Soulmate วิญญาณป่วนรัก
Part 7# งาน N
“ทำอะไร” ผมถามซีที่พอขึ้นรถปุ๊บก็เอนเบาะลงนอนปั๊บ แถมยังเอาเสื้อตัวหนึ่งมาปิดตาบังแสงอย่างพร้อมสรรพอีกต่างหาก ผมก็คิดอยู่ว่าก่อนหน้านั้นซีเปิดประเป๋าหยิบเสื้อออกมาทำไม แต่ก็ไม่ได้ถามเพราะกำลังขับรถอยู่
“ตาบอดรึไงถึงมองไม่เห็นว่ากูกำลังนอน” ซีพูดโดยที่ไม่ยอมเอาเสื้อออกจากตาด้วยซ้ำ ผมเลยจัดการดึงออกซะแล้วโยนไว้ที่หน้ารถ
“ลุกขึ้นมา กูบอกให้มึงมานั่งเป็นเพื่อน ไม่ใช่นอนเป็นเพื่อน”
ผมไม่อยากขับรถกลับคนเดียว แต่นั่นไม่ใช่เพราะว่าเหงาหรือพิศวาสซีหรอก ก็แค่กลัวหลับในเพราะนอนน้อยมาหลายวันเลยอยากให้มีคนมาเป็นเพื่อนคุย ซึ่งซีก็ตอบโจทย์ เพราะนอกจากจะพูดมากก็ยังชอบทำสีหน้าตลก และไอ้ความตลกนั้นบางทีผมก็มองว่าน่ารัก อย่างเช่นตอนนี้ที่ซีกำลังทำหน้างอและพองลมที่แก้ม
“แล้วจะให้กูนั่งเฉยๆ รึไงเล่า”
“ก็พูดไปด้วย พูดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงกรุงเทพ”
“จะบ้าหรอ! ตั้ง 3 – 4 ชั่วโมงกูจะเอาอะไรมาพูด!” จริงๆ หน้าตอนโมโหแบบนี้ก็ดูน่ารักดีเหมือนกัน
“นั่นไม่ใช่ปัญหาของกู” ผมยักไหล่ ส่วนซีก็แยกเขี้ยวใส่ทำท่าจะกินหัวผม ทำไมกันนะขนาดตอนนี้ผมยังมองว่าซีน่ารัก นี่สมองของผมเพี้ยนไปแล้วรึเปล่า?
“ไอ้...!” ตอนนี้ซีคงไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าผม สุดท้ายเมื่อคิดไม่ออกก็เลยคงจะช่างแม่ง แล้วหลังจากที่ปรับเบาะขึ้นซีก็หันมายื่นข้อเสนอกับผม
“จะให้กูคุยเป็นเพื่อนก็ได้ แต่มึงต้องจ่ายค่าจ้าง กูไม่รับงาน N ฟรีๆ หรอกนะเว่ย” ผมเกือบหัวเราะพรืดกับคำว่างาน N ของซี คิดว่าตัวเองเป็นพริตตี้รึไง เป็นคนที่มักจะพูดหรือทำอะไรนอกเหนือความคาดหมายของผมทุกทีสิน่า
“แล้วมึงจะเอาเท่าไหร่” ซีชูนิ้วชี้ขึ้น แว้บแรกผมคิดว่า 1 หมื่น แต่คงไม่ใช่มั้งเพราะดูจะแพงไป แต่ถ้าเป็น 1 พันอันนี้ก็คงไม่ใช่ ซีคงไม่คิดค่าตัวถูกขนาดนั้น แล้วสรุปซีคิดค่าตัวเท่าไหร่?
แต่ยังไม่ได้ถามออกไปซีก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“แวะปั๊มหน้าด้วย กูหิว”
“อืม” ผมพยักหน้าแล้วตีไฟเลี้ยวเข้าปั๊ม ที่นี่มีทั้งศูนย์อาหาร ร้านสะดวกซื้อ แล้วก็ร้านกาแฟ ซึ่งพอผมจอดรถปุ๊บซีก็แบมือมาที่หน้าผมปั๊บ
“อะไร”
“ก็เงินไง เอาเงินมา หรือมึงจะให้กูไปขอข้าวขอน้ำเขากิน”
“...” ถึงจะงงๆ แต่ผมก็ควักแบงก์พันยื่นให้ซี
“แบงก์ร้อยก็มี เอาแบงก์พันมาทำไม” แล้วซีก็หยิบแบงก์ร้อยออกจากกระเป๋าตังของผมไปเลย จากนั้นก็เปิดประตูลงจากรถแล้ววิ่งเข้าไปในเซเว่น ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนผมได้แต่มองตาปริบๆ
ถามว่าโกรธมั้ยที่ซีถือวิสาสะเอาเงินในกระเป๋าของผมไป?
ไม่นะ แค่อึ้งแล้วก็งงมากกว่า ที่อึ้งคือไม่เคยมีใครกล้าทำแบบนี้กับผม ส่วนที่งงคือการที่ซีไม่เอาแบงก์พันที่ผมยื่นให้ แต่กลับเอาแค่แบงก์ร้อยในกระเป๋าใบเดียวเท่านั้น เชื่อเลยแฮะ
เรทงาน N ราคาแค่นี้ เรียกใช้บริการทุกวันซะเลยดีมั้ย?
ซึ่งขณะที่ผมกำลังคิดอะไรไร้สาระอยู่นั้น ซีที่ซื้อของจากเซเว่นเสร็จแล้วก็เดินกลับมาที่รถ ในถุงมีอะไรก็ไม่รู้หลายอย่างแต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ จนกระทั่ง...
“เอ้า!” ซียื่นแซนด์วิชมาตรงหน้าผม
“อะไร”
“ไม่รู้จักรึไง แซนด์วิชอะแซนด์วิช รสปูอัดไข่กุ้งอ่านออกมั้ยหา!” พูดอย่างเดียวไม่พอ ยังยื่นแซนด์วิชเข้ามาใกล้มากขึ้นจนจะกระแทกตาผมอยู่แล้ว
“อันนั้นกูรู้ แต่ที่ถามคือมึงเอามาให้กูทำไม”
“เอ๊า! ยื่นให้เอาไปทิ้งมั้งฟายยยย ยื่นให้มึงกินไงถามอะไรโง่ๆ” ซีพูดด้วยท่าทางหงุดหงิด ก่อนจะชักมือกลับแล้วแกะซองแซนด์วิชออก ตอนแรกผมก็นึกว่าซีจะยึดคืนไม่ให้ผมกินแล้ว แต่...
“อ้าปาก”
“หา?” แล้วจังหวะที่ผมกำลังงง ซีก็จัดการยัดแซนด์วิชเข้ามาในปากของผมทันที
!!!
“กินๆ เข้าไป ถามมากอยู่นั่น คนยิ่งหิวๆ อยู่” ซีบ่นให้ผมด้วยท่าทางรำคาญหน่อยๆ ส่วนผมที่ถึงแม้จะยังอึ้งๆ ในสิ่งที่ซีทำอยู่ แต่ก็ยอมกินแซนด์วิชที่ซีอุตส่าห์ป้อนให้แต่โดยดี
การกระทำนั้นแม้จะดูรุนแรงเกินคำว่าป้อนไปหน่อย แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกไม่ชอบ เพียงแค่รู้สึกแปลกๆ เท่านั้น
ซึ่งหลังจากที่ผมกินแซนด์วิชหมดแล้วนั่นแหละ ซีถึงเริ่มกินของตัวเองบ้าง ก็กินไปบ่นไปตามประสาคนพูดมาก บ่นได้ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ แต่แปลกที่นอกจากจะไม่รู้สึกรำคาญผมยังรู้สึกว่าเพลินดี จนกระทั่งไม่มีเรื่องอะไรจะบ่นแล้ว ซีถึงได้เบนเข็มมาถามเรื่องของผม
“กูแปลกใจมานานละ ขอถามอะไรหน่อยดิ จะว่ากูเสือกก็ได้เพราะกูก็เสือกจริงๆ”
“จะถามอะไรก็ถาม” พูดซะยืดยาวเลย
“ทำไมมึงถึงมาเป็นดาราได้อะ ดูมึงเป็นคนไม่ค่อยชอบความวุ่นวายนี่”
“ทุกอย่างมันมีข้อยกเว้นหมดแหละ” อย่างเรื่องซีนี่ไง ปกติผมชอบให้ใครมาวุ่นวายด้วยที่ไหน
“แล้วทำไมถึงได้ยกเว้นอะ หรือว่าเพราะชอบ?”
“เพ้อเจ้อรึไง! กูเนี่ยนะจะชอบ...!” ผมยั้งคำว่า ‘มึง’ เอาไว้ได้ทัน แต่ถึงอย่างนั้นการที่ผมพูดเสียงดังก็ทำให้ซีตกใจได้อยู่
“ถามแค่นี้ทำไมต้องของขึ้นด้วยวะ ก็พูดเองนี่ว่าจะถามอะไรก็ถาม” ซีทำหน้าบูด
“โทษที กูเข้าใจอะไรผิดนิดหน่อยน่ะ”
“เฮอะ! มึงนี่แม่ง...”
“อยากถามอะไรอีกก็ถามมาสิ”
“ที่รีบขัดคือไม่อยากฟังคำด่าของกูใช่มั้ยล่ะ” ซีเบ้ปากแล้วมองค้อนมาที่ผม แต่เนื่องจากเป็นคนที่โกรธง่ายหายไวอยู่แล้ว เรื่องที่ยังเคืองผมอยู่ก็เลยปล่อยผ่านซะ
“ปกติมึงทำงานที่ไหนอะ”
“ก็แล้วแต่วัน ถามทำไม”
“ก็เผื่อกูจะได้เจอพวกดาราไอดอลงี้ไง จะได้มีกำลังใจในการทำงานเป็นผู้จัดการ...”
“เป็นเบ๊” จู่ๆ ผมก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เลยจัดการแก้คำที่ถูกต้องให้ซีซะเลย
“มึงมันเหี้ย ต่อหน้าสาวๆ ขอกูเรียกตำแหน่งกูให้มันดูดีหน่อยไม่ได้รึไง”
“เพื่อ? ทำอย่างกับจะมีใครสนใจมึง”
“แล้วยังไง กูสนใจก็พอจบมั้ยสัส”
“กูก็แค่ไม่อยากให้มึงคาดหวังไว้เยอะ วงการบันเทิงอะเคยได้ยินมั้ย ส่วนใหญ่ก็ใส่หน้ากากหากันทั้งนั้น”
“เฮอะ! แต่ก็คงไม่มีใครเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังส้นตีนได้เท่ามึงหรอกกูว่า” ซีมองค้อน แต่ผมก็แค่ยักไหล่ไม่ตอบอะไร แล้วเพียงไม่กี่วินาทีซีที่อารมณ์เปลี่ยนก็ถามเรื่องใหม่กับผมซะแล้ว
“เออใช่ ขอถามอะไรอีกอย่างดิ ปกติมึงไม่ค่อยได้กลับบ้าน 2 – 3 วันจะกลับทีนึง แล้วนี่มึงไปนอนที่ไหนอะ มีบ้านอีกหลังหรือว่านอนที่กองถ่าย”
“โรงแรม”
“อ๋อ นอนกับอีฟ” เท่านั้นแหละ จากที่กำลังขับรถอยู่ดีๆ ผมก็เหยียบเบรกจมเท้าจนล้อดังเอี๊ยด หน้าของซีเลยถึงกับคะมำหัวโขกดังโป๊ก
“โอ๊ย! มึงจะเบรกทำเชี่ยอะไรเนี่ย!”
“กูนอนคนเดียว ไม่ได้นอนกับอีฟ” ผมถลึงตาใส่ซี ให้ตายสิ คิดได้ยังไง
“เออ! นอนคนเดียวก็นอนคนเดียว! แล้วมันใช่เรื่องที่ต้องเบรกกะทันหันมั้ยวะ! หัวกูเจ็บไปหมดแล้วสัส!” ซีทำหน้าเหมือนจะกินหัวผม ในขณะที่มือก็กุมหน้าผากเอาไว้ ไม่รู้ว่าเมื่อกี้จะเจ็บขนาดไหน ฟังจากเสียงที่โขกก็แรงเอาเรื่องอยู่
“ขอโทษ เจ็บมากมั้ย”
“ก็ดีที่ยังรู้จักขอโทษ แม่ง จะเหยียบเบรกทำไมก็ไม่รู้กูไม่เข้าใจมึงจริงๆ” อย่าว่าแต่ซีเลย เพราะขนาดผมเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ดีที่ไม่มีรถขับต่อข้างหลังไม่อย่างนั้นคงไม่จบที่โดนแค่ซีด่าแน่ๆ
แล้วในเมื่อผมไม่ตอบ ขับรถออกไปเฉยๆ ซีก็เลยไม่ได้เซ้าซี้อะไร มือลูบที่หน้าผากป้อยๆ แล้วก็เริ่มชวนผมพูดใหม่อีกครั้ง
“บ้านก็มีกลับ แล้วมึงไปนอนโรงแรมให้เปลืองตังทำไมวะ”
“ซื้อเวลา”
“คืออะไรยังไง ขอคำอธิบายให้เคลียร์ๆ หน่อยได้ปะ” แล้วด้วยความที่มีชนักติดหลัง แม้ว่าผมจะขี้เกียจอธิบาย แต่ว่าผมก็ต้องทำอย่างช่วยไม่ได้
“กูคิดว่าถ้าต้องขับรถกลับบ้าน 2 – 3 ชั่วโมง สู้เปิดโรงแรมใกล้ๆ นอนคงจะดีกว่า ราคาแค่ 2 – 3 พันก็ได้ห้องที่โรงแรมดีๆ แล้ว จะฝืนขับกลับบ้านทั้งที่ง่วงแล้วก็เหนื่อยไปทำไม”
“อ๋อ โอเคเก็ต งานมึงได้เงินเยอะแยะเลยไม่เสียดายเงินแค่นี้นี่เนอะ”
“อืม” ผมพยักหน้า ไม่อย่างนั้นผมไม่ยอมแลกความเป็นส่วนตัวไปหรอก แต่ที่ยอมก็เพราะเล็งเห็นแล้วว่ามันคุ้ม ทำงานเดือนเดียวได้เงินมากกว่ามนุษย์เงินเดือนทั้งปีซะอีก
“แต่มึงเชื่อกูดิ ยังไงอยู่บ้านมันก็สบายใจสุด เอาเป็นว่าต่อไปนี้ถ้าง่วงมึงก็นอนได้เลย เดี๋ยวกูจะเป็นคนขับรถพามึงกลับมาที่บ้านเอง” ซีหันมายิ้มให้ผมอย่างสดใส วินาทีนั้นไม่รู้ทำไมหัวใจของผมถึงได้เต้นผิดจังหวะขึ้นมา มันเต้นเร็วมากจนผมถึงกับต้องยกมือขึ้นมากุมเอาไว้
“มึงเป็นไรอะ” ซีถามผมด้วยความสงสัยปนตกใจหน่อยๆ สีหน้าแบบนี้คงจับไม่ได้หรอกมั้งว่าหัวใจของผมจู่ๆ มันก็เต้นแรงขึ้นมา
“เปล่า ก็แค่รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย”
“ตรงไหน ตรงหัวใจหรอ ไปหาหมอมั้ย นี่ๆๆ มีโรงพยาบาลอยู่ตรงนั้น” ซีรีบชี้นิ้วไปข้างหน้าใหญ่เลย ท่าทางจะเป็นห่วงผมจริงจัง แต่ว่าผมก็แสร้งทำเป็นรำคาญ
“แค่มึงเลิกพูดมากกูก็คงหายแล้ว”
“หนอย...ไอ้เหี้ยนี่! คนก็อุตส่าห์เป็นห่วง!” ซีกัดฟันกรอด “ก็แล้วหมาที่ไหนเป็นคนบอกว่าให้กูพูดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงกรุงเทพห้ะ! ห้ะ! ตอบกูมาสิฟาย!”
“...” ผมเงียบไม่ยอมตอบอะไร ส่วนซีที่หงุดหงิดมากแต่ไม่รู้จะทำอะไรเลยได้แต่สบถคำด่าออกมาเป็นชุด จนกระทั่งหมดคำด่าแล้วนั่นแหละถึงได้นั่งกอดอกด้วยท่าทางฮึดฮัดไปจนถึงกรุงเทพ
เมื่อรถเข้าไปจอดในบ้าน ซีก็รีบหยิบกระเป๋าแล้วก็เดินขึ้นห้องไปเลย ไม่แม้แต่จะพูดอะไรสักคำ อย่าว่าแต่พูด ขนาดหน้าของผมยังไม่อยากจะมองด้วยซ้ำ แล้วอย่างนี้ผมควรจะทำยังไงดี
คิดอยู่สักพักผมก็ขับรถออกไปอีกครั้ง จำได้ว่าซีชอบกินชาเขียวปั่นร้านนี้ ที่ผมรู้ก็เพราะที่บ้านมีแต่แก้วเปล่าของที่ร้าน จนถึงปัจจุบันผมก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่าซีจะเก็บเอาไว้ทำไม
“ชาเขียวปั่นแก้วนึงครับ” ผมพูดกับน้องพนักงานที่ร้าน ซึ่งก็ดูเหมือนว่าน้องเขาจะจำผมได้ แม้ว่าผมจะใส่แว่นดำพรางใบหน้าเอาไว้ก็ตาม
หลังจากที่รับออเดอร์ของผมไป น้องเขาก็เห็นเรียกพนักงานอายุไล่เลี่ยกันมาซุบซิบ ทั้งคู่แอบมองมาที่ผมพร้อมกับทำหน้าตื่นเต้นดีใจนิดๆ แต่ผมก็ยืนนิ่งๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จนกระทั่งชาเขียวปั่นที่ผมสั่งได้แล้ว
“ขอโทษนะคะ ใช่พี่เอสรึเปล่าคะ”
“ครับ” ผมก็ตอบนิ่งๆ ตามสไตล์ของผม แต่เท่านี้น้องเขาแล้วก็เพื่อนที่อยู่ข้างๆ ก็ตื่นเต้นและดีใจมากจนแทบจะเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่
“หนูชอบพี่มากเลยค่ะ! เป็นติ่งพี่มาจะ 2 ปีแล้ว! รอดูละครของพี่อยู่นะคะ! เป็นกำลังใจให้ค่ะ!”
ยอมรับว่าพอได้ยินผมก็ค่อนข้างจะตกใจอยู่หน่อยๆ ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบให้ใครมาวุ่นวาย แต่ลึกๆ แล้วผมก็รู้สึกดีใจอยู่เหมือนกัน ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าเป็นปกติผมคงจะพยักหน้าแล้วก็เดินออกไปเฉยๆ แต่วันนี้ไม่รู้ทำไมผมถึงได้มีความคิดที่อยากจะแคร์ความรู้สึกของคนอื่นบ้าง
“ขอบคุณนะครับ” แถมนอกจากพูดผมก็ยังยิ้มออกมาอีกด้วย
ความจริงเรื่องนี้มันก็เรื่องปกติของดาราคนอื่นๆ แต่สำหรับผมมันไม่ใช่ ซึ่งน้องเขาที่บอกว่าเป็นติ่งผมมานานจะ 2 ปีแล้วก็ต้องรู้ เพราะงั้นการที่เห็นผมทำแบบนี้ก็เลยดีใจมากจนถึงกับกรี๊ดลั่น จนกระทั่งผมเดินออกมาแล้วก็ยังได้ยินเสียงกรี๊ดอยู่เลย
ผมถือแก้วชาเขียวขึ้นไปบนรถแล้วขับกลับบ้าน ระหว่างทางก็พยายามคิดไปด้วยว่าจะพูดกับซียังไง ดีที่กลับไปแล้วพวกเพื่อนของซียังไม่ถึงกัน ก็ไม่รู้ว่าไปแวะที่ไหนรึเปล่า แต่ก็ดีแล้วเพราะว่ามันทำให้ผมไม่ต้องเกร็งที่ต้องถูกสายตาหลายคู่จ้องมอง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
รอสักแป๊บซีก็เปิดประตูออกมา พอเห็นว่าเป็นผมก็เบ้ปากออกมาเลย
“มีอะไร” ผมไม่ตอบแต่ยื่นชาเขียวให้ เท่านั้นแหละจากที่กำลังหน้าบูดบึ้งก็ตาแป๋วขึ้นมาเชียว “ซื้อมาง้อกูรึไง”
“ก็แล้วแต่จะคิด” ผมเสหน้าไปมองทางอื่น แต่เท่านั้นก็เหมือนยอมรับกลายๆ แล้ว ซีเลยยิ้มแซวๆ ออกมา
“แหมๆๆ เก๊กเหลือเกิน เอาเถอะ ไหนๆ ก็ซื้อมาแล้ว กูจะรับไว้แล้วกันยังไงก็ของโปรด” พูดจบซีก็ยื่นมือออกมารับแก้วชาเขียวไปดูด
“อา...ชื่นจาย...”
ผมมองการกระทำนั้นแล้วยิ้มออกมาหน่อยๆ ดีแล้วที่ซีเป็นคนหายโกรธง่าย ไม่ติดใจอะไรนานๆ
“แล้วนี่มึงมีไรอีกมะ หรือมาแค่นี้”
“กูจะมาบอกด้วยว่าพรุ่งนี้มีคิวถ่ายละครตอน 9 โมง สัก 6 โมงครึ่งต้องออกบ้านได้แล้ว”
“เคๆ เดี๋ยวกูตั้งปลุกไว้”
“เพื่อความชัวร์เอาเบอร์มึงมา”
“หา? เอาไปทำเชี่ยอะไร ถ้าระแวงขนาดนั้นก็มาเคาะประตูปลุกกูละกัน อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ ทำยังกะอยู่ไกล” ซีบ่นเป็นชุด แต่ก็นั่นน่ะสิ อยู่บ้านเดียวกันเดินมาปลุกเอาก็ได้
“บอกให้เอามาก็เอามาเหอะน่า” ไม่รู้ล่ะ อย่างน้อยมีเบอร์ไว้มันก็ดีกว่าไม่มี จริงสิ อย่างน้อยก็เผื่อหลงกันที่กองถ่าย หรือผมใช้ซีไปทำอะไรไกลตัวจะได้โทรเช็คได้ไงล่ะ
“โวะ มึงนี่แม่งน่ารำคาญจริงๆ เอามือถือมึงมา” แต่ถึงจะบ่นซีก็ยอมกดเบอร์มือถือตัวเองลงที่เครื่องของผม “เดี๋ยวกดโทรออกให้ด้วยเผื่อจะไม่เชื่อว่าเบอร์กูจริงๆ”
แล้วซีก็ทำตามอย่างที่ว่า ซึ่งรอไม่กี่วินาทีมือถือของซีก็ดังขึ้น ซีเลยเดินไปหยิบแล้วก็กลับมายื่นให้ผมดู
“เคนะ?”
“ก็ไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อสักหน่อย” ผมพูดจบก็รีบบันทึกชื่อซีเอาไว้ ทำเป็นไม่สนใจเสียง ‘เฮอะ!’ เบาๆ จากซี
“มีอะไรอีกมั้ย”
“ไม่มี”
“งั้นเชิญ ห้องมึงอยู่นู่น พรุ่งนี้เจอกัน แต่ถ้าหากกลัวโทรมาแล้วกูไม่รับ หรือกลัวเคาะห้องแล้วกูยังไม่ตื่น มึงจะหอบผ้าหอบผ่อนย้ายสารร่างมานอนที่ห้องกูก็ได้นะ กูโอเค้!”
“โอเคจริงหรอ” ก็รู้แหละว่าซีประชด แต่ผมถามก็เพราะรู้สึกหมั่นไส้
“โอเคก็เหี้ยแล้ว! กลับห้องไปได้แล้วไป๊!” ไม่พูดเปล่าซียังจับตัวผมหมุน แล้วก็ดันไหล่ให้เดินไปที่หน้าห้องของตัวเองด้วย
ส่วนผมก็ไม่ได้พูดหรือขัดขืนอะไร แค่หัวเราะเบาๆ เท่านั้น แต่ก็แอบมีคิดในใจเหมือนกันว่า ถ้าหากพรุ่งนี้มาถึงเร็วๆ ก็คงจะดี...
2BC
สวัสดีค่า ไม่ได้มาต่อซะหลายวันเลย ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะคะพอดีเราต้องไปตจว.กะทันหัน แต่พอกลับถึงบ้านปุ๊บก็รีบเขียนรีบอัพปั๊บเลยค่า
ตอนนี้จะเห็นได้ว่าความรู้สึกของเอสที่มีต่อซีเริ่มเปลี่ยนไปน้อยๆแล้ว แอร๊ยยยย
กองเชียร์อย่างเต้ยคงใกล้จะนิพพานแล้วล่ะ ว่าแต่มีใครชอบที่เอสเป็นแบบนี้มั้ยนะ หรือว่าจะหมั่นไส้ที่ยังชอบเก๊กขรึมวางมาดอยู่ อิอิ
ส่วนตอนหน้าวันเสาร์เจอกันนะคะ แบบว่าพรุ่งนี้ (10.10) วันเกิดเค้าเลยอาจจะไม่มีเวลาเขียน น่าจะเดินสายกินแหลกตั้งแต่เช้ายันค่ำอะคะ 55555 แล้วเจอกันนะคะ บ๊ายบายยยย