ดอกท้อที่ ๑๕ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว หลังจากวันที่พบหลี่ซื่อหลางครั้งสุดท้าย และวันนี้หย่งคังก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งพร้อมกับน้ำเต้าหู้
‘…น้ำเต้าหู้เจ้าอร่อย อยากรู้ว่าคนทำจะหวานเหมือนกันหรือเปล่า คืนนี้คงได้รู้…’ชื่อผู้ส่งยังคงเป็นปริศนา แต่เดาไม่ยากว่าเป็นใคร
โครม!!
หย่งคังถีบเก้าอี้ล้มเต็มแรง แผ่นอกแกร่งขยับขึ้นลงด้วยแรงอารมณ์ ดวงตาแข็งกร้าวราวกับจะฆ่าคน ร่างสูงกำกระดาษในมือแน่นเหมือนจะป่นให้แหลกละเอียด จินตนาการว่ามันคือกระดูกคอของเจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
คิดจะลองดีกับเขายังเร็วไปร้อยปี!
“จื่อเยี่ยน”
“ขอรับ คุณชายเล็ก”
“คืนนี้เตรียมรถให้ด้วย” คนเป็นนายเดินออกไปนอกชานเรือน จ้องมองไปยังสวนดอกท้อ “ข้าจะไปทวงสิทธิ์ของข้าคืน!”
จื่อเยี่ยนยืนอยู่ด้านหลัง โค้งตัวรับคำสั่ง “ขอรับ หากกระนั้น จะไม่เป็นการตัดสินใจที่บุ่มบ่ามไปหรือขอรับ”
“อย่างไร?” หย่งคังเลิกคิ้ว หันกลับมามองผู้ติดตามตัวเล็ก
“จดหมายนั่นเป็นกับดัก”
“แล้วไง?” ร่างสูงข่มเสียงต่ำ “ข้าไม่มีทางยอมให้มันได้แตะซื่อหลางแม้แต่ปลายเล็บ”
“แต่หากท่านไปหาหลี่ซื่อหลางคืนนี้ ทุกอย่างที่ทำมาก็…”
“ไม่สูญเปล่าหรอก จื่อเยี่ยน” หย่งคังพูดแทรก “ตอนนี้ข้าไม่ใช่คนเดิมแล้ว ข้าจะปกป้องเขาด้วยมือตัวเอง”
ใช่แล้ว… ไม่อยากปล่อยให้คนๆ นั้นอยู่ไกลเกินเอื้อมแม้วินาที อยากกักขังเอาไว้ข้างกายตลอดเวลา ความรู้สึกโหยหานี้ทวีความรุนแรงจนเจ้าตัวยังนึกหวั่นใจ เขากลัว…กลัวว่าสักวันคนๆ นั้นจะหายไป
“แล้วนายท่านเลี่ยงหวง?”
จื่อเยี่ยนพยายามชี้แจง “ถึงยังไงท่านก็ยังไม่ได้รับตำแหน่งผู้นำตระกูลอย่างเป็นทางการ ต่อให้เข้าครอบคลุมกิจการแล้วเก้าสิบส่วน แต่อีกสิบส่วน นายท่านเลี่ยงหวงยังดึงบังเหียนอยู่ ไม่อยากให้คุณชายมองข้ามตรงส่วนนี้ไปนะขอรับ”
“ไม่นานหรอก สิบส่วนนั้นจะเป็นของข้า”
“รึท่านมีแผน?” จื่อเยี่ยนหรี่ตา เดาเอาไว้แต่แรกว่าร่างสูงกำลังคิดทำการอะไรบางอย่าง
แต่ว่าอะไรล่ะ?“เจ้าเองก็รู้ ข้ารอเวลานี้มานานแล้ว”
อีกฝ่ายเลิกคิ้ว “ท่านคิดจะล้มอำนาจบิดา?”
หย่งคังกระตุกยิ้ม “เจ้าเดาใจข้าเก่งเสมอ จื่อเยี่ยน” รอยยิ้มนั้นทำอีกคนสันหลังวาบ หากมองย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน บัดนี้
หย่งคังมาไกลแค่ไหนแล้วนะ “ข้าจะตอบแทนบุญคุณที่เขาช่วยให้ข้าเป็นข้าในวันนี้ได้ ด้วยยาถอนพิษ แต่ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะยอมให้ทำอะไรตามใจชอบอีก หากใครขวางทางข้า จะไม่มีการละเว้น”
จื่อเยี่ยนสบสายตาแข็งกร้าว ชายคนนี้ใจเด็ดเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด
“…อย่างไรก็จะไปให้ได้สินะขอรับ”
จื่อเยี่ยนลอบถอนหายใจ สิ่่งที่หย่งคังพูดคงหมายถึงคืนนี้ด้วยเช่นกัน “เช่นนั้นข้าจะเตรียมรถม้าให้ขอรับ”
“ดี”
หย่งคังหันกลับไปทางนอกชานเรือนอีกครั้ง แววตาอ่อนลงเมื่อมองดูสวนดอกท้อที่เขาเติบโตมาพร้อมกับมัน ดูสวยงามแต่ก็เจ็บปวด เขาที่ต้องเข้มแข็งเพื่อจุดมุ่งหมาย อยากได้สายน้ำที่ชื่อซื่อหลางคอยปลอบประโยนจิตใจอันแห้งหี่ยวนี้เหลือเกิน หากได้กอดอีกสักครั้ง…หย่งคังไม่แน่ใจว่าหากเจอกันคราวนี้ เขาจะสามารถปล่อยอีกฝ่ายเป็นอิสระได้อีกหรือไม่
คงดีไม่น้อยถ้าได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง
“คุณชายเล็กขอรับ” จื่อเยี่ยนเอ่ยถาม “คืนนี้ท่านตั้งใจจะนำตัวหลี่ซื่อหลางกลับมาด้วยสินะขอรับ”
“อืม” หย่งคังตอบรับในลำคอ
“แล้วเรื่องกำจัดอวี๋เฉินยังคงตามแผนเดิม?”
“ไม่เชิง” หย่งคังไหวไหล่ “หากข้าได้ตัวซื่อหลาง ทางนั้นต้องไหวตัวรุกหนัก การปะทะคงเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด”
“คุณชายคงไม่ฆ่าเขาคืนนี้นะขอรับ”
หย่งคังหัวเราะหึ “ไม่แน่ ถ้ามันอยากลองของข้าล่ะก็นะ”
“ทำเช่นนั้น เราจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบนะขอรับ” จื่อเยี่ยนหน้าเครียด
คุณชายเป็นคนรอบคอบ กระนั้นบางครั้งก็บุ่มบ่าม ยิ่งมีหลี่ซื่อหลางเป็นตัวแปรด้วยแล้ว จื่อเยี่ยนยิ่งหนักใจ จำเป็นต้องรัดกุมแผนให้แน่น
“การที่อวี๋เฉินเอาหลี่ซื่อหลางมาล่อ เขาคงเดาทางออกว่าคุณชายต้องยอมออกไปพบ ทั้ังยังมียาถอนพิษเป็นแรงจูงใจ เห็นชัดๆ ว่าเราเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่พอตัว ทางนั้นก็ไม่ใช่คนโง่ ยอมลงมือเร็วขนาดนี้ข้าว่าคงมีแผนที่ไม่ธรรมดา”
“ข้าเองก็มีแผนไม่ธรรมดาเช่นกัน”
หย่งคังเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน หยิบเอกสารบางอย่างขึ้นมา “ที่ข้าให้ไปสืบ เจ้าเองก็รู้ข้อมูลเหล่านั้นแล้ว”
“ขอรับ”
“ทวนให้ข้าฟังสิ”
จื่อเยี่ยนพยักหน้า “จางอวี๋เฉิน อายุยี่สิบห้าปี ดำรงอาชีพเป็นหมอ มารดาเป็นปุถุชนธรรมดา พื้นเพเป็นคนยากจนและเสียชีวิตตั้งแต่อวี๋เฉินอายุได้แปดขวบ บิดาคือนายท่านเลี่ยงเชียง น้องชายต่างมารดานายท่านเลี่ยงหวง เมื่อแต่งกับฮูหยินก็ออกจากบ้าน ตัดขาดกับตระกูลจาง และได้ฆ่าตัวตายเมื่อเดือนก่อนขอรับ”
“แล้วเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?” หย่งคังถามต่อ อีกฝ่ายเงยหน้าสบตา
“เหตุจูงใจที่ฆ่าตัวตายน่ะหรือขอรับ?”
“ก็ประมาณนั้น”
“ข้าคิดว่าเขาเป็นโรคซึมเศร้าขอรับ”
หย่งคังยิ้มพอใจ “ทำไมล่ะ?”
“บรรพบุรุษรุ่นก่อนๆ มีประวัติเป็นโรคนี้ขอรับ ข้าจึงคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นสืบต่อกันมา ตามบันทึกเก่าๆ กล่าวว่านายท่านเลี่ยงเชียงเป็นคนรักสันโดษ จึงมีโอกาสแปดในสิบที่ทำให้เกิดเหตุจูงใจในการฆ่าตัวตาย ซ้ำยังเคยประสบเหตุการณ์ร้ายๆ มามาก อย่างการถูกไล่ออกจากตระกูลเพราะให้กำเนิดบุตรกับหญิงสาวไร้ยศขอรับ”
“เจ้าพูดถูกเรื่องเขาเป็นโรคซึมเศร้า” หย่งคังดีดนิ้ว “แต่นายเลี่ยงเชียงไม่ได้เศร้าเพราะแต่งงานกับหญิงไร้ยศไร้นาม”
“ขอรับ?”
จื่อเยี่ยนขมวดคิ้ว ไม่กี่ครั้งที่คุณชายโต้แย้งการวิเคราะห์ของเขา
“กลับกัน เรื่องนั้นกลับเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาเลยต่างหาก”
“เหตุใดจึงคิดเช่นนั้นขอรับ?”
“จื่อเยี่ยน เจ้าเป็นคนฉลาด แต่กลับไม่เข้าใจอานุภาพความรัก”
“ขอรับ?”
“พูดแล้วก็ไม่ค่อยเข้ากับหน้าข้าหรอก แต่ก็อยากบอกเจ้า” หย่งคังลอบถอนหายใจ “เจ้าเคยตั้งคำถามหรือไม่ เหตุใดนายเลี่ยงเชียงถึงเลือกอยู่อย่างสมถะกับฮูหยินและบุตรชาย แทนที่จะคิดครอบครองสมบัติมากมายของตระกูลจาง ไม่ใช่หันหลังให้ความสุขสบายเช่นนี้”
“ไม่ขอรับ ข้าคิดว่าเป็นตรรกะที่ไม่ได้เรื่อง”
“ก็อาจจะเป็นเช่นนั้น” หย่งคังไหวไหล่ “บางครั้งสิ่งๆ นั้นก็ทำให้คนเราทำอะไรโง่ๆ”
จื่อเยี่ยนขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม “ข้าไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่คุณชายเล็กต้องการจะบอกขอรับ”
“เช่นนั้น เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่ว่าข้าเป็นลูกสาวรับใช้กับตาแก่นั่น”
จื่อเยี่ยนหยักหน้า
“เจ้านั่นก็คงให้คนสืบจนรู้ สถานะข้าคงไม่ต่างจากอวี๋เฉฺิน เป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ แต่บังเอิญว่าตาแก่เลี่ยงหวงกลับใช้ข้าเป็นเครื่องมือทางธุรกิจ ข้าถึงได้ซึมซับความโสมมของตระกูลนี้มาเต็มๆ” หย่งคังหัวเราะเบาๆ “แต่สำหรับอวี๋เฉินคงไม่ใช่ เขาไม่อยากได้เงินทอง นอกเสียจากอยากแก้แค้นคนที่ทำให้ชะตากรรมพ่อและแม่ตัวเองจบลงอย่างน่าสมเพช”
“หากเช่นนั้น ที่เลือกลงมือช่วงเวลานี้…” จื่อเยี่ยนคิดตาม “เพราะคุณชายอยู่ในเส้นคาบแบ่งจะขึ้นเป็นผู้นำตระกูลสินะขอรับ”
“ใช่ ข้าคิดว่าอวี๋เฉินรู้จักใช้จุดอ่อนคน ถึงได้ลอบวางยาพิษตาแก่ แถมยังเอาหลี่ซื่อหลางมาล่อ”
จื่อเยี่ยนพยักหน้า “ขอรับ”
“แต่อวี๋เฉินประเมินความสัมพันธ์พ่อลูกของข้าสูงไป เจ้านั่นคงคิดว่าข้าเป็นลูกกตัญญู ถึงได้ปล่อยข่าวว่าข้าเป็นคนหักหลังพ่อตัวเอง เพื่อทำให้พ่อลูกผิดใจกัน ใช้ยาพิษเป็นตัวซ้ำ คงกะไว้ว่าข้าต้องทำทุกวิถีทางเพื่อนำยาถอนพิษกลับไป แต่มันคงไม่คิดว่าข้าจะกล้าล้มอำนาจตาแก่แน่ เพราะฉะนั้นถึงได้มั่นใจว่ายิ่งมีหลี่ซื่อหลาง ข้าก็เป็นลูกไก่ในกำมือ”
“ขอรับ”
จื่อเยี่ยนพยักหน้าเห็นด้วยอีกครั้ง คุณชายเล็กมองทุกอย่างได้เฉียบแหลมจริงๆ
“อวี๋เฉินจะบีบให้ข้ายอมทิ้งกิจการตระกูลจางเพื่อช่วยพ่อและซื่อหลาง ถึงตอนนั้น อวี๋เฉินคงไม่มัวมานั่งบริหารงานต่อ คงอยากทำลายให้ย่อยยับเสียมากกว่า”
ใบหน้าจื่อเยี่ยนมีเครื่องหมายคำถาม “ไม่ได้ต้องการสมบัติหรือขอรับ?”
“กับคนเป็นแม่ ให้ฆ่าตนไม่เจ็บเท่าฆ่าลูก เช่นเดียวกับคนที่เกลียด หากรู้ว่าอีกฝ่ายประสงค์สิ่งใด ถ้าทำลายสิ่งนั้นคงสะใจกว่ากันเยอะ”
“…เป้าหมายคือทำลายตระกูลสินะขอรับ”
“อืม” หย่งคังกอดอก “ไม่ใช่อยากฮุบสมบัติอย่างที่ตาแก่นั่นคิดหรอก”
จื่อเยี่ยนพยักหน้ากับตัวเอง “อย่างนี้นี่เองขอรับ”
“แต่อวี๋เฉินอาจคิดถูก หลี่ซื่อหลางจะทำให้ข้าใจอ่อน ในขณะที่เจ้าเห็นข้าแข็งแกร่งขึ้น ข้ากลับอ่อนแอยิ่งกว่าใคร” หย่งคังหลุบตาลงเล็กน้อย “ข้าฝังความรู้สึกที่มีต่อซื่อหลางจนถลำลึกลงไป หากวันที่ข้าอยู่ในจุดสูงสุด แต่กลับไร้ซึ่งซื่อหลางจะสำคัญไฉน?
“ไม่รออีกหน่อยหรือขอรับ”
“จื่อเยี่ยน ต่อให้เป็นกับดัก คืนนี้ข้าก็จะไป”
จื่อเยี่ยนพ่นลมหายใจ “เป็นกับดักแน่นอนอยู่แล้วล่ะขอรับ”
ผู้ติดตามอดห่วงไม่ได้ แม้รู้ว่าหย่งคังมีแผนอยู่แล้วก็ตาม ทั้งๆ ที่เขาเป็นกังวล คนเป็นนายกลับหัวเราะในลำคอ
“เช่นนั้นข้าก็จะไปติดกับดักเสียหน่อยแล้วกัน”-------------------------------------------------------------
ขาของหลี่ซื่อหลางหายดีแล้ว
แม้จะรู้สึกแปลกๆ เวลาเดินอยู่บ้าง แต่ก็เรียกได้ว่ากลับมาเป็นปกติ
“พี่ซื่อหลาง” ฟานตงเดินเข้ามาหาพี่ชาย “คืนนี้ท่านจะออกไปข้างนอกกับพี่อวี๋เฉินหรือ”
สังเกตเห็นว่าพักนี้ท่านหมอทำตัวสนิทสนมกับหลี่ซื่อหลางมากเกินความจำเป็น ตอนที่ขาร่างโปร่งยังไม่หายดี เจ้าตัวก็เทียวมาเทียวไป ซื้อของบำรุงมาฝากมากมาย หรืออันที่จริง เหมือนหลี่ซื่อหลางจะโดยรุกอยู่ฝ่ายเดียวมากกว่าหรือเปล่าก็ไม่รู้
คนถูกถามเกาแก้ม “เอ่อ…ประมานนั้นกระมัง”
“พี่ซื่อหลางโดนจีบ?”
“ฟานตง!” หลี่ซื่อหลางหันขวับ “อย่าพูดแบบนี้ ไม่มีใครจีบใครทั้งนั้นแหละ ข้าแค่ออกไปกินข้างแบบเพื่อน”
“แบบกับพี่จิ้งอี้น่ะหรือ”
“ใช่ แบบนั้นแหละ” หลี่ซื่อหลางถอนหายใจ
ไม่คิดมาก่อนว่าน้องชายจะดูออกเรื่องที่ท่านหมอพยายามเอาใจเขาอยู่เกือบสองอาทิตย์ แล้ววันนี้ก็เกิดนึกครึ้มทวงสัญญาที่จะพาไปกินอะไรอร่อยๆ ขึ้นมาเสียด้วย ตัวเขาเองก็ไม่มีเหตุผลดีๆ มาปฏิเสธ ถึงได้ตอบตกลงในที่สุด
“พี่ซื่อหลาง ข้าไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ”
ฟานตงยู่หน้า “แค่นี้ทำไมข้าจะดูไม่ออก พี่อวี๋เฉินกำลังจีบท่าน!”
“ฟานตง!”
“ข้าว่าเขาก็เป็นคนดี หรือพี่ซื่อหลางไม่ชอบ?”
หลี่ซื่อหลางอยากทึ้งหัวตัวเอง กลั้นใจตอบกลับไป “ข้าไม่มีรสนิยมเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าไม่ดีหรอกนะ แต่คนเราชอบไม่เหมือนกัน เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่”
“อืม…” ฟานตงพยักหน้า “ข้าแค่เห็นว่าพี่อวี๋เฉินคงสามารถดูแลท่านได้”
“ข้าดูแลตัวเองได้”
“ใช่ ข้ารู้ท่านเก่ง แต่มีคนคอยอยู่ข้างๆ ก็ดีไม่ใช่หรือ?”
แวบหนึ่งใบหน้าของใครบางคนโผล่ขึ้นมาในหัวของหลี่ซื่อหลาง แค่คิดใจก็ปวดหนึบ เขาไม่เข้าใจตัวเองเลย
“ข้ามีเจ้าก็พอแล้ว”
“พี่ซื่อหลาง…” ฟานตงรู้สึกสงสารพี่ชายจับใจ
ด้วยตนรู้ดีว่าร่างโปร่งมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจตลอดแต่ไม่เคยพูดออกมา เก็บงำอยู่นานหนึ่งปี สองปี สามปี จนกระทั่งเจ้าตัวเคยชินกับการมองข้ามว่าไม่มีสิ่งๆ นั้นอยู่ หากยามเผลอเหม่อลอยครั้งใด แววตาว่างเปล่าก็เหมือนกำลังมองหาใครบางคน
“เถอะ ว่าแต่คืนนี้ท่านจะค้างกับพี่อวี๋เฉินหรือไม่”
“ไม่หรอก” หลี่ซื่อหลางส่ายหน้า ยังจำประโยคที่จิ้งอี้พูดจนเสียวสันหลังวาบขึ้นใจ
‘ ถึงเวลานั้น เดาว่าเจ้าคงต้องเจ็บสะโพกมากแน่ๆ… ’“ข้าจะกลับก่อนยามสอง เจ้าก็อย่าเพิ่งปิดบ้านล่ะ” หลี่ซื่อหลางกำชับ
นี่ก็ใกล้เวลาที่ท่านหมอบอกว่าจะมารับเขาแล้ว เฮ้อ… หลี่ซื่อหลางลอบถอนหายใจ ทำอย่างกับว่าเขาเป็นสาวแรกรุ่นไปได้ ไม่จำเป็นต้องรับส่งกันเลยแท้ๆ
“ได้ ไว้ข้าจะรอ”
“เจ้าน่ะหลับไปเถิด แค่ไม่ต้องลงกรอนประตูก็พอ”
“งั้นข้าชวนหยงเทียนมาช่วยเฝ้าบ้านได้หรือไม่” ฟานตงเอ่ยขอ คนเป็นพี่ชายพยักหน้า
“ตามใจเจ้า”
“ดีเลย! ข้าจะได้มีเพื่อนนอน”
หลี่ซื่อหลางกระแอมไอ “แต่อย่าทำอะไรๆ กันล่ะ” ทิ้งท้ายไว้ก่อนจะรีบเดินออกจากบ้าน เพราะเห็นท่านหมอกำลังเดินมาจึงรีบออกไปหาทันที
“เห?” ฟานตงกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะเพิ่งเข้าใจความหมาย
“พ…พี่ซื่อหลาง!”
ตะโกนไล่หลังแต่ก็ไร้ประโยชน์ พี่ชายเดินขนาบข้างไปกับท่านหมอไกลเสียแล้ว คนตัวเล็กได้แต่หายใจฮึดฮัดอย่างหงุดหงิด
กระนั้นก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าจะใจสั่นหน้าแดงไปทำไมเหมือนกัน-------------------------------------------------------------
จางอวี๋เฉินพาหลี่ซื่อหลางมาที่ร้านติ่มซำสุดหรูใกล้วังหลวง
ขึ้นชื่อว่าอร่อยสมกับราคาที่แพงเสียจนกระเป๋าตังค์ฟีบ ไม่ว่าเหล่าขุนนางหรือลูกหลานตระกูลคนใหญ่คนโตที่ไหนก็ล้วนต้องเคยมากันทั้งนั้น
กระนั้น แค่เห็นหน้าร้านหรูหราหลี่ซื่อหลางก็พบว่าชุดเก่าๆ ที่สวมอยู่ไม่เข้ากับสถานที่เลยแม้แต่น้อย
“วันนี้ท่านดูดีมาก ซื่อหลาง”
เหมือนจางอวี๋เฉินอ่านใจคนออก หันมาให้กำลังใจพร้อมรอยยิ้มบาง
“อ่า…ขอบคุณ”
หลี่ซื่อหลางยิ้มแห้งๆ ตามระเบียบ รู้สึกเก้ๆ กังๆ เวลามีคนหันมามองด้วยสายตาประหลาด
“ท่านหมอ ร้านนี้ท่าทางจะแพง”
“แต่อร่อยอย่าบอกใคร ข้าหวังอยากให้ท่านได้ลองสักครั้ง”
“ท่านหมอ วันนี้ข้าพกเงินติดตัวมาไม่มาก” หลี่ซื่อหลางพยายามอ้างเหตุผลร้อยแปด “ข้าว่าเราเลือกร้านที่เป็นกันเองกว่านี้หน่อยดีหรือไม่”
“คืนนี้ข้าเป็นเจ้ามือเอง ท่านไม่ต้องกังวล”
“ไม่ได้นะ” หลี่ซื่อหลางหยุดเดิน “ท่านรักษาขาข้าจนหาย แล้วยังไม่ยอมรับค่ารักษา นี่จะเลี้ยงข้าวข้าอีก”
…คิดจะให้เขาติดหนี้บุญคุญไปถึงไหน?“ดีแล้วไม่ใช่หรือ”
จางอวี๋เฉินถือวิสาสะจูงมือหลี่ซื่อหลางเข้าร้าน เลือกที่นั่งชั้นสองติดริมหน้าต่างเห็นวิวท้องฟ้ายามค่ำคืน ครั้นหลี่ซื่อหลางจะชักแขนหนี จางอวี๋เฉินก็กำมือแน่นขึ้นเท่านั้น
“ข้าอยากให้ท่านมากกว่านี้อีก”
“ท่านหมอ ไม่ต้องให้อะไรข้าแล้วได้หรือไม่ ท่านทำแบบนี้ข้ารู้สึกไม่สบายใจ” หลี่ซื่อหลางทำสีหน้าลำบากใจสุดๆ แต่ก็โดนจับให้นั่งลง มีพนักงานมาเสิร์ฟเครื่องดื่มให้อย่างรู้งาน จางอวี๋เฉินหันไปสั่งอาหาร รายการที่สั่งล้วนราคาแพงทั้งนั้น แถมไม่ได้สั่งมาน้อยๆ เลย
“ท่านไม่สั่งเยอะไปหน่อยหรือ”
“ไม่นี่” จางอวี๋เฉินเท้าคาง จ้องมองใบหน้าอีกฝ่าย
…ดูๆ ไปก็ไร้เดียงสาเหมือนกัน มิน่า… ท่านหมอส่งยิ้มให้ “หรือท่านคิดว่าข้าไม่มีปัญญาจ่าย?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” หลี่ซื่อหลางอยากโขกหัวกับโต๊ะ “ข้าแค่คิดว่ามันเยอะไปสำหรับสองคน เราคงกินกันไม่หมด น่าเสียดายแย่”
“ไม่แน่อาจมีคนอยากร่วมโต๊ะกับเราคืนนี้”
“ท่านว่าอย่างไรนะ?”
หลี่ซื่อหลางได้ยินไม่ถนัด ถามซ้ำ แต่สิ่งที่ได้คือรอยยิ้มซื่อๆ ของจางอวี๋เฉิน “เปล่าหรอก ไม่มีอะไร”
อ้าว? ก่อนจะได้ถามอะไรต่อ อาหารก็มาเสิร์ฟเสียแล้ว โต๊ะกลมสีขาวเต็มไปด้วยอาหารเลิศรส แค่การตกแต่งจานก็รู้สึกอร่อยทั้งที่ยังไม่ทันลิ้มลอง จางอวี๋เฉินคีบติ่มซำเสี่ยงหลงเปาใส่จานให้หลี่ซื่อหลาง
“ลองชิมดูสิ”
หลี่ซื่อหลางพยักหน้า คีบเจ้าสิ่งนั้นเข้าปากเคี้ยวหนุบหนับ อร่อยจนลืมไปเลยว่าตัวเองมาที่นี่เพื่อทำอะไร
“รสชาดดีใช่หรือไม่”
“อร่อยมากเลยล่ะ” หลี่ซื่อหลางหลุดยิ้ม คิดว่าถ้าฟานตงกับหยงเทียนมีโอกาสได้กินคงดีไม่น้อย “ขากลับข้าซื้อไปฝากน้องชายด้วยดีกว่า เขาน่าจะชอบ”
“เท่าที่เจ้าต้องการเลย”
จางอวี๋เฉินรู้สึกสนุกที่ได้เห็นหลี่ซื่อหลางกำลังลดกำแพงในใจลง คนตรงหน้าใสซื่อเหมือนเด็กหัดเดิน ลอบมองริมฝีปากสีสดที่เคยฉกชิงความหวานมาแล้วครั้งหนึ่ง
…หากคืนนี้เป็นไปตามอย่างที่เขาคิด หลี่ซื่อหลางจะกลายเป็นของเขาตั้งตัว…
“ดื่มน้ำเสียหน่อย จะได้กินคล่องคอ” จางอวี๋เฉินรินเหล้าใส่ถ้วยให้ อีกฝ่ายรับไปดื่มอย่างไม่คิดติดใจ
“ขอบคุณ”
ร่างโปร่งวางถ้วยลง รสขมบาดคอทำให้เบ้หน้าเล็กน้อย “ท่านหมอ ข้ามีเรื่องอยากคุยกับท่าน”
“ค่อยคุยหลังจากกินเสร็จดีหรือไม่”
“แต่…”
“ถือว่าข้าขอแล้วกัน” จางอวี๋เฉินยิ้มบาง “กินไปคุยไปไม่ดีหรอก โบราณเขาว่าไว้ ท่านกินให้อิ่มท้อง สมองจะได้โล่งๆ ถึงตอนนั้นข้าจะยอมรับฟังทุกอย่างเลย”
ว่าแล้วก็รินเหล้าให้อีกจอก ก่อนจะชูถ้วยเหล้าตัวเองขึ้น “ฉลองให้สุขภาพแข็งแรงของท่าน”
“อ…อืม”
หลี่ซื่อหลางจิบเหล้าเล็กน้อย รู้ดีว่าตนเป็นคนคออ่อน กระนั้นจางอวี๋เฉินกลับคะยั้นคะยอ
“ดื่มไปเถอะ ซื่อหลาง เหล้าไม่แรง ไม่ทำให้เมาหรอก”
ร่างโปร่งนึกเกรงใจ ไม่กล้าปฏิเสธจึงได้กระดกรวดเดียวหมด จางอวี๋เฉินขยับปากเหมือนจะพูดว่า เด็กดี แล้วก็รินเหล้าให้เขาอีก พลัดกับคีบอาหารใส่จานให้ไม่หยุด หลี่ซื่อหลางรู้สึกมึนเล็กน้อย ราวกับกำลังจะลืมสิ่งที่ต้องการทำ
“ข้าขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักเดี๋ยว”
หลี่ซื่อหลางวางตะเกียบ ลุกขึ้นยืน แต่รู้สึกขาไม่มีแรง หากจางอวี๋เฉินไม่มือไวคว้าเอวเขาไว้ มีหวังคงทรุดลงไปกับพื้น
“เป็นอะไรหรือไม่?”
“ข้า…มึนหัวนิดหน่อย” หลี่ซื่อหลางสะบัดหัวไล่ความมึน “ล้างหน้าก็คงหาย”
“ให้ข้าพาไปไหม”
“ไม่ต้องๆ” หลี่ซื่อหลางโบกมือพัลวัล “ข้าไปเองได้ ขอบคุณท่านมาก” เมื่อเจ้าตัวยืนยันเช่นนั้น จางอวี๋เฉินจึงปล่อยมืออย่างเสียดาย ลอบมองหลังร่างโปร่งที่เซเล็กน้อยหายลับเข้าไปทางหลังร้าน
หันกลับมาที่โต๊ะอาหาร จางอวี๋เฉินหยิบซองบางอย่างออกจากชายเสื้อ ข้างในบรรจุผงสีขาวที่เขาสกัดจากสมุนไพรเองกับมือ
ชายหนุ่มแอบใส่ลงไปในถ้วยเหล้าหลี่ซื่อหลาง รับรองว่าไม่ใช่ยาที่ทำให้ถึงแก่ความตาย ตรงกันข้าม ค่ำคืนนี้อีกฝ่ายจะได้ขึ้นสวรรค์เลยต่างหาก
…ก่อนที่จะตื่นมาพบกับนรกของจริง…เวลาไม่นาน หลี่ซื่อหลางเดินกลับมาพร้อมกับใบหน้าเปียกชื้น เสื้อผ้าบางส่วนเปียกน้ำ ดูเหมือนจะพยายามเรียกสติตัวเองให้ตื่นน่าดู
“ท่านหมอ ข้าต้องขอโทษด้วย แต่คงต้องกลับแล้ว”
“ทำไมกัน?” จางอวี๋เฉินเงยหน้าถาม “นั่งกินเป็นเพื่อนข้าอีกสักนิดเถิด”
“ข้าเป็นห่วงฟานตง”
“น้องชายท่านโตแล้วไม่ใช่?” จางอวี๋เฉินถือวิสาสะดึงหลี่ซื่อหลางนั่งลง “ซื่อหลาง น้องชายเจ้าไม่เป็นอะไรหรอก แต่ถ้าท่านไม่สบายใจ ดื่มถ้วยนี้แล้วข้าจะพากลับเลย ดีหรือไม่”
หลี่ซื่อหลางมีสีหน้าชั่งใจ ก่อนจะพยักหน้า
“ก็ได้…”
ร่างโปร่งยกถ้วยเหล้าขึ้นจ่อริมฝีปาก กระดกรวดเดียว รู้สึกขมคอจนต้องยู่หน้า
จางอวี๋เฉินยิ้มบาง
“ไปเถิด ข้าจะพาท่านกลับเอง”-------------------------------------------------------------
To be continued...