------------------------------
เคยไหม...ที่รู้สึกโดดเดี่ยว ทั้ง ๆ ที่อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย
เคยไหม...ที่รู้สึกว่างเปล่า ทั้ง ๆ ที่ชีวิตถูกเติมเต็มอยู่ตลอดเวลา
เคยไหม...ที่รู้สึกเหงา ทั้ง ๆ ที่มีคนอยู่ข้างกาย
และเคยไหม...ที่รู้สึกได้ว่า ในชีวิตที่สมบูรณ์แบบนั้น กลับมีบางสิ่งบางอย่าง...ได้ขาดหายไป..
------------------------------
สายลมพัดเอื่อย ๆ เสียงใบไม้พัดไหวทำให้จิตใจสงบเงียบ...เงียบ..เกินไป
เกิน จนก้าวข้ามสู่ความรู้สึก...เหงา
สองมือพนมไหว้ เบื้องหน้าคือเจดีย์ขนาดกลางที่บรรจุสิ่งล้ำค่า...
อัฐิของผู้ให้กำเนิดทั้งสอง
ผู้ที่ให้กายเนื้อ ให้ชีวิต ให้จิตวิญญาณ
และสุดท้าย..ก็จากไปพร้อมกับ..ดวงใจ ของคนที่อยู่เบื้องหลัง
กลิ่นดอกมะลิหอมโชยมาตามลม
แม่ชอบดอกมะลิ จำได้ว่าเมื่อตอนเด็ก ๆ ที่บ้านปลูกไว้หลายสิบไร่
แม่บอกว่าพ่อปลูกให้เองกับมือ ค่อย ๆ บรรจงปลูกทีละต้นสองต้น สุดท้ายที่ดินเกือบทั้งหมดก็เต็มไปด้วยต้นดอกมะลิ
เคยถามพ่อ..พ่อไม่เหนื่อยหรือ ที่ดินที่มีไม่ใช่น้อย ๆ เลยนะ
พ่อตอบกลับด้วยรอยยิ้ม เหนื่อยแค่ไหนก็ยอม สิ่งสำคัญของพ่อไม่ใช่ต้นดอกมะลิ
หากแต่คือรอยยิ้มของแม่
พ่อบอกว่าหัวใจของพ่อ ให้แม่ไปเลยครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งแบ่งเป็นสองส่วน หนึ่งส่วนให้ลูก อีกส่วนเก็บไว้แบ่งให้สังคม
จำได้ว่าโวยวายไปพักใหญ่ว่าทำไมถึงไม่ยอมเอาให้ทั้งหมด
พ่อยิ้มก่อนที่จะอธิบาย พ่อรักแม่ เลยให้หัวใจไปเลยครึ่งดวง เหมือนกับแม่ ที่ให้หัวใจพ่อมาครึ่งดวงเหมือนกัน
ดวงใจทั้งสองคน รวมกันเป็นหนึ่งดวง
เหมือนลูก ได้ดวงใจจากพ่อและแม่ไปรวมกันได้ครึ่งดวง
อีกครึ่งดวง ลูกต้องค้นหาเอาเอง
พ่อและแม่ ไม่สามารถอยู่กับลูกไปได้จนวันสุดท้ายของชีวิต
ถึงแม้ลูกจะหาอีกครึ่งของดวงใจไม่เจอ แต่จงรู้ไว้ อีกครึ่งของดวงใจลูกจะมีความรักของพ่อและแม่อยู่เสมอ
...
ทั้ง ๆ ที่รับรู้และเข้าใจ พอถึงเวลาแห่งการจากลา กลับทำใจได้ยากเสียเหลือเกิน
มือเรียวยกขึ้นไหว้จรดคิ้วเพื่อบอกลาก่อนที่จะลุกขึ้นยืน
ดวงใจอีกครึ่งดวง...คงจะได้เจอในสักวัน
และหวังว่า..มันคงจะมาเติมเต็มบางสิ่งบางอย่าง ที่รู้สึกว่าขาดหายไปได้...
------------------------------
‘...ในยามที่ท้อแท้ ขอเพียงแค่คนหนึ่ง จะคิดถึง และคอยห่วงใย
ในยามที่ชีวิต หม่นหมองร้องไห้ ขอเพียงมีใคร ปลอบใจสักคน...’------------------------------
------------------------------
ทุก ๆ วันยังคงเหมือนเดิม
ตื่นแต่เช้า เปิดโทรทัศน์เพื่อติดตามข่าวสารบ้านเมือง
ก่อนจะเดินไปเสียบปลั๊กกาน้ำร้อน หยิบถ้วยกาแฟใบเดิม แล้วเทกาแฟสำเร็จรูปลงไป รอน้ำร้อนเดือน แล้วกดใส่แก้ว มือเรียวเอื้อมหยิบขนมปังแถวและแยมในตู้เย็น ก่อนที่จะเดินไปนั่งที่โซฟา
หลังจากทานเสร็จแล้วก็ปิดโทรทัศน์ ลุกเอาแก้วไปวางไว้ในซิ้งค์ล้างจาน ตอนเย็นค่อยกลับมาล้าง ก่อนที่จะเดินไปหยิบกระเป๋าเอกสาร ก่อนออกจากบ้านเช็คความเรียบร้อยของประตูหน้าต่าง แล้วเดินมาที่ตู้รองเท้า ก่อนที่จะสุ่มหยิบออกมาคู่หนึ่ง
รถ BMW สีน้ำเงินเข้ม ขับออกจากบ้านไปสู่เส้นทางเดิม ๆ รถยังคงติดเหมือนเคย ต้องใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงจึงจะสามารถเดินทางมาถึงบริษัทได้ แต่มันก็เป็นอีกเรื่อง...ที่ยังคงเหมือนเดิมอยู่ทุกวัน
เดินเข้าไปในบริษัท พนักงานทุกคนที่เดินผ่านต่างก็ยกมือไหว้ บางคนก็เอ่ยปากทักทาย ใช้เวลาราว ๆ 20 นาทีกว่าที่เขาจะเดินมาถึงห้องทำงานที่อยู่ชั้นบนสุดของตึกได้
หลังจากที่วางกระเป๋าไว้บนโต๊ะและนั่งลงบนเก้าอี้แสนนุ่มราคาแพงริบ เลขาสาวก็เดินเอาน้ำเปล่ามาให้พร้อมกับกำหนดการในวันนี้
....
ชีวิตยังคงเหมือนเดิม...ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เข้าประชุมบริษัท
ไปพบลูกค้า
ตอนเที่ยงก็ออกไปทานข้าวกับ นิสา แฟนสาวที่เป็นแพทย์หญิงระดับผู้บริหารของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง
ตอนบ่ายก็กลับเข้ามาที่บริษัท จมอยู่กับกองเอกสาร
เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้องส่งเสียงประท้วงว่าได้เวลาหยุดทำงานเสียทีทำหรับวันนี้
นาฬิกาบอกเวลา 2 ทุ่ม
และมีมิสคอลจากนิสาอีก 4 สาย
หลังจากโทรไปขอโทษที่ไม่ได้รับสายและปฏิเสธการร่วมรับประทานอาหารเย็นตามประสาคนรักแล้ว เขาก็เก็บกระเป๋าเตรียมที่จะกลับบ้าน
...
ทั้ง ๆ ที่ใช้ชีวิตเหมือนเดิมอย่างทุก ๆ วัน
แต่ทำไม ข้างใน...ถึงรู้สึกว่างเปล่ามากยิ่งกว่าเดิม
------------------------------
‘...ในวันที่โลกร้าง ความหวังให้วาด มันขาดมันหาย ใครจะช่วยเติม
เพิ่มพลังใจ ให้ฉันได้เริ่ม ต่อสู้อีกครั้ง บนหนทางไกล...’------------------------------
------------------------------
BMW สีน้ำเงินเข้มยังคงแล่นอยู่บนถนนที่เต็มไปด้วยรถรามากมายอยู่เหมือนเดิม
แต่สิ่งที่แตกต่างไป คงเป็นจุดหมาย..ของการเดินทางครั้งนี้
รถค่อย ๆ เคลื่อนที่อย่างช้า ๆ ก่อนที่จะหยุดลง ตรงวัดแห่งหนึ่งที่อยู่ติดกับริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ร่างสูงถอดเสื้อสูทวางไว้ตรงเบาะหลังก่อนที่จะเดินออกจากรถ
ลมค่อนข้างแรง แต่ก็ทำให้สดชื่นขึ้นเล็กน้อย
ขายาวค่อย ๆ เดินเรียบริมฝั่งแม่น้ำ ไปจนถึงสะพานข้าม
ในถนนมีรถมากมาย ห้อมล้อมด้วยแสงสีสุดสวย ดึงดูดให้ใครหลาย ๆ คนเดินเข้ามาชม
หากแต่สิ่งที่มีอยู่ นั่นก็คือมลพิษจากท่อไอเสียรถ
แต่ใครจะสนใจ สิ่งที่ดึงดูเขามาไม่ใช่สิ่งเหล่านี้ แต่คงเป็น..ความเหงา หรือว่าเบื่อหน่าย?
บางทีระยะทางบนสะพานแห่งนี้อาจจะทำให้ความรู้สึกบางอย่างนั้น จางหายลงไปบ้าง
------------------------------
‘...กำลังใจจากใครหนอ ขอเป็นทานให้ฝันให้ใฝ่
ให้ชีวิตได้มีแรงใจ ให้ดวงใจลุกโชนความหวัง...’------------------------------
------------------------------
มีผู้คนเดินอยู่บนสะพานประปราย
ส่วนใหญ่เป็นคู่หนุ่มสาววัยรุ่นที่จูงมือกันมาอย่างไม่แคร์สายตาใคร ๆ
บางคนก็พาสัตว์เลี้ยงมาเดินเล่น
อีกหลาย ๆ มุมก็มีคนจรจัดนอนพักอาศัยอยู่
เมื่อเดินมาได้ครึ่งสะพานเขาก็หยุดเดิน ก่อนที่จะหันหน้าไปมองผืนน้ำสีหมึกเบื้องหน้า
จิตใจเต็มไปด้วยความฟุ้งซ่านที่ว่างเปล่า ความวุ่นวายที่เงียบเหงา
เหนื่อยเหลือเกินกับการเดินทาง
สายน้ำเบื้องล่างหมุนเกลียวเป็นวังน้ำวนขนาดย่อม
ราวกับจะดึงดูดความรู้สึกบางอย่างภายในใจ
แค่เพียงก้าวผ่านราวกั้นบาง ๆ
ก็เหมือนได้ก้าวไปสู่ความสงบอันเป็นนิรันดร์
ปราศจากทุกสิ่ง..
ดำดิ่งสู่ความมืดมิด..ที่แสนอ้างว้าง
...
นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการหรือ?
...
“น่ากลัวนะครับ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นฉับพลันทำเอาร่างสูงสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะหันกลับมามองคนเอ่ย
ชายตรงหน้ามีรูปร่างและความสูงพอ ๆ กับเขา นัยย์ตาสีน้ำตาลเข้มที่ถูกบดบังอยู่ภายใต้กรอบแว่นหนานั้นทอแสงอบอุ่นออกมาตลอดเวลา
ราวกับเวลาหยุดนิ่ง
“น้ำวนข้างล่างนั่น ถ้ามีใครหล่นลงไป คงจะยากที่จะรอดชีวิตนะครับ”
“แม่น้ำเจ้าพระยาตอนกลางคืนนี่เย็นอย่าบอกใคร ผมเคยลงไปว่ายเล่นกับเพื่อนที่แถว ๆ บ้าน ตะคริวกินเกือบตายกันเลยทีเดียว”
ชายใส่แว่นขยับตัวเล็กน้อยก่อนที่จะหันมาสบสายตาด้วย ริมฝีปากเรียวแย้มรอยยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น
“ผมเห็นคุณเดินมาจากฝั่งนู้น นี่ก็ครึ่งทางแล้ว ไม่เดินต่ออีกหน่อยหรือครับ?”
รอยยิ้มอันแสนอบอุ่นนั้นยังคงแย้มอยู่ เพื่อรอคำตอบจากเขา
“ไม่ล่ะครับ ถึงเดินไปฝั่งนู้น มันก็คงไม่แตกต่างอะไรกับฝั่งที่ผมเดินมามากนัก”
“ยังเดินไปไม่ถึง...คุณจะรู้ได้ยังไง ว่ามันไม่แตกต่าง...”
ราวกับมีค้อนทุบเข้ามากลางศีรษะเขาอย่างจัง
ชายตรงหน้ายกมือขึ้นมาตรงหน้า ก่อนที่นะพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“มาเถอะครับ อีกครึ่งทางนี้ ผมจะเป็นคนพาคุณไปเอง”
เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เขายกมือขึ้นไปวางบนมือหนาที่แสนอบอุ่นนั้น
เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เขาเริ่มออกก้าวเดิน ตามแรงขับเคลื่อนของชายแปลกหน้า
รู้ตัวอีกที เขาก็ก้าวขาลงบนพื้นดินอันแสนแข็งแกร่ง
ชายใส่แว่นยิ้มกว้าง
“ในที่สุด คุณก็มาถึงฝั่งนี้จนได้ เหนื่อยไหมครับ?”
เขาส่ายศีรษะ อย่าว่าแต่เหนื่อยเลย เขาแทบไม่รู้สึกตัวเสียด้วยซ้ำว่าได้เดินมาถึงฝั่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“คุณรู้ไหม ว่าทำไมคุณถึงเหนื่อยจนต้องหยุดลงแค่กลางทาง..
..นั่นก็เพราะคุณเดินมาแค่คนเดียว..
..ขาของคุณกำลังก้าวเดิน แต่สิ่งที่สั่งให้ขาของคุณเดินนั้น ก็คือตรงนี้”
หนุ่มแว่นชี้ไปที่กลางอกของเขา ที่ ๆ บางอย่างกำลังเต้นรัวอยู่ภายใน
“การที่คุณเดินมาต่อจนมาถึงฝั่งนี้ได้ นั่นก็เพราะเราเดินมากันสองคน หากมีคนใดคนหนึ่งเหนื่อยล้า อีกคนจะคอยฉุดรั้งให้เดินต่อไป
..ท้ายที่สุดก็ถึงจุดหมาย..ทั้งสองคน”
ดวงตาทั้งสองข้างสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้น
มือหนาของคนตรงหน้าเอื้อมมาสัมผัสบริเวณแก้มอย่างแผ่วเบา ก่อนที่จะบรรจงเช็ดสายน้ำใสที่หลั่งรินออกมาอย่างเบามือ
“ให้ผม...เป็นอีกครึ่งหนึ่งของหัวใจคุณ...ได้ไหมครับ?”
------------------------------
‘...กำลังใจจากใครหนอ ขอเป็นทานให้ฉันได้ไหม
ดั่งหยาดฝนบนฟากฟ้าไกล ที่หยาดริน สู่ผืนดินแห้งผาก...’------------------------------
------------------------------
‘แล้วซักวันหนึ่ง ลูกจะค้นพบ ดวงใจอีกครึ่งในชีวิต คนที่พร้อมจะเดินเคียงข้างลูกไปจนวันสุดท้าย แทนส่วนของพ่อและแม่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้จำเอาไว้
...ความรัก..จะอยู่เคียงข้างลูกเสมอ
ตราบเท่าที่ลมหายใจสุดท้ายจะหมดลง...’รัก...รัก... และรัก------------------------------
~จบ~
---------------------------
แต่งเพิ่งเสร็จเมื่อกี้เองค่ะ
เป็นเรื่องสั้นอีกเรื่องที่เก่งค่อนข้างพอใจ แต่งเอง อ่านเอง ยิ้มเอง
ขั้นเวลาก่อนที่จะไปแต่งอีกเรื่องให้จบ แหะ ๆ
ขอตัวกลับไปปั่นเรื่องเดิมให้จบค่ะ