จะขอเก็บไว้ในความทรงจำ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: จะขอเก็บไว้ในความทรงจำ  (อ่าน 136974 ครั้ง)

ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
 o7 แล้วก็เป็นตั้มที่น่าสงสารคนเดียว o7


 :L2: :L1: :L2:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
๕๘ หายตัว

“ทำไมมึงพูดออกไปแบบนั้นวะ” ชัย พูดพลางขมวดคิ้ว
“ก็กูกำลังจะพูดต่อ มันก็วิ่งหนีกูไปเลย” ปอ ถอนหายใจ
“เฮ่ย...จะยากอะไร มึงก็ไปปรับความเข้าใจกับมันสิวะ” ศักดิ์ พูดให้เห็นว่ามันไม่น่าเป็นเรื่องร้ายแรงอะไร
“ปรับเชี่ยอะไรล่ะ อย่าว่าแต่จะคุยกับมันเลย หน้ากูมันยังไม่มอง” ปอ พูดอย่างฉุนเฉียว
“แล้วมึงไม่รู้จักเดินเข้าไปหามันเหรอวะ” สิทธิ์ สงสัย
“เป็นกูหน่อยไม่ได้ กูจะตบจูบ ตบจูบ” ศักดิ์ พูดแล้วหัวเราะ
“จูบส้นตีนกูมะ กลุ้มจะแย่อยู่แล้วมึงยังทำเป็นเล่น” ปอ ตวาด
“ใจเย็นก่อนดิวะ ไอ้ปอ อย่างที่ ไอ้สิทธิ์ มันว่า ทำไมเอ็งไม่เข้าหามัน แล้วไปปรับความเข้าใจกับมันล่ะวะ” ชัย ปลอบ
“ก็วันๆไม่รู้มันไปหมกตัวอยู่ที่ไหนน่ะสิวะ เช้ามาก็ไม่เห็น เจอทีก็เข้าแถวแล้ว กลางวันมันก็หาย ไม่ไปกินข้าวกับเพื่อนๆ ห้องสมุดมันก็ไม่อยู่ ไม่รู้มันไปไหนของมัน แล้วเดี๋ยวนี้ พอเลิกเรียนมันก็กลับบ้านเลย แล้วยังไม่ได้ขึ้นรถประจำทางที่ป้ายเดิมด้วย ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้มันกลับบ้านยังไง ” ปอ พูดแล้วถอนหายใจยาว
“มันไม่ได้มาหา ไอ้เต่า ที่ห้องเลยนี่หว่า หรือมันไปหา ไอ้ตุ่ม” ศักดิ์ เสนอความเห็น
“เปล่าหว่ะ กูเคยเดินข้ามฟากไปดูมาแล้ว มันไม่อยู่” ปอ พูดด้วยสีหน้าอมทุกข์ แล้วหันไปทาง ชัย “ไอ้ชัย มึงช่วยกูหน่อยสิวะ”
“ช่วยยังไงวะ” ชัย ถามด้วยความสงสัย
“มึงบอก ไอ้ตั้ม มันทีสิวะ ว่ามันเข้าใจกูผิด มึงช่วยบอกมันทีว่ากูรู้สึกยังไง” ปอ มอง ชัย ด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความหวัง
ชัย นั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมอง ปอ ด้วยสีหน้าลำบากใจ
“คงไม่ได้หว่ะ กูว่าเรื่องแบบนี้มึงต้องพูดเอง” ปอ ฟังแล้วถอนหายใจ
“นั่นดิวะ ความรู้สึกของมึง มึงต้องเป็นคนพูด ให้คนอื่นพูด กูว่ามันคงไม่ค่อยดี” ศักดิ์ พูด
“ถ้าให้พวกกูช่วยมึง ตอนนี้คงได้แต่คอยมองดูว่า ไอ้ตั้ม มันไปสิงสถิตอยู่ที่ไหน เจอแล้วก็มาบอกมึง” สิทธิ์ พูด
“อีกอย่างที่กูพอจะช่วยมึงได้นะ” ชัย พูดขึ้นบ้าง ปอได้ยินก็หันมามอง “กูจะพยายามบอกให้ ตั้ม มันมาเคลียร์กับมึงให้รู้เรื่อง”
“เออ ขอบใจหว่ะ” ปอ พูดด้วยสีหน้าซาบซึ้งกับความมีน้ำใจของเพื่อนๆ
“ขอบใจอะไรวะ เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานแล้ว ลำบากก็ต้องช่วยกันเป็นธรรมดาสิวะ”  ชัยพูดกลั้วหัวเราะ
“เดี๋ยวกูบอก ไอ้สมชาย มันอีกตัว”ศักดิ์ พูดยิ้มๆ
“พวกเราเป็นเพื่อนกันมานานแล้วนะเว้ย เพื่อนน่ะ มีไว้ช่วยเหลือกันเวลาแบบนี้ เป็นธรรมดา” สิทธิ์ พูดพลางเอามือตบไหล่ ปอ เป็นการปลอบใจ
... จริงสิ ราญ ก็เคยบอกเขาแบบนี้เหมือนกัน- เพื่อนน่ะ มีไว้ช่วยเหลือกันเวลาแบบนี้- แล้วก็เป็นความจริง เพื่อนๆพวกนี้ ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเลย  ดูอย่างตอนชั้น ม.๓ เมื่อเขานำเรื่องการเลือแผนการเรียนในชั้น ม.๔
“ทำไมเพิ่งคิดถึงพวกกูวะ”
“เชี่ย เกรงใจอะไรวะ เพื่อนกัน”
หรือแม้กระทั่งคำตอบที่ไม่ได้เป็นคำพูด แต่วันที่นัดติววันแรก เพื่อนๆทั้ง ๔ คนอยู่กันพร้อมหน้า พร้อมกับรอยยิ้ม
.....................................................................................
.....................................
“ไอ้หนู เรือมาตั้งหลายเที่ยวแล้วทำไมยังไม่ไปล่ะ” ลุงที่ดูแลท่าเรือตะโกนถามผม
“ยังไม่อยากไปอะค๊าบลุง น้ำในแม่น้ำมันสวยจัง ผมอยากนั่งเล่นอีกแป๊บอะค๊าบ ได้หรือเปล่าค๊าบลุง” ผมตอบ
“ฮ่าๆๆ ตามสบายนะไอ้หนู ลุงก็นึกว่ารอใคร เห็นจ่ายค่าเรือ แล้วก็ยังไม่ไปซะที” ลุงยิ้มอย่างใจดี แล้วก็หันหน้าไปคอยเก็บเงินค่าโดยสารจากคนที่เข้ามาในท่าเรือต่อไป

ช่วงนี้ผมกลับบ้านโดยการข้ามเรือข้ามฝากที่อยู่ในซอยข้างๆโรงเรียน เพื่อไปต่อรถประจำทางกลับบ้านเป็นประจำ อาจจะต้องนั่งรถอ้อมหน่อย แต่ก็เป็นหลักประกันได้ว่า ผมจะมีที่นั่งอย่างแน่นอน ไม่ต้องยืนโหนรถเมล์เป็นระยะทางสิบกว่ากิโลเมตร หากต้องขึ้นรถประจำทางจากหน้าโรงเรียน ไปต่อรถประจำทางสายนี้ในอีกบริเวณหนึ่งของตัวเมือง ผมนั่งมองสายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ทอประกายวิบวับเมื่อสะท้อนกับแสงแดด ขณะที่ผมกำลังใจลอยอยู่นั่นเอง ก็มีเสียงเรียกดังขึ้นข้างๆตัว
“ตั้ม เอ็งมาทำอะไรตรงนี้วะ” เสียงทักทายที่ไม่ค่อยคุ้นหูผมนัก ผมจึงหันไปดู
“ปุง เองเหรอ” ผมยิ้มให้ เมื่อเห็นว่า เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ไม่ค่อยได้คุยกันนักนั่นเอง
“เออ มาทำอะไรตรงนี้วะ ข้ามเรือหรือว่ารอใคร” ปุง ถามแล้วก็นั่งลงข้างๆผม
“ข้ามเรือน่ะ จะไปต่อรถฝั่งโน้น” ผมตอบพลางยิ้มน้อยๆให้เพื่อน
“เหรอวะ นั่นไง เรือมาแล้ว” ปุงพูดพลางหันไปมองเรือข้ามฟากที่กำลังจะเข้ามาเทียบท่า
“เดี๋ยวค่อยไป ขอนั่งเล่นก่อนกำลังสบาย แล้ว ปุง ล่ะ จะข้ามไปเลยรึเปล่า” ผม ถามไป
“กูไม่ได้มานั่งเรือ กูมารอรับแฟนกู” ปุง พูดยิ้มๆ
“เหรอ” ผมตอบไปสั้นๆ เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
“แฟนกูเรียน นาฎศิลป์ กูมารับที่นี่แล้วกลับบ้านทุกวันแหละ” ปุง พูดด้วยสีหน้ามีความสุข “เรือมาแล้ว อาจจะมาเที่ยวนี้แหละ” พูดแล้วปุงก็หันหน้ามองไปยังเรือหางยาวที่กำลังจะเทียบท่า
“นั่นไง กูไปก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน” ปุง โบกมือให้ผมเล็กน้อย แล้วเดินเข้าไปหาหญิงสาววัยรุ่นในชุดนักเรียน หน้าตาน่ารักคนหนึ่ง ปุง พูดอะไรบางอย่างกํบแฟน แล้วทั้ง ๒ คนก็หันมายิ้มและโบกมือให้กับผม จากนั้นก็พากันเดินออกจากท่าเรือไป

ผมนั่งเล่นอยู่อีกสักครู่ ก็คิดว่าควรจะกลับบ้านไปซ้อมดนตรีสักหน่อยคงจะดี จึงลุกขึ้นยืนเตรียมตัวที่จะขึ้นเรือข้ามฟาก ที่กำลังจะเข้ามาเทียบท่าอีกครั้งหนึ่ง
.....................................................................................
.....................................
“ตั้ม เดี๋ยวกินข้าวแล้วขึ้นมาเล่าหนังสือนอกเวลาให้ฟังหน่อยสิ เราทำท่าจะอ่านไม่ทัน” ณัฐ เอ่ยขึ้นเมื่อครูเดินออกจากห้องเรียนไป
“ได้สิ” ตั้ม ตอบหลังจากนิ่งคิดสักครู่ “งั้นรีบไปกินข้าวกัน ป่ะ” แล้ว ตั้ม ก็เดินไปกับ ญัฐ
“ตั้ม เดี๋ยวพวกเราฟังด้วยนะ” พล กับ นัส เดินเข้ามาสมทบ
“งั้นพวกเราไปกินข้าวด้วยกัน จะได้ขึ้นมาพร้อมกัน” ญัฐ ชักชวน แล้วทุกคนก็พากันเดินไปยังโรงอาหาร

“ศิลปี มานั่งด้วยกันเร็ว” วัฒน์ เรียกให้ทุกคนไปนั่งกินข้าวด้วยกัน เพราะยังมีที่ว่างเหลืออยู่อีกเยอะ ตั้ม เลือกนั่งลงไปข้างๆ วัฒน์ ไม่สนใจกับที่ว่างที่ นึก ขยับตัวให้
“มากินข้าวได้แล้วเหรอวะ นึกว่าเฮิร์ทจนกินอะไรไม่ลง” โอ ที่นั่งอยู่ตรงข้ามแซว มี นึก นั่งอยู่ข้างๆ
“.............” ตั้ม ไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ค่อยๆตักข้าวเข้าปาก
“ศิลปี ทำไมไม่เห็นมากินข้าวด้วยกันเลยตั้งหลายวัน” วํฒน์ ถามหลังจากส่งสายตาดุๆไปปรามโอ
“ก็เบื่อคนเยอะๆ เลยมากินตอนไม่ค่อยมีคน ไม่มีไร” ตั้ม ตอบเบาๆ
“แล้วเดี๋ยวนี้กลับบ้านยังไง ไม่เห็นกลับกับพวกเราเลย” สักพัก หมู ที่นั่งถัดไปจาก วัฒน์ ถามบ้าง
“เราขึ้นเรือข้ามฟากข้างโรงเรียนไปต่อรถเมล์” ตั้ม หันไปตอบ
“แล้วเอ็งจะเล่นคอนเสริทอีกเมื่อไรวะ สาวๆถามถึง” โอ ถาม พลางเหลือบสายตาไปมอง นึก
“ไม่รู้เหมือนกัน” ตั้ม ตอบทั้งที่ยังคงก้มหน้าก้มตาตักข้าวเข้าปากทีละนิด ไม่เงยหน้ามองไปทางคนนั้นที คนโน้นที หมือนที่เคยทำ
“แล้วถ้ามีจะร้องเพลงนั้นอีกรึเปล่าวะ ฮ่าๆๆ” โอ รุกถาม
“วันนั้นเราโดนแกล้ง” ตั้ม ตอบสั้นๆทำหน้าเซ็งๆ “เพลงนั้นเราไม่ร้องอีกแล้ว ไม่รู้จะร้องให้ใครฟัง” จบประโยค โอ ก็มองเห็น นึก หน้าสลดลงไป
 “เพลงอะไรเหรอ” วัฒน์ หันหน้ามาถาม “ไว้ร้องให้พวกเราฟังมั่งสิ”
“ถ้าอยากฟังไว้เราร้องเพลงอื่นให้ฟังแล้วกัน” ตั้ม ยังคงตอบเบาๆเช่นเคย
“เพลงนั้นจะเก็บไว้ร้องให้ใครฟังรึเปล่าวะ”  โอ แซวไม่เลิก
ตั้ม ชะงักจากการกินข้าว โอ พอจะมองเห็น สายตาที่ทอแววเศร้าของ ตั้ม สักพัก ตั้ม ก็กินข้าวต่อ เพื่อนๆ จึงเงียบไปไม่ซักถามอะไรต่ออีก
“ป่ะ ญัฐ เราอิ่มแล้ว” ตั้ม พูดขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนๆเริ่มกินข้าวกันหมด แต่ข้าวในจานของ ตั้ม เพิ่งพร่องไปเพียงครึ่งเดียว
“กินให้เสร็จก่อนก็ได้” ญัฐ บอก
“ไม่เป็นไร เราอิ่มแล้ว” ตั้ม ตอบ
“อะไรกัน เพิ่งกินไปนิดเดียวเองนะ เดี๋ยวบ่ายๆก็หิวหรอก” วัฒน์ พูดด้วยความเป็นห่วง
“ถ้าหิวเดี๋ยวพักย่อยค่อยมาหาอะไรกินก็ได้” ตั้ม ตอบแล้วลุกออกจากเก้าอี้ ออกจากโรงอาหารไป ณัฐ จังต้องลุกเดินตามไปพร้อมกัน พล และ นัส

ปอ ลากเก้าอี้มานั่งฟัง ตั้ม เล่าเรื่องในหนังสือนอกเวลาด้วย คิดว่าจะหาโอกาสพูดกับ ตั้ม ให้รู้เรื่อง ปอ ลองถามคำศัพท์บ้าง ถามถึงประโยคต่างๆบ้าง ตั้ม ก็ตอบแต่โดยดี และยังอธิบายเสียละเอียด ในประโยคยากๆบางประโยค แต่สิ่งที่ผิดปรกติจนเพื่อนๆรู้สีกก็คือ ตั้ม ไม่มอง ปอ ตรงๆเลย ไม่แม้แต่จะเหลือบสายตา
ปอ ได้แต่รอ แต่ก็ไม่มีโอกาสจะพูดอะไร จนกระทั่งการติวจบลง พร้อมกับเสียงออดบอกเวลาเรียนในคาบบ่ายดังขึ้น
.....................................................................................
.....................................
จากวันนั้น ตั้ม ก็เหมือนกับมนุษย์ล่องหน ที่จะปรากฏตัวเฉพาะเวลาเข้าแถว และชั่วโมงเรียน ไม่มีใครรู้ว่า ตั้ม หายไปไหนในช่วงเวลาอื่น รู้แต่เพียงว่า ตั้ม มักจะหายไป และกลับพร้อมกับตำราเรียนหรือสมุดจดงานทุกครั้ง ปอได้แต่หาโอกาสปรับความเข้าใจกับ ตั้ม แต่ก็ไม่มีโอกาสสักที จนเวลาล่วงเลยไปถึงวันสอบปลายภาควันสุดท้าย


ออฟไลน์ RN

  • Global Moderator
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1650/-14
ตั้มเมื่อไหร่จะได้คุยกับปอๆๆๆ

เมื่อไหร่จะเข้าใจกันนน :o12: :o12:

ออฟไลน์ สาวตัวกลม

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1295
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
คุยกันซะทีเถอะ เฮ้อ :เฮ้อ:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
:o12: :o12: :o12:

ทำไมใครๆๆก็ทำร้ายจิตใจน้องตั้ม

ม่ายยยยยยยยยยยย

ปล. ปอๆๆ กลับมาเลยยยยยยยย  มาปลอบน้องตั้มด่วนนนนนน

 :o12: :o12: :o12:
ง่า...แค่ ๒ เองอะที่ทำ  :try2:
แล้วคนนึงที่ทำเพราะจำเป็น อีกคนก็ไม่ได้ตั้งใจ ตั้มคิดไวไปหน่อย  :sad3:
เคยมีคนถามว่า ตั้ม เป็นคนคิดมากหรือเปล่า
อยากให้ใช้คำว่าเป็นพวก sensitive มากกว่า โดนกระทบได้ง่าย แล้วมักจะไม่ค่อยเก็บความรู้สึก  :freeze:
o7 แล้วก็เป็นตั้มที่น่าสงสารคนเดียว o7


 :L2: :L1: :L2:
คงเป็นเพราผมเขียนเน้นไปที่ ตั้ม มากไปหรือเปล่าครับ  :o11:
ตั้มเมื่อไหร่จะได้คุยกับปอๆๆๆ

เมื่อไหร่จะเข้าใจกันนน :o12: :o12:
คุยกันซะทีเถอะ เฮ้อ :เฮ้อ:
เดี๋ยวก็ได้คุยกันแล้วครับ มาทายกันไหมครับ ว่าใครจะเป็นคนเข้าไปคุยกับใครก่อน และใช้วิธีไหน ถึงได้คุยกันได้  o3

ส่วนเรื่องที่จะเข้าใจกัน ไว้มาดูกันต่อไปดีกว่าครับ ถ้าบอกตอนนี้ เดี๋ยวไม่มีคนอ่านต่อ เพราะรู้ตอนจบแล้ว  :o211:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-05-2008 20:35:45 โดย บุหรง »

sunflower

  • บุคคลทั่วไป
อ่านแล้ว :o12: :o12:
คุยกับปอดีๆ สิ  o7

ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
๕๙ พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก

ช่วงปิดเทอมก่อนจะขึ้น ม.๖ เพื่อนๆหลายคนเริ่มเรียนพิเศษกันมากขึ้น แต่ผมกลับคร่ำเคร่งอยู่กับออร์แกนไฟฟ้า ที่ผมรู้สึกหลงไหลในเสียงของมันมากขึ้นทุกวัน เครื่องดนตรีอีกชิ้นหนึ่งที่ผมเริ่มฝึกซ้อมอย่างจริงจังมากขึ้นก็คือ เปียนโน โดยผมต้องไปซ้อมที่สถาบันสัปดาห์ละ ๒-๓ วันเลยทีเดียว เพราะผมเริ่มตั้งเป้าหมายแล้วว่า ผมจะต้องสอบเข้าเรียนในคณะดนตรีของสถาบันแห่งหนึ่งให้ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่คาดคิด ก็เกิดขึ้นกับชีวิตผม นี่กระมังคือสิ่งที่ผู้ใหญ่มักเรียกว่า เป็นช่วงที่พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก

พ่อป่วยหนักจนต้องเข้าห้องไอซียูหลายวัน เมื่อออกจากห้องไอซียูแล้วก็ยังไม่ได้สติ จนหมอบอกว่าถ้าพ้นคืนนี้พ่อผมยังไม่ได้สติ ก็ให้ทำใจกันได้เลย พ่อผมอยู่ในห้องพิเศษ จึงไม่เป็นปัญหาที่จะอยู่กันได้ แม้จะดึกแค่ไหนก็ตาม เกือบเที่ยงคืนแล้ว พ่อก็ยังไม่ฟื้น ผมยืนอยู่ที่ปลายเท้าพ่อ พี่สาว พี่ชายและพี่สะใภ้ ยืนอยู่ทางหัวเตียงคนละด้าน แม้แต่หลานสาวของผม ก็ยังมาเฝ้าอยู่ด้วย ส่วนแม่ของผมน่ะหรือครับ ไม่ว่าพ่อผมจะเข้าโรงพยาบาลสักกี่ครั้ง ผมก็ไม่เคยเห็นแม่ผมมาเยี่ยมพ่อเลย มิหนำซ้ำแม่ยังมีทีท่าเหมือนไม่อยากให้ผมมาเฝ้าพ่อด้วยเหมือนกัน

ผมเอามือจับเท้าของพ่อไว้  พลางเรียกพ่อเบาๆ หลานผมก็เรียกปู่ด้วย แล้วมือผมก็เริ่มรู้สึกว่าเท้าของพ่อเคลื่อนไหวเล็กน้อย
“พ่อ พ่อ พี่เท้าพ่อกระดิก” ผมพูดด้วยความตื่นเต้น พี่สาว พี่ชาย และพี่สะใภ้ ต่างพากันเรียกพ่อ หวังจะให้พ่อคืนสติ
“สาวเหรอลูก” พ่อผมเริ่มลืมตา แล้วพึมพัมเรียกพี่สาว
แล้วพ่อก็เรียกพี่ชาย เรียกพี่สะใภ้ เรียกหลาน แล้วก็เงียบไป ผมก็ยังไม่ทันได้คิดอะไร แต่พี่สาวก็พูดกับพ่อ ดังพอที่จะได้ยินกันทั่ว
“ตั้ม ก็อยู่นะพ่อ”
“ใครกัน ตั้ม”พ่อพึมพำ ผมเริ่มตกใจว่าพ่อเป็นอะไรมากรึเปล่า โดยไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้น
“ตั้ม ลูกคนเล็กพ่อไง น้องชายคนเล็กของหนูไงพ่อ” พี่สาวผมพูดกับพ่อ
“ไอ้ตั้ม ไอ้เด็กเวรนั่นน่ะเหรอ” พ่อพึมพำ พี่สาวผมเริ่มตกใจ หันหน้ามาโบกมือเหมือนจะให้ผมออกไปก่อน แต่ผมยังคงงุนงงอยู่ จึงไม่ได้ขยับออกจากตำแหน่งที่ยืนอยู่ตรงปลายเท้าของพ่อ
“มันไม่ใช่ลูกชั้น ไอ้เด็กนั่นมันลูกชู้” พ่อพูดต่อ แล้วเงียบไปอีกครั้ง
ผมตกใจแทบล้มทั้งยืน พ่อพูดอะไร ที่พ่อพูดหมายความว่ายังไง ผมยืนนิ่งด้วยความตกใจอยู่อย่างนั้น จนพี่สาวเดินเข้ามาหา
“ตั้ม พ่อไม่มีสติ ตั้มไม่ต้องฟังนะ ไปนั่งที่โซฟาก่อน” พี่สาวจับแขนผมพาไปนั่งที่โซฟา
ซักพักหมอและพยาบาล ก็พากันเข้ามาตรวจอาการพ่อ อีกสักพักใหญ่ๆหมอก็คุยอะไรสักอย่างกับพี่สาวผม แล้วพี่สาวผมก็จับแขนผม
“ตั้ม กลับบ้านกันก่อน พ่อไม่เป็นอะไรแล้ว” ผมใจลอยลุกขึ้นยืนให้พี่สาวจูงมือขึ้นรถกลับบ้าน

เมื่อไปถึงบ้าน ผมก็ใช้กุญแจสำรองไขเข้าไปในเรือนเล็ก สติที่ยังพอมีอยู่ สั่งให้ผมปิดประตูใส่กลอนให้เรียบร้อย แล้วจึงเดินเข้าไปในห้องส่วนตัว ผมโยนตัวลงนอนบนเตียงด้วยความอ่อนแรง ไม่สนใจแม้แต่จะเอาผ้าคลุมเตียงออกเสียก่อน ไม่ได้ถอดแม้แต่ถุงเท้าที่ใส่มาทั้งวัน ไม่สนใจที่จะถอดเข็มขัดออกให้รู้สึกสบายขึ้น ผมนอนคิดถึงประโยคที่พ่อพูด

...ไอ้ตั้ม ไอ้เด็กเวรนั่นน่ะเหรอ มันไม่ใช่ลูกชั้น ไอ้เด็กนั่นมันลูกชู้ ...

พี่สาวบอกว่าพ่อไม่มีสติ แต่เท่าที่ผมรู้ เวลาที่คนไม่มีสตินั่นแหละ คือเวลาที่คนจะหลุดปากพูดความจริงออกมา
ถ้าสิ่งที่พ่อพูดเป็นความจริง
... ผมเป็นลูกใคร
... หรือว่า ...
ผมคิดถึงคนเพียงคนเดียว ที่น่าจะเป็นไปได้

ผมทะลึ่งตัวลุกขึ้นจากเตียง เปิดไฟที่โต๊ะหนังสือ หยิบกล่องเพลงที่ผมรักออกมาวางไว้ตรงหน้า ผมจ้องมองมัน ภาพต่างๆของบุคคลที่มอบมันให้กับผม ค่อยๆผุดขึ้นมาจากความทรงจำ ผมค่อยๆเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆ
... มันจะเป็นไปได้หรือ แต่มีเพียงคนนี้คนเดียวเท่านั้น ที่อาจจะเป็นไปได้ ...
ถ้าเป็นความจริง มันก็คงจะเป็นเหตุผลเพียงพอ ที่คนคนนั้นรักผมอย่างสุดหัวใจ ผมรู้สึกว่ารักผมมากกว่าคนที่ผมเรียกว่า พ่อ อย่างเต็มปากมาตลอด
มิน่าเล่า คนที่ผมเรียกว่าพ่อ จึงได้แสดงอาการรังเกียจผมนักหนา เมื่อตอนที่ผมยังเด็ก แต่ตอนนั้นผมก็ยังคงรัก พ่อ อยู่ดี ถึงแม้ตอนนี้ ตอนที่ผมได้รับรู้สิ่งที่อาจจะเป็นความจริง ผมก็ยังคงรู้สึกเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
ถึงแม้ว่าความรักนี้ จะเทียบไม่ได้เลยกับความรักที่ผมมีให้กับคนคนนั้น ความรักที่ผมเองก็แปลกใจมาตลอดว่า ... ทำไม
ถ้ามันเป็นความจริง มันคงเป็นสิ่งที่ตอบคำถามนี้ได้

แต่ต่อไปผมจะทำอย่างไร
ผมจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ผมเรียกว่าพ่อ คนที่ผมเรียกว่าพี่ คนที่ผมเรียกว่าหลาน ผมจะทำอย่างไรดี
ถ้าคนคนนั้นยังอยู่ ปัญหาเหล่านี้คงจะหมดไป ถึงผมจะรู้สึกรักและอาลัยกับคนเหล่านี้มากขนาดไหน มันก็คงจะดีกว่า หากผมย้ายตัวเองออกไปใช้ชีวิตอยู่กับคนคนนั้น
แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อคนคนนั้นไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้ว

“ป๊ะป๋าค๊าบ ทำไมป๊ะป๋าทิ้ง ตั้ม ไว้แบบนี้ แล้ว ตั้ม จะทำยังไง” ผมพึมพำกับกล่องเพลงเบาๆ พร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-08-2008 17:48:03 โดย บุหรง »

ออฟไลน์ RN

  • Global Moderator
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1650/-14
ชีวิตตั้ม ทำไมต้องมาเกิดภาวะแบบนี้พร้อมๆกันๆๆๆ

แง๊ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

สู้ๆๆๆนะน้องตั้มมมมมมมมม

 :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






GTo_CluB

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
เพิ่งจะมีโอกาศมาอ่านนิยายดีๆเรื่องนี้
ถือว่าเป็นนิยายน้ำดีอีกเรื่องหนึ่งเลยนะครับเนี่ย
ภาษาก็อ่านเข้าใจง่าย
อ่านแล้วสบายใจกับวิธีเขียนของผู้แต่งครับ
ดีจังๆ
แล้วจะติดตามต่อไปครับ :a2:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
๖๐ ระหว่างความสับสน

ผมไม่ได้ไปเฝ้าพ่อที่โรงพยาบาลอีกเลย จนกระทั่งพ่อกลับมาบ้าน เวลาผ่านไปหลายวัน พี่สาวก็มาเรียกผมให้ไปหา พ่อ ผมลงไปหาพ่อที่เรือนใหญ่ นั่งลงบนพื้นใกล้ๆเก้าอี้นวมที่พ่อนั่ง

“ทำไมไม่ไปเฝ้าพ่อเลยล่ะลูก” พ่อถามเบาๆ
“...........” ผมไม่รู้จะบอกพ่อยังไง
“แล้วนี่พ่อกลับมาบ้าน ทำไมไม่มาให้พ่อชื่นใจ” พ่อพูดอีก
“ฮึก...ฮึก” ผมเริ่มสะอื้น น้ำตาไหลไม่หยุด มันสับสนไปหมด ... เสียใจ น้อยใจ ความรู้สึกผิด ...
“พ่อขอโทษนะลูก พ่อไม่ได้สติ ถึงได้พูดออกไปแบบนั้น” พ่อพูดแล้วเอามือลูบหัวผมเบาๆ เหมือนที่เคยทำบ่อยๆ
“ไปล้างหน้าล้างตาซะ แล้วว่างๆก็ลงมาหาพ่อบ้าง” พ่อพูดจบก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้องส่วนตัวของพ่อไป
ส่วนผมก็เดินกลับไปยังเรือนเล็ก แล้วก็เข้าไปเก็บตัวอยู่แต่ในห้องส่วนตัว เหมือนหลายวันที่ผ่านมา

ตอนนั้นผมคิดในใจว่า ถ้าเป็น ป๊ะป๋า คงไม่เพียงแค่เอามือลูบหัวผมเบาๆ
ป๊ะป๋า คงกอดผมไว้แนบอก หอมผมที่หน้าผาก แล้วเอามือลูบหัวผมเบาๆ พลางพูดปลอบโยนผม ... นิ่งซะ อย่าร้องนะลูก

พ่อยังคงเรียกผมให้มาอ่านหนังสือพิมพ์ให้ฟัง หรือมานั่งอยู่ใกล้ๆในขณะที่พ่อดูโทรทัศน์ เหมือนที่เคยทำเป็นประจำ แต่ผมมักรู้สึกว่ามีกำแพงบางๆ กันอยู่ระหว่างผมกับพ่อและพี่ๆอยู่เสมอ และนับวันกำแพงนั้นก็ดูจะก่อตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ

ผมได้แต่หวังว่า ...เวลา... คงจะช่วยทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
....................................................................................
..................................
ผมได้แต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องส่วนตัว จะออกมาเฉพาะตอนกินข้าว ผมไปสถาบันดนตรีบ่อยขึ้น ออกจากบ้านไปแต่เช้า กลับบ้านก็มืดแล้ว เพื่อนๆในวงดนตรีก็ทักกันว่า ผมดูซึมๆไป
“เป็นไรน่ะ พี่ตั้ม ทำหน้ายังกับคนอกหัก” เล่ หัวหน้าวงถามขึ้น ในช่วงวอร์มเสียง
“แย่กว่านั้นอีก” ผมตอบ
“อ้าว โดนฟันแล้วทิ้งเหรอไง” ต่อ พูด
“แกสิโดนฟัน” ผมพยายามยิ้ม
“แล้วนี่พี่คบอยู่กับไอ้แว่นหน้าขาวคนนั้นถึงไหนแล้ว” บุ๋ม ถามพลางเข้ามานั่งใกล้ๆผม
“พูดถึงใคร” ผมสงสัย
“ก็คนที่มายืนจ้องตากับพี่หน้าเวทีเมื่อคอนเสริทคราวที่แล้วไง” บุ๋ม ยิ้มกวนๆ ... โห ยังจำกันได้อีกเหรอเนี่ย -*- ...
“นั่นเค้าผู้ชาย เค้าจะมาคบกับพี่ได้ยังไงกัน” ผมพูดเบาๆ พลางก้มหน้าลง
“อย่าเลยพี่ ท่าทางมันบอก ดูอย่างตอนนี้ ชัดเลย อกหักชัวร์” เล่ พูดเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางของผม
 “มาซ้อมเพลงกันดีกว่า พี่ร้องนะ เดี๋ยวผมเล่นเปียนโนให้” บุ๋ม พูดขัดจังหวะ พลางเดินไปที่เปียนโน “เพลงอะไรดีพี่” บุ๋ม ถามพลางค่อยๆพรมนิ้วลงไปบนคีย์ ออกมาเป็นทำนองขึ้นต้นของเพลง ...  Lovin’ You
“เพลงอะไรก็ได้ เปิดหนังสือมาก็แล้วกัน ยกเว้นเพลงนี้” ผมพูดพลางเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้เปียนโนกับ บุ๋ม
“อ้าว ทำไมล่ะ ผมกำลังอยากฟังพี่ร้องอยู่เลย พี่ร้องเพลงนี้เสียงถึงคีย์ของมันพอดี” บุ๋ม หยุดเล่นพลางส่งสายตาอ้อนวอนให้ผม
“วันนี้เสียงไม่ค่อยดี ขอเพลงอื่นแล้วกันนะ” ผมตอบเลี่ยงๆ
แล้วพวกเราก็เริ่มซ้อมกัน โดยผลัดกันร้องเพลง และผลัดกันเล่นเปียนโน จนกระทั่งได้เวลาปิดของสถาบัน จึงพากันไปหาข้าวเย็นกิน จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

http://media.imeem.com/m/LImxu3segf/aus=false/
....................................................................................
..................................
“ตั้ม เทอมนี้จะเลือกวิชาอะไร” หมู ถามผมในวันลงทะเบียนวิชาเลือกเสรี
“เราลงวิชา วรรณกรรมทั่วไป ของครูจันทร์ น่ะ ลงชื่อเรียบร้อยไปตั้งแต่พวกนายยังไม่มากันเลย” ผมตอบ
“อืม ดีเหมือนกันนะ ขี้เกียจไปแย่งจับฉลากแล้ว แต่ตัวนี้เรียนรวมกับพวกรุ่นน้องด้วยนี่” วัฒน์ พูด
“เหรอ เราไม่ทันได้ดูรายละเอียดมากซะด้วย แต่คงไม่เป็นไรมัง” ผมพูดอย่างไม่ค่อยใส่ใจเท่าไรนัก
“หมู ล่ะเรียนวิชานี้ด้วยกันมั๊ย” วัฒน์ หันไปถาม หมู
“อื้อ วัฒน์เรียนไร เราก็เรียนอันนั้นแหละ” หมู ตอบ
“อ้อ เราขออะไรหน่อยนะ ถ้าใครถามอย่าบอกนะว่าเราเลือกเรียนอะไร เพราะเรายังไม่ได้บอกใครเลย” ผมกระซิบเบาๆกับทั้งสองคน
“ทำไมล่ะ” วัฒน์ ทำหน้าสงสัย
“น่านะ ถือว่าเราขอร้องแล้วกัน เราไปก่อนนะ พอดีนัดเพื่อนไว้ที่สถาบัน”
แล้วผมก็รีบวิ่งออกไป เพราะสายตาเหลือบไปเห็นคนสองคู่เดินเข้ามา

“วัฒน์ นั่นไอ้ตั้ม มันจะรีบไปไหนของมัน” โอ ถาม
“เห็นบอกว่านัดเพื่อนไว้” วัฒน์ ตอบพลางหันหน้าไปมอง นึก ที่อยู่ข้างๆ โอ แว่บหนึ่ง
“วัฒน์” เสียง ปอ ที่เดินเข้ามาหาพร้อมกับ ไมค์ “ตั้ม มันเลือกเรียนอะไรเหรอวะ”
“เอ้อ” วัฒน์ อ้ำอึ้งเพราะไม่อยากโกหกเพื่อน  “เราไม่ได้ถามน่ะ” ... คนถามน่ะหมู เราไม่ได้ถามจริงๆนะ...
“แล้วมันวิ่งไปไหนของมันน่ะ” ไมค์ ถามขึ้น
“เห็นว่านัดเพื่อนไว้น่ะเลยรีบกลับ” วัฒน์ ตอบ แล้วก็ชวนหมูไปลงชื่อเรียนวิชาเสือกเสรีที่ต้องการ
....................................................................................
..................................
“อะไรของมันวะ เปิดเทอมได้แป๊บเดียว มันหยุดเรียนอีกแล้ว” ผม บ่นกับพรรคพวก
“กี่วันแล้ววะคราวนี้” สิทธิ์ถามยิ้มๆ
“มึงถามว่ากี่รอบแล้วดีกว่า” ผม ตอบอย่างหงุดหงิด
หลังจากเปิดภาคเรียนได้เพียง ๒ สัปดาห์ ตั้ม ก็หยุดเรียนหายไป ๒ วัน กลับมาเรียน ๑ วันบ้าง ๒-๓ วันบ้าง แล้วก็หยุดอีก เป็นแบบนี้มาหลายสัปดาห์ จากจดหมายลา ที่แนบอยู่พร้อมใบรับรองแพทย์ ในสมุดรายงานการสอนประจำชั้น ทำให้รู้ว่า ตั้ม ป่วยเป็นไตอักเสบ
“ไตอักเสบ นี่ต้องตัดไตทิ้งมั๊ยวะ” ผมถามเพื่อนๆ
“กูว่ามันไม่เป็นหนักถึงขนาดนั้นหรอกวะ ไอ้ชัย มึงว่าไง นั่งเงียบเลย” สมชาย พูดแล้วหันไปมอง ชัย ที่นั่งขมวดคิ้วไม่พูดจา
“กูกำลังสงสัย ว่าทำไมจู่ๆมันเป็นโรคนี้ขึ้นมาได้” ชัย พูดพลางนิ่งคิด
“แล้วนี่มึงเคลียร์กับมันรึยังวะ” แล้ว ชัย ก็พูดขึ้นมาอีก เมื่อคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมากได้
“เรื่องนั้นเหรอวะ ยังเลย” ปอ ทำหน้ากลุ้มใจ “อย่างเคยหว่ะ ตอนเช้ากับตอนกลางวัน มันก็หายตัวไปไหนไม่รู้ แล้วช่วงนี่ตอนมันมาเรียน พอว่างมันก็เอาแต่ฟุบนอน กูเลยไม่รู้จะทำยังไง”
ผลั๊วะ... สมชาย ตบหัว ปอ ไปแรงๆ
“ควายยยยยยยยยยยยย” แถมด้วยคำชมเชย
“อะไรของมึงวะ อยู่ๆแม่งมาตบหัวกู” ปอ ถาม งงๆ พลางเอามือลูบหัวตัวเอง
“ตอนนี้แหละมึงจังหวะดี ทำไมมึงโง่อย่างงี้วะ” สมชาย พูดแล้วถอนหายใจ
“อ้อ กูรู้แล้ว เข้าใจคิดนี่หว่า หน้าโง่ๆอย่างมึงไม่น่าคิดออก” ศักดิ์ พูดแล้วหัวเราะ
“อะไรของมึงวะ” ปอ ถามด้วยความสงสัย
“อ้อ กูเข้าใจแล้ว” สิทธิ์ หัวเราะ พลางหันไปมอง ปอ ยิ้มๆ
“อะไรของพวกมึงวะ อธิบายให้กูฟังดิ๊” ปอ ยิ่งสงสัยเพราะทุกคนเมือนจะมีความคิดอะไรบางอย่างที่ตรงกัน มีแต่เขาที่ไม่เข้าใจ
“ปอเอ๊ย ฟังพี่ชายนะ” ชัย พูดยิ้มๆ “อย่าเพิ่งด่า กูจะขยายความให้ฟัง” ปอ ที่กำลังจะอ้าปากพูดอะไรก็หยุดฟัง ชัย ว่าจะพูดอะไรต่อ
“ถ้ามึงคิดว่าตอนนี้ยังไม่อยากพูด เพราะมันไม่สบาย มึงก็ยังไม่ต้องพูด” ชัย เกริ่น
“อะไรของมึงวะ เมื่อกี้ยังเหมือนเร่งกูอยู่ ตอนนี้เสือกมาห้ามกู” ปอ โวยวาย
ผลั๊วะ..........
“มึงอย่ามาด่านะ กูตบเผื่อมึงจะฉลาดขึ้น” สมชาย ชี้หน้า ปอ “กูว่าพวกเราคิดเหมือนกันหวะ สมกันคบกันมานาน แต่ทำไมไอ้ ปอ มันบื้อคิดไม่ออกอยู่คนเดียววะ” สมชาย กอดอก พลางมอง ปอ เหมือนพิจารณาอย่างละเอียด
“มึงต้องพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสสิวะ” ศักดิ์พูดเป็นงานเป็นการ ปอ มองเพื่อนๆอย่าง งงๆ
“ทำไมมึงไม่ไปคอยดูแลมันวะ อย่างน้อยมันจะได้เห็นว่ามึงเป็นห่วง” สิทธิ์ ต่อให้
“แล้วเผื่อมีงจะได้หาโอกาสพูดกับมัน ไม่ต้องถึงขนาดเคลียร์ว่ามึงรู้สึกยังไง อย่างน้อยควรให้มันเข้าใจว่ามันเข้าใจผิดที่มึงพูดวันนั้น” ชัย พูดบ้าง
“กูว่ายากหว่ะ แค่เข้าใกล้กูก็ว่ายากแล้ว พวก ไอ้วัฒน์ ล้อมหน้าล้อมหลังยังกะบอดี้การ์ด”
“กูเห็นใจมึงหว่ะ ปอ” สมชาย เอามือข้างหนึ่งจับไหล่ ปอ “แต่กูว่า มึงปล่อยเรื่องนี้ไว้นานเกินไปแล้ว เป็นกูนะ กูรวบหัวรวบหางมันไปตั้งนานแล้ว” สมชาย พูดแล้วยักคิ้วยิ้มกวนๆให้ ปอ
“นั่นดิวะ ไม่แน่นะ เป็นกูเรียบร้อยตั้งแต่ไปชะอำแล้ว” ศักดิ์ พูดพลางเอามือลูบคาง
ปอ หันไปมอง ชัย ที่หลบสายตาทำไม่รู้ไม่ชี้ ... ทำเป็นหลบสายตานะมึง เหน็บซะหน่อยเหอะวะ...

“พอดีที่ชะอำมีหมามาคอยเฝ้าหว่ะ กูเลยไม่มีโอกาส” ปอ พูดแล้วยักคิ้วให้ ชัย ที่หันมามองอย่างโกรธๆ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-05-2008 12:53:53 โดย บุหรง »

ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
เฮ่อ!!! :เฮ้อ:ปอเอ๊ย!!!!!!ชักช้ายืดยาดไม่ทันใจเจ้เลยยยยยยย
ว่าแต่...ตั้มเป็นไตอักเสบจริงเหรอ?  น่าสงสาร :sad2:

ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
 :laugh:สมชายทำดีมาก :laugh:


 :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
๖๑ เจอตัว

วันพฤหัสบดีนี้ อาจารย์ที่คณะเภสัชที่ผมเรียนอยู่งดชั้นเรียนในภาคบ่าย ทำให้ผมมีเวลาว่างหลายชั่วโมง กว่าจะถึงวิชาเรียนอีกครั้ง ผมลองนั่งรถประจำทางไปยังสถาบันดนตรีที่ ตั้ม เขียนเล่ามาในจดหมาย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยที่ผมศึกษาอยู่นัก ตั้ม บอกว่า วันพฤหัสบดีในขณะที่เพื่อนๆเรียนวิชาทหาร ตั้ม จะมาฝึกซ้อมดนตรีที่สถาบันแทนที่จะกลับบ้าน  ตั้ม ให้เหตุผลว่า ขณะที่เพื่อนๆต่างไปเรียน ตัวเองก็ควรจะเรียนด้วยเหมือนกัน แต่ผมก็ไม่มั่นใจหรอกว่าจะได้เจอหรือเปล่า วันก่อน ชัยเพิ่งจะมาเล่าให้ผมฟังว่า ช่วงนี้ ตั้ม ขาดเรียนบ่อยมาก เพราะอาการป่วย แต่ ชัย ไม่รู้หรอกว่า ผมรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว

“ติดต่อเรื่องอะไรค่ะ” พนักงานสาวถามผมอย่างยิ้มแย้ม
“เอ้อ ศิลปี มาที่นี่หรือเปล่าครับ” ผมถามกลับไป
“อ๋อ หนูตั้ม น่ะเหรอค่ะ” เธอเรียกอย่างเอ็นดู แล้วหัวเราะเบาๆ “อยู่ข้างในน่ะค่ะ น้องเดินเข้าไปแล้วเลี้ยวขวา คงจะอยู่แถวห้องเปียนโน นะค่ะ”
“ขอบคุณครับ” ผมพูดขอบคุณเธอ แล้วเดินเข้าไปตามทางที่เธอชี้

เมื่อเดินเข้ามาด้านใน มีเสียงเปียนโนดังมาแผ่วๆ ดวงไฟเปิดอยู่สลัวๆ เพราะช่วงกลางวัน จะเป็นช่วงที่ไม่มีคนมาเรียนในสถาบัน ห้องเล็กๆที่เรียงกันอยู่ มีอักษรตัว P ตามด้วยหมายเลข มีห้องหนึ่งเปิดไฟอยู่ ผมจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ จากกระจกใสบางส่วนของประตู ผมมองเห็น ตั้ม ในชุดนักเรียน แต่สวมทับด้วยแจกเกตสีน้ำเงินสด กำลังเล่นเปียนโนอยู่ สักพักหนึ่ง ตั้ม ก็หยุดเล่น ขยับตัวนั่งให้สบายขึ้น ก้มหน้ามองพื้น ขาที่ยกลอยอยู่กับพื้นขยับส่ายไปมาเบาๆ ท่าทางตอนนี้ไม่ต่างจากที่ผมเคยเห็น ตั้ม ชอบทำเวลานั่งมองหรือคิดอะไรอยู่ เหมือนเมื่อสมัยที่เรียนมัธยมต้นด้วยกัน เพียงแต่หน้าที่เคยยิ้มแย้มอยู่เสมอ ดูเศร้าซึมลงไป ผมเดินไปที่ห้องนั้น แล้วเคาะประตูห้อง ตั้ม เงยหน้าขึ้นมามองอย่างสงสัย เพราะแสงไฟที่สลัว คงทำให้มองเห็นไม่ชัด แล้ว ตั้ม ก็หน้าแดง สีหน้าดีใจลุกขึ้นมาเปิดประตูห้อง
“พี่ราญ พี่ราญจริงๆด้วย” ตั้ม พูดอย่างดีใจ
“ว่าไง สูงขึ้นเยอะเลยนะนี่” ผมเอามือจับไหล่ ตั้ม พลางมองสำรวจไปทั่ว จากเด็กชายตัวบางๆ สูงเพียงแค่ไหล่ของผมเมื่อก่อนนี้ กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มที่ดูอ่อนโยนและบอบบาง ราวกับจะปลิวไปตามลมที่พัดแรง แต่ตัวกลับสูงขึ้นมาก ขนาดตัวผมเองที่สูงขึ้นมากแล้ว ตั้ม ยังสูงจนเท่าระดับคิ้วผม
“พี่ราญ มาได้ไงอะ” ตั้ม ถามขึ้น สายตาที่มองผม ยังคงสดใส เป็นประกายเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่ท่าทางกระโดดโลดเต้นหายไป และน้ำเสียงที่เคยสดในกลับเหมือนคนที่อ่อนแรง ซึ่งคงเป็นเพราะยังไม่หายจากอาการป่วย
“วันนี้ พี่ราญ ว่างเลยลองเดินมาหา ไหนพี่ราญดูหน่อยสิว่าเป็นไงบ้าง” ผมพูดพลางเอามือแตะหน้าผาก ตั้ม รู้สึกว่าเหมือนจะมีไข้อยู่เล็กน้อย “เห็นว่าไม่ค่อยสบายนี่ แล้วทำไมไม่กลับบ้านพักผ่อนล่ะ” ผมถามยิ้มๆ
“ดีแล้วที่ไม่ได้กลับอะ ไม่อย่างนั้นอดเจอพี่ราญแน่เลย” ตั้มยิ้ม  “มานั่งข้างในดีกว่า” แล้ว ตั้ม ก็ชวนให้ผมเข้าไปนั่งในห้องเปียนโน ในห้องมีเก้าอี้เปียนโนตัวยาว กับเก้าอี้นั่งตัวเล็กอีกตัวหนึ่ง ผมนั่งลงบนเก้าอี้เปียนโนกับ ตั้ม
“ไหนเล่นเพลงอะไรอยู่” ผมมองดูโน้ตเพลง  ที่วางอยู่บนที่วางโน้ต “อะไรมั่งล่ะ  Pathetique แล้วนี่  Traumerei ทำไมมีแต่เพลงช้าๆล่ะ” ผมแกล้งถาม เพราะรูดีว่า ตั้ม ชอบเพลงแบบนี้
 “ครูให้มาซ้อมที่เปียนโนก่อนที่จะไปเล่นที่ออร์แกนไฟฟ้าอะ ครูบอกว่าทำให้คุมแรงของนิ้วได้ แล้วจะเล่นเพลงได้ดีขึ้น ” ตั้มอธิบาย
“แล้วนี่ ตั้ม กินข้าวกลางวันรึยัง” ผมถามดู เพราะผมเองก็ยังไม่กินข้าวกลางวันเหมือนกัน
“ยังเลย ตอนนี้คนเยอะอะ ตั้ม ไม่อยากออกไปนั่งกับคนเยอะๆ พี่ราญ หิวรึเปล่าอะ ถ้าหิวไปกินข้าวตอนนี้เลยก็ได้” ตั้ม พูดแล้วมองผมอย่างเป็นห่วง น้องที่รักของผมยังคงห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองอยู่เช่นเคย
“ยังไม่ค่อยหิวหรอก เมื่อกี้เดินผ่านร้านอาหาร คนเยอะอย่างที่ ตั้ม บอกน่ะแหละ เดี๋ยวค่อยไปก็ดีเหมือนกัน” ผมเห็นด้วยกับ ตั้ม “ตอนนี้พี่ชายอยากฟัง ตั้ม เล่นเพลงเพราะๆให้ฟังจะได้มั๊ย”
“ได้เลย เอาเพลงไรดีอะ” ตั้มขยับตัวนั่งให้ถูกแบบแผนของการเล่นเปียนโน พลางหันมาถามผม
“เอาที่ ตั้ม ซ้อมอยู่นี่แหละ” ผมพูดแล้วก็ขยับโน้ตเพลงให้อยู่ตรงกลางแท่นวางโน้ต
ตั้ม ขยับตัวนั่งตรง นิ่งไปสักครู่เหมือนกำลังตั้งสมาธิ วางมือช้าๆลงบนแป้นคีย์บอร์ด แล้วก็เริ่มเล่นเพลงออกมาด้วยเสียงที่นุ่มนวล
http://media.imeem.com/m/pwsYvke0t4/aus=false/
........................................................................................
.........................................
“แล้วมันเป็นอะไรมากรึเปล่าวะ” ชัย ถามขณะที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงผม
“แรกๆมีเลือดออกด้วย แต่ตอนนี้เหลือแค่อาการปวดท้องเวลาเดินมากๆ หรือเวลานั่งรถแล้วสะเทือน อีกซักพักก็คงหาย” ผมตอบไปทั้งๆที่ยังทำงานอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ
“แล้วเอ็งคุยอะไรกับมันอีก” ชัย ถามต่อ
“นี่” ผมหยุดทำงาน แล้วหันไปหาชัย “ทำไมไม่ไปถามเองวะ” ผมยิ้มกวนๆ
“มึงนี่กวนตีน” ชัย เขวี้ยงหมอนบนเตียงใส่ผม ผมก็รับเอาไว้แล้วเขวี้ยงกลับ “กูเจอมันซะที่ไหนล่ะ เล่นหายตัวไปแบบนี้ กูก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกันนะเว๊ย” ชัยเอาหมอนไปหนุนไว้ แล้วนอนคว่ำหันหน้ามาคุยกับผม “ว่าแต่มึงเหอะ เก่งหว่ะ ไปเจอตัวมันที่นั่นได้” ชัย ทำหน้าเหมือนทึ่งในการกระทำของผม
“ก็ ตั้ม มันบอกมาในจดหมายก็เลยลองไปดู” ผมพูดพลางหันไปทำงานต่อ
“จดหมายอะไรวะ” ชัย ถามด้วยความสงสัย
“ตั้ม มันส่งจดหมายมาให้ทุกเดือน เล่าให้ฟังว่าทำอะไรบ้าง แล้วเราก็เขียนตอบไปทุกเดือน ” ผมตอบแล้วหันไปยิ้มอย่างผู้ชนะให้ ชัย
“เฮ้ย ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” ชัย ตาโต พลางขยับตัวลุกขึ้นนั่ง
“ตั้งแต่เราสอบเทียบได้แล้วเตรียมตัวสอบเอ็นฯ” ผมตอบ “แต่ช่วงหลังๆนี่แปลกๆไปนิดหน่อย” ผมมองหน้า ชัย “มีอะไรที่นายไม่ได้เล่าให้เราฟังอีกมั๊ย นอกจากเรื่องนั้น” ผมหมายถึงเรื่องที่ ชัย ไปเจอ ตั้ม ในงานศพญาติ
“มึงบอกมาก่อน ว่าอะไรที่มึงว่าแปลกๆ” ชัย พูดสีหน้าเคร่งเครียด
“แปลว่ามี” ผมถาม แต่ ชัย ก็เอาแต่จ้องหน้าผม “หลังๆ ตั้ม ไม่เขียนถึงคนที่บ้านเลย” ผมพูดอย่างกังวล “เมื่อก่อนเขียนมาเล่าให้ฟังบ่อยๆ ว่าไปไหน ทำอะไรกับพี่ๆ หรือพ่อกับแม่บ้าง ฉบับสุดท้ายที่เล่าถึงที่บ้าน บอกว่าพ่อเข้าโรงพยาบาลอาการหนัก” ผม จ้องมองชัย “นายคิดว่ายังไง”
“พ่อมันคงสบายดี เพราะถ้าเป็นอะไร ก็คงรู้กันแล้ว” ชัย พูดแล้วนิ่งคิด “เอาไว้กูค่อยๆสืบ แล้วจะมาบอกแล้วกัน”
“แล้วเรื่องอะไรที่นายไม่ได้เล่าให้เราฟัง” ผม เริ่มถามสิ่งที่ผมสงสัยบ้าง
“ก็ ไอ้ปอ น่ะสิวะ” แล้ว ชัย ก็เริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันวาเลนไทน์ให้ผมฟัง “แม่งก่อเรื่องไม่หยุดเลยหว่ะ กูชักเริ่มเบื่อๆกับมันแล้ว” ชัย จบเรื่องด้วยสีหน้าเอือมระอา
“ปอ น่ะ มันดีอยู่ตรงจริงใจนี่แหละ เป็นคนอื่นคงทำอยู่ ๒ อย่าง คือตัดใจ หรือไม่ก็รวบรัดไปแล้ว” ผมพูดหลังจากที่ไตร่ตรองอยู่สักครู่
“แต่มันใจร้อนหว่ะ ไม่คิดให้ดีก่อนพูด” ชัย พูดพลางขมวดคิ้ว
“นิสัยเหมือนกันเลย ๒ คนนี้ พูดอะไรอย่างที่ใจคิด เพียงแต่ ตั้ม มันพูดหลังจากที่คิดแล้วว่า จะเป็นประโยชน์กับคนฟังหรือเปล่า” ผมพูดพลางยิ้มให้ ชัย “เรื่องนี้ คนผูกต้องเป็นคนแก้ ปอ มันก่อเรื่อง มันก็ต้องจัดการเอง ขืนคนอื่นเข้าไปวุ่นวาย เดี๋ยวมันจะยุ่งกันใหญ่”
“กูก็ว่าอย่างนั้นหว่ะ” ชัย พูดพลางยิ้มให้กับเพื่อนที่อยู่ตรงหน้า
........................................................................................
.........................................
เช้านี้ผมแวะกินโจ๊กแถวหน้าโรงเรียน ทำให้ถึงห้องเรียนสายกว่าที่เคยเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่มีคนมาถึงตามเคย ผมวางเป้แล้วก็ฟุบหน้าลงไปบนโต๊ะ ผมหลับตาลงด้วยความอ่อนเพลีย หมู่นี้ผมรู้สึกอ่อนเพลียมาก บางครั้งในชั่วโมงเรียน ผมก็ต้องฟุบหน้าลงกับโต๊ะฟังครูสอน แล้วผมก็เคลิ้มหลับไป
ผมรู้สึกตัวเมื่อมีมือหนึ่งมาจับมือผมบีบเบาๆ แล้วมีอีกมือหนึ่งมาแตะที่หน้าผากผม
... ปอ เหรอ ... ความรู้สึกของสัมผัสที่มือทำให้ผมคิด
แล้วผมก็รู้สึกว่ามีริมฝีปากชื้นๆสัมผัสกับหน้าผาก พร้อมกับลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารด
... ใครน่ะ ไม่ใช่ ปอ เพราะ ปอ คงไม่ทำแบบนี้... ผมตกใจ ลืมตาขึ้นมองดู
ผมเห็นเป็นเงาลางๆ เนื่องจากความผิดปรกติของสายตา รวมเข้ากับอาการของคนที่กำลังจะหลับแต่ถูกปลุก เงาร่างของคนรูปร่างสูงโปร่ง สวมแว่นอยู่บนใบหน้า นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆผม ผมหยิบแว่นสายตาขึ้นมาสวม
“นึก” ผมอุทานเบาๆ
นึก มองหน้าผมนิ่งอยู่สักพัก แล้วก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินออกจากห้องไป ปล่อยให้ผมนั่งอยู่ที่เดิมด้วยความงุนงง

... นายทำแบบนี้ทำไม นายพูดว่าไม่ได้ชอบเรา แล้วนายทำแบบนี้ทำไม ...
........................................................................................
.........................................
 

ออฟไลน์ RN

  • Global Moderator
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1650/-14
นึกตกลงจะเอายังไงกันแน่

ปล.ปอ ทำไมไม่รีบมาเคลียร์ให้เรียบร้อย..เหอๆๆ

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
๖๒ เตรียมงาน

“ตั้ม เอ็งอย่าเพิ่งนอน มาคุยกันก่อน” ดม เรียกผมที่กำลังจะฟุบหน้าลงบนโต๊ะ

ตอนนี้เป็นช่วงปลายเทอมแล้ว อีกเพียงไม่กี่วันก็จะมีการสอบปลายภาค ถึงผมจะหายจากอาการป่วยแล้วก็ตาม แต่ด้วยความเคยชิน พอกินข้าวกลางวันเสร็จ ผมจะต้องหาเวลางีบให้ได้สัก ๑๐-๑๕ นาที

“อารายอะ” ผมเงยหน้าขึ้นมอง ดม ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ของโต๊ะข้างๆ มีพวก เชียร นึง โอ นึก วัฒน์ หมู และโย่ง พากันยืนบ้าง นั่งบ้าง อยู่ที่โต๊ะรอบๆ
“มึงทำอย่างนี้ได้ไงวะ” ดม ถามเครียดๆ
“อารายอะ เราทำไร” ผมถามกลับ
“เชียร มันบอกว่า เทอมหน้านายจะไปเล่นดนตรีให้พวกห้อง ๒ ตอนงานสัปดาห์วิชาการเหรอวะ” นึง ถาม

เทอมหน้าทางโรงเรียนจะจัดให้มีงานสัปดาห์วิชาการ เป็นงานที่ทางโรงเรียนจะจัดขึ้นทุก ๒ ปี ความจริง ครูจันทร์ ก็อยากให้ผมเล่นละครให้ท่าน แต่ผมปฏิเสธไป เพราะไม่ค่อยมั่นใจในอาการป่วยของตัวเองนัก แล้วเมื่อวานนี้เอง โชค พี่ชายของ เชียร ซึ่งเรียนอยู่ห้อง ๒ ก็มาชวนผมให้ร่วมวงดนตรีของเขา ที่จะร่วมแสดงในงานครั้งนี้ด้วย

“อื้อ ทำไมเหรอ” ผมตอบรับ
“เอ็งทำแบบนี้ได้ไงวะ” ดม ยังคงถามแบบเคืองๆ
“อะไรอะ แค่เราไปเล่นดนตรี มันมีอะไรเหรอ ถึงได้ทำท่าเหมือนโกรธเรากันแบบนี้” ผมเริ่ม งง
“ก็งานนั้น พวกเราจะจัดบอร์ดให้เป็นห้องร้อยกรอง แล้วนายจะไม่อยู่ช่วยพวกเราเหรอไง” โย่ง พูดขึ้น
“อ้าว แล้วทำไมไม่เห็นมีใครบอกเราเลย” ผมขมวดคิ้ว รู้สึกหายง่วงทันที
“พวกเราคุยกันตอนที่ ศิลปี มาๆหยุดๆน่ะ ก็คิดว่ากำลังจะบอกอยู่เหมือนกัน” วัฒน์ ค่อยๆอธิบายให้ผมฟัง “พวกเรากะว่าจะให้ ศิลปี ช่วยดูแลบอร์ดบางบอร์ดในงาน”
“แบบนั้นก็ต้องอยู่ที่บอร์ดตลอดสิ ตั้ง ๓ วันไม่ใช่เหรอ” ผมถามด้วยความสงสัย
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ก็หลายๆคนสลับกันเฝ้าบอร์ดน่ะ” หมูอธิบาย “แต่คนที่เฝ้าต้องอธิบายข้อมูลในบอร์ดได้เวลาที่มีคนถาม”
“ก็มีกันหลายคนแล้วนี้ ขาดเราไปคนคงไม่เป็นไรมังอะ” ผมพูดไปโดยที่ไม่ได้คิดอะไรมากนัก “เอาเป็นให้เราช่วยทำอย่างอื่นแล้วกัน”
“ใจคอนายอยากจะไปทำงานร่วมกับคนอื่น มากกว่าเพื่อนหรือไง” นึก พูดโกรธๆ
“อ้าว ทำไมว่าเราอย่างนั้นอะ คนอื่นที่ไหนกัน พวกนั้น ก็เพื่อนเราเหมือนพวกนายน่ะแหละ แล้ว โชค ก็พี่ เชียร นะ” ผมพูดอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก ที่ นึก พูดแบบนั้น
“งั้นเดี๋ยวพวกกูไปคุยกันก่อนว่าจะเอายังไง แล้วค่อยมาบอกเอ็งอีกทีก็แล้วกัน” ดม สรุป แล้วหลายคนก็พากันเดินออกไป
“ศิลปี อย่าคิดอะไรเลยนะ พวกนั้นแค่อยากให้มาทำกิจกรรมด้วยกันเท่านั้นแหละ” วัฒน์ เข้ามาพูดพูดยิ้มๆ
“นั่นดิ แล้ว นึก มันก็หวงนาย ไม่อยากให้ไปยุ่งกับคนอื่นน่ะ” หมู พูดเสริม แล้วทั้ง ๒ คนก็เดินออกไปคุยกับคนอื่นๆ

... เฮ้อ!!!  ทำไมต้องมาทำอะไร หรือมาพูดอะไรให้คิดด้วย คนพยายามจะลืมอยู่แท้ๆ ...

แต่หลังจากวันนั้น ก็ไม่มีใครมาบอกอะไรเกี่ยวกับงานให้ผมรู้เลย จนกระทั่งปิดภาคเรียน


ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
อ่ะๆๆ แล้วก็รอต่อปายยยยย

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
๖๓ อีกครั้งกับคอนเสริท

ด้วยความจำเป็นที่ผมอธิบายให้ฟัง ทางบ้านจึงยอมให้เงินส่วนหนึ่งมาเป็นค่าใช้จ่าย สำหรับการเรียนพิเศษในช่วงปิดเทอม ส่วนใหญ่เป็นการทบทวนเนื้อหาวิชาต่างๆ ที่เรียนมาแล้วในช่วง ม.๔-ม.๕ แต่ดูเหมือนพวก เชียร นึง  ดม โอ และนึก จะให้ความสนใจกับสาวๆวัยเดียวกัน ในห้องเรียนพิเศษ มากกว่าเนื้อหาวิชา มักจะชวนผมไปเดินเล่นกับกลุ่มสาวๆ หลังเรียนพิเศษเป็นประจำ มิน่าถึงได้ให้ผมบอกกับทางบ้านว่าเรียนพิเศษถึงช่วงเย็น แทนที่จะบอกว่าเรียนเพียงครึ่งวันตามความเป็นจริง

เสาร์นี้ก็เช่นกัน พวกนั้นชวนผมไปกินข้าวกลางวันกับพวกสาวๆ ที่ร้านอาหารร้านใหญ่แห่งหนึ่ง ในศูนย์การค้าติดกับสนามกีฬาแห่งชาติ ที่ผมยอมมาด้วยเพราะได้ยินว่า สาวๆกลุ่มนี้ปลื้ม ตั้ม มันนักหนา ทั้งๆที่ได้เจอเพียงแค่ครั้งเดียว

“นี่ วันนี้สงสัยมีคอนเสริทของที่นั่นอีกมั๊ง เมื่อกี้เห็นมีเวทีกับป้ายสถาบัน” สาวผมหยิกหยองพูดขึ้นมา
“แล้วนี่ ตั้ม เค้าจะเล่นดนตรีด้วยเหมือนคราวที่แล้วรึเปล่า” สาวคนเดิมหันมาถามพวกผู้ชาย ทำเอา ผมหูผึ่งเมื่อได้ยินชื่อนั้น
“เล่นมั๊ง เห็นมันเคยพูดถึงอยู่เหมือนกัน” โอ บอกออกไป “ทำไม จะไปดูมันเหรอ”
“อื้อ ไปสิ ว่าแล้วก็ไม่ได้เจอ ตั้ม นานเลยนะ คิดถึงเชียว” สาวผมสั้นบอก
“คิดถึงมันทำไม” ดม พูดอย่างหมั่นไส้
“อ้าว ก็ ตั้ม เค้าน่ารักออก คุยสนุกดี เน๊อะ พวกเรา” สาวแว่นพูดยิ้มๆ
“ช่าย ไม่ต้องคอยระแวงเหมือนพวกหนุ่มๆหลายๆคนด้วย” อีกสาวหนึ่งพูดพลางหันไปหัวเราะกับเพื่อนๆ
“โธ่ ไปปลี้มอะไรกับมันนักน่ะ มันไม่ใช่ผู้ชายแท้ซะหน่อย” นึง พูดอย่างอดไม่ได้
“รู้น่าว่า ตั้ม มันเป็นกะเทย” สาวผมหยิกหยอง พูดกลัวหัวเราะ
“กะเทยแล้วเป็นไง ตั้ม มันนิสียดีกว่าพวกปรกติหลายๆคนด้วยซ้ำ” ผม อดไม่ไหวพูดออกไปอย่างเคืองๆ ทำเอาทั้งโต๊ะเงียบไปครู่หนึ่ง
“เอ้อ ขอโทษนะ เราไม่ได้ตั้งใจจะว่าอะไรหรอก พวกเราก็บอกอยู่เมื่อกี้ไงว่า ตั้ม เค้าน่ารักออก” สาวผมหยิกหยอง ค่อยๆพูด
“ปอ นี่สงสัยรักเพื่อนคนนี้น่าดูเลยนะ” สาวผมสั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่มีแต่ความชื่นชม “ถ้าเรามีเพื่อนแบบนี้เราก็รักน่าดูเหมือนกัน เน๊อะพวกเรา” พวกสาวๆต่างพยักหน้าเห็นด้วย ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้น
แล้วพวก นึง ก็ชวนสาวๆคุยเรื่องอื่นกันไปเรื่อยๆ ตอนนี้เองผมสังเกตว่า นึก เริ่มคุยบ้างแล้ว หลังจากที่เงียบไปตอนที่พูดถึง ตั้ม

หลังจากกินข้าวกลางวันกันเสร็จ พวกเราก็เดินเล่นกันอยู่ในห้างสักครู่ แล้วเดินลงไปยังเวทีบริเวณชั้น ๑ ของศูนย์การค้า ซึ่งกำลังมีการแสดงกนตรีอยู่พอดี นักดนตรีและนักร้องทั้ง ๗ คน อยู่ในชุด กางเกงยีนส์ สามส่วน เสื้อยืดสีสดพร้อมเสื้อแจกเกตยีนส์ ทุกคนใส่หมวกสีเดียวกับเสื้อยืดที่สวมไว้ข้างใน กำลังบรรเลงและร้องเพลงไทยสากลที่มีจังหวะเร้าใจอยู่บนเวที สาวๆพากันนำทั้งกลุ่มไปยืนอยู่ใกล้มุมขวาของเวที ผมเองก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก จนกระทั่งเพลงนั้นจบลง สาวๆก็พากันตะโกนพร้อมกับตบมือลั่น
“ตั้ม ตั้มมมมมมมมมม” สาวๆ เรียก พร้อมกับโบกมือทักทาย
ผมมองขึ้นไปบนเวที เห็นหนึ่งในสองคนที่เล่นคีย์บอร์ด หันมาทางพวกเราแล้วโบกมือให้ ผมเพ่งมองร่างบางๆในชุดกางเกงยีนส์สามส่วน เสื้อยีดสีส้มสด สวมทับด้วยแจคเกตยีนส์ ใส่หมวกแก๊ปสีเดียวกับเสื้อยืด หันปีกหมวกไปข้างหลัง ผมจ้องอยู่นานด้วยความคิดถึง แทบจะวิ่งขึ้นไปกอดมันบนเวที
“นั่นแน่ แฟนๆ พี่ตั้ม มาอีกแล้ว” นักร้องนำพูดออกไมค์ “น่าอิจฉาจริงน๊า มีคนมาเชียร์ทั้งสาวๆหนุ่มๆ” คนดูบางส่วนพากันหัวเราะ “อย่างนี้ผมต้องปล่อยทีเด็ดมั่งแล้ว เผื่อมีสาวๆมาเชียร์ผมมั่ง ส่วนหนุ่มๆ ไว้ไปคอยเชียร์ พี่ตั้ม เค้าแล้วกันนะครับ”
แล้วเสียงดนตรีก็ดังขึ้นเป็นเพลงสากลแนว ปอป-แจส ในจังหวะเร็วเร้าใจ นักร้องทั้งร้องทั้งเต้นเต็มที่ มือกีตาร์ ๓ คนก็ใช่ย่อย วาดลวดลายกันใหญ่ ทำเอาคนดูชอบอกชอบใจ ปรบมือกันเสียงดังเมื่อเพลงจบลง

“โอย ผมเหนื่อยและ ฟังเพลงเร็วๆมากันเยอะแล้ว มาฟังเพลงช้าๆกันบ้างดีกว่า”นักร้องนำหยุดพูดไปสักครู่หนึ่ง “เดี๋ยวผมขอพักหน่อยแล้วให้ พี่ตั้ม มาร้องเพลงให้พวกเราฟังกันบ้างดีมั๊ยครับ” เด็กหนุ่มหันไมค์มาทางคนดู
“ดีๆๆๆๆๆ” สาวๆพากันตะโกน แล้วปรบมือ
บนเวทีมีการจัดสถานที่กันเล็กน้อย มีการยกเก้าอี้ทรงสูงออกมา ๒ ตัว พร้อมกับที่วางเท้าสำหรับคนเล่นกีตาร์ และไมค์ ๒ ชุด ระหว่างนั้นเหมือน ตั้ม จะคุยอะไรบางอย่างอยู่กับเด็กหนุ่มผิวคล้ำ หน้าตาคมคาย ตัวสูงรูปร่างเหมือนนักกีฬา
“มาฟัง พี่ตั้ม กับน้องบุ๋ม คู่รัก เอ๊ย คู่หูหวานแหว๋ว ร้องเพลงกันดีกว่าครับ”
มีเสียงหัวเราะเบาๆลอยมาจากกลุ่มคนดู นักดนตรีและนักร้องทุกคนหลบกันไปด้านหลังเวที เหลือเพียง ตั้ม และเด็กหนุ่มรูปร่างสูงคนนั้น คงเป็นคนที่ชื่อ บุ๋ม นั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมกับกีตาร์ในมือของทั้งสองคน แล้วก็เริ่มเกากีตาร์และร้องเพลงออกมา

http://media.imeem.com/m/octveX3NIe/aus=false/

ระหว่างที่ ตั้ม ร้องเพลง ผมสังเกตว่า สายตาของ ตั้ม เหมือนเหม่อมองไปยังที่ที่ไกลแสนไกล

ฉันไม่เคยคิดถาม ว่ารักฉันอยู่บ้างไหม
รู้คำตอบในใจ แน่แท้เธอไม่แลเหลียว
ก็รู้ใจอยู่ว่ารัก รักเธอข้างเดียว
อย่าเลย อย่าถาม


เมื่อร้องถึงเนื้อเพลงท่อนนี้ ตั้ม หลับตาลง เหมือนกับจะร้องมันออกมาจากหัวใจ ผมฟังแล้วคิดว่า ทำไมเนื้อเพลงท่อนนี้ ถึงได้ตรงใจผมในตอนนี้นัก

คิดก็ยังไม่เคย ไม่เคยคิดเลย
ถามออกไปก็เชย อย่างเคยรู้กัน
แต่ยังมีคำถามใจ เก็บไว้คำหนึ่ง
เคยคิดเคยรังเกียจฉัน ... หรือเปล่า


เนื้อร้องท่อนสุดท้ายของเพลง ตั้ม หันหน้ามาทางกลุ่มพวกเรา ส่งสายตาไปยังใครบางคน ผมเองก็มองเห็นคนคนนั้นมอง ตั้ม อย่างไม่วางตาเหมือนกัน

ตั้ม คงจะรอคอยคำตอบ ที่ไม่แน่ว่าจะได้รู้หรือไม่ แต่สำหรับผม ผมได้รับคำตอบนี้ตั้งแต่วาเลนไทน์ที่ผ่านมา มิหนำซ้ำผมยังรู้คำตอบผ่านทางสายตา เวลาที่ผมเข้าไปนั่งฟัง ตั้ม ติวให้เพื่อนๆ ว่า ตั้ม เป็นห่วงผมเสมอ เพราะผมเป็นเพื่อนคนหนึ่ง และไม่มีวันเลยที่ ตั้ม จะรังเกียจคนที่เป็นเพื่อน ต่อให้เพื่อนคนนั้นทำให้ ตั้ม ‘เจ็บ’ สักแค่ไหนก็ตาม

 ผมก้มหน้าอยู่กับความคิด โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่า ตั้ม ส่งสายตาเลยมายังผมด้วย เมื่อใกล้จบเพลง
...
............................................
“พี่เปลี่ยนเพลงเป็นเพลงนั้นทำไมน่ะ” บุ๋ม ถามขึ้นหลังจากจบการแสดง แล้วพวกเราพากันไปกินไอติมกันที่ร้านชื่อดังร้านหนึ่ง
“ขอโทษนะ พี่อยากสื่ออะไรถึงคนบางคนน่ะ” ผมตอบพลางก้มหน้าตักไอติมเข้าปาก

แน่นอน ผมใช้เพลงเป็นสื่อบอกความรู้สึกของผมไปยัง นึก
แต่อีกคนจะรู้ไหมว่าผมใช้บางประโยคของเพลงนี้ สื่อถึงเขาด้วยเหมือนกัน

... ปอ นายจะเข้าใจเรารึเปล่า ถึงนายจะไม่คิดว่าเราเป็นเพื่อน แต่เราไม่อยากให้นายเกลียดเรา เรายังคิดว่านายเป็นเพื่อนที่ดีของเราเสมอ ...

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-05-2008 21:41:23 โดย บุหรง »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
๖๔ สัปดาห์วิชาการ

แล้วงานสัปดาห์วิชาการก็ใกล้จะมาถึง เพื่อนๆต่างพากันวุ่นวายกับการเตรียมงาน ทุกคนมีหน้าทีที่จะต้องทำ ยกเว้นผม  ห้องที่ว่างเปล่าเนื่องจากโต๊ะและเก้าอี้ถูกนำไปเก็บรวบกันไว้ในห้องริมสุดของชั้น เพื่อนๆหลายคนพากันไปยกบอร์ดมาจัดวาง พอผมจะเข้าไปช่วย ก็ถูกหาว่าเกะกะ หลังจากนั้น กระดาษโปสเตอร์หลากสี ที่เขียนข้อความต่างๆ รวมทั้งรูปภาพต่างๆก็ถูกนำมาวางกองไว้เตรียมจะจัดลงบอร์ด ผมได้แต่ยืนคว้างอยู่กลางห้อง เพราะเหมือนว่ามีการแบ่งงานกันอย่างเรียบร้อยแล้ว ว่าใครจะทำอะไร

“ศิลปี มาช่วยเราทางนี้หน่อย” วัฒน์ เรียกผม
“ไม่ต้องดีกว่า นายไปซ้อมดนตรีของนายเหอะ” ดม พูดห้ามขณะที่ผมกำลังเดินไปหา
“ศิลปี มาช่วยเราน่ะดีแล้ว เร็วๆ งานจะได้เสร็จไวๆ” วัฒน์ เรียกผมอีก
ผมเดินเข้าไปหา แล้ว วัฒน์ ก็ให้ผมช่วยจับกระดาษโปสเตอร์บ้าง ส่งอุปกรณ์ต่างๆให้บ้าง วันนั้นทั้งวัน มีเพียง วัฒน์ หมูและโย่ง ที่คุยกับผม ส่วนคนอื่นๆ ไม่ค่อยสนใจผมนัก ผมคิดว่าคงเป็นเพราะต่างกำลังยุ่งอยู่กับงานที่ทำอยู่

วันที่สองของการเตรียมงาน สภาพการณ์ยังเป็นเหมือนเดิม จนผมเริ่มเอะใจ
“นี่โกรธเรากันขนาดนี้เลยเหรอ” ผมกระซิบถาม วัฒน์
“ไม่หรอก” วัฒน์ อมยิ้ม “พวกนั้นเค้างอนน่ะ” วัฒน์ หันหน้าไปพยักเพยิดกับ หมู ซึ่งกำลังยิ้มอยู่เหมือนกัน
“งอนไรอะ” ผมยังคงไม่เข้าใจ
“เดี๋ยวทำงานเสร็จก่อนแล้วกันนะ แล้วจะเล่าให้ฟัง” วัฒน์ หันมายิ้มให้ผม แล้วพวกเราก็ทำงานกันต่อ จนเสร็จในช่วงเวลาเที่ยงพอดี
.....................................................................................
..........................................
“ก็หมู่นี้ ศิลปี ทำตัวแปลกๆมาตั้งแต่อตอนต้นปีแล้วนะ” วัฒน์ เริ่มพูดขึ้นหลังจากที่เรากินข้าวกลางวันเรียบร้อยแล้ว “วันๆหายตัวไปไหนไม่รู้ เทอมก่อนก็ด้วย”
“เรา ...” ผมอ้ำอึ้ง จะให้บอกได้ยังไงว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
“ถ้าเรื่อง นึก นายไม่ต้องห่วงอะไรหรอก พวกเราเข้าใจ” หมู พูดขึ้นมาบ้าง
“ขอบใจนะ” ผมพูดด้วยความดีใจที่เพื่อนเข้าใจผม “แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น เรา...” ผมไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี
“ลำบากใจก็ยังไม่ต้องเล่าก็ได้” วัฒน์ บอก “เรื่องเก่าๆเอาไว้ก่อน แต่ตอนนี้ พวกนั้นน่ะกำลังงอน”
“เรื่องอะไรอะ” ผมถามพลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“เรื่องที่นายไปเล่นดนตรีให้พวกห้อง ๒ นั่นแหละ” หมู ขยายความ “ก็พวกเราตั้งใจจะให้นายกับ นึก ดูแลบอร์ดเดียวกันวันนึง แล้วอีกวันให้นายกับ ปอ ดูแลบอร์ดด้วยกัน”
“อะไรนะ” ผมตกใจ “ทำไมทำอย่างนั้นอะ”
“ก็ตั้งแต่เทอมที่แล้ว เราไม่ค่อยเห็น ศิลปี คุยกับสองคนนี้เหมือนก่อนเลย กับ นึก น่ะ พอรู้หล่ะว่าเป็นเพราะอะไร แต่กับ ปอ นี่สิ พวกเรายังสงสัยอยู่” วัฒน์ พูดยาว “ปอ นี่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ ม.๑ ไม่ใช่เหรอ”
“หรือ ปอ ทำอะไรให้นายโกรธอีกเหรอไง” หมูตั้งข้อสงสัย
“เปล่า” ผมตอบอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงนัก “เราไม่เคยโกรธ ปอ เลยนะ แต่ ปอ คงไม่ค่อยชอบเราเท่าไหร่”
“ใครบอก” หมู หยุดพูดเหมือนกับว่าคิดอะไรได้  “แต่เราว่าอาจจะใช่นะ ปออาจจะไม่ชอบนายจริงๆก็ได้” พูดจบหมูก็หัวเราะไม่หยุด
“ไม่เอา หมู เรื่องแบบนี้ให้เค้าคุยกันเอง พวกเรามันคนนอก” วัฒน์ หันไปพูดเสียงดุๆ ผมฟังแล้วก็รู้สึกสงสัย ในคำพูดแปลกๆของทั้งสองคน
“เราว่าไม่ใช่แบบนั้นหรอก คนเราถ้าไม่รู้สึกดีๆต่อกัน คงไม่ดูแลกันขนาดนี้” วัฒน์ หันกลับมาพูดกับผม “อย่างตอน ม.๔ ที่เค้าเผลอชก ศิลปี นั่นน่ะ ปอ เค้าเป็นห่วงมากเลยรู้มั๊ย”
“อื้อ เรารู้ แต่เรามาคิดดู ถ้าเราเผลอไปชกใครเข้าจนเค้าสลบ เราก็คงเป็นห่วงแบบนั้นเหมือนกัน”
“เฮ้อ...” วัฒน์ ถอนหายใจ “โตขึ้นแต่ตัวจริงๆเลย” วัฒน์ พูดเบาๆเหมือนบ่น  แล้วหันมายิ้มให้ผม อย่างผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก
“เอาเป็นว่าพวกเราอยากให้พวกนาย ๓ คนกลับมาคุยเล่นกันเหมือนเดิม” หมู พูด “แต่พอนายไปรับปากเรื่องเล่นดนตรี มันก็เลยผิดแผนไง พวกนั้นก็เลยงอน”
“โหย ใครคิดแผนนี้เนี่ย” ผมอุทาน “คิดได้เก่งมากนะ”
“ทำไมเหรอ” วัฒน์ กับ หมู ถามขึ้นพร้อมกัน
“เริ่มคิดกันตอนเราไม่สบาย กว่าจะได้ทำเข้ามาเทอม ๒ แล้ว นี่ถ้าเราป่วยตายไปก่อนจะเป็นยังไงเนี่ย” ผมขมวดคิ้ว “คนคิดนี่ไม่ได้เรื่องเลย”
“ฮ่าๆๆ” หมู หัวเราะใหญ่ ตรงข้ามกับ วัฒน์ ที่หน้าจ๋อยลงไป
“หง่ะ อย่าบอกนะว่า วัฒน์ เป็นคนคิด” ผม พูดพลางยื่นหน้าไปใกล้ๆหน้า วัฒน์
“อื้อ เราคิดเอง” วัฒน์ หน้าแดง
“มิน่า ดูสุภาพบุรุษจัง” พูดจบผมก็หัวเราะซะตัวงอ “เรื่องง่ายๆ คิดซะซับซ้อนเชียว”
“อ้าว แล้วทำไงถึงจะง่ายล่ะ” หมู ถาม
“โธ่ ง่ายจะตายเรื่องแค่เนี๊ย ก็แค่....” ผมชะงักคำพูด เพราะนึกถึงอะไรขึ้นมาได้ “ไม่เอา ไม่บอกดีก่า ให้ไปคิดกันเองเป็นการบ้าน”
.....................................................................................
..........................................
แล้วงานสัปดาห์วิชาการก็มาถึง  ช่วง ๓ วันระหว่างจัดงาน ก็จะมีการแสดงต่างๆ สลับกันระหว่างเวทีให้ห้องประชุม และเวทีกลางแจ้ง วงดนตรีของพวกผม แสดงในวันที่ ๒ ของงานในช่วงเวลาก่อนเที่ยง บนเวทีในห้องประชุม และในช่วงบ่ายของทุกวัน จะมีการแสดงละครเวทีเรื่อง จุฬาตรีคูณ ของครูจันทร์
การแสดงดนตรีผ่านไปด้วยดี พวก วัฒน์ พากันมายืนเชียร์อยู่ข้างหน้าเวที พี่ราญ ฝากดอกกุหลาบขาวช่อเล็กน่ารักมากับ ชัย เพราะติดเรียนพิเศษ ไม่สามารถมาดูผมแสดงดนตรีได้ แต่เพียงแค่นี้ ก็ทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นเยอะแล้ว
หลังจากที่กินข้าวกลางวันกับ ชัย ผมก็ขอตัวไปดูละครที่ห้องประชุม ซึ่งผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องดูให้ได้ ถึงแม้จะได้ดูจากตอนซ้อมมาแล้วหลายครั้งก็ตาม แต่มันก็คงจะเทียบไม่ได้เลยกับวันที่ต้องแสดงจริง ขณะที่ผมกำลังเดินไปที่โต๊ะขายบัตร ตุ่ม ก็เข้ามาเรียกผมไว้
“ตั้ม อยู่นี่เองเหรอ หาตั้งนาน” ตุ่ม เรียกผมไว้
“มีไรเหรอ” ผมถามพลางมองหน้าที่มีเม็ดเหงื่อกระจายอยู่บนหน้าผากของ ตุ่ม
“ครูจันทร์ อยากพบด่วนเลย ไปเร็ว ที่หลังเวที” ตุ่มบอกด้วยความรวดเร็ว
“เราซื้อตั๋วแป๊บนึง เดี๋ยวที่ดีๆหมด” ผมทำท่าจะเดินไปซื้อตั๋วละคร
“ไม่ต้องซื้อ ไปหาครูกันก่อน” ตุ่ม พูดแล้วดันหลังผมให้รีบไป
ผมก็เลยต้องรีบวิ่งไปที่ด้านหลังห้องประชุม ที่มีประตูทางเข้าไปหลังเวที
“ศิลปี มาช่วยครูหน่อย” ครูจันทร์ พูดอย่างดีใจที่ได้เห็นผม
“ค๊าบ มีอะไรเหรอคับครู” ผมถามอย่างสงสัย
“พอดีนักร้องชายเค้าทำท่าจะไม่สบาย ก็เลยอยากให้ศิลปีช่วยเค้าหน่อย” ครูจันทร์ มองผมอย่างมีความหวัง
ละครคราวนี้ ครูจันทร์ต้องใช้เสียงร้องจากนักร้อง ช่วยในการแสดง เพราะตัวแสดงนำหลายตัว ไม่สามารถร้องเพลงในระดับเสียงที่ถูกต้องได้ นักร้องชาย เป็นนักเรียนในวงดุริยางค์ของโรงเรียน ส่วนนักร้องหญิง เป็นญาติกับครูจันทร์
“ง่า จะได้เหรอค๊าบ ผมไม่ค่อยได้ซ้อมกับวงเลย” ผมลังเล
“ครูว่าทำได้อยู่แล้วหล่ะ ตอนซ้อม เธอก็มาช่วยร้องให้ครูบ่อยๆนี่นา” ครูจันทร์ ยิ้มนิดหนึ่ง “ถ้าเป็นเธอ ครูก็วางใจมากกว่าคนอื่น” ครูจันทร์ พูดเสียงอ่อนโยน
“ได้ครับ” ผมตอบรับ
แล้วบ่ายวันนั้น ผมก็เข้าไปนั่งร่วมกับนักร้องทั้ง ๒ ทางด้านข้างของหน้าเวที รับหน้าที่ร้องเพลงต่อจากนักร้องหลัก ที่ร้องไปได้เพียงเพลงเดียวก็มีอาการเจ็บคอ และรับหน้าที่ต่อไปในวันที่ ๓ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการจัดงานสัปดาห์วิชาการ


ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
๖๕ คุ๊กกี้ถุงใหญ่

“ศิลปี ขอบใจมากที่ช่วยงานครู นี่ครูให้นะ”
ครูจันทร์ ยื่นถุงคุ๊กกี้ถุงใหญ่ให้ผม หลังจากหมดชั่วโมงที่ครูสอน ผมไหว้ขอบคุณก่อนที่จะรับมา กะดูด้วยน้ำหนักของมัน คงจะประมาณ ๒ กิโลกรัมได้ ผมอมยิ้มเพราะคิดถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
“ยิ้มใหญ่เลยนะ ได้ขนมมาถุงเบ้อเริ่ม” ญัฐ แซว
“กินด้วย” นัส ที่นั่งข้างหลัง ยื่นหน้ามาพูด
“เดี๋ยวไว้พักก่อนสิ กินข้าวเสร็จแล้วค่อยมาแบ่งกัน ตอนนี้ใครอย่ามายุ่งของเรานะ เราโกรธจริงๆด้วย” ผม พูดยิ้มๆ
“ทำไมยุ่งไม่ได้วะ จะเก็บไว้แบ่งใครเหรอไง” โอ ตะโกนถามมาจากด้านหน้า
ผม ไม่ตอบหันไปแลบลิ้นใส่ โอ แล้วเก็บถุงคุ๊กกี้ไว้ในเก๊ะ
“เดี๋ยวกลางวันเรามาทานด้วยกันนะ แล้วใครอย่าแอบมาหยิบกินก่อนล่ะ” ผมสำทับ
...................................................................................
....................................
“ศิลปี ทำไมต้องถือลงมาด้วยล่ะ” วัฒน์ ถามพลางมองถุงคุ๊กกี้ข้างตัวผม
“เดี๋ยวหาย” ผมตอบสั้นๆพลางตักข้าวราดแกงกะหรี่ของโปรดเข้าปาก
“จะหายได้ไง แค่คุ๊กกี้จะมีใครเอา” หมู หันมาถาม
“ไม่แน่อะ ของเราเคยหายนี่นา เราก็กลัวสิ” ผมตอบหลังจากที่เคี้ยวข้าวหมดคำ แล้วก็ตักคำใหม่เข้าปาก
“อ้าว เหรอ ทำไมไม่เคยได้ยิน ศิลปี พูดถึงเลย อะไรหายเหรอ” วัฒน์ หันหน้ามาถามผมด้วยความสงสัย เพราะตั้งแต่เรียนมายังไม่มีของคนในห้องถูกขโมยเลยสักครั้ง
“ก็แค่ดอกไม้ดอกเดียวน่ะ ช่างมันเหอะ ไร้สาระ” ผมตอบพลางกินข้าวต่ออย่างไม่สนใจอะไรนัก
โอ ได้ยินก็หันหน้าไปมองหน้า นึก พลางอมยิ้ม ... นี่ไงไอ้หัวโขมย หนอย ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ...

พอกินข้าวเสร็จ ผมก็ไปขอถุงพลาสติกกับหนังยาง มาจากร้านค้าที่ผมคุ้นเคย แล้วผมก็แบ่งคุ๊กกี้ประมาณ ๑ ใน ๔ ใส่ถุงที่ผมขอมา แล้วรัดหนังยางให้เรียบร้อย  แล้วผมก็เดินกลับไปที่ห้อง
“ไหน ไอ้ตั้ม เอาขนมมากินหน่อยเร็ว” โอ เรียก
“อะไร จะกินกันแล้วเหรอ ไม่กินตอนพักย่อยล่ะ” ผมทำท่าจะไม่ยอม
“เอามาซะดีๆ อย่ากินคนเดียว เดี๋ยวปวดท้องนะ” โย่ง พูดแล้วหัวเราะ
ผมก็ยื่นถุงคุ๊กกี้ถุงใหญ่ให้เพื่อนๆไป โอ รับไปแกะหนังยางที่รัดปากถุงออก แล้วต่างคนก็ต่างหยิบคุ๊กกี้ออกมากินกันคนละชิ้นสองชิ้น โอถือถุงคุ๊กกี้เดินวนไปรอบห้อง แล้วทุกคนที่อยู่ในห้อง ก็ได้กินกันอย่างทั่วถึง
“อ๊ะ ที่เหลือเก็บไว้ก่อน เดี๋ยวพักย่อยค่อยกินต่อ” โอ ยื่นถุงคุ๊กกี้ ที่เหลืออยู่อีกเกือบครึ่งถุงให้ผม “แล้วถุงนั้นเก็บไว้ให้ใครวะ”
ผมยิ้มไม่ตอบ รับถุงคุ๊กกี้มาจาก โอ แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะของผม

“กูว่าของมึงแน่เลย เตรียมรับของฝากก่อนกลับบ้านด้วยนะเว๊ย” โอ หันไปพูดกับ นึก ซึ่งพอได้ฟังแล้วก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย พลางมองตามหลังตั้มที่เดินกลับไปที่โต๊ะ
...................................................................................
....................................
กว่าคนที่ผมรอจะกลับมาที่ห้อง เสียงออดบอกเวลาเรียนในคาบบ่ายก็ดังขึ้นพอดี
... เดี๋ยวพักย่อยค่อยเอาไปให้แล้วกัน ... ผมคิดแล้วยิ้มให้ถุงคุ๊กกี้ถุงเล็กในมืออย่างอารมณ์ดี พลางคิดถึงเรื่องราวบางอย่างเมื่อตอนที่เรียนอยู่ชั้น ม.๔
... หารสองนะเว๊ย แบ่งกูครึ่งนึง... ผมนึกถึงใบหน้าของเขาในตอนนั้น แล้วต้องยิ้มออกมาอย่างอบอุ่นใจ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-05-2008 14:03:20 โดย บุหรง »

kongkilmania

  • บุคคลทั่วไป
 :m32:  ย่องมาขโมยคุ้กกี้อ่า...
 :L2:
 :L2:
ยังร๊ากกกกน้องตั้มเหมือนเดิม  ขอ  :กอด1: แน่นๆที

ว่าแต่ ยังไม่ได้เคลียร์กันเลยนะ ทั้งนึกทั้งปอ    o12
ใจเย็นกันจิ๊ง   :m16:
นึกก็ปากอย่างใจอย่าง
ปอก็ชักช้าไม่ทันใจ   :seng2ped:

มานน่าให้ตั้มโดน มคปด ซะจริงๆ เราจะ    :laugh: ให้สะใจเรยยย


ออฟไลน์ RN

  • Global Moderator
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1650/-14
เข้ามารอคุ้กกี้ๆๆ

อยากกินๆๆ

แบ่งบ้างดิ  ... :oni2: :oni2:

salapaw

  • บุคคลทั่วไป
 ขอถามไรหน่อยนะคะ    มันเหลืออีกเยอะไหมอ่า  กลัวคิดไรไว้จะไม่ใช่ 55 :เฮ้อ:

GTo_CluB

  • บุคคลทั่วไป
อยากกินคุกกี้ด้วยจัง   :o8: :o8: :o8:

มาต่อให้ยาวมาก ขอบคุณงับ +1ให้แระนะ

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
:m32:  ย่องมาขโมยคุ้กกี้อ่า...
 :L2:
 :L2:
ยังร๊ากกกกน้องตั้มเหมือนเดิม  ขอ  :กอด1: แน่นๆที

ว่าแต่ ยังไม่ได้เคลียร์กันเลยนะ ทั้งนึกทั้งปอ    o12
ใจเย็นกันจิ๊ง   :m16:
นึกก็ปากอย่างใจอย่าง
ปอก็ชักช้าไม่ทันใจ   :seng2ped:

มานน่าให้ตั้มโดน มคปด ซะจริงๆ เราจะ    :laugh: ให้สะใจเรยยย

เรื่อง มคปด นี่ เกือบไปเหมือนกันครับ แต่เรื่องราวตอนนั้นคงไม่เขียนถึง แค่นี้ตัวละครก็เยอะจนบางคนเวียนหัวแล้ว  o6

ขอถามไรหน่อยนะคะ    มันเหลืออีกเยอะไหมอ่า  กลัวคิดไรไว้จะไม่ใช่ 55 :เฮ้อ:
ถ้าในเรื่อง ยังมีเหลือไงครับ ส่วนถุงเล็กอีกถุง ตั้ม ไม่ให้ใครแตะหรอก  :laugh3:

เข้ามารอคุ้กกี้ๆๆ

อยากกินๆๆ

แบ่งบ้างดิ  ... :oni2: :oni2:
อยากกินคุกกี้ด้วยจัง   :o8: :o8: :o8:

มาต่อให้ยาวมาก ขอบคุณงับ +1ให้แระนะ
ถ้าอยากกิน หยิบจากถุงใหญ่นะค๊าบบบ  :haun5:
ถุงเล็กใครอย่าแตะเชียว เป็นเรื่องแน่ เดี๋ยว ตั้ม มีอาละวาด  o17

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
๖๖ บอกรัก

เมื่อถึงเวลาพักย่อย ตั้ม ก็หยิบถุงคุ๊กกี้ใบเล็กออกมาจากเก๊ะ เดินออกมาจากโต๊ะเพื่อเอาไปให้คนที่ ตั้ม ตั้งใจไว้
“มาแล้วเว๊ย ไอ้นึก มึงเตรียมรับของได้เลย” โอ หันไปพูดกับนึก เมือเห็น ตั้ม ลุกขึ้นจากเก้าอี้
แต่ ตั้ม ไม่ได้เดินมาหา นึก อย่างที่คิด
ตั้ม เดินอ้อมไปทางหลังห้อง ไปยังโต๊ะของคนคนหนึ่ง

“ปอ อ๊ะ” ตั้ม ยื่นถุงคุ๊กกี้ให้ผม
“อะไรวะ” ผม มอง ตั้ม อย่าง งงๆ
“เราไปช่วยละครของ ครูจันทร์ มา ครูเลยให้คุ๊กกี้มาถุงนึง” ตั้ม พูดยิ้มๆ
“เห็นแล้ว แล้วนี่เอามาให้กูทำไม” ผมถามอย่างสงสัย
“ก็เราเคยแบ่งของรางวัลกันนี่นา เราเลยแบ่งมาให้เหมือนเคยไง” ตั้ม ยิ้มพลางยื่นถุงคุ๊กกี้ให้ผมอีกครั้ง แต่ผมก็ไม่ได้รับเพราะกำลัง งง กับการกระทำของ ตั้ม ... มันยังจำได้อีกเหรอวะ กูยังลืมไปแล้วเลย ... ผมคิดในใจพลางมองหน้า ตั้ม นิ่ง ตั้ม ยิ้มให้ผมด้วยแววตาเป็นประกาย ผมรู้สึกถึงความรัก ความห่วงใย ความคิดถึง ที่ทอประกายออกมาจากดวงตานั้น ... หรือผมกำลังคิดเข้าข้างตัวเอง
“มึงไม่เอา กูเอาเองนะ” ปุง ที่นั่งข้างๆผมยื่นหน้าเข้ามา พลางทำท่าจะหยิบถุงคุ๊กกี้จากมือ ตั้ม
“ของกู มึงอย่ายุ่ง” ผมปัดมือ ปุง ออกไป พลางยื่นมือไปรับถุงคุ๊กกี้มา
“ไม่ได้แบ่งครึ่ง เพราะเราอยากแบ่งเพื่อนคนอื่นๆด้วย ปอไม่ว่าอะไรนะ” ตั้ม พูดเบาๆ พลางหัวเราะน้อยๆ
“แค่แบ่งมาให้แค่นี้ กูก็ดีใจแล้ว” ผมตอบแล้วยิ้มให้ ตั้ม มันยิ้มตอบ ตั้ม ไม่ได้ยิ้มแบบนี้ให้ผมมานานแล้ว ทั้งอ่อนโยน ทั้งเป็นมิตร ยิ้มที่ระบายอยู่ทั้งหน้า ทั้งตา ทั้งปาก ของมัน ทำเอาผมตะลึงอึกครั้ง แล้ว ตั้ม ก็เดินกลับไปที่โต๊ะ ผมมองตาม ก็เห็นมันหยิบถุงคุ๊กกี้ใบใหญ่ออกมา เดินส่งให้เพื่อนๆได้แบ่งกันอย่างทั่วถึง
“มึงจะค้างอยู่แบบนี้อีกนานมั๊ยวะ”เสียง ปุง ถามขึ้น ผมตื่นจากภวังค์ หันหน้าไปมองมัน
“เอามาแบ่งกูมั่ง” ปุง พูดพลางเอื้อมมือทำท่าจะหยิบถุงคุ๊กกี้
“นี่ของกู มึงอย่ายุ่ง” ผมพูดพลางปัดมือ ปุง อีกครั้ง
“ฮ่าๆๆ เดี๋ยวกูไปกินตรงโน้นก็ได้วะ ว่าแต่มึงเหอะ อย่าเก็บไว้ปลื้มจนลืมกินล่ะ เดี๋ยวบูดหมด” พูดจบ ปุง ก็ลุกเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆที่กำลังแบ่งคุ๊กกี้กินกันอย่างเอร็ดอร่อย

ผมได้แต่นั่งมองถุงคุ๊กกี้ในมือด้วยความปลื้มใจ ผมดีใจที่ ตั้ม  แบ่งคุ๊กกี้ไว้ให้ผม แต่ผมดีใจมากกว่า ที่ ตั้ม มาพูดกับผมหลังจากที่ไม่ได้พูดกันเลยมาจนถึงภาคเรียนที่ ๒ ... ที่สำคัญ รอยยิ้มที่มีให้ผม ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ผมมอง ตั้ม ที่ยิ้มแย้มอยู่กลางกลุ่มเพื่อน ผมลุกจากเก้าอี้เดินเข้าไปหา พอไปถึงตัว ผมมองหน้า ตั้ม นิ่ง
“อะไรเหรอ ปอ” มันยิ้มกว้างให้ผม “โอ๊ย อะไรอะ” เสียงอุทานอย่างตกใจ เมื่อผมรวบตัวมันเข้ามากอดแรงๆ ไม่สนใจกับเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ
“ปอ เราอึดอัดอะ” ตั้ม พูดเบาๆพลางดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดของผม
“ตั้ม กูรักมึงฉิบหายเลย” ผมกระซิบเบาๆที่หู ตั้ม
“ปอ ว่าไรนะ เราหายใจไม่ออกแล้วอะ” ตั้มไม่ได้ยินที่ผมพูดเพราะกำลังอึดอัดกับแรงกอดของผม
ผมเริ่มรู้สึกตัว จึงคลายวงแขนปล่อย ตั้ม ออกจากอ้อมกอด
“ปอ อะ เล่นอะไรก็ไม่รู้” ตั้ม พูดพลางย่นจมูก “แล้วเมื่อกี้พูดอะไรอะ ฟังไม่ถนัด”
“อารายวะ ไม่ได้ฟังเหรอ” ผมถามอย่างอารมณ์เสีย
“จะฟังได้ไงอะ นายรัดเราซะแน่น แค่หายใจก็จาแย่แล้ว” มันยังเถียง “ไหนพูดใหม่ดิ๊ คราวนี้จะตั้งใจฟังแล้ว” มันทำยืนนิ่งทำท่าตั้งใจฟังว่าผมจะพูดอะไร
... ทำไมบรรยากาศมันแปลกๆวะ... ผมเอะใจ ลองมองไปรอบๆ เห็นทุกคนพากันเงียบ มองมาที่พวกเรา
“ไม่เอาแล้วเว๊ย ไอ้ลูกหมานี่ทำเสียเรื่องจริงๆเลย” ผมพาล ... จะให้พูดต่อหน้าพวกนี้ได้ไงเล่า เขินเว๊ย...
“อ้าว อารายอะ เรายังไม่ได้ทำอะไรเลย” มันยังทำหน้าไม่รู้เรื่อง หน้าตามันแบบนี้น่ารักชะมัด
“อยากฟังก็มาให้กูกอดอีกทีสิ” ผมพูดพลางเดินเข้าไปหา ตั้ม
“ม่ายอาววว แบบนั้นไม่เรียกกอดแล้ว เค้าเรียกรัด หายใจแทบไม่ออก” แล้ว ตั้ม มันก็เดินหนีผมไปหลบหลังเพื่อนๆ ผมเดินตามไป
คนนึงเดินหนี คนนึงเดินไล่ ทำเอาเพื่อนๆในห้องพากันหัวเราะด้วยความขบขัน
............................................................................
..................................
“เอ้านี่ ซื้อมาฝาก” โอ ยื่นหนังสือเล่มหนึ่งให้ตั้ม
“อะไรอะ” ตั้มรับมาดู ปรากฏว่าเป็นคู่มือสอบเข้าวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง พร้อมกับใบสมัครสอบ เป็นวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในเรื่องการเรียนการสอนที่เป็นภาษาอังกฤษล้วน
“*** บาทจ่ายด้วย” โอ พูดพลางแบมือ
“ไหนว่าซื้อมาฝากไง” ตั้ม ตอบกวนๆ “พรุ่งนี้แล้วกัน วันนี้ตังส์ไม่พอ” ตั้ม ตอบพลางพลิกหน้าหนังสือออกอ่าน
“พรุ่งนี้ก็เขียนใบสมัครมาเลย ติดรูปมาด้วยล่ะ” โอ กำชับ ตั้ม ก็รับปากไป

วันรุ่งขึ้น ตั้ม ก็เอาเงินค่าหนังสือคู่มือ พร้อมกับใบสมัครมาให้ โอ แล้วก็เหลือบไปเห็นข้อความบางอย่าง ในใบสมัครของคนอื่นๆ
“อ้าว ทำไมเป็นงั้นอะ” ตั้มโวยวาย
“อะไรวะ” โอ ถาม
“ก็สถานที่สอบอะ ทำไมไปสอบที่โน่นกันหมด” ตั้ม หมายถึงที่วิทยาลัยแห่งนั้น “แล้วทำไมเราไปสอบที่โรงเรียนนั้นคนเดียว” ตั้ม หมายถึงโรงเรียนในเครือของวิทยาลัยนั้น
“อย่าเรื่องมากน่ะเอ็ง ซื้อมาให้แล้วก็ไปสอบซะ” โอ ทำเสียงดุ

แล้วพอถึงวันสอบ ตั้ม ก็ไปสอบตามกำหนด ที่โรงเรียนแห่งนั้นเพียงคนเดียว
............................................................................
..................................
“เอ็งเลือกคณะพวกนี้จริงๆเหรอวะ” ผมถาม ตั้ม ขณะที่มันกำลังแปะเลขรหัสคณะ ลงในใบสมัครสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย
“อื้อ ปอล่ะ” ตั้ม ถามกลับ
“กูยังคิดไม่ตกเลยหว่ะ” ผมพูดเสียงเสียงอ่อยๆ
“ทำไมล่ะ” ตั้ม หยุดมือจากสิ่งที่ทำ หันหน้ามาทางผม  “พรุ่งนี้ต้องส่งแล้วนะ”
“คือว่า กูน่ะ” ผมอ้ำอึ้ง ตั้ม มองผมด้วยสีหน้าแสดงความเป็นห่วง “กู...” ผมยังอ้ำอึ้งอยู่
“ทำไมอะ ปอ มีปัญหาอะไรเหรอ” ตั้ม ถามผมด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“กูอยากสอบเข้าที่เดียวกับคนที่กูชอบหว่ะ” ผมหยุดดูสีหน้า ตั้ม  ...ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอวะ...
“แล้วไงอะ” ... โห ดูมันถาม...
“แต่มหาวิทยาลัยที่คนนั้นเลือก คะแนนมันสูงเกินกำลังกู” ผมพูดต่อย่างเซ็งๆ ตั้ม มันคงคิดว่าผมกำลังเซ็งกับเรื่องเลือกคณะ แต่จริงๆแล้ว ผมรู้สึกเซ็งเมื่อเห็นว่ามันไม่ตื่นเต้น หรืออยากจะรู้เลยว่าคนที่ผมชอบเป็นใคร
“เป็นเอ็งจะทำยังไงวะ” ผมลองถามมันดู
“ถ้าเราเป็นนายเหรอ” มันทำท่าคิด
“ไม่ใช่เว๊ย ถ้าเอ็งเป็นคนที่กูชอบ เอ็งจะคิดยังไง” ผมพูดพลางจ้องหน้ามันนิ่ง ...กูจะบ้าตาย ขนาดนี้มันยังไม่เอะใจ ...
“อืม...ถ้าเป็นเราเหรอ” ตั้ม ก้มหน้าคิดสักพักก็เงยหน้าขึ้นมา “ถ้าเป็นเรานะ เราก็คงอยากให้คนที่เราชอบ สอบเข้าที่เดียวกับเราน่ะแหละ” ผมฟังแล้วใจแป้ว “แต่ว่า...”
“แต่อะไรวะ” ผมรีบถาม
“ถ้าเค้าไม่ไหว ก็อย่าลำบากเลย เค้าควรเลือกมหาวิทยาลัยที่เค้ามั่นใจมากกว่า” มันยิ้ม
“แล้วเอ็งไม่เสียใจเหรอว่ะ ที่ไม่ได้เรียนด้วยกันน่ะ” ผมถามด้วยความสงสัย
“ก็คงนิดหน่อยนะ เรียนคนละที่ แต่ยังไงคงหาเวลามาเจอกันได้ ดูอย่างเพื่อนในวงเราสิ อยู่ต่างจังหวัดกันตั้งหลายคน วันเสาร์อาทิตย์ ยังหาเวลามาเจอกันเลย” ตั้ม พูดอธิบายเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ
“มันไม่เหมือนกันนะเว๊ย” ผมแย้ง
“เราว่ามันคงคล้ายๆกันอะ” มันยังคงยืนยันความคิดเดิม “อีกอย่างนะ ปอ เราคงเสียใจมากกว่านั้น ถ้าเรากลายเป็นสาเหตุทำให้เค้าสอบไม่ได้เพราะมาเลือกตามเรา แทนที่จะเลือกตามกำลังของเค้า  เราว่าถ้าคนนั้นเค้าชอบ ปอ จริงๆ เค้าคงคิดแบบนี้แหละ” มันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
... ใครมันจะไปเหมือนเอ็งล่ะ ห่วงแต่คนอื่นมากกว่าจะห่วงตัวเอง แบบนี้แหละกูถึงรักเอ็งนัก ไอ้ลูกหมาน้อยของกู ขอกอดหน่อยเถอะวะ ... คิดแล้วผมก็รวบตัวมันมากอดแน่น
“โอ๊ย ปอ เอาอีกแล้ว เราอึดอัด” ตั้ม โวยวาย พลางดิ้นไปดิ้นมาอยู่ในอ้อมกอด
“นิ่งๆน่า อีกหน่อยก็ไม่ค่อยได้เจอกันแล้ว ขอกูกอดให้ชื่นใจหน่อยเถอะวะ”  พอผมพูดจบ ก็รู้สึกว่าร่างที่กำลังดิ้นขลุกขลักอยู่นั้นนิ่งลงไปอย่างกระทันหัน
“อื้อ แต่ ปอ อย่ากอดแน่นนักสิ เราหายใจไม่ค่อยออก” เสียงเบาๆบอกมา
ผมจึงคลายวงแขนออกเล็กน้อย พลางค่อยๆซึมซับความรู้สึกเอาไว้ในใจ

“ไอ้ลูกหมา ไม่ว่ามึงจะอยู่ที่ไหนกูจะตามไปหามึงนะ” ผมพูดเบาๆ
“อื้อ เราจะรอ ปอ ต้องหาเราให้เจอนะ อย่าให้เรารอเก้อล่ะ” ตั้ม ตอบกลั้วหัวเราะกลับมา
“กูไม่ได้พูดเล่นนะ ไม่ว่ามึงไปอยู่ไหน กูจะตามไปจริงๆ” ผมย้ำ
“อื้อ” แล้ว ตั้ม ก็ซบหน้าลงบนไหล่ผม ผมอดไม่ได้ที่จะเอามือไปลูบหัว ตั้ม เบาๆ
“ป๊ะป๋า” เสียง ตั้ม พึมพำอะไรเบาๆ แต่ผมฟังไม่ถนัด
ผมมีความสุขจนลืมโลกแห่งความเป็นจริงไปชั่วครู่

ลืมแม้กระทั่งจะใช้โอกาสนี้บอกความในใจของผมอีกครั้งหนึ่ง


ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
 :m15:ปออ่ะยังช้าเหมือนเดิม :m15:


 :L2: :L1: :L2: :L1: :L2:

ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
ปอ ปอ ปอ บอกซะทีเซ่  รักตั้มที่ซู้ดนะ แค่เนี๊ยะ :serius2: :serius2:ไม่ล่ายลังจายเลย :sad2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด