ติ้งหน่อง ~~~~~~
เสียงกริ่งดังขึ้นสองถึงสามครั้งในช่วงใกล้สามทุ่มขัดจังหวะการดูหนังของเจ้าของห้องหนุ่มลูกเสี้ยว ดีนขมวดคิ้วมุ่น ซดเบียร์อึกสุดท้ายในกระป๋องลงคอก่อนว่างมันลงบนโต๊ะตัวเล็กรวมกับเพื่อนของมันแล้วลุกเดินออกไปพร้อมคำถามคาใจว่าใครกันช่างมาหาในยามดึกดื่น
เมื่อเห็นคนที่มีสายเลือดเดียวกันยืนอยู่หน้าห้อง คิ้วเข้มก็เพียงแค่เลิกขึ้นข้างหนึ่งแทนคำทักทายเท่านั้น
“Hi Bro, are you okay?”
ดีนส่ายหน้าก่อนเดินเข้าห้องปล่อยให้พี่ชายเดินตามเข้ามา
คริสหัวเราะน้อย ๆ รู้ว่าที่น้องส่ายหน้าไม่ได้เป็นการตอบคำถามเขาที่แปลว่าไม่ไหวแต่เป็นการแสดงความระอาออกมาต่างหาก
ดีนเดินกลับไปนั่งที่เดิมก่อนคว้าหนึ่งในสองกระป๋องที่ยังไม่ถูกเปิดออกมาเปิดแล้วยกซดเหมือนก่อนหน้านี้ราวกับไม่ได้เพิ่งเปิดห้องต้อนรับแขก แต่เพราะอีกฝาสยยังยืนกอดอกอยู่กลางห้อง เขาจึงต้องมีน้ำใจเอ่ยถามออกไป “มาถึงนี่มีอะไร”
คริสมองกองกระป๋องเบียร์ยี่ห้อโปรดของพวกเขาบนโต๊ะก่อนถามกวน ๆ กลับไปแทนการตอบคำถาม “ฉลองรับปริญญาให้แฟนอยู่เหรอวะ”
แม้จะรู้สึกไม่พอใจแต่ดีนก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมานอกจากจดจ่ออยู่กับหนังที่กำลังฉายในโทรทัศน์
“มาทำไม” ดีนย้ำคำถามเดิมอีกครั้งแต่เสียงเรียบขึ้น คริสยกยิ้มพอใจที่ตนยังกวนอารมณ์น้องได้เช่นเคย “เตี่ยให้มาดูว่ายูยังอยู่ดีไหม”
“สบายดี” ได้ยินคำตอบอย่างนั้นก็ไม่คิดเซ้าซี้ต่อ คนอย่างน้องชายเขาต้องใช้เวลาในการล้วงความรู้สึก จะมาเร่งลัดเอาคำตอบแบบนั้นไม่มีทางได้ ต้องให้เวลาเจ้าตัวได้ตกผลึกมันออกมาเสียก่อน คริสจึงเดินเลี้ยวเข้าไปในครัว หยิบเอาเบียร์แช่เย็นออกมาอีกสี่กระป๋องแล้วเดินไปนั่งกับคนเป็นน้อง
“จะมาก็ควรซื้อติดมือมาบ้างนะ”
“ซื้อทำไม ที่ห้องยูมีอยู่เต็มตู้” คริสคิดว่านอกจากมีสายเลือดเดียวกันแล้ว รสสัมผัสที่ชื่นชอบเบียร์ยี่ห้อนี้คงเป็นความเหมือนกันเพียงอย่างเดียวของพวกเขา
“นี่ล็อตสุดท้ายแล้ว”
“หือ” คริสหันมองหน้าน้อง
“ต่อไปจะมีติดตู้แค่ไม่กี่กระป๋องเท่านั้น”
คริสแค่นหัวเราะหึ “ทำไม? แฟนยูจะซื้อนมมาใส่ให้แทนเหรอ...ไม่เอาหน่าดีน ยูโตแล้วนะ แค่มีแฟนถึงกับต้องยอมขนาดนี้เลยเหรอ” เมื่อก่อนตอนเป็นวัยรุ่น พวกเขาดื่มเบียร์กันแทบทุกวัน ถึงจะไม่ได้ดื่มเยอะเหมือนคนติดเหล้าแต่ก็ดื่มเคล้าบรรยากาศกันอย่างน้อยก็คนละกระป๋อง ไม่ต้องพูดถึงช่วงชีวิตที่ต่างประเทศเลย อากาศหนาวแบบนั้นแทบจะดื่มเบียร์ต่างน้ำ ไม่มีทางที่ดีนจะลดการดื่มเบียร์ไปได้
“เปล่า ไม่ได้เลิกดื่ม” ดีนยิ้ม คริสเห็น น้องยิ้มออกมาจากตาที่เคยไร้ความรู้สึกคู่นั้น “แต่เขาจะซื้อของสดมาใส่ บอกว่าอยากทานอาหารนอกบ้านน้อยลง อย่างน้อยในวันหยุดก็ควรทำอาหารทานกันเองบ้าง เขาอยากลดความเสี่ยงการเกิดโรค” ประโยคหลังดีนเล่าติดตลกเล็กน้อย “ส่วนเบียร์อาจจะตุนน้อยลงเพราะพื้นที่ในตู้เย็นไม่พอก็เท่านั้น”
“แต่ยูก็ยังดื่มมันทุกวันเหมือนเดิมใช่ไหม”
“เบียร์เย็นดีไหม” ดีนถามกลับ รอจนคนพี่ตอบรับว่าเย็นมากถึงจะยอมพูดต่อ “ไม่เย็นก็แย่ละ มันแช่อยู่ในตู้มาสองเดือนได้แล้วมั้ง” ทุกวันนี้ดีนแทบจะไม่มีเวลามานั่งดื่มเบียร์ตอนกลางคืนแล้ว เพราะเมื่อมีใครสักคนมาร่วมแชร์ช่วงเวลาอาหารเย็นด้วยกันมันทำให้เขารู้สึกว่าอาหารมื้อนั้นมันสมบูรณ์อยู่ในตัวโดยไม่ต้องกลับมาเติมเต็มด้วยเบียร์รสโปรดอีกเลย
ชั่ววูบหนึ่งดีนก็อดยอมรับไม่ได้ว่าที่ผ่านมาคงเพราะว่าตัวเองเหงา
...เหมือนวันนี้
คริสยิ้มบาง มันช่างเป็นการเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ที่น้องชายเขามีความสุขเหลือเกิน
“แล้วยูเป็นไงบ้าง”
“ก็ดีนะ”
“กับเธอ...”
คริสกระดกเบียร์ซดอึกใหญ่ก่อนตอบ “ดาวเขายอมรับความจริงได้...แต่คงต้องใช้เวลาหน่อย” คริสรู้ว่าลึก ๆ แล้วคนรักเก่ายังคงหวังว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้
“ไอว่า แค่ยูไม่หันไปคบผิงเธอก็ดูโอเคขึ้นนะ”
“ไอรู้ว่าความสนิทของไอกับผิงสร้างบาดแผลในใจดาวมาโดยตลอด”
ดีนพยักหน้าเห็นด้วย กับผู้หญิงคนอื่น ดาวไม่เคยหึงหวงแบบขาดสติเลยสักครั้ง แต่กับผิง ดาวสามารถกลายเป็นนางร้ายในละครหลังข่าวได้เลยทีเดียว
“โชคดีที่ดาวเป็นคนฉลาดพอที่จะไม่ทำลายอนาคตตัวเองเพียงเพราะเลิกกับยู”
คริสยิ้มขื่น รู้ดีว่าอดีตคนรักรักงานนี้มากพอกับที่รักเขา เธอไม่มีทางทิ้งงานที่เธอรัก และคนแบบเธอไม่มีทางเสียหน้าลาออกจากงานเพียงเพราะเลิกกับเขาให้ผู้คนนินทาได้ เธอเป็นมืออาชีพพอที่จะทำงานร่วมกับเขาและผิงได้ หรืออาจจะจริงอย่างที่ดีนว่า เธอยังทำงานร่วมกันได้ ตราบใดที่สถานะของเขากับผิงไม่เปลี่ยนไป
“ไม่ดื่มเบียร์มานานแล้ว ทำไมวันนี้ถึงดื่ม”
“เสียดาย กลัวหมดอายุ”
คริสหัวร่อ “บอกไอดี ๆ ก็ได้ จะรีบมาช่วยดื่มเลย”
ดีนไม่ต่อบท เขาเลือกจะนั่งดูหนังไปเงียบ ๆ และคริสก็รู้ว่าจังหวะนี้ยังไม่ควรแหย่ต่อ คนเป็นพี่จึงต้องหันไปสนใจหนังตรงหน้าด้วยเช่นกัน
เบียร์สี่กระป๋องที่ถูกหยิบมาเพิ่มหมดพร้อมกับเอ็นเครดิตที่ถูกฉายขึ้นมาพอดี
“ขอนอนนี่ได้ไหม จะมีใครกลับเข้ามาตอนดึก ๆ รึเปล่า” คริสถามหยั่งเชิง
“ไม่มี” รณณ์ไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน หลังจากย้ายออกจากหอพักที่เก่า อีกฝ่ายก็เลือกที่จะย้ายไปเช่าคอนโดใกล้ที่ทำงานมากกว่า และถึงแม้จะแวะเวียนมาหาเขาที่นี่บ้างแต่ก็คงไม่ได้มาคืนนี้
“ยูเหงาเหรอ”
ดีนเงียบไปนานจนคริสนึกว่าจะไม่ได้รับคำตอบเสียแล้ว แต่สุดท้ายสุ้มเสียงทุ้มก็เอ่ยออกมาแผ่วเบาราวกับไม่อยากยอมรับตัวเองสักเท่าไหร่ “คงงั้น”
“ยูขาดเขาไม่ได้”
“ไอไม่อยากใช้ชีวิตแบบนั้น” ชีวิตที่ขาดใครคนนั้นไม่ได้ มันเป็นความน่ากลัวในความรู้สึก แต่ดีนรู้ว่าตอนนี้เขาไม่ได้เหงาเพราะรู้สึกขาด เขาเหงาเพราะรู้สึกไม่มั่นใจ “ไอแค่คิดวิธีรับมือพ่อแม่เขา”
“ยูเอาชนะใจพวกเขาได้อยู่แล้ว มั่นใจหน่อย” คริสตบไหล่ให้กำลังใจน้อง
ถ้ารณณ์ไม่ใช่ลูกคนเดียว ดีนคงจะใจชื้นมากกว่านี้...หรือไม่ก็คงเป็นเพราะฤทธิ์ออลกอฮอล์ที่ทำให้เขาอ่อนไหวเป็นพิเศษ
“ไอเชื่อว่าเด็กนั่นก็เชื่อมั่นในตัวยูนะ”
ดีนตั้งใจจะปิดจบบทสนทนาด้วยการแยกย้ายไปนอน แต่เพราะโทรศัพท์ของตัวเองที่สั่นครืดบนโต๊ะขัดขึ้นเสียก่อน ดีนเหลือบมองเห็นเป็นเบอร์แปลกโทร.มาในตอนดีกแบบนี้ก็ช่างใจก่อนปลีกตัวออกไปคุย
คริสมองตามไปก่อนจะละสายตามาจ้องมองจอที่เริ่มฉายหนังเรื่องต่อไปแล้ว นัยน์ตาสีอ่อนไม่ได้จดจ่อกับมันด้วยความสนใจ เขากำลังคิดใคร่ครวญเรื่องความสัมพันธ์ในแบบของน้องชายพร้อมคำถามที่ผุดขึ้นในใจ
ยังไม่ทันได้หาคำตอบให้ตัวเองได้ดีนก็ตะโกนบอกเสียงดังขัดความคิดขึ้นเสียก่อน
“ไปนอนก่อนนะ พรุ่งนี้ไอมีธุระสำคัญต้องทำ”
“เย็นนี้ออกไปทานอาหารนอกบ้านกัน”
ดนัยพูดขึ้นในช่วงสายของวัน วันนี้สามคนพ่อแม่ลูกอาศัยร่วมกันในบ้านของญาติทางฝั่งแม่ซึ่งเป็นผลพวงจากงานเลี้ยงเมื่อคืน
“ได้สิครับ พ่ออยากทานอะไรละครับ”
“ไปร้านที่รณณ์กับ
เขาไปกันบ่อยที่สุด”
“ครับ? หมายถึงคุณดีนน่ะเหรอครับ”
“นั่นแหละ เราเล่าว่าทำนั่นทำนี่กับเขาบ่อยไม่ใช่เหรอ เพราะฉะนั้นต้องมีร้านประจำกันสิ”
“อ่า ครับ”
“พ่ออยากทานสักห้าโมง ร้านอยู่ไกลไหม เราออกจากบ้านกันสักสี่โมงทันรึเปล่า”
“ทันครับ ร้านอยู่ไม่ไกล”
“อืม” คนเป็นพ่อไม่ได้ ย้ำเตือนลูกชายว่าห้ามบอก ‘เขา’ อาศัยแค่ให้ภรรยาคอยช่วยกันลูกชายออกจากทุกช่องทางการติดต่อเท่านั้น
อาคารไม้ทรงเรือนไทยกลายเป็นร้านอาหารไทยเจ้าประจำที่พักหลังมานี้คุณดีนพามาบ่อยเพราะติดใจรสชาติอาหารของที่นี่เสียมาก เด็กหนุ่มเดินนำเข้าไปในร้าน พุ่งเป้าไปยังโต๊ะประจำตามคำขอของบุพการีแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นคนรักนั่งดื่มกาแฟร้อนอยู่ที่โต๊ะเดียวกันนั้นอยู่ก่อนแล้ว
อีกฝ่ายเองก็ตกใจไม่แพ้กัน กลางดึกคืนก่อนเขาได้รับโทรศัพท์จากพ่อของคนรัก ใจความคือการนัดเจอที่ร้านอาหารประจำของเขากับรณณ์ตอนเวลาห้าโมงเย็นโดยที่รณณ์ต้องไม่รู้เรื่องนี้ ตอนรับปากก็คิดเพียงว่าผู้ใหญ่ทั้งสองคงมีเรื่องที่ต้องการจะคุยกันเป็นการส่วนตัว ไม่คิดว่ารณณ์จะมาด้วย
ฟากคนนัดหมายมองหนุ่มลูกเสี้ยวด้วยสีหน้าพอใจแวบหนึ่ง เพราะนอกจากอีกฝ่ายจะใจตรงกับรณณ์มาเจอที่ร้านเดียวกันแล้ว ‘พี่ดีน’ ของลูกชายยังมารอก่อนเวลานัดอีกด้วย
“สวัสดีครับ เชิญนั่งก่อนครับ” ดีนเชิญผู้ใหญ่ทั้งสองนั่งฝั่งตรงข้ามเมื่อตั้งสติได้ รณณ์เดินอ้อมไปนั่งฝั่งเดียวกับดีนทางขวามือปล่อยให้คนรักนั่งเผชิญหน้ากับพ่อของตน
“มาร้านนี้กันบ่อยเหรอ” ดนัยเปิดบทสนทนาขึ้นเสียงเรียบ
“ครับ เกือบทุกครั้งที่ทานอาหารนอกบ้าน แต่ช่วงนี้รณณ์ทำงานหนักขึ้น ตกเย็นทีไรเป็นต้องจบที่บุฟเฟ่ต์ทุกที แต่ถ้าวันไหนเขาเลิกดึกหน่อยก็ไม่พ้นข้างทางครับ” ดีนเล่ายิ้ม ๆ นัยน์ตาสีอ่อนเต็มไปด้วยความเอ็นดูยามมองคนที่ถูกพาดพิง
คงจะจริงอย่างที่คุณเขาว่า เพราะแม้ลูกชายตัวดีจะบ่นว่างานหนักทุกครั้งที่โทร.หาแต่เนื้อตัวกลับไม่ได้ผอมแห้งแต่อย่างใด ‘พี่ดีน’ คงจะดูแลเรื่องอาหารการกินให้เป็นอย่างดีทีเดียว
“พ่อกับแม่เลือกได้เลยนะครับ อาหารที่นี่อร่อยทุกอย่าง หรือให้ผมสั่งให้ดีครับ”
“รณณ์สั่งให้เลยแล้วกันนะลูก”
คนเป็นลูกตอบรับความต้องการของแม่ก่อนจัดแจงสั่งทั้งเมนูโปรดของพ่อแม่และของคนรัก
“คุณชอบอาหารไทยเหรอ” ดนัยเปิดประเด็นขึ้นอีกครั้งหลังจากพนักงานรับออเดอร์เดินจากไปแล้ว ดีนใจชื้นที่อีกฝ่ายไม่ได้เปิดบทสนทนาด้วยการบอกให้พวกเขาเลิกกัน เพราะอย่างน้อยการชวนคุยเรื่องความชอบก็บ่งบอกได้ว่าอีกฝ่ายเปิดใจเรียนรู้เขาก่อนที่จะตัดสิน
“เมื่อก่อนก็ไม่หรอกครับ มันเผ็ดและก็จัดจ้านไปหน่อย” ดีนตอบตามตรง
“แล้วทำไมถึงหัดทาน เพราะลูกชายผมน่ะเหรอ”
ดีนยิ้มอ่อนน้อม มาถึงขั้นนี้คงไม่ต้องบอกแล้วว่าสถานะของตนคืออะไรก็ดูท่าว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจดีอยู่แล้ว...และคงไม่อยากให้พวกเขาพูดออกมาตรง ๆ นัก “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ ผมไม่อยากให้ท่านมองว่ามันเป็นการฝืนเปลื่ยนแปลงตัวเองเพื่อคนอื่น เพราะผมคิดแค่ว่าผมอยากลองปรับตัวเพื่อให้ได้ใช้เวลาทานอาหารกับเขาได้บ่อยขึ้นครับ”
“ลูกชายผมไม่ได้ชอบอาหารไทยขนาดนั้น” ว่ากันตามตรงแล้วรณณ์ก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่ทานอาหารฟาสฟู้ดมากกว่าอาหารไทยพวกนี้เสียอีก เพียงแต่คนเป็นพ่อไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้คนรักของลูกชายนั้นแทบไม่แตะต้องมันเลยด้วยซ้ำ
“ครับ แต่เขาก็คงมาทานอาหารฝรั่งกับผมทุกวันไม่ได้เหมือนกัน...อีกอย่าง ผมฝึกไว้เผื่อได้มาทานข้าวกับคุณอาทั้งสองบ่อย ๆ ด้วยครับ”
“คุณอยู่กับลูกชายเรา ไม่ใช่เรา”
ดีนยิ้มอย่างนอบน้อม
“ครับ ผมอยู่กับรณณ์ ไม่ใช่คุณอา แต่ผมแค่อยากเข้ากับคุณอาทั้งสองได้ เพราะผมอยากให้คนที่ผมรักมีความสุขครับ” หนุ่มลูกเสี้ยวท่าทางภูมิฐานหันมองลูกชายเขาที่นั่งข้างกัน ไม่อยากจะคิดว่าที่ใต้โต๊ะสองคนจะจับมือกันแน่นขนาดไหน “ไม่อยากเห็นเขาทุกข์ใจที่พ่อแม่เขาไม่ชอบผม...เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น เราก็คงอยู่ด้วยกันอย่างไม่มีความสุขเช่นกันครับ”
ดีนเรียนรู้จากความรักของพี่ชาย ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน แต่ความสัมพันธ์ในระยะยาวเป็นเรื่องของสองตระกูล เราไม่ได้อยู่กันแค่สองคน แต่เราควรจะเข้ากันได้กับคนในครอบครัวของอีกฝ่ายด้วย
“เท่าที่ดู คุณพ่อคุณก็ดูไม่ได้ชอบลูกชายผมนัก”
ดีนไม่ได้หันมองดวงหน้าซีดเผือดของคนรักแต่ใช้วิธีการบีบมือที่กุมกันไว้แทน เขารู้ว่านี่คืออีกประเด็นหนึ่งที่รณณ์กังวล ดีนเผยยิ้ม “อาเตี่ยกำลังเรียนรู้ที่จะรักรณณ์เหมือนที่ผมรักครับ”
และรณณ์ก็น่าจะรู้ว่าเขาไม่ได้พูดเกินจริง
หญิงสาวหนึ่งเดียวในที่นี้มองสามีถอนหายใจ รับรู้ถึงความกังวลของคนรักแต่เพราะว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนใจร้อน เธอจึงยังสบายใจที่จะเป็นผู้ฟังต่อไป
“รณณ์บอกว่าคุณเป็นรุ่นพี่ที่มหา’ลัย แต่ทำไมเรียกว่าคุณ”
“ครับ สมัยเรียนเราไม่เคยเจอกัน มาเจอกันตอนที่เขาฝึกงานครับ ผมเป็นบอกออยู่ที่นั่น”
“ตายจริง!” คนเป็นแม่แสดงความรู้สึกออกมาผ่านคำพูดเป็นครั้งแรก นัยน์ตาหวานเบิกโตด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยินจนดีนต้องรีบอธิบายต่อ
“เราเจอกันนอกสถานะนั้นก่อนแล้วครับ ผมไม่ได้มีส่วนในการจบการฝึกงานของเขา รณณ์จบด้วยความสามารถของเขาเองครับ”
คนเป็นพ่อเป็นแม่โล่งอก ไม่อยากจะคิดในแง่ร้ายเช่นนั้น แต่พอรู้หน้าที่การงานของดีนแล้วก็อดไม่ได้ที่จะคิด
บทสนทนาขาดตอนเพราะอาหารที่เริ่มทยอยมาเสิร์ฟ สองสามีภรรยาสังเกตว่านอกจากอาหารจานโปรดของพวกตนแล้วนอกนั้นแทบจะรสชาติกลาง ๆ ทั้งนั้น ลูกชายคนเดียวของพวกเขาจัดแจงตำแหน่งของอาหารบนโต๊ะเพื่อให้สะดวกแก่ทุกคนและยังเอาใจด้วยการตักอาหารให้พวกเขาอีกด้วย
“คุณกับลูกชายผม...มีอะไรกันรึยัง”
“อะแค่ก แค่ก” คนเป็นลูกสำลักน้ำซุปทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น ดีนยื่นแก้วน้ำให้พร้อมลูบหลังอีกฝ่ายเบา ๆ ไม่มีใครคาดคิดว่าดนัยจะถามคำถามนี้ขึ้นมาท่ามกลางมื้ออาหาร
“ยังครับ”
“คบกันมาเกินครึ่งปีแล้วทำไมถึงยัง”
“ยังไม่ถึงเวลาครับ” เจ้าของคำถามขมวดคิ้ว “ผมแค่คิดว่าถ้าคุณอาทั้งสองยังไม่ยอมรับเรื่องของเราสองคน เรื่องแบบนั้นยังก็ไม่ควรเกิดขึ้นครับ” เรื่องกอดจูบมีบ้างเป็นปกติของคู่รัก ครั้นจะให้เลยเถิดไปไกลกว่านั้นยังไม่เคย อย่างมากที่สุดของการร่วมเตียงกันก็แค่นอนกอดกันในวันที่ต่างก็เหนื่อยกับงานมาทั้งวัน
ดนัยเหลือบมองลูกชายที่ก้มหน้าก้มตาทานอาหารด้วยต้องการปิดซ่อนความเขินอายและใบหน้าแดงซ่านจากสายตาพ่อแม่
เขารวบช้อนเก็บเป็นสัญญาณว่าอิ่มแล้วและเมื่อเห็นอย่างนั้น คนเป็นภรรยาจึงทำตามอย่างไม่รีรอ
“พ่อกับแม่อิ่มแล้วเหรอครับ”
“อือ อิ่มรึยังน่ะเรา” ถึงจะเป็นคำถามแต่รณณ์รู้ดีว่านั่นคือคำสั่งกลาย ๆ ว่าควรจะจบมื้ออาหารแล้วเหมือนกัน เด็กหนุ่มรับคำ รวบช้อนแล้วดื่มน้ำตามเตรียมพร้อมลุกจากโต๊ะทันทีที่พ่อแม่ต้องการ
“คุณคงรู้ว่าผมมีลูกชายคนเดียว”
ดีนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ คำถามที่หวั่นใจที่สุดถูกส่งมาพร้อมสายตาที่จดจ้องอย่างไม่ลดละ “ผมเข้าใจครับ ผมรู้ว่าเงินมากมายขนาดไหนก็ไม่อาจทดแทนกับการที่สายเลือดของคุณอาสิ้นสุดลงที่ตรงนี้ได้ แต่ผมสัญญาด้วยเกียรติว่าจะดูแลเลือดเนื้อเชื้อไขสุดท้ายของท่านอย่างดีที่สุดครับ”
อยากจะคิดอยู่เหมือนกันว่าผู้ชายคนนี้เข้ามาหลอกให้ลูกชายตนเขวออกนอกเส้นทาง แต่พอเห็นแววตาที่ซื่อตรงแสดงความรู้สึกออกมาชัดเจนอย่างตรงไปตรงมาแล้วก็ต้องยอมแพ้ แม้ยากจะทำใจ แต่จะให้ใจร้ายกับสิ่งที่ลูกต้องการคงไม่ใช่ตัวเขา อีกอย่าง ภรรยาของเขาเองก็ใจอ่อนให้ผู้ชายคนนี้ไปนานแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะใจอ่อนไปตั้งแต่ก่อนมาเจอหน้าแล้วด้วยซ้ำ
“กลับบ้านกันคุณ” ดนัยบอกภรรยาแต่มองลูกชายเป็นเชิงบอกว่ารวมอีกฝ่ายด้วย
“ผมขออนุญาตไปส่งน้องที่บ้านครับ” ดีนเอ่ยขึ้นมาในตอนที่ผู้ใหญ่ทั้งสองลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกไป
คนสูงวัยกว่าปรายตามองคนร้องขอแวบหนึ่งก่อนหันมองลูกชายตัวเอง สองพ่อลูกประสานสายตากันนานทีเดียวในความรู้สึกของคนรออย่างดีนจนกระทั่งอีกฝ่ายพูดออกมาเสียงเรียบว่า “กลับไปเจอกันที่บ้านนะรณณ์”
ดีนคลี่ยิ้มบางขณะที่คนเป็นลูกชายยิ้มกว้างออกมาอย่างเปิดเผยให้กับคำทิ้งท้ายของคนเป็นพ่อ
“ไม่ต้องขับรถเร็วล่ะ ผมไม่รีบ”
ผลของคำบอกนั้นคือนอกจากจะยังนั่งดื่มกาแฟกันต่อแล้วคุณดีนยังขับรถช้ามากที่สุดในชีวิตอีกด้วย สองเสียงดังประสานกันตามเนื้อเพลงที่เปิดผ่านวิทยุอย่างมีความสุข ไร้บทสนทนาใด ๆ แม้ว่าจะอยู่กันตามลำพังแล้วก็ตาม
“Don’t be confused by my smile,‘cause I ain’t ever been more for real, for real”
นิ้วเรียวเคาะบนพวงมาลัยตามจังหวะดูอารมณ์ดีมากจนคนที่นั่งรถมาด้วยยังหันมองด้วยความแปลกใจ
“อารมณ์ดีอะไรขนาดนี้ครับ”
ดีนหันไปส่งยิ้มให้ เป็นยิ้มที่เต็มตื้นทั้งตาและปาก “พ่อตาเปิดทางให้ทั้งทีก็ต้องอารมณ์ดีสิครับ”
“กะ ก็แค่ยอมให้ไปส่งเองครับ”
ดีนยิ้มกว้างก่อนยื่นมือข้างหนึ่งไปวางบนศีรษะอีกฝ่ายแล้วลูบไปมา “จะให้แปลความนัยประโยคนั้นว่า
ยกให้เลยก็ยังได้นะ”
“คุณดีน!”
ดีนหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งเด็กให้อายม้วนได้ เขาเชื่อว่ารณณ์ต้องเข้าใจในสิ่งที่พ่อตัวเองสื่อออกมา การยินยอมให้อยู่ด้วยกันสองคนและไม่เร่งให้รีบพาไปส่งก็พอจะบอกได้แล้วว่าอีกฝ่ายเปิดทางให้และสบายที่ลูกชายตนมาอยู่กับเขา แต่สิ่งที่รณณ์ยังไม่รู้คือข้อความลับที่พ่อของตนส่งให้ดีนหลังออกจากร้านไปได้ไม่นาน
‘พ่อกับแม่เลี้ยงลูกด้วยความรักให้เติมโตมามีชีวิตที่ดี หวังว่าความรักของคุณจะทำให้เขาได้ใช้ชีวิตที่ดีอย่างมีความสุขเช่นกัน’“ของในถุงด้านหลังนั่น ผมให้คุณนะ”
“ครับ?”
“ของขวัญรับปริญญาไง”
“โธ่ ไม่เห็นจำเป็นเลยครับ” รณณ์ไม่คาดหวังว่าคุณดีนจะให้ของขวัญเนื่องในโอกาสนี้เลย เพราะแค่เวลาอันมีค่าและการดูแลอย่างดีที่อีกฝ่ายมอบให้ก็มีค่ามากกว่าของขวัญชิ้นไหน ๆ แล้ว
“แค่ได้หัวใจผมคุณก็พอใจแล้วใช่ไหมล่ะเบ๊บ”
“ง่อว” รณณ์ลากเสียงยาว “เสี่ยวเหมือนกันนะเนี่ย” แม้จะเขินกับคำหยอดแต่ก็ยังใจกล้าล้อกลับไป
“เกลียดตัวเองอยู่เหมือนกัน” ดีนแค่นหัวเราะหึ รู้สึกว่าที่พูดออกไปนั่นไม่ใช่ตัวเขาเลยสักนิด อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตัวเขาตอนมีความรักอย่างที่เคยคิดไว้ ไม่สิ! ไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าจะมีความรัก แม้จะรู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวเองแต่กลับอยากพูดออกไปเพราะอยากแกล้งอีกฝ่ายเล่นเสียอย่างนั้น
“เกลียดทำไมละครับ พูดความจริงนี่” ประโยคหลังแผ่วเบาจนกลืนหายไปกับเสียงเพลง
“หึ...ร้ายนัก”
รณณ์ยิ้มระรื่นใส่ก่อนเอี้ยวตัวไปหยิบของขวัญที่เบาะหลัง รอยยิ้มบางผุดทันทีที่เห็นสิ่งนั้น เด็กหนุ่มนั่งมองถุงขนาดกลางของห้างชื่อดังที่ภายในมีกล่องเปลือยโชว์แบรนด์หราไร้ซึ่งการห่อปกปิดใด ๆ ทั้งสิ้นแบบไม่ปล่อยให้คนรับได้จินตนาการเลยสักนิด
“ชอบไหม”
“มือสั่นเลยเนี่ยคุณดีน ดูดิ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ยื่นมือออกไปจับแขนอีกฝ่ายเพื่อพิสูจน์ให้รู้ว่ามันสั่นแค่ไหน
ดีนยิ้มเอ็นดู มือคู่นั้นที่สัมผัสตนทั้งเย็นทั้งสั่นจนอดไม่ได้ที่จะวางมือตัวเองทับลงไปเพื่อให้ความอบอุ่น
“หายสั่นแล้วก็แกะดูสิ”
รณณ์แกะกล่องอย่างประณีตบรรจง แม้มือจะยังไม่หายสั่นแต่ก็พยายามแกะจนของภายในปรากฎแก่สายตา
กล้องแอ็คชั่นแคมแบรนด์ดังรุ่นใหม่ล่าสุดนอนนิ่งอยู่ในกล่องพร้อมอุปกรณ์เสริมครบชุด จะว่ากำลังต้องการอยู่ก็ไม่ใช่ ที่ดีใจจนเนื้อเต้นเพราะไม่คาดคิดว่าคุณดีนจะซื้อสิ่งนี้ให้ต่างหาก
“มันน่าจะมีประโยชน์กับเบ๊บนะ” นานมากแล้วที่ไม่ได้ซื้อของขวัญให้ใครสักคนนอกจากอาม่าที่มักจะอยากได้ของเดิม ๆ กว่าจะได้กล้องตัวนี้มาดีนคิดจนหัวแทบแตก ของที่ใช้งานได้ มีประโยชน์และเหมาะกับหน้าที่การงานของคนที่เพิ่งเริ่มชีวิตวัยทำงานคงไม่ใช่ปากกาหรู ๆ สักแท่งเหมือนอย่างที่เขาเคยได้ เนคไทเส้นสวยก็คงไม่จำเป็นเท่าอุปกรณ์อะไรสักอย่างที่เหมาะกับสายงาน
รณณ์ฉีกยิ้มกว้าง “มากทีเดียวครับ ขอบคุณมากนะครับ”
ดีนมองคนที่เอาแต่สนใจฟังก์ชันนั่นนี่ของเครื่องมือคู่กายชิ้นใหม่แล้วอดไม่ได้ที่จะเย้าแหย่ “ไหนล่ะรางวัล”
“ครับ?
“รางวัลของผมไงเบ๊บ”
คนถูกขอรางวัลเม้มปากแน่นอย่างชั่งใจ “อย่าเม้มปากบ่อย เดี๋ยวก็งัดด้วยปากซะเลย”
“โถ่...คุณดีน”
“อะไรเล่า นี่รอรางวัลอยู่นะ”
รณณ์รั้งรอให้รถจอดสนิทตอนติดไฟแดงก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มอีกฝ่ายฟอดใหญ่ ดีนยกยิ้มทว่ายังไม่พอใจ
“เบ๊บ”
“ค...” ดีนปิดช่องทางของเสียงด้วยสิ่งเดียวกันของตน ในใจนับเลขถอยหลังด้วยจำนวนวินาทีที่น้อยกว่าตัวเลขล่าสุดที่มองสัญญาณไฟเล็กน้อย เรียวลิ้นเกี่ยวพันหยอกล้อกันและกันอย่างไม่มีใครยอมใครให้ความรู้สึกหวาบหวามและซาบซ่านมากขึ้นทุกครั้งที่สัมผัสกันแบบนี้
สาม
สอง
หนึ่ง
ริมฝีปากดูดดึงกันจนเกิดเสียงก่อนที่ดีนจะผละออกด้วยความเสียดาย
“แวะคอนโดผมก่อนไหม คุณพ่อคุณบอกว่าไม่รีบนี่” สิ้นคำกล่าวรถคันหรูก็กระชากตัวออกไปด้วยความเร็วที่มากที่สุดเท่าที่ดีนเคยขับมาเช่นกัน
“คุณดีน!” รณณ์ว่าขำ ๆ
เขาเคยคิดว่าตัวเองชอบกลิ่นกาแฟเวลานั่งอยู่ด้วยกันกับคุณดีนมากแล้ว เพิ่งรู้ว่าชอบรสขมของมันที่ติดริมฝีปากยามคุณดีนถอนจูบออกไปมากกว่า
รัก.
----------------------------------------------------
หลายคนอาจสงสัยในคำพูดคำจาของพี่ทศ อยากจะบอกว่าที่ทศพูดมันได้ถูกเฉลยในแง่ของปัญหาที่ดีนกับรณณ์ได้พบเจอแล้วค่ะ นั่นคือทศมองเห็นความไม่เหมาะสมของการสนิทสนมกันของเด็กฝึกงานกับเจ้านายค่ะ ถ้าไม่ชัดเจนธัญญ์ขออภัยด้วยยยยย
ตอนพิเศษมีทั้งหมด 5+ ตอนนะคะ ที่บวกคืออาจมีเพิ่ม แต่ที่แน่ๆคือ 5 ตอนตามนี้ค่ะ
1. รณณ์ แฟนกู (ลงเล้า)
2. Congratulations (ลงเล้า)
3. 1st Anniversary ……...ครบรอบ 1 ปี ในวันวาเลนไทน์ คุณดีนคนที่มีความรักแล้วจะยอมทำนิตยสารไลฟ์ ฉบับเลิฟ รึเปล่านะ
4. งานเลี้ยง 70 ปี อักษรฯ …………..เมื่อน้องรหัสปล่อยข่าวลือจนรู้กันทั้งคณะว่าดีนมีแฟนแล้ว หลายคนในคณะจึงตื่นเต้นกับงานเลี้ยงในคืนนี้เป็นพิเศษ
5. Road trip หอบรักไปพักร้อน ………..ทำงานครบ 1 ปีแล้วก็ถึงเวลาลาพักร้อน! ควงคู่กันไปเมลเบิร์น เมืองที่เด่นทั้งศิลปะ กาแฟ และธรรมชาติ
สุดท้ายนี้ ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ทุกกำลังใจที่มอบให้และทุกการชอบแล้วบอกต่อนะคะ เคยมีคนวาดรูปฉากบนดาดฟ้าให้แต่ธัญญ์มีปัญหากับการอัพรูปในนี้มากๆก็เลยอัพให้้ดูกันไม่ได้ แต่อยากขอบคุณมากนะคะ ใครอยากรู้ว่ารูปไหนก็ไปดูได้จากดิสทวิตเตอร์ของธัญญ์ค่ะ
#ไม่ดิ้นรนหาสิ่งที่อยากฝาก
1. เร็วๆนี้จะเอาเรื่องของแรมกับธันวามาลงค่ะ เรื่องมี 15 ตอน เหมือนจะสั้นแต่ยาว อาจมีการแบ่งพาร์ทในการลง ชื่อเรื่อง
#แรมเดือนสิบสอง เป็นชีวิตสมัยยังเป็นนักศึกษาแพทย์ ยังไม่ได้รักกันอย่างทุกวันนี้ ‘ถึงเวลาที่คืนจันทร์แรมจะโคจรเข้าครอบครองเดือนสิบสองแล้ว’
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67032.msg3822903#msg38229032. พี่คริสก็จะมีเรื่องของนางด้วย ชื่อเรื่อง
#LoveResearch #วิจัยในรัก 5 ปีที่หัวใจไม่มีใครได้ครอบครองและสมองที่ยังคงค้นหาคำตอบของความรักในแบบของน้องชายทำให้เขายื่นโปรไฟล์เข้าร่วมงานวิจัยของนักวิชาการคนหนึ่ง (ในตอนนี้จะสังเกตเห็นว่าแวบหนึ่งคริสเกิดคำถามขึ้นมาตอนที่อยู่ในห้องของดีน)
3. หมอเก่งของเราจะมีแฟนเด็กกว่าคุณดีนหรือเปล่าต้องติดตามในเรื่อง
#CCU #วิกฤติรักห้องพักหัวใจ ‘กฎของการเข้าพักคือห้ามรักหมอ’ ชีวิตของแพทย์ประจำบ้านอายุรกรรมประจำหน่วยหัวใจห้อง CCU จะมี ‘เด็กเวร’ เข้ามาป่วนจนหัวใจเข้าขั้นโคม่ายิ่งกว่าคนไข้ที่หมอเคยเจอมาเสียอีก!
ขอฝากติดตามทุกคู่ด้วยนะคะ
ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์