อ่อนล้าไปทั้งหัวใจ…
ท่อนนึงของเพลงที่ฟังแล้วทำให้ผมอินไปกับมันด้วยประสบการณ์ที่ตัวเองกำลังพบเจอ
มีคำสอนที่ว่า ‘ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น’
แต่ปัจจุบันมันก็ถูกดัดแปลงไปกลายเป็นคำสอนที่ว่า ‘ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น’
เห็นท่าจะจริง เมื่อผมรู้สึกกำลังจะหมดแรงกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ แม้ปลายทางของการพยายามจะหอมหวานสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังมองไม่เห้นทางที่จะไปถึงที่นั่นได้เลยสักที
พยายามเท่าไหร่ก็ไกลได้เท่าเดิม
--------
ติ๊ง!
เสียงแจ้งเตือนดังมาจากแล็ปท็อปที่ผมเปิดค้างไว้
‘อิจฉาว่ะอยากไปเที่ยวกับแฟนแบบแกบ้าง’
อ่านจบก็พิมพ์ตอบเพื่อนสนิทที่มาคอมเมนต์ในเฟซบุ๊คหลังจากเช็คอินที่ทะเล
‘บอกให้ลางานมาพร้อมกันก็ไม่เชื่อ’
‘แหม คนมันต้องทำงานไหมล่ะ ใครจะดีมีผู้เลี้ยงแบบแก’
ผมหัวเราะเล็กน้อยให้กับประโยคที่เพื่อนบอกมา เลิกแก้ตัวเมื่อรู้ว่าพูดอะไรไปมันก็ไม่ยอมฟัง
ใช่ผู้เลี้ยงที่ไหนล่ะ ผมพยายามจะจ่ายแล้วแต่ไม่ทันคนมือไวกว่าเท่านั้นเอง
พักสายตาจากโลกโซเชียลหันมาสนใจเสียงน้ำทะเลที่ซัดกระทบโขดหินบ้าง ผมลุกจากเก้าอี้ไม้เดินไปที่หน้าต่าง มองหาอีกคนที่มาด้วยกันแต่ตอนนี้หายไปกับธรรมชาติแล้ว
“ช่วงนี้พี่แทนว่างไหมครับ”
“ถ้าส่งงานลูกค้าครั้งนี้ผ่านก็น่าจะว่างยาวสัปดาห์นึงนะ พีมีอะไรหรือเปล่า”
“พีอยากไปเที่ยวทะเล”
“ไปสิ เดี๋ยววันนี้ถ้างานมันผ่านพี่พาไปวันเสาร์เลย”
ผมออกมาเดินเล่นที่ชายหาด พลางนึกถึงบทสนทนาที่พาตัวเองมาถึงที่นี่ ตอนชวนก็ไม่คิดว่าพี่เขาจะตอบตกลงจริง ๆ หรอก เผื่อใจไว้แล้วว่ายังไงก็ได้ไปคนเดียวแน่ ๆ พอมีคนตกลงมาด้วยก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน เจ้าตัวใช่คนว่างไปเที่ยวเหมือนผมซะที่ไหน
อันที่จริงครั้งนี้ที่ชวนไปเที่ยวก็ไม่ใช่เพราะตัวเองอยากไปมากหรอก แค่เห็นพี่เขาเอาแต่ทำงานไม่ยอมพักเท่านั้นเอง กลัวว่าถ้าบอกให้พักก็จะเอางานกลับมาทำที่บ้านอีก นี่แหละคำว่าพักผ่อนที่บ้านของเขา ใช่การที่นอนตื่นสาย นั่งดูรายการทีวีอยู่บ้านโง่ ๆ เหมือนผมซะที่ไหน เลยต้องพาออกมาจากงานจากบ้านอย่างนี้ไงครับ
ผมเดินเอื่อยอยู่ริมหาดไปเรื่อย ๆ แดดตอน 5 โมงเย็นถึงจะร้อนแต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าต้องเดินเลี่ยงมันเหมือนแดดตอนเที่ยงสักเท่าไหร่
เดินเล่นชายหาดให้น้ำทะเลพัดผ่านเท้าไปเรื่อย ๆ ก็เจอกับบุคคลที่กำลังตามหา ผมเดินเข้าไปใกล้เจ้าตัวเรื่อย ๆ และเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องสมาร์ทโฟนไม่วางตา มือก็พิมพ์ยุกยิก คิ้วก็ขมวดจนเป็นปมหมด
คุยเรื่องงานอยู่สิท่า
พาออกมาถึงนี่ยังมีงานมากวนใจอีก
“พี่แทนครับ”
ผมเอ่ยชื่อเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา แต่เหมือนสิ่งที่ปรากฏอยู่ในจอสมาร์ทโฟนจะเป็นเรื่องสำคัญจนทำให้พี่เขาตัดขาดตัวเองออกจากโลกภายนอก ไม่สนใจเสียงเรียกของผมสักนิด
“พี่แทน…”
“อ้าวพี มาตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมมองการที่อีกฝ่ายรีบเก็บสมาร์ทโฟนใส่กระเป่าเพราะกลัวผมดุเข้าให้ เวลาเล่นก็คือเวลาเล่นครับ อย่าเอางานเข้ามาเกี่ยว
“หิวหรือยัง” ไม่รอคำตอบในสิ่งที่ถามเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเรื่องด้วยคำถามใหม่
“ยังครับ… พี่แทนคุยงานหรอ มีงานด่วนเข้ามาหรือเปล่าครับ” สังเกตสีหน้าเคร่งเครียดของเขาที่ยังไม่คลายกังวลก็เป็นห่วง กลัวตัวเองจะไปรบกวนเวลางาน
“อ้อ! คุยงานครับแต่ไม่ใช่งานพี่นะ” รีบปฏิเสธเชียว “ถ้าพีไม่หิวเราไปเดินเล่นกันก่อนไหม” ผมพยักหน้า ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่ออีกฝ่ายยื่นมือมาเป็นสัญญาณให้ผมส่งมือตอบ
“รู้สึกอยากหยุดเวลาไว้เลยนะครับ” ไม่บ่อยนักที่ผมจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับพี่เขาอย่างนี้
“ไว้พี่ว่างแล้วเรามาเที่ยวกันใหม่ก็ได้” ฟังแล้วก็เกิดคำถามว่า ‘เมื่อไหร่กันที่พี่เขาจะว่างแบบนี้อีก’
“สัญญาแล้วนะครับ”
ผมยกนิ้วก้อยขึ้น เกี่ยวเข้ากับนิ้วก้อยของคนข้างกายที่ยกขึ้นมาเช่นกัน ถึงอย่างนั้นเมื่อทำการสัญญาเสร็จอีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อยนิ้วของผมสักที เลยต้องปล่อยให้นิ้วก้อยของเราเกี่ยวกันอยู่อย่างนั้น
เป็นช่วงเวลาความสุขที่ผมอยากเก็บมันเอาไว้ให้นานจัง กว่าจะมาถึงจุดนี้ไม่ง่ายเลย
“พี… แป๊บนึงนะ พี่ขอตอบข้อความเพื่อนก่อน”
แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยเมื่อพี่เขามีเหตุผลที่ผมรั้งต่อไม่ได้
ผมมองพี่แทนที่กลับมาทำหน้าเครียดเหมือนตอนแรกที่เจอ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เอะใจว่าคุยเรื่องอะไรกับเพื่อนถึงได้ทำหน้าตาอย่างนั้น ยอมยืนรอโดยไม่เอ่ยอะไรออกมา
ใครก็บอกว่าผมรอเก่ง พี่แทนก็บอกว่าผมรอเก่ง แม้แต่เพื่อนสนิทว่าผมรอเก่ง
อยากสถาปนาเป็นนักรอคอยที่นานที่สุด แต่เหมือนกินเนสบุ๊คจะยังไม่มีสถิติในเรื่องนี้นี่สิ หรือมีแต่ผมยังไม่รู้นะ
“พี่ยังลืมเขาไม่ได้ ถ้าพีคบกับพี่ตอนนี้พี่อาจทำให้พีเสียใจก็ได้”
“ถ้าพี่แทนไม่ออกมาจากโลกใบเดิมแล้วจะลืมได้ยังไงครับ”
“พี่กลัวทำให้พีเสียใจ ถ้าพี่กลับไปคิดถึงเขาพี่ก็ต้องรู้สึกผิดกับเรา”
“พี่แทนไม่ต้องกลัวหรอกครับ ถ้าถึงวันนั้นที่พีเสียใจขอให้รู้ไว้ว่าไม่ใช่ความผิดของพี่เลย เป็นความผิดของพีทุกอย่างที่เอาแต่ใจ”
“พี…”
“ถึงวันนึงที่พี่แทนลืมไม่ได้ และพีเสียใจเกินจะทนไหว วันนั้นพีจะเป็นคนเดินออกมาเองครับ”
ผมชอบผู้ชายอย่าง ‘พี่แทน’ ชอบมากเกินกว่าที่จะตัดใจได้ รอคอยวันที่พี่แทนจะเลิกกับแฟน ถึงอย่างนั้นทุกวันครบรอบของเขาสองคนผมก็เอาของขวัญไปแสดงความยินดีด้วยเสมอ
เป็นไหมครับ… รักใครสักคนมากเกินกว่าจะเห็นเขาทุกข์ใจเพราะความสุขของเรา ผมอยากคบกับพี่แทนนะ แต่นั่นแหละ ผมไม่อยากเห็นวันที่พี่แทนร้องไห้เศร้าใจเพราะเลิกกับแฟนเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นผมถึงยังทำตัวอยู่ในฐานะที่รุ่นน้องที่ดีตลอดมา
กระทั่งวันนั้นมาถึง… พี่แทนไม่มีน้ำตาสักหยดแต่ก็มีความเศร้าในใจมากพอจนผมสัมผัสได้ ท้องฟ้าของพี่แทนเหมือนมีเมฆครึ้มพร้อมจะตกลงมาตลอดเวลา ท้องฟ้าของผมก็คงไม่ต่างกัน วันที่ต้องนั่งมองคนที่เรารักเศร้าใจ ความรู้สึกของเราก็คงไม่ต่างกับเขาหรอกครับ
ผมพยายามชวนพี่แทนคุย ชวนไปหาอะไรทำให้เจ้าตัวเลิกฟุ้งซ่านอยู่กับเรื่องในอดีต ไม่มีวี่แววว่าคนรักเก่าของพี่แทนจะติดต่อมาเลยด้วยซ้ำ เหมือนตัดขาดกันทุกอย่างเมื่อการเลิกราเกิดขึ้น ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าพี่แทนจะตัดใจได้ง่าย ๆ เจ้าตัวยังคงจมปรักอยู่กับสิ่งเก่า ๆ
ใช้เวลาอยู่นานเป็นปีกว่าพี่แทนจะกลับมาพูดคุยและสามารถตอบคำถามในเรื่องราวอดีตได้อย่างปกติ ไม่ได้แสดงอาการเศร้าเหมือนแต่ก่อน
“พี่ชอบพีหรอ”
ผมกะว่าจะรอให้มีโอกาสดี ๆ ถึงจะบอกเรื่องนี้ให้พี่แทนได้รู้ หรือไม่หากตัวเองไม่กล้าพอที่เอ่ยประโยคนั้นออกไปก็อยากจะรู้ข้างพี่แทนในฐานะพี่น้องต่อไป ผมทนได้ถ้าพี่แทนจะคบกับคนใหม่เพราะเรื่องนั้นมันก็ผ่านมานานพอสมควรแล้ว และผมยินดีที่มีความสุขกับความสุขของพี่แทนเสมอ
กระทั่งพี่แทนเป็นคนถามออกมา
ผมยืนนิ่งเกือบนาทีได้ และมันคงเป็นคำตอบที่ชัดเจนสำหรับคนอย่างพี่แทน
บางทีความเงียบก็เป็นคนตอบที่ชัดเจนในสิ่งที่เราไม่กล้าเอ่ยมันออกไป
และคำตอบในวันนั้นก็ส่งผลให้ปัจจุบันของผมมีวันนี้ ถึงแม้จะมีเสียใจบ้างเหมือนที่พี่แทนกลัว แต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้ผมรู้สึกว่าต้องเดินออกจากชีวิตของผู้ชายคนนี้ไป
“พี…”
“ครับ?” ผมหลุดออกจากการรำลึกเรื่องราวในอดีตด้วยเสียงเรียกของพี่แทน ในมือไม่ได้มีสมาร์ทโฟนแล้วด้วย
“ไปหาอะไรกินกันไหม พี่หาในเน็ตมามันมีร้านอาหารทะเลอยู่ไม่ไกลจากรีสอร์ตที่เราพักเท่าไหร่”
“ก็ได้ครับ”
“งั้นเรากลับกันเนอะ พี่เริ่มเหนียวตัวแล้ว”
ผมขึ้นมานั่งบนรถฝั่งข้างคนขับ เปิดเพลงฟังอย่างสบายใจ
ติ๊ง!
ติ๊ง!
เพราะหน้าจอสมาร์ทโฟนของตัวเองยังคงดำสนิท ไม่ปรากฏข้อความใด ๆ ผมจึงมั่นใจว่ามันดังมาจากสมาร์ทโฟนของคนขับรถ ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้สนใจเสียงเรียกร้องนี้เลยด้วยซ้ำ
ติ๊ง!
ติ๊ง!
ติ๊ง!
“พี่แทน”
“หืม?”
นี่จะตั้งใจขับรถจนไม่ได้ยินเสียงเลยหรือไง
“แน่ใจนะครับว่าไม่มีงานด่วน”
“อื้ม! พี่เคลียร์งานก่อนมาแล้วไง”
ติ๊ง!
นั่นไง ดังอีกแล้ว
“พี่แทน มันแจ้งเตือนตลอดเลยนะครับ ให้พีเปิดดูไหมเผื่อมีงานด่วนจริง ๆ”
“ไม่ต้องๆ พี่เคลียร์แล้วไม่มีหรอก”
ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่คลายกังวลเมื่อหน้าจอสมาร์ทโฟนของพี่แทนยังมีเสียงแจ้งเตือนดังอยู่เรื่อย ๆ แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งคนขับรถที่บอกไม่ต้องสนใจมันอยู่ดี
เราถึงร้านในเวลาหนึ่งทุ่มตรง เลือกนั่งโต๊ะด้านในร้านเพราะพี่แทนไม่อยากเหนียวตัวเพราะลมทะเล
พี่แทนเลือกสั่งอาหารทะเลชุดใหญ่เพราะรู้ว่าผมชอบกิน และเมื่อพนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟก็รู้สึกว่าสมกับที่มาทะเลจริง ๆ
พี่แทนหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาพิมพ์อะไรไม่รู้ สงสัยจะเคลียร์กับเพื่อนอีกล่ะมั้ง ส่วนผมก็หยิบมันมาถ่ายภาพอาหารลงสตอรี่ไอจีอวดเพื่อนบ้างเหมือนกัน
ไม่นานนักก็ได้เห็นข้อความจากเพื่อนคนเดิมที่คุยด้วยกันเมื่ออยู่ที่รีสอร์ต
‘เบื่อแก’
‘กินไหม เดี๋ยวขากลับซื้อไปฝาก’
‘ขอบคุณที่ยังคิดถึงเพื่อนอยู่’
‘อยากให้แกมาด้วยจัง’
‘บ้า~~~ จะให้ฉันเป็นกขคขัดจังหวะพี่แทนกับแกเนี่ยนะ’
พอเพื่อนพูดถึงพี่เขาผมก็เงยหน้ามาดูคนตรงหน้าบ้าง หายไปกับการแชทคุยกับเพื่อนนึกว่าพี่แทนจะลงมือกินอาหารก่อนซะแล้ว แต่ที่ไหนได้เงยหน้าขึ้นมาอีกทีพี่แทนก็ยังคงรัวนิ้วอยู่กับหน้าจอสมาร์ทโฟนเช่นเคย
คิ้วผมเองก็เริ่มขมวดเมื่อเกิดความสงสัยกับอาการติดสมาร์ทโฟนของพี่แทน ตั้งแต่เย็นกระทั่งตอนนี้…
ถ้าเป็นงานเหมือนอย่างที่ผมกังวลทำไมพี่แทนไม่บอกกันแต่แรกว่ามีงานเข้า ถ้ามันด่วนจริงผมก็พอจะเข้าใจได้
แต่ถ้าไม่ใช่งานแล้วพี่แทนจะคุยอะไรกับใคร หรือจะคุยกับเพื่อนอีก?
พี่แทนไม่ใช่คนที่ชอบพิมพ์ตอบกลับใครในโซเชียลสักเท่าไหร่ ติดจะโทรคุยมากกว่า แบบนี้เริ่มน่าสงสัยแล้ว
ผมละทิ้งความสงสัยนี้ไปเมื่อพี่แทนตักอาหารให้ พยายามอยู่กับของกินที่อยู่ตรงหน้า ถ้าพี่แทนบอกว่า ‘ไม่มีอะไร’ ก็คือไม่มีอะไร
คุยกับพี่แทนไปนั่งกินไปตอบแชทเพื่อนไปกระทั่งภาพตรงหน้ามีแค่จานเปล่าไร้อาหารเช่นเคยพี่แทนก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ส่วนผมก็นั่งรอที่โต๊ะเหมือนเดิม
ผมมองสมาร์ทโฟนของพี่แทนที่หน้าจอสว่างขึ้นพร้อมกับเสียงแจ้งเตือนเหมือนที่ได้ยินมาตลอด ความกังวลกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง กลัวพี่แทนจะเกรงใจผมจนไม่ยอมบอกว่าตัวเองติดงาน กลัวพี่เขาเดือดร้อนเพราะตัวเองจึงหันหลังไปมองคนที่บอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ พอไม่เห็นฝ่ายนั้นผมก็จัดการหยิบสมาร์ทโฟนของพี่แทนขึ้นมาดูทันที
‘Ten: เราไม่ไหวแล้วอ่ะแทน ถ้ากลับไปที่รีสอร์ตแล้วโทรหาเราด้วยนะ’
อ่านจบก็วางมันไว้ที่เดิม คลายความกังวลเรื่องงานของพี่แทนไปเพราะรู้ว่าแจ้งเตือนที่ดังตลอดวันเป็นของใคร
ผมบอกว่ารู้จักพี่แทนมานาน ชอบมานานแล้ว ทำไมจะไม่รู้ว่าเจ้าของไลน์นี้เป็นของใครในเมื่อคนชื่อเทนก็มีอยู่แค่คนเดียว
มาถึงตอนนี้ที่รู้ว่าพี่แทนยังติดต่อกับคนเก่าก็ทำเอาผมกลัวอยู่ลึก ๆ แม้ในใจจะไม่ชอบความรู้สึกนี้ก็ตาม
ไม่ชอบความรู้สึกที่ตัวเองกำลังจะสูญเสียใครสักคนไปเลย
พี่แทนกลับมาที่โต๊ะอีกครั้งพร้อมกับเรียกพนักงานมาเก็บเงิน ส่วนผมก็จมอยู่กับเรื่องในหัว ไม่รู้ว่าพี่แทนกับคนเก่าคุยเรื่องอะไรกัน มีเรื่องด่วนอะไรถึงบอกให้พี่แทนโทรหาทันทีเมื่อกลับไปถึงรีสอร์ต แล้วการที่เขารู้ว่าพี่แทนอยู่ข้างนอก รู้ว่ามาเที่ยว ก็คงเป็นเพราะพี่แทนบอกไป
จะรู้สึกยังไงดี… เหมือนตัวเองไม่ได้สำคัญเท่าเขาดีไหม
ในขณะที่ผมถามว่าพี่แทนมีอะไรหรือเปล่า เขากลับเลือกที่จะปฏิเสธ บอกแค่มันไม่ใช่งาน ไม่แม้แต่จะบอกด้วยซ้ำว่ามันเป็นเรื่องอะไร สำคัญมากน้อยแค่ไหนผมก็อยากจะรู้ไหมเพราะมันเป็นเรื่องของคนสำคัญอยู่ดี
สำหรับผม พี่แทนเป็นคนสำคัญเสมอ
แล้วสำหรับพี่แทน ผมยังเป็นคนสำคัญอยู่ไหม ไม่สิ… ถ้าเลือกระหว่างเขากับผม ผมยังสำคัญอยู่ไหม
พี่แทนหยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองขึ้นมาดู นั่นถือว่าเป็นช่วงที่ผมลุ้นที่สุดเลยมั้ง ลุ้นกับสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายว่าจะแสดงออกมาในรูปแบบไหน และยิ่งเห็นความเครียดที่เผยออกมาก็ยิ่งรู้เลยว่าสิ่งที่พี่แทนจะทำเป็นอย่างแรกเมื่อกลับไปถึงรีสอร์ตคืออะไร
ความจริงการที่พี่แทนยังเป็นห่วง ยังพูดคุยกับคนเก่าอยู่ก็ไม่ได้ผิดอะไรเลยสักนิด ก็อย่างที่เคยบอกพี่แทนไปก่อนที่จะคบกันว่าถ้าวันนึงที่ผมเสียใจมันไม่ใช่ความผิดของเขาเลย เป็นความผิดของผมเองล้วน ๆ
“พี… เหม่ออะไร”
“เปล่าครับ” เงยหน้ามองคนที่ลุกยืนเต็มความสูง เตรียมพร้อมจะกลับห้องไปพักแล้ว
บางทีผมก็อดคิดไม่ได้ว่าที่พี่แทนรีบกลับเพราะอยากโทรหาใครอยู่หรือเปล่า
แม้จะรู้มาตลอดว่าพี่แทนไม่เคยลืมคนเก่าได้เลยก็ตาม แต่ผมก็หวังว่าความทรงจำเหล่านั้นมันจะจางลงบ้างพร้อมกับความรู้สึกที่ค่อย ๆ หายไปตามกาลเวลาหมุนเปลี่ยน
จนมาถึงวันนี้ก็พอพิสูจน์ได้แล้วว่าเวลาก็ไม่ช่วยอะไร
“กลับกันเถอะ” ผมลุกตามคำชวนพี่แทน เดินตามหลังคนที่สับเท้าอย่างไว
ทำไมมันเหนื่อยนักก็ไม่รู้ ทั้งที่ผ่านมาที่พี่อีกฝ่ายแสดงความรู้สึกว่าคิดถึงคนเก่ามันยังทำให้ผมเหนื่อยไม่เท่าครั้งนี้เลย
พี่แทนเดินออกไปไกลจนผมเหนื่อยที่จะเดินตามแล้ว
ทำไมไม่เคยหันไปดูคนที่ควรเดินอยู่ข้าง ๆ พี่บ้าง ทำไมไม่สังเกตว่าเขาเดินตามพี่ไม่ทันแล้ว
ทำไมไม่หันมามองข้างหลังว่ามีใครยายามที่จะเดินตามพี่อยู่ แต่เขาเดินไม่ทัน เขาจะหมดแรงอยู่แล้ว
ทำไมพี่ไม่หยุดรอผมบ้างเลย…
*** 50% ***