11
TRUTH
ร้านเหล้าในตอนกลางวันไม่ได้ต่างอะไรไปจากร้านร้างเพราะตอนนี้คนที่อยู่ในร้านแทบจะนับคนได้ มีพนักงานที่พักอยู่บริเวณหลังร้านสองสามคนกำลังแบกกล่องเครื่องดื่มจากรถที่มาส่งหน้าร้านเพื่อเข้าไปเก็บที่โกดังด้านหลัง พ่อครัวประจำร้านกำลังตรวจเช็คของสดของแห้งอย่างเคร่งเครียด ส่วนผู้จัดการร้านอย่างอาโปก็เร่งทำบัญชีประจำเดือนเพื่อสรุปเอาไปส่งเจ้าของร้าน ถ้าใครมองเห็นอีกมุมนึงตรงเคาท์เตอร์มีคนคนหนึ่งกำลังทำหน้าเคร่งเครียดในมือถือบุหรี่ที่ยังไม่ได้จุดพร้อมกับแก้วน้ำอัดลมที่เขาไม่ได้ดื่มมานาน
ปิติภัทรนั่งจ้องไปยังบุหรี่ที่มือของตนอย่างชั่งใจ เขาเครียดจนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดีเพราะทางเลือกของตัวเขาเองก็มีไม่มากนัก ถ้าเขาเลือกแม่ แม่ที่เป็นคนในครอบครัวเพียงคนเดียวที่เขาเหลืออยู่ คนรักของเขาก็ต้องเดือดร้อนแต่ถ้าเขาไม่ยอมทำตามเงื่อนไขโลกหลังความตาย แม่ของเขาก็จะสิ้นอายุไขทันที
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อน
ปิติภัทรเป็นเด็กธรรมดาๆคนหนึ่งที่ยังคงอยู่ในวัยสนุกสนานและรักอิสระ เขาเที่ยวกลางคืนทุกคน รักเพื่อนกินเหล้าหนัก นอนกับผู้หญิงหรือผู้ชายทุกคนที่เขาถูกใจ เป็นเด็กนักกิจกรรมตัวยงทำให้เขาไม่ค่อยมีเวลาที่จะกลับไปบ้านเท่าไหร่นักถึงแม้ว่าที่บ้านจะมีแม่ที่รอเขากลับมาโดยตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งระหว่างที่เขาต้องออกไปทำค่ายอาสาที่บนดอย ไร้ซึ่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือ เขาถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิงเป็นเวลากว่าเจ็ดวัน และทันทีที่กลับลงไปด้านล่างโทรศัพท์มือถือของเขาก็มีข้อความเบอร์ที่พยายามติดต่อเขาเข้ามากว่าร้อยสาย นั่นคือเบอร์ของ แม่
เขากลับไปที่บ้านกลับไม่พบผู้เป็นมารดาอยู่จึงพยายามที่จะโทรติดต่อกลับไปที่เบอร์ของแม่ตนเองหลายต่อหลายครั้งแต่ว่าเขากลับไม่สามารถติดต่อได้จนกระทั่ง มีเบอร์จากโรงพยาบาลโทรกลับเข้ามาแจ้งอาการ มือของเขาสั่นเทาไปด้วยความกลัวและโกรธในเวลาเดียวกัน ภาพความสนุกสนานที่ลืมคนข้างหลังย้อนมาในหัวตัดสลับกับรอยยิ้มของแม่เวลาเขากลับมาที่บ้าน ดวงตาของเขาร้อนผ่าวไม่นานน้ำตาแห่งความสำนึกผิดก็ไหลออกมาเป็นทางอย่างไม่สามารถห้ามได้
ทันทีที่เขาไปถึงโรงพยาบาลอาโปที่รออยู่หน้าห้องฉุกเฉินเดินเข้ามากอดพร้อมทั้งร้องไห้ออกมา สิ่งนี้คงเป็นคำตอบได้ดีว่าเขามาไม่ทันเวลาเสียแล้ว
ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่อุณหภูมิเย็นจัด ตรงกลางห้องมีหญิงสาวใบหน้าเปื้อนยิ้มริมฝีปากซีดเซียวใบหน้าซูบตอบนอนคลุมผ้าอยู่ถึงบริเวณอก เสียงในหัวของปิติภัทรมีแต่คำก่นด่าตัวเอง และด่าความไม่ยุติธรรมบนโลกใบนี้ เขาไม่เคยรู้เลยว่าแม่ของเขาเป็นมะเร็ง เขาไม่เคยรู้เลยว่าเขาจะสูญเสียแม่เขาไปได้รวดเร็วขนาดนี้ มือหนาเอื้อมไปสัมผัสฝ่ามือที่เลี้ยงดูเขามาตามลำพังหลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิตไป น้ำตาลูกผู้ชายอาบแก้มทั้งสองข้าง มือนั้นมันไม่อุ่นเหมือนที่เคย มันกลับเย็นเฉียบและแข็งกระด้างเป็นการตอกย้ำว่าเขามาช้า มาช้าเกินกว่าที่จะได้ดูใจแม่ของเขาก่อนที่จะเสียชีวิต แต่ใบหน้าของแม่เขากลับมีรอยยิ้มซึ่งเป็นรอยยิ้มแบบนี้เสมอมาตั้งแต่พ่อเขาเสีย
ใจของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความเคียดแค้น แค้นตัวเองและแค้นคนที่ดึงแม่เขาเข้าสู่โลกหลังความตาย โลกมันไม่มีความยุติธรรมเลย แม่ของเขาเป็นคนดี แม่ของเขาควรที่จะอยู่ดูความสำเร็จ ถ้าแม่ของเขากลับมาได้เขาจะทำตัวเป็นคนดี รับโทรศัพท์ของแม่ทุกครั้งที่โทรมาหา เขาจะกลับบ้านไปเยี่ยมหาแม่เท่าที่แม่อยากเจอ แต่เขาจะทำมันได้อย่างไรในเมื่อแม่ของเขาตัดขาดจากโลกใบนี้
ไปแล้ว
ขายวิญญาณให้ข้าสิ
เสียงๆหนึ่งดังลอยมาตามสายลม ภายในห้องไม่มีใครอยู่นอกจากเขากับแม่ เสียงๆนั้นแหบพร่าทำเขาขนของปิติภัทรลุกชันไปทั่วทั้งตัว
ปลิดชีพสิ่งมีชีวิตเพื่อแลกชีวิต เรียกข้ามา ข้าจะช่วยเจ้า
เขาไม่สนว่าเสียงนั้นคือใครแต่สำหรับเขาแล้วนั้นเสียงนั่นคือโอกาส โอกาสที่ตัวเขาจะได้แก้ตัวอีกครั้ง ปิติภัทรสั่งห้ามฉีดสารเคมีเข้าสู่ร่างกายของแม่ตนเองก่อนที่จะกลับไปที่บ้าน โคโค่ สุนัขพันปอมเปอเรเรียนสีขาววิ่งตรงมาหาเขาพร้อมทั้งคลอเคลียไปทั่วทั้งขา เขาอุ้มมันขึ้นมามันเลียไปที่ใบหน้าแสดงความรักอย่างที่เคยทำ
ชีวิตแลกชีวิต กรีดเลือดเจ้าเพื่อขอชีวิต
เขาอุ้มเจ้าโคโค่ตรงไปที่ห้องครัว แววตาของสุนัขที่เขาเลี้ยงมาจ้องมองมายังเขาอย่างไม่รู้ชะตากรรมของตน มือด้านขวาที่ถนัดเอื้อมไปหยิบมีดที่วางอยู่ที่ด้านข้าง เขาหลับตาเสียบมีดนั้นทะลุบริเวณคอของเจ้าโคโค่ มันร้องออกมาแค่เพียงครั้งเดียว เขาวางมันลงกับพื้นก่อนจะหลับตาเพื่อหลบภาพตรงหน้าภาพที่เจ้าโคโค่ดิ้นอยู่กับพื้นที่ชุ่มเลือดสีแดงจนตัวของมันเต็มไปด้วยเลือด เมื่อภาพตรงหน้าสงบลง เขาใช้มีดอีกเล่มกรีดลงไปที่ฝ่ามือของตนเอง
“ ชีวิตแลกชีวิต” เลือดของเขาหยดลงบนตัวเจ้าโคโค่ น้ำตาของเขาไหลอาบไปทั่วทั้งแก้ม
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการทำแบบนี้แม่ของเขาจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียงที่เขาได้ยินเป็นเสียงของใครมีตัวตนอยู่จริงบนโลกใบนี้หรือเปล่า หรือว่าเป็นเพียงเสียงที่ตัวเขาหลอนแล้วได้ยินมันขึ้นมาเอง และคำตอบที่ยืนยันได้แน่นอนก็คือ ไม่นานหลังจากที่เขาหลั่งเลือดลงไป เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น ซึ่งทางโรงพยาบาลโทรกลับมาแจ้งว่า แม่ของเขาได้ฟื้นขึ้นมาตอนนี้กำลังตรวจเช็คอาการอยู่
เขาจัดการกับศพเจ้าโคโค่โดยการนำไปฝังไว้ที่สวนหลังบ้าน เขายืนนิ่งอยู่ด้านหน้าศพของมันก่อนจะรีบกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับไปโรงพยาบาล
เมื่อไปถึง ภาพที่เคยเห็นก็เปลี่ยนไป มีคนถือสมุดใส่เสื้อคลุมสีฟ้าเดินไปมาในโรงพยาบาล บ้างกำลังยืนคุยกันบ้างกำลังฉุดกระชากวิญญาณ
“ สวัสดี ฉันเป็นคู่หูเธอ ฉันชื่อ ดาริณเป็นคู่หูของเธอ”
หลังจากวันนั้นเขาก็ทำหน้าที่ที่คนปกติไม่ทำกัน นั่นคือการรับส่งวิญญาณ และทุกครั้งที่มีวิญญาณที่ตายก่อนเวลา เขาจะทำการแลกเปลี่ยนเวลานั้นมาให้แม่ของเขาโดยที่ไม่รู้เลยว่ามันผิดกฎ
“ น้องเฟิร์ส น้องเฟิร์ส”
“ ครับ” เขาสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ในทันทีเมื่อเสียงของอาโปทักขึ้น
“ เหม่อไปถึงสาวที่ไหนเนี่ย” เธอยิ้มแซว “ พี่เรียกตั้งนานแล้ว”
“ เปล่าครับ”
“ บุหรี่นั่นน่ะจะสูบหรือไม่สูบพี่เห็นเถือไปมาอยู่นานแล้ว” เธอชี้ไปที่บุหรี่
“ ไม่ครับ”
“ งั้นพี่ขอนะ” มือที่ทาเล็บเป็นสีดำยื่นมาหยิบก่อนที่จะจุดมันแล้วสูบควันเข้าไปเต็มปอดก่อนจะพ่นควันออกมา “ มีเรื่องเครียดอะไรหรือเปล่า ปรึกษาพี่ได้นะ”
“ ไม่มีอะไรหรอกครับพี่” เขาปฏิเสธ
“ โอเคไม่เล่าไม่เป็นไร แต่ถ้ามีอะไรบอกพี่ได้เสมอเลยนะพี่พร้อมช่วย” เขาส่งยิ้มมาให้ “ พี่เห็นแกเป็นน้องชายคนนึงเลยนะ”
“ อ้าววันนั้นยังบอกว่าอยากได้ผมอยู่เลย” เขาพูดติดตลก
“ พี่น้องท้องติดกันไงล่ะจ้ะ” เธอหยิกแก้มของปิติภัทรไปหนึ่งที
“ ไม่คุยด้วยแล้ว ขึ้นห้องก่อนนะวันนี้ผมว่าจะกลับบ้านเสียหน่อย”
“ ดีเลยพี่ฝากเอาบิลกลับไปที่บ้านด้วยนะ คุณนายแกร้อนใจแย่แล้ว”
“ ได้ครับพี่ เดี๋ยวผมขึ้นไปข้างบนก่อนนะ”
เขาพูดจบก็เดินขึ้นตึกไปป่านนี้คนที่รออยู่ข้างบนคงร้อนใจแย่เพราะเขาเดินลงมาด้านล่างนานแล้ว และเป็นอย่างที่คาดพอขึ้นไปถึงห้องเขายังไม่ทันที่ก้าวขาเข้าไปในห้องใบหน้าบึ้งตึงก็ไปรออยู่ที่หน้าประตู
“ ไปไหนมา คนรอมันก็รอไปดิ เป็นห่วงนะเว้ยสถานการณ์แบบนี้ถ้าจะหายไปไหนก็น่าจะบอกกันหน่อย” ไม่มีคำตอบออกจาก
ปากของปิติภัทร เขาปิดประตูลงก่อนจะกอดคนที่อยู่ตรงหน้า ทำให้เสียงนั้นเงียบลง ปณิธานกลืนคำพูดที่คิดจะพูดทั้งกลับเข้าไปในความคิด “ มึงเป็นอะไร”
“ เฟิร์สจะทำยังไงดีปาร์ค เฟิร์สจะทำยังไงดี”
“ ถ้ามึงไม่บอกกูกูจะช่วยมึงยังไงล่ะ เราเป็นแฟนกันนะเว้ย กูเริ่มอึดอัดแล้วนะ ก่อนมึงลงไปมึงก็เป็นแบบนี้ มึงกลับเข้ามาก็
เป็นแบบนี้อีก”
“ ช่างเถอะเดี๋ยวเฟิร์สให้ปาร์คเป็นอิสระแล้วกัน ขอโทษนะที่ทำแบบนี้” เขาโบกมือผ่านอากาศ “ แต่ปาร์คต้องระวังตัวนะ”
“ แล้วมึงจะรีบไปไหนเห็นเมื่อกี้เดินมารีบๆ”
“ พอดีเฟิร์สจะกลับบ้านน่ะ เดี๋ยวปาร์คไปดูลุงปาร์คก่อนเลยนะมีอะไรบอกเฟิร์สได้”
“ เดี๋ยวกูไปกับมึง”
“ ไม่ได้” เขาโพล่งขึ้นมา “ เอ่อเฟิร์สหมายถึง ไม่เป็นไร แยกกันไปดูก่อนดีกว่าเผื่อลุงของปาร์คต้องการความช่วยเหลือนะ”
“ เอาอย่างนั้นก็ได้” พูดจบปณิธานก็ชูมือไปที่อากาศก่อนที่สมุดเล่มสีฟ้าจะลอยมา “ บลูพาฉันไปหาลุงเกรียงไกรเดี๋ยวนี้” สิ้นคำพูร่างของปณิธานก็หายไปในทันที
คนที่มีความลับถอนหายใจออกมาเฮือกโตก่อนจะเดินไปหยิบสมุดของตนพร้อมกับกุญแจรถเพื่อขับกลับไปที่บ้าน ทางกลับบ้านในครั้งนี้เหมือนใกล้กว่าทุกครั้ง เพราะเขายังคิดไม่ออกเลยว่าถ้าไม่มีแม่ของเขาเขาจะอยู่ได้อย่างไร
ตรงหน้าเป็นบ้านสีขาวที่เต็มไปด้วยความทรงจำเขามองไปที่กระจกก่อนจะลองฝึกฉีกยิ้มออกมาให้กว้างที่สุด แล้วกดเปิดประตูรั้วจากรีโมตคอนโทรลจากในรถเพื่อทำการเปิดประตูรถออก เขาดับรถก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน แม่ของเขานั่งอยู่ที่โซฟาตัวสีครีมในมือเป็นไหมพรมสีน้ำตาลที่ถูกถักเป็นผ้าพันคอไปแล้วบ้างบางส่วน เธอยกมือรีโมตขึ้นมากดเบาเสียงรบกวนจากโทรทัศน์ก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้กับลูกชายที่เดินเข้ามา
“ ไงตัวดี หายไปนานเลยนะช่วงนี้” รอยยิ้มนั้นทำให้คนที่เพิ่งฝึกยิ้มบนรถเมื่อครู่หุบยิ้มทันที
ปิติภัทรรู้สึกว่าน้ำตาตัวเองรื้นขึ้นมาที่ดวงตา เขาพยายามกลั้นมันโดยการกัดกรามจนปูดนูนขึ้นมาและดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผล เขาเดินเข้าไปกอดคนที่เป็นแม่ก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่ได้ มือของคนเป็นแม่ประคองใบหน้าลูกของตนขึ้นมาสบตา ก่อนจะส่งยิ้มให้
“ เป็นอะไรเรา มีอะไรบอกแม่ได้นะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่แสนจะใจดี “ หรือว่ามีใครหักอกลูกแม่”
“ ไม่มีครับ ผมแค่คิดถึงแม่เฉยๆครับ” ปิติภัทรปฏิเสธพร้อมทั้งเช็ดน้ำตาออก
“ คิดถึงแล้วทำไมไม่กลับบ้าน หรือว่ามีใครกกไว้หรือเปล่า”
“ เอ่อ”
“ นิ่งไปแบบนี้ต้องมีแล้วแน่ๆเลย ใช่คนที่ลูกชอบเล่าให้แม่ฟังหรือเปล่า” เธอยิ้มออกมาอย่างมีความสุข “ ก็ดีนะ ถ้าเป็นคนที่ลูกเล่าแม่ก็เบาใจ แม่จะได้ตายไปแบบสบายใจเสียที”
“ ทำไมแม่พูดอย่างนั้นล่ะครับ”
“ ลูกก็รู้ว่าแม่มีชีวิตอยู่ได้เพราะอะไร ลูกควรหยุดได้แล้วนะ” ยังไม่ทันพูดจบใบหน้าของเธอก็บิดเบี้ยวไปด้วยความทรมาน “
ลูกควร” เธอนิ่งไปสักพัก
“ แม่ครับ”
“ แกไม่ควรอ่อนแอแบบนี้” น้ำเสียงใจดีเมื่อครู่หายไปน้ำเสียงแข็งกระด้างมาแทนที่พร้อมกับรอยยิ้มที่มาดร้าย “ แกจะกลายเป็นลูกอกตัญญูหรือไงฮะ”
“ แกออกไปจากตัวของแม่ฉันเดี๋ยวนี้นะ” ปิติภัทรตะวาด
“ แกอย่าลืมสิที่แม่แกมีชีวิตอยู่ได้ ครึ่งหนึ่งก็มีฉันอยู่เหมือนกัน”
“ นั่นสินะ ฉันควรจะเชื่อแม่ของฉันว่าฉันควรจะจบเรื่องนี้เสียที” เขาลุกขึ้นจากพื้นพร้อมไปที่แม่ของเขา “ ถ้าเป็นแม่ฉันแม่ฉันก็จะให้ฉันทำแบบนี้”
“ เอาเลย วิญญาณแม่แกเป็นของฉัน แกยกร่างแม่แกให้ฉันแล้ว”
“ ฉันไปยกให้ตอนไหนฮะ”
“ วันที่แกหยดเลือดลงไปในศพของหมาแกไงล่ะ แกบอกกับฉันว่า แกยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้แม่แกกลับมา”
จบคำพูดของคนตรงหน้าเข่าของปิติภัทรก็ทรุดลงกับพื้นไปในทันที เขาใช้อารมณ์มากกว่าสมองเสมอมา และการตัดสินใจด้วยอารมณ์ของเขาในครั้งนั้นมันส่งผลถึงหลายๆคนรวมทั้งความรู้สึกของตัวเขาเองด้วย
“ ช่วยแม่ด้วย”
“ แม่”
“ หุบปาก” ร่างของแม่เขากำลังพยายามควบคุมสติ “ แกไม่มีสิทธิ์พูดถ้าฉันไม่อนุญาต”
“ แม่” เขาร้องเรียก
“ กลับไปทำในสิ่งที่แกควรทำซะ” เธอพูดก่อนจะวิ่งกลับขึ้นไปที่ห้องด้านบนพร้อมกับเสียงปิดประตูที่ดังสนั่น
“ เจ้านายทำดีที่สุดแล้วล่ะ” เรย์ปลอบใจ “ ผมยอมรับการตัดสินใจของเจ้านายเสมอ
ใครจะไปรู้ว่าการสนทนาเมื่อครู่จะมีอีกคนที่ยืนอยู่บริเวณหน้าบ้านกำลังยืนจ้องมองอยู่ แววตาของคนที่แอบมองเต็มไปด้วยความสงสารและอยากยื่นมือเข้าไปช่วย
“ กูจะช่วยมึงยังไงดีวะไอ้เฟิร์ส”