บทที่ 3 บรรเลง ครึ่งแรก
“เมื่อวันนั้นใครเป็นคนชวน ชวนเองงอแงเองแบบนี้เราจะบ่นแล้วนะมอส”
มันเริ่มแล้วครับ เริ่มบ่นตั้งแต่หัววัน
ยอมรับว่าคนที่ทำตัวมีปัญหามันผมเอง แต่เจ้าตัวก็ต้องรู้สิว่าผมมีปัญหากับการตื่นเช้ามากขนาดไหน แถมเมื่อคืนผมยังออกไปท่องราตรีกับไม้มาทั้งคืน จะให้ตื่นหกโมงเช้าแล้วหน้าตาสดชื่นเหมือนคนเข้านอนสี่ทุ่มอย่างไอ้คนตรงหน้าผมได้ยังไงกันเล่า พอผมบ่นมาก ๆ หน่อยก็หันมาว่าเสียอย่างนั้น
...
โอเค ผิดเอง ยอมรับ
“ยิ่งอยู่ยิ่งเหมือนแม่”
ผมพึมพำด้วยเสียงที่ดังพอจะให้อีกฝ่ายได้ยิน ถึงจะรู้ตัวว่าผิดแต่ผมก็เป็นคนประเภทปากอยู่ไม่สุขอยู่เหมือนกัน สงสัยติดไอ้ไม้มาเยอะ
“มอส!”
“โอเค ยอมรับผิด”
พอเห็นผมยอม คนตรงหน้าก็เลิกทำท่าฮึดฮัดแต่ก็ยังเดินนำไปลิ่ว ๆ อย่างไม่สนใจคนแฮงค์อย่างผมสักนิด
ท่าทางจะโกรธจริง ๆ แล้วนั่น
พอมาคิดดูท่าทางของพวกเราตอนนี้ก็ดูเหมือนคู่รักข้าวใหม่ปลามันอยู่เหมือนกัน
...
โอ้โห ขนลุก
“ไปวังหลังสองคนครับ”
พอผมเดินตามมาทัน เขาก็จัดการซื้อตั๋วเรือให้เสียเรียบร้อย แม้จะโกรธแต่ก็ยังอุตส่าห์ดันไหล่ให้ผมไปนั่งพักตรงม้านั่ง แน่นอนว่าผมก็ไม่ได้คิดจะขัดศรัทธาเลยยอมหย่อนตัวลงนั่งแล้วพิงหลังไปกับรั้วกั้นก่อนจะหลับตาลง
ปวดหับตุบ ๆ เลยให้ตายสิ
“เขาบอกอีกห้านาทีเรือถึงจะมา”
“อือ”
เขาเงียบไปแล้ว สงสัยจะยังโกรธไม่หาย แต่เอาเถอะ ผมก็ปวดหัวเกินกว่าจะเล่นบทง้องอนตอนนี้
จู่ ๆ สัมผัสของมืออุ่น ๆ ทาบลงบนหน้าผาก แต่ผมก็ปวดหัวและหงุดหงิดเกินกว่าจะลืมตายไปปัดป้อง
“ยังปวดหัวอยู่เหรอ”
“แฮงค์นะเว้ย คนที่ดื่มนมก่อนนอนไม่เข้าใจหรอก”
ผมได้ยินเขาหลุดขำ
“เราบอกแล้วใช่ไหมว่าเมื่อคืนอย่าไป”
“ทำไงได้เล่า ไอ้ไม้มันอกหักนี่นา”
มือใหญ่นั้นเปลี่ยนมาลูบหัวผมเบา ๆ
“อีกแล้วเหรอ”
“อือ โดนสาวบัญชีเท สมน้ำหน้า ดูก็รู้แล้วว่าตั้งใจมาปอกลอก คนอย่างมันน่ะเตือนเท่าไหร่ก็ไม่เคยฟังเลย”
เขาเงียบไปอีกแล้ว แต่มือนุ่ม ๆ นั่นยังลูบหัวผมอยู่
“แล้วมอสล่ะ เมื่อไหร่จะมีแฟน”
“ถามตัวเองไหมล่ะ”
เขาหัวเราะ
“เรายังไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลย”
ให้ตายสิ ทำตัวเป็นเด็กน้อยนุ่มนิ่มเกินไปแล้ว
ผมยกยิ้มมุมปากทั้ง ๆ ที่ยังหลับตา
“เอาแต่เรียน พออยากจะมีมันจะหาไม่ได้เอานะ”
“เราว่าของอย่างนี้ถ้ามันจะมา มันก็คงมาเองล่ะ”
ผมหัวเราะ
“เอาแต่คิดแบบนี้จะขึ้นคานเอานะ”
“ทีมอสยังไม่มีเลย”
“มันไม่เหมือนกันสักหน่อย”
ผมลืมตาแล้วขยับตัวเล็กน้อย ทำให้เขาต้องชักมือที่ลูบหัวผมกลับไป นัยนต์ตาสีดำนั้นจ้องผมเขม็งอย่างคาดคั้นคำอธิบายจนผมอดยิ้มออกมาไม่ได้
“ทีนก็รู้ว่าเราไม่ชอบผู้หญิง คนแบบเราก็ต้องหาคู่ยากกว่าคู่ชายหญิงทั่วไปอยู่แล้ว”
เขาขมวดคิ้ว
“ไม่จริงสักหน่อย”
“เถียงเราขนาดนี้นี่เคยเป็นเกย์รึไง”
เจ้าตัวอ้าปากทำท่าจะเถียงกลับ ถ้าไม่ติดว่าคนขายตั๋วตะโกนเรียกขึ้นเรือเสียก่อน
ร่างสูงนั้นลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วก้าวนำลิ่ว ๆ ไปแล้ว เขาคงยังอารมณ์เสียอยู่แน่ เพราะปกติแล้วต้องรอเดินข้างกันเสมอ
เอาเถอะ นาน ๆ ทีทะเลาะกันบ้างก็ดี
ผมอมยิ้มแล้วเดินตามเขาไป แต่เพราะอาการปวดหัวที่ยังไม่หาย ทันทีที่เท้าเหยียบลงบนโปะ ร่างทั้งร่างของผมก็เซเกือบล้ม โชคดีที่อีกคนช่วยดึงแขนเอาไว้ก่อน
“สม ไม่เจียมสังขารนัก”
เสียงทุ้มที่คุ้นเคยบ่นอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนจะกึงจูงกึ่งลากแขนผมไปที่เรือ
เหมือนแม่จริง ๆ ด้วย
วัดระฆังก็ยังเป็นวัดระฆังอยู่ยังวันยังค่ำ แม้จะไม่มีเทศกาลอะไรเป็นพิเศษแต่ผู้คนก็ยังหลั่งไหลเข้ามาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันไม่ขาดสาย แม้คนจะไม่เยอะเท่าวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ แต่ก็จัดว่าเยอะอยู่ดี
ผมยืนหันซ้ายหันขวาอย่างไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดีอยู่ครู่ใหญ่ จนอีกฝ่ายมาลากผมเข้าไปหาพระรูปหนึ่งที่ยืนอยู่บริเวณท่าน้ำ ยังไม่ทันที่พวกผมจะเดินถึงตัวท่าน พระรูปนั้นก็หันมาเห็นเสียก่อน ใบหน้าที่มีริ้วรอยคลี่ยิ้มบาง ๆ แล้วยืนนิ่งรออย่างสงบ
ทีนดึงแขนผมเข้าไปใกล้ ๆ ท่านก่อนจะกระตุกเป็นเชิงให้ผมนั่งลง เลยกลายเป็นว่าพวกเรานั่งอยู่ในท่าเทพบุตรและกำลังพนมมืออยู่ข้างท่าน้ำท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง ๆ
ผมล่ะอยากจะด่าไอ้คนพามาจริง ๆ
“นมัสการครับหลวงลุง”
“เจริญพรโยมทีน วันนี้พาเพื่อนมาด้วยรึ”
ผมพนมมือนมัสการพระตรงหน้าด้วยท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ
ไม่ได้เข้าวัดมานานแค่ไหนแล้วนะ
“นี่มอสครับหลวงลุง เป็นเพื่อนทีนที่มหาวิทยาลัยครับ”
“เจริญพรโยม แล้ววันนี้มาถึงนี่มีอะไรรึเปล่า”
คนตัวสูงคลี่ยิ้มสดใส เขาดูสุภาพเรียบร้อยและร่าเริงกว่าตอนอยู่กับเพื่อนฝูงนิดหน่อย
สงสัยจะเป็นพวกเข้ากับผู้ใหญ่ได้ดี
“ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีเพื่อนผมเขาดวงตกเลยอยากมาทำบุญน่ะครับ ผมก็เลยพามาที่นี่ ว่าจะแวะมาเยี่ยมหลวงลุงด้วยน่ะครับ”
มือเหี่ยวย่นผายไปทางศาลาริมน้ำที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“เอ้า อย่างนั้นก็ไปคุยกันในศาลาเถอะ ตรงนี้มันร้อนเหลือเกิน เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งกันไปก่อน”
ผมก็ว่าอย่างนั้นล่ะครับ
หลวงลุงเดินนำพวกผมเข้าไปในศาลาริมน้ำแล้วจึงบอกให้ทีนพาผมไปไหว้พระ ถวายสังฆทานให้เรียบร้อยเสียก่อนแล้วค่อยมานั่งคุย ทันทีที่ได้รับคำสั่งเจ้าตัวก็พาผมเดินทั่ววัดระฆังราวกับเป็นมัคนายกประจำวัด เข้าศาลานู้น ออกศาลานี้ ครั้นกว่าจะทำทุกอย่างเสร็จก็กลายเป็นว่าผมได้เดินชมรอบวัดไปเสียอย่างนั้น
มันก็น่าประทับใจอยู่หรอก ถ้าแดดเมืองไทยไม่ได้ร้อนราวกับไฟนรกขนาดนี้น่ะนะ
หลังจากทำบุญเสร็จ ทีนก็พาผมมานั่งพักใต้ต้นไม้ให้หายร้อน แต่ดูเหมือนจะสายเกินไป
“โอ๊ย ร้อนจนจะเป็นลมแล้วเนี่ย”
ผมเป็นพวกแพ้อากาศร้อนขั้นรุนแรง พูดให้ถูกก็คือจะหัวร้อนได้ง่ายถ้าอยู่ในที่ร้อน ๆ ถ้าให้เดาหน้าของผมตอนนี้คงบูดชนิดที่ว่าบอกบุญก็ไม่รับแล้วแน่ ๆ
พูดง่าย ๆ ก็คือตอนนี้ผมกำลังหงุดหงิดมาก ๆ
“ใจเย็น ๆ สิ ดื่มน้ำก่อน”
ผมตวัดสายตาไปมองคนที่ยืนยิ้มแป้นแล้นพร้อมกับยื่นน้ำให้ผม
“ไม่เอาน้ำเปล่า”
ยอมรับว่าตัวเองกำลังเรื่องมากอย่างไม่มีเหตุผล แต่อย่างที่บอกไปว่าผมกำลังหัวร้อนสุด ๆ ชนิดที่สามารถเดินไปต่อยกับนักเลงหัวไม้ได้สบาย ๆ เพราะฉะนั้นเขาซึ่งลากผมไปนู้นมานี่จนผมหัวเสียก็มีส่วนต้องรับผิดชอบเหมือนกัน
ผมเห็นเขายืนฉีกยิ้มให้อยู่อย่างนั้น ไม่มีท่าทีรำคาญกับความเอาแต่ใจของผมเลยสักนิด
เป็นคนแปลก ๆ จริง ๆ ด้วย
“ครับ ๆ งั้นรออยู่ตรงนี้แป๊ปนึงนะ”
เขาพูดอย่างนั้นก่อนจะวางผ้าเย็นลงบนหัวผมแล้วเดินจากไป ผมคว้ามันมาเช็ดตามใบหน้าและลำคอที่เหนอะหนะไปด้วยเหงื่อ แม้จะยังหัวร้อนอยู่แต่ก็ต้องยอมรับว่าผ้าเย็นช่วยให้ผมใจเย็นลงเยอะ
คิด ๆ ดูแล้วผมว่าตัวเองก็เป็นคนอารมณ์แปรปรวนอยู่เหมือนกันนะ
พอไม่มีอีกคนอยู่ข้าง ๆ ผมถึงเพิ่งจะสังเกตว่ามุมที่ผมนั่งอยู่นี้ก็สงบอยู่ไม่น้อย ไม่มีผู้คนพลุกพล่านและสายตาอยากรู้อยากเห็นจ้องมองมา
แค่คิดก็สงบแล้ว
ผมสูดหายใจเข้าไปลึก ๆ ก่อนจะปล่อยออกมาเฮือกใหญ่
ผมกำลังใจเย็นลง
“มาแล้ว ๆ น้ำมะพร้าวเย็นชื่นใจ”
ยังไม่ทันที่ผมจะปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความสงบรอบข้าง ความวุ่นวายก็กลับมาหาผมเสียได้ ภาพคนตัวสูงเดินถือมะพร้าวมามือละลูกมันตลกเป็นบ้า
แต่ผมก็ยังหัวร้อนอยู่ดี
“น้ำมะพร้าวอะไร”
เขาทำหน้างุนงง
“อ้าว ก็ไหนบอกไม่เอาน้ำเปล่าไง”
ผมเบ้หน้าใส่เขา
“แพงล่ะสิ”
จริง ๆ ผมมีประโยคในใจจำพวก ‘เราไม่จ่ายเงินให้หรอกนะ’ อยู่ด้วย แต่ก็ยั้งไว้ทันเพราะคิดว่าคำพูดแบบนั้นมันเห็นแก่ตัวเกินไป
ทั้งงอแงใส่ ทั้งให้เขาไปซื้อน้ำให้แล้วยังจะชักดาบอีก ถ้าทำขึ้นมาจริง ๆ ก็ไม่ไหวแล้วล่ะ
เขาเดินมานั่งข้าง ๆ ผม
“เอาน้า เราเลี้ยง”
คราวนี้กลายเป็นผมเองที่ต้องขมวดคิ้ว
“เลี้ยงทำไม”
อีกฝ่ายยักไหล่
“ไม่รู้สิ”
ให้ตายเถอะไอ้เวรนี่ เข้าใจยากชะมัด
แต่เอาเถอะ...
เพื่อนเสนอเราก็ต้องสนอง ผมตัดสินใจดื่มน้ำมะพร้าวแล้วคิดแค่ว่าจะบังคับจ่ายคืนมันทีหลัง ทันทีที่น้ำมะพร้าวหยดสุดท้ายไหลลงคอไป ผมก็รู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง
ดีจริง ๆ เลยน้า
ผมได้ยินเสียงหลุดขำ
“ดูทำหน้าเข้าสิ”
“อะไร”
“เปล่า”
ผมว่าไอ้นี่ชักจะกวนโอ๊ยขึ้นทุกวันจริง ๆ
“แค่จะบอกว่าน่ารักดี”
ผมได้ยินคำสบถอะไรสักอย่างในหัวแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป สิ่งที่ผมทำคือการนั่งเบิกตาโพล่ง มองหน้าคนข้าง ๆ อยู่อย่างนั้น จนเขาหันมามองแล้วยิ้มบาง ๆ
“อะไร”
ผมทำหน้าอึกอักในใจคิดว่าจะถามเขาดีไหม
อย่าดีกว่า ขืนถามออกไปน่ากลัวว่าอะไร ๆ จะไม่เหมือนเดิม
“เปล่า ไม่มีอะไร”
ความเงียบเข้าปกคลุมรอบตัวพวกเราพร้อม ๆ กับบรรยากาศกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก
ให้ตายสิ ผมไม่รู้เลยว่าต้องทำตัวยังไงต่อ
“ไปหาหลวงลุงกันเถอะ ท่านคอยแย่แล้ว”
จู่ ๆ อีกคนก็โพล่งเปลี่ยนหัวข้อขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
แต่ก็ดีแล้ว....
“อืม ไปสิ”
ผมค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนพร้อมกับประคองลูกมะพร้าวในมือไปด้วย แล้วทันใดนั้นผมก็ได้ยินบางอย่างแว่วมากับสายลม
มันแผ่วเบาราวกับลม แต่กลับอ่อนหวานจนชวนให้ใจเต้น
พอเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจจึงได้รู้ว่าเป็นเสียงดนตรีไทย...เสียงดนตรีไทยพร้อมกับเสียงขับร้อง
‘โอ้ละหนอดวงเดือนเอย’มันเบาจนเกินไปทำให้ผมบอกไม่ได้ว่าคนร้องเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่เนื้อเพลงที่ได้ยินเป็นเพลงลาวดวงเดือนแน่นอน ใครมาร้องเล่นดนตรีไทยป่านกันนี้
“มอส หาอะไรเหรอ”
“ทีนไม่ได้ยินเสียงดนตรีไทยเหรอ มีคนร้องด้วย”
คนตัวสูงส่ายหน้ารัว
“ไม่นะ”
เขามองหน้าผมด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“มอส ไม่แกล้งเราแบบนี้นะ”
ใบหน้าที่เริ่มซีดทำให้ผมรู้ว่าเขาไม่ได้แกล้ง แต่ผมก็มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้หูฝาด จึงพยายามจะตั้งใจฟังอีกครั้ง
‘หอมกลิ่นเกสร เกสรดอกไม้’“หอมกลิ่นคล้ายคล้ายเจ้าสูเรียมเอย”
“มอสพูดอะไรน่ะ!”
คำถามที่ดังจนเกือบเป็นเสียงตะโกนของอีกฝ่ายทำให้ผมหลุดจากภวังค์
นี่ผมเผลอร้องมันออกมาเหรอ
เมื่อเห็นว่าอีกคนหน้าซีดแล้วซีดอีกอย่างน่าสงสาร ผมก็เลยต้องะรีบกลบเกลื่อนเพื่อให้อีกฝ่ายไม่ตกใจไปมากกว่านี้
“หะ? อ๋อ เราแค่นึกเนื้อเพลงน่ะ พอดีจู่ ๆ ก็นึกถึงเพลงที่พ่อเคยสอนเล่นตอนเด็ก ๆ”
เขามองผมด้วยสีหน้าไม่เชื่อนัก
“แต่มอสบอกว่าได้ยินเสียงดนตรีไทย”
ผมยักไหล่อย่างเป็นธรรมชาติ
“หูฝาดมั้ง นี่ในวัดนะ จะไปมีผีได้ไง หรือว่า...”
ผมแกล้งทอดเสียง
“ทีนกลัวผี”
“เงียบเลยนะมอส ใครเขาให้เอาเรื่องผีสางมาพูดเล่นกัน”
ท่าทางของคนกลัวจนเกินเหตุทำให้ผมหัวเราะร่วน เมื่อเห็นท่าทีของผมอีกฝ่ายเลยวางใจแล้วชวนผมไปพบกับหลวงลุงที่ศาลาท่าน้ำ
ดีแล้ว อย่ารู้เลย