เดือนที่ 8
กลับด้วยกัน ☽⚙
เมื่อกลางวันเพิ่งตกลงสัญญาว่าจะไปกินข้าวเย็นเป็นเพื่อนเมืองเอกเพื่อตอบแทนที่เจ้าตัวซ่อมคอมฯให้ผม ถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลหน่อยก็เถอะ สาเหตุน่ะพอรู้จากที่เจ้าตัวเองบอกว่าทำไมถึงอยากได้เพื่อนไปกินข้าวเย็นด้วย แต่ที่ไม่เข้าใจน่ะ คือ ทำไมเพื่อนกินข้าวด้วยที่ว่าถึงต้องเป็นผม?
ถึงจะสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถาม ผมไม่อยากจะเข้าไปถามโน่นถามนี่ให้มากความ อีกอย่างคือผมอยากให้บุญคุณที่ติดค้างกันหมดลงเร็วๆ เพราะงั้นตอนนี้
“มึงอยากฟังเพลงอะไรรึเปล่า? เปิดฟังได้เลยนะ” เสียงเข้มของคนที่นั่งขับรถข้างๆ หันมาพูดกับผม แล้วยื่นโทรศัพท์ที่ต่อสาย USB เอาไว้กับเครื่องเสียงติดรถยนต์ ที่หน้าจอโทรศัพท์เปิดแอพฯ Youtube เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว
ผมส่ายหัวปฏิเสธ ไม่รู้เหมือนกันว่าเมืองเอกที่ใจจดจ่ออยู่กับการขับรถอยู่จะรู้คำตอบผมไหม แต่เอาเป็นว่าผมให้ความเงียบเป็นอีกหนึ่งคำตอบ
เพลงที่เมืองเอกเปิดผมฟังได้ แต่ต่อให้มีเพลงที่ผมอยากฟัง ก็ไม่อยากทำอะไรให้มันวุ่นวายยุ่งยาก
ผมเบนหัวมองวิวข้างทางที่ไหลผ่านไปช้าๆ ถึงแม้มันจะมืดมากเเละวิวก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่ให้สนใจ ผมนั่งอยู่บนรถเมืองเอกได้สักพักเเล้วครับ ไม่รู้เหมือนกันว่ากินข้าวที่เขาว่าเขาจะพาไปกินที่ไหน แต่ที่แน่ๆ ผมไม่น่าจะรู้จัก แล้วมันก็ค่อนข้างไกล จากเเถวๆ คอนโดหรือ ม. ของผม เขาขับรถออกนอกเมือง ไม่ใช่เข้าเมือง
...เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมถึง ค่อยดูกันอีกทีว่าจะเป็นร้านแบบไหน
...
“...สิบ”
อืม
“...สิบ”...เรียกเหรอ?
“.....อย่า”
อย่าเรียกพยางค์เดียว ไม่ชอบ...
“เดือนสิบ”“!”
ผมลืมตามองทันทีที่ตัวเองพอจะมีสติ ภาพตรงหน้าเป็นกระจกรถ พอหันไปก็เจอกับ
“เมืองเอก”
ผู้ชายที่นั่งบนเบาะคนขับ ดวงตาคู่นั้นจ้องผม พร้อมกับมือข้างซ้ายที่ยังยกค้างไว้อยู่
“ฮะๆ กูขอโทษที่ปลุกมึงแล้วกัน แค่จะบอกว่าถึงแล้ว”
คนตรงหน้าชักมือกลับไป หันหน้ากลับไปมองตรงๆ แล้วหัวเราะเบาๆ ไม่รู้มีอะไรให้น่าขำกัน อะ... หรือว่าผมจะเผลองัวเงียพูดอะไรออกไปตอนถูกปลุก? ไม่หรอกมั้ง ผมไม่ได้งัวเงียขนาดจะจำอะไรไม่ได้ แต่ว่าไอ้เรื่องที่ผมหลับบนรถคนอื่นนี่มัน... วันนี้นอนน้อยไปจริงๆ เหตุผลอื่นก็คงเป็นนั่งว่างๆ รถเปิดเพลงคลอๆ ไป แถมไม่ได้คุยอะไรเพราะเมืองเอกไม่ได้ชวนคุยอีก
ผมส่ายหัวไล่ความง่วง ล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงยีนส์ขึ้นมาดูเวลา ก็ยังโอเคที่ผมเองไม่ได้หลับไปนานขนาดนั้น พอเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์คนที่เคยนั่งประจำเบาะคนขับก็เปิดประตูลงจากรถไปเรียบร้อยแล้ว ผมถึงได้รีบเปิดประตูลงตามไปด้วย
พอลงจากรถได้ก็ถูกคนที่มาด้วยกันบอกให้เดินเข้าร้านเร็วๆ ดีกว่าเพราะว่าเจ้าตัวเริ่มหิว ผมก้าวตามขายาวๆ นั่นเดินออกจากลานจานรถกลางแจ้งนี่ตรงเข้าไปยังร้านอาหาร
พอลองดูทั้งร้านแล้วก็รอบๆ เป็นร้านอาหารติดถนนที่ค่อนข้างใหญ่มากๆ ครับ รถจอดเยอะมากๆ แต่แสงไฟในร้านน้อยไปหน่อย เน้นบรรยากาศมืดๆ แสงสลัวๆ เป็นร้านที่มองจากคนที่เคยมาครั้งแรกแบบผมคงตัดสินไปเองว่าเป็นร้านของพวกสายเที่ยวกลางคืนและนักดื่ม
ที่บอกจะพามากินข้าวเนี่ย ร้านแบบนี้เหรอ?
ผมมองแผ่นหลังของคนที่เดินนำ พอถึงหน้าทางเข้าที่มีชื่อร้านตกแต่งด้วยแสงไฟสีน้ำเงินวิบวับว่า BLUE ZEE พนักงานคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาพวกผม
“ยินดีต้อนรับครับ ไม่ทราบว่ามากี่ท่านครับ?”
“คิว A08 ที่จองเอาไว้”
เมืองเอกตอบเรียบๆ โดยผมก็ยังยืนฟังเงียบๆ เช่นกัน
“A08 คุณเมืองเอกสินะครับ เชิญทางนี้เลยครับ”
พนักงานเดินนำไป ผมกับเมืองเอกถึงได้เริ่มเดินกันอีกครั้ง เหมือนเมืองเอกจะชินกับที่นี่พอสมควรต่างจากผมที่กำลังมองนู่นมองนี่ไปเรื่อย ไม่ว่าจะเป็นการประดับตกแต่งร้านที่เน้นไปทางไฟสีน้ำเงิน ตัวร้านอาหารที่เป็นแบบทรงกลม ตรงกลางมีบ่อน้ำใหญ่กับน้ำพุประดับไฟ ผมมองตามมาเรื่อยๆ ผ่าน Floor ที่มีดีเจเปิดเพลงเสียงดัง กับพื้นที่ให้ขาแดนซ์ แล้วก็โซนบาร์ที่มีคนนั่งดื่มกันเงียบๆ เรียกได้ว่าครบทุกอย่างจริงๆ ร้านนี้ เดินมาจะได้เกือบรอบวงกลมของร้านพนักงานก็พาผมกับเมืองเอกเดินขึ้นมาบนชั้นลอย มานั่งที่โต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ริมระเบียง มองเห็นบาร์ด้านล่างกับบ่อน้ำ รวมทั้งวิวเกือบจะรอบร้าน เอ่อ... ที่นั่งตรงนี้จะดีไปแล้วแฮะ
“จะยกอาหารที่สั่งมาเสิร์ฟทันทีครับ กรุณารอสักครู่”
ว่าอย่างนั้นแล้วพนักงานคนนั้นก็เดินจากไป ทิ้งผมกับเมืองเอกที่เป็นแขกนั่งกันตามสบาย โดยมีพนักงานอีกชุดยกเครื่องดื่มมาให้ก่อน และเหมือนผมจะสังเกตอย่างอื่นมากไปหน่อย คนที่มาด้วยกันเลยเรียกขึ้นมา
“บรรยากาศดีอะดิ จริงๆ กูก็ตั้งใจเลือกไว้จะมากินกับรินนั่นแหละ”
ผมหันมอง ไอ้คนหน้าหล่อที่เริ่มหยิบน้ำขึ้นมาดูดหลังพูดจบ
ไอ้เรื่องนั้นผมก็รู้แล้วโว้ย ก็เพราะรินมาไม่ได้ก็เลยเป็นผมนี่ไง ใช่ไหมล่ะ!
ก็เก็บไว้ในใจ แต่เงียบมองหน้ามัน แล้วก็มองได้ไม่นานเพราะอาหารมาเสิร์ฟ ผมเลยจำต้องหันไปมองอาหารแทน โอ้โห ส่วนใหญ่เป็นของทะเล ดูท่า... จะแพง
“เอาแต่มองทำไมเล่า กินดิ หรือว่าไม่ชอบอาหารทะเล?”
“เปล่า”
“ก็ดีแล้ว แต่ถ้าไม่ชอบของทะเล เดี๋ยวมีพวกหมู ไก่ เนื้ออะไรด้วย สั่งได้อีก”
ผมส่ายหัวแค่นี้ก็เต็มโต๊ะ จนไม่มีที่จะวางแล้ว ไอ้ที่สั่งเพิ่มนี่ขอผ่าน แต่พอจะตักกินเมืองเอกก็ยกมือห้ามขึ้นมา ผมหันมองหน้า มองคนที่เมื่อกี้บอกให้กินแต่การกระทำตอนนี้มันตรงข้าม เมืองเอกฉีกยิ้มบางบนใบหน้าดูดีนั่น ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“โทษที ลืมเจิม”
ตอนแรกก็งงๆ ในประโยคคำพูดนั้น แต่การกระทำต่อมาถึงทำให้ผมเริ่มเข้าใจ เมืองเอกขยับมือซ้ายบ้างขวาบ้าง คงจะหามุมกับแสงสวยๆ ถ่ายรูปอาหาร วิถีคนดังมีคนตามเยอะก็งี้แหละครับ คงจะหารูปอัพลงโซเชียลบ้างอะไรบ้าง
ไม่นานเกินรอ เมืองเอกก็ให้สัญญาณว่ากินได้อีกครั้ง พร้อมกับที่ตัวเองจิ้มหอยเชลล์ย่างเนยตัวหนึ่งเข้าปาก ส่วนมือและตาก็มองไปยังหน้าจอสมาร์ทโฟน
เริ่มลงมือกินบ้างดีกว่า ผมตักหมึกไข่นึ่งมะนาวมากินหนึ่งคำ ระหว่างที่กำลังเคี้ยว คนตรงหน้าก็เอ่ยถามขึ้นมา
“เดือนสิบกูแท็กมึงได้ไหม?”
หือ?
“แท็กมึงในไอจี”
ไม่ว่าเปล่า เจ้าตัวหันจอโทรศัพท์ในมือมาหาผม ในจอเป็นรูปอาหาร และมีแขนผมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามติดมานิดหน่อย...
ผมเงียบ คิดอยู่พักใหญ่ก่อนส่ายหน้า
ถ้าแท็ก..เดี๋ยวก็เป็นข่าวขึ้นมาอีกหรอก ผมว่าอย่าเลยดีกว่า
“ขี้งกว่ะ มื้อนี้กูเลี้ยงแท้ๆ ขอค่าข้าวเป็นแท็กหน่อยก็ไม่ได้เหรอ?”
ผมขมวดคิ้วมองหน้าคนที่พูดทีเล่นทีจริง ในมือข้างหนึ่งของเมืองเอกยังถือโทรศัพท์ที่ขึ้นหน้าจอเดิมอยู่ ผมไม่ได้กำลังหงุดหงิดกับประโยคนั้นของเมืองเอก แค่ไม่เข้าใจว่าฝั่งนั้นพูดเล่นๆ หรือเอาจริงกันแน่
“เปล่า แต่ว่าข่าว...--”
“กูไม่ได้กลัวเป็นข่าว”
“....”
“กูไม่ได้อะไรที่คนอื่นจะจิ้นกูกับใคร”
มันไม่... แล้วผมล่ะ?
ผมส่ายหน้าช้าๆ อีกรอบ...
“กูเข้าใจแล้วเดือนสิบ แค่โพสเฉยๆ ไม่แท็กมึง โอเคใช่ไหม?”
ถ้าไม่ได้แท็กผม แล้วทำไมยังต้องถามอีกเล่า สิทธิ์ของเขาไม่ใช่เหรอวะ นอกจากคำพูดแล้วสิ่งที่ทำให้ผมสงสัยกว่าเดิมก็เพิ่มขึ้นเมื่อเมืองเอกยื่นโทรศัพท์ของตัวเองส่งมาให้ ตัวผมเองก็รับไปแบบงงๆ แต่ก็ยังก้มลงมองจอ
MuangAke มีคนเบี้ยวไม่มาตามนัดเลยพาคนอื่นมาแทน :-P
(แต่คนที่มาแทนไม่ยอมให้แท็ก :-| )…และโพสนี้ถูกโพสไปแล้ว
เมืองเอก!!..........
ผมกินข้าวเสร็จเช็คบิล ซึ่งในตอนแรกผมบอกว่าผมจะช่วยเขาออกค่าอาหารด้วย แบบหาร2อะไรทำนองนั้น แต่เมืองเอกก็ปฏิเสธลูกเดียวว่าไม่ต้อง เขาจะเลี้ยง แถมยังอธิบายเหตุผลซะยืดยาวจนทำให้ผมได้รู้ รู้ว่าเรื่องก่อนหน้าที่เมืองเอกไปสารภาพกับพี่เอสเหตุผลมันเป็นเพราะอะไร
“วันก่อนไปดื่มกับไอ้พี่ตอ... เอ่อ รุ่นพี่ที่คณะอ่ะ ก็ตามประสาเกมในวงเหล้า Truth or Dare กูโดนท้าให้ไปบอกชอบพี่เอส ตอนแรกก็กะว่าจะไม่ทำ คิดไปคิดมา... เสียดายเงินพนัน อ้อ พอดีลงเงินไว้ ไม่ทำก็เสีย ถ้าทำก็ได้เงินคนอื่นด้วย คิดไปคิดมาก็คุ้มดี”
คนเล่า เล่าไปอารมณ์ดีไป ก็ตามนั้นครับ รู้สึกว่าจะได้มาเยอะซะด้วย ผมก็เลยยอม ปล่อยให้เมืองเอกเลี้ยงไป แต่หลังจากเสร็จแทนที่จะได้กลับตามที่ผมคิดเอาไว้แต่ยังครับ ตอนนี้เรานั่งอยู่ที่บาร์ หรือจะเรียกว่าเคาน์เตอร์? เอาเป็นว่าตรงหน้าพวกผมมีบาร์เทนเดอร์ยืนเขย่าของเหลวอยู่
เมืองเอกบอกว่าจะขอดื่มสักหน่อยแต่..
“ไม่ดื่มนะ”
ผมพูดเบาๆ พาเอาคนที่กำลังหันไปสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์ชะงักกึก เมืองเอกหันมาทางผมแล้วเลิกคิ้ว
“คลีนเหรอ?”
ผมพยักหน้า
แปลกมากรึไงนะ...
“งั้นเปลี่ยนเป็นม็อกเทลแทนแล้วกันเนอะไม่มีแอลกอฮอล์”
เมืองเอกหันไปหาบาร์เทนเดอร์แล้วสั่งเครื่องดื่มตามที่เขาว่า แต่เป็นม็อกเทลแบบไหนผมก็ไม่รู้หรอก
“แก้วนี้กูเลี้ยงเอง ชิมดูดิ อร่อยนะ”
ผมมองแก้วม็อกเทลสีฟ้าสวยเข้ากับชื่อร้านและบรรยากาศสุดๆ ตรงหน้า แปลกใจที่เมืองเอกไม่ได้ดื้อดึงจะดื่มแต่กลับเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นม็อกเทลแบบง่ายสุดๆ แต่ก็ดีแล้วครับ ถ้าไม่มีแอลกอฮอล์ผมก็ไม่ได้ขัดอะไร
ลองดื่มดู..
“อร่อยไหม?”
เจ้าของเสียงที่เป็นคนสั่งน้ำแก้วนี้ให้ผมเองถาม สายตาและรอยยิ้มนั่นคาดหวังกับคำตอบสุดๆ
“อืม อร่อยดี”
เปรี้ยวๆ ซ่าๆ
หลังจากได้รับคำตอบที่น่าพอใจ เมืองเอกก็หันไปสั่งของตัวเองบ้าง
แต่ระหว่างที่กำลังดื่มกันเงียบๆ ผู้ชายข้างๆ ก็ลุกขึ้น จนผมต้องมองตาม
“จะกลับแล้วเหรอ?”
หรือจะไปเข้าห้องน้ำ? ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เห็นรีบลุกทั้งๆ ที่แก้วเมืองเอกก็ยังไม่หมดเลยสงสัย
คนที่ยืนอยู่หันไปมองทางด้านข้าง นิ่งๆ ดวงตาคมหรี่มองไปทางนั้นจนผมต้องเบนสายตามองตาม ทางนั้นไม่มีอะไรเป็นทางเดินเข้าบาร์ ถ้าจะให้คิดว่าเมืองเอกจะมองอะไรก็คงเป็น ผู้ชายคนหนึ่งรูปร่างค่อนข้างผอมที่กำลังเดินเข้ามา
“ไอ้แรป...”
คนรู้จักเหรอ?
ก่อนจะได้ถามอะไรเมืองเอกก็ทิ้งประโยคหนึ่งไว้แล้วเดินไปหาผู้ชายคนนั้นเรียบร้อยแล้ว
“นั่งไปก่อนนะ เดี๋ยวกูมาแป๊บหนึ่ง เจอเพื่อน”
ได้แต่มองตามคนที่ทิ้งผมไปถึงไหนต่อไหนเรียบร้อยแล้ว ไอ้แป๊บหนึ่งที่ว่าเนี่ย ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะนานแค่ไหน เหมือนคราวที่แล้วตอนที่เมืองเอกออกไปคุยโทรศัพท์กับรินเมื่อกลางวันหรือเปล่า... เอ่อ ไม่รู้สิครับ เดจาวูเหมือนกันนะ ไอ้คำว่าแป๊บหนึ่งเนี่ย
ผมนั่งดื่มเงียบๆ ของผมไปจนไอ้ม็อกเทลแก้วนี้หมด จริงๆ มันไม่ได้เยอะมากอะไรเท่าไหร่หรอกครับ ไอ้ผมจะสั่งเพิ่มก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร บอกบาร์เทนเดอร์ว่าเอาเหมือนเดิมจะได้ไหมนะ? หรือจะลองม็อกเทลรสอื่นดี?
“สวัสดีค่ะ มาคนเดียวเหรอคะ?”
เสียงแหลมของผู้หญิงเอ่ยทักขึ้นมา ผมหันหน้ามองตาม ผู้หญิงที่ผมคิดว่า... น่าจะอายุมากกว่าผมเดินเข้ามาใกล้กับเก้าอี้ผมมากขึ้นอีก ชุดเดรสสั้นสีแดงตัดกับผิวขาวที่เผยพ้นเสื้อผ้า ยอมรับเลยผู้หญิงคนนี้... สวย
“มากับเพื่อนครับ” ผมยิ้มบางๆ ส่งให้ ก่อนตอบคำถามก่อนหน้า
“อ้าวแล้วเพื่อนไปไหนแล้วล่ะคะ?”
ผู้หญิงตรงหน้ายกมือขึ้นเสยผมตรงยาวที่เลื่อนมาปรกหน้าขึ้น ลดหน้าต่ำลงเล็กน้อย ช้อนสายตามอง ผมหันไปมองทางโต๊ะที่เมืองเอกนั่งอยู่อีกครั้ง แน่นอนว่าเจ้านั่นยังเฮฮาปาร์ตี้อยู่ที่โต๊ะเพื่อน และนั่นก็แทนคำตอบที่เธอถาม
“อ้า... ถ้างั้นก็นั่งด้วยได้ใช่ไหมคะ?”
ดูเหมือนจะไม่กลับมาง่ายๆ นะคนนั้นอ่ะ ผมลอบถอนหายใจแล้วพูดเบาๆ
“เชิญครับ”
เธอยกยิ้มยั่วยวน มองออกง่ายจะตายจุดประสงค์แต่ผมก็ยังรับมือไม่ถูกอยู่ดี ก่อนที่เธอจะทิ้งตัวลงนั่ง ผมก็รู้สึกเหมือน... มีใครมายืนอยู่ด้านหลัง...
“ขอโทษนะครับ พอดีน้องคนนี้คนรู้จักผม ขอผมนั่งกับน้องเขาได้ไหม?”“เอ๊ะ?”
ผู้หญิงที่กำลังจะทิ้งตัวลงนั่งกลับต้องชะงัก เธอเงยหน้ามองผู้ชายที่อยู่ข้างหลังผมตาไม่กะพริบ
เสียงคนๆ นี้คุ้นหูมากๆ ผมหันไปมอง...
เจ้าของรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อดูดีของอดีตนายแบบ ควบตำแหน่งเดือนมหา’ลัยปีที่แล้ว
“พี่เอส?”-----------------------------------------------------
⚙ เมืองเอก พาร์ท ⚙
ผมละออกมาจากบาร์แล้วเดินไปหาคนที่ไม่คิดว่าจะมาเจอกันที่นี่ ตอนแรกที่เห็นก็คิดว่าแค่คนหน้าเหมือน แต่พอดูไปดูมา แม่งใช่เลย ไอ้แรปชัดๆ
“แรป! กูเอง”
ผมเดินตรงเข้าไป ก่อนจะเข้าใกล้ตัว ก็โบกมือเรียกให้เจ้าของชื่อหันมา
“อ้าว ไอ้เมืองเอกมึงมาตั้งแต่ตอนไหนวะ?”
ตอนแรกที่เห็นก็คิดว่ามันจงใจหรือเป็นเรื่องบังเอิญกันแน่ที่เจอมันอยู่ที่ร้านนี่ แต่เพราะประโยคที่มันถามพร้อมใบหน้างงๆ ของแรปทำให้ผมแน่ใจ มันคงยังไม่เห็นที่ผมโพสไอจี
“สักพักแล้ว”
“ทำไมตอนแรกกูเข้าร้านมาไม่เห็น?”
มันถามพร้อมทั้งจ้องหน้าผม ถ้าถามอย่างนี้แสดงว่ามันคงเข้าร้านมานานแล้วสินะ ไม่ใช่ว่าผมเพิ่งเห็นมันเดินเข้ามา เอ่อ เกือบลืมตอบคำถามแม่ง
“อ๋อ พอดีกูนั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ตรงนั้นว่ะ”
ผมชูนิ้วโป้งไปด้านหลังตัวเอง ไอ้แรปเลยมองตามทางที่ผมบอก ก่อนที่มันจะกะพริบตาสองสามทีแล้วเบิกตากว้าง
“นั่นมันเดือนสิบใช่ไหมวะ?”
มันชี้นิ้วไปทางนั้น ทางที่เดือนสิบมันนั่งอยู่
“ถูกต้อง”
ผมตอบด้วยความมั่นใจก่อนจะยกมือกอดอกมองหน้าที่... เอ่อ ผมอธิบายหน้าไอ้แรปตอนนี้ไม่ถูกว่ะครับ เหวอ?
“เหี้ย! ได้ไง!?”
“อย่างกูซะอย่าง ไม่พลาดๆ”
ผมอวยตัวเอง ซะจนรู้สึกว่าไอ้แรปอยากจะยกมือตีแสกหน้าผม แต่แน่นอนมันไม่กล้าทำหรอกครับ ดูจากความสูงผมก็ชนะขาดแล้ว สิ่งที่ทำได้ตอนนี้มันเลยเป็นทำปากยื่นปากยาวล้อผมแทน
“ตอนกลางวันเห็นข่าวว่าไปเดินห้างด้วยกัน ไอ้มึงก็บอกกูมาแล้วว่าจะไปหาของซ่อมคอมฯให้เดือนสิบ แต่ไม่เห็นยักรู้ว่าแพลนดินเนอร์กับแฟนสาวดาวคณะอักษรจะมาเปลี่ยนตัวเป็นมากับเดือนมหา’ลัยแทน.. เขาเรียกว่าขั้นอัพเดทเปล่าวะ จากดาวคณะ เป็นเดือนมหา’ลัย”
ดูมันพูด... ผมอยากจะเป็นฝ่ายยกเท้าแสกหน้ามันมากกว่าแล้วตอนนี้
“ช่วยไม่ได้นี่หว่า รินติดธุระมากับกูได้ซะที่ไหน”
“แล้วกูล่ะวะเพื่อน อยากเลี้ยงสาวแต่โดนเทก็เปลี่ยนมาเลี้ยงกูก็ได้นะ”
ผมมองไอ้แรปที่เดินขยับมาใกล้ๆ แล้วยกมือขึ้นคล้องคอ โว๊ะ ไอ้นี่ ตัวก็เตี้ยยังไม่เจียมอีก ผมปัดมือมันออกจากคอแล้วมองดูมันหัวเราะร่าที่ได้หยอกผมสำเร็จ
“ไปให้พี่โฟล์ค พี่รหัสมึงเลี้ยงมึงนู่น”
“ก็รายนั้นเลี้ยงกูจนล้มละลายแล้วไง”
“นี่มึง... แดกหรือสูบ”
“สูบบบบ~ ก็... เอากำไรคืนจากรับน้องไง ไม่เห็นแปลก ฮะๆ”
แรปมันหัวเราะ ผมรู้ว่าไอ้นี่มันร้าย นอกจากสกิลการปอกลอก มันอาจจะเล่นไสยศาสตร์มนต์ดำอะไรใส่พวกพี่ๆ หรือเปล่า ไม่รู้ทำไมทุกทริป ทุกเที่ยว ทุกดื่ม หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ทุกคืนไม่มีวันไหนที่ไอ้แรปมันจะไม่ไปเสนอหน้า ไม่ว่าจะกลุ่มพี่กลุ่มไหน ก็สามารถเจอมันลอยหน้าลอยตาอยู่ได้ตลอด เหมือนมันเคยกระซิบบอกว่าเที่ยวฟรีทุกมื้อด้วยครับ
เอ้อ จะว่าไปแล้ว พอพูดถึงพี่ๆ แกแล้วนึกขึ้นได้
“ว่าแต่มึงเหอะมาคนเดียวเหรอวะ?”
ผมถาม เพราะเห็นมันอยู่คนเดียว แต่ไม่น่า อย่างไอ้แรปไม่น่าได้มาคนเดียว
แล้วก็เป็นตามคาด มันยิ้มแป้นตอบ
“เปล่า กูมากับพวกพี่ตอ... นั่นไงพูดถึงก็มาเลย”
เหมือนจะตายยาก เพราะทันที่ที่เอ่ยชื่อ ไอ้พวกพี่แม่งก็เดินเข้ามาเป็นกลุ่มบอยแบนด์ ไม่สิ ต้องเรียกว่าแก๊งโจรจะเหมาะกว่าซะล่ะมั้ง...
ผมยิ้มแห้งหันขวับไปหา ตัวหัวโจก พี่ตอผู้กร้านโลก...
“พวกพี่สวัสดีครับ”
“อ้าว ไอ้เมืองเอก ก็ว่าไลน์ไปไม่ตอบที่แท้มารอร้านก่อนแล้วนี่เอง”
คำทักของพี่ตอทำผมสะดุ้ง ผมกวาดสายตามองหาเป้าหมายคนกลุ่มเพื่อนพี่เขา ไล่สแกนหน้าไปทีละคนๆ ส่วนใหญ่เป็นรุ่นพี่หน้าเดิมๆ ขาประจำ แต่วันนี้ที่มีมาเพิ่มเป็นปีหนึ่งกลุ่มที่ผมไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่มาด้วย แต่คนที่ผมหา ผมยังไม่เห็นว่ะ..
“เอ่อ พี่ตอ พี่โฟล์คมาเปล่าอะ?”
ผมถามซื่อเพราะไม่เห็นจริงๆ
“หึ๊ ไอ้โฟล์คเร๊อะ วันนี้ไม่มาหรอก”
เป็นคำตอบที่... เฮ้อ พาผมถอนหายใจโล่งอก ก็แล้วไป
“พี่กูมันมาไม่ได้หรอกมึง เพิ่งเสียไพ่ให้พี่ตอไปเมื่อกลางวัน”
แรปที่หัวเราะยิ้มเยาะอยู่ข้างๆ ราวกับสะใจที่พี่รหัสมันเสียไพ่จนหมดตัว...มาด้วยไม่ได้ แต่ก็ถือเป็นการดีกับผมมากกว่า ~
“เออ ถ้างั้นก็หายห่วง”
บทสนทนาควรจบกันตรงนั้น แล้วผมก็แยกย้ายกับพวกพี่ตอแล้วกลับไปหาเดือนสิบ แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นเมื่อถูกรุ่นพี่ชวน บอกให้ไปนั่งร่วมโต๊ะกันสักแป๊บดื่มอะไรนิดอะไรหน่อย ใจจริงผมรู้ ว่าพวกพี่แม่งอยากให้ผมเอาเงินที่ได้จากพนันมาเลี้ยงเหล้าพวกแกมากกว่า เพราะงั้นแม้แต่ไอ้แรปเลยเห็นดีเห็นงาม ลากผมเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะด้วย
สุดท้ายเลยมานั่งจ่อมที่โต๊ะของพวกรุ่นพี่ โดยมีไอ้แรปนั่งกวาดสายตาเลือกเมนูอยู่ข้างๆ ผมที่ยังไม่ลืมว่าตัวเองมากับใคร ตอนนี้นั่งจิ้มไลน์ส่งไปหาไอ้เดือนสิบ แต่จู่ๆ ก็มีแก้วน้ำเมายื่นมาให้ตรงหน้าผม เอ้อ นิดๆ หน่อยๆ ก็ได้วะ ผมหยิบแก้วนั้นขึ้นดื่มแล้วหันไปชวนไอ้เเรปที่ใจจดจ่อกับเมนูอาหารแต่มันยังสามารถแยกประสาทหูมาฟังและมาตอบคำถามผมได้
“เบศอะ?”
“กูชวนแล้วมันไม่มา บอกพรุ่งนี้มีเรียนเช้า BLUE ZEE มันไกล แล้วก็ไม่อยากดื่ม”
“เช้าก็เช้ากันหมด ขนาดมึงยังมาเลย”
ผมรอฟังคำตอบแล้วก้มลงมอง แรปมันปิดเมนู หันไปสั่งอาหารกับพนักงานแล้วค่อยกลับมาสนใจผม
“เรื่องแบบนี้กูเคยพลาดที่ไหน แต่วันนี้กูก็ว่าจะไม่ดื่มเหมือนกัน มากินอย่างเดียว อะ เอาไป”
เพื่อนผมมันว่างั้น พร้อมทั้งแก้วอีกแก้วหนึ่งที่ควรจะเป็นของมัน ส่งมาทางผม นี่เห็นกูเป็นอะไรเนี่ย? ผมส่ายหัว แต่ไม่อยากขัดศรัทธายกแก้วใหม่ขึ้นดื่ม ดวงตาเบนไปมองทางเคาน์เตอร์ที่ตัวผมเองเดินจากมา ไว้หมดแก้วนี่จะไปแล้ว
ดีกว่า... ว่าแต่เดี๋ยวนะ
ตึง!
ผมวางแก้วลงกระแทกโต๊ะเสียงดังจนแรปที่คุยกับรุ่นพี่เฮฮาในตอนแรกหันมามอง
“อะไรของมึง”
“นั่นมันไอ้มอร์เปล่าวะน่ะ?”
“ฮะ?”
“เพื่อนคณะเราไงเพื่อน ที่ประกาศว่าเป็นอะ”
แรปพูดในขณะที่สายตามันยังไม่ละจากทางนั้น ในมือก็ถือแก้วน้ำเป๊บซี่ซดซะเหมือนกำลังกระดกเบียร์... เสียอย่างเดียวแม่งเป๊บซี่อ่ะ ไม่ใช่น้ำเมา เอ่อ กลับมาเรื่องไอ้ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างเดือนสิบก่อน ตอนแรกผมยังจำชื่อกับหน้าและตัวตนของไอ้มอร์อะไรนั่นไม่ได้จนกระทั่งแรปมันเสริมอีกประโยค
“ถ้าจำไม่ผิด มันเคยจีบมึงแต่มึงไม่เล่นด้วยไม่ใช่เหรอ?”
เออ ความทรงจำแม่งเด้งกลับมาเลย ว่าแต่...
“แล้ว... มึงรู้ได้ไงวะ?”
เรื่องสมัยพระเจ้าเหา สมัยวันรับน้องใหม่ๆ
แรปมันกระตุกยิ้ม ตามสไตล์มันแล้วยกคิ้ว
“หน่วยข่าวกรองกูดี”
“เอาดีๆ”
“เบศบอกกูมาอีกที”
อ้อ
ผมหยิบแก้วตัวเองขึ้นมาดื่มอีกครั้งแล้วตั้งใจจะมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าเงียบๆ ถ้าไม่ติดที่... ไอ้แรปโวยวายขึ้นมา
“เมืองเอก มึงไม่คิดจะทำอะไรหน่อยเหรอวะ?”
ผมเบนหน้ามองคนข้างตัว
“ทำอะไร???”
“ง่าว ก็เห็นๆ อยู่ว่าไอ้มอร์แม่งเล็งเดือนสิบ มึงจะให้มันหิ้วเดือนสิบไปเหรอ”
“ก็ถ้าเดือนสิบมันอยากไปด้วย กูจะทำอะไรได้วะ ก็สิทธิ์ของมันไหม?”
“กูว่าไม่ใช่ มึงรับผิดชอบหน่อยเหอะ สภาพมันดูไม่ดีเลย”
หืม... เดี๋ยวนะ
“....”
“กูว่าเมาแล้วล้านเปอร์เซ็นต์”ผมลุกจากโต๊ะพรวดพราดจนคนทั้งโต๊ะหันมามอง แต่ผมไม่ได้สนใจ ก้าวขาฉับๆ เดินตรงเข้าไปหาคนที่เป็นบทสนทนาของผมกับไอ้แรปมาตั้งแต่เมื่อครู่ จริงอย่างที่แรปมันบอก สภาพเดือนสิบมันดูไม่ดีเลย ใบหน้าสีขาวนั่นแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด ตาใต้กรอบแว่นเป็นประกายวิบวับเพราะน้ำใสๆ ในดวงตา แต่เปลือกตากลับเหมือนจะปิดลงไปมากกว่าครึ่งแล้ว ริมฝีปากสีสดฉีกยิ้มหวานแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน แถมยังหอบหายใจหนัก...
เดือนสิบ... มันเมาแน่ๆ บอกเองว่าตัวมันไม่กินเหล้า แต่ที่เป็นขนาดนี้ได้จะเพราะใคร...
“มอร์”ผมเอ่ยเรียกผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างเดือนสิบ มันหันมาหาแล้วเลิกคิ้วเหมือนจะถามว่ามีอะไร
“กูมาพามันกลับ”
ผมที่ตอนนี้ยืนมองอยู่พูดอย่างใจเย็น แล้วเหมือนมอร์ก็จะใจเย็นเหมือนกัน ถึงได้ถามผมกลับ
“ทำไม?”
ทำไม... ทำไมอะไรของมึงวะ กูก็บอกอยู่ว่ากูจะพามันกลับ
ผมเล่นจ้องตากับผู้ชายที่หน้าค่อนข้างจะดีคนนี้ แต่ด้วยรอยยิ้มที่ยกเหยียดเหมือนจะเย้ยหยันนั่นทำผมหงุดหงิดหน่อยๆ แต่พยายามควบคุมสติอยู่...
“กูเป็นคนพามันมา กูก็ต้องพามันกลับ”
“ตอแหลเปล่าวะ? มึงกับเดือนสิบทะเลาะกันอยู่ไม่ใช่รึไง??”
“ข่าวเก่าแล้วไปดูมาใหม่”
ผมว่าเรียบๆ ตั้งใจจะเดินไปเข้าไปลากเดือนสิบออกมาแต่สิ่งที่มอร์มันทำกลับตรงกันข้ามกับที่ผมคาดเอาไว้ มือใหญ่
เลื่อนไปโอบรอบเอวเดือนสิบแล้วดึงให้ขยับเข้าใกล้ ในขณะที่คนถูกกระทำไม่ได้ขัดขืนอะไร นอกจากนั้นยังเอนหัวซบลงที่คอไอ้มอร์อีก
ริมฝีปากขยับขึ้นลง แต่เสียงที่ออกเป็นแค่เสียงครางอือๆ ในลำคอ...
“งั้นถามก่อนดิว่าเขาอยากกลับไหม”
ถามห่าอะไรวะ แม่งเมาขนาดนั้น
“มอร์ ไม่เอาอย่ายุ่ง นั่นเพื่อนใหม่กู”
ผมปรามมัน ในขณะที่มอร์ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด...
“เพื่อนใหม่มึง? แล้วทำไมกูจะยุ่งไม่ได้วะ เพื่อนไม่ใช่เมียมึงสักหน่อย”
“สัดมอร์เอามือออก!!”ผมตวาดลั่นจนคนแถวนั้นรวมทั้งบาร์เทนเดอร์หันมาสนใจ ผมจับข้อมือไอ้มอร์ที่กำลังล้วงเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตของเดือนสิบออก แล้วดึงให้เดือนสิบลุกขึ้นยืน ด้วยสภาพแบบนั้นไม่ง่ายที่จะยืนได้ด้วยตัวเอง ตอนนี้เดือนสิบเลยทำได้แค่ยืนซบโดยใช้ผมเป็นที่พึ่งพิง..
“หวงห่าไรวะ ของมึงก็ไม่ใช่”
ผมจ้องมันตาเขม็ง แม่งไม่สำนึก
พนักงานที่เห็นท่าไม่ดีเลยจะเดินเข้ามาเคลียร์สถานการณ์ พอดีเลย
“ไปหาคนใหม่ไป ไอ้แรปก็ได้”
“ไม่เอาหรอก ไม่สเป็คกูเลย”
สเป็คมึงต้องผู้ชายตัวเท่าควายแบบกูกับไอ้เดือนสิบใช่ไหมวะ ไอ้ชิบหาย!! พูดแล้วหงุดหงิดที่ผมก็เลือกจะเดินออกมา การต่อปากต่อคำผมจบแค่ตรงนั้น แต่ในระหว่างที่ผมกำลังจะส่งเดือนสิบให้พนักงานที่เข้ามาช่วยพยุงไปส่งก็สังเกตเห็น...
“มอร์...”“หึ อะไรของมึงอีก”
มันหัวเราะในลำคอแล้วเลิกคิ้วกวนใส่ผม
“ที่คอ” ผมถามเสียงเย็น ปราดสายตามองคนที่ยังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม
“กูไม่ได้ทำ”
คนถูกถามให้คำตอบแบบนั้นแต่มันก็ยากที่จะเชื่อ ผมกระตุกยิ้ม แล้วเดินออกไป
“กูก็ขอให้มันจริงอย่างที่มึงพูด”เพราะถ้าไอ้มอร์ไม่ได้ทำ แล้วรอยจูบเป็นจ้ำสีแดงที่ต้นคอเดือนสิบนี่ใครมันทำกันวะ...
รอยแดงตัดกับผิวขาวๆ ที่ต้นคอแบบเห็นได้ชัด
----------------------------TBC-------------------------
สวัสดีค่ะ ลงให้แล้วนะ ขอโทษที่สายด้วยค่ะ
ช่วงที่ห่างหายไปนาน ติดโปรเจคกับไฟนอลค่ะ อาทิตย์นี้ก็เริ่มสอบแล้ว ถ้าปิดเร็วๆ ก็คงจะดี~~
ขอบคุณทุกคอมเมนต์มากๆ นะคะ รักทุ๊กคนนนน <3
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า ~~
#วิศวะเดือนสิบ