บทที่ 24
::ไม่สนถูกผิด::
**
ระหว่างรอจ้านขึ้นมาหาบนห้องทำงาน ลูเซียนบอกให้ไทด์กลับไปก่อนเพราะเห็นว่าไม่มีเรื่องอะไรให้ช่วยเหลือแล้ว แต่ไทด์กลับขออยู่จนกว่าจะได้เบาะแสของกรัณย์ บอสใหญ่จึงย้ำให้กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองซะ ไทด์เห็นว่าผู้เป็นนายเอาจริง ถ้ารั้นจะอยู่ก็เท่ากับขัดคำสั่ง
หลังจากจักรพงษ์กับหลานชายเดินออกจากห้องทำงานไปไม่นาน จ้านก็เปิดประตูห้องพรวดพราดเข้ามาโดยไม่มีการเคาะเป็นสัญญาณแต่อย่างใด...
“รัณย์ถูกอีวานจับตัวไปอีกแล้วใช่มั้ย” จ้านยืนต่อหน้าลูเซียน “ผมตามสัญญาณโทรศัพท์ไม่ได้เพราะเครื่องถูกปิด คุณรู้หรือเปล่าว่ามันพาตัวรัณย์ไปไหน ผมจะได้ตามไปช่วย”
“ผมไม่รู้” เจ้าของบริษัทกล่าวสั้นๆ ดูราวกับไม่สะทกสะท้าน ซึ่งนั่นทำให้จ้านโมโหมาก
“เนี่ยน่ะหรอที่บอกว่าการเป็นคนของคุณจะช่วยคุ้มครองรัณย์จากไอ้หมอนั่นได้ ดูมันเกรงใจคุณมากเลยสิ แผนวางให้รัณย์เป็นคนของคุณแล้วยังไง ถ้ามันอยากจะได้ซะอย่าง... คุณเองก็ชะล่าใจแบบนี้แล้วจะไปปกป้องใครได้”
“อีวานไม่ใช่คนทำอะไรผลีผลาม เขาไม่ยอมเสี่ยงกับอะไรแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย... แต่กับรัณย์มันต่างออกไป ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนที่เขาต่อกรได้ แต่เด็กคนนั้นต่างหากที่ทำให้เขาแหกกฎของตัวเอง”
“คุณจะบอกว่าหมอนั่นชอบรัณย์มากงั้นหรอ” จ้านดูจะอารมณ์ขึ้นกับทุกคำที่ออกมาจากปากลูเซียนในเวลานี้ “บ้านเมืองมีขื่อมีแป มันเป็นแค่คนต่างชาติ จะให้มาคุกคามคนอื่นตามใจชอบแบบนี้ไม่ได้”
“ก็ถ้าเพื่อนคุณไม่เอาตัวเข้าแลกจนเขามาติดพัน มันจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นรึไง”
“ว่าไงนะ? เอาตัวเข้าแลกอะไร?” จ้านผงะกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้ยิน ในขณะที่ลูเซียนเองก็สงสัยท่าทีประหลาดใจของคนตรงหน้า ถ้าเป็นอย่างนี้ก็แสดงว่ากรัณย์ไม่ได้เล่ารายเอียดที่ตัวเองต้องเข้าไปพัวพันกับอีวานให้จ้านฟัง
“อีวานบอกเองว่าเหตุผลที่ยอมเซ็นสัญญากับผม ก็เพราะต้องการทำตามข้อต่อรองของรัณย์”
ลูเซียนนึกย้อนไปหลังจากตอนที่เขาเรียกกรัณย์มาพบเพื่อพูดถึงความต้องการของอีวานให้ฟัง เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายสนใจกรัณย์ก็ตกลงที่จะไปเจอตามนัด โดยหลังจากคุยกับอีวานแล้วเด็กหนุ่มก็มาบอกลูเซียนเรื่องข้อตกลงกับทางนั้นทันที
ช่วงนาทีแรกที่ฟังจบ เขาพูดไว้ว่า
‘เอาตัวเข้าแลกกับเขาเพื่อให้ได้นอนกับฉัน นายคิดบ้าอะไรอยู่’แต่กรัณย์ทำเพียงแสยะยิ้มให้ ก่อนจะเอ่ยช้าๆ
‘คุณไม่รู้จริงๆ หรอ’“เด็กนั่นเสนอตัวให้อีวาน เขาไม่ได้บอกคุณรึไง” ลูเซียนถามจ้านหลังจากหยุดความคิดในหัวเอาไว้แค่นั้น
“ทำไมรัณย์ต้องยอมทำขนาดนั้น” เมื่อถูกจ้านถามกลับ บอสใหญ่นิ่งไปเพราะเจ้าตัวเคยตีความไว้หลายอย่าง อีกทั้งไม่อยากพูดถึงข้อตกลงที่กรัณย์เคยคุยกับเขาด้วยปากของตัวเองด้วย
“เอาเป็นว่าเรื่องของอีวานกับเจ้าเด็กนั่นผมเป็นคนดูแลอยู่ คุณอย่ากังวลไปเลย” ลูเซียนพูดจบก็จะเดินไป แต่จ้านกลับผายมือมาขวางหน้าไว้
“ถ้าคุณเห็นอีวานเป็นหุ่นส่วนที่แตะต้องไม่ได้ก็นั่งทำใจเย็นต่อไปเถอะ... เรื่องของรัณย์ผมจัดการเอง”
“การที่ผมไม่หัวร้อนจะเป็นจะตายเหมือนคุณ มันแปลว่าผมชะล่าใจงั้นสิ”
“คนอย่างคุณจะไปเข้าใจอะไร เพราะรัณย์เกี่ยวข้องกับคุณเขาถึงเจอแต่เรื่องแย่ๆ ไม่ใช่หรอ ถ้าไม่คิดจะช่วยรัณย์จริงๆ ก็ไม่น่าออกตัวแต่แรก เห็นมั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง” บทสนทนาของพวกเขาแทบจะไม่เหลือความเกรงอกเกรงใจกันอีก และดูจะหนักขึ้นเมื่อจ้านใช้นิ้วชี้หน้าลูเซียนพร้อมเอ่ยต่อ “ถ้ารัณย์เป็นอะไรไป ผมคิดบัญชีกับคุณแน่”
บอสใหญ่ไม่หลบแววตาของคนตรงหน้า ซ้ำยังวางท่ามาดมั่นเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่สนใจกับคำขู่นั้น
“ถ้าไม่อยากให้ผมเสียเวลาจัดการเรื่องนี้ ก็หยุดพล่ามซะเถอะ”
“คุณจะจัดการยังไง” ลูเซียนไม่ตอบคำถามในทันที ได้แต่เดินไปหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวมเพื่อเตรียมตัวออกข้างนอก “รีบตอบมา ผมรอฟังอยู่”
“ถ้าได้เรื่องอะไรผมจะส่งข่าวไป”
“ไม่! ไม่ได้... ผมจะไปช่วยรัณย์เอง ส่วนคุณก็อยู่เฉยๆ เหมือนที่เคยทำมาตลอดเถอะ”
จ้านยกเรื่องในอดีตขึ้นมาเหน็บแนม เนื่องจากกรัณย์เคยเล่าให้ฟังว่าตลอดสามปีที่จากกันไป เจ้าตัวมีโอกาสได้เจอกับลูเซียน ชายหนุ่มผู้ลึกลับและเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์น่าค้นหา แม้ในคำบอกเล่าจะพูดถึงเรื่องแย่ๆ แต่แววตาของกรัณย์กลับบ่งบอกชัดเจนว่าอาทรชายคนนั้นขนาดไหน
สำหรับจ้านแล้ว ลูเซียนก็เป็นแค่ผู้ชายเลือดเย็นที่ไม่เคยแคร์ใครนอกจากผลประโยชน์ทางธุรกิจ กรัณย์เคยอยู่ข้างกายชายคนนั้นชีวิตถึงได้พลิกผัน ต้องกลายเป็นผู้ชายขายตัวในขณะที่ลูเซียนไม่คิดทำอะไรเลย พอคิดอย่างนั้นจ้านจึงได้แต่โทษตัวเองว่าหากสามปีก่อนเขาตั้งใจตามหาเพื่อนสนิทอีกสักนิด ชีวิตของกรัณย์ก็คงไม่ต้องมาเจอกับลูเซียน
“คุณควรรู้จักสงบสติอารมณ์ซะบ้าง” ลูเซียนกระแทกเสียง
“คุณไม่เคยเป็นห่วงใคร อย่าพูดเลยดีกว่า” จ้านยังมีเรื่องในใจที่อยากกล่าวกับคนตรงหน้าให้จบ “ต่อให้เอาเรื่องในอดีตระหว่างพ่อผมกับครอบครัวของรัณย์ขึ้นมาขู่อีกผมก็ไม่สน คุณอยากทำอะไรก็เชิญ เพราะหลังจากช่วยรัณย์ได้แล้วผมจะบอกเรื่องทุกอย่างให้เขาฟังเอง”
“แสดงว่าคุณสืบเรื่องคดีของพ่อรัณย์อย่างละเอียดแล้ว” บอสใหญ่เอ่ยอย่างรู้ทัน ซึ่งมันก็เป็นจริงนั้น
เหตุผลที่จ้านยอมให้รัณย์ไปอยู่กับลูเซียนเกือบหนึ่งอาทิตย์ เป็นเพราะเขาต้องการใช้เวลาค้นข้อมูลเกี่ยวกับคดีของพ่อรัณย์ที่เกิดขึ้นเมื่อสามถึงสี่ปีก่อน แล้วค่อยนำรายละเอียดที่สืบได้ไปซักถามกับพ่อให้รู้ดำรู้แดง จนสุดท้ายฝ่ายที่โดนจี้จำต้องยอมรับตามตรงว่าเป็นคนหักหลังเพื่อนของตัวเอง หากแต่สิ่งที่ทำไปนั่นไม่ใช่ความผิด แต่มันเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ เมื่อจ้านพยายามพูดให้พ่อฟังว่าเราเป็นต้นเหตุที่ทำให้รัณย์ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างเลวร้าย พ่อของเขากลับพูดว่า…
‘ยังคบกันอยู่อีกหรอ ไหนว่าไม่ได้เจอกันแล้ว’จ้านจึงรู้ในทันทีว่าพ่อคงไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับตระกูลรัตนเตศวรอีก ไม่ว่าจะเป็นเพราะความละอายใจ รู้สึกผิด หรืออะไรก็ตาม เขาจะไม่ซักให้อีกฝ่ายเสียความรู้สึก เพราะหากพูดถึงความถูกต้อง แม้ลำบากใจเขาก็ควรเข้าข้างพ่อ
แต่ถ้าจะให้เลิกคบกับกรัณย์ไป เขาไม่มีทางยอมแน่!
“พ่อก็ส่วนพ่อ ผมก็ส่วนผม รัณย์รู้ดีว่าผมหวังดีกับเขาที่สุด” จ้านเอ่ยอย่างจริงจัง
“คิดจะพูดอะไรก็ได้ เพราะเห็นเขาเป็นแบบนี้งั้นหรอ”
“แบบนี้ที่ว่า... คุณหมายถึงอะไร”
“รัณย์ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ต่อให้เรื่องร้ายแรงแค่ไหนก็คงพร้อมจะมองข้ามอดีตเพื่อเริ่มต้นใหม่... คุณคงคิดแบบนี้นี้สินะ” จ้านรู้สึกทะแม่งๆ เหมือนจะข้องใจในสิ่งที่ลูเซียนเอ่ย เดิมทีเข้าใจว่าไม่แปลกที่ลูเซียนจะคิดอย่างนั้น เพราะแค่กรัณย์ไปทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในไนต์คลับ คนที่เคยรู้จักก็ต้องรู้สึกว่ากรัณย์เปลี่ยนไปอยู่แล้ว
มองข้ามอดีต? เริ่มต้นใหม่?
“หรือว่าคุณ...”
“ผมรู้แล้วว่ารัณย์ความจำเสื่อม”**
ผมรู้สึกถึงความนุ่มตั้งแต่บริเวณหลังคอไปจนถึงแผ่นหลัง ได้กลิ่นหอมสดชื้นของดอกไม้หรือน้ำหอมอะไรสักอยู่ใกล้เลยเกิดอาการสงสัย ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาแล้วกวาดสายตามองไปทั่ว ก่อนจะพบว่าผมกำลังอยู่บนเตียงนอน
ภาพตรงหน้าคือห้องนอนขนาดไม่ใหญ่มาก แต่การตกแต่งภายในหรูหรามีราคา ครั้งสุดท้ายจำได้ว่าผมอยู่บนรถยนต์กับลูกน้องของอีวาน หลับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นมาอีกทีก็อยู่ที่นี่แล้ว โชคดียังดีที่ร่างกายยังไม่รู้สึกผิดปกติอะไร แถมเสื้อผ้ายังอยู่ครบ
ผมรีบคลานลงจากเตียง จากนั้นก็รู้เหมือนพื้นมันโคลงเคลงยังไงชอบกล ความสงสัยทำให้ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะพบว่าด้านนอกมีแต่... ท้องทะเล
นี่ผมอยู่บน ‘เรือ’ อย่างนั้นหรอ!
ตกใจได้สักพักก็มีคนเปิดประตูเข้ามา...
“นายตื่นแล้ว” แวบแรกที่เห็นว่าเป็นใคร ผมรีบถอยกรูไปติดกำแพงพร้อมมองหาอะไรแข็งๆ ไว้เพื่อป้องกันตัวเอง
“ผมอยู่ที่ไหน”
“ยังไม่เห็นข้างนอกอีกหรอ” ว่าแล้วก็เดินเข้ามานั่งตรงปลายเตียงอย่างสบายใจ แม้จะไม่เจอกันหลายอาทิตย์ผมก็รู้สึกว่าเวลามันผ่านไปแปบเดียวเอง และที่ตลกคือผมพยายามเอาตัวรอดจากผู้ชายคนนี้ ด้วยการทำทุกอย่างเพื่อให้เป็นคนของลูเซียน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นผมพูดดิบดีว่าจะไม่ไปยุ่งกับเขาอีก แต่สุดท้าย... ผมก็ยังไม่หลุดพ้นอยู่ดี
สงสัยว่าเรื่องที่ผมคงทำไม่ดีกับคนอื่นในอดีต จะเป็นกรรมตามสนองมาถึงตอนนี้
“เรากำลังจะไปไหนกัน” ผมถามโดยไม่หลบตา
“ฉันชอบที่นายใช้คำว่า ‘เรา’ นะ”
โดนสายตากรุ้มกริ่มสวนกลับมาแบบนี้ผมจำต้องเบือนหน้าหนีจริงๆ ไม่ไหวจะสู้ แล้วไหนจะรอยยิ้มนั่นอีก บอกตามตรงว่าผมเกลียดทุกการกระทำที่เขาแสดงออกในเชิงมีเลศนัย เพราะมันทำให้ผมอึดอัด อยากจะอาเจียน ถ้าไม่ติดว่าข้างนอกเป็นทะเล ผมคงกระโดดลงไปนานแล้ว
“เจ็บหรือเปล่า” อีวานชี้ข้อมือของตัวเองเพื่อให้ผมเข้าใจว่าถามถึงอาการเจ็บตรงส่วนไหน
จริงสิ... ตอนปะทะกันก่อนหน้านี้ ผมโดนลูกน้องของอีวานออกแรงจับตรงข้อมือจนเป็นรอยแดง
“ลำพังผมไม่เท่าไหร่หรอก แต่ลูกน้องของคุณทำร้ายคนอื่นที่เขาไม่เกี่ยวอะไรด้วย มีกันตั้งหลายคนกลับรุมทำร้ายคนคนเดียว ตกลงว่าพวกคุณเป็นนักธุรกิจหรือนักเลงกันแน่” ผมนึกไปถึงไทด์ทันที เป็นห่วงว่าเขาจะเป็นอะไรมากหรือเปล่า ป่านนี้จะไปหาหมอหรือยัง แล้วไหนจะจ้านอีก ตอนเกิดเรื่องผมไม่ได้วางสายจากเขา ก็แปลว่าเขาน่าจะรู้แล้ว
“ถ้านายยอมขึ้นรถดีดีแต่แรก คนที่นายเรียกว่า ‘คนอื่น’ จะโดนแบบนั้นมั้ยล่ะ”
“ห๊ะ? แปลว่าผมไม่มีสิทธิ์เลือก ส่วนคุณมีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบงั้นหรอ” ผมพูดด้วยความโมโห “เพราะอะไร? เพราะคุณไม่เคยแคร์ความรู้สึกของคนอื่น หรือไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่มันผิด”
“สำหรับตอนนี้... ฉันไม่สนความถูกผิดทั้งนั้น” ผมเอะใจว่าอีวานคิดจะทำอะไร เพราะมันฟังเหมือนกับว่าการพาตัวผมมาที่นี่คือสิ่งที่เขาคิดการณ์ล่วงหน้ามาแล้ว
“ล่าสุดผมจำได้ว่ากำลังนั่งรถไปกับลูกน้องคุณ แล้วอยู่ๆ ผมมาโผล่ที่นี่ได้ยังไง เป็นไปได้หรอที่ผมจะถูกพาขึ้นเรือโดยไม่รู้สึกตัวเลย” พูดถึงตรงนี้ ผมก็ฉุกคิดอะไรขึ้นได้ “หรือว่า... เป็นเพราะน้ำนั่น”
“ใช่ ฉันให้นายดื่มน้ำที่ผสมยานอนหลับ”
ได้ยินอย่างนั้น สมองของผมก็พลันนึกไปถึงเหตุการณ์ในรถที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้...
ภาพคือชายหัวโล้นหยิบขวดน้ำขึ้นมาเปิดฝาและยื่นให้ผม แต่อยู่กับคนไม่น่าไว้ใจใครจะกล้าดื่ม ผมเลยบอกปัดไปแบบยังไงก็ไม่เอา คิดว่าทำแบบนั้นแล้วอีกฝ่ายจะเฉยไปเอง หากทว่า...
‘คุณต้องดื่ม’ ทำไมต้องรบเร้ากันด้วย ผมเริ่มสงสัย
‘ผมไม่หิว’‘คุณมีทางเลือกเดียวคือต้องดื่มมันเข้าไป... เพราะถ้าไม่ดื่มเอง ผมจะเป็นคนกรอกให้’จากคำพูดที่ว่ามา คิดๆ ดูผลสุดท้ายผมก็ต้องได้ดื่มอยู่ดี และที่สำคัญคือตอนนั้นผมต่อสู้จนอ่อนล้าเรี่ยวแรงแทบไม่เหลือแล้ว ถ้าจะให้ต่อต้านอีกก็พอเดาออกว่าใครแพ้ เลยหยิบมาดื่มส่งๆ โดยที่ในใจก็คิดอยู่แล้วว่าในน้ำต้องมีอะไรแน่ แต่ก็คงไม่ถึงกับตายหรอก เพราะถ้าพวกเขาอยากฆ่าผมจริง ก็คงหักคอผมได้ตั้งแต่โดนรวบตัวแล้ว
“ทำไมต้องให้ยานอนหลับผมด้วย”
“นายต้องขึ้นเฮลิคอปเตอร์มาที่นี่ แล้วไหนจะต้องต่อรถไปลงเรืออีก ฉันกลัวว่านายจะตื่นตระหนกเกินเหตุ พลอยทำให้ทริปสุดสวีทของเราพังไม่เป็นท่า ก็เลยอยากให้นายลืมตาขึ้นมา แล้ว... เซอร์ไพร์ส!” เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้ายิ้มร่า เน้นคำสุดท้ายจริงจังราวกับเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก ผมได้แต่ยืนมองโดยไม่พูดอะไร จากนั้นเขาถึงจะหุบยิ้มลงช้าๆ
“คุณอยากเคลื่อนย้ายผมแบบไม่ให้เกิดเรื่องยุ่งยากมากกว่า” คำพูดของผมทำให้อีวานเผยยิ้มอีกครั้ง แสดงว่ามันเป็นจริงตามที่ผมคาดเดา
“ถ้าไม่ทำแบบนั้น ระหว่างทางนายคงเอาแต่ถามลูกน้องฉันอย่างโน้นอย่างนี้ จนตัวเองคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา” ผมจ้องอีวานเขม็ง แน่นอนว่ามันมีแต่ความไม่ไว้ใจ “อย่ามองอย่างนั้นสิ ฉันไม่พานายไปขายหรอกน่า”
“เรือจะแล่นไปขึ้นฝั่งที่ไหน” ผมถาม
“เกาะสมุย”
“ไปทำอะไรที่นั่น”
“ฉันมีเรื่องสำคัญบางอย่างที่ต้องทำ” จู่ๆ น้ำเสียงและสีหน้าของอีวานก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง “หรืออาจเรียกได้ว่ารอเวลานี้มานานมาก... ฉันเลยอยากให้นายอยู่ด้วย”
“ทำไมต้องเป็นผม”
ได้ยินมาว่าอีวานทั้งเนื้อหอมในฐานะนักธุรกิจไฟแรงและนักรักที่เปลี่ยนคู่นอนไม่ซ้ำหน้า แสดงว่าเขาน่าจะมีคนอ้อมล้อมเยอะแยะ ไม่ว่าจะถูกพาไปที่ไหนก็คงเต็มใจแน่... แต่ทำไมต้องเป็นผมล่ะ
“เพราะว่าต้องเป็นนายไง” นี่เขาตั้งใจตอบแล้ว หรือคิดจะกวนประสาทผมกันแน่!
“เมื่อไหร่จะปล่อยผมไปสักที ผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคุณอีก แค่เรื่องที่เจออยู่ทุกวันนี้ก็ทำให้ผมลำบากมากพอแล้ว ทำไมจะต้องก่อกวนผมด้วยการจับไปโน้นที ไปนี่ที เหมือนผมเป็นสิ่งของด้วย” ระดับเสียงเริ่มดังขึ้นตามระดับอารมณ์ที่พุ่งสูง ผมพูดไปเจ็บใจไป ไม่มีใครอยากอ่อนแอหรอก และผมอยากก็เห็นแก่ตัวด้วยการเอาซวยที่ได้มาจากความโง่เขลาไปให้จ้านช่วยเหมือนกัน แต่ติดตรงที่ผมทำไม่ได้ สุดท้ายก็เลยต้องจมปรักเป็นคนงานของลูเซียนอย่างจำยอม “ถ้าคุณออกไปจากชีวิตแต่แรก ผมก็คงได้เริ่มชีวิตใหม่ ไม่ต้องรับรู้เรื่องในอดีตที่ทำให้ผมรู้สึกแย่เหมือนอย่างตอนนี้”
“รัณย์...”
“อย่าเข้ามา!” ผมร้องทันทีที่เห็นอีวานลุกจากปลายเตียงเพื่อเดินมาหา
สองเท้าขยับให้ห่างไปอีก ทุกอย่างเป็นไปโดยอัตโนมัติ ผมปากสั่น มือไม้ก็สั่น เรียกได้ว่าความทรงจำแย่ๆ ในคืนนั้นมันย้อนกลับเข้ามาหมด ผมรู้สึกได้กระทั่งว่าร่างกายส่วนไหนที่โดนเขาดูดจนเป็นรอยจ้ำๆ เสียงฮึกเหิมคำรามลอดไรฟันยังดังก้องอยู่ข้างหู แค่นึกถึงช่วงเวลานั้นก็สั่นไปทั้งตัวแล้ว
ผมไม่สบตาอีวาน ขออยู่กับตัวเองเพื่อควบคุมสติสักพัก ทว่าเพียงเสี้ยวนาทีที่ผมละสายตาไปอีวานก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า จากนั้นก็ใช้มือรวบเอวผมแล้วดึงให้เข้าหา ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าผมอยู่ในอ้อมแขนของเขาเรียบร้อย
“ฉันอยากน่ากลัวในสายตาของศัตรู เพราะมันจะทำให้ฉันยิ่งเข้มแข็ง เหมือนตัวเองได้รับชัยชนะ” ผมเงยหน้ามองแววตาลุกโชนที่แฝงไปด้วยโทสะของอีวาน “แต่สำหรับแววตาของนายในตอนนี้ ฉันกลับรู้สึกเหมือน... กำลังพ่ายแพ้”
เมื่อครู่เขาดูดุดันมาก แต่ผ่านไปจนถึงประโยคสุดท้ายเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าครามที่ปั่นป่วนเหมือนพายุก็สงบลง โดยหลังจากนั้น เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนจนผมขนลุกไปทั่วร่าง
“นายจะโกรธจะเกลียดฉันยังไงก็ได้ แต่ขออย่างเดียว... อย่ากลัวฉัน” TBC.