สัมผัส{❤}ครั้งที่10
สถานการณ์ตรงหน้าทำให้คนพึ่งตื่นแบบผมถึงกับขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ...ความทรงจำก่อนจะหลับค่อยๆไหลเข้ามาเป็นฉากตั้งแต่เมื่อคืนที่นัดคู่หมั้นมากินอาหารพร้อมกับบอกถอนหมั้นหลังจากนั้นก็คุยโทรศัพท์กับพ่อและพอกลับมาดื่มไวน์ที่โต๊ะสติที่มีก็หายไปอย่างรวดเร็ว
แปลว่าในไวน์นั่นมียานอนหลับสินะ
ดูจากสภาพผมที่ถูกปลดเสื้อออกก็พอเดาได้แล้วว่าผู้หญิงข้างๆต้องการให้ทุกคนคิดว่าเรามีอะไรกันเพื่อจะได้ไม่ยกเลิกการหมั้น
เมื่อตื่นเต็มตาผมก็สามารถวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นฉากทั้งหมดเว้นแต่ร่างโปร่งในชุดยูกาตะสีน้ำเงินที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมนี่แหละ
คำพูดที่เหมือนกับคนอื่นมองเห็นตัวเองนั่นคืออะไร
แถมยังบอกว่าอะไรนะ...
“เธอบอกว่าเป็นอะไรกับตินนะ”คุณสมศักดิ์ มั่นมงคลหรือพ่อของอีฟถามแพนกลับราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
“ผมเป็นแฟนเขา”แพนตอบกลับก่อนจะหันมามองผมด้วยรอยยิ้ม
“แพน...”อะไร
ทำไมถึงคุยกับมนุษย์คนอื่นได้ล่ะ
“แฟน? ไม่จริงหรอกตินไม่มีทางมีแฟนหรอกแถม...คุณเป็นผู้ชายใช่ไหม”อีฟที่อยู่ข้างๆถามกลับพลางหรี่ตามองแพนอย่างไม่แน่ใจ
ดูท่าการที่ทุกคนเห็นแพนจะเป็นความจริงสินะ
แต่ทำไมถึงทำแบบนั้นกัน ถ้าจำไม่ผิดเคยพูดไว้นี่ว่าไม่ชอบให้มนุษย์เห็นตัวน่ะ
“ผู้ชายสิ...หล่อขนาดนี้เธอจะมองว่าเป็นผู้หญิงรึไง”เมื่อถูกสวนกลับคนข้างผมทำหน้าเอ๋อแทบจะทันที
แพนไม่ชอบให้ใครมาบอกว่าตัวเองเหมือนผู้หญิง
ยิ่งคำว่าน่ารักหรือสวยยิ่งแล้วใหญ่
บางทีอาจถึงเวลาต้องพูดให้ชัดเจนแล้วก็ได้ว่าหน้าตาแบบนั้นมันไม่ได้เรียกว่าหล่อ...ถ้าแค่ดูดีก็จะไม่เถียงเลยเพราะว่ามันจริงแต่เป็นการดูดีแบบกล้ำกึ่งระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง เรียกว่าถ้าเป็นผู้ชายก็เป็นผู้ชายแนวน่ารักที่ผู้หญิงหลายคนชอบแต่ถ้าเป็นผู้หญิงคงเป็นผู้หญิงห้าวๆในสเปคของชายหลายๆคนเช่นกัน แถมเส้นผมสีเขียวเข้มยาวๆนั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายดูเหมือนผู้หญิงมากเข้าไปใหญ่
“...ตินเขาไม่ได้ชอบผู้ชาย”สาวข้างผมพยายามเปล่งเสียงออกไปทั้งที่กำลังตกใจ
“เธอรู้ได้ยังไง...ลองถามน้องตินดูสิว่าพี่ตัวเองชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย”แพนบอกพร้อมกับมองไปทางคินที่ยังจ้องไปที่ตัวเองโดยไม่ละสายตาออกมา
“คิน...ไม่จริงใช่ไหมที่ตินชอบ...”เธอพูดพลางมองไปยังแพน
“เอ่อ...ก็ไม่อยากบอกหรอกนะแต่ว่าเป็นความจริง”คินตอบเสียงเบา
เจ้าของหัวข้อสนทนาอย่างผมได้ยกมือขึ้นเสยผมสีดำให้ไปด้านหลังอย่างเอือมๆที่ถูกทั้งน้องชายมองว่าชอบผู้ชายแถมยังถูกแพนตีบทแฟนอีก...
เอาเข้าไปสิ
“เห็นไหมล่ะ...ผมกับตินน่ะนะ...รักกันสุดๆเลย”แพนพูดจบก็หันหลังเดินมายังเตียงก่อนจะขึ้นมานั่งบนตักผมเหมือนอย่างที่ทำแทบทุกครั้งตอนเวลาตื่นนอน เพียงแต่ครั้งนี้น้ำหนักที่ไม่เคยสัมผัสได้กลับรู้สึกอย่างชัดเจน ฝ่ามืออุ่นๆเองก็เอื้อมมาลูบใบหน้าผมเหมือนอย่างทุกทีผมเลยไม่ได้หลีกหนีอะไร
การกระทำนี้ทำให้ทุกคนที่มองไม่เว้นแม้แต่บอดี้การ์ดคนสนิทเบิกตากว้าง ใครที่รู้จักผมก็ต่างรู้กันว่าการสัมผัสร่างกายนั้นเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบมากที่สุด อย่างอาทิตย์ก่อนที่โดนคินทั้งกระโดดกอดและหอมแก้มก็ทำเอาเกือบถีบตอบเหมือนกัน...
แต่กับแพนมันเป็นข้อยกเว้นที่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไม
สัมผัสของฝ่ามืออุ่นที่ลูบทั้งเส้นผมและใบหน้าทำให้ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
ยิ่งตอนที่ถูกริมฝีปากชมพูๆนั่นหอมเบาๆที่แก้มผมก็ไม่ได้รังเกียจอย่างที่เป็นกับคนอื่นๆ
จริงอยู่ที่ผมเป็นลูกครึ่งการทักทายด้วยการถึงตัวถือเป็นเรื่องปกติ ทุกครั้งที่มีการไปต่างประเทศผมก็ยอมทักทายตามแบบต่างชาติแม้จะไม่ชอบก็ตาม ทุกอย่างมันเป็นธุรกิจ
“ติน...ไว้ผมจะอธิบายให้ฟัง...ช่วยเนียนกอดเอวผมสักหน่อยสิ”เสียงกระซิบเบาๆดังขึ้นให้ได้ยินกันสองคน
ถึงไม่อธิบายผมก็พอจะเข้าใจแล้ว...
เขาทำเพื่อผม
เพื่อไม่ให้ผมต้องถูกจับแต่งงานทั้งที่ไม่อยากหรือเพื่อไม่ให้ผมทะเลาะกับน้องชายตัวเองด้วยเรื่องของผู้หญิง
ถูกช่วยไว้ตลอดสิน่า
เขาช่วยผมถึงขนาดนี้แล้ว...
ผมก็ควรจะตามน้ำไปก่อนสินะ
“...หนักขึ้นรึเปล่าแพน”ผมพูดเสียงอ่อนโยนก่อนจะยกมือขึ้นกอดเอวคนบนตักไว้หลวมๆเพื่อให้ทุกคนเชื่อเรื่องที่เราเป็นแฟนกัน
“หนักขึ้นเพราะตินชอบพาไปเลี้ยงของอร่อยนั่นแหละ”แพนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“หึ...”ตอบได้ดีนี่
“เอ่อ...อย่าพึ่งเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวสิครับ”คินพูดเสียงเบาด้วยใบหน้าที่เริ่มแดงเล็กน้อย
“ก็อย่างที่ว่าไป...ผมชอบเขาเพราะงั้นไม่มีทางมีอะไรกับลูกสาวคุณได้หรอก”ผมบอกให้คุณสมศักดิ์ฟัง
“เรื่องนี้หมายความว่าไงอีฟ”ผู้เป็นพ่อหันไปถามลูกสาวตัวเองอย่างเคืองๆ
“เอ่อ...หนู...หนูขอโทษค่ะ...หนูผิดเองที่ใส่ยานอนหลับในแก้วไวน์ให้ตินดื่ม”สุดท้ายเธอก็สารภาพออกมาจนหมด
“ว่าไงนะ...เป็นผู้หญิงกล้าทำแบบนี้ได้ยังไง”
“ก็หนูรักตินนี่คะ...หนูไม่อยากเลิกกับเขา...ฮึก...แต่ถ้าตินเขาไม่ได้ชอบผู้หญิง...อึก...หนูก็คงไม่ดึงดันต่อไปหรอกค่ะ”เธอพูดพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
“...เฮ้อ...ขอโทษด้วยที่ลูกสาวฉันทำเรื่องน่าอับอายแบบนี้”คุณสมศักดิ์หันมาบอกด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด
“ไม่เป็นไรครับ”
“ถ้าเป็นไปได้เรื่องนี้ก็ช่วย...”
“ไม่ต้องห่วงครับจะไม่มีใครรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้แน่นอน”ผมตอบรับเมื่อรู้ความหมายถึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ
“ขอบคุณมาก...ไว้ฉันจะไปคุยกับพ่อเธอให้เอง...ไปแต่งตัวได้แล้วอีฟ”พูดเสร็จก็หันไปบอกลูกสาวที่นั่งยกมือสองข้างขึ้นปิดหน้าแล้วร้องไห้เสียงสะอื้น
“ตินก็ใส่เสื้อได้แล้วมั้ง”แพนบอกก่อนจะก้มลงไปหยิบเสื้อที่ตกพื้นส่งมาให้
“จะใส่ให้”ผมลองถาม
“อยากให้ใส่ให้?”อีกฝ่ายย้อนพร้อมยกยิ้มขึ้น
“หึ...เอามา”ผมคว้าเสื้อในมือแพนมาใส่อย่างลวกๆก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงโดยมีแฟนหมาดๆอย่างแพนยืนอยู่ข้างๆ
“พี่...”
“ไปคุยกันที่ห้องอื่นเถอะ”ผมรีบบอก คุยกันที่นี่ไม่สะดวกเท่าไหร่ยิ่งถ้าเป็นเรื่องของฝ่ายหญิงที่กำลังไปแต่งตัวนี่ด้วยยิ่งไม่เหมาะเข้าไปใหญ่
“ก็ได้ครับ”
“กาย”ผมเรียกหนึ่งในบอดี้การ์ดคนสนิท
“ครับคุณติน”
“ไปจองห้อง2905ต่ออีกวัน”
“ได้ครับ”
“เสร็จแล้วตามเข้าไปในห้องด้วย”ผมสั่ง
“ครับ”
จากนั้นพวกเราก็เปลี่ยนสถานที่มาเป็นห้องพักหรูในชั้นที่29ห้อง2905ที่ถูกจองไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแต่ยังไม่ได้เข้าไปดูภายในเลย โรงแรมระดับนี้ค่าห้องแต่ละคืนถือว่าสูงมากแต่สำหรับผมก็ถือว่าเฉยๆไม่ได้เรียกว่าแพงอะไรนัก
เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาสักนิด
“เอ่อ...พี่ครับ”ทันทีที่นั่งลงบนโซฟาหรูในห้องคินก็เริ่มบทสนทนาทันที
“แกเชื่อไหมว่าฉันไม่ได้มีอะไรกับอาริศา”ผมถามไปตรงๆ
“เชื่อสิครับ...ก็พี่มี...เอ่อ...แฟนอยู่แล้วนี่”ระหว่างพูดคินก็เหล่ไปมองแพนที่นั่งอยู่ข้างผม
“ก็ดี”ถือว่าจบไปเรื่องนึงโดยไม่ต้องทะเลาะกัน
“ถ้ายังไงแนะนำแฟนพี่ให้ผมรู้จักหน่อยสิ”
“อยากรู้จักก็ทำเองสิ”ผมตอบพลางปรายตาไปหาแพนให้อีกฝ่ายจัดการเรื่องต่อจากนี้เอง
ถึงผมจะรู้สึกขอบคุณที่ช่วยแต่การแนะนำให้เจ้าตัวทำจะเป็นผลดีที่สุด...ขืนผมแนะนำแล้วพูดอะไรไม่จริงออกไปจะแย่เอาในภายหลังได้
“ก็ได้ครับพี่...ผมชื่อคินนะเป็นน้องชายพี่ติน...ยินดีที่รู้จักครับ”คินแนะนำตัวเองอย่างมีมารยาทพร้อมกับยื่นมือไปทักทายอีกฝ่าย
“ผมชื่อแพน...ยินดีที่รู้จักนะคิน”แพนตอบแล้วเอื้อมมือไปจับด้วยรอยยิ้มที่ทำเอาน้อยชายผมถึงกับหน้าขึ้นสีเล็กน้อย
“...แพน”ผมเรียกคนข้างกายเสียงเหี้ยม
ไอ้รอยยิ้มที่ยินดีรู้จักซะเต็มประดานั่นคืออะไร
ไหนบอกว่าไม่ชอบมนุษย์ไง
แล้วทำไมผมถึงรู้สึกหงุดหงิดแบบนี้กัน
“อะไรเหรอติน”ใบหน้าขาวหันมาตามเรียกทันทีแถมยังเอียงคอเล็กๆเป็นการถามอีกด้วย
“เปล่านี่”
“ก็เรียกอยู่เห็นๆแล้วจะบอกว่าไม่มีอะไรได้ยังไง”คิ้วบางๆนั่นขมวดเข้าหากันแน่นอย่างไม่เข้าใจ
ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันแหละน่า
“คุณแพนครับ...คือมีเรื่องอยากถามเยอะแยะเลยได้รึเปล่า”คินพูดแทรกบทสนทนาด้วยเสียงอ่อนๆ
“ถามผมเหรอ...ลองว่ามาสิ”แพนเลิกสนใจผมแล้วหันไปคุยกับคินแทน
“คุณเป็นคนต่างชาติสินะ”คำถามแรกดูจะเป็นสิ่งที่คินคาใจมากที่สุดซึ่งถ้าผมเป็นคินก็คงถามคำถามเดียวกันแน่
ใบหน้าเรียวขาวนวลกับดวงตาสีเขียวอ่อนนั่นอาจไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับประเทศไทยเพราะมีลูกครึ่งอยู่เยอะแต่กับเส้นผมสีเขียวเข้มนั่นดูยังไงก็แปลกตาไม่ใช่แค่กับประเทศนี้แต่แปลกตากับทุกประเทศแหละถ้าไม่ใช่สีผมที่ย้อมขึ้น
จากที่ทำธุรกิจมานานหลายสิบปีผมไม่เคยเห็นมนุษย์คนไหนที่มีเส้นผมสีนี้มาก่อนเลย
“อืม...จะว่างั้นก็ถูก”
“หรือคุณเป็นลูกครึ่ง?”
“ใช่ๆ...ผมเป็นลูกครึ่ง”แพนพยักหน้าส่งไปให้
“ลูกครึ่งอะไรเหรอ”คินยังคงถาม
“ก็...ญี่ปุ่น...ฝรั่งเศส...เกาหลี...อเมริกา...จะ...”
“แค่นั้นแหละ...เขาเป็นลูกเสี้ยว”ผมรีบพูดขัดก่อนที่ชื่อประเทศจะออกมาจากปากสีชมพูนั่นมากกว่านี้
คนอะไรมีเชื้อสายต่างชาติขนาดนั้นแถมไม่มีประเทศไทยแล้วพูดภาษไทยได้ยังไง
ผมน่าจะลากแพนเข้าไปทำความเข้าใจก่อนให้แนะนำตัวจริงๆ
“อ้อ...แล้วคุณพูดภาษาไทยได้ยังไง”นั่นไง...คำถามที่ผมสงสัยก็ดังออกมาจากปากน้องชายตัวเองจนได้
คินเป็นพวกขี้สงสัย...ถ้ามีอะไรคาใจก็ถามไม่หยุดจนบางครั้งก็น่ารำคาญ
“...ตินสอนน่ะ”
“...”คำโกหกนั่นทำให้ผมหันไปมองหน้าคนข้างกายอย่างเคืองๆ
เล่นโยนมาให้กันแบบนี้เลยเหรอ
“โห...สุดยอดเลยพี่...แต่พูดคล่องเลยนะแบบนี้ต้องสอนมาหลายปีแล้วแน่เลย”คำถามนั่นดูยังไงก็หลอกถามเวลาที่ผมคบกับแพนชัด
“...ก็นานอยู่...เนอะติน”
“อืม”เนอะอะไรเล่า...ผูกเองก็แก้เองสิ
ผมส่งสายตาไปบอกแบบนั้นแต่ดวงตาสีเขียวอ่อนที่เบนมาสบหรี่ลงอย่างขอความช่วยเหลือจนผมได้แต่ถอนหายใจออกมา
“ฉันเจอเขาตอนไปประเทศอเมริกาเมื่อ4ปีก่อน”สุดท้ายการโกหกนี่ก็ยืดยาวต่อไป
“อ้อ...ช่วงที่พี่บอกว่าอยากออกไปเปิดหูเปิดตาโดยไม่มีบอดี้การ์ดนี่...แปลว่าพอเจอกันก็ถูกใจแต่แรกเห็นเลยสินะ”คินสรุปง่ายๆ
“หึ...คนที่ถูกใจแต่แรกเห็นไม่ใช่ฉันสักหน่อย”ผมบอกพลางยักคิ้วให้แพนที่สะดุ้งตัวอยู่ข้าง
ผลัดกันตอบละกันแพน
“แปลว่าคุณเข้ามาจีบพี่ชายผมก่อนเหรอ”คินหันไปถามอย่างสนใจ
“...ก็อย่างที่ตินพูดแหละ”
“ทำไมถึงชอบพี่ผมล่ะ”
“...”คำถามนี้เรียกให้ผมหันไปมองหน้าแพนเหมือนกัน
ทำไมถึงชอบเหรอ อยากรู้เหมือนกันว่าจะตอบไปยังไงเพราะความจริงเขาไม่ได้ชอบผมสักหน่อย
“ตอบอยากนะ...ตอนแรกผมก็ไม่ได้รู้สึกสนใจตินหรอกแต่พอเห็นดวงตาสีฟ้าที่ทอประกายอย่างกล้าหาญนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกว่าคนคนนี้ต่างจากทุกคนที่เคยเจอมาในชีวิต ตินทำให้ผมรู้สึกว่าไม่เสียดายเวลาของตัวเองเลยที่จะมอบให้กับเขานับแต่ที่ได้เจอกัน”ทั้งน้ำเสียงที่พูด ทั้งแววตาที่หันมาสบผม ทั้งรอยยิ้มบางๆที่ยกขึ้น ทุกอย่างมันล้วนเป็นความจริงไม่ใช่เรื่องโกหกอย่างแน่นอน...หัวใจที่สงบนิ่งอยู่จนถึงเมื่อครู่เต้นแรงขึ้นมาเล็กน้อย...
นี่คือความรู้สึกตอนที่เขาช่วยผมตอนที่ถูกยิงทะลุหัวใจสินะ
ช่วงเวลาที่ต้องอยู่ด้วยกันไปจนหมดอายุไขไม่ใช่เวลาน้อยๆเลย
ถ้าวันนั้นแพนเลือกที่จะไม่ช่วยผมก็คงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ คงไม่ได้มีโอกาสได้รู้ว่าสิ่งที่เป็นแค่ความเชื่อจะมีอยู่จริงในยุคนี้
“...สุดยอดเลย...แบบนั้นเขาเรียกว่ารักแรกพบ”คินพูดขึ้นหลังจากอึ้งไปนาน
“รัก...แรกพบ?”แพนทวนสิ่งที่คินบอกเสียงเบาก่อนที่ใบหน้าขาวจะแดงขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสีเขียวอ่อนหันมามองหน้าผมก่อนจะอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็เงียบไป
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณคินครับ”เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่ร่างของบอดี้การ์คนสนิทของผมจะเดินเข้ามา
“พี่กาย...พี่จิม...มาก็ดีเลยตอนนี้กำลังถามเรื่องความรักระหว่างพี่กับคนรักพอดีเลย...นี่พี่กายเคยเห็นเขามาก่อนสินะ”คินหันไปถามกายและจิมที่เดินเข้ามายืนหลังโซฟา
“...คิดว่าไม่เคยเห็นนะครับ”กายมองหน้าแพนสักพักก่อนจะตอบไปตามความจริง
ก็ไม่แปลกที่บอกว่าไม่เคยเห็น
จะเห็นก็คงแปลกล่ะ
“นี่พี่พาเขามานี่โดยที่พวกพี่กายไม่รู้ได้ยังไงน่ะ”คินหันมาถามอย่างสนใจ
“...”เอาล่ะสิ...จะตอบยังไงดีนะ
การที่พามาโดยที่กายและจิมไม่เคยเห็นไม่มีทางเป็นไปได้เพราะทั้งคู่ต่างอารักขาผมอยู่เกือบ24ชั่วโมง เรียกว่าทุกคนที่เข้าใกล้ทั้งคู่ต้องคุ้นหน้าบ้าง
“ตินไม่ได้พาผมมาหรอก”เสียงนุ่มๆด้านข้างตอบแทน
“หมายความว่า...”
“ผมพึ่งบนมาจากญี่ปุ่นเมื่ออาทิตย์ก่อนเอง”
“อ้อ...คุณเลยใส่ชุดยูกาตะนี่เอง”คินพยักหน้าเล็กน้อย
“ใช่ๆ...แล้ววันนั้นคินมาที่ห้องตินใช่ไหมล่ะ”
“ใช่...แต่ผมหาคุณไม่เจอเลยนะ”คินพูดพร้อมขมวดคิ้ว
หาเจอก็แปลกล่ะ
“ที่หาไม่เจอเพราะตอนที่พวกคุณเข้ามาผมออกไปซื้อของข้างนอกพอดี...พอดีวัตถุดิบในซุปที่จะทำให้ตินทานขาดไปแต่พอขึ้นมาแล้วเห็นว่าในห้องเสียงดังผมเลยรีบกลับไปเพราะไม่อยากให้ความสัมพันธ์กับตินแตก”แพนตอบพลางทำหน้าเศร้าก่อนจะก้มหน้าลงจนเส้นผมสีเขียวเข้มนั้นปิดใบหน้าไว้หมดจึงไม่มีใครเห็นรอยยิ้มที่ยกขึ้นเหมือนอย่างที่ผมเห็น
“...”ผมล่ะอยากจะชูนิ้วโป้งให้เขาจริงๆ
เล่นใหญ่ขนาดนี้...ทุ่มเกินไปมั้ง
“อย่างเมื่อคืนตินก็นัดให้ผมไปหาที่ห้องแต่เพราะรอนานแล้วแต่ตินไม่มาสักทีผมเลยขึ้นไปหาเขาที่ภัตตาคารด้านบนจนได้รู้ว่าตอนถูกผู้หญิงคนนึงพาไป”แพนยังคงอธิบายทั้งที่ก้มหน้า
“...ก็ว่าอยู่ปกติคุณตินไม่ชอบนอนข้างนอก...นัดเจอกันนี่เอง”จิมหันไปกระซิบกับกายเสียงเบา
แพนนี่เรียกว่าหัวดีในการประติดประต่อเรื่องราวสินะ ที่ผมจองห้องไว้ก็เพราะเห็นว่าแพนอยู่แต่ในห้องกับที่ห้างมาหลายอาทิตย์ติดผมเลยอยากให้เขาเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ไม่คิดว่าการกระทำของตัวเองจะทำให้อีกฝ่ายสร้างเรื่องได้ขนาดนี้
“แล้วเข้าไปในห้องได้ยังไงเหรอ”คินถามต่อ คำถามนั้นดูจะยากพอดูเพราะคนถูกถามถึงกับนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะหันหน้ามาหาผมเป็นเชิงขอความช่วยเหลือ
“ประตูห้องไม่ได้ล๊อค”ผมเอ่ยไปประโยคเดียวแพนก็ยิ้มกว้างออกมาเหมือนรู้แล้วว่าจะตอบไปยังไง
“ใช่ๆ...ประตูห้องไม่ได้ล๊อคผมเลยแอบเข้าไปได้”
“เรื่องเป็นแบบนี้เองสินะ...คุณแพนคงรักตินมากเลยใช่ไหมถึงได้ยอมเฝ้าอยู่ถึงเช้าแบบนั้น”
“ไม่ได้รักหรอก...”
“...”คนทั้งห้องขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำพูดนั่นไม่เว้นแม้แต่ผม
“ไม่ได้รัก...แต่รักที่สุดต่างหาก”ใบหน้าขาวพูดอีกรอบพร้อมกับเอียงหัวมาหนุนไหล่ผม
“โอ้วว...สุดยอด...พี่ครับ...พี่ห้ามปล่อยคนที่รักพี่ขนาดนี้เด็ดขาดเลยนะ...เดี๋ยวผมจะไปคุยกับพ่อให้เอง”ประโยคสุดท้ายทำให้ผมนึกได้ว่ามีเรื่องต้องคุยกับน้อยชายร่วมสายเลือดอยู่นี่นา
“แกบอกพ่อไปแล้วไม่ใช่รึไง”เมื่อคืนตอนที่คุยโทรศัพท์พ่อก็ถามขึ้นมาว่าชอบผู้ชายเหรอแค่ได้ยินก็รู้ได้ทันทีว่าใครเป็นคนไปบอก
“ใช่ผมบอกแล้ว...แต่จะไปบอกอีกว่าแฟนพี่นิสัยดีมากแถมยังดูดีด้วย”คินมองแพนที่ยังคงหนุนไหล่ผมด้วยรอยยิ้มเหมือนยอมรับคนคนนี้แล้ว
“ไม่ต้อง”ผมรีบขัด
“แปลว่าพี่จะบอกเองสินะ”
“อะไรที่ทำให้คิดแบบนั้น”
“แหมๆ...ผมเข้าใจน่าเวลามีคนที่จริงจังด้วยก็อยากบอกด้วยตัวเองทั้งนั้นแหละ...รู้สึกว่าไม่กี่เดือนข้างหน้าพ่อกับแม่จะกลับมานี่ เดี๋ยวผมนัดให้ละกัน”
“...จะทำอะไรก็ทำไป”ถ้าปฏิเสธก็รู้เลยว่าเรื่องต้องถึงพ่อแม่ภายในวันนี้แน่นอน
อย่างน้อยถ้ายืดเวลาออกไปแล้วบอกว่าแพนกลับไปต่างประเทศแล้วก็ได้
“คนนี้ตัวจริงสำหรับพี่จริงๆด้วย...แล้วคุณจะอยู่ถึงเมื่อไหร่เหรอ”
“หื้อ?...ผมกะจะอยู่กับตินตลอดชีวิตแหละ”
“แพน”ผมหันไปเรียกอีกฝ่ายเสียงเข้มทันที อุตส่าห์คิดไว้แล้วว่าจะปฏิเสธยังไงเล่นบอกแบบนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้สิ
“อะไร...นี่ตินคิดจะให้ผมกลับไปอยู่คนเดียวเหมือนตอนที่คุณจากมาเมื่อ4ปีก่อนอีกเหรอ”น้ำเสียงเศร้าและน้ำตาที่เริ่มไหลนั่นทำให้คนอื่นนอกจากผมส่งสายตามาเหมือนผมทำผิดซะเต็มประดา
น้ำตานั่นปลอมชัดๆ
“นี่พี่ทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวมาตั้ง4ปีโดยไม่ไปหาเลยเหรอ...พี่ทำไม่ถูกนะ...รู้ไหมว่าการรอคอยมันเหงาและรู้สึกแย่ขนาดไหน...พี่ไม่...”
“รู้แล้วๆ...เข้าใจแล้ว...ฉันขอโทษ...พอใจไหม”ผมกัดฟันหันไปบอกคนที่กลั้นหัวเราะอยู่ด้านข้างด้วยความหงุดหงิดที่มากขึ้นเรื่อยๆ
“พี่อย่าประชดแบบนั้นสิ”คินพูดต่อ
“ไม่ได้ประชด...จบเรื่องก็กลับไปได้แล้ว”ผมมีเรื่องต้องเคลียร์อีกเยอะ
“โหย...ไล่กันตลอด...ไปก็ได้”คินพูดก่อนจะลุกขึ้น
“คิน”ผมเรียก
“หื้อ?”
“เรื่องอาริศา...รอสักพักค่อยไปคุยเถอะ”ผมบอกอย่างห่วงๆ
“ผมรู้น่า...ผมจีบหญิงเก่งกว่าพี่อีกนะ”น้องชายหันมาส่งยิ้มให้ก่อนจะโบกมือลาแล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมเหล่าบอดี้การ์ด
ไม่รู้ว่าคินจะสานสัมพันธ์กับอาริศาได้ไหมเพราะดูเธอจะชอบผมมากเอาการอยู่
“คุณตินครับ”
“มีอะไร”ผมถามกาย
“เอ่อ...”สายตาของกายที่มองมายังแพนทำให้ผมเข้าใจได้ทันทีว่าต้องการอะไร
“เขาจะมาอยู่กับฉัน...คอยดูแลด้วยล่ะ”ผมสรุปง่ายๆ
ไหนๆเรื่องมันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว...ให้แพนอยู่ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งก็ดีเหมือนกัน
“ครับ...สวัสดีครับคุณแพนผมชื่อกายและคนที่ยืนข้างๆผมคือจิม...ยินดีที่ได้รู้จักครับ”ประโยคสุดท้ายบอดี้การ์ดทั้งสองคนพูดขึ้นพร้อมกัน
“ผมชื่อแพน...ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะกาย จิม”แพนเองก็ทักทายอย่างเป็นกันเอง
“เอาล่ะ...กลับห้องได้แล้ว”ผมลุกขึ้นปล่อยให้คนที่พิงไหล่หงายตกไปบนโซฟานิ่มทั้งๆแบบนั้น
“ลุกไม่บอกกันเลยนะ”คนที่หัวกระแทกเบาะพยุงตัวขึ้นนั่งก่อนจะพูดเสียงเคือง
“แค่นี้น่าจะรู้นี่”
“ไม่รู้หรอก...ปล่อยแฟนหัวทิ่มแบบนี้ได้ไง”
“อย่างอนเลย...ไปได้แล้ว”ถ้าไม่ติดที่บอดี้การ์ดสองคนมองอยู่ผมคงทิ้งให้แพนนอนอยู่แบบนั้นไปแล้วแต่พอบอกว่าเป็นแฟนกันผมก็ได้แต่ต้องยื่นมือไปให้จับ
แพนที่เห็นผมยื่นมือไปให้ก็ยิ้มกว้างก่อนจะจับมือที่ยื่นไปลุกขึ้น
(มีต่อค่ะ)