ใกล้แล้วค่ะ เรื่องที่ทุกคนสงสัยว่าจะจบยังงัย จะเคลียร์ยังงัย
ไม่กี่ตอนก็เคลียร์ค่ะ แต่มันยังไม่จบง่ายๆนะยังมีเรื่องราวอีกเยอะค่ะ
ไปอ่านกันต่อเลยค่ะ.........................................ตอน 16
ทันทีที่บานประตูห้องถูกปิด..วิชญ์ภาสก็โยนร่างที่เขาอุ้มลงกระแทกกับเตียงอย่างโมโห... เวลานี้เขาหมดความอดทนจริงๆ หมดซึ่งทุกอย่าง หากยังทนเขาต้องเจ็บมากกว่านี้..
“ โอ๊ย..” กรณ์ร้องขึ้นเมื่อหลังของเขากระแทกเตียง แต่ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ ..ร่างอีกคนก็ล้มลงมาทับอย่างแรง... คนตัวหนั่นคร่อมขึ้นมาบนร่างที่เริ่มถอยหนี.. แต่ทางของกรณ์จะมากมายแค่ไหนกันเชียว..เมื่อด้านหลังมีเพียงพนักหัวเตียงที่กั้นอยู่...
“ อย่าหนี..” วิชญ์ภาสบอกราบเรียบ..
“ ออกไป..อย่ามายุ่งกับฉัน..” กรณ์แข็งเสียงเพื่อพูดกับอีกฝ่าย ตอนนี้เขายอมรับว่ากลัววิชญ์ภาสจริงๆ..ตลอดเวลาสองเดือนกว่าๆที่เจอกันมา ครั้งนี้วิชญ์ภาสดูน่ากลัวกว่าครั้งไหน ๆ.. วิชญ์ภาสไม่เคยทำร้าย ไม่เคยตวาดเขาแรงๆ แต่วันนี้กรณ์กลับเจอมาทุกอย่าง...
“ คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังจะทำให้ผมเป็นบ้า ...เป็นไอ้โง่ที่เอาแต่รักคุณไปวันๆ...” วิชญ์ภาสเริ่มรำพัน พร้อมทั้งซุกริมฝีปากไปยังลำคอสวยที่หดร่นเพราะไม่อยากให้อีกคนได้สมใจ
“ ..ฉันเคยบอกตั้งหลายครั้งแล้วว่าฉันเกลียดแก.....”
“...งั้นเหรอ..” วิชญ์ภาสแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว..ก่อนจะกระชากเสื้อที่กรณ์ใส่จนขาดวิ่น..มือหนาาเอื้อมจัดการกับเสื้อผ้าของตัวเองที่เหลืออย่างไม่รอช้า จนเหยื่อที่มองมาต้องเกิดอาการสั่น..
“ จะทำอะไร..”
“ ผมจะเตือนสถานภาพระหว่างคุณกับผมให้มันแน่ชัดกว่าเดิม...” วิชญ์ภาสบอกเบาๆ..แล้วจัดการตรึงแขนของคนที่พยายามจะบ่ายเบี่ยงด้วยแขนของเขาเอง ...กรณ์เริ่มดิ้นไม่อยากตกในสภาพที่เป็นอยู่.... หากจะมีอะไรกันเขาก็อยากให้วิชญ์ภาสใจเย็นลงกว่านี้ อยากให้ทุกอย่างมันเดินกลับไปเป็นเหมือนก่อน
แต่กรณ์จะมีสิทธิ์เรียกร้องเหรอ ในเมื่อเขานั่นแหละที่เลือกเดินทางนี้เอง...
เหงื่อกาฬเริ่มชุ่มโชกทั้งสองกาย..มันมากขึ้นเมื่อร่างของวิชญ์ภาสได้เคลื่อนไหวท่วงท่าพร้อมอีกกายที่ถูกความหนั่นแน่นของอารมณ์เชื่อมต่อ... ร่างแกร่งที่เริ่มคร้ามสีเพราะแรงแดดริมทะเลลดลงใกล้ๆ จนแทบชิดกับอกของกรณ์... มือเรียววางยันไว้ตามสัญชาตญาณ
“ คุณใจร้ายมากนะ..กล้าดียังไงที่ให้คนอื่นแตะตัว..” วิชญ์ภาสบอกเสียงบาง... มันไร้ความเย็นชา โกรธกริ้ว หรือไม่พอใจเช่นเมื่อสิบนาทีก่อน...
“ มันเป็นสิทธิ์ของฉัน ..”
“ มันก็เป็นสิทธิ์ของผม ..ที่จะหวงเมียของตัวเอง...” วิชญ์ภาสจ้องตาอีกคน พร้อมทั้งเน้นในประโยคที่เขาเชื่อมั่น ...
“ใครเป็น...อื้อ...” กรณ์ตั้งท่าจะค้านสิ่งที่วิชญ์ภาสพูด..แต่อีกฝ่ายก็มาเหนือเมฆด้วยการเคลื่อนไหวร่างกายจนกรณ์ต้องสั่นซ่านด้วยความต้องการที่ไหลวนมากขึ้น...
“ ผมเป็นพวกขี้หวงเสียด้วย...ยิ่งเป็นอะไรที่ผมรัก ผมไม่ชอบให้ใครมาแตะต้อง...ถ้าสิ่งนั้นผมรัก ผมจะปกป้องดูแลอย่างดี...”
“ ..อื้อ....อ่...” นัทสั่นอีกครั้งเพราะแรงที่ส่งมาจากส่วนล่างของร่างกาย ..มันเพิ่มมากขึ้นจนเร็วแรงและเต็มเม็ดเต็มเหนี่ยวทุกการเคลื่อนไหว ...แต่อารมณ์ของกรณ์ต้องสะดุดเมื่ออยู่ๆร่างของเขาก็ถูกเปลี่ยนทิศเปลี่ยนทาง.. วิชญ์ภาสสอดแขนแกร่งเข้าไปตรงร่องบ่า แล้วดึงหัวไหล่ทั้งสองเพื่อส่งแรงให้ร่างของกรณ์ลุกขึ้นตาม ก่อนที่เขาจะพลิกเป็นฝ่ายที่นั่งอยู่ด้านล่าง ..มีร่างของกรณ์อยู่ด้านบน..
...ร่างของทั้งใกล้กันมากจนแทบจับลมหายใจ...
“ จะทำอะไร..” กรณ์แทบลืมไปเลยว่า แต่ก่อนเขาก็ใช้ท่านี้เป็นบ่วงทรมาน ..จนเมื่อวิชญ์ภาสเลือกจะรักกรณ์เพื่อยุติทุกอย่าง ร่างกายของทั้งสองก็แปรเปลี่ยน .. เพราะเวลานี้วิชญ์ภาสรักกรณ์เข้าจริงๆ.. ไม่ใช่รักเพราะใจสั่งให้รักเช่นเมื่อก่อน ยิ่งสัมผัส ยิ่งหลงใหล ยิ่งเข้าใกล้ ยิ่งผูกพัน
“ คุณรักผมได้ไหม..” คำถามที่รู้ดีว่าอาจไม่มีคำตอบเอ่ยขึ้น กับอีกคนที่มองกลับมา ..เวลานี้แขนหนั่นของคนตัวสูงเอื้อมไปกอดประสานตรงด้านหลังของกรณ์แล้ว แรงกดทำให้ร่างของเขากับกรณ์ชิดกันมาขึ้น... อุณหภูมิที่ร้อนผ่าว ร่างกายที่มีหัวใจเต้นระรัว...
“ ...” กรณ์เสมองไปทางอื่นเพราะไม่กล้าตอบคำถามนี้จริงๆ...
“ ทำไมเราถึงรักกันไม่ได้ล่ะ...”
“ เพราะฉันเกลียดแกไงล่ะ...” กรณ์ตอบไปด้วยใจที่เริ่มปวดร้าว...แม้มันจะทำให้วิชญ์ภาสต้องเจ็บ แต่คนอย่างวิชญ์ภาสไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ ขอแค่เขาเห็นโอกาสเขาก็จะทำจนถึงที่สุด แม้ผลสรุปเขาจะไม่ใช่ผู้ชนะ แต่อย่างน้อยก็ทำดีที่สุดแล้ว..
“ แต่ผมไม่ยอมแพ้หรอก.. ผมจะทำให้คุณพูดว่ารักต่อหน้าผมให้ได้..” แววตาเชื่อมั่นจากคนตัวหนาทำให้กรณ์ต้องสะอึกอีกระลอก.. เขาเกลียดความเชื่อมั่นในตานี่จริงๆ.. ทำไมเขาถึงไม่มีมันบ้างล่ะ ..ทำไมเขาถึงไม่กล้าเท่าครึ่งหนึ่งของวิชญ์ภาส ..หากกล้าทุกอย่างคงไม่จบเช่นที่เป็น ..
“ มันเรื่องของแก..”
“ มันเรื่องของเราต่างหากล่ะ...ที่ผ่านมาเพราะผมเห็นแก่คุณกฤษฏิ์ ..เห็นแก่คุณเลยยอมให้เรื่องราวมันเป็นไปอย่างนั้น แต่นับจากนี้ผมจะไม่เห็นแก่ใครทั้งนั้น ..ผมจะเห็นแก่ตัว...” แท้จริงมันไม่ได้เป็นไปอย่างที่วิชญ์ภาสกล่าวหรอก ..การที่เขาบอกเช่นนี้ก็เท่ากับเขาจะมีสิทธิ์แตะต้อง มีสิทธิ์ได้ใกล้กรณ์โดยไม่ต้องกังวลสิ่งใดๆ .. หากเลือกได้เขาก็จะไม่ทำในสิ่งที่คนที่เขารักไม่ชอบ ...
“ หน้าด้าน..”
“ ขอบคุณครับที่ชม ..ผมจะหน้าด้านมากกว่านี้อีกถ้าคุณกล้าให้ใครมาแตะตัวอีก.. ผมเตือนคุณแล้วนะ ถ้ามีครั้งต่อไปผมปล้ำคุณตรงนั้นแน่ ..ไม่ลากมาจัดการในห้องหรอก...” วิชญ์ภาสยิ้มรับอย่างไม่เกรงกลัว กลับชื่นใจเสียอีกที่กรณ์ตอบกลับมาเช่นนี้.. มันดีกว่าที่โดนเมินเฉยเป็นไหนๆ... อย่างน้อยก็รู้ว่ากรณ์เองก็มีอารมณ์ มีความรู้สึก ที่สำคัญยังมีจิตใจไม่ต่างอะไรไปจากเขา ...
“ ไอ้ ..ไอ้...อื้อ..” กรณ์ถลึงตาคู่เรียวเข้าใส่ จะด่าให้สาใจแต่ริมฝีปากสีชมพูอ่อนก็ถูกครอบครองเสียก่อน ..พร้อมมือแกร่งทั้งสองที่เข้ากระชับช่วงสะเอวบาง แล้วค่อยๆ ขยับโยกตัวกรณ์ขึ้นลง..ปรนเปรอความปรารถนาที่สัมผัสกันของสองกาย ...
กำปั้นเล็กๆที่ระดมทุบอยู่กลางหลังจำต้องหยุดมือ เมื่อความเสียวซ่านนั้นคืบคลานแทบทุกรูขุมขน ..นิ้วเรียววางจิกลงบนผิวคร้ามแสง ..ระบายความต้องการที่กำลังเดินทางอยู่...
“ อย่างนี้สิครับ...ถึงน่ารัก..” วิชญ์ภาสผละยิ้มอย่างมีชัย..เมื่อร่างบางที่กำลังถูกมือของเขาควบคุมจังหวะขึ้นลงเริ่มอ่อนแรงจนไร้การต้านทาน ..แถมยังร่วมมือสร้างความหฤหรรษ์พร้อมเพรียงกับคนชำนาญการอีกด้วย ...
“ แก..อื้อ..” กรณ์เบิกตาคาดโทษ แต่แรงกระทั้นที่แทรกเข้ามากลับทำให้เขาต้องคืนคำด่าลงคอ ..และแปรเป็นเสียงครางออกมาทดแทน แม้จะพยายามจะสะกัดกั้น แต่ทุกครั้งที่โดนสัมผัสกลับทำให้ใจเปิดกว้าง และยอมให้อีกฝ่ายจูงพาไปในที่ที่รู้กันแค่สองคน
“ ผมรักคุณนะ..อ่า..” วิชญ์ภาสขยับกายของเขาพรวดพราด..จากร่างที่นั่งอยู่บนตักก็ถูกผลักลงนอนด้านหลัง พร้อมคนที่ใกล้จะถึงปลายสุดของอารมณ์ยันกายขึ้นกับพื้นเตียง แล้วเหวี่ยงแรงรักที่มากมายลงไปด้วยความรวดเร็ว
“ ...” สิ้นการเคลื่อนไหวสองกายก็ล้มลง..อย่างอ่อนแรง ..เหงื่อที่ชุ่มโชกเบียดเสียดจนแยกไม่ออกว่าเป็นของใครต่อของใคร แต่ก็นั่นแหละ..มันจะสำคัญอะไรในเมื่อเวลานี้ลมหายใจของทั้งสองใกล้จะเป็นหนึ่งเดียว มันรอคอยเพียงวันเวลาที่กรณ์จะเปิดใจก็เท่านั้นเอง ..
“รู้ตัวไหม..ว่าปากคุณนี่ทำผมเจ็บมาหลายครั้งแล้ว ..ถ้าผมหน้าไม่ด้านพอคงตายกันพอดี... ปากคุณเหมาะกับเสียงครางมากกว่าเสียงด่านะ...” นิ้วแกร่งยาวไล้ไปตามโครงหน้าของคนที่เหนื่อยหอบ ..กรณ์ลืมตามองอีกฝ่ายที่ใบหน้าห่างจากเขาไม่เท่าไหร่ด้วยสายตาฉุนๆ..
“ ไอ้ทุเรศ..”
“ ขอบคุณ...ไปอาบน้ำดีกว่าท่าทางคุณจะเหนื่อยแล้ว..” วิชญ์ยิ้มส่งเป็นคำตอบ ..แล้วรวบรวมแรงที่มียกกายที่นอนอยู่ด้านล่างเดินหน้าสู่ห้องน้ำของทั้งสอง ... กรณ์ยินยอมโดยดีเพราะเริ่มหมดแรงจะต่อปากต่อคำ ไม่ว่าจะพูดจะว่ายังไง อีกคนก็ไม่สะทกสะท้าน ..ด่าเอง เหนื่อยเอง ...เป็นอันว่าระหว่างอาบน้ำคนใจแข็งก็โดนมอบสถานะ ตอกย้ำความสัมพันธ์อีกหนึ่งรอบพร้อมกับคำบอกรักที่ดังขึ้น .. มันก็น่าแปลกที่กรณ์รู้สึกยินดีมากมาย ยามได้ยินคำนั้นออกจากปากของคนที่ปากบอกว่าเกลียด ..แต่ใจแอบหวั่นไหว
สองกายที่เปล่าเปลือยล้มลงบนที่นอนหลังเดิม ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา..เบียดเสียดมอบความอบอุ่นให้แก่กันและกัน ..อย่างมิอาจแยกห่าง ..
“ อึดอัดจะบ้า...” กรณ์เปรยอย่างขัดใจเมื่อแขนแกร่ง...ดึงร่างเขาเข้ามากอดไว้..
“ คุณน่าจะทำตัวให้ชินได้แล้ว...ยังไงผมก็ไม่มีวันปล่อยคุณไป..” วิชญ์ภาสกระซิบบอก ..พร้อมทั้งกดกระชับริมฝีปากของเขาลงบนขมับอีกฝ่ายเบาๆ.. เป็นการจบสิ้นสงครามบนเตียงระหว่างทั้งสอง ...
*****************
เจ้าคนร่างบางตัวเพรียว ..ถึงกับถอนใจอย่างเหนื่อยหนัก.. อ่อนจะยกเจ้าน้ำสีสวยแฝงความร้อนแรงเข้าบ้าอย่างเบื่อๆ... ก็ดูคนตรงข้ามเขาสิเลยกรอกน้ำเมาขนานแรงเข้าปากยังกับน้ำเปล่า ... จะพูดจะเตือนยังไงก็ไม่ยอมฟัง ..ดีนะที่เขาทู่ซี้ขึ้นรถมาด้วย ไม่อยากนั้นหมอหนุ่มได้ตายคาผับนี้แน่นอน ...
“ กลับกันได้รึยัง ..กฤษฏิ์ง่วงแล้วนะ..” กฤษฏิ์กระชากเสียงถาม ..เพราะรู้สึกไม่พอใจลึกๆ.. เขากำลังเข้าใจไปว่าหมอหนุ่มกำลังดื่มเหล้าประชดรัก.. ประชดที่กรณ์โดนทำเช่นนั้น ..แต่ใครจะรู้เลยว่ามันไม่ใช่ ..เขาแค่กำลังสับสน กำลังกลัวและขาดความกล้าก็เท่านั้นเอง ..
“ อื้อ..” หมอพิสิษฐ์พยักหน้าให้อย่างมึนๆ.. แล้วหยิบแบงค์พันสองใบออกจากกระเป๋าวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมกลับบ้าน ...
“ เอากุญแจมาให้กฤษฏิ์ดีกว่า ขืนอาขับได้ถูกจับก่อนแน่..” กฤษฏิ์บ่นเบาๆ.. แล้วเอื้อมมือไปหยิบกุญแจในมือของหมอหนุ่มอย่างรวดเร็ว ..ทั้งสองเดินออกจากร้านด้วยความลำบากพอตัว ..เพราะความมึนเมาของหมอตัวสูงเลยทำให้สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ..เดินชนโต๊ะ จนเก้าอี้จนหน้าขา หน้าแขนเขียวไปหมด.. กว่ากฤษฏิ์จะลากมานั่งบนรถได้ก็หลายนาทีอยู่เหมือนกัน ...
“ เมาไปก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้นเลย..” กฤษฏิ์บ่นอย่างเหนื่อยๆ .. แล้วเหยียบคันเร่งมุ่งหน้ากลับบ้านพักของหมอพิสิษฐ์โดยไว...เขาเองก็เคยไปนั่งเล่นที่บ้านของพิสิษฐ์หลายครั้ง เลยค่อนข้างคุ้นและรู้จักเป็นอย่างดี..
ปึก.. เสียงบางอย่างดังขึ้นใกล้ๆ.. ก่อนความรู้สึกต่อมาจะบอกให้กฤษฏิ์ได้รับรู้แรงกดตรงไหล่บางของเขา .. หมอพิสิษฐ์ที่มึนๆเพราะอาการเมาวางศีรษะลงบนบ่าของเขา ..
“ ทำอะไรนี่อาหมอ..อย่าแกล้งกฤษฏิ์นะ..ใกล้จะถึงบ้านแล้ว..” กฤษฏิ์บอกไป...เพราะเริ่มรู้สึกใจเต้นแปลกๆ ขืนปล่อยไว้นานกว่านี้ รถได้พุ่งลงข้างทางก่อนถึงจุดหมายกันพอดี
“ รังเกียจผมเหรอ... อื้อ..ใช่สิ..ผมมันไม่ดี..” น้ำเสียงอู้อี้บ่นออกอย่างน้อยใจ แล้วร่างสูงก็พาตัวเองกับไปนั่งพิงกับเบาะข้างคนขับอย่างเซ็งๆ...
“ เป็นอะไรไปนี่..อกหักจนเพี้ยนใช่ไหม..” กฤษฏิ์เปรยกลับ .. และหันไปตั้งสมาธิกับการขับรถต่อ... เพียงไม่นานรถคันเดิมก็มาจอดอยู่หน้าบ้านสีขาว ..หลังพอเหมาะ... กฤษฏิ์เดินลงจากรถเพื่อไปไขกุญแจเปิดรั้วสีขาว ...แล้ววิ่งกลับมาขับรถเข้าไปจอดด้านในอย่างคุ้นเคย ...
บ้านหลังนี้หมอพิสิษฐ์อยู่เพียงลำพัง ..พ่อและแม่ของเขาเสียไปตั้งนานแล้ว..ดีที่อดีตประมุขของสายลมได้ช่วยเหลืออุปการะทางการเรียนจนจบหมอ... เขาจึงค่อนข้างเคารพและให้เกียรติคนของบ้านสายลมอย่างมาก..เวลานี้ สายลมจึงเปรียบเหมือนญาติที่เขาเหลืออยู่..
เมื่อรถเข้ามาจอดได้ที่.. กฤษฏิ์ก็เดินลงแล้วไปปิดประตูรั้วไว้อย่างเก่า ท่าทางคืนนี้เขาคงนอนที่นี่อย่างเลี่ยงไม่ได้...
ร่างบางลากหมอหนุ่มก้าวเข้าไปในบ้านอย่างทุลักทุเล ...ก่อนจะผลักร่างนั้นให้ล้มลงบนเตียงนุ่มอย่างเหนื่อยหนัก.. ก็ตัวใหญ่มากกว่ากฤษฏิ์เกือบเท่าตัว เลยทำให้คนตัวเล็กค่อนข้างเหนื่อยไม่น้อย ..
“ ทำให้กฤษฏิ์เป็นแบบนี้แล้วยังกล้าเป็นภาระอีกเน้อ..คนเรา..” กฤษฏิ์บ่นเบาๆ.. แต่ก็เดินไปหาผ้าชุบน้ำมาทำความสะอาดใบหน้าให้คนเมา... ถึงจะไม่พอใจที่พิสิษฐ์ใกล้ชิดกับกรณ์ แต่กฤษฏิ์ก็ไม่อาจเห็นคนที่เขาผูกพันต้องเจ็บ ตอนที่หมอพิสิษฐ์โดนวิชญ์ภาสชก กฤษฏิ์ก็นึกห่วงอย่างมากยิ่งเห็นอีกฝ่ายดื่มเหล้านักใจก็ห่วงโน้นนี่มากมาย ...
“ เฮ้ย..” ขณะที่ความคิดกำลังเลื่อนลอยไปถึงเรื่องต่างๆ ..กฤษฏิก็ถึงกับร้องเมื่อร่างของเขาถูกดึงเข้าไปกอดอย่างรวดเร็ว ... จากที่นอนทับพิสิษฐ์อยู่ด้านบนก็ถูกพลิกให้ล้มลงด้านล่างโดยมีอีกคนแปรเปลีย่นตำแหน่ง.. ดวงตาคู่คมคร้ามแสงไฟเปิดออกอย่างว่องไว
“ อาหมอ..เป็นไรนี่.. นี่กฤษฏิ์นะไม่ใช่พี่กรณ์..” มือเรียววางลงบนหน้าอีกฝ่ายแล้วตบเรียกสติเบาๆ.. แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็กลับทำให้เด็หนุ่มถึงกับตัวชา ..ริมฝีปากเรียวบางสีสดที่ไม่เคยมีผู้ใดได้ครอบครองถูกสัมผัสอย่างร้อนแรง .. คนด้านบนแทรกซุนลิ้นเรียวก้าวล่วงไปในความสดใส ...
อื้อ... กฤษฏิ์เริ่มดิ้นระดมมือลงบนหลังแกร่งของอีกฝ่ายที่ดูจะไม่สะท้านใดๆ...
“ ไอ้หมอบ้า..นี่กฤษฏิ์นะ..ไม่ใช่พี่กรณ์อย่าเอากฤษฏิ์เป็นเครื่องระบาย เป็นตัวแทนคนอื่นนะ..” เมื่อผลักริมฝีปากหนาออกได้สำเร็จ กฤษฏิ์ก็ตวาดลั่นห้อง .. รู้สึกโกรธที่โดนทำเช่นนี้ แม้เขาจะรู้สึกผูกพัน จะรู้สึกเผลอใจให้กับหมอพิสิษฐ์ แต่นั้นต้องมาจากความรักของอีกฝ่ายด้วย ..กฤษฏิ์ไม่ยอมเป็นตัวแทนของใครเด็ดขาด ...
“ เพราะรู้ว่าเป็นคุณกฤษฏ์นะสิ..ผมถึงทำ..”
“ เมาใช่ไหมนี่..” กฤษฏิ์เบิกตากว้าง เมื่อได้รับคำตอบ ..แต่เขาก็ไม่อาจตกตะลึงได้นานสักเท่าไหร่ เมื่อร่างกายของทั้งสองเริ่มเคลื่อนไหว ..แม้จะพยายามขัดแต่แรงที่น้อยกว่าก็ไม่อาจสู้หมอพิสิษฐ์ได้.. ความต้องที่คร้ามฟ้าครั่นฝนแทรกกายเข้าไปอย่างที่กฤษฏิ์มิอาจปราม
“ อาหมอบ้า.. กฤษฏิ์เจ็บนะโว้ย..” กฤษฏิ์ร้องลั่นอีกครั้งเมื่อร่างกายของเขาถูกรุกล้ำจากสิ่งแปลกปลอมนอกร่างมันเป็นความรู้สึกใหม่ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน
“ ..อย่าทำอย่างนี้อีก...อย่าทำเหมือนผมไม่มีตัวตน..” คนที่เคลื่อนไหวด้วยความคล่องแคล่วเอ่ยเตือน สายตาจริงจังมองย้อนกลับมาที่กฤษฏิ์อย่างน้อยใจ ... เขาเกลียด เกลียดการเมินเฉย เกลียดความเศร้าซึมที่กฤษฏิ์แสดง หมอพิสิษฐ์ยอมเป็นทุกอย่างให้กับกฤษฏิ์ ยกเว้นสิ่งที่ไร้ตัวตน ...
“ อย่าแรงสิ..อาหมอบ้า..กฤษฏิ์เจ็บนะ..” มือเรียววางยันตรงอกหนั่นที่ปรากฏไรขนเล็กๆชโลมเหงื่ออย่างระบายความเจ็บปวด.. มันเป็นครั้งแรกกับคนที่กฤษฏิ์เข้าใจไปว่ารักพี่ชายของเขา ..
“.. ผม.. ผม...” เสียงห้าวเริ่มติดขัด เมื่อการเคลื่อนไหวเริ่มร้อนแรง .. เหงื่อพรายท่วมทาสองร่างอย่างสุดจะห้ามปราม .. เมื่อจบการเคลื่อนไหวครั้งแรกด้วยการปลดเปลื้องพันธะของร่างกาย ..กฤษฏิ์ก็ถูกจับเปลี่ยนทิศเปลี่ยนทางเพื่อเริ่มการทำงานครั้งใหม่
ที่ทำให้สองร่างเหนื่อยอ่อนได้มากเสียยิ่งกว่ามาก...
แสงของยามสายเดินทางมาถึง..พร้อมความร้อนที่เริ่มโลมเลียผิวกายแน่นตึงอย่างจงใจ ... ดวงตาที่แสนหนักค่อยๆเปิดออกอย่างยากลำบาก..เพราะแสงที่ส่องเข้ามาดูจะจ้าเกินไปจึงต้องกะพริบปรับสภาพอยู่นานหลายครั้ง
“ อืม...มึนชะมัด...” หมอหนุ่มยกมือขึ้นกุมขมับอย่างมึนๆ.. รู้สึกชาๆ ตรงหัวไหล่และแขนข้างขวาอย่างมากจะขยับก็ทำไม่ได้เพราะเหมือนมีอะไรติดอยู่..
“ เฮ้ย..” พิสิษฐ์ชะงักตัวอย่างเร็ว เมื่อพบว่ามีอีกร่างนอนหนุนแขนเขาอยู่ เพราะแรงที่ขยับทำให้กฤษฏิ์ที่กำลังฝันค้างถึงกับตื่นขึ้นอย่างงัวเงีย
“ โอ๊ย..กฤษฏิ์เจ็บนะ..ทำอะไรนี่..” เด็กร่างบางเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจที่ถูกปลุกขึ้น ... เขาค่อยๆขยับร่างแล้วยันตัวขึ้นนั่งอย่างงงๆ.. ดวงตาคู่ที่ปิดอยู่เปิดออก แล้วก็พบว่าหมอหนุ่มข้างกายก็ตื่นขึ้นแล้ว ..
“ เป็นอะไรไปนี่..” กฤษฏิ์บ่นเบาๆ..
“ เกิดอะไรขึ้น...ทำไมคุณกฤษฏิ์มาที่นี่ล่ะครับ..” พิสิษฐ์เอ่ยถามอย่างสงสัย ..เพราะสติในยามค่ำคืนที่พ้นผ่านดูจะเลือนรางเกินไป.. แต่ใครจะรู้ว่าคำถามที่บอกกลับทำให้อีกคนถึงกับสะท้อนใจ ...กฤษฏิ์หันหน้าหนีอย่างรวดเร็วเพราะรู้สึกเจ็บๆที่ถูกล่วงเกินโดยที่อีกฝ่ายขาดสติ
“ เปล่านี่..ไม่ได้..อือ.. ไม่ได้มีอะไรสักหน่อยก็แค่เมา ..กฤษฏิ์เลยนอนที่นี่..”กฤษฏิ์พยายามข่มเสียงของเขาอย่างอย่างเข้มแข็ง ..
“ แต่...”
“ กฤษฏิ์บอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไร...” กฤษฏิ์กระชากเสียงใส่.. แล้วลุกขึ้นจากที่นอนทันที.. ดีนะที่เมื่อวานก่อนจะหลับเขาลุกขึ้นไปล้างเนื้อล้างตัวแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่.. ชุดนอนตัวโคร่งของหมอหนุ่มเลยถูกไม้แขวนหน้าตาน่ารักยึดครอง ...
พิสิษฐ์ล้มลงเอนหลังกับพนักเตียงอย่างสับสน ..ก่อนจะกวาดตามองรอบๆห้องอย่างทวนความจำ.. สิ่งที่เห็นตรงปลายเตียงคือเสื้อผ้าที่เขาใส่เมื่อวาน กับเสื้อผ้าของกฤษฏิ์ถูกถอดกระจัดกระจาย ..
“ เมื่อคืน..” พิสิษฐ์สบถอย่างนึกได้..ความฝันอันแสนหวาน ที่ได้รุกรานและครอบครองร่างกายที่ทำให้เขารู้สึกเจ็บยามถูกเมินเฉยปรากฏขึ้นอีกครั้ง . หมอหนุ่มดึงกายที่นั่งอยู่ให้ลุกขึ้นยืน แล้วเดินมาหยุดตรงหน้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ..เป็นจังหวะเดียวกับที่กฤษฏิ์เดินออกมาพอดี
“ หลีก..กฤษฏิ์จะกลับบ้านแล้ว..” กฤษฏิ์ก้มหน้าไม่ยอมสบตากับอีกฝ่าย เพราะกลัวหมอหนุ่มจะรู้ความจริงที่เกิดขึ้น
“ ทำไมถึงยังบอกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น...”
“ ถ้าอาหมอจะรับผิดชอบเพราะมันเกิดจากความผิดพลั้ง ..กฤษฏิ์ว่าอย่าพูดถึงเลย..กฤษฏิ์ไม่เห็นจะแคร์อะไรเลยกับเรื่องพรรค์นี้..” กฤษฏิ์ตอบกลับไป เพราะดันเข้าใจว่าพิสิษฐ์สำนึกผิดอยากจะรับผิดชอบ .. หากได้ตัว แต่ไม่ได้หัวใจ กฤษฏิ์ย่อมไม่ยินดี...
“ ..อย่างน้อยก็น่าจะบอกผมบ้าง..”
“..กฤษฏิ์กลับนะ..เดี๋ยวจะให้คนที่บ้านมารับ..” กฤษฏิ์ไม่สนใจคำพูดของคนที่ยืนขวาง .. เดินแทรกตัวหมายจะหนีออกจากสถานการณ์บีบบังคับให้เร็วที่สุด แต่เขาก็ถูกพิสิษฐ์คว้าไว้ได้ก่อนจะกดให้ร่างบางเลื่อนชิดติดผนัง ตามด้วยริมฝีปากอิ่มหนาที่วางประทับลง จนคำพูดที่หมายจะกล่าวถูกลบกลืนออกไปจนสิ้น.. กฤษฏิ์ดิ้นพล่านน้ำตาก็พานจะไหลเพราะเจ็บปวด.. เจ็บกับอารมณ์ที่ไม่อาจระบุว่าเป็นความทุกข์หรือความสุข .. แท้จริงมันอาจคาบเกี่ยวอยู่ระหว่างนรกกับสวรรค์ก็เป็นได้.. ความสุขเคลือบยาพิษ ... แม้จะสุขแต่ก็ทรมานแสนสาหัส ..
“ อย่าเล่นอย่างนี้สิ... จะไม่ให้อารับรู้เลยหรือไง...” สรรพนามที่ใช้ถูกเปลี่ยนไป ...ราวกับพูดต่อหน้าเด็กน้อยที่ทำผิด ..
“ อานั่นแหละอย่าเล่นแบบนี้..กฤษฏิ์ไม่ใช่ตัวแทนของพี่กรณ์นะ..” กฤษฏิ์บอกเสียงสั่น..น้ำตายังคงไหลไม่หยุดหย่อน ..
“ เลิกร้องนะ..เลิกร้อง... อาไม่เคยใช้ใครแทนใคร ... เพราะเข้าใจไปว่าเป็นฝันอาถึงกล้าทำทุกอย่างที่คิดกล้าแสดงความต้องการออกมาจนหมด... รู้ไหมว่าดีใจแค่ไหนที่มันเป็นความจริง ไม่ได้เป็นแค่ฝัน..” พิสิษฐ์สารภาพความจริงออกมา .. แท้จริงความหวาบหวามที่ซ่านลึกถึงภายในคือความจริง ไม่ใช่อณูของฝันอย่างที่เข้าใจ ..
“ พูดอะไร ..”
“ ก็พูดเรื่องของเราไง...วันนี้วันเสาร์...ไปดูหนังกันไหม..” พิสิษฐ์ยิ้มให้พร้อมทั้งเปลี่ยนเรื่องใหม่ที่ทำให้กฤษฏิ์ถึงกับงง ... แทบจะตามอารมณ์ไม่ถูก...
“ คือ..”
“ อาบน้ำดีกว่า ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว..” คนร่างสูงลากกฤษฏิ์ที่ยังอึ้งๆ งงๆเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ ..แล้วลงมือปลดเสื้อผ้าของทั้งสองออกอย่างรวดเร็ว ..กฤษฏิ์ชักสั่นเพราะเริ่มหวาดหวั่นกับสิ่งที่เกิด เวลานี้หมอพิสิษฐ์สติครบร้อยไม่ได้มึนเมาอย่างเมื่อคืน จึงไม่รู้ว่ามันจะออกหัวหรือก้อย ..
“ มองอะไร...ทำอย่างกับไม่เคยเห็น” รอยยิ้มอ่อนโยนส่งทอให้.. แล้วจับร่างกฤษฏิ์ที่ยืนอายๆ เข้ามากอดไว้.. มือแกร่งเอื้อมบิดน้ำตากฝักบัวให้สาดลงมากระทบสองกายที่ถูกกัน .. มันก็น่าแปลกที่ทั้งสองใกล้กันจนแทบจะกลืนกลั่นรวมเป็นเนื้อเดียว ... ความผูกพันที่ให้กันตั้งแต่ยังเด็กๆทำให้กฤษฏิ์ไม่ปฏิเสธอ้อมกอดที่มอบให้...จะเป็นยังไงเขายังให้คำตอบตัวเองไม่ได้.. รู้แต่เพียงเวลานี้...เขาวางใจอ้อมอกนี้เป็นที่สุด...
เป็นงัยบ้างค่ะตอนนี้ชอบมั้ย