ต้นแสร้งตลกอีก
"นายจะไปสนใจทำไมต้น ล้อก็ล้อไปดิ ไม่เห็นมีอะไรเลย ก็เรากับนายไม่ได้เป็นอะไรอย่างงั้นซะหน่อย นายไม่ชอบเหรอ"
"เปล่า แต่ว่า...พ่อเราไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ นายก็รู้ เราเป็นลูกชายคนเดียว พ่อเขาไม่ชอบให้ใครมาล้อเราแบบนั้น" ต้นอ้างพ่อ ที่จริงพ่อเพียงบอกให้ต้นไม่ต้องไปสนใจ ไม่ถึงกับบอกว่าไม่ชอบ
"นายก็เหมือนกันนะสน" ต้นพูดต่อเพราะเห็นว่าสนเงียบไป "พ่อนายก็ไม่ชอบเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ก็เหมือนเรานั่นแหละ"
"แล้วไง นายพูดอย่างนี้ แปลว่านายไม่อยากไปไหนมาไหนกับเราแล้วเหรอ" น้ำเสียงของสนฟังดูไม่ค่อยพอใจ
"ไม่ใช่อย่างงั้นซะหน่อย เราแค่จะบอกว่า...นายมีแฟนก็ดีแล้ว พวกเพื่อนๆ มันจะได้เลิกล้อ พ่อของเราสองคนก็จะได้สบายใจด้วยไง" ต้นอธิบาย
สีหน้าของสนยังคงดูเครียด แต่ต้นไม่เห็นเพราะนั่งซ้อนท้ายข้างหลัง กระนั้นก็รู้ว่าบรรยากาศเปลี่ยนไปเพราะสนดูเงียบ
"นาย...จะเอาเสื้อกีฬามาให้เป็นของขวัญวันเกิดข้าวเหรอ" ต้นตัดสินใจถามหลังผ่านไปสักพัก
"อ๋อ...ใช่" สนตอบอึกๆ อักๆ ก่อนถามกลับ "นายรู้ได้ไง"
"เขาบอกเราเมื่อกี้"
สนหน้าเจื่อนเพราะกลัวต้นน้อยใจ ที่จริงสนตั้งใจจะบอกต้นเหมือนกันว่าจะเอาเสื้อทีมชาติมาเป็นของขวัญวันเกิดให้ต้นด้วย แต่สนดันไปบอกใบข้าวก่อน ครั้นจะบอกต้นตอนนี้ สนก็รู้สึกไม่ค่อยดี เพราะปกติต้นจะเป็นคนแรกที่สนนึกถึงเสมอ คราวนี้กลับพลาดไปอย่างไม่น่าให้อภัย
"อ๋อ..." สนพูดแค่นั้น จากนั้นก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
"พรุ่งนี้เราจะกลับกับซีลนะ มีรายงานต้องทำด้วยกัน ก็...น่าจะกลับกับซีลทั้งอาทิตย์เลย" ต้นเปลี่ยนเรื่อง
ไม่รู้ว่าสนคิดอะไรกับเรื่องที่ต้นบอก เขาเงียบไปเลย กระนั้น ต้นก็ถือว่าสนรับรู้แล้ว ในที่สุด ช่วงเวลาที่ต้องห่างเหินกันก็จะกลับมาอีกครั้ง ต้นได้แต่ขอโทษสนในใจที่ต้องทำอย่างนี้ เพราะต้นเจ็บเหลือเกิน แค่สนมีแฟนก็เจ็บปวดพอแล้ว พอเจอเรื่องเสื้อทีมชาติก็ยิ่งเจ็บเข้าไปอีก
หลังจากวันนั้น ต้นกับสนก็ห่างเหินกัน แม้ไม่ถึงกับไม่เจอกันเลย แต่ช่วงสัปดาห์นี้ต้นกับสนก็เจอกันน้อยกว่าแต่ก่อน หลังเลิกเรียนต้นไม่ได้มานั่งรอสนซ้อมฟุตบอลเหมือนเคย เลิกเรียนเสร็จก็ออกไปกับซีล กลับมาถึงบ้านก็มืดค่ำจนพ่อแอ๊ดกับแม่เยาเริ่มบ่น ตามประสาคนมีลูกชายคนเดียวก็ห่วงมากเป็นธรรมดา ต้นได้แต่แก้ตัวว่าต้องทำงานกับเพื่อน อีกอย่าง ซีลก็ค่อนข้างเป็นเด็กดี ไม่ชวนต้นไปเกเร พ่อกับแม่ต้นจึงลดความกังวลไปได้บ้าง
ปกติสนจะมานอนบ้านต้น บางวันต้นก็จะสลับไปนอนบ้านสน แต่ในช่วงสัปดาห์นี้กลับไม่มีเลย กระนั้น ก็ยังไม่ถึงขั้นที่พ่อแม่ทั้งสองบ้านจะสงสัย เพราะเข้าใจว่าต่างคนต่างยุ่งกับงานของตนในช่วงนี้
เที่ยงวันหนึ่งที่โรงอาหารโรงเรียน ต้นลงมากินข้าวกับเพื่อนตามปกติ เขาลงมากับซีลและป้องซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่สุดในห้อง พอเดินผ่านโต๊ะหนึ่งก็มีเสียงแซวพร้อมกับเสียงหัวเราะ
"เฮ้ยไอ้ต้น มึงโดนผัวทิ้งแล้วเหรอวะ"
ต้นกับเพื่อนหยุดชะงัก พอหันไปมองก็เห็นพระนายและเพื่อนๆ ห้องมอสี่ทับสองนั่งอยู่ มีสนนั่งรวมอยู่ด้วย ถ้าไม่โกหกตัวเองจนเกินไป ต้นยอมรับว่าโกรธมาก จนนึกอยากกระชากคอเสื้อคนล้อขึ้นมาชกสักเปรี้ยง
"ก็ผัวไปมีเมียใหม่แล้วนี่หว่า ใช่ไหม อะไรก็น้องข้าวๆ ไปส่งน้องข้าวมืดๆ ค่ำๆ ทุกวัน ไม่รู้ไปส่งถึงไหน เมียเก่าก็เลยตกกระป๋อง" เพื่อนอีกคนเป็นลูกคู่รับ เรียกเสียงหัวเราะชอบใจได้เป็นอย่างดี ราวกับเป็นเรื่องตลกเสียเต็มประดา
ต้นโกรธจนมือไม้สั่น แววตาเจ็บปวดฉายชัดขึ้นในดวงตา สนเห็นแล้วก็ทนไม่ได้ ปกติเขาไม่เคยโกรธเวลาเพื่อนล้อ แต่ครั้งนี้สนรู้สึกว่ามากเกินไป
"ไอ้นาย มึงพูดอย่างงี้ได้ไงวะ!" สนลุกขึ้นชี้หน้าพระนายซึ่งนั่งตรงข้าม ท่าทางเอาเรื่อง
"อะไรวะไอ้สน กูก็แค่พูดเล่น มึงจะอะไรขนาดนั้นวะ" พระนายเถียง ดูเหมือนเขาไม่กินเส้นกับสนนัก โดยเฉพาะหลังจากที่เป็นตัวเต็งคัดทีมชาติของโรงเรียนเหมือนกัน
"พูดเล่นเหี้ยอะไรของมึงแบบนี้วะ!" สนว่าเสียงดัง มือไม้สั่น เพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ต้องรีบเข้ามาหย่าศึก เพราะดูท่าจะเกิดศึกกลางวงกินข้าว
"ต้นไปเหอะ" ป้องบอกพลางจับต้นแขนของต้นแล้วลากเดินออกไป สีหน้าของซีลและป้องดูไม่พอใจมากทีเดียว
"ต้น มันไม่ใช่แบบนั้นนะต้น" สนร้องบอก
ดูเหมือนต้นจะไม่ได้ยิน เพราะเดินห่างออกไปแล้ว สนมองตามตาละห้อย สายตาเจ็บปวดของต้นทำให้สนแทบอยู่ไม่ได้ แต่สนกลับได้แต่มองตามเพื่อนไปเท่านั้น ต้นทำตัวห่างเหินจนสนไม่กล้าแม้แต่จะไปหา เหมือนกับว่าไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับสนอีกแล้ว ทั้งสิ่งที่พูดและทำต่างก็ส่อไปในทางนั้น
ป้องกับซีลหน้าถมึง คงจะโกรธแทนเพื่อนมากพอดู พอหาที่นั่งกินข้าวได้ ป้องก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อน เขากระแทกจานข้าวลงแล้วก็สบถ "แม่ง เมื่อกี้กูเกือบจะต่อยมันแล้ว ไอ้เหี้ยนายนี่แม่งปากหมาจริงๆ"
ซีลกระแทกจานข้าวอย่างอารมณ์เสียบ้าง พอจะสบถก็หยุดเพราะเห็นต้นหน้าเศร้า เขาจึงหันไปปลอบ "มึงไม่ต้องไปสนใจมันหรอกไอ้ต้น ไอ้นายมันก็ปากหมาแบบนี้แหละ"
ต้นพยักหน้า เพื่อนๆ สองคนค่อยๆ เปลี่ยนอาการขึงขังลง เมื่อหันไปมองโต๊ะที่สนนั่ง ก็เห็นสนคอยมองมาอย่างเป็นห่วง แต่น่าแปลกที่สนกลับไม่เดินมาหา ป้องกับซีลรู้ว่าต้นกับสนสนิทกันมาก สนไม่มาหาแบบนี้ต้นก็เลยเศร้าเป็นธรรมดา
"เฮ้ยไอ้ต้น มึงกับไอ้สนมีปัญหาอะไรกันเปล่าวะ กูว่าหลังๆ นี้ไม่ค่อยเห็นมึงกับไอ้สนอยู่ด้วยกันเลย" ป้องถามอย่างเป็นห่วง
"ไม่มีอะไรหรอก ช่วงนี้สนเขาซ้อมหนักไง" ต้นยิ้มกลบเกลื่อน
ป้องกับซีลมองหน้ากัน คล้ายกับสงสัยบางอย่าง แต่สักพักก็เปลี่ยนไปสนใจอาหารเที่ยงและคุยเรื่องอื่น แต่คุยกันไปคุยกันมา ซีลก็วกกลับมาพูดเรื่องสนอีกจนได้
"กูว่านะ ไอ้นายน่ะมันอิจฉาไอ้สน มึงรู้เปล่าว่ามันจีบน้องข้าวแข่งกับไอ้สนแล้ว" ซีลบอก ทั้งต้นและป้องต่างก็ตกใจพอๆ กัน
"จริงเหรอวะ" ป้องถาม
"เออ เมื่อวานกูเห็นไอ้นายมันจีบน้องข้าวอยู่ที่ห้องสมุด เห็นกันตั้งหลายคน แล้วน้องข้าวก็ดูเหมือนจะเล่นด้วยนะเว้ย" ซีลยืนยัน
พักหนึ่งป้องก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรได้ "ที่กูรู้มานะว้ย น้องข้าวนี่ไม่ใช่ย่อยนะมึง มึงระวังเพื่อนมึงให้ดีเหอะไอ้ต้น ไปส่งน้องเขาถึงบ้านมืดๆ ค่ำๆ บ่อยๆ เดี๋ยวจะเสร็จ หรือเสร็จไปแล้วก็ไม่รู้" ป้องขำเบาๆ เหมือนเห็นเป็นเรื่องตลกมากกว่าเรื่องเครียด เพราะผู้ชายก็ชอบเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว
หัวใจของต้นกระตุกวาบอย่างหนักหน่วงราวกับเป็นโรคหัวใจ รู้สึกเจ็บเหมือนกับคนกำลังกระอักเลือด นี่คือเรื่องที่ต้นไม่อยากรับรู้มากที่สุด แม้รู้ว่ามันจะต้องเกิดขึ้น แต่ก็ยากที่จะรับได้ ต้นไม่อยากจินตนาการเลยว่าสนกับน้องคนนั้นทำอะไรกันไปบ้าง ช่างน่าอนาถแท้ ต้นรักของต้นมานานแค่ไหน แต่กลับไม่มีโอกาสแม้แต่จะพูดความในใจด้วยซ้ำ สุดท้ายก็ต้องเสียของรักให้คนอื่น
หลังเลิกเรียนวันนั้น สนไปส่งใบข้าวที่บ้านเหมือนเช่นเคย เธอบอกว่าวันนี้พ่อกับแม่จะกลับดึกมาก อยากให้สนอยู่เป็นเพื่อน ไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน แต่สนเป็นผู้ชายย่อมดูออกว่าฝ่ายหญิงกำลังเชิญชวน เพื่อนของสนมีประสบการณ์แบบนี้หลายคนแล้ว
ใจหนึ่งสนก็กังวล เพราะเขาไม่ได้เตรียมเครื่องป้องกันมาเลย แต่ด้วยพลังแห่งวัยหนุ่ม เขาก็ยอมรับว่าอยากรู้อยากลองไม่น้อย เมื่อสาวน้อยเชิญชวนขึ้นไปบนห้องนอน สนก็ถึงกับใจเต้นรัว
"ข้าวมีอะไรจะให้พี่สนดูแน่ะ ขึ้นมาสิ" สาวน้อยบอกพลางเดินถือกระเป๋าขึ้นบันไดบ้านนำไปก่อน พอเห็นสนยังเฉยก็หันมาเรียก "มาสิ พี่สนไม่อยากดูเหรอ"
หน้าสนแดงและดูประหม่า ความผิดชอบชั่วดีในใจตีกันจนมั่ว แต่ครั้งนี้ความดีน่าจะแพ้ เพราะสนค่อยๆ วางกระเป๋านักเรียนลงและสาวเท้าตามขึ้นไป
ใบข้าวยิ้มพอใจ ด้วยความที่พ่อแม่มักกลับบ้านดึกบ่อยๆ ตั้งแต่ขึ้นมอสามมา เธอจึงมีประสบการณ์พาหนุ่มๆ มาบ้านบ้างแล้ว สนไม่ใช่คนแรกอย่างแน่นอน
พอมาหยุดอยู่หน้าห้อง ใบข้าวก็ส่งยิ้มแปลกๆ มาให้ ภาษาชาวบ้านเรียกว่ายิ้มยั่ว หนุ่มไหนเจอสาวยิ้มแบบนี้ใส่ในที่ลับตาคน ก็ยากที่จะหนีรอดไปได้
สายตาคู่นั้นท้าทายให้สนเดินเข้าไปหา และเขาก็เดินเข้าไปหาเธอเสียด้วย สนยังไม่เคยจูบผู้หญิงเลยสักครั้ง คราวนี้คงจะเป็นครั้งแรกอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อมาหยุดตรงหน้าสาวน้อยแสนสวยที่ยืนอ่อยหน้าประตู สนยังพอมีสติชั่งใจอีกเป็นเวลาสั้นๆ แต่ท่าทางยั่วยวนนั้นช่างกระตุ้นความกำหนัดจนเกินจะห้ามใจได้ สนตัดสินใจแล้วว่าจะยอมแพ้
ยังไม่ทันที่สนจะยื่นใบหน้าเข้าไปหา เสียงโทรศัพท์ของสนก็ดังขึ้นขัดจังหวะ เขาหยุดชะงัก ลังเลว่าจะรับดีหรือไม่ กระนั้นก็ยังหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ามาเพื่อดูว่าใครโทรหา ชื่อพ่อปรากฎบนหน้าจอเล็กๆ โทรศัพท์ที่สนใช้ยังไม่ใช่สมาร์ทโฟน เพราะราคาแพงและยังไม่เป็นที่นิยมในยุคนั้น
สนเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิม ไม่นานมันก็เงียบเสียงไปเอง จากนั้นเขาจึงเริ่มต้นการจู่โจมอีกครั้ง สองมือเขาจับไหล่สาวน้อยไว้ ก่อนยื่นใบหน้าเข้าใกล้ริมฝีปากอิ่มที่ยิ้มยั่วอย่างช้าๆ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทุกอย่างหยุดชะงักเป็นรอบที่อง
"รับก่อนก็ได้" ใบข้าวบอกอย่างไม่สบอารมณ์นัก
สนหยิบโทรศัพท์ออกมา ยังคงเป็นพ่อที่โทรมาเหมือนเดิม สนกดรับแล้วกรอกเสียงลงไป "ครับพ่อ"
"สนอยู่ไหนลูก กลับมาบ้านเร็ว ต้นโดนเพื่อนต่อยปากแตก แม่เยากับพ่อแอ๊ดกำลังซักใหญ่เลยว่าต้นไปมีเรื่องกับใครมา" เสียงพ่อบอกมาอย่างร้อนรน
สนตกใจและเบิกตาโต สติสัมปชัญญะทั้งหมดกลับคืนมาทันที "จริงเหรอครับพ่อ เดี๋ยวผมไปเดี๋ยวนี้ครับ"
สนเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป่า ก่อนรีบวิ่งลงบันไดไป ฉวยกระเป๋านักเรียนบนโต๊ะ ก่อนรีบวิ่งออกไปหน้าบ้าน สตาร์ทรถแล้วขี่มอร์เตอร์ไซค์ออกไปทันที ไม่ฟังเสียงเรียกของใบข้าวเลยแม้แต่น้อย
คิดแล้วสนก็นึกโมโหตัวเอง เพราะถ้าสนอยู่กับต้น จะไม่มีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นแน่นอน เขาห่างเหินกับเพื่อนจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น น่าแปลกใจไม่น้อย ต้นไม่เคยมีเรื่องกับใคร นึกไม่ออกเลยว่าจะชกต่อยกับใครได้
อีกเรื่องที่นึกโมโหตัวเองก็คือเหตุการณ์เมื่อกี้นี้ ถ้าพ่อไม่โทรมาตามเสียก่อน สนคงเผลอมีความสัมพันธ์กับสาวน้อยคนนั้นไปแล้ว ถ้าไม่ระวังก็อาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันที่ทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังได้ สนจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกแล้ว เขารู้สึกผิดเหลือเกิน ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกผิดมากขนาดนั้น
ไม่นานนักสนก็ขับรถมอร์เตอร์ไซค์มาถึงบ้านต้น ประตูบ้านเปิดค้างไว้ สนจึงไม่ต้องกดเรียกและเอารถเข้าไปจอดได้เลย มีเสียงคนคุยกันในบ้าน แต่ไม่มีใครออกมาดู คงเป็นเพราะทุกคนจำเสียงรถของสนได้ ไม่จำเป็นต้องออกมาดูก็รู้
สนจอดรถแล้วก็เดินจนแทบจะเป็นวิ่งเข้าไปในบ้านต้น ทุกคนนั่งล้อมอยู่บนโซฟา ต้นนั่งก้มหน้าอยู่ตรงกลาง คงอยู่ระหว่างการสอบสอนหรือไม่ก็สอบสวนเสร็จแล้ว พ่อกับแม่ของสนก็มานั่งฟังด้วย
"ต้น!"
เสียงเรียกของสนทำให้ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียวกัน แต่สนกลับมองเห็นเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น เขารีบถลาเข้าไปนั่งข้างๆ เพื่อนรัก พ่อแอ๊ดกับแม่เยาแทบหลบให้ไม่ทัน
"ต้น ใครทำอะไรนาย" สนถามอย่างเป็นห่วง น้ำตาลูกผู้ชายร่วงเผาะ เขาไม่เคยเห็นต้นอยู่ในสภาพเจ็บตัวขนาดนี้เลย
"เข้าใจผิดกับเพื่อนนิดหน่อย" ต้นตอบเบาๆ เป็นเพราะเจ็บปากอยู่ มีเลือดออกและบวมเจ่อพอสมควร
"เพื่อนคนไหน บอกเรามา เดี๋ยวเราจะไปจัดการมัน!" สนคาดคั้นเสียงดัง
"ใจเย็นๆ สน" พ่อแอ๊ดตบไหล่สนเบาๆ เป็นการเตือนสติ
สนลดท่าทางขึงขังลง ก่อนถามต้นอย่างเป็นห่วง "นายเจ็บหรือเปล่าต้น ทำแผลหรือยัง"
ต้นส่ายหน้า เพราะเมื่อกี้พ่อกับแม่ซักถามใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้น พอพ่อจะพาไปทำแผล สนก็มาถึงพอดี
"งั้นขึ้นไปบนห้อง เดี๋ยวเราทำให้"
สนบอกแล้วก็จูงมือต้นพาเดินออกไป ผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ได้แต่มองตาม ทุกคนรู้ว่าสนรักเพื่อนมาก เขาดูแลต้นมาอย่างดีเสมอ ตั้งแต่ต้นถูกเพื่อนแกล้งเอาประทัดโยนใส่ขาตอนปอห้า ก็ไม่มีใครแกล้งต้นได้อีกเลย เพราะสนคอยปกป้องมาตลอด พอเห็นเพื่อนเป็นแบบนี้ สนคงเสียใจที่เขาไม่ได้มาช่วย
ต้นเดินตามสนขึ้นบันไดไปอย่างว่าง่าย พอเห็นสนร้องไห้แล้ว ต้นก็ตระหนักว่าสนยังคงเป็นห่วงต้นอยู่เสมอ นี่เองที่ทำให้ต้นตัดใจได้ยาก หลายวันที่ห่างๆ กันไปนั้น แทบไม่ช่วยเลยด้วยซ้ำ
"นายกินข้าวหรือยัง" สนถาม
"ยัง"
"เดี๋ยวทำแผลเสร็จ เราจะทำข้าวต้มให้นายกินนะ นายจะได้ไม่ต้องเคี้ยวไง"
สนเดินมาส่งต้นที่ห้องนอน พลันก็วิ่งลงบันไดมาเอาชุดปฐมพยาบาลขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เขาเป็นห่วงต้นมากจนไม่สนใจใครเลย แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อกับแม่นั่งมองอยู่ ไม่รู้ว่าคิดอะไรกับสิ่งที่เห็น การแสดงออกถึงความห่วงใยของสนครั้งนี้ จะว่าธรรมดาก็ธรรมดา จะว่าแปลกก็แปลก
กลับเข้ามาในห้องแล้วสนก็ช่วยเอาสำลีชุบยาทาแผลให้ต้นทันที เช็ดแผลไปเช็ดก็น้ำตาตัวเองไปด้วย จนต้นอดขำไม่ได้
"นายร้องไห้ทำไมน่ะสน เราแค่ปากแตกนิดเดียวเอง"
คำทักท้วงเรียกสติสนกลับคืนมาได้บ้าง เขาคงไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน นอกจากสงสารแล้ว ก็คงเป็นเพราะสนรู้สึกผิดที่ไม่ได้อยู่ดูแลต้นจนเกิดเรื่องแบบนี้ แถมยังกลัวต้นน้อยใจด้วย เพราะเพื่อนๆ พากันล้อว่าสนไม่สนใจต้นแล้ว
"ก็เราเป็นห่วงนาย" สนยิ้มเก้อๆ "นายเจ็บหรือเปล่า เราทำเบามือที่สุดแล้วนะ"
"นิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอก แผลแค่นี้เอง" ต้นบอก ในใจนึกอยากพูดต่อว่า "แผลแค่นี้ไม่เจ็บเท่าไรหรอก แต่ที่มันเจ็บยิ่งกว่าคือแผลในใจต่างหาก!"
แต่ถึงต้นไม่พูด สนก็เหมือนได้ยินเสียงในใจนั้น เพราะแววตาของต้นดูเศร้า คล้ายกับจะขอร้องอ้อนวอนหรือเรียกหาอะไรบางอย่างจากสน สนถูกสะกดด้วยความรู้สึกที่ส่งผ่านจากแววตาคู่นั้น เขาจ้องมองดวงตาของต้นนิ่ง ไม่นานมือที่ช่วยเช็ดแผลก็ดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้ เขาไม่สามารถทานทนแรงดึงดูดจากต้นได้เลย
เมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้น สนมักจะกอดเพื่อน เขารู้ว่าความขัดแย้งจะหายไปเสมอ เพราะอกอุ่นของเพื่อนรักอย่างสนคือยารักษาหัวใจอย่างดีสำหรับต้น เพียงแต่สนไม่รู้ความจริงเท่านั้นเอง
"เราขอโทษนะต้น ต่อไป...เราจะไม่ทิ้งนายแบบนี้ เราจะไม่ให้ใครมาทำร้ายนายอีก เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมนะต้น เราคิดถึงนายรู้เปล่า เป็นห่วงนายด้วย" อารมณ์ของสนพลุ่งพล่าน แม้กระทั่งต้นก็ไม่เข้าใจอาการนี้
"รู้" ต้นตอบสั้นๆ สองมือกอดกอบเพื่อนรัก รู้สึกอบอุ่นหัวใจจนอยากหยุดเวลาไว้
"แล้วน้อยใจเราหรือเปล่า" สนถามเสียงเครือ
"ก็...นิดหน่อย" ต้นยอมรับตามตรง
"อย่าน้อยใจเรานะต้น นายเห็นไหม...เรากลับมาหานายแล้ว นายน่ะ...สำคัญที่สุดนะ" สนบอกแล้วก็กอดเพื่อนแน่นขึ้นอีก
"นายเป็นอะไรน่ะสน" ต้นตัดสินใจถาม
สนชะงักไปชั่วครู่ พลันก็สงสัยตัวเองเหมือนที่ต้นสงสัย พอหาคำตอบไม่ได้ เขาจึงตอบส่งเดช "เราไม่รู้"
เมื่อสนไม่รู้ ต้นก็จนปัญญาจะเข้าใจ สุดท้ายก็เป็นอย่างนี้อีกแล้ว ทุกครั้งที่ต้นจะเดินหนี สนก็มักจะตามมาฉุดรั้งไว้ บางครั้งต้นก็มีความหวัง แต่ส่วนมากต้นก็ผิดหวัง เพราะสนไม่รู้ว่าต้นคิดอะไร ถึงรู้...สนก็คงช่วยต้นไม่ได้อยู่ดี วันหนึ่งสนก็จะกลับไปรักผู้หญิงเหมือนเดิม ทางออกที่ดีที่สุดของต้นมีทางเดียวคือ...ตัดใจ!
- ติดตามตอนต่อไป -