บทที่2 ครั้งที่ 3
“ไปไหนมา!!ปล่อยให้รอตั้งนาน”ประดุจเมียนั่งรอสามีที่กลับบ้านดึก ร่างเล็กสูงไม่ถึง 170ซม.ยืนเท้าเอวจังก้าปั้นหน้าโหดผิดกับเวลาปกติไปโขอยู่หน้าคอนโดสูงตระหง่าน
นายอินยกมือสองข้างยอมแพ้สวมบทบาทกลัวเมียอย่างรวดเร็ว ใครเล่าจะไปตรัสรู้ว่าดีดีผู้แสนดีจะโคตรดีตามชื่อลงมายืนรอหน้าคอนโดเพราะเขาบอกว่าจะมาอยู่ด้วยเลยเดี๋ยวนี้ ซึ่งไอ้คำว่าเดี๋ยวนี้ที่ว่ามันถูกสกัดตั้งแต่หน้าร้านข้าวมั่นไก่เลยเถิดไปเป็นชั่วโมง
“ไปทำบุญมา”คนมีความผิดติดตัวรีบตอบความจริงออกไปโดยไม่ทันคิด
รู้จักกันมาได้ปีกว่ามีหรือจะไม่รู้สันดานกัน โอกาสที่พวกนอกรีต(?)อย่างนายอัครินทร์จะเข้าวัดธรรมะธรรมโมเท่ากับศูนย์จุดศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์...ไม่รู้จบ แปลเป็นภาษาพูดได้ความว่าหน้าอย่างไอ้เหี้ยนี่นะเหรอจะเข้าวัด
“แก้ตัวน้ำขุ่นๆ”ใบหน้าน่ารักขุ่นมัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“เห้ย!! ไปมาจริงๆนะสาบานได้”
คนมีความผิดยกมือยกไม้โบกไปมาอย่างร้อนรน ทั้งหมดที่เขาพูดนั้นเป็นความจริงแต่แค่พูดความจริงออกมาไม่หมดเท่านั้น...เมื่อรู้ตัวว่าออกนอกลู่นอกทางปล่อยให้เพื่อนรอแล้วก็ควรจะซ้อนพี่วินไม่ก็นั่งแท็กซี่มาทันทีแต่เขากลับเลือกการเดินเท้าเป็นวิธีเดินทางแทน...
ด้วยความงกในสายเลือดของเด็กวิศวะ อินจึงเลือกที่จะเดิน บังเอิญระหว่างทางเขาหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลาทำให้พบกับสายที่ไม่ได้รับจำนวนมากจากคนคนเดียว รายนามที่โชว์หราบนหน้าจอคือ ‘ดีดี๊น้อยหอยสังข์’
ชื่อสุดแสลงหูของว่าที่เจ้าบ้านที่เดอะแก๊งค์ของเขาตั้งให้ด้วยความรักยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับเจ้าตัวที่ฉกมือถือของอินไปเพื่อที่จะชี้ให้เห็นมิสคอลเป็นอย่างยิ่ง ดีดีสะบัดหน้าเดินติ๊ดบัตรเข้าไปภายในตัวอาคารโดยไม่มีคำพูดอะไร
...ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้การเอาบัตรหรือคีย์การ์ดไปแตะกับล็อคที่ข้างประตูให้มันดัง ติ๊ดดดด ก่อนจะเปิดเข้าไปได้มันเรียกหรือนิยามเป็นคำว่าอะไรๆ คนไม่เวิ่นเว้ออย่างอินจึงเรียกการกระทำนั้นสั้นๆว่าติ๊ดบัตร....
คอนโดแพงๆมักจะมีหลายชั้น หรือจะพูดให้ถูกก็คือคอนโดหลายชั้นมักจะแพง เพราะกฎหมายการสร้างอาคารสูงในกรุงเทพค้ำคออยู่นั่นเอง ขอกระซิบบอกในที่นี้เลยว่าคอนโดหลายแห่งนิยมใช่ระบบยิ่งสูงยิ่งแพง อยากอยู่ชั้นสูงๆต้องเสียเงินเพิ่มตารางเมตะละห้าร้อยถึงหนึ่งพันโดยประมาณ
อินเหลือบมองนิ้วเรียวขาวของเพื่อนรักกดหมายเลขลิฟท์ไปยังชั้น 24พลางกลืนน้ำลายลงคอเบาๆ ถึงจะรู้ว่าไอ้เจ้านี่บ้านรวยแต่ก็ไม่เคยสัมผัสความรวยของมันสักครั้ง ปกติตอนเช้าดีดีจะเดินทางมามหาลัยด้วยแท็กซี่ทั้งที่มีรถเป็นของตัวเองแต่กลับขี้เกียจขับ รถติดแถมยังหาที่จอดยากอะไรก็ไม่รู้เห็นมันเคยบ่นให้ฟังผ่านๆหูเป็นเหตุให้เดอะแก๊งค์ของเขาไม่เคยได้ยลโฉมเจ้ารถที่ว่าเลยสักครั้ง
ซื้อรถมาตากฝุ่น ไม่โง่คงทำไม่ได้ อินแอบด่าในใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เหยียบคอนโดระดับนี้จึงดูมีสีหน้าตื่นตาตื่นใจประหนึ่งบ้านนอกเข้ากรุงมองซ้ายขวาหน้าหลังสำรวจทุกซอกมุมของลิฟท์ ท่าทางเหมือนเด็กที่นานๆครั้งนายอัครินท์คนนี้จะแสดงออกมาทำให้ร่างเล็กอดใจอ่อนยอมยกโทษให้อย่างช่วยไม่ได้
ผ่านไปครู่หนึ่งพวกเขาก็มาถึงชั้นที่ยี่สิบสี่ดีดีเปิดประตูเดินนำเข้าไปก่อน ภาพแรกที่ปรากฏสู่สายตาผู้มาเยือนคือบิวท์อินอย่างหรูภายในตั้งโชว์ฟิกเกอร์ตัวการ์ตูนญี่ปุ่นสุดโมเอะจนเต็มชั้น คนนอกวงการอาจจะมองว่ากองทัพฟิกเกอร์พวกนนี้ทำให้เฟอร์นิเจอร์ราคาแพงดูด้อยค่าลง แต่คนในวงการจะรู้กันว่าของตั้งโชว์รวมราคาแล้วแพงกว่าเยอะ...
ถัดมาอีกคือโปสเตอร์ลายการ์ตูนโมเอะ ปฏิทินลายโมะเอ แก้วน้ำโมเอะ ผ้าขนหนูโมเอะ ถ้วยช้อนตะเกียบโมะเอะ โมเอะ โมเอะๆๆๆๆ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่โมเอะ แม้แต่เจ้าของห้องยังโมเอะเลย!!!
หมายเห็ด.โมเอะแปลว่าน่ารัก
ให้ตายเถอะโรบิ้น ห้องเหี้ยอะไรแต่งได้ตาลายชิบหาย
แขกผู้มาเยือนมีอาการสตั๊นท์หลังจากโดนคลื่นโมเอะแอดแทคเดือดร้อนเจ้าของห้องต้องมาลากไปนั่งให้เข้าที่เข้าทางบนโซฟาสีขาวตัวใหญ่ติดผนังห้องด้านใน...ลายธรรมดาไม่โมเอะ...
อินถอนหายใจพรืด นึกขอบคุณชาวญี่ปุ่นที่ไม่นึกพิมพ์ลายการ์ตูนลงบนโซฟาไม่งั้นไอ้คุณโอตาคุสติแตกนี่ต้องหาซื้อมาแหงๆ
“อินนอนห้องเดียวกะเราได้ปะ พอดีห้องนอนอีกห้องเราเอาไว้เก็บอนิเม”ร่างเล็กถามพลางจัดแจงลากกระเป๋าใบเบ้อเริ่มของตัวกาฝากที่มาขออาศัยแต่ไม่คิดจะออกแรง
“มีที่พอใช่มั้ยกูนอนโซฟาได้นะ”เสียงห้าวถามกลับก่อนจะลุกขึ้นไปดึงกระเป๋าของตัวเองออกมาถือแทนเพราะทนเห็นภาพไอ้กระหร่องลากกระเป๋าต่อไปไม่ได้ ...น่าสงสัยว่าเจ้าเป้ใบนี้มันหนักแต่คนถึกอย่างอินถือได้หน้าตาเฉย หรือว่ามันไม่หนักแต่ไอ้คุณหนูดีดีผอมแห้งแรงน้อยถือไม่ไหวกันแน่?
บาทาน้อยๆ(?)ของคนหยาบคายเขี่ยประตูห้องนอนที่แง้มอยู่ให้เปิดออกก่อนที่ดวงตาสีดำขลับจะต้องเบิกกว้างอย่างตกตะลึงเมื่อสบเข้ากับ...เตียงคู่ขนานกว้างพอสำหรับสองคนนอนและหมอนข้างลายสาวน้อยโมเอะ...
“เอาของมาวางไว้ตรงนี้ได้เลย”เจ้าของห้องดูจะไม่อายกับของสะสมพิสดารแถมยังจะดูภูมิอกภูมิใจเสียด้วยยิ้มเผล่ขณะชี้ให้เขาเอาของไปวางกองไว้หัวเตียงฝั่งติดหน้าต่าง
“ไปวัดมามีอะไรเหรอ?”ตี๋น้อยดีดีเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ แม้มันจะเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อแต่เขาก็คิดว่าถ้าอินจะหาข้ออ้างในการมาสายหละก็คงหาเหตุผลที่ดีกว่านี้ได้แน่ ในเมื่อมันไม่ใช่ข้ออ้างแสดงว่าต้องมีเหตุผลที่ยิ่งใหญ่พอ
“ผีหรอกเหรอ? โดนหมอดูทักว่าถึงฆาตเหรอ? รึว่าโดนเสกหนังควายเข้าท้อง? หรือว่า...”
“พอเลยๆ อย่ามโน”เสียงห้าวเอ่ยตัดคำเพื่อนตัวเล็กที่พูดจาออกทะเล พลางคิดไปด้วยว่าจะเล่าให้คนช่างสงสัยตรงหน้านี้ฟังอย่างไรดี...ให้ตัวเองดูไม่เสียฟอร์มมากนัก
“เพราะพวกมึงอะเลว!!”เริ่มเรื่องมาก็ต้องโบ้ยความผิดออกจากตัวก่อน
“ปล่อยให้กูเดินผ่านทางรถไฟคนเดียวมืดก็มืดหนาวก็หนาวแถวยังเมาอีก กูเดินของกูไปได้สักพักก็ได้ยินเสียงใครก็ไม่รู้ร้องซะดังสนั่นเลยรีบวิ่งเข้าไปดูเผื่อแม่งโดนโจรดักปล้นแทงตายห่าหน้ากู...”ตาใสแจ๋วชั้นเดียวเบิกกว้างขึ้นอย่างลุ้นระทึกไปกับเรื่องราวน่าตื่นเต้นจากปากของเพื่อนสนิท
โดยหารู้ไม่ว่าเนื้อหากว่า 88%ถูกสร้างขึ้นใหม่...บทบาทแทบทั้งหมดถูกเปลี่ยนตัวแสดง
“พอไปถึงก็เห็นผู้ชายคนนึงอายุพอๆกับเรานี่แหละล้มกลิ้งตาเหลือกหน้าซีด ขางี้สั่นผั่บๆๆอยู่กับพื้น กูเลยเงยหน้าขึ้นมองตามตำแหน่งที่ตามันมองค้างอยู่ รู้มั้ยว่ากูเจออะไร!?”ถามกลับเพื่อให้ผู้ฟังมีส่วนร่วม
“อะ...อะไรเหรอ!?”
“คนแขวนคอตายเว้ยยยยย กูงี้สะดุ้งเลย ดีที่ตั้งสติทันเลยพาไอ้คนนั้นลุกตามออกมาถนนใหญ่แล้วค่อยโทรแจ้งความ”นักแต่งนิยายยังอาย ความหน้าด้านอัดแน่นเต็มเนื้อเรื่อง ใบหน้าหล่อคมยิ้มยืดอย่างโชว์พาว
“โห น่ากลัวอะ เพราะอย่างงี้เลยไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตายก่อนมาที่นี่สินะ”เด็กน้อยโดนนิทานก่อนนอนหลอกเข้าเต็มๆชื่นชมเพื่อนไม่ขาดปาก
“ก็งั้นแหละ หึหึ”ตัวแสบยักไหล่ไม่ยี่หละ และไม่ถึงอึดใจร่างโปร่งที่หลังกระหยิ่มยิ้มในบทประพันธ์ของตนก็สะอึกค้างด้วยคำถามพาซื่อของเจ้าบ้าน
“อ๋ออออ หลังจากนั้นก็กลัวผีจนไม่กล้าอยู่หอคนเดียวเลยมาหาเราที่นี่นี่เอง มิน่าหละตอนโทรมาเมื่อเช้าอินทำเสียงแปลกๆ”สิ้นถ้อยคำนั้นความเงียบสงบได้แปรเปลี่ยนเป็นจิตสังหารของคนที่ถูกกล่าวหาว่า’กลัวผี’สดๆร้อนๆ
“ไม่ได้กลัว!! คนอย่างนายอัครินทร์เนี่ยนะกลัวผี!? ไม่! มี! ทาง!”ประหนึ่งสัญญาณเตือนว่าไม่ควรต่อความให้ยืดยาวดีดีดึงเสียงของคำต่อไปกลับเข้าคอแทบไม่ทัน
คอนโดขนาดกลางประกอบไปด้วยห้องนอนสองห้อง ห้องที่หนึ่งติดประตูทางเข้าถูกเนรมิตกลายเป็นอาณาจักรอนิเมชั่น ส่วนอีกห้องถูกบรรจุด้วยนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาเคมีสองคน ฝ่ายเจ้าบ้านนั่งรูดซิปปากจ้องอีกคนที่เหลือตาแป๋ว
มีเรื่องที่อยากจะถาม แต่ก็กลัวถามไปแล้วคำถามที่ว่าจะไปสะกิดต่อมศักดิ์ศรีที่แสนเปราะบางของอีกคนเข้า
“อินย้ายมาอยู่กับเรามั้ย?”แต่สุดท้ายก็เอ่ยออกไปด้วยความเป็นห่วงเพื่อน มีหรือที่คนช่างเอาใจใส่อย่างดีดีจะไม่รู้ว่าเพื่อนของเขาคนนี้แพ้สิ่งลี้ลับมากพอๆกับที่เกลียดความพ่ายแพ้
ที่ขึ้นเสียงเมื่อกี้ก็แค่รักษาฟอร์ม...
“หะ หา!???”นัยน์ตาสีดำขลับเบิกกว้างแทบถลน คำถามสุดประหลาดเมื่อครู่ทำเอาเจ้าตัวถึงกับลุกขึ้นจากเตียงด้วยความงงงวย
“ก็...หออินมันไกลจากมหาลัย แถมรถเมล์ที่ผ่านหน้าซอยก็ไม่มีคันไหนผ่านมหาลัยเลย เดินทางลำบากจะตาย ไหนๆเราก็ไม่มีเมทกันทั้งคู่ก็มาเป็นเมทกันเองซะเลย ค่าคอนโดไม่ต้องช่วยออกหรอก แค่หารค่าน้ำค่าไฟก็พอ”นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาเอ่ยปากชวน...
อยู่คนเดียวในห้องกว้างๆแบบนี้ก็ต้องมีเหงากันบ้าง
“จริงดิ?”อินถามย้ำอีกครั้งเพื่อความชัวร์ แม้ตัวจะยังยืนเหวออยู่ปลายเตียงแต่ใจกลับบินไปเก็บของที่หอเตรียมย้าย ออกเป็นที่เรียบร้อย
“อื้ม!”เสียงใสตอบกลับอย่างดีใจหลังเห็นท่าทีที่อ่อนลงนั่น
“ถึงขั้นชวนผู้ชายมาอยู่กินด้วย เดี๋ยวนี้ชักแรดใหญ่แล้วนะดีดี๊ เอาเถอะๆ ไม่อยากขัดศรัทธา นายอัครินทร์สุดหล่อคนนี้จะยอมสละร่างกายให้คุณหนูสักระยะก็แล้วกัน”ไม่ว่าเปล่า ค้อมหัวลงอย่างนอบน้อมประหนึ่งโฮสต์
“...”ไร้สุรเสียงจากผู้เอ่ยปากชวน
“ไปกันเลยมั้ย?”คำชวนน่าสงสัยหลุดออกจากปากนายตัวแสบ
“ไปไหนเหรอ?”
“ก็ไปเก็บของจากหอเอามาไว้นี่ไง”
อ๋อออ อย่างงี้นี่เอง...ซะที่ไหนเล่า!! เกรงใจกันบ้างก็ดีนะอิน!!
พระอาทิตย์สีส้มสลัวใกล้ลาลับขอบฟ้าเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกเวลาเย็น นับเวลาหลังทำสัญญาขออาศัยกันเรียบร้อยก็ผ่านมาหกชั่วโมงเศษ นายอินที่หลับผลอยหลับไปด้วยความง่วงลุกขึ้นนั่งบิดขี้เกียจบนเตียงคู่ขนาดคิงไซส์ ประหนึ่งบ้านของตัวเอง
เมื่อคิดได้ว่าต้องกลับไปขนของจากหอเก่าอีกร่างโปร่งเลยรีบผุดลุกออกจากผ้าห่มหนาไปหาเจ้าของห้องที่อาสาขับรถบริการรับส่งพัสดุประหนึ่งบุรุษไปรษณีย์
ณ ลานจอดรถที่ชั้นบน รถยนต์หลากสีหลายยี่ห้อจอดเรียงรายเต็มเกือบทุกช่อง ณ มุมนอกสุดริมสุดไกลโพ้นนนนที่สุดมีรถ Peugeot RCZ สีเงินวาววับราคาเฉียดสามล้านไม่รวมค่าตกแต่งตั้งตระหง่าน...ให้ฝุ่นเกาะ...
อินรีบแซงปราดเข้าไปเกาะประตูรถคันดังกล่าวตาเป็นประกายจดจ้องไปยังรถคันเท่ห์อย่างหลงใหล สมกับคำกล่าวที่ว่า Peugeot RCZ เป็นยนตรกรรมแห่งจิตวิญญาณสัญชาติฝรั่งเศส รถสปอร์ตที่ได้รับการออกแบบมาอย่างโดดเด่น เด่นแรงกระแทกตามากครับพี่น้อง!!
“รถมึงเหรอ!! นี่รถมึงเหรอออ!!”หันไปถามเพื่อนรักอย่างไม่เชื่อสายตา รถในฝันมาจอดอยู่ตรงหน้า หัวโจกวิศวะก้มๆเงยๆสำรวจหาใยแมงมุมก่อนจะถอนหายใจโล่งอกเมื่อหาไม่พบ
“อืม”คนตัวเล็กไม่สมกับรถพยักหน้าหงึกหงักพลางล้วงกุญแจออกมาโชว์เพื่อยืนยัน
“ซื้อรถไม่ดูหนังหน้าคนขับเลยนะมึง ฮ่าๆๆ”ก็จริงอย่างที่อินว่า
รถอย่างเฟี้ยวเคลื่อนตัวสะกดสายตาหนุ่มสาวมหาลัย พอดับเครื่องจอดปุ๊บก็มีไอ้ตี๋ตัวกระเปี๊ยกก้าวลงมาจากที่นั่งคนขับ สร้างเสียงหัวเราะคิกคักอย่างพยามรักษามารยาทจากผู้พบเห็นนั้นไม่อาจซ่อนเร้นจากสายตาของตี๋น้อยคนดังกล่าวไปได้
ภาพฝันร้ายเมื่อวันปฐมนิเทศย้อนกลับมาทำร้ายอีกครั้งและอีกครั้ง...นี่คือเหตุผลที่ดีดีไม่ขับรถไปมหาลัยอีกเลย
นึกแค้นบิดาที่เคารพในใจ ไอ้ซื้อรถให้ก็น่าดีใจอยู่หรอก แต่ช่วยดูคนขับนิดนึงว่าพร้อมขับด้วยไม๊!? ถ้าเป็นมินิคูเปอร์หรืออะไรประมาณนั้นลูกจะไม่บ่นสักคำ
คนเสียเซล์ฟง่ายระบายลมหายใจออกทางจมูกดังเฮือกใหญ่ “เฮ้อออออ”
“เห้ย เป็นไรมึง จู่ๆก็ทำหน้าเป็นตูด อ๊ะ โหยยยย คอนโดมึงนี่มีแต่รถแรร์ๆทั้งนั้นเลยหวะ!!”ปลายนิ้วชี้ของคนคลั่งรถชี้พิกัดไปยังรถ mini roadster เวอร์ชั่นเปิดประทุนสองประตูสีขาวคาดดำแล่นฉิวขึ้นมา ก่อนจะมาจอดเทียบท่าข้างๆรถของดีดีประหนึ่งต้องการจะอวดโฉม
“อ๊ะ พัดนี่ พัดดดด!!”ชื่อแสนคุ้นเหมือนเคยได้ยินดังขึ้นจากดีดีที่ตอนนี้วิ่งอ้อมไปยังรถคันดังกล่าวด้วยท่าทางแบบปลากระดี่ได้น้ำ
“นั่นอินเหรอ?” เสียงที่ก้องอยู่ในหัว.... อย่างน่าประหลาด คล้ายกับถูกดึงดูด
.....ช่วงเวลาที่หยุดลงบนรลานจอดรถ.....
อินหันไปมองตามเสียงนั่น แต่สิ่งแรกที่เห็นคือเสาปูนบอกหมายเลขที่จอดด้านหลัง(กำ) เมื่อเลื่อนสายตาไปอีกหน่อยก็เห็นเจ้าของคำพูดนั้น ชายหนุ่มในชุดลำลองดูสบายๆ หน้าตาหล่อเหลา และมีเส้นผมสีน้ำตาลเข้มซอยไล่ระดับดูกระเซิงเล็กน้อย หน้าตาออกจะดีมากกำลังจ้องกลับมาด้วยแววตาแบบเดียวกัน ภายในกระจกใสของนัยน์ตาสะท้อนความแปลกใจออกมาแจ่มชัด.... “พัด!?”
ว่ากันว่าความบังเอิญเกิดขึ้นได้เพียงสองครั้ง หากมากกว่านั้นเราจะเรียกมันว่าพรหมลิขิต...
“ทั้งสองคนรู้จักกันหรอ!?”บุคคลที่สามโพล่งขึ้น เนตรคมกระพริบปริบๆหลุดจากภวังค์ก่อนจะตอบกรับไปเสียงแผ่วผิดนิสัย
“นิด...หน่อย...”
“เมื่อเช้าเกิดเรื่องนิดหน่อยเลยเจอกัน”ดูเหมือนมันจะเบาเกินไปจึงถูกเสียงของอีกคนกลบมิด
คีย์เวิร์ด ‘เมื่อเช้า’ สั้นๆเพียงคำเดียวถูกประมวลผลใหม่ด้วยสมองอันปราดเปรื่องของคนที่ตัวเล็กที่สุดในวงสนทนา จากคำให้การเมื่อสายของเพื่อนรัก บวกกับเวลาเกิดเหตุที่เป็นตอนเช้า บุคคลต้องสงสัยปริศนา...ถึงตัวจะเป็นเด็กแต่สมองเป็นผู้ใหญ่ ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!!
“คนที่เห็นศพแล้วเป็นลมล้มพับเมื่อเช้าที่อินเล่าให้ฟังคือพัดนี่เอง!!” ยอดนักสืบจิ๋วดีดีขอฟันธง!!
ไอ้เพื่อนเวร!! ทีเรื่องตอแหลที่กูเล่าเสือกเชื่อหน้าตาเฉยแต่ทีอย่างงี้เสือกเดาแม่น!! ฉลาดผิดที่ผิดเวลานะมึง!
รู้สึกเหมือนมีสายตาพุ่งตรงมาโดยไม่ต้องสืบก็รู้ตัวการ เนตรคมของคนโดนใส่ความจ้องเขานิ่งอย่างต้องการคำขยายความ มองสบตาและต้องรีบก้มหน้าลงมองพื้น รู้สึกประหม่าขึ้นมาเสียเฉยๆ ทำความผิดมาก็มากโดนลงโทษมาก็เยอะแต่คราวนี้ไม่เหมือนทุกที
สายตาเรียบเฉยดูไม่มีพิษภัย เหมือนน้ำทะเลสีครามสวยไรพายุฝนหากแต่มีไม่กี่คนที่ตระหนักว่าแม้ทะเลจะนิ่งสงบแต่ข้างใต้นั้นเย็นเฉียบยากจะรู้ก้นบึ้ง ...เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ต้องจ้องกันประหนึ่งฆ่าฟันแบบนั้นก็ได้....
สัญชาติญาณสัตว์ป่าเตือนว่าควรหลบ...
“มึงจะยืนเอ๋อข้างรถชาวบ้านเค้าอีกนานมั้ย รีบๆไปได้แล้วเดี๋ยวก็มืดค่ำกันพอดี!!”
ว่าแล้วก็ยัดเจ้าของรถเข้าประจำตำแหน่งคนขับก่อนจะเร่งให้สตาร์ทเครื่องออกไปแบบเอ็ดตะโร ทิ้งให้ร่างสูงของคนที่เหลืออยู่ผุดยิ้มออกมาอย่างขบขัน...
ในยามค่ำคืนของเมืองใหญ่ เหล่าพนักงานบริษัทมากมายยังคงต่อสู้กับการเดินทางบนท้องถนนเพื่อกลับบ้าน และกลับมาเจอนรกกันอีกครั้งในวันรุ่งขึ้นวนเวียนไม่สิ้นสุด นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์สองคนนั่งแกร่วติ่งร่างแหตำนานกรุงเทพรถติดมรณะอยู่บนรถหรู
เพียงแค่การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลกรางกรุงปีละครั้งสองครั้งไม่ช่วยให้รู้สำนึกว่าห้ามออกนอกบ้านเวลาเลิกงาน บทลงโทษเล็กน้อยจากผู้ใหญ่บนท้องถนนคือการให้เด็กน้อยนั่งอยู่ในรถยนต์แคบๆบนเส้นทางที่รถติดยาวไกล....
ระหว่างไม่ถึงห้ากิโลเมตรแต่กลับใช้เวลาไปกลับร่วมชั่วโมงอัดแน่นไปด้วยบทสนทนาออกรสของสองสหาย
“พัดอยู่ห้องข้างๆเราไง ห้อง2412ที่อยู่ทางขวาอะ”
ร่างสูงโปร่งของเอนพิงเบาะพลางถอนหายใจเหนื่อยอ่อน รถเริ่มเคลื่อนตัวไปในยามเย็น ท้องฟ้าค่อยๆมืดลงพร้อมกับแสงไฟจากนีออนที่เปิดขึ้นแทนที่
เมื่อวานนี้ยังเป็นแค่คนแปลกหน้าอยู่กันคนละส่วนมุมของโลก มาวันนี้ระยะห่างกลับลดลงเหลือไม่ถึง 10 เซนติเมตร
จะว่าไปแล้ว...ยังไม่ได้คำตอบเลยว่าอีกฝ่ายเรียนคณะไหน...
คำถามไร้สาระถูกกลืนหายไปกับความเงียบ ในรถคันสวยเหลือเพียงแค่เสียงแอร์กับเพลงจากคลื่นวิทยุดังคลอไปเท่านั้น...อีกเดี๋ยวก็คงได้รู้...
..................................................................................
ตอนนี้พระเองของเราออกมากระจ๋อยเดียว แว๊บไปแว๊บมาตามท้ายตอนประหนึ่งตัวประกอบ ฮาาาา #พัดถีบ
ตอนต่อไปพัดคลุงจะได้ออกโรงเต็มๆสักที(มั้ง)ค่ะ
ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเม้นท์นะคะ