“อยู่อีกวันมั้ยพรุ่งนี้” พี่มันชวน
ผมนิ่งคิดเล็กน้อยแต่ก็ต้องปฏิเสธ “ไม่ดีกว่า หยุดเรียนหลายวันแล้วกลัวเรียนไม่ทันเพื่อน” เกือบจะใจอ่อนเมื่อเห็นหน้าพี่บั๊คหมองลงแต่ก็ต้องใจแข็งเพื่ออนาคต
อนาคตที่เราต้องเป็นคนกำหนดเอง ถึงในวันนี้มีพี่บั๊คอยู่แต่ก็ไม่รู้ว่าอีกหน่อยจะมีพี่มันคอยซับพอร์ทแบบนี้หรือไม่ อย่าคิดว่าอะไรจะเป็นเหมือนเดิมไปตลอด ความแน่นอนเพียงอย่างเดียวก็คือความเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นเราต้องสร้างสมบัติไว้เป็นของเราเอง และสิ่งที่เป็นสมบัติส่วนตัวได้จริงๆ ก็คือความดีและความรู้ สองสิ่งนี้ไม่มีใครสามารถขโมยไปจากเราได้จนกว่าเราจะตายนั่นแหละ
“งั้นก็ตามใจครับเด็กรักเรียน” มันแซะผมนิดๆ พร้อมกับขยี้ผมอย่างหมั่นเขี้ยว ได้อยู่กับพี่มันแบบนี้แล้วสบายใจ ยิ่งรักมากขึ้นเพราะเราคุยกันได้ทุกเรื่องโดยไม่ขัดแย้งกันมากเกินไป นึกถึงพี่ดินแล้วแอบขนลุก ถ้าผมเป็นแฟนไอ้พี่ดินจริงๆ คงได้แค่วันเดียวเพราะต้องคอยระแวงว่ามันจะมีแผนอะไรแถมยังไม่ฟินเวลาปล่อยมุกแล้วมันไม่สะทกสะท้าน
“ขอบคุณครับผู้ใหญ่รักเด็ก” แต่ถ้าเป็นคนนี้น่ะ ผมฟินได้ตลอดเลยล่ะ ก็ดูสิ พูดแค่นี้มันก็ทำหน้าไม่ถูกแล้วละ พี่บั๊คมันน่ารักน่าแกล้งจริงๆ
พี่มันได้แต่ยิ้มเขินรับคำขอบคุณจากผมแล้วก้มลงจูบเบาๆ เริ่มจากแผ่วเบานุ่มนวลและเพิ่มดีกรีขึ้นเรื่อยๆ ปลายลิ้นอุ่นชื้นระเลียดไปตามกลีบปากอย่างแผ่วเบาจนริมฝีปากผมเผยอขึ้น ผมเฝ้ามองสายตาและปลายลิ้นเรียวสลับกันไปมาด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก ไม่ชินซะทีเวลาที่พี่มันจูบ รู้สึกวูบวาบและตื่นเต้นทุกครั้งด้วยใจจดใจจ่อรอดูว่าพี่มันจะทำอะไรต่อไป
และคืนนี้ผมก็เสียตัวไปอีกสองรอบถ้วน ตอนแรกพี่มันก็พอแล้วล่ะแต่ตอนที่พากันไปอาบน้ำ เป็นผมเองที่ลองยั่วมันดู อยากรู้สกิลของตัวเองว่าประมาณไหน ปรากฏว่าเสร็จในอ่างไปอีกหนึ่ง ฮือออ กูไม่น่าเลย ไม่น่าทำร้ายตัวเองเลยยยย
สายๆ ของอีกวันเราก็กลับกรุงเทพ ส่วนพวกที่เหลือยังไม่ยอมกลับ ดูจะเข้ากันได้ดีเหลือเกิน พี่บั๊คบอกว่าแม่จ๋ามีเพื่อนในวงสังคมชั้นสูงแต่ต้องคอยระแวงระวังตลอดว่าใครจะนินทาลับหลัง แต่พออยู่กับครอบครัวผมแม่จ๋าก็กลับมาเป็นผู้หญิงธรรมดาที่มีเพื่อนสนิทที่ไม่ต้องคอยวางมาดและไม่ต้องกลัวว่าจะโดนแทงข้างหลังอีกเลย พี่บั๊คบอกว่าดีใจที่เห็นแม่กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนตอนอยู่กับพ่ออีกครั้ง ซึ่งผมรู้สึกดีในจุดนี้มากเหมือนกัน
ตอนเดินทางผมก็หลับตลอดเพราะความเพลียแถมยังกลับไปนอนหลับที่บ้านสลัดต่ออีกจนถึงเช้า พี่บั๊คขอใบรับรองแพทย์จากหมอเกดให้ถึงวันนี้พอดี เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้ก็จะได้ไปเรียนแล้ว
รุ่งเช้าพี่บั๊คมาส่งที่มหาวิทยาลัยแต่เช้าตรู่ ผมเดินเรื่องลาเรียนเสร็จแล้วจึงขึ้นห้องไปสมทบกับพรรคพวก
“ไอ้กายกับไอ้เดย์ล่ะ” ผมถามไอ้ไนท์ที่นั่งหน้าบูดอยู่หลังห้องแค่คนเดียว
“ไอ้กายลา ไอ้เดย์งอนไปไหนไม่รู้” ผมเลิกคิ้วอย่างฉงน
“ไอ้เดย์งอน!?” ผมทวนคำ
“อือ” ปากล่างไอ้ไนท์ยื่นออกมาอย่างไม่พอใจ
“งอนมึงเนี่ยนะ” ถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“อือ” คิ้วไอ้ไนท์ย่นขึ้นทุกที
“มึงไปขโมยเกงในมันมาดมเหรอวะถึงได้งอน คิๆๆ” แกล้งแหย่หวังให้มันหายหน้างอแต่ก็ไม่ได้ผล
น่าแปลกมากที่ไอ้เดย์งอนหรือโกรธไอ้ไนท์ เท่าที่คบกันมาผมไม่เคยเห็นสักครั้งเลยละ
“กูแค่ให้มันสอนอะไรนิดๆ หน่อยๆ แต่แม่งหวงวิชา บอกกูว่าไม่ใช่เรื่องของมันแล้วก็ไม่อยู่หอเลย ไม่มาเรียนพร้อมกู ไม่นั่งเรียนกับกู ไม่กลับพร้อมกูด้วย” โห นี่เรื่องใหญ่นะเนี่ย ไอ้เดย์กระด้างกระเดื่องขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย
ผมซักไซ้ไล่เรียงถึงต้นสายปลายเหตุและถึงกับเงิบเมื่อได้รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
“หะหะหะ กูไม่รู้ด้วยว่ะเรื่องนี้” หัวเราะแห้งๆ ใส่ไอ้ไนท์เมื่อฟังจบแล้วมันถามว่า ‘กูผิดตรงไหน’
คือมึงไม่ได้ผิดหรอกแต่มึงโง่! อยากถามเหลือเกินว่าแม่งทาโลชั่นและฉีดฟิลเลอร์ให้สมองรึเปล่า ทำไมสมองมึงถึงนุ่มนิ่มไร้รอยหยักแบบนี้วะ
“มึงก็เป็นพวกไอ้เดย์ใช่มั้ยล่ะ” มันค้อนใส่จนตาคว่ำ
“เปล่าๆ กูแค่ไม่รู้จะเข้าข้างใคร เอาเป็นว่ากูจะนั่งเรียนกับมึงแต่มึงต้องสัญญาว่าจะรับมุกควายแทนไอ้เดย์นะ โอเค๊” ไอ้ไนท์มันไม่ชอบอยู่คนเดียวเพราะไอ้เดย์ไม่เคยปล่อยให้ต้องโดดเดียว ผมจึงต้องง้อมันด้วยการอยู่เคียงข้างมันไปก่อน
“เออๆ กูจะพยายาม” ไอ้ไนท์รับคำแล้วทำหน้าบูดต่อไป
ตลอดวันไอ้เดย์ไม่เข้ามาหาเลย มันไปนั่งกับอีกกลุ่มที่เราไม่ค่อยสนิท ผมแอบโทรหามันแต่มันก็ไม่รับแล้วแอบโบกมือกลับมาทักทายประมาณว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวเคลียร์เอง
ทั้งวันผมต้องทนอยู่กับคนหน้าบูดบึ้ง โดนโกรธเพราะอะไรแม่งยังไม่รู้ตัว นอกจากไม่ไปง้อแล้วแม่งยังไปโกรธเค้ากลับอีก ไอ้เหี้ยไนท์แม่งโง่เกินควาย จะด่าควายก็สงสารควายเพราะมันฉลาดกว่าไอ้ไนท์เยอะ เฮ้อ กูเครียดแทนไอ้เดย์เลยว่ะ
พอถึงคาบสุดท้ายก็มาคิดว่าจะทำยังไงดี วันนี้บอกพี่บั๊คว่าจะซ้อมบาสแต่ไอ้ไนท์ไม่มีอารมณ์แล้วสั่งให้พวกปีหนึ่งซ้อมกันเอง ผมก็เลยไม่ซ้อมด้วย รอไอ้เดย์ไอ้ไนท์มันดีกันแล้วค่อยมาซ้อมพร้อมกันดีกว่า
“ไปเซอร์ไพรท์คุณแฟนดีกว่า อิๆ” เดินแกว่งเป้อย่างสบายอารมณ์แล้วโหนรถเมล์ไปหาพี่บั๊คที่บริษัท ลงป้ายใกล้ๆ แล้วซื้อลูกชิ้นปิ้งเดินกินไปเรื่อย พอใกล้ถึงทางเข้าก็เห็นรถพี่บั๊คเลี้ยวออกไป จะเรียกก็ไม่ทัน พอควานหาโทรศัพท์ก็ดันแบตหมดซะอีก
ผมรีบโบกแท็กซี่ให้ตามรถพี่บั๊คไป ไม่รู้พี่มันไปไหนเพราะเป็นคนละทางกับบ้าน
“หรือว่าไปหาแฟนเก่ามันวะ” หน้าผมนี่ร้อนวูบ ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม รู้สึกเหมือนโดนค้อนทุบลงมากลางหัว ที่บอกว่าไม่มีใครแล้วคือโกหกใช่มั้ยวะ หรือยังไงกันแน่ ตอนนี้ต้องตั้งสติ อย่าทำตัวเหมือนนางร้ายที่มโนแต่เรื่องร้ายๆ พี่มันอาจไปติดต่องานที่อื่นก็ได้
ใจเย็นๆ ร้องเพลงสิ เพลงอะไรดีวะ “คนของฉันต้องเป็นของฉัน ต้องมีแค่ฉัน คนของฉันถ้ายังรักเขาก็เป็นของเขา” ม่ายยย เพลงบิ้วไปอีก ไม่เอาๆ ตั้งสตินะจ้าว คุยสิ คุยกับพี่คนขับ จะได้ใจเย็นลง
“พี่ครับ ไปเร็วๆ หน่อยครับ เดี๋ยวตามไม่ทัน” ฉิบหาย ไอ้จ้าวคนใจเย็น คนลั้ลลาหายไปแล้ว ฮืออ ความรักทำให้ขาดสติแบบนี้นี่เอง โอยย ใจกูร้อน อยากเหาะไปเองแล้วเนี่ย!!
ในที่สุดรถพี่บั๊คก็เลี้ยวเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่งที่ผมรู้สึกคุ้นตาอย่างมาก ผมบอกพี่คนขับให้จอดก่อนจะถึงทางเข้าเล็กน้อยและเดินเข้าไป บอกรปภ.ว่ามาหาพี่บั๊คคนที่พึ่งขับรถเข้าไปและเขาก็เชื่อเพราะพึ่งเห็นพี่บั๊คเข้าไปจริงๆ
ผมเดินเข้ามาในล็อบบี้อย่างงงๆ มันไม่ใช่แค่คุ้นตาแต่ผมเคยมาที่นี่ ภาพในเช้าวันนั้นรีเพลย์ซ้ำใหม่อย่างแจ่มชัด ผมเดินเข้าไปถามที่ฟร้อน หวังถามว่าสลัดอยู่ห้องไหน แต่พอพูดชื่อพี่บั๊คเขาก็บอกว่าผมคงเป็นคนที่นัดดูห้องที่พี่บั๊คจะขายและบอกให้ผมขึ้นไปหาเลยโดยบอกเลขห้องให้เสร็จสรรพ
ผมกดลิฟท์ขึ้นมาด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ ได้แต่ภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างที่ผมคิด ภาวนาแล้วภาวนาอีกแต่ก็คงไม่เป็นผล
เลขห้องตรงหน้าประตู ตอกย้ำความรู้สึกในวันนั้นให้เจ็บปวดขึ้นมาเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น ประตูห้องไม่ได้ล็อคเพราะคงรอให้คนมาดูจริงๆ ผมเดินเข้าไปแล้วกวาดสายตามองไปรอบห้อง ทั้งโซฟาแบบเดียวกับที่บ้านริมทะเล ทั้งความคุ้นตาของสภาพห้องที่ผมเคยลากสังขาลออกมาเมื่อวันนั้น เสียงกุกกักดังอยู่ตรงระเบียง พี่มันคงกำลังเก็บของเพื่อย้ายออก คงคิดจะขายเพื่อปิดบังเรื่องในอดีตแล้วทำเป็นว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นที่นี่
ผมไม่สนใจว่าตัวมันจะอยู่ตรงส่วนไหนของห้องแต่ผมต้องการพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผมคิดเป็นจริงแค่ไหน เปิดประตูห้องนอนแล้วก้าวเข้าไปที่โต๊ะทำงาน ทุกก้าวที่เดินมันหนักเหมือนมีหินมาถ่วง ใจหนึ่งก็อยากรู้อีกใจก็กลัวว่าจะรับความจริงได้แค่ไหน
“ขออย่าให้มีอะไรอยู่ในนี้เลยนะ” หยุดยืนภาวนาก่อนจะดึงออกมาแล้วถอนหายใจ ไม่มีสิ่งที่ผมคิดไว้แต่มันก็ยังไม่จบเพราะมีอีกหลายที่ที่ผมต้องหา
ทดลองดึงลิ้นชักด้านล่างแล้วตรวจดู ก็มีแต่เอกสาร ดึงตู้เอกสารที่ตั้งอยู่ข้างโต๊ะก็ไร้วี่แววสิ่งที่ต้องการเจอ ในใจโล่งไปเล็กน้อยแต่แล้วก็แทบหยุดหายใจเมื่อเดินไปเปิดลิ้นชักที่ตู้ข้างเตียง
!!!!!!!!!
ตัวผมชาดิก ภาพที่เห็นคือกระเป๋าสตางค์สีน้ำตาลใบเก่งที่ผมใช้จนเยินแต่ก็ไม่ยอมเปลี่ยน ใกล้กันนั้นมีพวงกุญแจกับโทรศัพท์มือถือยี่ห้อไม่หรูแต่ก็เป็นน้ำพักน้ำแรงที่ผมทำงานพิเศษซื้อหามาด้วยตัวเอง
ขนาดนี้ก็ยังไม่เชื่อว่าเป็นของผมจนต้องเปิดกระเป๋าดูจนยอมจำนนต่อหลักฐานเมื่อเห็นบัตรประชาชนของนายชีวานนท์อยู่ในนั้น ผมหยิบบัตรออกมากำไว้แน่น เจ็บจนจุก อยากร้องไห้แต่น้ำตากลับไม่ไหล ค่อยๆ เก็บของใส่กระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตทีละชิ้นด้วยมืออันสั่นเทา
และในขณะที่กำลังอัดอั้นตันใจอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงของพี่บั๊คดังแว่วเข้ามา
“พี่ยังไม่ได้เก็บของเลยครับ แต่พรุ่งนี้จะจัดการให้เรียบร้อย ชาติกับฟ้าจะย้ายเข้าเมื่อไหร่ล่ะ” คงคิดว่าผมเป็นคนที่จะมาซื้อคอนโดมันล่ะมั้ง แต่พอมันเห็นผมที่ยืนปักหลักรอท่าอยู่กลางห้องก็ถึงกับหน้าถอดสี
“จ้าว!!!!!???” มันหยุดยืนอยู่ตรงประตูไม่กล้าเข้ามาใกล้เพราะคงเห็นรังสีอำมหิตจากผม
เป็นผมเองที่ก้าวเท้าเข้าไปหามันอย่างช้าๆ แล้วหยุดยืนประจันหน้า “ถามคำเดียวเลยพี่บั๊ค...มึงเป็นคนตอแหลมั้ย” เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันถามมันด้วยเสียงที่ดังขึ้นอีก “มึงตอแหลมั้ย!!” ล้วงเข้าไปในเสื้อแจ๊คเก็ตแล้วหยิบของทุกอย่างปาใส่หน้ามันอย่างแรง “มึงตอแหลใช่มั้ย!!!!!”
พี่บั๊คยืนนึ่งไม่หลบแต่ก็สะดุ้งเล็กน้อยเพราะถูกของแข็งกระทบใบหน้าอย่างจังจนมีเลือดซิบออกมาตรงโหนกแก้ม
พวงกุญแจกับกระเป๋าสตางคว่ำหน้าอยู่บนพื้นโดยมีบัตรประชาชนของผมตกอยู่ไม่ไกลจากปลายเท้าของมัน “สนุกมากมั้ย” ข่มอารมณ์อย่างมากไม่ให้ร้องไห้แต่น้ำตากลับมาอออยู่เต็มสองเบ้าตา บ้าสิ้นดี เมื่อกี้อยากร้องกลับร้องไม่ออกแต่ตอนนี้กลับถั่งโถมจนสุดที่จะกลั้น “มึงสนุกมากมั้ยพี่บั๊ค!! ตอบมาสิ ยืนบื้ออยู่ทำไม!!!” แล้วหยดน้ำเจ้ากรรมร่วงลงอาบแก้มในที่สุด “คนอย่างไอ้จ้าวมันโง่มากสินะ กูมันโง่ในสายตามึงมากสินะ ที่ผ่านมาก็คงหัวเราะเยาะในความโง่ของกู ปั่นหัวกู ล้อเล่นกับหัวใจกู และก็ได้ทุกอย่างจากกูไปทั้งตัวทั้งใจเพราะเรื่องโกหกของมึง ทำแบบนี้แล้วมึงภูมิใจมั้ย ภูมิใจมั้ย!!” ผมตวาดสุดเสียงและผลักอกมันอย่างแรงจนพี่มันผวาถอยหลังไปสองสามก้าว นี่เป็นครั้งแรกที่ผมโกรธถึงขนาดนี้ โกรธจนอยากกระโดดถีบยอดหน้ามันสิบทีซ้อนถ้าทำได้
“พี่ขอโทษ” พี่บั๊คมองผมอย่างสำนึกผิดแต่มันไม่ได้มีความหมายอะไรกับผมอีกแล้ว
“หึ ขอโทษเหรอ” แค่นหัวเราะเยาะทั้งคำพูดของมันและความโง่ของตัวเอง น้ำตาที่ไหลอยู่ก็ปล่อยมันไหลไป ไม่คิดจะเช็ดออกเพราะมันเป็นเครื่องตอกย้ำความพ่ายแพ้และถูกย่ำยีศักดิ์ได้เป็นอย่างดี “กูรับคำขอโทษก็ได้พี่บั๊ค” สีหน้าสลัดดูดีขึ้นเล็กน้อยแต่มันก็ดีใจเก้อเมื่อผมพูดในสิ่งที่แม้กระทั่งตัวผมเองยังไม่อยากพูด “จ้าวยกโทษให้แล้ว เราก็ไม่ติดค้างกันนะ เพราะฉะนั้น จากนี้ไปก็ไม่ต้องเจอกันอีก อย่ามาให้เห็นอีก อย่าตามกวนใจ กูไม่พร้อมจะคบหากับคนตอแหล“ และประโยคสุดท้ายที่ผมต้องกัดฟันฝืนใจอย่างมากที่สุดก็หลุดออกไปจนได้ “เราเลิกกันเถอะ!”
พูดจบก็หันหลังออกจากห้องทันที ไม่อยากเห็นหน้ามันอีกแม้แต่วินาทีเดียว แต่เดินไปเพียงไม่กี่ก้าว ข้อมือของผมก็ถูกรั้งไว้
ผมหยุดแต่ไม่ได้หันไปมอง “เลือกเอานะพี่บั๊ค จะให้ยกโทษให้ หรือจะให้เกลียดไปจนวันตาย” แล้วมือหนาของมันค่อยๆ คลายออกทีละนิ้วจนหลุดออกไปในที่สุด
ผมเดินออกมาจากคอนโดด้วยหัวใจแหลกสลาย โดนหลอกมาได้ยังไงตั้งขนาดนี้ ทำไมไม่เคยเอะใจอะไรเลย แต่ถ้าจะโทษพี่บั๊คฝ่ายเดียวก็คงไม่ถูก คงต้องโทษความโง่งี่เง่าของตัวเองด้วย
“หึ.. มึงโง่ขนาดนี้เลยเหรอวะไอ้จ้าว!”
****************