บทที่ 11 ว่าด้วยเรื่องสิทธิ์
เจ้าจันทร์รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ต้องสะดุ้งตื่น เมื่อมีบางอย่างเย็นเฉียบแนบสัมผัสบริเวณหน้าอก นิ้วแกร่งแตะลงเป็นเชิงปลอบพลางระบายรอยยิ้มให้ หมอบูมดึงสเตโทสโคป(หูฟังแพทย์)ออกจากหูแล้วช่วยประคองให้เจ้าจันทร์ลุกขึ้นนั่ง เจ้าจันทร์ขยับตามด้วยท่าทีมึนงง ไม่เข้าใจว่ามาโผล่ที่นี่ได้ยังไงทั้งที่ก่อนหน้าหลับอยู่บนเรือ และยังพิง....ช่างมันเถอะ
“เป็นไข้หวัดธรรมดาไม่น่าเป็นห่วงครับ แต่ว่าที่น่าห่วงคือ...” หมอบูมลากเสียงยาวขณะเหลือบสายตามองต่ำบริเวณกลางลำตัวของเจ้าจันทร์ “เอาเป็นว่าช่องทางพิเศษนี้ หมออยากจะให้หยุดใช้งานไปก่อนชั่วคราวก่อนจนกว่าจะหายดี”
เจ้าของช่องทางพิเศษสะดุ้งหน้ามืดครึ้มทันควันที่หมอบูมพูดจบ แต่คนฟังอีกคนที่ยืนอยู่ในห้องกลับมีสีหน้าเรียบเฉยจนหมอบูมไม่รู้ว่าจะทำตามหรือเปล่า
“ตรวจเสร็จแล้วรอรับยาได้ที่ช่องรับยาเลยนะครับ”
เจ้าจันทร์ยกมือไหว้ลาชายหนุ่มก่อนถูกคนตัวใหญ่ประคองไปรอรับยา อึดใจต่อมาเจ้าจันทร์ก็ได้รับห่อยาที่ข้างในบรรจุซองยาอีกหลายชนิด นเรศเดินนำไปโดยไม่บอกจุดหมายปลายทาง วันนี้เจ้าจันทร์ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า ดูเหมือนนเรศจะเดินช้ากว่าทุกทีราวกับว่ารอเจ้าจันทร์ที่เดินตามต้อยๆ พอถึงรถก็พาขึ้นรถแล่นไปอีกทางที่ไม่ใช่ทางกลับ เจ้าจันทร์หันไปถามนเรศที่กำลังตั้งใจขับรถ
“จะไปไหน”
“ถึงก็รู้เอง” คำตอบที่ได้ไม่ช่วยให้ความกระจ่างทั้งยังติดจะกวนอยู่หน่อยๆ จนเจ้าจันทร์ไม่สนใจที่จะถามอีก
รถยนต์คันหรูสีดำขลับของนเรศแล่นเข้ามาจอดในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เขาพยักพเยิดหน้าให้เจ้าจันทร์ตามไป ใจจริงอยากจะปฏิเสธเพราะเริ่มรู้สึกเวียนหัวอีกแล้ว แต่เจ้าจันทร์ก็ต้องจำใจเดินตามเขาต้อยๆ
นเรศเลี้ยวเข้าร้านอาหารที่ตกแต่งเรียบง่ายแต่ดูมีสไตล์ พนักงานเข้ามาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพูดคุยเป็นกันเองก่อนผายมือเชิญไปยังโต๊ะว่างติดมุมที่ดูให้ความส่วนตัว เจ้าจันทร์ที่กำลังเดินตามจู่ๆ ก็รู้สึกพื้นเอียงกะเท่เร่จนต้องยกมือไขว่คว้าหาที่ยึด
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ?” เสียงนุ่มหูเอ่ยถามอยู่ข้างแก้มพร้อมทั้งใช้ท่อนแขนโอบกระชับตัวเจ้าจันทร์
ความรู้สึกมึนเบลอยังไม่จางหายจึงได้แต่หันไปกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายเสียงแผ่ว “ขอบคุณครับ” เมื่อเงยหน้าขึ้นมองจึงได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ติดตรงผมสีทองสว่างเตะตาที่ชวนให้อีกฝ่ายแทบจะดูเด็กลงอีกเท่าตัว เจ้าจันทร์ตั้งท่าจะผละตัวออกแต่อีกฝ่ายกลับยึดกระชับเอวไว้ไม่ยอมปล่อย ลอยหน้าลอยตาอมยิ้มจนเจ้าจันทร์ต้องขมวดคิ้ว
“ให้ผมไปส่งนะครับ” อีกฝ่ายอาสาเปลี่ยนจากกระชับเอวเป็นโอบประครองแทน
“ปล่อยครับ” เจ้าจันทร์กล่าวด้วยความสุภาพพยายามขืนตัวออก
เสียงจุ๊ปากดังคลอเคลียข้างแก้มคล้ายตั้งใจไม่ตั้งใจ ลมหายใจอุ่นร้อนรดแก้มจนน่ากลัวว่าหากขยับมากเกินจมูกโด่งนั้นคงเฉียดแก้ม เจ้าจันทร์จึงได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าแม้กระทั่งก้าวเดิน จนชายหนุ่มต้องเป็นฝ่ายประคองร่างเพรียวเสียเอง
“นั่งโต๊ะไหนครับ” เขาถามเสียงนุ่มชิดใบหูจนขนลุกตั้งชัน
เจ้าจันทร์ตั้งท่าเตรียมวิ่งแต่ก็ไม่ทันแรงกระชากจากฝ่ามือแกร่ง ที่ออกแรงเพียงเล็กน้อยร่างเพรียวบางก็เซถลาปะทะกับอกกว้าง เจ้าจันทร์หลับตาปี๋เตรียมรอรับคำด่าทอจากนเรศ แต่ทุกอย่างกลับเงียบกริบผิดคาด อึดใจต่อมาจึงค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมองเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ตวัดท่อนรัดเอวเล็กจนแทบไม่เหลือที่ว่าง
เจ้าหนุ่มผมทองแอบตกตะลึงก่อนจะเกาหัวแกรกๆ พึมพำกับตัวเอง “น่าเสียดายมากับแฟน...หึงแรงซะด้วย” ประโยคท่อนท้ายแอบสั่นสะพรึงกับนัยน์ตาคมดุดันจ้องมองมาอย่างเงียบๆ เจ้าหนุ่มหัวทองฉีกยิ้มให้ร่างสูงตรงหน้าก่อนโบกมือลาเจ้าจันทร์แล้วรีบถอยห่าง เมื่อลางสังหรณ์ส่งสัญญาณเตือนว่าถ้าไม่รีบมีหวังเละแน่งานนี้
“เป็นอะไรถึงไปออเซาะมัน อยากได้ผัวเพิ่ม?” เสียงกัดฟันกรอดจนเห็นกรามเด่นชัด แรงบีบบนสะโพกแรงขึ้นจนต้องเบ้หน้า
“ใครมันอยากจะได้ผัว คุณนั้นแหละเป็นอะไรมากหรือเปล่าอยากจะทำร้ายผมก็เอาไว้วันหลัง วันนี้ผมไม่มีแรงมาให้คุณทำร้ายหรอก เหนื่อย เวียนหัวจะแย่แล้ว หรือถ้าอยากทำร้ายก็รีบทำ จะต่อยผมจนสลบก็ได้...จะได้พักสักที” เจ้าจันทร์หมดแรงที่จะต่อกรกับเขาแล้ว ที่ยืนอยู่ได้ตอนนี้ก็เพราะได้ร่างสูงใหญ่ของเขาเป็นหลักยึด ไม่อย่างนั้นคงล้มลงกองกับพื้นให้นเรศได้หัวเราะ
ไม่ได้ยินเสียงของชายหนุ่มต่อประโยค นเรศยืนนิ่งเหมือนคนที่กำลังพยายามระงับอารมณ์ “อย่าทำแบบนั้นอีกฉันไม่ไม่ชอบ” คิ้วเรียวขมวดฉับ ชอบไม่ชอบทำไมเจ้าจันทร์จะต้องฟังคำสั่งเขาด้วย
ขณะกำลังถกเถียงอีกฝ่ายในใจร่างก็ลอยขึ้นเหนือพื้นจนต้องกอดลำคอหนาแน่น ดวงตาโศกเบิกค้าง ปากเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบ ก่อนจะร้องบอกชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “คุณปล่อยผมลงนะ” เจ้าจันทร์แทบจะมุดดินหนีความอับอาย เมื่อสายตาหลายสิบคู่จ้องมองมาทั้งยังหันไปกระซิบกระซาบกับคนข้างๆ ตั้งท่าเตรียมจะดิ้นก็ถูกอีกฝ่ายดุเข้าให้
“อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวโยนลงตรงนี้ซะนี่” ได้ผลทันทีเมื่อเจ้าจันทร์หยุดดิ้น ทั้งยังเริ่มรู้สึกเวียนหัวตาลาย ไม่รู้ว่าโกรธจนเลือดลมขึ้นหน้าหรือว่าไข้ขึ้นกันแน่ แต่ที่แน่ๆ เจ้าจันทร์อยากจะกระทืบร่างสูงนี้ให้จมดินสักครั้ง เมื่อนเรศวางลงบนเก้าอี้ในมุมส่วนตัวเจ้าจันทร์ก็ตั้งท่าเตรียมต่อว่าเขาทันที แต่น้ำเสียงห้าวติดดุก็เอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน “ไม่ไหวทำไมไม่บอก แล้วไปยืนออเซาะไอ้หัวทองนั้นทำไม”
“แล้วมันเรื่องอะไรของคุณ ตัวผม ความคิดก็ของผม ผมจะไปยืนออเซาะเกาะใครที่ไหนก็เรื่องของผม คุณไม่...” ยังพูดไม่ทันจบประโยคนเรศก็แทรกขึ้น
“ไม่เกี่ยว หึ ฉันเป็นผัวมีสิทธิ์ในตัวนายทุกอย่าง” ฝ่ามือเล็กกำแน่นเข้าหากัน ใบหน้าหวานแดงก่ำทั้งด้วยพิษไข้และความโกรธที่กำลังเดือดจัด “หรือจะเถียงว่าไม่ใช่ ให้ฉันช่วยตอกย้ำให้ตรงนี้ไหม” ไม่ว่าเปล่าแต่นเรศยังยื่นหน้าข้ามโต๊ะประชิดอีกฝ่ายทันที
เจ้าจันทร์ผงะกับใบหน้าชายหนุ่มที่ยื่นเข้าหาอย่างกะทันหัน ริมฝีปากเม้มแน่นบ่งบอกว่าโกรธจัด และก่อนที่ทั้งคู่จะได้โต้เถียงกันไปมากกว่านี้ พนักงานในร้านก็เข้ามาพร้อมกับรายการอาหาร
หญิงสาวที่รับรู้ถึงบรรยากาศมาคุได้แต่ยืนอึดอัดระหว่างลูกค้าชายทั้งสอง รอยยิ้มยังคงประดับบนใบหน้าทั้งที่ในใจอยากจะวิ่งหนีออกไปจากตรงนี้ซะ แต่ก็ทำได้เพียงเอ่ยถามชายหนุ่มร่างสูงที่เงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสุภาพ “รับอะไรดีคะ”
“โจ๊ก น้ำอุ่นหนึ่งแก้ว...” แล้วนเรศก็สั่งอาหารอีกสองสามอย่าง
“แล้วคุณลูกค้าท่านนี้ต้องการสั่งอะไรเพิ่มไหมคะ”
เจ้าจันทร์ส่ายหน้าทันทีพร้อมบอกปฏิเสธ “ไม่ครับ”
“กรุณารอสักครู่นะคะ” พอจบประโยคพนักงานสาวก็ผละจากไป
เมื่อพนักงานสาวจากไปแล้วรอบบริเวณจึงได้ยินแต่เสียงเพลงคลอเบาๆ ฟังสบายหูจากร้าน อารมณ์เดือดปุดทะลุร้อยองศาก่อนหน้าจึงทุเลาเบาลง เจ้าจันทร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเอ่ยพึมพำขอบคุณร่างสูงที่อุตส่าห์สั่งอาหารให้
“ขอบคุณครับ”
“อืม” เขาขานรับอย่างไม่ใส่ใจขณะยกแก้วน้ำที่พนักงานสาวนำมาเสิร์ฟขึ้นจิบ
เมื่ออาหารที่สั่งถูกยกมาเสิร์ฟจนครบทั้งคู่ก็ลงมือทานอย่างเงียบๆ ต่างคนต่างไม่ถกเถียงอะไรกันอีก จนเจ้าจันทร์ที่เพิ่งกินไปได้ไม่กี่คำวางช้อนลง นเรศจึงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายทั้งขมวดคิ้ว
“ผมอิ่มแล้ว” เจ้าจันทร์บอกด้วยน้ำเสียงฟังดูเหนื่อยๆ
นเรศมองดูแล้วก็รวบช้อนตามก่อนหันไปเรียกพนักงานสาวมาคิดค่าอาหาร เมื่อจัดแจงจ่ายค่าอาหารเรียบร้อยแล้วเขาก็ลุกขึ้นไปคว้ามือเจ้าจันทร์ฉุดขึ้นจากเก้าอี้เบาๆ เจ้าจันทร์คร้านที่จะพูดกับนเรศจึงลุกเดินตามเขาเงียบๆ เมื่อมาถึงลานจอดรถเจ้าจันทร์ก็ทิ้งร่างอ่อนแรงขึ้นนั่งบนเบาะข้างคนขับ ตั้งท่าจะหลับด้วยความอ่อนเพลียกลับต้องลืมตาตื่นเมื่อเบาะถูกปรับระดับ ฝ่ามือรีบดันหน้าอกที่อยู่ไม่ไกลอัตโนมัติ อุณหภูมิร้อนจากกายอีกฝ่ายแผ่เข้าครอบคลุมจนเกิดความอบอุ่น ดวงตาโศกจ้องมองใบหน้าคมเข้มลอยอยู่ไม่ห่างจนหัวใจเต้นผิดจังหวะ ก่อนรีบหลบสายตาเมื่อเขาละสายตาจากการปรับระดับเบาะลงมาสบ
ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นวางบนหน้าผากเล็ก “รออยู่ที่นี่ฉันจะไปซื้อของให้” เขาขยับถอยหางเล็กน้อยในขณะที่มือยังค้ำยันเบาะเหนือศีรษะเจ้าจันทร์ “ไข้ขึ้นขนาดนี้หวังว่านายคงไม่คิดหนี ถ้าหนีละก็เราได้เห็นดีกัน” นิ้วชี้ตวัดใส่หน้าประกอบน้ำเสียงดุดัน
“...” เจ้าจันทร์ถอนหายใจใส่อีกฝ่ายก่อนเสหน้าหลบ ทั้งเหนื่อยทั้งเวียนหัวขนาดนี้คงหนีไปได้หรอก ถ้าหนีเชื่อสิว่าอีกไม่ถึงสิบนาทีก็โดนลากกลับมา ดวงตาโศกปิดลงบ่งบอกว่าไม่อยากจะเสวนากับเขาต่อ
นเรศปิดประตูรถก่อนยกโทรศัพท์มือถือขึ้นต่อสาย ถึงแม้ว่าเจ้าจันทร์ในตอนนี้ดูจะหมดฤทธิ์แต่เขาก็ไม่วางใจ รีบไปรีบกลับน่าจะดีกว่า
สิบนาทีต่อมานเรศก็กลับมาพร้อมข้าวของเต็มไม้เต็มมือ โยนทุกอย่างไปเบาะท้ายรถ เมื่อหันกลับมาก็ต้องหยุดสายตากับใบหน้าหวานเกินชายนอนหลับตาพริ้มหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ นเรศชะโงกตัวกลับไปหลังเบาะค้นหาบางสิ่ง เขายกยิ้มพึงพอใจเมื่อได้ของที่ต้องการ รีบติดแผ่นเจลลดไข้ให้กับคนป่วย เจ้าจันทร์ขยับกายร้องอืออาเล็กน้อยก็นิ่งไป นเรศยังหันกลับมาควานหาผ้าคลี่ห่มให้อีกทีก่อนออกรถมุ่งหน้าไปยังโรงแรมหนึ่งในกิจการของเขา
ความอบอุ่นที่คลุมกายถูกยื้อแย่งไปเจ้าจันทร์จึงอดไม่ได้ที่จะร้องครางฮือยื่นมือออกไขว่คว้าตาม นเรศยืนมองคนป่วยที่เขาเพียรพยายามปลุกด้วยสีหน้าระอา เมื่อไม่มีทีท่าว่าคนป่วยจะรู้สึกตัว เขาก้มลงเอ่ยเรียกอีกครั้ง...แต่ก็ได้รับเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอตอบกลับมา มันน่านัก...
“เจ้าจันทร์ลุกขึ้นมาทานข้าวกินยาก่อน” ฝ่ามือหนาแตะแขนเล็กเขย่าเบาๆ
ดวงตาโศกค่อยๆ เปิดขึ้นมาก่อนหลับตาลงพลิกหันหลังให้ร่างสูง คิ้วเข้มของนเรศตวัดฉับอย่างไม่ค่อยพอใจ “ผมไม่หิว” เสียงงัวเงียเอ่ยบอกก่อนเงียบไป
“ไม่หิวก็ต้องกิน...เจ้าเด็กนี่” ท้ายประโยคเสียงดุดันขึ้นเมื่อคนป่วยยกผ้าห่มปิดหูเสียอย่างนั้น “โอเค ถ้านายไม่ลุกฉันจะกินนายละนะ” จบประโยคก็ขึ้นคร่อมร่างเพรียว ยื่นใบหน้าหล่อเข้มคลอเคลียจนลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดศีรษะเล็ก
“หยุดนะ!” ฝ่ามือเล็กยื่นออกผลักหน้าอกกว้างพลางร้องเสียงหลง จนใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำ เจ้าจันทร์ถลึงตาใส่เจ้าคนที่คร่อมทับอยู่ด้วยความรู้สึกโกรธเคือง ยิ่งทำให้อาการปวดหัวแล่นจี๊ดขึ้นจนต้องนิ่วหน้า “คุณไม่มีอะไรทำแล้วหรือยังไงถึงได้มารังแกคนป่วยอย่างผม” ดวงตาโศกค้อนขวับ ริมฝีปากเม้มแน่นไม่พอใจ
เขากลับว่าง่ายๆ “ก็ลุกซะสิ”
“...” เจ้าจันทร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ขี้คร้านจะเถียงกับเขาให้เหนื่อยเปล่าๆ “คุณก็ออกไปสิ...ว่าแต่ที่นี่ที่ไหน?” ฝ่ามือเล็กดันแผ่นอกหนาเบาๆ ก่อนลุกขึ้นมานั่ง ดวงตาโศกเพิ่งสังเกตรอบตัว ห้องนอนโทนสีน้ำตาลอ่อนตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูร่วมสมัยซึ่งดูแล้วล้วนเป็นงานฝีมือ ยามเมื่อมองออกไปนอกกระจกใส เกลียวคลื่นทะเลหยอกล้อแสงอาทิตย์ระยิบตา ท้องทะเลอันดามันที่สวยไม่แพ้ที่ใดในโลกทอดตัวยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ดวงตาโศกเบิกค้างด้วยความตะลึง สถานที่แห่งนี้ช่างงดงามราวกับภาพมายาในความฝัน
กลิ่นไอเค็มทะเลลอยเข้าปะทะใบหน้าเมื่อประตูเลื่อนเปิดออกด้วยฝีมือคนตัวสูง เขาเปิดออกเล็กน้อยเพียงเพื่อให้คนป่วยได้สัมผัสอากาศภายนอก ก่อนเดินกลับมาแตะปลายคางที่ปากเล็กอ้าค้างนั้นให้หุบลง
“สวยใช่ไหมล่ะ” นเรศอดที่จะยืดอกอวดด้วยความถูมิใจไม่ได้
“ที่นี่ที่ไหน?” เจ้าจันทร์วกกลับมาถามคำถามเดิมที่ยังไม่ได้รับคำตอบอีกครั้ง
ร่างสูงกลับเดินไปอีกแล้วทางก้มลงถือถาดอาหารกลับมาพลางตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “โรงแรมของฉัน” ช่างเป็นคำถามที่ไม่ได้ช่วยไขข้อข้องใจให้กับเจ้าจันทร์เลยสักนิด นเรศทิ้งกายลงนั่งขอบเตียงข้างๆ คนป่วย ฝ่ามือหนาประคองถาดวางลงบนหน้าขาแล้วทำท่าจะตักโจ๊กกลิ่นหอมกรุ่นมีไอสีขาวลอยล่องขึ้นมาเป่า
เจ้าจันทร์รีบยกมือห้ามพลางร้องเสียงหลง “ผมกินเองได้ ผมแค่เป็นไข้ไม่ได้เป็นง่อย” ก่อนที่จะต่อด้วยประโยคที่ทำให้คนกำลังปฏิบัติหน้าที่ดูแลคนป่วยแสดงสีหน้าไม่พอใจกลับมา “ชุดผมหายไปไหน!” แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะได้เอ่ยอะไร เจ้าจันทร์ก็ร้องตะโกนเสียงดังลั่นขัดขึ้นมาเสียก่อน ใบหน้าหวานก้มลงมองสำรวจชุดที่เคยสวมใส่อยู่ มันไม่ใช่ชุดตัวเดิม มันกลายเป็นชุดนอนสีน้ำเงินเรียบ ปกเสื้อสีไข่ ขนาดใหญ่เกินร่างเจ้าจันทร์จนต้องพับแขนเสื้อและขากางเกงขึ้น ให้เดามันคงจะเป็นชุดของชายตรงหน้า
“ฉันลืมซื้อชุดนอนมาให้ นายก็ใส่ของฉันไปก่อน” เขาตอบขณะตักโจ๊กขึ้นเป่าแล้วยื่นมาจ่อที่ริมฝีปากซีดขาว
“ผมทานเองได้” เจ้าจันทร์ยังยื่นกราน
“...” นเรศถอนหายใจไม่อยากเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกับเด็ก จึงยกถาดไปวางไว้บนตักคนป่วย เจ้าจันทร์รีบคว้าช้อนไปครองราวกับกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจทำท่าทีประหลาดใส่อีก เมื่ออีกฝ่ายยอมทานโจ๊กแต่โดยดีนเรศจึงทำเพียงนั่งมองเงียบๆ
ขณะที่เจ้าจันทร์พยายามตั้งหน้าตั้งตากินเพื่อละความสนใจจากชายหนุ่มที่นั่งจ้องอยู่ ฝ่ามือหนาก็วางบนหน้าผากเล็ก คิ้วหนาขมวดมุ่นเล็กน้อยก่อนได้ยินเสียงถอนหายใจโล่งอก
“ไข้ลดแล้ว พักอยู่ที่นี่อีกสักวันค่อยกลับเกาะ” เขาว่าซึ่งเจ้าจันทร์ไม่มีทางที่จะสามารถออกความเห็นได้ นเรศเฝ้าสังเกตเสี้ยวใบหน้าหวานที่กำลังก้มหน้าก้มตาทานโจ๊กอยู่ แพขนตางอนยาวเรียงกันเป็นแพกระพือขึ้นลง จมูกโด่งสวยได้รูป เข้ากับริมฝีปากบางมีมุมโค้งขึ้นคล้ายยิ้มอยู่ตลอด ทุกอย่างดูลงตัวไปกับโครงหน้าเรียว เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ไม่อาจละสายตาได้ แม้จะมองเจ้าจันทร์ตาไม่กะพริบแต่มือยังทำหน้าที่แกะยาส่งให้อีกฝ่ายพร้อมแก้วน้ำอุ่น
“ขอบคุณ” เจ้าจันทร์พึมพำเสียงเบาหวิวแทบกลายเป็นกระซิบขณะส่งแก้วเปล่าคืนให้ชายหนุ่ม
“นั่งเล่นอยู่ในนี้แหละ ถ้าง่วงก็นอนไป ฉันจะไปทำงานก่อนเดี๋ยวจะส่งคนมาอยู่เป็นเพื่อน” มือใหญ่แกะเจลลดไข้ติดบนหน้าผากเล็ก ที่คนป่วยเสหน้าหลบเล็กน้อยราวกับไม่อยากให้เขาทำให้ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมให้เขาอย่างจำใจ เมื่อทุกอย่างดูเรียบร้อยแล้วนเรศก็เดินออกไปพร้อมกับถาดอาหาร
“จู่ๆ ก็มาดูแลพิลึกคน เดี๋ยวผีเข้าเดี๋ยวผีออก” เจ้าจันทร์อดที่จะบ่นพึมพำกับพฤติกรรมของชายหนุ่มที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายไม่ได้ เมื่อความเงียบสงบกลับคืนมา เจ้าจันทร์ทิ้งตัวลงนอนตะแคงหันหน้ามองออกไปยังทะเล ฟังเสียงคลื่นสบายหูคละเคล้าไปกับเสียงนกร้องที่ช่วยให้ผ่อนคลายยิ่งขึ้น เพียงไม่นานยาก็เริ่มออกฤทธิ์ทำให้ผล็อยหลับไป