ตอนที่ 5
แพ้ภัย แพ้ใจ แพ้เธอ
“ไอ้ตาร์เสร็จยัง ต้องไปแล้วๆ”
“สองนาทีๆถึงสรุปแล้ว”
ปากว่าแต่สายตาไม่ได้ละไปจากกระดาษตรงหน้า ส่วนมือก็จับปากกาเขียนด้วยความเร็วพอๆกับรถเมล์สายแปดแหกทุกทางโค้งเพราะผมหยุดเรียนไปหนึ่งสัปดาห์แล้วการบ้านรายงานทุกอย่างไอ้การ์ดจะส่งให้ทางไลน์ตลอด แต่ถ้างานไหนด่วนมันก็จะทำให้เลย
แต่....มันลืมบอกผมว่ามีการบ้านวิชาพฤติกรรมมนุษย์
ที่อาจารย์โคตรเคร่ง โคตรโหด
ไม่มีงานส่งนี่ไม่ใช่ได้ศูนย์คะแนนนะครับ...ติดลบจ้า
ก้วยเหตุผลว่าคะแนนงานเท่ากับศูนย์ คะแนนความไม่มีความรับผิดชอบลบห้า โอยยย กูจะบ้าตาย นี่ไม่รู้ว่าในช่องกรอกคะแนนแดงเถือกไปกี่ช่อง ฮือ ชีวิต
แล้วจะทำยังไงได้ล่ะ เสี่ยงลอกถ้าถูกจับได้ยังได้คะแนนครึ่งนึง ไม่มีส่งติดลบนะครับ แล้วไอ้ผมก็คนดีมีคุณธรรมนำพาความซื่อสัตย์ในหัวจิตหัวใจอย่างสูงส่งก็ดึงของไอ้การ์ดมาลอกสิครับจะช้าอยู่ไย
แล้วตอนนี้เรื่องไก่ยังไม่ทันหายเรื่องควายเข้ามาแทรกเพราะกำลังจะเข้าคลาสสาย งือ ยังลอกไม่เสร็จอ่ะ แต่ต่อให้ข้างหน้าจะมีกับดักระเบิด ฝูงเสือ เรือไททานิคจอดขวางทางอยู่ก็ต้องไปเข้าเรียนให้ทัน ห้ามสายแม้แต่นาทีเดียวเข็มนาทีชี้เลขสิบสองปุ๊บท่านอาจารย์จะล็อคห้องทันที อยากจะถามเหลือเกินว่ายึดจากนาฬิกาเรือนไหน ถ้ายึดจากนาฬิกาบนข้อมือกูจะขอปรับย้อนหลังสักครึ่งชั่วโมง
แล้วเวรกรรมนำพาคือผมขาดไม่ได้แล้วไงใช้โควต้าครบแล้ว ถ้าขาดอีกครั้งเดียวคือหมดสิทธิ์สอบ
ผมจะติดเอฟตั้งแต่ปีหนึ่งไม่ได้ พ่อต้องฆ่าผมทิ้งแน่ๆ ขายควายส่งโคตรควายเรียน ฮือ T^T
“เหลือเขียนชื่อ ชิบบบบบ”
“ไม่ทันแล้วมึง ต้องไปแล้วอีกแค่สามนาทีต้องวิ่งขึ้นชั้นสี่นะเว้ย” ไอ้แฟ้มเข้ามาดึงสมุดบนโต๊ะที่ผมกำลังเขียนไป แล้วฉุดข้อมือผมลุกขึ้น “วิ่งไปเขียนไปละกันนะมึง”
“เฮ้ยแป๊บ กระเป๋ากู” ผมคว้ากระเป๋าเป้และวิ่งตามแรงลาก สักพักไอ้แฟ้มก็ปล่อยข้อมือและยื่นสมุดมาให้ โว้ย นี่มึงคิดว่ากูจะวิ่งไปเขียนไปได้จริงหรอ มีหวังอาจารย์แม่ได้ขยำกระดาษงานกูละปาใส่กบาลแน่ๆ
จะแถว่าเป็นภาษาขอมก็กลัวคะแนนจะติดลบร้อยจนเรียนซ้ำสิบรอบก็ยังไม่พอน่ะสิ
ดังนั้นผมเลยกอดสมุดรายงานเอาไว้และวิ่งขึ้นอาคารเต็มแรงสูบ ไม่ใช่มีแค่ผมสามคนนะ ยังมีเพื่อนร่วมคลาสที่กำลังเร่งฝีเท้าวิ่งขึ้นบันไดประหนึ่งวิ่งได้ให้ล้านอยู่สี่ห้าคน พอวิ่งถึงชั้นสองผมก็เหนื่อยหอบ
ไม่ไหวแล้ว ปอดกูสูบออกซิเจนไม่ทัน หัวใจกูทำงานหนักไปกว่านี้ไม่ไหว
เอามือทั้งสองข้างเท้าต้นขาหอบแฮกก่อนยืดตัวพาดสมุดรายงานกับผนังปูนสีขาวเพื่อเขียนชื่อกับรหัสนิสิต พอเสร็จก็ฉีกกระดาษเอสี่แผ่นนั้นออกจากสมุดรายงานแล้ววิ่งขึ้นต่อ
นี่จะไปเรียนหรือพิชิตยอดดอย ถึงแล้วต้องปักธงแดงด้วยมั้ยสาด
ไอ้เชี่ยแฟ้มมึงกระโดดทีสองขั้นไม่รอกูเลย ขากูสั้นเห็นใจหน่อยโว้ย
วืด
เชี่ยแล้วไงหัวใจกู
แม้สองขาผมกำลังวิ่งขึ้นต่อไปไม่หยุดแต่มันก็เบาแรงลงสวนทางกับอัตราการเต้นของหัวใจที่กระหน่ำแรงขึ้นเมื่อขณะที่อีกไม่กี่ขั้นบันไดผมจะถึงชั้นสี่ก็มีพี่ชั้นปีสี่ที่น่าจะเพิ่งเลิกคลาสเดินสวนลงมา จะไม่รู้สึกใจสั่นขนาดนี้เลยถ้าหนึ่งในหลายคนที่สวนกันไม่ใช่คนที่ผมยังไม่อยากเจอหน้ามากที่สุด
อิเจ๊…
เพียงเสี้ยววินาทีที่เห็นก็ให้หัวใจที่เต้นเป็นจังหวะหนักๆด้วยความเหนื่อยหอบอยู่ก่อนแล้วกระหน่ำถี่รัวแรงจนนับอัตราการเต้นกันไม่ถูกจนพลังงานทั้งหมดที่ร่างกายมีถูกหัวใจดึงไปใช้จนเกือบหมด เหลือแรงให้สองขาได้ก้าวต่อน้อยเหลือเกิน
เมื่อวานเพิ่งจูบกัน เพิ่งวิ่งหนีมา โชคชะตาแม่งตลกร้ายหรือชาตินี้กูทำบุญน้อยไป ถึงได้มาเจอกันทั้งที่ยังไม่ได้เตรียมใจเลย ฮือ กลั่นแกล้ง กลั่นแกล้ง
“เฮ้ย ไอ้ตาร์เร็วๆ อาจารย์มาหน้าประตูแล้ว”
ไอ้การ์ดที่เห็นผมก้าวช้าลงมากกระโดดลงมากระชากแขนแล้วลากให้สับเท้าตามขึ้นไป ผมปล่อยตัวไปตามแรงลาก ปล่อยมือที่ถือกระดาษรายงานให้ไอ้แฟ้มที่มาดึงไปอย่างไม่ทักท้วงอะไร
เอาเถอะ ฝากส่งที ตอนนี้สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วว่ะ
แค่อิเจ๊ปรายตามองมาด้วยสายตาว่างเปล่าไม่มีแม้แต่ความเกรี้ยวกราดอย่างเดิมทำไมถึงอยากเข้าไปกระชากที่แผ่นแปะสิวบนหน้าออกแล้วเอานิ้วจิ้มขี้บี้มันลงไปแรงๆ
ให้สิวมันอักเสบและติดเชื้อพุพองไปเลย
แต่ก็ดีแล้วนิ ที่กังวลว่าถ้าเจอกันอิเจ๊ต้องวิ่งเข้ามาตะครุบหัว ลากเข้าพงหญ้าไปจิกหัวตบข้อหาวิ่งหนีออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วยังไม่ยอมรับโทรศัพท์อีก ก็ไม่ต้องกลัวแล้ว ดูท่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจอะไรเลยด้วยซ้ำ
ก็เป็นอย่างที่อยากให้เป็น...
กลับไปเป็นแค่คนรู้จักที่เรียนสาขาเดียวกันก็เท่านั้น
“อ้าวเฮ้ย นั่งตาลอย เจ๊แกให้เปิดสไลด์สามสิบสอง”
“เจ๊เหี้ยไร!”
“เกรี้ยวกราดไรเนี่ยมึง เสียงดังระวังเจ๊แดกหัว”
“กูไม่กลัวเรียกเจ๊มึงมาเลย!”
“หุบปาก”
ไอ้การ์ดตบหัวผมกับไอ้แฟ้มคนละทีก่อนกระซิบเสียงดุรอดไรฟันแล้วใช้สายตาบังคับให้เปิดชีทแล้วหันไปโฟกัสกับสไลด์ที่ฉายอยู่บนโปรเจ็คเตอร์จอใหญ่ตรงหน้า ผมเม้มปากแน่นมือหยิบชีทในกระเป๋าออกมา
เออ กูเป็นอะไรของกูวะ
ไอ้แฟ้มมันหมายถึงอาจารย์แม่ ไม่ใช่อิเจ๊...เฮอะ อย่าไปพูดถึงเลย
ผมหายดีแล้ว
ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับไปใช้ชีวิตของใครของมัน…ก็ถูกต้องแล้ว
‘กูว่า...กูชอบมึง’ส่วนที่ว่าชอบน่ะ...อาจจะแค่หวั่นไหว เดี๋ยวห่างๆกันไปก็หายเองนั่นแหละ
โอ๊ยยยย ช่างเหอะ ไม่คิดแล้ว
“ไอ้เชี่ยตาร์เหม่อไรเนี่ย เอากระดาษขึ้นมาดิ”
“อ่ะนี่”
ไอ้แฟ้มสะกิดผมที่นั่งตาลอยและไอ้การ์ดก็ส่งกระดาษเอสี่เปล่ามาให้ ผมหยิบมางงๆก่ออนจะเบิ่งตาโตเมื่อไอแฟ้มกระซิบว่ามีสอบย่อยท้ายชั่วโมง กูมัวนั่งเหม่อเป็นพระเอกเอ็มวีมาสองชั่วโมงเลยหรอวะ สมองที่รับรู้ครั้งล่าสุดคือกูเพิ่งหยิบชีทขึ้นมาเรียนเองป่ะวะ ตัดภาพมาอีกทีคือสอบแล้ว คืออะไร โฮ แล้วยังไงสุดท้ายแล้วยังไง หล่อเหมือนในเอ็มวีมั้ยก็ไม่ แต่ไม่มีเนื้อหาในหัวมาสอบอ่ะเรื่องจริงงงงง
โว้ย อิเจ๊ คราวหน้าอย่าให้เจอนะ จะกระโดดกัดให้หูขาดเลย ข้อหาทำให้กูเสียสมาธิ แง่ง!
“ป่ะ”
“ไปไหน”
“วัด”
“เฮ้ย ไปทำอะไร”
ผมฝืนแรงลากของไอ้แฟ้ม ฮ่วย โดนลากทั้งวันเลยวันนี้ เดี๋ยวคนโน้นคนนี้เอะอะก็จับลาก นี่ยังไม่ทันเก็บของใส่กระเป๋าเสร็จไอ้ห่าแฟ้มก็เอาอีกละ
“ไปให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์”
“เฮ้ย”
“เฮ้ยไร ป่ะ”
“เดี๋ยววววววว”
นาทีนี้เบรกสุดตีนเลย คืออะไร อยู่ๆมาบอกไปวัดอาบน้ำมนต์ น้ำที่ห้องไม่ไหลโดนตัดมิเตอร์หรือยังไงก็บอก กูจ่ายค่าน้ำค่าไฟตรงตามกำหนดทุกเดือนมีให้มึงทั้งอาบทั้งแช่ไม่ต้องไปรบกวนวัดเนอะ
“มึงก็เลิกแกล้งมันได้ละ” ไอ้การ์ดส่ายหัวเบื่อๆ
เดี๋ยวๆตกลงพวกมึงกำลังแกล้งกูหรอ
“ไม่ได้แกล้ง กูเอาจริง”
เดี๋ยวๆตกลงไม่ได้แกล้งใช่มั้ย
“กินไรดีเที่ยงนี้”
“ไปวัดหัวเมืองดีหรือเอาใกล้ๆมอ”
“ข้าวมันไก่มะ เมื่อคืนกูเจอในเพจตามแต่จะแดกแล้วอยาก”
“รดเสร็จแล้วขอมาสักขวดเอาไว้อาบเอาไว้ดื่ม”
“โอ๊ยยยยย” ผมสะบัดแขนออกจากมือไอ้แฟ้มแล้วยกขยี้หัวตัวเอง คือมึงจะพูดกันไปคนละเรื่องแบบนี้ไม่ได้ กูคิดไม่ทัน และหันไปมาจนเวียนหัวไปหมดแล้ววววว
แปะ
แล้วสุดท้ายมันก็หัวเราะและตีมือกัน
ตกลงแกล้งกูสินะ
สนุกกันมากมั้ย เดี๋ยวกูก็แดกหัวพวกมึงแทนข้าวซะนิ
“ก็กูกลัวมึงโดนผีเข้าเห็นเหม่อตลอด”
“เป็นห่าไรก็ไม่บอก หลายเรื่องแล้วนะมึงอ่ะ”
“หรือทะเลาะกับพี่เต้”
“พี่เต้เกี่ยวไร” อยู่ๆเทิร์นกลับไปคณะแพทย์ได้ไงวะ
“เอ๋า ก็นึกว่าทะเลาะกับผัว”
“เฮ้ย มะมั่วไรมึงไอ้แฟ้ม” นี่สะดุ้งสุดตัวเลย ใครได้ยินบ้างวะเนี่ย นี่เดินลงมาถึงตึกรวมแล้วนะ ใครเอาไปพูดนี่เสียหายหลายหมื่นล้าน ไม่ใช่ผมนะ พี่เต้เดือนแพทย์นู่น ผมน่ะแค่หลืบไรของมหาลัยนี้
“เอาน่ามึงไม่ต้องปิดหรอก ไอ้การ์ดมันรู้แล้ว”
“เฮ้ย”
“เดี๋ยวนี้ริอาจคิดปิดบังกูนะมึง”
“เฮ้ยย”
“แหะๆ กูไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลยนะนอกจากไอ้การ์ด มันห่วงมึง”
“เฮ้ยยยย”
นี่ผมตกใจไปกี่สิบเฮ้ยแล้วอ่ะ ขอตั้งสติแป๊บ อ่อ ตอนนี้ผมเป็นเมียพี่เต้อยู่ โอเค ขอโทษนะพี่ T^T
หลังจากที่ไอ้แฟ้มไปจ๊ะเอ๋ผมที่คอนโดอิเจ๊วันนั้น ตอนกลางคืนมันก็ไลน์มาหา เรียกได้ว่ามันด่ามันมโนอะไรผมเออออห่อหมกไปหมด กำลังอึนๆกับจูบดูดวิญญาณไม่มีเวลามาแก้ตัวหรอกครับ น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง ไหลไปก่อน ยังไม่อยากโดนน้ำป่าซัดตาย
ตอนนี้เพื่อนสนิททั้งสองคนของผมเลยเข้าใจผิดไปไกล
แล้วผมยังไม่มีความกล้าพอจะแก้ด้วย กลัวโดนสิบคำถามสามคำตอบแล้วจะจนมุม ขอเวลาหาบันไดไว้ปีนหนีก่อน แล้วกูจะสารภาพนะ ฮือ
“เลิกทำหน้าเป็นไก่ตาแตกได้ละ” โอ๊ย อ่ยายีหัวกูสิ เสียทรงหมด
“ป่ะ วัดกัน”
“ยัง ยังไม่เลิก”
“ฮ่าๆ หน้ามึงตลกดี ไปๆกินข้าวกัน ร้านไหนดีการ์ด”
“ข้าวมันไก่ไง”
“แต่กูอยากกินสเต็กกะทะร้อนหน้ามออ่ะ”
“มีทูววว”
“แล้วถามกูเพื่อ”
สรุปไอ้การ์ดแพ้ไปด้วยเสียงสองต่อหนึ่ง ทำใจนะการ์ดนะ เราอยู่กันแบบประชาธิปไตย ครึ
พอพูดถึงสเต๊กกะทะร้อนเจ้าอร่อยหน้ามอผมก็เลิกตาแตกเปลี่ยนเป็นตาประกายดาวห้าแฉก งือออออ ไม่ได้กินมานานแล้วอ่ะ กินแต่โจ๊กกับข้าวผัดมาหลายมื้อแล้ว อิเจ๊ไม่ให้กินของย่อยยากเลย พองอแงมากๆเข้าก็ยอมแต่ต้องให้อิเจ๊เคี้ยวให้ก่อนนะผมค่อยกิน แล้วใครจะไปกินลง แหวะ
“มึงไปรถไอ้การ์ดนะ”
“มึงก็ไปด้วยกันดิ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูเอาเลม่อนไปเลย” เลม่อนที่ว่าเป็นมอเตอร์ไซค์ฟี่โน่สีเขียวมะนาวลูกรักไอ้แฟ้มมัน
“เค เจอกันที่ร้าน”
ผมเดินมาลานจอดรถหลังตึกรวมกับไอ้การ์ดเดินอ้อมไปเปิดประตูที่ถูกปลดล็อกก่อนสอดตัวเข้าไปนั่งเบาะข้างคนขับ
กึก
มือที่กำลังจับเบลท์ขึ้นมาคาดหยุดชะงักกับภาพตรงหน้า คนสองคนที่เดินจูงมือกันผ่านหน้ารถไป หนอยยยยยย ทำมาเป็นบอกว่าชอบว่ารู้สึกดี มาจูบกันทำไมวะ ผมตัดสินใจถูกแล้วที่ไม่ถลำไปกับคำพูดชวนวาบหวามนั่น สุดท้ายตุ๊ดก็ชอบผู้ชายสูงหล่อล่ำมั้ยอ่ะ อยากได้คนที่ปกป้องดูแลได้อ่ะเนอะ จะมายึดติดอะไรกับผู้ชายหน้าบอยปกรณ์ส่วนสูงเสนาหอยแบบผมกันล่ะ เฮอะ!
“จะขาดคามือแล้วไอ้สัด”
เสียงไอ้การ์ดให้ผมละสายตาจากภาพตรงหน้าแล้วเสียบหัวเข็มขัดให้เรียบร้อย
“ทะเลาะอะไรกันก็เคลียร์ๆกันซะให้เรียบร้อย”
“ห๊ะ?”
“ก็นู่นไม่ใช่หรอ” มันเพยิดไปข้างหน้าให้ผมเสียวสันหลังวาบ มันรู้หรอวะ ผมรีบหันสายตามองตรงไปอีกครั้งก็ไม่เห็นอิเจ๊คนสวยกับผู้กระสวยใหญ่แล้ว
หืม...ผมพอรู้ละ
นี่ถ้าไม่เพ่งดูดีๆไม่เห็นนะ มองทะลุลานจอดรถไปจะมีสวนหย่อมที่มีโต๊ะหินตั้งอยู่หลายชุด ซึ่งหนึ่งโต๊ะในนั้นมีร่างของผัวในมโนของไอ้แฟ้มนั่งอยู่กับผู้หญิงผมยาวร่างเล็ก
โอยยย พี่เต้ ผมจะเอาน้ำแดงเปิดฝาเสียบหลอดไปขอขมาพี่นะ พรุนไปถึงไหนแล้วอ่ะ โถ
“ออกรถเถอะ” ผมเลยทำเสียงนิ่งหน้าตึง ไอ้การ์ดปรายตามองแต่สุดท้ายก็ยอมถอยรถออก
ใช้เวลาไม่นานเราก็มาถึงร้านสเต๊กหน้ามอ โฮ่วววว แค่เปิดประตูรถกลิ่นก็โชยมาโชยมา เรื่องที่หงุดหงิดก่อนหน้าเบาบางลงทันตาเห็น เขาว่ากันว่าหมูกะทะจะเยียวยาทุกสิ่ง แต่ไม่จริงเสมอไป...ความจริงแล้วของอร่อยใดๆทุกอย่างในโลกล้วนเยียวยาได้ ฮืออออ เนื้อจ๋าพี่มาแล้วววววว
แต่...
ให้ตายเถอะ สามร้อยกว่าร้านรอบมอ ทำไมต้องมาเจอกันอีกวะ
“อร๊ายยยย น้องการ์ดจ๋า สนใจนั่งโต๊ะเดียวกันมั้ยจ๊ะ นั่งข้างๆยอมให้ควัก นั่งตักกินฟรีเลยจ้า” เสียงพี่แคนดี้หนึ่งในแก๊งตุ๊ดดอกขจรที่หน้าอกกหน้าใจใหญ่กว่าหัวเด็ก กรีดกรายนิ้วเรียกลั่นร้าน
ผมกระตุกชายเสื้อไอ้การ์ดยิกๆ ไม่นั่ง ไม่เอานะมึง ไปนั่งไกลๆอิเจ๊กลุ่มนี้เลย
เฮ้ยๆๆๆ
ผมตาโตเมื่อมัวแต่ยึดชายเสื้อไอ้การ์ด ไอ้แฟ้มก็เดินลิ่วๆหยิบเก้าอี้ไปแทรกนั่งข้างพี่อ้อนน้อย พี่อ้อนน้อยเป็นตุ๊ดร่างเล็กตัวขาวอ้อนแอ้น เท่าที่ผมเห็นผ่านๆพี่อ้อนน้อยจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าผู้ชายแต่เป็นโทนสีพาสเทล ที่พอผมเห็นพี่เขาทีไรจะนึกถึงเค้กไข่ไต้หวัน นุ่มๆฟูๆดูละมุน
แล้วดูดิ พอไอ้แฟ้มมันเบียดตัวไปใกล้พี่เขาก็ทำตาโตอ้าปากเหวอๆ งืออ เหมือนกระต่ายขนฟูๆ อยากได้อ่ะอยากได้
ส่วนอีกคนน่ะเหรอ เฮอะ สวยแล้วไงถ้าไม่ได้รักเดียว
“ไอ้การ์ดกูนั่งโต๊ะอื่นนะ” ผมเบือนหน้าหนีสายตาที่จ้องผมตั้งแต่เดินเข้ามาในร้าน หมุนตัวจะเดินไปนั่งโต๊ะอื่นแต่โดนเกี่ยวคอเสื้อไว้ก่อน
“โต๊ะว่างมีที่ไหนล่ะ เต็มหมดแล้วมึง”
“งั้นกูก็จะสั่งกลับบ้าน”
“ผีเหี้ยที่ไหนเข้าสิงอีกเนี่ย นั่งนี่แหละ พี่เขาอุตส่าห์ชวนสาขาเดียวกันทั้งนั้น”
“แต่กูไม่อยากนั่งโต๊ะเดียวกับตุ๊ด” ผมกัดฟันบอก
“เป็นคนขี้เหยียดตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมโดนไอ้การ์ดผลักหัวเบาๆก่อนถูกลากไปนั่งโต๊ะเดียวกับพี่ๆแก๊งดอกขจร
ผมไม่ได้เหยียดนะเว้ย ไม่ได้ตั้งใจเลย ผมก็เป็นเกย์จะไปเหยียดเพศได้ยังไง กูอยากเหยียดอยากเหยียบแค่คนเดียวว้อย
“ฮือ อิพิชสั่งแค่ซอสพริกไทยดำกับสลัดให้กูพอ กูได้เนื้อดีๆละ ถ้าจะนุ่มและหวานมาก” พี่แคนดี้ส่งสายตาหวานแถมเลียริมฝีปากจ้องไอ้การ์ดที่นั่งข้างๆตาวาว ไอ้การ์ดระบายยิ้มอ่อนกระชากใจยิ่งทำให้พี่แคนดี้แทบจะโผตัวเข้าสิง
หึ กูรู้ว่าในใจมึงกลัว ไอ้การ์ดมันเป็นพวกให้เกียรติคนอื่น มันเลยไม่กล้าผลักเจ๊แคนดี้ออก
ผมยืนมองเม้มปากชั่งใจอยู่แป๊บนึง ก็ถอนใจยอมทิ้งตัวนั่งร่วมโต๊ะ
“อิตาร์ตรงนี้ไม่ได้ เชิญฝั่งนู้นจ่ะ”
พี่กิมจิ(ชื่อเดิมก้องภพ) ตวัดตามองพลางชี้นิ้วไปอีกฝั่ง เอามือตะบบเก้าอี้ข้างตัวไว้ไม่ให้ผมนั่ง
อ้าวเนอะ พอจะยอมร่วมโต๊ะก็ขัดกันไม่เลิกไม่รา ล้มโต๊ะแม่ง
“ทำไมอ่ะ”
“เดี๋ยวผัวในอนาคตกูจะมานั่ง”
“ห๊ะ เจ๊มีผัวแล้วหรอ เมื่อวันก่อนยังวิ่งบีบไข่พี่อาร์มอยู่เลย” พี่อาร์มคือพี่รหัสผมเองครับ
“ยังไม่มีแต่เผื่อได้ มึงเข้าใจคำว่าในอนาคตมั้ย มากินสเต๊กแล้วอยากรับทานของหวานล้างคอน่ะ กูนี่ทับทิมกรอบสยาม หวานมันหอมอร่อย” ดูจากสายตาแล้ว กูไม่รู้เลยเนอะว่ามึงหมายถึงใครน่ะ
อยากจะเดินไปสะกิดพี่ที่นั่งโต๊ะข้างๆเหลือเกินว่าคืนนี้กลับบ้านระวังปอบดักกินตับ ตับ ตับ ตับ ตับ
“โห อย่างเจ๊น่ะถั่วแปบลืมโรยน้ำตาลอ่ะดิ ทั้งแบนทั้งจืด”
“อ๊าย เดี๋ยวกูตบ”
ผมรีบเผ่นไปนั่งเก้าอี้ว่างที่เหลือเพียงตัวเดียวฝั่งตรงข้าม ขำที่ทำให้เจ๊กิมจิแทบจะปีนโต๊ะมาตบผมได้ แต่พอหันไปเจอกับสายตาคนด้านข้างที่มองมาอยู่ก่อนแล้วก็หุบยิ้มลง
ทำไมผมต้องมาซวยนั่งข้างคนที่ยังไม่อยากเจอหน้าด้วยวะ
เมื่อวานบอกชอบ วันนี้ควงหนุ่มมาแดกสเต๊กเฉย
“ไอ้ตาร์กินไร” ผมหันไปตามเสียงเรียก ไอ้แฟ้มที่มือถือปากกากับกระดาษเมนูแผ่นเล็กๆ ที่มีรายการมาให้แล้วแค่ติ๊กเมนูในช่องสี่เหลี่ยมเพื่อเลือกชนิดเนื้อ ระดับความสุกและน้ำซอสราด
ผมสั่งเมนูโปรดที่ผมมักจะกินประจำอย่างไม่ลังเล
“สเต๊กเนื้อเกรวี่ เอาแบบมีเดียมแรร์ เพิ่มไส้กรอกด้วยนะ” ส่วนสลัดกับมันฝรั่งทอดเป็นเครื่องเคียงมาคู่กับสเต๊กอยู่แล้ว
“สเต๊กปลา”
“หืม สั่งเพิ่มหรอพี่” ไอ้แฟ้มถามเมื่อเสียงของคนข้างตัวผมดังขึ้น
“เปล่ากูสั่งแล้ว หมายถึงของไอ้เตี้ยนี่น่ะ สเต๊กปลา” อิเจ๊มันปรายตามองมาทางผม
“ไม่เอา กูจะกินสเต๊กเนื้อ!”
“ปลา”
“เนื้อ!”
“อิกลูต้า...” มาอีกแล้วไอ้น้ำเสียงเย็นๆที่ชอบใช้ขู่ ตลอดอ่ะ แต่ครั้งนี้ไม่ได้ผลหรอกเว้ย
“พีทไปยุ่งไรกับน้องอ่ะ หงุดหงิดอะไรมาคะ” ผู้ชายที่นั่งข้างอิเจ๊อีกฝั่งนึงเลิกคิ้วถาม มือยกขึ้นหยิกแก้มแกมหยอกแต่โดนอิเจ๊ปัดทิ้ง
เออ ยุ่งไรอ่ะ เอาเวลาไปดูแลผู้ชายนู่น ตัวใหญ่อย่างกับควาย ก้ามโตอย่างกับปูยักษ์คงต้องแดกวัวทั้งตัวอ่ะ สั่งไปจานเดียวไม่พอหรอก!
“เออ อิพิชชี่ วันนี้มึงเกรี้ยวกราดทั้งวัน อุตส่าห์พามาแดกร้านที่ชอบละ ยังจะไปกินหัวน้องมันอีก ไม่เห็นตัวอิตาร์มันหรอ เล็กอย่างกับลูกหมาสู้มึงไม่ได้หรอกนะ” พี่แคนดี้ช่วย แต่ลูกหมานี่คือไรอ่ะ ไม่อยากสูงเองหรอกมั้งกลัวผู้ชายในมอจะหมองหมด
แค่เกิดมาหน้าหน้าดีเกินมนุษย์มนาก็ลำบากใจจะแย่
อิเจ๊ไม่ได้ตอบอะไรแต่ยังจ้องผมอย่างไม่ลดละ ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน ต่างคนต่างอยู่สิวะ ต่อให้พ่ออิเจ๊มาเองก็ผมก็ไม่ฟังหรอก อย่าคิดจะมาใช้วิชานางมารแถวนี้ นี่เกิดใหม่แล้วโว้ย นางซินได้ตกส้นเข็มตายไปแล้ว เหลือแต่มู่หลานผู้สู้สุดใจ เก็บอำนาจมืดไปลงกับเหล่าบรรดาเจ้าหญิงในห้องมึงเถอะ กูกบฏ! กูต่อต้าน! กูจะเป็นตัวของตัวเอง!
“อ๊ะ”
ฮะเฮือก อิเจ๊มันกระตุกยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าน ก่อนจะ...
“กูว่าสเต๊กปลาก็น่าลอง เมนูแนะนำของร้านด้วย”
“ตกลงมึงเปลี่ยนนะ” ไอ้แฟ้มถามย้ำ
“อะอืม”
ผมไม่ได้กลัวอิเจ๊นะ ไม่ได้กลัวสายตาหรือน้ำเสียงกึ่งข่มขู่บังคับนั่นสักนิด คนอย่างอิเจ๊อ่ะมีขู่ที่ไหน ลืมไปว่าอย่างอิเจ๊น่ะคนจริงพอ!
ฮือออ มันลูบขาผมอ่า ลูบแบบไอ้เสี่ยลามก แล้วก็ทำท่าจะลูบขึ้นมาเรื่อยๆด้วย
มึงเป็นตุ๊ด! ลืมแล้วเร้อออออออ
ถึงโต๊ะฝั่งที่ผมนั่งจะมีแค่ผม อิเจ๊ และพี่ผู้ชายก้ามปูที่ถึงแม้พี่เขาจะนั่งเล่นมือถืออยู่ก็ใช่ว่าจะไม่หันมาเห็นนี่
แล้วถ้าอิเจ๊พิชมันบ้าไม่ลูบขาผมแค่ส่วนที่อยู่ใต้โต๊ะ แต่ทำอะไรหรือพูดบางอย่างที่ทำให้ความลับแตกขึ้นมาทำไงอ่ะ
ไหนว่าเหยียบสุดตีนไง กูเหยียบอยู่คนเดียวเนี่ย มึงอ่ะคุ้ยตลอดเลย
อิ นาง มาร ร้าย
โฮวววววววว
#เมียตุ๊ด