-25-
เมื่อฟังเนื้อความจบ เซินเฟยก็หรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด หลังจากได้พักมาหลายวันตอนนี้สมองของเขาสามารถทำงานได้เฉียบคมเช่นเดิม ซ้ำเวลานี้เขายังอยู่ในสถานที่ที่เงียบสงบ ไม่มีใครหรืออะไรมารบกวน ความคิดจึงกระจ่างใสราวกับมองลงไปในอ่างที่บรรจุน้ำสะอาด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉู่เหวินจือสืบหามาเป็นเวลาหลายต่อหลายวันสามารถปะติดปะต่อกันเป็นภาพจิ๊กซอว์ขนาดใหญ่ มันคงเป็นเรื่องบังเอิญอย่างยากจะเป็นไปได้ที่ฉู่เหวินจือจะกุเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาและสามารถประกอบกันได้พอดีอย่างนี้
เซินเฟยสูดหายใจเข้าลึกเพื่อถ่ายเทอากาศให้กับสมองก่อนจะลืมตาขึ้น
“นายคิดยังไง?”
“อะไรหรือครับ?” ฉู่เหวินจือย้อนถามเพราะเขาไม่เข้าใจกระเด็นที่อีกฝ่ายต้องการคำตอบ
“เรื่องที่นายเล่ามาทั้งหมด ถ้าความจริงเป็นแบบนั้น นายคิดยังไงบ้าง?” ตามปกติแล้ว เซินเฟยจะไม่ตัดสินใจอะไรโดยลำพังหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงชีวิต หากหวางซิงอยู่ด้วยเขาคงจะถามหวางซิงที่จะให้คำแนะนำที่ดีเสมอ แต่ตอนนี้เขาไม่มีตัวเลือก
“ผมคิดว่าผมไม่แปลกใจถ้ามันเป็นความจริงครับ คุณเซินเองก็ทราบไม่ใช่หรือว่ามันมีเหตุผลรองรับหนักแน่นพอที่จะเป็นไปได้” ฉู่เหวินจือตอบก่อนจะลดระดับเสียงลง “ผมคิดว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะความใจดีของคุณเซินเองไม่ใช่หรือครับ?”
“นายคิดจะไม่ใช่ฉันเหลือความเป็นคนเลยหรือยังไง?”
“มันไม่จำเป็นสำหรับการเป็นมาเฟียไม่ใช่หรือครับ?” ฉู่เหวินจือลดเสียงลงอีกจนเป็นแค่เสียงกระซิบ “แม้แต่พ่อของคุณก็ยังรู้เรื่องนั้นดี”
เพี๊ยะ!
ฝ่ามือของเซินเฟยยังรวดเร็วและหนักหน่วงเหมือนเก่า แก้มสากของฉู่เหวินจือปรากฏรอยแดงขึ้นมาช้า ๆ หลังจากผ่านไปไม่ถึงนาที
“ไม่ต้องมาตอกย้ำเรื่องครอบครัวของฉัน” เซินเฟยเค้นเสียงลอดไรฟันที่ขบแน่น อีกฝ่ายทำอย่างกับว่าเขาไม่รู้สันดานพ่อตัวเอง แต่เขาจะทำอะไรได้ ในเมื่อฝ่ายนั้นก็เป็นพ่อบังเกิดเกล้า ถึงจะเป็นยังไงเขาก็จำต้องมีน้ำอดน้ำทนให้มากกว่าคนอื่นเพื่อแสดงความกตัญญูต่อผู้ให้กำเนิด ถึงจะเป็นมาเฟียยังไงก็เป็นคนที่มีเลือดเนื้อมีหัวใจ ยังไง....เขาก็ยังให้ความเคารพผู้ชายคนนั้นในฐานะพ่อ....
“ขออภัยด้วยครับ”
การขอโทษตามมารยาทปฏิบัติยิ่งทำให้เซินเฟยฉุนเฉียว แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาเป็นคนใช้การลงโทษอย่างหนักหน่วงหลายต่อหลายครั้งเพื่อสอนสั่งให้ฉู่เหวินจือเคารพกติกามารยาทในการอยู่กับเขา ไม่ใช่จะพูดจะทำก็ทำตามใจนึก
“ฉันจะกลับฮ่องกง”
ฉู่เหวินจือมุ่นคิ้ว
“ด้วยสถานการณ์อย่างนี้น่ะหรือครับ?”
ตอนนี้เครือธุรกิจตระกูลเซินเหมือนกับตกอยู่ในกำมือเซินหยู่กว่าครึ่ง ผู้นำองค์กรใต้ดินบางคนก็เริ่มเคลื่อนไหวด้วยความไม่พอใจ ซ้ำทางตำรวจยังไม่ยอมยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือเพราะโดนอิทธิพลจอมปลอมของเซินหยู่กดเอาไว้ หากเซินเฟยยังใจอ่อนกับพ่อตัวเองอยู่อย่างนี้ ถึงกลับไปแล้วจะมีอะไรดีขึ้นเล่า? หากไม่กำจัดผู้ชายคนนั้นเสีย สักวันก็ต้องถูกตลบหลังอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
“ฉู่เหวินจือ”
“ครับ?”
“นายสามารถพาฉันกลับได้เมื่อไหร่?”
“ถ้าหากเป็นความต้องการของคุณเซิน ถึงจะเป็นตอนนี้ผมก็จะพากลับไปให้ได้ครับ” ฉู่เหวินจือตอบด้วยน้ำเสียงกึ่งลำพองทำให้เซินเฟยนึกหมั่นไส้ขึ้นมา แต่หากฉู่เหวินจือลองพูดว่าทำได้แล้วก็คงทำได้จริง ๆ และสถานการณ์บนเกาะฮ่องกงก็เร่งรีบเกินกว่าจะให้เขามาเล่นแง่กับอีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจในวินาทีนั้นว่าเขาไม่อาจอยู่นิ่งเฉยเหมือนทองไม่รู้ร้อนอย่างนี้ได้อีก ในเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเขาหายตัวไป เขาก็ต้องเป็นคนสะสางด้วยตัวเองถึงคนที่เป็นปรปักษ์จะเป็นพ่อของตัวเองก็ตาม และเรื่องการระเบิดเรือนั้น อย่างไรเขาก็ต้องจัดการ ถึงจะฝืนใจสักแค่ไหนก็มีแต่ต้องจัดการเท่านั้น มิเช่นนั้นทุกสิ่งที่ก่อร่างสร้างมาทั้งหมดจะสูญเปล่าในพริบตา
ลูกน้องที่ไหนจะต้องการหัวหน้าที่โอนเอนไปกับอารมณ์...
ในเมื่อถูกกระทำถึงขนาดนี้แล้วไม่ตอบโต้ให้สมน้ำสมเนื้อ เขาเองอาจตกที่นั่งลำบากเอาทีหลังก็ได้
เซินเฟยกัดริมฝีปากแรงจนรู้สึกเจ็บ
“ภายในวันนี้ เอาฉันออกจากโรงพยาบาล ภายในพรุ่งนี้ เท้าฉันต้องเหยียบเกาะฮ่องกง”
“ทราบแล้วครับ” ฉู่เหวินจือรับคำ ในน้ำเสียงมีความสนุกแฝงอย่างเจือจางจนเซินเฟยแทบจับสังเกตไม่ได้ และตอนนี้เขาก็ไม่ได้อยากจับผิดใครให้หนักสมองอีก
แต่แล้วก่อนจะได้พูดอะไรกันต่อ ทั้งสองก็ได้ยินเสียงรองเท้าของนางพยาบาลและรถเข็นเดินมาใกล้ห้อง ฉู่เหวินจือหันไปฉวยหนังสือเล่มหนึ่งมาพลิกเปิดขณะที่เซินเฟยเสมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่นานนักประตูก็เปิดออกพร้อมรถเข็นอาหารและนางพยาบาล บนรถมีอาหารอยู่สองชุดเป็นของเซินเฟยและฉู่เหวินจือ
หญิงสาวเพียงวางอาหารลงบนโต๊ะและเอ่ยทักทายก่อนนำรถเข็นออกไป เพราะตอนนี้เซินเฟยสามารถกินอาหารเองได้แล้วจึงไม่ต้องการคนบริการอีก แต่ที่เซินเฟยยินดีที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องที่สามารถอาบน้ำเองได้แล้วมากกว่า
ฉู่เหวินจือเดินไปหยิบอาหารมาวางบนโต๊ะของเซินเฟยแล้วเลื่อนโต๊ะให้มาอยู่เหนือเตียงอย่างรู้หน้าที่ ก่อนจะเดินไปหยิบของตัวเองมาจัดการ นับว่าสวรรค์ยังเมตตาฉู่เหวินจืออยู่ที่แขนที่หักเป็นแขนซ้าย แขนขวาที่ถนัดจึงใช้ทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากคนอื่น
เซินเฟยเหลือบตามองฉู่เหวินจืออย่างมีความหมาย ก่อนจะลงมือจัดการอาหารตรงหน้าอย่างไม่อิดออด รสอาหารที่แสนจืดชืด....อาจเป็นมื้อสุดท้ายที่จะได้ลิ้มรสแล้วก็เป็นได้
--------------------------->
เพื่อตบตาสำนักงานตำรวจ มู่อี้จิงจึงต้องไปมาหาสู่กับหวางซิงบ่อยขึ้น แต่การกระทำที่ดูไร้ประโยชน์ก็ไม่ได้เสียเปล่าเสียทีเดียว เพราะเมื่อทั้งสองใช้เวลาอยู่ด้วยกันก็จะช่วยเหลือกันในการให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์และประกอบข้อมูลทั้งหมดเข้าด้วยกันอย่างมีระบบ ถึงอย่างนั้นแล้ว พวกเขาก็ยังพบกับทางตันอยู่ดี เพราะอย่างไร ๆ ก็ไม่อาจหาหนทางที่ทำให้คนที่สงสัยกระทำการสำเร็จได้เลย
“ไม่ไหวแล้ว!” มู่อี้จิงตะโกนออกมาก่อนแหงนเงยศีรษะไปด้านหลังพิงกับพนักโซฟา บนโต๊ะด้านหน้าคือกระดาษหลายแผ่นที่ลองเขียนสมมติเหตุการณ์คร่าว ๆ โดยมีผู้ต้องสงสัยหลักคือจือหยินและหลิงหลิง
“ผมไปชงกาแฟให้ไหมครับ?” หวางซิงถามอย่างนึกเป็นห่วง ระยะนี้เขามาห้องของมู่อี้จิงบ่อยขึ้นจนรู้สึกคุ้นเคยราวกับเป็นห้องของตัวเองก็ไม่ปาน ซึ่งเพราะเหตุนั้นทำให้เขาใช้เวลาในบริษัทได้น้อยลงทุกที แม้ใจจะนึกเป็นห่วงบริษัทที่อยู่ภายใต้การปกครองของเซินหยู่แต่ก็ยังอดกังวลเรื่องเซินเฟยไม่ได้ เขาจำต้องยอมละทิ้งเรื่องทางนั้นเพื่อช่วยมู่อี้จิงหาเบาะแส
“ไม่ต้องหรอก” มู่อี้จิงว่าแล้วพาตัวเองกลับมานั่งหลังตรง “เฮ้อ แต่ที่คุณบอกว่าหมอจือหยินเคยได้เช็คใบหนึ่งไปจากจูเชว่ นั่นอาจเป็นเงินที่ใช้จ้างมือสังหารก็จริง แต่ว่าท่ามกลางการ์ดหนาแน่นขนาดนั้นจะลงมือได้ยังไงกัน ผมหาหนทางไปไม่เจอเลยจริง ๆ”
ตัวมู่อี้จิงเองมีความสนใจเกี่ยวกับจิตวิทยาอาชญากรอย่างมากจึงศึกษาค้นคว้ามาโดยตลอด แต่ว่า...มุมมองของมือสังหารนั้นแตกต่างจากอาชญากรอย่างสิ้นเชิง เมื่อคิดในมุมของมือสังหารแล้ว มันจะมีทางไหนกันที่สามารถระเบิดเรือได้ ในความเป็นจริงแล้ว หากเขาเป็นมือสังหาร การแล่นเรือเข้าไปเทียบแล้วลอบยิงจากมุมมืด ยังเป็นทางเลือกที่ง่ายเสียกว่า ทำไมมือสังหารรายนี้ต้องวางระเบิดซึ่งเป็นหนทางที่มีความเสี่ยงสูงขนาดนี้ด้วย? ไม่สิ...อาจเป็นเพราะทางนี้มีความเสี่ยงสูงจึงปกปิดร่องรอยได้ง่ายก็เป็นได้ เพราะจนถึงตอนนี้เขายังจับมือใครดมไม่ได้เลย
เขาไม่เคยคิดเลยว่าการตามรอยมือสังหารจะเป็นเรื่องยากขนาดนี้ มิน่าเล่า พอมีคดีมือสังหารเข้ามาทีไร ทางกรมก็มักจะพยายามปัดให้กลายเป็นอุบัติเหตุหรือเหตุทะเลาะเบาะแว้งเพราะความแค้นส่วนตัวทุกทีไป ก็มันจับตัวยากเสียขนาดนี้ เขานี่ถือว่าหาเรื่องใส่ตัวหรือเปล่านะ?
“ถ้าไม่ใช่มือสังหารล่ะครับ?” หวางซิงลองหาทางอื่น
“ก็แสดงว่าหมอจือหยินกับเฉียนหลิงหลิงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีน่ะสิ”
“เอ๋? ทำไมล่ะครับ?” หวางซิงทำตาโต เขาไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยาอาชญากรนัก เขาทำได้แต่การวิเคราะห์บุคคลตรงหน้าจากบุคลิกเท่านั้น จะให้จินตนาการถึงคนที่ไม่เคยเห็นด้วยการมองเพียงเหตุการณ์สมมตินั้นเกินความสามารถของเขาไปมากจริง ๆ
“ก็อาชญากรน่ะ เวลาลงมือมักจะลงมือด้วยการตัดสินใจเฉพาะตัว อาจมีการกระตุ้นจากคนอื่นถึงได้ลงมือทำ แต่ว่าคนยุยงส่งเสริมไม่มีความผิดตามกฎหมายหรอกนะครับ นอกจากจะมีหลักฐานว่ามีส่วนในการกระทำผิดถึงจะลงโทษได้” มู่อี้จิงขยี้ผมก่อนจะว่าต่อ “ถ้าจะสรุปว่าเป็นอาชญากรรมที่กระทำโดยอาชญากรที่มีแรงกระตุ้น ไม่ใช่มือสังหาร มันก็สรุปได้ง่าย ๆ ขอแค่หาใครสักคนที่มีเหตุผลเพียงพอจะลงมือได้มาเค้นถามทีละคนก็น่าจะได้ความแล้วล่ะครับ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น แปลว่าหมอจือหยิน เฉียนหลิงหลิง และเช็คที่สงสัยว่าเป็นต้นเหตุก็จะไม่มีทางเป็นผู้ต้องสงสัยหรือหลักฐานได้เลยสักอย่างเดียว”
“แบบนั้นอาจจะดีกว่าก็ได้นะครับ.....”
“อะไรนะครับ?” มู่อี้จิงเอ่ยถามเพราะหวางวิงพึมพำเสียงเบาจนได้ยินไม่ถนัด
“ป....เปล่าครับ” หวางซิงขยับแว่นเพื่อปกปิดสายตาตนเอง “ผมแค่คิดว่าป่านนี้คุณเซินจะเป็นยังไงบ้าง...เพราะยังไม่มีข่าวคราวเลยไม่ใช่หรือครับ?”
มู่อี้จิงถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เรื่องนั้น.....เพราะตอนนี้ผมไม่มีทีมงานแล้วก็เลยหาข้อมูลไม่ได้มาก แต่ว่ามีความเป็นไปได้สูงว่ายังมีชีวิตอยู่ครับ เพราะค้นหาที่เกิดเหตุดูแล้ว เราไม่พบกระทั่งเศษเสื้อผ้าของจูเชว่ด้วยซ้ำไป บางทีเขาอาจจะตกจากเรือตอนเกิดระเบิดขึ้นและรอดชีวิตได้อย่างหวุดหวิด ตอนนี้อาจจะกำลังรักษาตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งก็เป็นได้”
“งั้นหรือครับ....” หวางซิงกล่าวเสียงแผ่ว ตอนแรกเขาเองก็อยากจะเชื่อแบบนั้น แต่ว่ายิ่งเวลาผ่านไป ความเชื่อที่มั่นคงก็เริ่มคลอนแคลน จนตอนนี้หลายครั้งหลายหนที่เขาเผลอคิดไปว่า อาจมีข่าวว่าพบศพเซินเฟยที่ไหนสักแห่งโผล่มาบนหน้าหนังสือพิมพ์ แม้อยากจะลงโทษตัวเองที่คิดแบบนั้นแต่เขาก็ไม่อาจหยุดคิดได้ ทุก ๆ เช้าเขาจะต้องอ่านหนังสือพิมพ์ทุกฉบับราวกับคนวิตกจริต
“ผมเข้าใจว่าคุณหวางรู้สึกยังไง แต่ว่า....ผมก็ทำได้แค่นี้เอง” มู่อี้จิงเอ่ยอย่างยอมจำนน ตอนแรกเขาคิดว่าหากดื้อรั้นดันทุรังไปอาจจะมีหนทางก็ได้ แต่ว่าเมื่อถูกตัดงบประมาณ คนในหน่วยก็ให้ความช่วยเหลือไม่ได้ กระทั่งสารวัตรหรงเองก็ไม่อาจออกหน้าให้ได้ ในที่สุดเขาก็เหลือตัวคนเดียวและไม่อาจทำอะไรได้เลย ถึงหวางซิงจะคอยให้ข้อมูลอย่างเต็มที่ แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ต้องยอมรับว่าตัวเองไร้ความสามารถเมื่ออยู่เพียงลำพัง
คดีนี้ทำให้ความหยิ่งทะนงในฐานะตำรวจสืบสวนที่ทำคะแนนได้อันดับ 1 จากวิทยาลัยตำรวจลดฮวบเกือบเหลือ 0
“ผมเข้าใจครับ” หวางซิงว่าแล้วยิ้มออกมา “อย่างน้อยคุณมู่ก็อุตส่าห์ช่วยผมมาถึงขั้นนี้ ผมก็ไม่รู้จะตอยแทนยังไงแล้วล่ะครับ”
ทั้งสองยิ้มให้กันก่อนจะหันกลับมาสนใจแผ่นกระดาษบนโต๊ะอีกครั้ง
“อา.....ปวดหัวจริง ๆ” มู่อี้จิงครวญแล้วเริ่มรวบแผ่นกระดาษทั้งหมดเข้าด้วยกันเป็นปึก แค่วันนี้วันเดียวเขาก็กลายเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนจากการใช้ผลิตผลจากต้นไม้สักต้นสองต้นแล้วกระมัง
“จะพอแล้วหรือครับ?” หวางซิงถามเมื่อเห็นมู่อี้จิงนำกระดาษทั้งหมดยัดในลิ้นชัก
“นี่มันสี่ทุ่มแล้วนะครับ คุณรีบกลับไปนอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะสู้รบปรบมือกับเซินหยู่ไม่ไหวเอา” นายตำรวจหนุ่มเอ่ยหยอกเย้าพลางยิ้มเมื่อเห็นหวางซิงเริ่มปาดหางตาด้วยความง่วง บางทีเจ้าตัวอาจไม่รู้ก็ได้ว่าระหว่างพูดคุยกันนั้น ตัวเองหาวไปไม่รู้ตั้งกี่รอบ คนที่ปกติจะนอนหัวค่ำ ต้องมานอนดึกเกือบทุกคืนอย่างนี้ทั้งยังต้องตื่นเข้าไปจัดการงานในบริษัทก่อนอีก เขาเกรงว่าร่างกายอีกฝ่ายจะรับไม่ไหวเอา
“กลับไปนอนเถอะครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”
“รบกวนเปล่า ๆ ครับ เดี๋ยวผมโทรเรียกคนที่บ้านก็แล้วกัน” หวางซิงรีบโบกมือปฏิเสธทั้งที่มู่อี้จิงก็ได้ไปส่งที่บ้านทุกคืน กระนั้นเจ้าตัวก็ปฏิเสธจนเป็นนิสัยคล้ายว่าแค่เป็นพิธี
“เลิกปฏิเสธเถอะ ยังไงคุณก็เปลี่ยนใจผมไม่สำเร็จหรอก” มู่อี้จิงกำหมัดแล้วเคาะข้อนิ้วไปที่หน้าผากหวางซิงก่อนจะชะงักพลางละมือออกมา
ระยะนี้พวกเขาสองคนเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น ออกจะมากเกินไปหน่อยเสียด้วยซ้ำ หลายครั้งมู่อี้จิงจึงมักแสดงออกกับหวางซิงราวกับเป็นเพื่อนที่คบหันมานาน และมักจะนึกได้หลังจากกระทำลงไปแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นเลขาของมาเฟียและที่มาอยู่ใกล้เขาก็เพื่อให้ช่วยเหลือเจ้านายของตัวเองเท่านั้น
แต่หวางซิงกลับไม่ได้ต่อว่าต่อขานอะไรแม้จะดูข้ามรุ่นไปบ้างเขาก็ไม่ได้นึกถือสา
“คุณนี่ดื้อจริง ๆ เลยนะครับ” เจ้าตัวเพียงลูบหน้าปากตัวเองแล้วตำหนิไม่จริงจัง
การไม่ถือตัวของหวางซิงทำให้มู่อี้จิงรู้สึกเหลิงอยู่เงียบ ๆ เขายิ้มกว้างแล้วคว้ากุญแจรถเดินออกไปจากห้อง ทำให้หวางซิงต้องรีบวิ่งตามออกไปแต่ยังไม่ลืมหันมาล็อคประตูจนเรียบร้อย
ทั้งสองขับรถออกมาได้ครู่หนึ่งมู่อี้จิงที่คุยสนุกสนานมาจนถึงตอนนี้กลับเงียบไปแล้วทำสีหน้าเคร่งเครียดให้เห็น
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ?” หวางซิงงุนงงสงสัยที่อยู่ ๆ มู่อี้จิงก็แปลกไป
“ผมสังเกตมาหลายวันแล้ว....”
“อะไรหรือครับ?”
“ทุกครั้งที่เราออกมาข้างนอก จะมีใครบางคนคอยตามหลังอยู่ห่าง ๆ” มู่อี้จิงขมวดหัวคิ้วเข้าหากัน “แต่จะเลิกตามเมื่อพวกเราเข้าไปในอาคารหรือบ้านเรียบร้อยแล้ว อย่างกับว่ากำลังรอจังหวะอะไรอย่างนั้น”
“หมายความว่าพวกเราถูกสะกดรอยตามหรือครับ?”
มู่อี้จิงพักหน้าช้า ๆ แล้วพยักเพยิดไปทางกระจกส่งหลัง
“เห็นรถคันสีดำที่อยู่หลังรถสีขาวนั่นไหมครับ?” หวางซิงพยักหน้ารับ มู่อี้จิงจึงพูดต่อ “ผมเห็นมาหลายวันแล้ว จะตามรถของผมด้วยระยะเท่านั้นตลอดไม่ว่าจะเลี้ยวรถ เร่งหรือลดความเร็ว และจะตามมาเฉพาะเวลาที่อยู่กับคุณด้วย ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ”
“ทำไมคุณถึงมั่นใจล่ะครับ?”
รถที่เห็นเป็นรถญี่ปุ่นที่หาซื้อได้ง่าย ราคาถูก ไม่ใช่รถที่มีจุดเด่นเป็นพิเศษ มีคนใช้อยู่ทั่วไป ระยะนี้สีดำและขาวก็เป็นที่นิยมกับคนทั่วไปมากขึ้น หวางซิงไม่เห็นว่าจะมีอะไรบ่งบอกได้เลยว่ารถคันนั้นเจาะจงตามพวกเขา อาจจะเป็นเหตุบังเอิญที่เห็นรถที่เหมือนกันบ่อย ๆ ก็เป็นได้
“ผมจำเลขทะเบียนได้” ว่าแล้วมู่อี้จิงก็ท่องเลขทะเบียนรถออกมาชุดหนึ่ง หวางซิงจึงเขม้นตามองไปยังกระจกและรอตำแหน่งเลขทะเบียนโผล่ออกมาจากหลังรถคันที่คั่นอยู่ แต่ก็ไม่อาจมองเห็นได้อยู่ดีเนื่องจากรถในฮ่องกงวิ่งเรียงกันอย่างเป็นระเบียบไม่มีการคร่อมเส้นแบ่งเลน อีกทั้งรถคันนั้นวิ่งอยู่ในระยะไกล การจะมองผ่านกระจกส่องหลังให้เห็นเลขทะเบียนจึงแทบเป็นไปไม่ได้โดยเฉพาะกับคนสายตาสั้นอย่างหวางซิง
“อีกอย่างหนึ่ง” หลังจากหวางซิงหมดความพยายามในการพิสูจน์เลขทะเบียน มู่อี้จิงจึงพูดขึ้นมาอีก “รถคันนั้นติดฟิล์มกรองแสงมืดเกินไป รถปกติจะไม่ติดฟิล์มกรองแสงมืดแบบนั้นโดยเฉพาะกระจกหน้ารถ”
หวางซิงรีบหันกลับไปมองกระจกส่องหลังอีกครั้ง แล้วก็เป็นจริง เขามองไม่เห็นคนในรถเลยเพราะกระจกด้านหน้ามืดมากเสียจนบดบังคนด้านในจนมิด
หวางซิงรู้สึกสะท้านเยือกขึ้นมา
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันครับ....ที่คุณเห็นรถคันนี้”
“ถัดจากวันที่คุณโดนชกที่แก้ม”
หวางซิงกัดริมฝีปาก เขาช่างเลินเล่อจริง ๆ เสียแรงที่ทำงานกับจูเชว่มาถึงสองรุ่น แค่โดนคนตามจับตาดูกลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด แถมยัง.....ตั้งอาทิตย์หนึ่งมาแล้ว....
“บ้าจริง!” อยู่ ๆ มู่อี้จิงก็ตะโกนขึ้นมาแล้วเร่งความเร็วรถหักโค้งแซงรถคันหน้าบนทางเลี้ยวอย่างน่าหวาดเสียว
“ก...เกิดอะไรขึ้นครับ!?” หวางซิงรีบถามเสียงตะกุกตะกักและจับคอนโซลหน้ารถจนแน่นเพราะเมื่อครู่เกือบโผไปชนจากแรงเหวี่ยง
“ดูเหมือนมันจะรู้แล้วว่าเรารู้ตัว” มู่อี้จิงกัดฟันกรอดก่อนจะเหยียบคันเร่งจนมิด โชคดีที่ตอนนี้ดึกแล้วรถราจึงค่อนข้างบางตา มู่อี้จิงจึงสามารถเลี้ยวลดไปตามถนน แซงรถคันข้างหน้าไปได้เรื่อย ๆ จนสามารถสลัดรถที่ตามหลุดไปได้ แต่หายใจได้ไม่กี่เฮือกรถคันสีดำนั้นก็โผล่ออกมาอีก ทันใดนั้นสายตาของมู่อี้จิงก็สะดุดเข้ากับบางสิ่งที่โผล่ออกมานอกหน้าต่างรถสีดำคันนั้น
ปืน!
“ก้มหัวลง!” มู่อี้จิงตะโกนแล้วกดให้หวางซิงก้ม เป็นวินาทีเดียวก่อนที่กระสุนจะลั่นเปรี้ยงพุ่งชนกระจกรถตำรวจด้านหลังจนเกิดรอยร้าวเป็นวง แน่นอนว่ามันไม่ได้จบแค่นัดเดียว นัดอื่น ๆ ตามมาอีกเป็นชุดใหญ่จนมู่อี้จิงต้องก้มศีรษะไปขับรถไป เขาแทบจะไม่มีเวลาให้มองทางว่ากำลังพารถไปทางไหน รู้แต่เมื่อเจอทางแยกก็จะเลี้ยวทันทีเพื่อหาช่วงจังหวะทิ้งระยะห่างให้มากที่สุด กระนั้นอีกฝ่ายก็ตื้อใช้ได้ ยิ่งหนีก็ยิ่งตาม เสียงปืนเป็นชุดพุ่งกระทบกระจกจนแตกกระจายไปส่วนหนึ่งและพุ่งมาจนถึงกระจกหน้า เบาะด้านหลังเองก็โดนไปหลายนัด
“บ้าเอ๊ย! ยิงกลางเมืองแบบนี้มันพวกมือสมัครเล่นชัด ๆ!” มู่อี้จิงคำรามออกมาเหมือนจะเยาะเย้ยอีกฝ่าย แต่มองอีกด้านก็เหมือนกำลังก่นด่าตัวเองที่เสียทีมาโดนพวกมือสมัครเล่นไล่ยิงกลางถนนเหมือนหนังเกรด b ที่ได้ดูสมัยมัธยมปลาย
แต่แล้วสิ่งที่ไม่น่าเกิดก็เกิดขึ้น กระสุนนัดหนึ่งยิงเข้าที่ยางรถ!
มู่อี้จิงกัดฟันลากรถที่พิการไปล้อหนึ่งให้เคลื่อนไปข้างหน้าด้วยแรงส่งที่ยังเหลืออยู่ก่อนที่เสียงกระสุนจะเงียบไปและรถก็จอดสนิท.....
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและมองออกไปนอกกระจกรถ
ซวยสนิท!