พิมพ์หน้านี้ - **{31.8.61-ตอนพิเศษนอกเล่ม๒ คู่รอง} Cinderella man and the beast

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: noonaaRP ที่ 05-03-2018 16:46:08

หัวข้อ: **{31.8.61-ตอนพิเศษนอกเล่ม๒ คู่รอง} Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 05-03-2018 16:46:08
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม


6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



********************************************************

 :pig2:


จากเป็นซินเดอเรลล่าอยู่ก้นครัว
 กลายเป็นหนูตกถังข้าวสาร ได้เจอเจ้าชาย
 แต่น่าเสียดาย เจ้าชายที่ว่านั่น
 ดันเป็นเจ้าชายอสูรน่ะซี!
 "แค่จีบยังโดนขนาดนี้ ถ้ายอมเป็นเมียนี่ไม่ฟ้าเหลืองเลยเหรอ"

     จากเป็นเด็กชายที่ถูกแม่เลี้ยงรังแก ซินเดอร์เรลล่า วิว ได้มาเจอกับ อสูร พี่ชายหน้าตาโหดคนหนึ่ง ที่สอนให้เขาได้รู้จักสู้กลับคืนบ้าง แต่แล้วคืนหนึ่ง เขากลับจับพลัดจับผลู ตกเป็นเมียพี่ชายคนนั้นเพราะความเมา แล้วมารู้ทีหลังว่าพี่ชายคนนี้ คือนายแห่งไร่รุ่งอรุณีผู้ยิ่งใหญ่ แถมเป็นอาของเพื่อนสนิท ที่วิวตกหลุมรักอีกด้วย!

(https://image.dek-d.com/27/0249/8607/125168757)
เชษฐ์ไชย(เชษฐ์) อายุ 33 ปี

(https://image.dek-d.com/27/0249/8607/125758746)
วิริยะ(วิว) อายุ 17 ปี

ไรเตอร์ทอล์ก
เรื่องนี้เป็นนิยายเบาสมองนะคะ (หรือจะเครียดกว่าเดิมก็ไม่รู้ ถถถ) ฝากอีกหนึ่งผลงานของหนูนาด้วยนะคะ รับรองว่าจะหลงรักนายเชษฐ์และน้องวิวแน่นอนคะ
หัวข้อ: Re: **{5.3.61-ตอนที่ ๑--๕๐/๑๐๐} Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 05-03-2018 16:52:44


ตอนที่ ๑


ความยากลำบากของมนุษย์ทุกคนมีแนวทางที่แตกต่างกัน บางคนคิดว่าความลำบากด้านจิตใจส่งผลกระทบมากกว่า บางคนทนความลำบากด้านร่างกายไม่ไหว แต่สิ่งเดียวที่หลายคนมองเห็นตรงกันคือการใช้ชีวิตมันไม่มีคำว่า ‘ง่าย’ เลย มันเหนื่อยและไม่สามารถหยุดได้จนกว่าจะหมดหนทางดิ้นรน หรือไม่ก็จนกว่าจะตาย


เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้น ในขณะที่เด็กหนุ่มใช้พละกำลังทั้งหมดไปกับการออกแรงวิ่ง ช่วงหัวค่ำรถเยอะและติดจนคิดว่าไปด้วยตัวเองยังง่ายเสียกว่า ลำขายาวพาวิริยะฝ่าทะเลรถที่ติดขนัดมุ่งหน้าไปยังบ้าน หลังจากออกมาทำงานพาร์ทไทม์เสร็จ และนี่อาจจะเป็นสายจากทางบ้านโทรเร่งให้เขารีบเสนอหน้ากลับไปที่นั่นก็ได้ คิดได้แล้วเด็กหนุ่มจึงหยิบมันออกมากดรับโดยไม่ละแม้แต่ฝีก้าวเดียว


เพราะพ่อไม่รู้ว่าเขาทำงานนี้


“ครับ” เขาขานรับ


“อยู่ไหนแล้ว ถ้าแกไม่รีบมา ฉันจะบอกพ่อว่าแกแอบไปรำแก้บน”


“อีกสิบนาทีนะครับพี่ทราย บอกพ่อว่าผมติดทำโครงงานหรืออะไรก็ได้”


“ไม่เอาแล้ว! ทำไมฉันจะต้องแก้ตัวให้คนอย่างแกด้วยไอ้วิว ถ้าแกมาช้าฉันจะฟ้องพ่อว่าแกเป็นตุ๊ด ไปแต่งหน้าทาปากฉีกแข้งฉีกขารำต่อหน้าต่อคนเยอะแยะ คราวนี้แหละ แกโดนเฉดหัวออกจากบ้านแน่!”


“เดี๋ยวสิพี่ทราย” วิริยะเชื่อว่าหล่อนจะทำอย่างที่พูดแน่นอน เด็กหนุ่มรีบร้อนเร่งฝีเท้าขึ้นมาอีก “ขอร้องละครับ ให้พ่อรู้ไม่ได้ ถ้าพ่อรู้ผมจะไม่ได้ทำงานอีก ก็เงินเดือนผมพี่เอาไปใช้แล้วไง”


“ถ้าฉันช่วยแล้วจะได้อะไร อ้อ…” ปลายสายหัวเราะ “ฉันเป็นฝ่ายเหนือกว่า ก็ต้องเป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอให้แกต่อรองสินะ”


วิริยะรู้สึกถึงลางไม่ดีเมื่อได้ยินเสียงพี่สาวต่างมารดาหัวเราะ


ทรายเป็นลูกติดภรรยาใหม่ของบิดาเขา นอกนั้นเด็กหนุ่มก็มีน้องสาวอีกหนึ่งคนในวัยเก้าขวบ น้องเล็กไม่ค่อยพูดจาเพราะเกรงกลัวพี่สาวคนโตมาก จะมีแต่เขาที่คอยดูแลเท่านั้น วันนี้เป็นวันที่บิดากลับจากแท่นหลังจากอยู่กลางทะเลมาตลอดสามเดือน ท่านเป็นเสาหลักของบ้านและเด็กหนุ่มไม่อยากทำอะไรให้ไม่สบายใจ


“งั้น แบ่งเงินค่าตัวของแกให้ฉันห้าสิบเปอร์เซ็นต์”


แต่เธอฮุบเงินเดือนที่บิดาฝากให้เขาไปแล้วนี่


วิริยะรู้สึกหมดหนทางเมื่อได้ยินดังนั้น ไม่ได้มองว่าด้านหน้าเปลี่ยนสัญญาณเป็นไฟเขียวแล้วแล้วเมื่อไร มารู้สติอีกทีก็ตอนเสียงแตรของรถข้างหลังที่ดังขึ้น เด็กหนุ่มขาแข็ง หันไปมองแสงไฟที่สาดเข้าดวงตา รถยนต์ข้างหลังแล่นมาด้วยความเร็วจนคิดว่าเขาหลบไม่ทันแน่ โทรศัพท์ในมือเด็กหนุ่มร่วงลงพื้นไม่ได้พูดสายต่อ ยกมือขึ้นกุมศีรษะตนเองด้วยความตกใจและคิดว่านี่คือวินาทีสุดท้ายของชีวิตแน่แล้ว


ร่างกายวิริยะชาวาบเมื่อแสงสีขาวสาดใส่ร่างพร้อมกับแรงเบรกจนเกิดเสียงแหลมสะท้านก้องไปทั่ว ทว่ามันมิได้แล่นมาชนร่างเขา อาจเป็นเพราะคนขับเบี่ยงพวงมาลัยหนี สิ่งที่กระทบตัวเด็กหนุ่มคือลมอย่างแรงเมื่อมันผ่านหลังเขาไป แล้วเสียงโครมใหญ่ก็ดังขึ้นจนวิริยะสะดุ้ง รถคันนั้นเบี่ยงไปชนท้ายเก๋งคันหนึ่งซึ่งติดไฟแดงรอวนรถอยู่


วิระยะมือสั่น ก้มลงเก็บโทรศัพท์ที่พังยับมาใส่กระเป๋า วิ่งไปยังรถยนต์คันนั้นเพื่อถามไถ่อาการ เมื่อไปถึงเห็นว่าทั้งส่วนท้ายรถผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่และผู้ได้รับผลกระทบต่อเขาโดยตรงนั้น หน้ารถยับ คิดว่าค่าซ่อมมันต้องแพงแน่


เด็กหนุ่มรู้สึกตัวชาเมื่อเห็นเจ้าของรถเปิดประตูลงมาหน้าซีเรียส ผู้ถูกชนท้ายคนหนึ่งเป็นหญิงวัยกลางคน และคนที่ขับเบี่ยงหลบเขาเป็นผู้ชายวัยสักสามสิบกว่า หน้าตาไม่ค่อยรับแขกนัก


น่ากลัว


“เจ็บตรงไหนกันไหมครับ” วิริยะถามขึ้น


คุณป้าผู้ถูกชนท้ายเลิกคิ้ว อาจเป็นเพราะไม่รู้ว่าเพราะเขา คู่กรณีอีกฝ่ายจึงเบี่ยงไปชนท้าย


“ไม่จ้ะ แต่ต้องเสียเวลาแน่เลย”


วิริยะใช้ความกล้าทั้งหมดเลยไปมองคู่กรณีอีกคน ยิ่งมองใกล้ ๆ ก็ยิ่งน่ากลัว อีกฝ่ายไว้หนวดไว้เครา ผมยาวประมาณบ่าและมัดรวบไว้ข้างหลัง แถมคิ้วยังดกดำ มองไปแล้วเหมือนกอริลล่าตัวผู้ อีกซ้ำลำแขนมีกล้ามเนื้อเป็นมัดชัดเจน โผล่พ้นเสื้อยืดพอดีตัวออกมา


“เอ่อ…พี่เจ็บตรงไหนไหมครับ ผม…ขอโทษนะ”


อีกฝ่ายเกาศีรษะ ก้มลงมองรถตัวเองอย่างอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก “ขอโทษอย่างเดียวไม่ได้หรอกนะน้อง ตัวพี่เจ็บน่ะทนได้ แต่ลูกรักของพี่เจ็บขนาดนี้ น้องรู้ใช่ไหมว่าต้องรับผิดชอบ ต้องรับผิดชอบแม้กระทั่งเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะตัวน้องเป็นต้นเหตุ” น้ำเสียงคนพูดดูเคร่งเครียด


“ตายจริง เรียกประกันมาคุยกันก่อนซีจ๊ะพ่อหนุ่ม”


“ช้ากว่านี้ไม่ได้แล้วนะป้า มีคนรอผมอยู่!”


วิริยะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะหมดหนทาง ที่บ้านก็กำลังรีบ ทางนี้ก็กำลังเรียกร้องความรับผิดชอบ


“แม่ง! คนยิ่งกำลังรีบ ๆ อยู่ด้วย วันนี้มันวันซวยอะไรกันวะ” เสียงสบถร้าย ๆ ของชายตัวใหญ่ข้างกาย ทำเอาเด็กหนุ่มพูดไม่ออก ลำขายาว ๆ เตะเศษหินเศษกรวดระบายโทสะ วิริยะเพิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายสวมคอมแบท รถที่ขับเป็นปิ๊กอัพยกสูงที่ผ่านโคลนตมราวกับเพิ่งออกจากป่า ซอมซ่อแบบนี้มีหวังเรียกเงินเขาบานเบอะแน่


แต่เขาก็ผิดอยู่ดี


เด็กหนุ่มถอนใจ เหลือบมองคุณป้ากำลังโทรเรียกประกัน และผู้ชายน่ากลัวที่ก้มลงรีบรับโทรศัพท์เมื่อได้ยินเสียง


จะเอาไงดี เขาก็ต้องเอาตัวรอดเหมือนกัน ชั่วโมงนี้ใครเขาก็รีบกันทั้งนั้น


“พี่ครับ” วิริยะตัดสินใจเดินไปหา ตั้งใจว่าจะคุยขอชดเชยค่าเสียหายทีหลัง ทว่าอีกฝ่ายยกมือบอกให้เขารอก่อนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เด็กหนุ่มกำลังรีบและไม่อาจรอได้เช่นกัน “พี่ครับ ฟังผมก่อนได้ไหม”


“ก็บอกว่าเดี๋ยวก่อนไง”


“แต่ผมรีบนะครับ ผมต้องไปแล้ว”


เด็กหนุ่มรีบควานหาปากกาและกระดาษในกระเป๋านักเรียน เขียนเบอร์โทรศัพท์สองใบแล้วฉีกนำไปให้คุณป้า และวนกลับมาหาผู้ชายหน้าโหดอีกครั้ง อีกฝ่ายก็ยังคงหน้าดำคร่ำเครียดอยู่กับการพูดสาย ทว่ารอไม่ได้แล้ว เด็กหนุ่มดึงมือหนามารับกระดาษเบอร์โทร พูดกับอีกฝ่าย “ผมต้องไปแล้ว ยังไงพี่ติดต่อผมมานะครับ”


“เฮ้ย! ยังไม่อนุญาตให้ไป นี่น้องคิดจะชิ่งงั้นเหรอ”


“เปล่านะ ผมจะใช้หนี้พี่แน่ แต่วันนี้ผมอยู่ไม่ได้จริง ๆ”


“ไม่เชื่อ กลับมาเดี๋ยวนี้เลย!”


เจ้าของร่างใหญ่หัวเสียขึ้นมาอีกระดับ เมื่อพูดจบเด็กหนุ่มผู้นั้นไม่มีทีท่าว่าจะเชื่อฟังเขาเลยสักนิด วิ่งจากไปโดยไม่คิดหันหลังกลับมาแม้แต่น้อย ทั้งที่ในชีวิตประจำวันของเขาพูดคำไหนคนฟังก็กระตือรือร้นรีบทำตาม


เชษฐ์ไชย ทุบมือลงบนรถระบายความขุ่นข้อง ก้มลงมองกระดาษในมือที่บอกหมายเลขและชื่ออย่างนึกหงุดหงิด


“ไอ้เด็กวิว…ตัวแสบ! อย่าให้ฉันเจออีกนะ”


มือหนายกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูอีกครั้งหลังนึกขึ้นมาได้ “อัฐษ์ ฉันมีปัญหา ส่งคนมารับฉันให้ด่วนที่สุด”


“ไม่ทันแล้วเชษฐ์”


เชษฐ์ไชยชะงัก ร่างกายชาไปทุกส่วนเมื่อได้ยินน้องชายจากปลายสายพูดผ่านเสียงสะอึกสะอื้น “คุณปู่ ท่าน…จากเราไปแล้ว แกมาไม่ทัน สุดท้าย…ปู่ไม่ได้เห็นหน้าแกก่อนตาย”


สิ่งที่อัฐษไชยกล่าวผ่านสายนั้นทำให้เชษฐ์ไชยพูดไม่ออกไปหลายวินาที น้ำตาเขาไหล ที่เขาไปไม่ทันได้ดูใจคุณปู่ทั้ง ๆ โรงพยาบาลก็อยู่ข้างหน้า อีกไม่ไกล ใกล้แค่นี้ก็ไม่สามารถไปได้ เพียงเพราะเด็กไม่มีความรับผิดชอบคนนั้นแท้ ๆ ที่ทำให้ชายหนุ่มเสียเวลา เขาจึงไม่ได้เอ่ยลาท่านเป็นครั้งสุดท้าย


เสียงแหบพร่าของท่านเมื่อช่วงบ่าย ยังคงตรึงในสมองของชายหนุ่มอยู่ตลอด เป็นประโยคเดียวกันที่ได้ยินมาทั้งชีวิต


กลับมาที่บ้านบ้าง กลับมาอยู่ด้วยกัน กลับมาช่วยงานปู่หน่อย


หลังจากที่เขาปฏิเสธที่จะไปอย่างเคย อาการป่วยของท่านก็ได้ทรุดลง


น่าเสียดาย…ที่เขาทำตามความต้องการของท่านไม่ได้จนถึงวินาทีสุดท้าย ท่านก็ยังคงผิดหวังต่อหลานคนนี้ต่อไป


 


วิริยะรีบจ่ายค่าวินมอเตอร์ไซค์หลังจากมาถึงบ้านอีกสิบนาทีต่อมา เด็กหนุ่มรีบยกโทรศัพท์ขึ้นดูเวลาเพราะกลัวบิดามาถึงก่อน ทว่ามันเปิดไม่ติด หน้าจอก็แตก เขาส่ายหน้ากับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ววิ่งกระหืดกระหอบเข้าไปข้างใน นึกใจหายที่เห็นแผ่นหลังของบิดาบนโต๊ะอาหาร


“ขอโทษครับที่มาช้า”


เด็กหนุ่มหยุดอยู่ข้างบิดา ท่านช้อนตาขึ้นมามองเขาด้วยสายตาเจ้าระเบียบอย่างเคย พร้อมกับสายตาของพี่สาวต่างแม่ที่มองด้วยความไม่พอใจ อาจเป็นเพราะที่วิริยะไม่ได้ตอบตกลงเรื่องข้อเสนอนั่นกระมัง


“ไปไหนมาทำไมกลับบ้านมืดค่ำแบบนี้ ตอนที่พ่อไม่อยู่แกก็ทำตัวแบบนี้ประจำเหรอ”


วิริยะทรุดลงนั่งร่วมโต๊ะ กลืนน้ำลายฝืดคอเมื่อมองพี่สาว เพราะเธอกุมความลับของเขาอยู่และทำหน้าอย่างกับเหนือกว่า ใช่…เหนือกว่ามาก “ทำโครงงานส่งอาจารย์ครับ”


“ก็กลับเวลานี้แหละค่ะคุณ แต่บางวันก็โทรมาบอกป้าบ้างก็ได้นะ ถ้าจะกลับดึกกว่านี้ ป้าเป็นห่วง”


เด็กหนุ่มเบิกตามองคนพูด “ผมก็โทรบอกตลอดนี่ครับป้าอร”


“อย่าเถียงป้าเขา เขาดีแค่ไหนที่ดูแลแกแทนพ่อ อย่าทำตัวมีปัญหาให้เป็นภาระเขามากนัก เข้าใจรึเปล่า”


ได้ฟังที่สามีพูดอิงอรก็ระบายยิ้มพอใจ สองแม่ลูกเหลือบมองกันอย่างรู้นัยยะเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มถูกติติงตั้งแต่มาถึง วิริยะก้มหน้าลงมองจานข้าว จะหยิบช้อนตักอะไรทาน เสียงของแม่เลี้ยงก็ดังขึ้นมาก่อน “เอ้อ เห็นว่าออกไปทำงานพาร์ทไทม์เป็นยังไงบ้าง ชาวบ้านแถวนี้เขามาเล่าให้ป้าฟัง”


บิดาเงยขึ้นมองวิริยะ “ทำไมต้องไปทำ”


“อะ เอ่อ คือว่า” เด็กหนุ่มหันไปหาพี่สาวต่างแม่


“ก็ดีแล้วนี่คะคุณลุง วิวมันจะได้มีประสบการณ์”


“แต่ฉันมีปัญญาส่งแกเรียนนะวิว บ้านเราไม่ได้ขัดสนอะไรขนาดนั้น”


เด็กหนุ่มรีบส่ายหน้า “ไม่ใช่แบบนั้นครับพ่อ มันเป็นชมรมของโรงเรียน เราได้ทำกิจกรรมแล้วก็ได้ค่าแรงมานิดหน่อยแค่นั้น ผมไม่ได้อยากให้คนเขาเข้าใจว่าพ่อเลี้ยงไม่ได้สักหน่อย”


“แต่ชาวบ้านเขาก็เข้าใจไปแล้วนี่จ๊ะ มีคนมาถามป้าด้วยว่าบ้านเรามีปัญหาอะไรรึเปล่าถึงได้ปล่อยวิวไปทำงานแบบนั้น ส่วนป้าก็ได้แค่ยิ้มอาย ๆ เพราะห้ามเธอแล้วแต่เธอไม่ยอมฟัง” อิงอรทำหน้าเศร้ามองสามี


ได้ฟังแล้วธเนศก็วางช้อนส้อมในมืออย่างอารมณ์เสีย


“แกทำงานอะไรอยู่วิว ไอ้ชมรมไร้สาระนั่นอีกแล้วใช่ไหม พ่อจำได้นะว่าสั่งให้แกออกจากชมรมนี้ไปแล้ว”


เพราะอย่างนี้ไงเขาถึงไม่อยากมาช้า เพราะจะเป็นประเด็นให้ป้าอรเล่นงานเขาได้ นอกจากจะเป็นแม่เลี้ยงแล้ว นางยังเป็นแม่มดประจำบ้านด้วย แม่มดที่แสร้งทำตัวเป็นนางฟ้าในสายตาบิดาของเขาอย่างไรเล่า วิริยะคิดแล้วทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนใจนั่งร่วมวงอาหารนั้น


เขาจะออกจากชมรมนั่นได้อย่างไร ในเมื่อมันเป็นรายได้หลักที่ส่งเขาเรียนมาจนถึงตอนนี้ เงินที่บิดาฝากให้ไม่เคยได้ถึงมือเด็กหนุ่มเลยแม้แต่สตางค์เดียว ค่าข้าว ค่าอาหารก็ต้องออกเองเพราะไม่เคยได้ทานที่บ้านร่วมกับพวกเธอเลยสักครั้ง หากจะบอกบิดาก็ไม่ได้ เขาจะกลายเป็นไอ้หน้าตัวเมียที่กล่าวหาคนดี ๆ อย่างพวกนี้ขึ้นมาทันที ความผิดจะตกอยู่ที่เขาอย่างเลี่ยงไม่ได้


“พ่อขอสั่ง ว่าให้ออกจากจากชมรมนั่นซะ ไม่งั้นพ่อจะเล่นงานถึงครูที่ปรึกษา”


“อย่าถึงขนาดนั้นเลยค่ะคุณลุง วิวมันโตแล้ว มันก็คงอยากจะทำอะไรที่วัยรุ่นเขาทำกัน อย่าไปห้ามมันเลย”


“ใช่ค่ะใช่ ฉันอาจจะเคยห้ามก็จริง แต่พอมาคิดดูแล้วก็ให้ลูกได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นให้คุ้มดีกว่า”


เมื่อได้ฟังน้าอรพูด ธเนศทอดถอนใจมองลูกชาย จำต้องยอมในที่สุด


สุดท้าย ก็เป็นฝ่ายนั้นอีกครั้งที่กลายเป็นแม่พระในสายตาบิดาของเขา วิริยะก้มมองชามข้าวอย่างนึกหน่ายเหนื่อยกับชีวิต แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นเด็กผู้ชาย เขาอดทนได้ดีกว่าเด็กผู้หญิงอยู่แล้ว เด็กหนุ่มก้มมองน้องสาวที่กำลังทาน เธอหันมาสบตาเขาราวกับรู้สึกว่ากำลังถูกพี่ชายมองอยู่ ส่งกำลังใจให้วิริยะด้วยรอยยิ้มแสนน่ารัก


หลังทานอาหาร วันนี้แปลกหน่อยที่แม่เลี้ยงกับพี่สาวเป็นคนทำความสะอาดจานชาม เพราะทุกครั้งเป็นเด็กหนุ่มที่ต้องกลับมาทำทุกอย่างให้ แม้กระทั่งเสื้อผ้าและชุดชั้นใน มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว วันที่บิดากลับมาเขาจะสบายและได้รับการปฏิบัติด้วยดีเป็นพิเศษ วิริยะอยากให้บิดาอยู่ด้วยทุกวัน


ทั้งสองเดินออกมาหน้าบ้านเพราะบิดาอยากย่อยอาหาร ที่จริงบ้านของเขาไม่ได้ขัดสนอย่างที่คุณธเนศเคยพูดไว้ข้างต้น แต่เมื่อลับสายตาท่าน การปฏิบัติตัวของแม่เลี้ยงและพี่สาวทำให้เด็กหนุ่มต้องพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดด้วยตัวเอง เขาไม่โทษที่ทั้งสองจะเกลียดลูกเมียเก่า ตราบใดที่ได้นอนหลับพักในบ้านที่บิดาและมารดาของเขาสร้างขึ้นมาด้วยกัน วิริยะคิดว่ามันไม่ได้แย่สำหรับเขาเลย


“ตั้งใจเรียนอย่างที่พ่อบอกรึเปล่า”


วิริยะหันมองคนถามหลังได้ยิน ยกยิ้มเล็กน้อย “ครับ ถึงผมจะเอาใจใส่งานชมรม แต่เรื่องเรียนผมก็ไม่ได้ทิ้ง ปีหน้าก็จะถึงช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ผมอยากให้พ่อภูมิใจตอนที่ผมเข้าคณะที่พ่ออยากให้เข้า”


คนตัวสูงกว่าหันมาสบตา “ทำให้ได้อย่างที่พูดด้วยล่ะ”


“แล้วพ่อจะอยู่นานแค่ไหนครับ ครั้งนี้”


“อาทิตย์เดียวเท่านั้นแหละ แต่กลับไปแล้วอยู่ยาวถึงห้าเดือนเลย”


ได้ฟังแล้ววิริยะถึงกับใจหาย เขาจะได้เจอพ่ออีกห้าเดือนข้างหน้าโน่นหรือ “ไม่มีวันหยุดเลยเหรอครับ”


คนฟังหันมาสบตา และมองวิริยะราวกับว่าเข้าใจความเหงาของเขาจากน้ำเสียง “อันที่จริงก็มี แต่ไม่หยุดก็จะได้เงินเยอะกว่านี่นา วิว…แกรู้ใช่ไหมว่าที่พ่อทำแบบนี้ไปก็เพื่ออนาคตของแกกับน้อง เพราะฉะนั้นอย่าทำตัวให้ป้าอรหนักใจนัก เป็นเด็กดี แล้วจะโทรมาหาบ่อย ๆ”


ยังไงเขาก็ขอให้พ่อหยุดไม่ได้อยู่ดี


“ครับ”


เด็กหนุ่มพยักหน้ารับในสิ่งที่บิดาพูดในความสงัดของค่ำคืน ถูกแล้ว…พ่อของเขาต้องใช้ชีวิตจำเจในแท่นกลางมหาสมุทรก็เพื่อพวกเขา เขาไม่ควรก่อปัญหาให้ท่านไม่สบายใจ วิริยะจะยืนหยัดและเข้มแข็งเพื่อให้ท่านภาคภูมิใจ ท้ายที่สุดบิดาก็ควักกระเป๋าหยิบธนบัตรสีเทาออกมาสองใบ ยื่นให้เด็กหนุ่ม “เงินที่ส่งให้พอใช้ใช่ไหม นี่…พ่อให้ เอาไปซื้อขนมกินหน่อย กลับมาครั้งนี้แกผอมลงไปมาก”


เด็กหนุ่มรีบไหว้ขอบคุณ กะว่าจะเอาไปซ่อมโทรศัพท์ “ขอบคุณครับ”


น้ำมืออุ่น ๆ ของบิดาที่ยกมายีศีรษะเขาเป็นสัมผัสที่ห่างหายไปนานเหลือเกิน แม้ว่าท่านได้เดินจากไปแล้ว วิริยะก็ยังคงรู้สึกมีความสุขเมื่อได้รับความอบอุ่นจากคนที่ห่างกันไกล เป็นความสุขสิ่งเดียวที่เขารอและต้องการได้รับเสมอมา


“เป็นบ้าอะไรยืนยิ้มคนเดียว”


เสียงคนที่ชะโงกจากประตูบ้านเรียกสติเด็กหนุ่มหลับมา วิริยะมองพี่สาวที่อายุมากกว่าสามปีเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เธอเหลือบมองเงินในมือเขาแล้วฉกไปเสียเฉย ๆ อย่างติดเป็นนิสัย “นี่เป็นค่าที่ฉันช่วยแกให้ได้ทำงานนั่นต่อไป ขอบคุณฉันด้วยล่ะ”


เธอแอบฟังอยู่ตลอดว่าพ่อพูดอะไรกับเขา


“พี่ทราย ผมต้องใช้เงินนั่นนะ”


“ทำไม แกจะหือเหรอ” หล่อนยัดธนบัตรสีเทาเข้าไปในร่องหน้าอกของตัวเองอย่างต้องการชนะ ฉีกยิ้มสะใจ “ฉันอุตส่าห์ช่วยแกนะ แกก็รู้ว่าชีวิตในมหาลัยต้องมีเรื่องให้ใช้เงินมากขนาดไหน เด็กม.ปลายอย่างแกมันไม่เข้าใจหรอก แล้วก็จะไม่มีวันเข้าใจด้วย เพราะแกจะไม่ได้เรียนต่อ จำใส่กะลาหัวตัวเองด้วย”


“อะไร หมายความว่าไง” เธอไม่สนใจจะตอบคำถามวิริยะ เดินฮัมเพลงออกไปอย่างอารมณ์ดีหลังจากได้เงินของเขาไปอีกครั้ง วิริยะงุนงง ไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด แต่ไม่มีวันที่เขาจะไม่ได้เรียนต่อแน่นอน หากป้าอรจะหาเรื่องกลั่นแกล้งเขา ตัววิริยะนี่แหละจะส่งเสียตัวเองเรียนไปจนจบ


เด็กหนุ่มคิดทั้งทรุดกายนั่งลงพักบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน






---------------------------------------------------

เปิดเรื่องมาแล้ว เล่าถึงความถูกรังแกของนายเอกเบา ๆ ทุกคนต้องทำใจนะคะ ว่านายซินก็ต้องถูกรังแก แต่อีกไม่นานจะกลับมาฮึดสู้ ตอกแม่เลี้ยงหน้าหงายแน่ อิอิ

วิวน่ารัก รับรองว่าคุณผู้อ่านจะหลงรักวิวแน่ ๆ ค่ะ

เรื่องนี้หนูนาซุ่มเขียนไว้ ชอบไม่ชอบอย่าลืมคอมเม้นบอกกันด้วยนะคะ

กำลังใจที่ดี ช่วยบอกว่าคุณนักอ่านคิดเห็นอย่างไร

1 เม้น ต่อ 1 ตอนนะคะ

หัวข้อ: Re: **{5.3.61-ตอนที่ ๑--๑๐๐/๑๐๐} Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 05-03-2018 16:55:33




วันนี้เป็นเช้าที่สดใส บิดาของเขาขับรถมาส่งถึงโรงเรียน

เข้าวันที่สามแล้วที่ธเนศกลับมาอยู่ด้วยที่บ้าน วิริยะรู้สึกมีความสุขแม้จะลำบากใจเมื่อเห็นสีหน้าและแววตาแห่งความไม่พอใจของแม่เลี้ยง อันที่จริงครอบครัวของเขาไม่ใช่คนยากคนจน ใช้ชีวิตไม่ได้แร้นแค้นเท่าคนอื่น แต่ในสายตาของเพื่อนร่วมห้องแล้ววิริยะคือเจ้าพ่องานพาร์ทไทม์ เขารับทำงานทุกอย่างที่ได้เงินแม้ว่าโรงเรียนนี้จะเป็นโรงเรียนคุณหนู

เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในชั้นเรียนแล้วเก็บสัมภาระของตนเอง แจกจ่ายสมุดการบ้านที่รับทำให้แก่เพื่อน ๆ ครั้นเสร็จก็เหลือบเห็นว่าเพื่อนสนิทที่นั่งข้างกันไม่ได้มา เด็กหนุ่มจึงหันไปถามอีกคน “ไอ้มาร์ค ไอ้อิกมันไม่มาโรงเรียนเหรอ”

“ไม่ได้มา นี่มึงไม่รู้ข่าวเหรอว่าปู่มันเสีย ออกข่าวครึกโครมจะตาย”

วิริยะส่ายหน้า “ไม่อะ พอดีโทรศัพท์กูพัง ที่บ้านก็ไม่ได้ดู”

“มึงนี่ก็มีเรื่องให้ต้องใช้เงินทุกทีเลยนะ”

“เออ โคตรซวยเลย” เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่

แต่เดี๋ยวก่อน ในเมื่อโทรศัพท์ของเขาพังแล้วจะให้เบอร์คนอื่นไปอีกทำไม และหมายความว่าผู้ประสบอุบัติเหตุวันนั้นไม่สามารถติดต่อเขาได้เลยน่ะซี วิริยะยกมือกุมหน้าตัวเองคิด แล้วอย่างนี้อีกฝ่ายจะคิดว่าเขาเป็นคนแบบไหน มีหวังผู้ชายหน้าโหดคนนั้นได้ไปแจ้งความเอาเรื่องเขาโทษฐานหลอกลวงแล้วน่ะซี จะทำอย่างไรดี หากพ่อรู้เข้ามีหวังต้องโดนว่าอีกแน่

“เออ ไอ้วิว เมื่อกี้อาจารย์ปริมมาบอกว่าถ้ามึงมาแล้วให้ไปหาที่ห้องชมรมหน่อย สงสัยมีงานให้ทำ”

“เออ ขอบใจ เดี๋ยวกูมานะ”

มาร์คพยักหน้ารับราวกับเข้าใจเมื่อได้ยินเพื่อนบอก วิริยะกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ชมรมซึ่งอยู่ท้ายตึกเรียนชั้นสี่ ช่วงกลางวันมีผู้คนสัญจรไปมาก็ดีอยู่ แต่ช่วงกลางคืนที่อยู่ซ้อมกันนั้นเขารู้สึกขนลุกเป็นพิเศษ ครั้นถึงเด็กหนุ่มเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไป เห็นครูที่ปรึกษากำลังจัดเตรียมชุดเพื่อใช้ในงานอยู่พอดี เธอยกยิ้มให้เขาอยู่ช่วงหนึ่ง “มาแล้วเหรอ วันนี้ตอนเที่ยงมาซ้อมด้วยนะ บ่ายสามต้องไปแสดงในพิธีเผาผู้ใหญ่”

“ครับ แล้วนี่ใช้นางรำเยอะขนาดนี้เลยเหรอครับ”

“อื้ม วันนี้งานใหญ่มาก ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่ใคร ๆ นับหน้าถือตา เราต้องแสดงให้สมฐานะท่านหน่อยน่ะ”

วิริยะพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ “อาจารย์จะให้ผมทำอะไรครับ”

“วันนี้เธอตีระนาดนะ นางรำมีครบแล้ว เธอจะได้ไม่ลำบากใจ ถึงแม้ว่าครูจะแอบเสียดายท่ารำสวย ๆ ของเธอก็เถอะ” อาจารย์ปริมยกยิ้มขันถามเห็นสีหน้าเด็กหนุ่มขณะจัดเตรียมเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ ชมรมของเขาคือชมรมดนตรีไทยประสมนาฏศิลป์ วิริยะแค่ตกกระไดพลอยโจนแต่งตัวเป็นนางรำช่วยโรงเรียนครั้งเดียวเพราะเหตุสุดวิสัย แต่ผิดตรงที่งานนั้นดันใกล้บ้านเขา เด็กหนุ่มจึงกลายเป็นตุ๊ดในสายตาชาวบ้านไปแล้ว

“วันนี้การแสดงต้องดีและเป๊ะทุกอย่าง เจ้าภาพจะได้ไม่เสียหน้า” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับเมื่อได้ยินอาจารย์เปรย เธอเงยขึ้นมาสบตาเขาอยู่ครู่หนึ่ง “เอ…ที่จริงเธอก็รู้จักกับหลานท่านนี่ เขาเป็นเพื่อนเธอไม่ใช่เหรอ ชื่ออะไรนะ อัศวินเหรอ”

“อ๋อ ไอ้อิก…”

ผู้ใหญ่ที่ว่าคือปู่ของอัศวินเองนั่นหรือ

ที่จริงเขาก็พอจะได้ยินมาบ้างว่าครอบครัวของอัศวินเป็นผู้นำทางธุรกิจ เปิดบริษัทแปรรูปผลไม้ในรูปแบบต่าง ๆ แต่เพราะเพื่อนสนิทคนนี้ติดดินและใช้ชีวิตกับเขาราวเป็นเด็กธรรมดาหาใช่พวกคุณหนูที่ไหน ทำให้วิริยะลืมไปเลยว่าอัศวินกับเขาแตกต่างกัน อีกทั้งเพื่อนคนอื่นในกลุ่มก็ต่างร่ำรวยกันทั้งนั้น ไม่มีใครขัดสนเรื่องเงินเลยแม้แต่นิด ทว่าก็ดีกับเขาเสมอเหมือนเป็นชนชั้นเดียวกัน

“เดี๋ยวนางรำจะมาแต่งตัวกันตอนเที่ยง ส่วนนักดนตรีอย่างพวกเธอสวมชุดนักเรียนก็แล้วกัน พิธีเริ่มตอนบ่ายสาม เราจะต้องไปสแตนด์บายรอที่วัดก่อนแขกจะมาครบ ระหว่างนั้นเธอก็ช่วยครูด้วยนะ”

“ครับ”

เวลาเดินมาไวกว่าที่คิด หลังซ้อมเสร็จวิริยะก็ช่วยอาจารย์หิ้วยกเครื่องดนตรีขึ้นรถร่วมกับนักแสดงคนอื่น เมื่อไปถึงงานก็บ่ายสอง วัดที่นี่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดจึงมีลานที่กว้าง บริเวณเมรุกำลังถูกจัดดอกไม้เติมแต่งให้สวยงาม ส่วนศาลาก็เต็มไปด้วยดอกไม้สีขาวจัดเป็นพุ่มอยู่ทุกมุม ม่านสีสวยอยู่ด้านหลังโลงศพอันเต็มไปด้วยดอกไม้อาลัยรักของเหล่าลูกหลานนั้นสวยงาม รวมกับไฟประดับที่กะพริบอยู่ไม่หยุด พวงหรีดของผู้ส่งความอาลัยถึงล้นจนไม่มีที่เก็บ บ่งบอกว่าผู้เสียชีวิตมีความสำคัญมากเพียงไหน

เด็กหนุ่มไม่เคยเห็นงานศพของใครยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อนเลย

การมาถึงของพวกเขาเรียกความสนใจต่อแขกที่มาบางส่วน วิริยะและเพื่อนหิ้วระนาดเดินผ่านศาลาเพื่อเลยไปยังด้านหลังม่านนั้น เห็นอัศวินนั่งอยู่บริเวณหน้าสุดซึ่งเป็นที่นั่งของครอบครัวผู้เสียชีวิต ใกล้กับบิดามารดา และใครคนหนึ่งซึ่งตัวโต อายุราวสามสิบ ท่าทางภูมิฐานและสง่างาม เด็กหนุ่มรู้สึกคุ้นตามาก เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ซึ่งคนทั้งหมดสวมเครื่องแต่งกายสีดำไว้ทุกข์

นัยน์ตาคมของชายผู้นั้นเหลือบมาเห็นพวกเขา พยักหน้าทักทาย เป็นอาจารย์ปริมที่ตอบรับด้วยท่าทางนอบน้อมและเร่งนักเรียนให้เดินเร็วขึ้นเพราะไม่อยากให้รบกวนแขกผู้ใหญ่

วิริยะกับเพื่อนช่วยกันจัดเครื่องดนตรีให้เข้าที่ตรงหน้าศพอย่างที่เคยทำ อัศวินพยักหน้าทักทายเขา เด็กหนุ่มตอบรับคืนเช่นเดียวกันทางสายตา รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาพูดคุยถามไถ่กัน ครั้นจัดเสร็จก็หลบไปอยู่รวมกับเหล่านางรำด้านหลังเพื่อรอให้พิธีเริ่มตามเวลา

“นี่ไง ครอบครัวของบริษัทรุ่งอรุณีที่ว่ารวยมากน่ะ” สาวนางรำพูดกับเพื่อน

“แก แกเห็นคุณคนนั้นไหม หล่อมากเลย”

“เขาชื่อคุณอัฐษ์ใช่ไหม ได้ยินอาจารย์ปริมเรียก ไม่เคยคิดเลยว่าตัวจริงเขาจะหล่ออย่างนี้”

“เห็นว่าเขาเป็นคนเสนอให้โรงเรียนเรามาแสดงที่นี่ด้วยนะ”

“พวกเธอ เงียบ ๆ กันได้แล้ว” อาจารย์สาวปรามเมื่อได้ยินเสียงโฆษกเริ่มพิธี วิริยะส่ายหน้า เมื่อหล่อน ๆ ทั้งหลายไม่หยุดกันง่าย ๆ แค่ได้กระซิบและหัวเราะคิกคักกันก็พอใจแล้ว ขณะที่รอให้ถึงเวลา มีคนเดินถือน้ำมาแจก น่าจะเป็นคนจากครอบครัวเจ้าภาพ เป็นชายวัยมหาวิทยาลัยยกยิ้มให้พวกเขาแล้วยื่นถาดน้ำให้หยิบมาดื่ม “รับไปซีครับ”

วิริยะส่ายหน้า “ผมยังไม่หิวครับ พี่ให้คนอื่นเลย”

“หน้าคุ้น ๆ นะเนี่ย เหมือนเคยเห็นที่ไหน”

“ไม่หรอกครับ เราไม่เคยเจอกัน”

อีกฝ่ายยักไหล่แล้วเดินเลยเขาไปหาคนอื่น “อ้อ จำได้แล้ว นางรำคนสวย ๆ คนนั้นนั่นไง”

สิ้นคำของอีกฝ่าย คนอื่นก็หัวเราะกันพรืด แม้กระทั่งอาจารย์ปริมก็เป็นไปกับเขาด้วย วิริยะหน้าบึ้งเมื่อเห็นแววตาล้อเลียนของคนพูดแซวเมื่อครู่ที่ไม่กล่าวอะไรต่อ เพียงแค่เดินทำตามหน้าที่ตนเองไปเท่านั้น กระทั่งครบทุกคนแล้วรุ่นพี่คนนั้นจึงหันมาบอกกับอาจารย์ว่า “เดี๋ยวจะมีคนสวนมาเอาดอกไม้กับพวงหรีดไปจัดเรียงที่เมรุอีก จะใช้ตรงนี้เป็นทางผ่านนะครับ”

“ได้ค่ะ มีอะไรให้เด็ก ๆ ช่วยก็บอกนะคะ” อาจารย์ปริมตอบ อีกฝ่ายยิ้มรับด้วยไมตรีก่อนจะเดินจากไป

“พี่เขาไปทันเห็นไอ้วิวรำด้วยว่ะ ผ่านไปเจอได้ไง” สาวคนหนึ่งเปิดประเด็น

“ตายแล้ว ฉันจะโดนแย่งงานรึเปล่าเนี่ย มีแต่คนชอบแกรำน่ะวิว”

“โน ยังไงก็ไม่รำอีกเด็ดขาด ไปแล้วนะ ปวดฉี่” วิริยะตัดบทแล้วลุกขึ้นจากกลุ่ม เดินลัดเลาะออกไปด้านข้างศาลา

ด้านนอกเป็นบริเวณต้นไม้ร่มรื่นที่จัดแต่งสวนสวยงาม เหมาะแก่การนั่งพักผ่อนหย่อนใจ และไม่ไกลตรงนั้นเป็นห้องน้ำ ครั้นเสร็จธุระเด็กหนุ่มก็เดินออกมาล้างมือ ตั้งใจว่าจะเดินกลับเข้าไปที่งานทว่าจำต้องชะงัก เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นใครสักคนยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างนอก ลำขาไวกว่าความคิด พาให้วิริยะวิ่งกลับเข้าไปในห้องน้ำเดิมอีกครั้งอย่างรวดเร็วและตกใจ

ไอ้พี่หน้าโหดคนนั้นมาทำอะไรที่นี่!

เสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายตรงมาที่ห้องน้ำหลังจากพ่นควันบุหรี่ออกมาจนเหม็นถึงห้องที่เขาอยู่ แล้วสภาพตอนนี้มันคืออะไร อีกฝ่ายโยนคอมแบท โยนเสื้อยืดแสนเน่ากับกางเกงทหารโง่ ๆ ตัวนั้นทิ้ง แล้วมาใส่สูทซึ่งไม่เข้ากับหนวดเคราและผมยาวรุงรังนั้นได้อย่างไร

หรือจะเป็นญาติของท่านผู้ใหญ่ที่เสียวันนี้ เป็นญาติกับอัศวินน่ะหรือ!

ซวยแล้วไอ้วิว!





-------------------------------------------

เจอกับคุณกอริลล่า เอ๊ย! คุณเชษฐ์อีกแล้ว แล้วตอนหน้าจะโดนคุณเชษฐ์เล่นงานมั้ย

รอติดตามนะคะ

กำลังใจที่ดี ช่วยบอกว่าคุณนักอ่านคิดเห็นอย่างไร

1 เม้น ต่อ 1 ตอนนะคะ


หัวข้อ: Re: **{5.3.61-ตอนที่ ๑--๑๐๐/๑๐๐} Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 05-03-2018 16:59:17


ตอนที่ ๒

เสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายออกไปพร้อมกับความโล่งใจของวิริยะ เด็กหนุ่มแง้มประตูออกมาดูลาดเลาให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่แถวนี้แล้ว แล้วจึงย่องออกมาด้านนอกเพื่อชะโงกดูอีกรอบ ที่ทำแบบนี้เขาไม่ได้ตั้งใจหนี แต่จะรอให้ตัวเองพร้อมกว่านี้ก่อนแล้วค่อยไปแสดงความรับผิดชอบทีหลังต่างหาก

โล่งใจที่ยังไม่ถูกเห็น เด็กหนุ่มจึงเดินไปทรุดนั่งร่วมกับเพื่อนนักดนตรีอย่างรู้สึกกดดัน

“หายไปไหนมาไอ้วิว เดี๋ยวจะเริ่มแสดงแล้ว”

“โทษที” เด็กหนุ่มยิ้มแหย ทว่ารอยยิ้มจางลงไปดื้อ ๆ เมื่อเห็นกอริลล่าตัวใหญ่ในชุดสูทเดินถือพุ่มดอกไม้จากด้านหน้ามาเจอะเขาพอดี ร่างใหญ่ชะงักเมื่อเห็นเช่นนั้น มองสบตาเด็กหนุ่มเขม็งราวกับต้องการคาดโทษไว้ล่วงหน้า ซึ่งวิริยะทำได้เพียงแค่ก้มหน้าก้มตาไม่สู้อย่างรู้ตัวดี

ตายแน่ เด็กหนุ่มต้องตายแน่ ๆ

แต่ดูเหมือนในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่ อีกฝ่ายคงคิดไว้หน้าเขาอยู่บ้าง ไม่ได้เล่นงานวิริยะตอนนี้ เดินเลยไปยังเมรุเพื่อจัดดอกไม้ต่อโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไร แต่แค่เพียงเห็นตาเพชฌฆาตนั้นเด็กหนุ่มก็รู้สึกขนลุกเกรียวกราวขึ้นมาแล้ว

“คนสวนยังแต่งตัวดีเลย แต่รู้สึกมันไม่ค่อยเข้ากันเท่าไร” นางรำคนหนึ่งพูดขึ้น

“ที่จริงเขาก็หล่อนะ แต่ดูไม่มีออร่า ขนาดใส่สูทราคาแพงขนาดนั้นยังดูจนอยู่เลย นี่แหละน้า ที่เขาเรียกว่าราศีของผู้ดี ดูอย่างคุณอัฐษ์เป็นตัวอย่างสิ มองไกล ๆ ยังดูออกเลยว่าเป็นพวกผู้ดีมีอันจะกิน”

“แล้วดูทรงผมนั่นสิ มีเหาไหมน่ะ”

วิริยะแอบขำคำวิจารณ์ของพวกหล่อน

“กล้ามนั่นจะใหญ่ไปไหน เอาไว้ยกกระถางดอกไม้สินะ”

“ไอ้หล่อก็ดูหล่อนะ แต่ทำหน้าตาอย่างกับหมาพิทบูลปวดขี้ ตอนที่มาบอกให้เราถอยออกเพราะพวกเขาจะขนดอกไม้ไปน่ะ ฉันล่ะหมั่นไส้ จะทำหน้าดี ๆ กว่านี้ไม่ได้เลยรึไง” ไม่ไหวแล้ว เขาจะตายกับคำเหล่านั้นให้ได้เมื่อนึกถึงอีตาพี่คนโหดเมื่อครู่ มันตรงกับความคิดเขาเผงเลย วิริยะกลั้นขำอย่างสุดความสามารถจนกระทั่งถึงเวลาการแสดง นี่เป็นอย่างเดียวที่ทำให้เขานั่งรอได้อย่างไม่รู้สึกเบื่อ

การฟังเพื่อนรุ่นพี่สาว ๆ นินทาตากอริลล่าตัวผู้นั่นน่ะ

ทั้งหมดเดินเข้าไปทรุดนั่งต่อหน้าเครื่องดนตรีของตนเอง นางรำเข้าตำแหน่งที่เคยฝึกซ้อม วิริยะเหลือบมองแขกทุกคน คราวนี้ที่นั่งในศาลาเต็มจนแน่นเอียดผิดจากเมื่อครู่ใหญ่ตอนเดินเข้ามา สายตาเด็กหนุ่มไปหยุดอยู่ที่นัยน์ตาคมของชายผู้ภูมิฐานที่นั่งอยู่หน้าสุดอย่างไม่ได้ตั้งใจ อีกฝ่ายสบตาเขาจนวิริยะต้องเป็นฝ่ายผละหลุดลงมองเครื่องดนตรีตนเอง

เห็นอัศวินกระซิบกระซาบคุณอัฐษ์แล้วชี้นิ้วมาทางนี้ ใจวิริยะระทึกขึ้นไปอีกเท่าตัว

“ต่อไปนี้จะเป็นการแสดงจากโรงเรียนเทพผดุงธรรมวิทยา ชื่อชุดการแสดง แสงเทียนนำทาง ฝึกสอนโดยอาจารย์ปริม รินนารี เพื่อเป็นเสียงและแสงนำทางให้คุณไกรเลิศได้เดินทางไปถึงภพภูมิที่ดีอย่างมีความสุข เชิญรับชมครับ”

สิ้นคำของโฆษกแล้ว ทั้งหมดทำสมาธิกันไม่นาน เสียงฉิ่งและกรับดังขึ้นเพื่อคุมจังหวะให้การแสดงเริ่มขึ้นได้ วิริยะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดในฐานะระนาดเอกซึ่งเป็นตัวหลักของวง แล้วเริ่มทิ้งไม้กระทบลงบนแป้นตามโน้ตที่ฝึกอย่างชำนาญ เสียงตอบรับคือการปรบมือของผู้ชม ช่วงวินาทีหนึ่งที่ลากตัวโน้ตยาวตามจังหวะเพลงช้า เด็กหนุ่มผละเงยขึ้นสบมองแขกขณะยังคงเล่น นางรำเริ่มร่ายรำอ่อนช้อยตามเสียง ทว่าสายตาเขาเหลือบไปเลยเห็นอีตาคนสวนหน้ากอริลล่ายืนอยู่ด้านหลังของแขก มือถือโทรศัพท์ถ่ายอะไรสักอย่างอยู่

ใจวิริยะหายวูบ ตายแน่

อีตานั่นรอจัดการเขาอยู่

เด็กหนุ่มหน้าเสียลงไป ก้มหน้าก้มตาลงเล่นอย่างตั้งอกตั้งใจ อีกนัยหนึ่งคือไม่ต้องการให้โทรศัพท์จับภาพใบหน้าของเขาได้ชัดเจน กระทั่งการแสดงจบลงไปได้ด้วยดี เสียงตอบรับเป็นการปรบมือที่ดังที่สุดตั้งแต่พวกเขาเคยแสดงมาทั้งหมด หลังจากนั้นก็เป็นการแจกซองสมนาคุณนักแสดง ทุกคนกระตือรือร้นอยากไปรับเร็ว ๆ เพราะผู้ให้คือคุณอัฐษ์

เจ้าภาพคนหล่อระบายยิ้มเล็กน้อยกับอาจารย์ปริมขณะที่ส่งซองสีขาวให้ปึกหนึ่ง

อีกซ้ำยังมีซองพิเศษที่ตั้งใจจะแจกอีกหนึ่งชุด เด็ก ๆ ต่างเข้าคิวเดินไปรับด้วยความดีใจ กระทั่งถึงคิววิริยะ เด็กหนุ่มยกมือไหว้ขอบคุณ ไม่ลืมที่จะเงยขึ้นไปสบตาอีกฝ่ายด้วยความนับถือ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มรับด้วยแววตาอ่อนละไมให้เขา

ดูเป็นคนอบอุ่นเหลือเกิน

หลังแสดงจบเป็นการขอบคุณแขกก่อนจะเริ่มพิธีเผา และมอบผ้าตรัยแก่พระสงฆ์ มีพระชั้นผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์ก่อน ระหว่างนั้นวิริยะถูกรุ่นพี่นางรำขอแกมบังคับให้พาไปเข้าห้องน้ำ เขาต้องไปช่วยพวกเธอแกะชุดและช่วยใส่เพราะมันแน่นหนา จะให้ช่วยกันเองก็ไม่ได้เพราะทุกคนต่างก็บอกว่าปวดมากและทนมานานแล้ว รอไม่ไหว

กว่าจะกลับมา เหล่าแขกเหรื่อทุกคนก็วางดอกไม้จันท์ใกล้จะหมดแล้ว วิริยะอยากร่วมส่งวิญญาณด้วยจึงรีบไปหยิบดอกไม้ในพานมาถือและต่อแถว ท่านคนนี้คงทำความดีไว้มากถึงได้มีคนรักและเคารพนับถือเยอะแยะเพียงนี้ และเด็กหนุ่มอยากนำส่งให้ท่านไปสู่สวรรค์อย่างมีความสุขด้วย ทว่าไปถึง เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนต้องชะงักเท้าเมื่อคู่กรณีตัวใหญ่ที่ยืนรอส่งแขกอยู่หน้าบันไดเมรุขยับมาดักทางเขา ใช้หน้าโหด ๆ จ้องวิริยะ

“เธอไม่มีสิทธิ์ขึ้นไป”         

เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วสงสัย “ทำไมผมจะขึ้นไปส่งท่านไม่ได้”

“ฉันไม่ให้ไป”

“เป็นแค่คนสวน มีสิทธิ์อะไรมาสั่งห้ามแขก” วิริยะย้อนทั้งยักไหล่

“ว่าไงนะ” คนฟังถามกลับอย่างไม่เข้าใจ ทำหน้าราวกับงุนงง

เด็กหนุ่มจึงพูดต่ออีกอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “นี่เป็นงานเจ้านายตัวเองแท้ ๆ ยังจะมากร่างใส่คนอื่นอีก ระวังนะ เดี๋ยวผมจะไปฟ้องเจ้านายพี่ว่าทำนิสัยแย่ ๆ ใส่ แล้วจะตกงานไม่รู้ตัว ถอยไป…”

ไอ้เด็กนี่ยังไม่สำนึก “เฮ้ย ยังจะไปอีก…”

เชษฐ์ไชยมองตามร่างผอมโปร่งของเด็กหนุ่มที่ขัดคำสั่งเขาเป็นรอบที่สอง เดินลอยหน้าลอยตาขึ้นไปด้านบนอย่างไม่สนแล้วรู้สึกขัดใจ แต่ที่ทำให้เขาไม่อาจต่อว่าหรือเอาเรื่องอะไรได้เพราะยังไว้หน้าปู่ อีกอย่าง…ประโยคเมื่อครู่ทำให้ชายหนุ่มอึ้งไปพักหนึ่ง “หมายความว่าไง มองว่ากูเป็นคนสวนงั้นเหรอ”

กี่รอบแล้วที่มันขัดใจเขา ท้าทายเขา ไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับนายใหญ่เจ้าของไร่รุ่งอรุณีมาก่อน!

“เป็นอะไร หน้าอย่างกับโดนเด็กแกล้งอย่างนั้น”

“ไม่ต้องมาแซว” ชายหนุ่มถอนใจ มองน้องชายที่ยกมือตบบ่าเปาะ ๆ ราวต้องการล้อเลียนอยู่ในที “ถ้าไม่ไว้หน้าปู่นะ ไอ้เด็กนั่นโดนนายเชษฐ์แห่งไร่รุ่งอรุณีเล่นแน่ แล้วนี่อะไร ฉันเป็นใครมันยังไม่รู้จักเลยยังจะกล้ามาต่อปากต่อคำด้วยอีก เห็นแล้วอยากจะเขกมะเหงกมันนัก”

“อย่าใจร้อนสิเชษฐ์ นั่นเด็กนะ เขาไม่รู้หรอกว่าแกคือซีอีโอคนต่อไปของรุ่งอรุณี” อัฐษไชยยกยิ้มเล็กน้อยอย่างวางท่าที

“เออ แม่งโคตรไม่รู้เลย ไอ้พวกมีตาไม่มีแวว ตาถั่ว!” เขาเป็นถึงว่าที่ผู้บริหารอาณาจักรรุ่งอรุณี มีแค่พวกตาต่ำเท่านั้นแหละที่มองชายหนุ่มตัวล่ำบึก ผิวกร้านแดด ปล่อยหนวดเคราและไว้ผมยาวอย่างเขาเป็นแค่คนสวน คิดแล้วหน้าเชษฐ์ไชยก็ยับยู่จนแขกไม่กล้าแม้แต่จะเดินผ่านเสียด้วยซ้ำ

อัฐษไชยส่ายหน้าให้พี่ชาย เห็นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวอย่างนี้ ทั้งสองเป็นฝาแฝดกัน ทว่าเกิดมาพร้อมความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พี่ชายเป็นพวกชอบลุยและค่อนข้างเอาแต่ใจ ไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไร ส่วนอัฐษไชยเป็นพวกสำอาง เจ้าระเบียบ และมักนึกถึงความรู้สึกของผู้อื่นเสมอ ตอนนี้มองอย่างไรทั้งสองก็ไม่เหลือเค้าความเป็นแฝดให้ใครเห็น น้อยคนนักจะรู้ว่าพวกเขาเกี่ยวข้องอย่างไรกัน เพราะเชษฐ์ไชยใช้ชีวิตส่วนใหญ่ที่ต่างจังหวัด ในไร่รุ่งอรุณี

อาณาจักรอีกแห่งหนึ่งของครอบครัว

นายเชษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่คืออีกหนึ่งฉายาที่คนงานในไร่ตั้งให้ เพราะเชษฐ์ไชยเด็ดเดี่ยวและเป็นผู้นำของทุกคนที่นั่น มีสิทธิ์ขาดในการชี้เป็นชี้ตายของคนงานทั้งหมด นั่นยิ่งทำให้คนจอมเอาแต่ใจยิ่งได้ใจไปอีก แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งหนึ่งที่ชาวไร่รัก นอกจากความโหดแล้ว ก็คงเป็นความยุติธรรมในการตัดสินใจ และแม้ภายนอกจะดูก้าวราวดุดันเพียงไหน แต่ภายในนั้นมีความเมตตาอยู่ลึก ๆ

และอัฐษไชยรู้เสมอว่าพี่ชายของเขาเป็นคนอย่างนี้เสมอมา เชษฐ์ไชยเป็นคนดี

ทว่ายังดีไม่พอในสายตาบิดาของพวกเขาก็เท่านั้นเอง

นั่นกระมัง ที่เป็นเหตุให้พี่ชายนอกคอกของเขาไม่คิดจะกลับมาเหยียบที่บ้านจนกระทั่งคุณปู่เสีย

 





วิริยะเดินลงอีกบันไดหนึ่งท่ามกลางผู้คนมากมายหลังจากวางดอกไม้จันทน์ เหลือบกลับไปยังทางขึ้นเห็นอัฐษไชยซึ่งตัวสูงกว่าคนรอบข้างและคนสวน กำลังยืนคุยกันอยู่หน้าตาเคร่งเครียด นั่นปะไร! เขาพูดไม่ทันขาดคำอีตานั่นก็โดนเจ้านายเอ็ดจนหงอ หน้าเหลือสองนิ้ว จากกอริลล่ากลายเป็นลูกลิงแสมแล้ว ทำกร่างใส่คนอื่น เจอคุณอัฐษ์ของเขาแล้วทำคอตก

“สมน้ำหน้า”

เอ่อ…แต่คุณอัฐษ์ไม่ใช่ของเขาหรอก วิริยะสะบัดความคิดแปลก ๆ ของตนเอง สะดุ้งเมื่อลำแขนยาวของเพื่อนรักทิ้งลงบนบ่า อัศวินในชุดไว้ทุกข์คลี่ยิ้มเมื่อเห็นหน้าเขาซีดตกใจ พ่นคำด่าเป็นอันดับแรก “ไอ้ห่า กูตกใจหมด”

“ทำไม คิดเรื่องอกุศลอะไรกับอากูอยู่เหรอ เห็นมองนานแล้ว”

“เปล๊า…” วิริยะยักไหล่ คนที่เขาคิดอกุศลไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก ก็ไอ้เพื่อนสนิทคนที่ถามนี่แหละ อยากจะตะโกนใส่หน้าในความเป็นคนดีและมีไมตรีต่อทุกคนของมันเหลือเกิน ทำให้เขาคิดเกินเพื่อนจนได้ หากทว่าทนเก็บไว้ในใจเสียจะดีกว่า เขาไม่อยากเสียเพื่อนอย่างอัศวินไป

“อามึงท่าทางดูใจดี”

“ไปสิ เดี๋ยวกูพาไปแนะนำ” อัศวินลากคอวิริยะเดินตามอัฐษไชยกลับเข้ามาที่ศาลา หลังจากที่คุณอาของเพื่อนดุคนสวนนิสัยกร่างแล้วเสร็จ แวบหนึ่งเด็กหนุ่มเห็นพ่อกอริลล่าหันไปปาดน้ำตา แต่แค่แวบเดียวเท่านั้น

หรือหมอนั่นจะโดนไล่ออกเพราะเขา ความรู้สึกผิดแล่นเข้าสู่ใจเด็กหนุ่มเป็นอันดับแรกอย่างเป็นนิสัย

“อาอัฐษ์” อัศวินเรียกน้องชายบิดาขณะดึงรั้งคอเพื่อนสนิท วิริยะร้องครางเพราะอยากหลุดพ้นจากมันสักที คนที่ถูกเรียกจึงคลี่ยิ้มเล็กน้อยเมื่อหันไปพบเห็นความสดใสของเด็ก ๆ “คนนี้ไงที่ผมเล่าให้ฟัง เจ้าพ่องานพาร์ทไทม์ อยากจ้างอะไรสั่งได้ แม้แต่นางรำก็เป็นมาแล้ว”

“ไอ้อิก!” ไม่ต้องขายเพื่อนขนาดนั้นก็ได้ “มึงจะแซวยันลูกกูบวชเลยรึไง”

“ถ้ามึงต้องการ”

“กูไม่ต้องการ มึงเอาอะไรมาคิดว่ากูต้องการ” วิริยะสะบัดแขนเพื่อนออกมานวดบีบคอ ลืมไปเสียสนิทว่าอยู่ในสายตาญาติผู้ใหญ่ของเพื่อน เด็กหนุ่มเบิกตาโตเท่าไข่ห่านยกมือไหว้อัฐษไชยอีกครั้ง คนซึ่งมองอยู่เพียงคลี่ยิ้มรับเท่านั้น อัศวินจึงรีบแนะนำทั้งสอง

“ไอ้วิว นี่อากู อาอัฐษ์ อาอัฐษ์นี่ไอ้วิวนะครับ เป็นเพื่อนที่โรงเรียน ผมสนิทกับมันน้อยที่สุดเพราะมันไม่มีเวลาให้ เอาแต่ทำงานพาร์ทไทม์ไม่สนใจเพื่อนฝูง ไม่เคยให้เวลากับผมเลย”

“มึงเลิกงอแงเพราะเรื่องนี้สักทีสิพับผ่า” วิริยะใช้เสียงอย่างหน่ายใจกับคำแกล้งของเพื่อน ทำเสียงฮึดฮัดรำคาญกลบเกลื่อนความเขินอาย อัศวินมักใช้วิธีนี้ออดอ้อนเขาเสมือนแฟนสาวต้องการความรักอยู่เสมอ และเด็กหนุ่มก็ไม่เคยต้านทานความน่ารักของอีกฝ่ายได้เลย

“ที่เล่นระนาดเมื่อกี้สินะ เล่นเก่งมากเลย” อาหนุ่มพูดขึ้นเสียงทุ้มนุ่มใจดี

“ขอบคุณครับ”

“แต่ถ้าเงยหน้ามามองคนดูบ้าง มันจะน่าดูกว่านี้นะ เวลายิ้มน่ารักออก” คนกล่าวระบายยิ้มให้เด็กหนุ่มหลังจากพูดจบอย่างไม่ปิดบัง วิริยะก็อยากทำอย่างนั้นอยู่หรอก หากไม่มีเจ้ากรรมนายเวรหน้าตาคล้ายกอริลล่าตัวผู้ยืนจ้องเขม็งพร้อมมือถือคู่ใจถ่ายเขาอยู่ วิริยะยิ้มแห้ง ๆ ให้แก้ขัดเขินไม่ได้ตอบกลับเล่าความจริงให้ฟัง

“แล้วอาเชษฐ์ไปไหนแล้วล่ะ เมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลย เดี๋ยวผมไปตามมาพักก่อน วันนี้อาเชษฐ์ทำแต่งานตั้งแต่เช้ายังไม่หยุดเลย” อัศวินจะเดินแยกไปหา ทว่ามือใหญ่ของผู้เป็นอารั้งต้นแขนไว้ได้ทัน

“ไม่ต้องหรอกอิก เชษฐ์เขาอยากอยู่คนเดียวสักพัก”

อัศวินมองหน้าอัฐษไชยแล้วเข้าใจ “จริงสิ อาเชษฐ์เป็นคนเดียวที่ไม่ทันดูใจคุณปู่ คงเสียใจน่าดูเลย”

“อืม ให้เวลาเขาทำใจคนเดียวไปก่อนเถอะ แกไปส่งเพื่อนได้แล้ว เมื่อกี้เห็นว่าครูปริมเรียกกลับเสียยกใหญ่ ไปช้าเดี๋ยวได้โดนดุเอานะ อาเองก็จะไปส่งแขกเหมือนกัน”

“ครับ ไปเถอะไอ้วิว” อัศวินเอื้อมจูงแขนวิริยะ

เด็กหนุ่มยกมือไหวอัฐษไชยอีกครั้งเป็นการลา ผู้ใหญ่แสนสุขุมพยักหน้ารับเล็กน้อย แม้ภายนอกเจ้าภาพทุกคนยิ้มแย้มรับแขกแต่คงเจ็บปวดกับการสูญเสียไม่น้อย อย่างเดียวที่รู้สึกชื่นใจอาจเป็นภาพผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาแสดงความเสียใจนี่กระมัง เพราะได้เห็นว่ามีคนรักและชื่นชมคุณปู่ของพวกเขามากเพียงไหน

หลังเดินออกมาที่ลานด้านนอก อัศวินก็ถอนใจ “สงสารอาเชษฐ์ฉิบหาย”

วิริยะไม่ได้ตอบอะไรหรือสอบถามเพื่อนเพราะคิดว่าจะเป็นการก้าวก่าย เด็กหนุ่มนึกขึ้นมาได้ว่าลืมกุญแจล็อกเกอร์ไว้ที่อ่างล้างหน้าในห้องน้ำก็ตกใจ ยกมือตบสมองตัวเองมาทีอย่างต้องการลงโทษ “ไอ้วิว ไอ้สมองกลวง มึงไปลืมของไว้ทำไมที่ห้องน้ำ”

เพี่อนตัวสูงกว่าชะงักเท้ากึก “ต้องกลับเข้าไปเหรอ”

“เออ” เด็กหนุ่มถอนใจ

“เดี๋ยวกูเดินไปบอกอาจารย์ว่ามึงไปเอาของนะ เดี๋ยวเขาเป็นห่วงแล้วตามหามึงกันให้วุ่น” อัศวินบอก วิริยะพยักหน้ารับแล้วเดินแยกกลับไปที่ศาลา อ้อมไปด้านข้างและเห็นว่าแขกทั้งหลายเริ่มบางตาลงแล้ว อัฐษไชยที่พูดคุยอยู่กับแขกชั้นผู้ใหญ่ผละสายตามามองเล็กน้อยราวกับแปลกใจที่เห็นวิริยะเดินกลับมา เด็กหนุ่มค้อมศีรษะให้แล้วเดินผ่านไปยังสวนด้านหลังศาลาซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องน้ำ

ครั้นกลับไปก็โล่งใจอยู่บ้างว่ามันยังวางอยู่ที่เดิมแม้จะมีผู้คนเดินเข้าออกบ้างประปราย ไม่มีใครคิดขโมย สภาพของมันก็เก่ากึก หยิบไปก็กลัวว่าสนิมจะติดมือเปล่า ๆ คนเขาถึงไม่ต้องการ เด็กหนุ่มหยิบมาใส่กระเป๋าแล้วตั้งใจเดินกลับ หากสายตาเหลือบไปเห็นร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำไว้ทุกข์นั่งสูบบุหรี่หันหลังให้เขาอยู่ลิบ ๆ

วิริยะรู้ว่าเป็นใคร

เขาเห็นว่าอีกฝ่ายถอนใจ ไหล่ตกราวกำลังทดท้อ

จริง ๆ ตานั่นก็ไม่ได้ทำอะไรผิดมากนัก อาจแค่กำลังเสียใจ

เด็กหนุ่มเข้าไปหาหวังจะพูดอะไรด้วยสักอย่าง และหากถูกไล่ออก เขาอยากบอกว่าตนเองจะพยายามหาเงินชดเชยค่าเสียหายเรื่องรถให้ได้ เพราะเงินนั่นอาจช่วยให้นายคนสวนคนนี้ไม่อดตายในช่วงตกงาน ทว่าไปถึงแล้ววิริยะไม่ทราบว่าจะเริ่มต้นพูดตรงไหน ยามไหล่กว้างของคนด้านหน้าเคลื่อนไหวขึ้นลงราวกำลังเศร้าและกลัดกลุ้ม

ควันบุหรี่ฉุยฉายลอยไปตามลมเพราะความเครียดของคนตัวใหญ่ที่นั่งหันหลังให้

ปู้ด...

ไม่นาน เสียงผายลมดังปู้ดใหญ่ก็เกิดขึ้น ทำลายความเงียบของทั้งสอง วิริยะอ้าปากค้างขณะยกมือปิดจมูกอย่างไม่อยากเชื่อ เมื่อไอ้ตัวใหญ่ที่คิดว่ากำลังเศร้านั้น ได้เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ไม้ที่นั่งหลังปล่อยมันออกมา ดูมีท่าทางผ่อนคลายลง

“โอ…นึกว่าจะไม่ออกซะแล้ว ท้องอืดนี่มันแย่จริง ๆ” คนพูดลูบท้องตัวเองทอดถอนใจ

คนอุตส่าห์นึกเห็นใจ คิดว่าจะเครียด

“สรุปที่นั่งคอตกหน้าซีดหน้าเซียวเพราะตดไม่ออกเนี่ยนะ!” วิริยะเสียงดัง

เชษฐ์ไชยหันมามองอย่างไม่ตกใจและรู้สึกอายอะไรนัก ทำหน้าระอาเด็กหนุ่มอยู่ในที “อะไร คนอุตส่าห์หนีมาอยู่คนเดียวยังตามมาดมกลิ่นตดกันอีก ไปให้พ้น ๆ เลย ไม่มีอารมณ์คุยด้วย ปวดท้อง”

“ไม่ได้เศร้าเรื่องโดนเจ้านายไล่ออกหรอกเหรอ”

“พูดเรื่องอะไร อย่ามากวนใจน่า โอย…” ไม่พูดเปล่า เบ่งตดเสียหน้าดำหน้าแดงใส่วิริยะ เด็กหนุ่มยกมือปิดจมูกเมื่อเสียงมันสนั่นหวั่นไหวไม่เกรงใจเด็กหนุ่มตรงนี้เอาเสียเลย อดจะเอื้อมไปทุบบ่าคนแสดงท่าทางเสียมารยาทตุบตับไม่ได้ ไหน ๆ ก็เป็นแค่คนสวนคนหนึ่งแล้ว เป็นคนสวนที่ไม่ค่อยรู้จักมรรยาทเสียด้วย

“แหวะ เหม็นโว้ย! คนก็อุตส่าห์เป็นห่วงกลัวว่าจะถูกไล่ออกไม่มีตังค์ใช้ ไอ้หนวดบ้า!”

“มีสิทธิ์อะไรมาตีฉัน แล้วฉันก็ไม่ได้ชื่อไอ้หนวดด้วย ไอ้เด็กนักต้มตุ๋น” คนตัวใหญ่ชี้หน้า

“ผมไม่ได้ต้มตุ๋นสักหน่อย ก็กำลังจะมาบอกอยู่นี่ไงว่าเดี๋ยวจ่ายเงินชดเชยให้ มาตดใส่กันเสียได้”

“ไม่ต้องมาแถ ถ้าฉันไม่เจอเธอวันนี้โดยบังเอิญคงไม่มีทางติดต่อได้ ก็เล่นให้เบอร์ปลอม ๆ มาอย่างนั้น” วิริยะถูกนิ้วชี้ยาวชี้หน้า เด็กหนุ่มไม่ยอมรับว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวหาเป็นความจริง เขาแค่ไม่ทันได้นึกว่าโทรศัพท์ตัวเองพังไปแล้วก็เท่านั้นเอง ปากเล็ก ๆ อ้ากัดฉับนิ้วคนปรักปรำอย่างต้องการเอาคืน

“โอ๊ย! ปล่อย ปล่อย!”

คนตัวใหญ่ท่าทางดุดันสิ้นท่า ดิ้นเร่าเจ็บราวกับหมาขี้เรื้อนโดนน้ำร้อนลวกในสายตาเด็กหนุ่ม  ภาพใบหน้าคมเข้มบิดเบี้ยวร้องว๊ากเพราะความเจ็บทำให้วิริยะหลุดขำพรืดปล่อยอิสระให้ในท้ายที่สุด ส่วนคนถูกกัด ทำหน้าอย่างกับโกรธเขาเพราะไปฉี่รดใส่ที่นอนอีกฝ่ายอย่างนั้น มือหนาถูลูบขาตัวเองป้อย ๆ ให้อาการเจ็บแสบบนนิ้วจางลง อีกนัยหนึ่งคือเกรงว่าพิษหมาบ้าตรงหน้าจะเเล่นเข้าสู่ร่างกาย

 “กัดเข้ามาได้ คนนะไม่ใช่กระดูกไก่”

วิริยะนึกขัน “ผมไม่ใช่หมา”

“ก็คล้าย ๆ แหละ คนปกติดีที่ไหนจะมากัดคนไม่รู้จักได้มั่วซั่วอย่างนี้”

“เฮอะ!” เด็กหนุ่มกอดอกอย่างนึกระอา เรียกให้คนที่มีท่าทางเศร้าเมื่อครู่มองแล้วเผลอหลุดยิ้มขำสีหน้านี้อยู่แวบหนึ่ง แต่ถึงจะเก็บอาการเร็วอย่างไร วิริยะก็มองได้ทันและเห็นว่าท่าทีของอีกฝ่ายดีขึ้นกว่าเมื่อครู่ “พี่ยิ้มแล้ว…”

คนฟังชะงัก ทำเป็นไม่ยอมรับว่าเมื่อครู่ทำท่าอ่อนแอให้คนอื่นเห็น “แล้วไง”

“ผมรู้ว่าพี่เสียใจที่เจ้านายพี่เสีย ท่านคงใจดีมากถึงมีแต่คนรักอย่างนี้” เด็กตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงมากโข เรียกให้เชษฐ์ไชยต้องเงยขึ้นไปมองสีหน้าว่าคนพูดเป็นอย่างไร และเขาเหนื่อยจะแก้ตัวแล้วว่าตัวเองไม่ใช่คนสวนของบ้าน และอัฐษ์หรือคุณปู่ไม่ใช่เจ้านายของเขา ชายหนุ่มจึงถอนใจยอมรับอย่างเสียมิได้เพราะเหนื่อยที่จะเถียงด้วย อย่างน้อยเขาก็หาคนพูดเสมอเพื่อนอย่างนี้ยาก

“ถูกของเธอ ท่านเป็นคนดีมีเมตตา”

คนฟังยกมือลูบบ่าราวเป็นเพื่อน บางทีเด็กนี่ชักจะมากเกินไปแล้วนะ

“แล้วพี่จะทำยังไงต่อไปครับ”

เชษฐ์ไชยถอนใจ “ขี้…”

“ฮะ…” วิริยะย้อนหน้าแปลกใจ

“พี่ปวดขี้ พี่ต้องไปขี้ น้องจะตามไปคุยกับพี่ที่ห้องน้ำไหมครับ น้องวิว…” คนถามทำหน้าตายแม้ใช้วาจาอันตรงเผงจนคนฟังรู้สึกกระดากอายแทน แล้วเดินจากเด็กหนุ่มไปยังห้องน้ำเสียดื้อ ๆ โดยไม่สนว่าวิริยะจะทำหน้าระอาอย่างไร โธ่…หมดกันยางอายของอีกฝ่าย อยากจะตะโกนก่นด่าตามหลังไปอยู่หรอก หากเสียงอัศวินไม่ดังขึ้นมาดักก่อน

“ไอ้วิว มึงกินขี้หมดโถส้วมแล้วเหรอ คนอื่นเขารอกันทั้งคันรถแล้ว แล้วกูต้องลำบากเดินไปเดินมาเนี่ย!”

“เออ ไปแล้ว อยู่ตรงนี้เหม็นตดจะแย่ ไม่อยู่นานหรอก” พูดจบ วิริยะยักไหล่แล้วเดินไปหาเพื่อนรัก ตัดใจลบภาพสีหน้าและกลิ่นของไอ้บ้ากอริลล่านิสัยประหลาดนี่ไม่ได้เลย มันมากกว่าความประทับใจยามแรกพบแล้ว!

 






ให้หลังอัศวิน หลานชายของเขาที่กอดไหล่พาเด็กวิวนั่นเดินออกไป เชษฐ์ไชยออกมามองแผ่นหลังเล็กนั้นนิ่งอย่างนึกประหลาดแก่ใจ จากที่มีความคิดทะมึนมืดอยู่กลางอกและเจ็บปลาบ ความสดใสของเด็กคนนั้นทำให้ชายหนุ่มเผลอไผลยิ้มออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ มารู้ตัวอีกทีก็ถูกอีกฝ่ายทักราวต้องการทำให้เขายิ้มได้ อย่างกับรู้ใจชายหนุ่มไปเสียทุกอย่าง

มือหนายกโทรศัพท์มือถือขึ้นมองรูปใหม่ในแกลอรี ปรากฏร่างผอมบางในชุดนักเรียนกางเกงขาสั้นสีฟ้านั่งหลังระนาด เจ้าตัวกำลังมองไปที่ใดสักที่ มีรูปหนึ่งที่ใบหน้าขาวแลดูบอบบางมองมายังกล้องอย่างรู้ทันโดยสัญชาตญาณ ก่อนรูปถัดไปจะงุดหน้าลงราวกับรู้ตัวว่ากำลังถูกแอบถ่าย

“อยู่ใกล้จมูกแค่นี้เอง ไอ้เด็กแสบ…”

คราวแรกตั้งใจจะเล่นงาน แต่หากเป็นเพื่อนของอัศวินหลานรักเขาก็จะเว้นไว้

นัยน์ตาคมงุดลงจ้องภาพที่เจ้าตัวมองกล้องอยู่ครู่แล้วเผยยิ้มราวกับกำลังสบตากัน เชษฐ์ไชยอยากรู้เหลือเกิน ว่าหากอีกฝ่ายรู้ว่าเขามิใช่ไอ้คนสวนอย่างที่พยายามปรักปรำและวางตัวเสมอเพื่อนเล่น แต่เป็นถึงอาของเพื่อนสนิทของเจ้าตัว อีกฝ่ายจะมีสีหน้าอย่างไร

แค่คิด ความสนุกเล็ก ๆ ก็ก่อขึ้นมาอยู่ในใจ





---------------------------------

 กำลังใจที่ดี ช่วยบอกว่าคุณนักอ่านคิดเห็นอย่างไร

1 เม้น ต่อ 1 ตอนนะคะ

ปล. นิยายอาจมีคำหยาบเพื่อเพิ่มอรรถรสบ้าง

คนอ่านห้ามซึมซับความหยาบ

ขอความกรุณา งดเว้นคำหยาบคายที่ไม่น่ารักนะคะ ขอบคุณจ้า

หัวข้อ: Re: **{5.3.61-ตอนที่ ๓--๕๐/๑๐๐} Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 05-03-2018 17:10:17

ตอนที่ ๓

“แน่ใจนะว่ามึงอยากจะไปทำงานช่วงปิดเทอมนี้จริง ๆ ที่บ้านไม่ว่าเหรอ”

“แน่ใจสิ ที่บ้านไม่มีใครห้ามกูหรอก มีแต่จะสบายตากว่าเดิมอีกที่ไม่เห็นกู” วิริยะยักไหล่ตอบอัศวิน ผู้ฟังทำหน้าไม่ค่อยวางใจและเก็บข้าวของที่ช่วยกันติวไปพลาง ในขณะที่คนอื่นสนใจโต๊ะพูลอีกมุมของห้องมากกว่า

ที่นี่คือบ้านพักของอัศวิน ค่อนข้างใหญ่สมฐานะผู้นำทางธุรกิจและรวยติดอันดับต้นของประเทศ วิริยะทำท่าสำรวจรอบกายอยู่ครู่หนึ่งเพราะเพิ่งเคยมาครั้งแรก สอบคราวนี้พวกเขายังคงจริงจังกับมัน แม้ภายนอกจะดูเป็นเด็กเอาแต่เล่นกันมากกว่า แต่เมื่อยามผลออกมาพวกเขาก็ระดับหัวกะทิกันทั้งนั้น

“ออกไปเดินเล่นไหม ไหน ๆ ก็ได้พักกันแล้ว อุดอู้อยู่ในนี้มึงคงไม่ชอบ” อัศวินถามพลางบิดขี้เกียจ ซึ่งเด็กหนุ่มคิดว่าเป็นความต้องการของเจ้าตัวมากกว่าที่อยากออกไป

“จะพาไปเหรอ”

“อืม”

วิริยะผุดยิ้ม ยกนิ้วชี้ล้อ “มาไม้ไหนอีกวะเพื่อน เอาใจกูขนาดนี้”

“ก็มึงจะไปทำงาน ช่วงปิดเทอมแทนที่จะได้พัก ได้นัดกันเที่ยวเล่นกันบ้าง ไหงมึงทิ้งเพื่อนไปทำงานอีกแล้วละ” คนกล่าวทำหน้าน้อยใจอย่างออกนอกหน้า มือก็ดึงคอวิริยะมาพาดแขนพาเดินออกนอกห้องอย่างติดนิสัย อัศวินหนอ จะทำให้เขารู้สึกดีอย่างนี้ไปถึงเมื่อไร เด็กหนุ่มคิดพลางลอบมองมุมข้างของเพื่อนรักในระยะใกล้ มุมนี้ก็ดูดีจนเขาใจสะท้าน ความขัดเขินก่อเกิดมานิด ๆ

อัศวินมักจะเป็นคนที่แบ่งปันรอยยิ้มให้วิริยะเสมอ ช่วงเวลาที่เด็กหนุ่มรู้สึกราวกำลังทุกข์ทน ท้อใจ เมื่อเห็นอัศวินล้อเลียนด้วยสีหน้าตลกวนเวียนรอบกาย คอยให้คำปรึกษา มันพลอยทำให้วิริยะผ่อนคลายไปได้มากโข จนกลายเป็นว่าหลงรักไปแล้ว

“เอาน่า ก็ได้ไปเที่ยวกับมึงแล้วนี่ไง” วิริยะตอบ

ทั้งสองเดินผ่านตัวบ้านมายังห้องโถงด้านล่าง ทิ้งให้เพื่อนร่วมกลุ่มคนอื่นสนุกกับพูลกันในห้องรับแขกด้านบน อัศวินนำเขาไปยังสวนบริเวณหลังบ้าน ซึ่งร่มรื่นและเต็มไปด้วยไม้ประดับต้นใหญ่ มีสะพานเล็ก ๆ พาให้ทั้งสองเดินข้ามผ่านสระเลี้ยงปลาคาร์ปขนาดกว้าง วิริยะสะดุดตากับสีสันของพวกมันแล้วทรุดนั่งลงบนสะพานเตี้ยนั้น “โอ้โห…”

“เอ้านี่” อัศวินยื่นกระปุกอาหารปลาให้เมื่อเห็นเพื่อนสนใจ วิริยะรับมาเปิดฝา แล้วค่อย ๆ โปรยอาหารให้เหล่าปลาสวยงามด้านหน้าอย่างเชื่องช้าและเป็นสุข ภาพพวกมันยื้อแย่งกันพลอยให้เรียกรอยยิ้มเด็กหนุ่มขึ้นมา รู้สึกสงบใจอย่างน่าประหลาด

“โอ้โห บ้านมึงเลี้ยงเยอะขนาดนี้เลยเหรอ”

“อืม อาอัฐษ์เขาชอบ สวนนี่แกก็จัดเองไปเรื่อย ๆ นะ มานั่งทำทุกวันอาทิตย์ละ”

“แล้ววันนี้ละ” วันนี้ก็เป็นวันอาทิตย์เช่นเดียวกัน

อัศวินยักไหล่ แล้วขยับมาทรุดกายนั่งข้าง “ไม่รู้ สงสัยอยู่มุมโน้น หรือไม่ก็ออกไปแล้ว ตอนนี้มันบ่ายแล้วไง ส่วนมากแกจะตื่นออกมาทำตอนเช้า ๆ เพราะอากาศไม่ร้อน”

“สวยดีนะ อยากมีมั่งจัง โอ้ว…พวกแกนี่ตะกละจังเลย”

“เหมือนมึงนั่นแหละ”

วิริยะหันขวับมองเพื่อน ส่ายหน้าไม่ยอมรับ “แบบกูไม่ได้เรียกว่าตะกละ กูแค่รีบกินเพราะต้องรีบไปทำงาน ยูโน๊ว”

“ในหัวมึงนี่มีแต่เรื่องงาน กูงอนแล้วนะ” ไม่พูดเปล่า มือใหญ่ของเพื่อนเอื้อมมาบีบแก้มแล้วบิดข้อมือให้วิริยะหันไปหา ใจเด็กหนุ่มเต้นตึกเมื่อถูกกระทำเช่นนี้ ไม่ว่าจะสนิทกันเพียงไหนเขาก็ไม่อาจทานการกระทำเช่นนี้ได้เลย ดวงตากลมจ้องใบหน้าอัศวินเขม็งพูดไม่ออกไปช่วงหนึ่ง แล้วพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด

“ยังไงก็ได้เจอกันตลอดอยู่แล้วไหมวะ อีกตั้งเป็นปีกว่าจะจบ หลังจากทำงานช่วงปิดเทอม เดี๋ยวจะกลับมานอนให้ฟัดเต็มที่จนกว่าจะเรียนจบเลย พอใจไหมครับไอ้คุณอิก จะตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋เอาให้เขาคิดว่ากูเป็นเมียมึงเลย โอเคไหม” วิริยะรู้สึกเหมือนตัวเองไม่อาจเข้าใกล้อัศวินได้สนิทใจเฉกเช่นเดียวกับที่เพื่อนคนอื่นวางตัวต่ออัศวิน ทุกครั้งที่เห็นอีกฝ่ายเข้าใกล้คนอื่น ทำให้วิริยะรู้สึกว่าตนเองเริ่มห่างไกลอีกฝ่ายออกไปทุกที

ไม่แปลกที่เพื่อนอย่างอัศวินจะเข้าใจว่าเด็กหนุ่มไม่ค่อยมีเวลาให้

“กูมีเรื่องจะบอกมึงนะวิว” อัศวินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

แวบหนึ่งใจของวิริยะเต้นตึก แอบคิดว่าอีกฝ่ายจะมีใจตรงกัน

“อะ…อะไรเหรอ”

“เพราะมึงเอาแต่ทำงาน ไม่ค่อยได้คุยกัน” คนกล่าวถอนใจพลางจ้องตาเปรยในสิ่งที่ต้องการกล่าว ซึ่งวิริยะเองพยักหน้าบอกว่ากำลังรับฟัง อัศวินจึงกล่าวต่ออีกว่า “เรื่องนี้กูพูดกับพวกไอ้มาร์คทางไลน์แล้ว ในกลุ่ม แต่มีมึงคนเดียวที่โทรศัพท์พัง กูเลยอยากบอกมึงตอนนี้”

ไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่สิ่งที่วิริยะกำลังหวัง เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอีกครั้งอย่างรู้สึกใจหวิวแปลก ๆ “เรื่องใหญ่ไหม”

“สำหรับมึงอาจจะไม่ใหญ่ก็ได้นะ คือ หลังสอบปลายภาคครั้งนี้กูจะบินไปต่อไฮสคูลปีสุดท้าย แล้วก็เรียนมหาลัยที่อเมริกาเลย จนกว่าจะจบ กูคงไม่ได้กลับมาที่นี่สักพัก”

“สักพักห่าอะไร กว่าจะเรียนจบตั้งกี่ปี ไอ้สันขวาน มึงพูดอย่างกับไปวันนี้อาทิตย์หน้าก็กลับอย่างนั้นแหละ!” วิริยะโพล่งขึ้นเสียงดัง ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงจนอัศวินต้องทำตาม ระดับเสียงนั้นเรียกให้คนจัดสวนอีกมุมหันขวับไปมองเห็นวัยรุ่นสองคนยืนอยู่บนสะพานเล็กของบ้าน

อัศวินเกาศีรษะยิ้มแหยให้เพื่อน “ก็…พักใหญ่ ๆ เลยไง”

“แล้วทำไมมึงถึงเพิ่งมาบอกกูวะ ไอ้อิก…อยู่เฉย ๆ มาบอกจะย้ายก่อนจบแบบนี้มันไม่แฟร์เลยนะเว้ย!” คนพูดทำเสียงดังงอแงราวเด็กถูกขัดใจจนออกนอกหน้า เดินย่ำเท้าไปมาหงุดหงิด เรียกนัยน์ตาคมที่ง่วนอยู่กับแปลงดอกไม้ผละไปมองหน้าใสอันยับยู่นั้น แล้วโคลงศีรษะให้อยู่ครู่หนึ่ง แต่ทำด้วยรอยยิ้ม เป็นท่าทีแสดงถึงความเอ็นดูมากกว่าระอา

เพื่อนหลานชายคนนี้ชักยังไง

“ไม่รู้ละ กูโกรธ” วิริยะกอดอก

“แต่ช่วงปิดเทอมกูไปอยู่กับมึงตั้งอาทิตย์เลยนะ”

“อยู่ตลอดสองเดือนเลยไม่ได้เหรอ”

อัศวินส่ายหน้า “ไม่ได้ ต้องรีบกลับมาจัดเตรียมเอกสารหลายอย่าง”

“มึงไม่รักกูเลยไง จะเอากูไปทิ้งไว้ที่ไร่แล้วหนีกลับเหรอ นั่นมันต่างจังหวัดนะ ที่นั่นกูตัวคนเดียว เกิดอาเชษฐ์ของมึงบ้าดีเดือดโขกสับใช้งานกูหนักก็ไม่มีคนคอยเข้าข้าง คอยเถียงให้แทนน่ะสิ แบบนั้นไม่เอาด้วยหรอก” วิริยะพูดเป็นน้ำไหลไฟดับ เล่นเอาคนฟังยกยิ้ม

“สรุปไม่ไปทำแล้ว”

“ไป แต่มึงต้องไปอยู่ด้วย”

คนฟังอดที่จะยิ้มขำไม่ได้ สรุปไม่ได้รักเพื่อนจริงนี่หว่า “พูดแบบนี้ กูจะรีบทำเอกสารให้เสร็จไว ๆ เลย”

“ยังพูดเป็นเล่นอีก ฮืออออ!”

“เอะอะอะไรกัน” ช่วงเวลาที่วิริยะกระโดดกอดคอเพื่อนตัวสูงโย่ง แขกผู้ยืนฟังอยู่ตั้งแต่แรกก็ปรากฏตัวขึ้นทำให้ทั้งสองตกใจ ครั้นรู้ว่าเป็นใคร ราวถูกคำสั่งจากสมองอัตโนมัติให้วิริยะถอยออกห่างจากอัศวิน แม้ในสายตาของผู้เป็นอาที่เคยถูกกล่าวถึงเมื่อครู่จะไม่มีแววเอ็ดหรือดุแต่อย่างใด

ผู้มาใหม่ในชุดลำลองสบาย บนตัวสูงใหญ่สวมใส่เสื้อโปโลสีเขียวขี้ม้ากลมกลืนกับต้นไม้ใบหญ้าแถวนี้ ตัดกับกางเกงสแลคสามส่วนสีกรมท่าทำให้แลยิ่งดูเป็นมิตรกว่าเก่าที่มักสวมสูทผูกไทเป็นทางการ วิริยะมองท่าทีสุขุมของอัฐษไชยอย่างนึกประหม่า คงเพราะเป็นครั้งแรกที่มาเหยียบบ้านพักของเพื่อน และไม่ชินกับท่าทีของผู้ใหญ่ที่แลดูโด่งดังในครอบครัวอัศวิน

“อาอัฐษ์ นึกว่าออกไปพักแล้ว” อัศวินทัก ขณะที่เจ้าของร่างสูงใหญ่เดินมาหยุดยิ้มตรงหน้าพวกเขา

“ยังเลย พอดีวันนี้แดดไม่มาก ลมก็ดี เลยออกมานั่งเล่นเพลิน ๆ ตรงมุมนั้นน่ะ” วิริยะมองไปยังมุมที่อัฐษไชยว่า เป็นท้ายสวนร่มไม้หนาใบ แต่ครั้นสังเกตผ่านพุ่มใบและดอกไม้ไป จะเห็นว่ามีสระว่ายน้ำและเก้าอี้เอนหลังตั้งอยู่สองสามตัว ผู้มีอายุมากที่สุดกล่าวต่ออีกว่า “แต่เห็นว่าตรงพุ่มไม้ริมสระนั่นยังลงดอกไม้ไม่หมด เลยได้มานั่งทำเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ แล้วได้ยินเสียงคนโวยวายเข้า”

วิริยะเบิกตาเขินกับคำแซว “ขอโทษครับคุณอัฐษ์ ที่รบกวน”

“คุณเคิณอะไร เรียกอาเหมือนเจ้าอิกก็พอแล้ว ไม่ต้องพิธีรีตองกับฉันมากหรอก”

วิริยะส่ายหน้า “ไม่กล้าหรอกครับ”

“ทำไมละ เป็นเพื่อนอิกก็ต้องเรียกแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้วนี่ คนอื่นเขาก็เรียก ไม่ต้องใส่ใจอะไรมากนักหรอก”

ได้ฟังเสียงสุขุมของอัฐษไชยแล้ว ไม่ลดทอนความรู้สึกประหม่าของวิริยะลงได้แม้แต่นิด อย่างไรแล้วอีกฝ่ายก็เป็นถึงผู้หลักผู้ใหญ่ที่ใครต่างนับหน้าถือตา ภาพลักษณ์ของอัฐษไชยเป็นเหมือนเทวดาที่อยู่คนละชั้นกับเขา อันที่จริง อัศวินก็เป็นเช่นนั้น ดูห่างไกลจากวิริยะเหลือเกิน ห่างไกลเสียจนเอื้อมไม่ถึง

เขาจะบอกใครได้ว่าตอนนี้เจ็บใจ แต่จำต้องเข้มแข็งเฉไฉไปเรื่องอื่น

“แล้วนี่ ติวกันเสร็จแล้วเหรอ” อัฐษไชยถามขึ้นอีกครั้ง ก้มลงมองนาฬิการ้องคราง “อ้อ ไม่น่าถาม บ่ายกว่าแล้วนี่ ตาอิกพาเพื่อนกินอะไรกันหรือยัง ถ้ายัง เดี๋ยวอาบอกแม่บ้านให้เตรียมไว้ให้ เธอก็อยู่กินด้วยกันก่อนสิ”

เด็กหนุ่มยกยิ้ม “ขอบคุณครับ คุณ…”

“บอกแล้วไงว่าให้เรียกอา หรือจะให้ฉันแทนตัวเองว่าอาแบบที่พูดกับอิกด้วย ถึงจะยอมเรียกน่ะ วิว…” คนกล่าวใช้เสียงล้อไม่พอ ยังระบายยิ้มแกล้งมาทีราวกับรู้ว่าเด็กหนุ่มจะวางตัวไม่ถูกเมื่อได้ฟัง

“ครับ ครับ…อาอัฐษ์”

ทั้งอัศวินและคนฟังยกยิ้มอย่างพอใจ เคลื่อนมือใหญ่มาโยกศีรษะด้วยแววตาเอ็นดู

“ดีมาก ไปกันเถอะ”

วิริยะรู้สึกดีที่อีกฝ่ายยังจำชื่อของเขาได้ ยามพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ มีอำนาจ ทว่าอ่อนโยนแล้วนั้น จากใจที่คิดว่าต้องสร้างกำแพงทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกถึงความอบอุ่นจนใจอ่อน ที่ผ่านมาเขาไม่ได้สัมผัสมันเมื่ออยู่กับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นครอบครัว ยามคิดถึงก็พาลให้รู้สึกเศร้าเมื่อนึกถึงพ่อที่จะต้องเจอกันในอีกห้าเดือนข้างหน้า

“อากูใจดีใช่ไหมละ”

ให้หลังคนอายุมากกว่าไปแล้ว ครั้นเห็นเพื่อนยังคงยิ้มด้วยความปีติไม่ยอมไปไหน อัศวินอดที่จะแซวไม่ได้ ซึ่งวิริยะก็ตอบกลับด้วยการพยักหน้ายอมรับมาโดยตรงและยิ้มแป้นแล้นสดใส ยิ่งทำให้คนถามรู้สึกพึงพอใจ เอื้อมมือขึ้นพาดบ่าพาเพื่อนเดินตามหลังอัฐษไชยไปด้านในตัวบ้าน

คุณอาคนนี้น่ะ คือความภาคภูมิใจของเขาเลยละ

 


--๕๐--

หัวข้อ: Re: **{5.3.61-ตอนที่ ๓--๑๐๐/๑๐๐} Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 05-03-2018 17:14:17

--ต่อ--

วิริยะคิดว่าจะกลับหลังทานมื้อเที่ยง ทว่าเขาถูกอัศวินและอัฐษไชยขอให้อยู่ต่อจนกระทั่งทานมื้อเย็นเสร็จ แม้ระหว่างอยู่ที่นั่นจะรู้สึกดีเพราะความน่ารักเอาใจใส่ของอัศวิน และคำพูดอบอุ่นของอัฐษไชยทำให้วางใจอยู่บ้าง แต่ภายในใจเด็กหนุ่มรู้สึกชา ไม่เป็นอันทำอะไรตั้งแต่รู้ว่าเพื่อนรักกำลังจะไปอยู่คนละซีกโลก จากเคยนึกมองอย่างไม่สนใจเพราะใกล้กัน ตอนนี้เขาสับสนไปหมด คิดว่าควรบอกหรือทำอะไรดี หรือปล่อยให้อัศวินเดินห่างออกไปอีก

“เงียบทำไมวิว อยากกลับบ้านเหรอ” อัศวินถามหลังจากทานข้าวเสร็จก็พาเขาเดินออกมาข้างนอก ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว เขากลัวว่าจะกลับถึงบ้านดึก กลัวว่าจะมีอะไรน่าระทึกหากไปพบสองแม่ลูกนั่น

“เปล่า แค่คิดว่าที่ไร่จะมีงานอะไรให้ทำบ้างน่ะ”

“โห่ เรื่องงานอีกแล้ว ขอเถอะในสมองมึงมีกูอยู่สักหนึ่งเปอร์เซ็นบ้าง”

“จะขี้นอยด์อะไรนักหนา มีแล้วไง คิดถึงมึงแล้วกูรวยขึ้นป่ะ” วิริยะแสร้งย้อนกวนประสาท

“ก็ไม่รวยขึ้นหรอก แต่ถ้ามึงนึกถึงหน้าหล่อ ๆ ของกู มึงอาจจะอารมณ์ดีขึ้น เวลามึงเครียด ๆ จะได้หายเครียดไง แบบนี้น่ะ” คนพูดฉีกยิ้มทำท่าน่ารักให้ดู

“เครียดกว่าเดิมละสิไม่ว่า” ถึงจะบ่นเช่นนั้น ใบหน้าของเด็กหนุ่มกลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม

ซึ่งคนมองก็เห็นอย่างชัดแจ้ง

“ไปเถอะ กูไปส่ง วันนี้กูเป็นคนขอให้มึงอยู่จนค่ำ ต้องรับผิดชอบหน่อยแล้ว” พูดจบ คนตัวสูงกว่าก็จูงมือวิริยะเดินลิ่วไปยังโรงรถของบ้าน วินาทีนั้นเด็กหนุ่มแปลกใจ แต่เพราะรู้ว่านี่คืออัศวินจึงไม่ได้คัดค้าน นอกจากเดินตามไปด้วยใจที่ระทึก สั่นไหวแทบจะกระดอนออกจากอก

ทุกครั้งหมอนี่จะใช้วิธีกอดคอ หรือกอดบ่า ไม่เคยกุมมือเขาเลยสักครั้ง

ให้ตายซี จะทำให้เขินอย่างนี้ไปอีกกี่ครั้งกัน

ตลอดทางที่อยู่บนรถ วิริยะรู้สึกราวไม่รู้จักอัศวินโดยแท้จริงอย่างที่เพื่อนพยายามขอเวลา เพราะมุมนี้ยามเห็นอีกฝ่ายบังคับขับเคลื่อนยานพาหนะแล่นอยู่บนท้องถนนอย่างคล่องแคล่วชำนาญ ยิ่งทำให้ดูมีเสน่ห์จนต้องลอบหันมองบ่อย ๆ แต่เขาต้องชวนคุยบ้าง ไม่อย่างนั้นบรรยากาศของทั้งคู่จะอึดอัดเกินไป ไม่เหมือนเพื่อนที่เคยอยู่ด้วยกันอย่างสนิทใจ เกรงว่าอัศวินจะเห็นถึงความเปลี่ยนไปของเขา

“ทำไมมึงตัดสินใจไปเร็วจังเลยวะ”

เมื่อรู้ว่าวิริยะกล่าวถึงเรื่องไปเรียนต่างประเทศ คนฟังชำเลืองตามองอยู่ครู่หนึ่ง “ก็กูเห็นว่ามันดีกว่าที่นี่ อันที่จริงกูตัดสินใจจะไปตั้งแต่ปีแรกแล้ว แต่พ่อกับแม่กูไม่ยอม ไม่รู้จะเป็นห่วงอะไรนักหนา แต่คราวนี้มีญาติกูได้ทำงานที่สถานทูตที่นั่น กูเลยอยากไปหาประสบการณ์”

“หาที่นี่ก็ได้ ระบบการศึกษาที่ไทยดีออก”

อัศวินยิ้มเล็กน้อย “มึงประชดกูรึเปล่าเนี่ย”

“กูเปล่าประชด ก็ดีจริง ๆ นี่” วิริยะส่ายหัว

“อยากลองไปเรียนที่โน่นซักปีให้พ่อกับแม่เชื่อใจก่อนว่าดูแลตัวเองได้ ก่อนจะเข้ามหาลัยจะได้ย้ายไปอยู่คนเดียว วิว…มึงก็สู้สำหรับหนทางของมึง กูก็สู้สำหรับหนทางของกูเหมือนกัน กูเบื่อที่ใคร ๆ ต่างก็พูดว่ากูมีเงินจะทำอะไรก็ได้ กูเองก็อยากมีเส้นทางของตัวเอง อยากยืนด้วยลำแข้งของตัวเองเหมือนกัน” ดวงตาของอัศวินผละมาสบตาเด็กหนุ่มอย่างจริงจัง หมายความว่าเขาหมดหนทางจะรั้งไว้แล้วซีนะ

“งั้นก็สู้ ๆ ละกัน”

คนพูดทอดถอนใจ แม้จะไม่เต็มใจเอ่ยก็ตาม

รอยยิ้มใจดีของอัศวินเป็นสิ่งสุดท้ายที่วิริยะจำได้ หลังจากปล่อยให้รถยนต์ของเพื่อนเคลื่อนผ่านไปจนลับสายตาในความมืด หลงเหลือเพียงไฟท้ายสีแดงบนอากาศลิบ ๆ

ยืนเศร้ากับตัวอยู่ครู่เดียวก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูรั้ว เป็นพี่สาวต่างมารดาที่ยืนหน้าเซ็งบอกบุญไม่รับ ในชุดนอนสายเดี่ยวตัวเล็กกับกางเกงขาสั้น “มาดึกขนาดนี้คราวหน้าจะไม่เปิดรับแล้วนะ นอนข้างถนนไปเลย รู้ไหมมันรบกวนคนอื่นเขา”

“ขอโทษครับ” เด็กหนุ่มไม่พูดคำอื่น แม้จะแอบคิดว่ามันก็ไม่ได้ดึกขนาดที่หล่อนจะเข้านอนแล้ว ปกติเห็นคุยโทรศัพท์จนดึกดื่นค่อนคืน หรือไม่ก็ออกเที่ยวคลับยามป้าอิงอรไม่อยู่จนรุ่งสาง แต่ก็อย่างว่า เขาไม่มีสิทธิ์พูดอะไรทั้งนั้น

คนฟังทำหน้าระอา มองวิริยะขณะเอ่ยถาม “แล้วนี่ใครมาส่ง งานพาร์ทไทม์เนี่ย รวมถึงรับไปนวดถึงห้องรึเปล่า”

“เปล่าสักหน่อย ผมทำงานสุจริตน่า”

“ถามแค่นี้ทำเป็นเสียงดัง ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อยนี่ยะ” หล่อนกอดอกจิ๊ปาก พยักเพยิดหน้าไล่ให้วิริยะรีบเดินเข้าไปข้างใน ก่อนจะกล่าวไล่หลังเด็กหนุ่ม “ถึงจะทำจริง ๆ ฉันก็ไม่ได้ว่าหรอก ตราบใดที่ฉันยังได้ใช้เงินเดือนของแก ถ้าขายตัวได้ก็ขายเถอะนะ ถ้ามีคนเขาซื้อในราคาถูก ๆ ก็ต้องขาย อย่าไปโก่งราคาให้มันมาก”

นั่นแหละ พี่สาวที่แสนดีในครอบครัวของเขาละ วิริยะหลับตาผ่อนอารมณ์ให้คลายลง เขายังรู้สึกตื้อในอกเรื่องของอัศวิน ไม่อยากรับคำพูดอะไรเข้ามาใส่ในสมองให้บั่นทอนความรู้สึกอีกแล้ว หากทว่าเมื่อเดินเข้าไปด้านในของบ้านก็พบกับความคุกรุ่นของอีกคน หล่อนทำหน้าราวยักษ์ขมูขี ยื่นโทรศัพท์ส่วนตัวมาให้วิริยะอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก “พ่อเธออยากคุยด้วย”

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเด็กหนุ่ม เพราะตั้งแต่ครั้งล่าสุดก็ผ่านมาสองอาทิตย์แล้วที่บิดากลับแท่นไป “ครับพ่อ”

ธเนศยังพยายามติดต่อเขา

“โทรศัพท์วิวเป็นอะไร ทำไมพ่อโทรไปกี่ครั้งไม่เคยติดเลย”

เด็กหนุ่มรู้สึกดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น “อ๋อ…ตกพื้นแล้วพังน่ะครับ แต่เดี๋ยวผมจะเอาไปซ่อมแล้ว”

“งั้นคราวหน้าพ่อจะโทรไปเบอร์วิวนะ”

“ครับ ผมจะรอพ่อโทรมานะ” เด็กหนุ่มยิ้ม เป็นยิ้มที่คนยืนมองเกลียดจนคลื่นไส้และแสดงออกทางสีหน้ายามลอบฟังอย่างชัดแจ้ง ทว่าตอนนี้วิริยะไม่สนว่าพวกหล่อน ๆ จะคิดเห็นอย่างไร เขาคือลูกของพ่อ แค่นี้คือสิ่งเดียวที่สำคัญ

“แล้วทำไมกลับค่ำอีกแล้ว ป้าอรก็บ่นว่าพักนี้ลูกชักเหลวไหล ไปบ้านเพื่อนกลับดึก ๆ ดื่น ๆ ตลอด ติดเกมหรือติดผู้หญิงรึเปล่า ขอร้องนะวิว อย่าไปติดยาหรืออะไรทำนองนั้น ห้ามทำเด็ดขาด อย่าให้ป้าอรลำบาก อย่าให้พ่อเสียใจ” เสียงในสายทั้งดุและประสมความเป็นห่วง วิริยะผละสายตาไปมองคนพูดถึงเขาทางด้านลบครู่หนึ่ง อดที่จะเคืองไม่ได้

“ผมไม่เคยกลับดึก ๆ สักหน่อย”

คนแอบฟังเข่นเขี้ยวเมื่อเห็นสายตาลูกเลี้ยง “ดีแล้ว อย่าให้เขาเป็นห่วงลูกนัก พ่อต้องขอให้เขาสละเวลามาดูแลลูกให้ ต้องขอบคุณเขานะที่ทำหน้าที่แทนพ่อดีอย่างนี้ ทำให้แกเป็นเด็กดี ทั้งที่พ่อไม่เคยมีเวลาให้เขาเลย” แล้วเวลาสำหรับเขาเล่า วิริยะคิดแต่ไม่กล้าพูดออกไป

ที่จริงการที่พวกหล่อนเสแสร้งทำดีกับเขาอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน นั่นทำให้บิดาของวิริยะสบายใจในยามทำงาน ไม่ต้องคอยพะวงถึงทางนี้ว่าจะเจอกับอะไร ครั้นได้ฟัง วิริยะไม่พูดคำอื่น “ครับ…”

“ดี งั้นพ่อขอคุยกับป้าอรหน่อย”

เด็กหนุ่มยื่นสิ่งในมือกลับไปให้แม่เลี้ยง จากนั้นภาพสีหน้าที่แสดงความไม่พอใจของหล่อนก็คลายลงไปยามพูดคุยกับบิดาของเขา หล่อนรู้จักประจบ รู้จักพูดเรื่องไม่จริงให้เป็นเรื่องจริงได้ ใจวิริยะตื้อชาจนคิดว่าอาจไม่เต้นแล้วก็ได้ เด็กหนุ่มจึงพาตัวเองขึ้นไปยังห้องพักด้านบน ครั้นปิดประตูกั้นตนเองจากโลกภายนอกได้ ลำขาที่ว่ายืนหยัดได้ก็อ่อนเปลี้ยทรุดลง ไม่มีแรงยืนเอาเสียเลย มีแต่ความเจ็บปวดจนร่างกายด้านชาไปหมด

นี่เขา…เคยคิดเพื่อตนเองมากกว่านี้ไหม ในหัวเด็กหนุ่มเอาแต่คิดถึงความรู้สึกของคนอื่นจนตนเองต้องเจ็บปวดไปหมด

เสียงเคาะประตูตึงตังให้หลังวิริยะ เป็นเสียงไม่สบอารมณ์ของแม่เลี้ยง “ออกมาคุยกับฉันเดี๋ยวนี้ เมื่อกี้แกมองฉันด้วยสายตาอย่างนั้นได้ยังไง ไอ้เด็กเนรคุณ แกตั้งใจจะบอกอะไรกับพ่อของแก หา!”

วิริยะไม่เปิดประตู เดินไปทรุดกายบนเตียงปกปิดใบหน้าอันเผยความรู้สึกจริงแท้ของตัวเอง หากแม่เลี้ยงใจร้ายคนนี้เห็น หล่อนคงพอใจกับความสำเร็จของตนเองแน่ที่ทำลายความเข้มแข็งของเขา วิริยะจะไม่มีวันเผยความอ่อนแอให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นเด็ดขาด

 

ช่วงสอบผ่านไปเร็วไวเหลือเกิน

“เป็นอะไรวะวิว เห็นเงียบมาตั้งแต่ขึ้นรถแล้ว”

อัศวินเหลือบมองเพื่อนผู้นั่งข้างกันมาตลอดทางอย่าง วิริยะผิดวิสัยมาได้ครู่ใหญ่แล้ว ปกติจะพูดจ้อจนฟังไม่ทัน เพราะอย่างนั้นเขาถึงให้วิริยะมานั่งข้างเป็นเพื่อนอาอัฐษ์ เพราะจะได้คุยแก้ง่วงกันไปด้วย แต่อีกฝ่ายกลับเงียบจนผิดสังเกตไป “เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเปล่า มึงทำหน้าอย่างนี้ตั้งแต่ยืนรออยู่หน้าบ้านละนะ บอกกูได้”

วิริยะฝืนยิ้ม “ไม่มีอะไร ไม่ต้องสนใจหรอก”

กล่าวจบเด็กหนุ่มก็หันไปมองสองข้างทางที่มืดแล้ว แม้จะไม่เห็นอะไรภายนอกเลยก็ยังคงสนใจมันต่อไป ไม่ได้เริ่มสนทนาอะไรกับเพื่อนผู้นั่งเบาะใกล้กัน อันที่จริงมันก็มีอย่างที่อัศวินเข้าใจ มันเป็นความอึดอัดที่สะสมอยู่ในใจเด็กหนุ่มมานานหลายปีแล้ว

หลังจัดการเรื่องสอบเสร็จแล้ววิริยะเดินทางถึงบ้านตามเวลาเลิกเรียนเพราะต้องการมาเก็บเสื้อผ้า ตกลงกันว่าอัศวินจะเข้ามารับแล้วไปกันเลยตั้งแต่วันนี้ เพื่อน ๆ ต่างลงความเห็นว่าหลังสอบควรได้เที่ยวด้วยกันบ้าง ทั้งกลุ่มจึงตัดสินใจไปเที่ยวไร่รุ่งอรุณีก่อนแยกย้ายไปใช้เวลาปิดเทอมทั้งหมดกับอย่างอื่น แต่กับวิริยะแตกต่างจากเพื่อน ๆ เพราะเขาตั้งใจอยู่ต่อจนจบฤดูร้อน เพราะเห็นว่าที่นั่นมีงานให้ทำ

ไปถึงเด็กหนุ่มชะงักเท้า เมื่อเห็นข้าวของเครื่องใช้ของตนเองถูกโยนมากองหน้าห้องพัก เด็กหนุ่มรีบไปเก็บหนังสือเรียน เสื้อผ้า และเอกสารต่าง ๆ ขึ้นมาถือ ด้านในมีคนกำลังจัดแจงของตกแต่งใหม่ทั้งหมด คือแม่เลี้ยงของเขา

“ทำอะไรกับห้องผมน่ะ” เด็กหนุ่มถามขึ้น

“มันไม่ใช่ห้องของแกแล้ว ตั้งแต่นี้ไปแกไปนอนห้องเก็บของข้างล่าง เพื่อนฉันเขาจะมาเที่ยวที่ไทยช่วงหน้าร้อนนี้ ห้องนี้มีแอร์ กว้างก็กว้าง ต้องเป็นห้องสำหรับรับแขกของฉัน รีบเก็บข้าวของเกะกะขวางทางของแกลงไปได้แล้ว ก่อนที่ฉันจะเอาไปทิ้งถังขยะ”

“ให้ผมย้ายไปนอนกับน้องวาก็ได้นี่ ในห้องเก็บของมันไม่มีอะไรเลยนะ ประตูยังไม่มีกลอนเลยด้วยซ้ำ” วิริยะใจหาย

“อีกหน่อยน้องก็โตแล้ว จะไปนอนกับน้องได้ยังไง แกเป็นผู้ชายนะจะไปมีความลับอะไรนักหนา ดึก ๆ ดื่น ๆ ก็เห็นเปิดไฟเปิดแอร์ไม่ยอมหลับยอมนอน เพราะแกค่าไฟถึงได้มากมายขนาดนี้” อิงอรออกมายกนิ้วชี้หน้า จะว่าอะไรเขา สั่งให้ปิดแอร์นอน ปิดไฟ หรืออะไรก็ได้ แต่จะไล่เขาออกจากห้องตัวเองอย่างนี้ไม่ได้

“ผมต้องอ่านหนังสือครับป้าอร ใกล้จะได้สอบเข้าแล้ว แต่จากนี้ไปผมจะเปิดโคมไฟเล็ก ๆ เท่านั้น”

“ฉันจะไม่ให้เงินแกเรียนต่อแน่”

รู้สึกจะไม่มีใครฟังคำขอของวิริยะ ความรู้สึกและความอดทนของเขาขาดผึงเมื่อกรอบรูปขนาดกว้างซึ่งมีเขาและพ่อยืนคู่กันถูกเหวี่ยงลงพื้นต่อหน้า กระจกแตกร้าวกลบรอยยิ้มทั้งสองในความทรงจำวิริยะไปหมดสิ้น แตกไปพร้อมใจของเด็กหนุ่มที่พยายามก่อสร้างความแข็งแกร่ง

“มันจะมากเกินไปแล้วนะ” วิริยะใช้เสียงต่ำ จ้องตาหล่อน

“แกว่าอะไรแม่ฉัน” พี่สาวที่ยืนกอดอกรอสมทบพูดขึ้น หากทว่าวิริยะเก็บข้าวของของตัวเองเดินกลับเข้ามาด้านในจนหมดทุกอย่าง เด็กหนุ่มรื้อผ้าปูที่นอน ข้าวของที่ถูกนำมาจัดใหม่โยนออกไปข้างนอก

“จะทำอะไรของแก ไอ้เด็กเหลือขอ!”

“ที่ผมยอมมาตลอดไม่ใช่ว่าผมอ่อนแอหรอกนะ แต่ถ้ายังจะทำตัวเป็นตัวร้ายในละครแบบนี้ต่อไป ป้ากับพี่ทรายเจอดีแน่” เขายังคงใช้เสียงโทนเดิม ทว่าคนฟังอ้าปากค้างทำพะงาบอยากพูด ตัวสั่นงกราวกับเจ้าเข้าด้วยความโกรธ ซึ่งวิริยะเองก็ไม่ต่างกัน “อย่าคิดว่าคนอื่นเขาไม่มีทางสู้ เขาแค่ไม่อยากเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ ไม่อยากเอาทองไปแลกกับกรวด ผมขอเตือนว่าสิ่งที่ป้ากับพี่ทำ รับรองว่าไม่ใช่แค่พ่อที่จะได้รู้ ผมจะทำให้คนทั้งสังคมรู้ว่าป้ากับลูกสาวป้าเป็นคนยังไง”

“แก!” หล่อนเงื้อทำมือจะตบ หากทว่าวิริยะมองด้วยสายตาเขม็ง

“ผมเป็นผู้ชายนะ อยากโดนต่อยรึไง”

“ลองเข้ามาซี! ฉันจะฟ้องพ่อแกว่าแกทำร้ายร่างกายฉัน คราวนี้แกได้โดนเฉดไปโรงเรียนประจำแน่ คนอย่างแกเหรอพ่อจะเชื่อคำพูด ยังไงเขาก็เชื่อเมียที่แสนดีอย่างฉันมากกว่าอยู่แล้ว เพราะแกมันเด็กเหลือขอ ลูกอีตัวยังไงละ ว้าย!”

แจกันดอกไม้ถูกวิริยะเหวี่ยงลงพื้นอย่างสุดทน “ตัวเองดีนักเหรอ มาว่าแม่คนอื่น”

“แก!” พี่สาวเดินเข้ามาชี้หน้า ยกมือทุบตีวิริยะบันดาลโทสะ “ไอ้เนรคุณ!”

“ใครกันแน่ที่เนรคุณ!”

เด็กหนุ่มร้องขึ้นเสียงดัง “มาอาศัยบ้านคนอื่น เกาะพ่อให้หาเงินเลี้ยงโดยที่ตัวเองนอนกระดิกเท้าสบายใจเฉิบ ถ้าไม่ออกไปช้อปหรือเสริมสวยข้างนอกอาจจะกลายเป็นง่อยแล้วก็ได้ ก่อนจะว่าคนอื่น ก้มดูสารรูปตัวเองตอนเดินมาอยู่กับพ่อของผมวันแรก ๆ ด้วยก็ดี แล้วถ้าไม่อยากไปเดินข้างถนนให้ขี้เหล้าซ้อมเหมือนเมื่อก่อน กรุณาทำดีกับลูกของคนที่คุณเกาะให้มากกว่านี้ด้วย คุณนาย”

วิริยะกำหมัดแน่น มองพวกหล่อนดีดเด้งอารมณ์ขึ้นเพราะกล่าวถึงอดีต “อย่าทำตัวทราม ๆ ต่ำ ๆ ให้น้องสาวผมเห็นมากนัก ผมไม่อยากให้น้องของผมโตมามีนิสัยแบบพวกคุณ ออกไป”

กล่าวจบเด็กหนุ่มก็ชี้นิ้วไล่ เขายอมกลายเป็นไอ้หน้าตัวเมียวันนี้ หากไม่ทำอะไรเพราะคิดว่าพวกหล่อนคงคิดเองได้ทีหลัง แต่ไม่…คนพวกนี้ไร้จิตสำนึก และเขาจะโดนรุกรานอย่างนี้ไปตลอดอย่างย่ามใจ

“หน็อย…” หล่อนกระทืบเท้า

“บอกให้ออกไปไง พวกปรสิต พวกเห็บหมัด!”

“กรี๊ดดดดด!”

“น่าขยะแขยง ขี้เหร่แล้วยังสันดานเสียอีก อีผี!” วิริยะหันไปมองพี่นอกไส้แล้วตะโกนใส่หน้า

“แกว่าลูกฉัน ไอ้เด็กเปรต”

“ผมเปรตกว่าที่คุณคิด อย่ามาบีบผม อย่ามาแตะต้องแม่ผม!” เด็กหนุ่มใช้เสียงโทนต่ำอีกครั้ง แล้วก้มมองคนยืนขบเขี้ยวตรงหน้า “แก่แล้วยังไม่เจียมกะลาหัวอีก ถ้าโดนพ่อเขี่ยทิ้งคราวนี้อย่าหวังว่าจะหาผัวใหม่ได้ ยายหน้าเหี่ยว บอกให้ออกไป!”

วิริยะเก็บข้าวของใส่กระเป๋า ไม่สนเสียงกรี๊ดของสองแม่ลูกข้างนอกเมื่อไม่ได้ดังใจ หลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็ปิดล็อกประตูหน้าต่างห้องพักให้เรียบร้อยแล้วจึงเดินออกมารอเพื่อนอยู่ข้างนอก ก่อนออกมา วิริยะยังไม่ลืมทิ้งท้ายกับแม่ลูกสองคนนั้นไว้

“อย่าไปยุ่งกับห้องของผม ถ้าผมเห็นว่ามีร่องรอยถูกงัด หรือเหมือนมีใครเข้าไป ผมบอกพ่อแน่”

เด็กหนุ่มมองผู้หญิงสองคนอย่างไร้ความรู้สึก หล่อนราวโกรธแค้นแต่ไม่อาจระเบิดอารมณ์ออกมาได้ “ถ้าไม่อยากกลับไปเป็นเมียพวกขี้เหล้าข้างถนน ควรสำเหนียกสถานะตัวเองไว้ด้วยนะ ถึงผมมันจะเป็นเด็กไม่เอาไหน ถูกว่าและเอ็ดก็บ่อย แต่เอาเข้าจริง ๆ ผมเป็นลูกในไส้ของเขา พ่อไม่มีทางตัดผมขาดได้หรอก มีแต่พวกคุณนั่นแหละ ถึงจะพยายามทำให้ตัวเองดูสำคัญยังไง พวกคุณมันก็แค่…คนอื่น”

แล้วก็เดินออกมาด้านนอก

แม้วันนี้เขาดูเหมือนเก่ง ต่อกรกับพวกหล่อนได้ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อกลับมาพวกหล่อนจะหาเรื่องอะไรจัดการกับเขาอีก เพราะสำหรับคนเหล่านั้นแล้ว การไม่เห็นเขาในบ้านเป็นหนามยอกอกคือสิ่งที่ดีที่สุด ไม่แปลกที่จะพยายามหาเรื่องไล่เขาให้ไปเรียนโรงเรียนประจำให้ได้

เขาทนมานานแล้ว สิ่งนี้ เป็นสิ่งเดียวที่เขาตอบโต้ไป

หวังว่าข้างหน้า เขาจะไม่แพ้ภัยให้กับสิ่งที่ตัวเองทำวันนี้ หวังเหลือเกิน…



--๑๐๐--

-------------------------------------------

มาอัพให้อ่านกันแล้วค่า ตอนหน้าน้องวิวได้กลับไปเจออาเชษฐ์อีกแล้ว

แล้วสถานะของวิวกับอิกจะเป็นยังไง ทำไมเพื่อนคนนี้แสดงท่าทางออกนอกหน้าขนาดนั้น

ส่วนอาอัฐษ์ก็เป็นตัวหลักนะคะ เจอกันตอนหน้าค่ะ

กำลังใจที่ดี ช่วยบอกว่าคุณนักอ่านคิดเห็นอย่างไร

1 เม้น ต่อ 1 ตอนนะคะ
หัวข้อ: Re: **{5.3.61-ตอนที่ ๔} Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 05-03-2018 17:17:15

ตอนที่ ๔

“อิกมาถึงรึยังต้อย”

คนถามก้มลงมองนาฬิกาข้อมือดูเวลา บอกว่าตอนนี้ทุ่มครึ่งแล้ว

หลังจากเลิกงาน อาบน้ำอาบท่าชำระกายเสร็จ นายใหญ่ของอาณาจักรรุ่งอรุณีก็เดินลงมาด้านล่างด้วยชุดลำลอง หลานชายบอกไว้ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วว่าจะพาเพื่อนมาพักผ่อนช่วงปิดเทอมที่นี่สักหนึ่งอาทิตย์ เหลือบไปเห็นแม่บ้านเตรียมข้าวปลาครบสำรับแล้ว ฟ้าก็มืดได้นานโข เหตุใดแขกทั้งหลายยังมาไม่ถึงสักที ชายหนุ่มคิดทั้งทิ้งตัวนั่งอยู่บนโต๊ะที่ส่งกลิ่นกับข้าวหอมเรียกน้ำย่อย

และเมื่อเชษฐ์ไชยถาม แม่ต้อยก็หันมาส่ายหน้ากล่าวด้วยเสียงอย่างกันเองเพราะอาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่เจ้านายยังอายุสิบสี่สิบห้า “ยังเลยค่ะนายเชษฐ์ ฉันก็กำลังคิดอยู่ว่ากับข้าวจะเย็นชืดก่อนหรือเปล่า ให้เก็บก่อนไหมคะ”

“ไม่ต้องล่ะ เห็นบอกว่าจวนจะถึงตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว นี่ขับรถหรือนั่งบนหลังเต่า”

คนฟังคลี่ยิ้ม “ใจร้อนอะไรนักคะ หรือว่าวันนี้หิวเป็นพิเศษ เอ…ได้ยินข่าวว่าคุณอิกพาเพื่อนมาเที่ยวด้วยนี่นา คุณหนูตัวเล็กของบ้านป่านนี้จะโตเป็นหนุ่มขนาดไหนแล้วหนอ ไม่ได้มาเหยียบที่นี่หลายปี ไม่รู้คิดยังไงถึงได้มานะคะนายเชษฐ์”

“ค่อยถามมันเอาเองแล้วกัน แล้วนี่แค่เพื่อนหลานฉันมา ต้องใช้ของสิ้นเปลืองขนาดนี้เลยเหรอ”

“แหม นายเชษฐ์ก็ ของพวกนี้จะไปสิ้นเปลืองอะไร บ้านเราปลูกเองเลี้ยงเองทั้งนั้น อีกอย่างบ้านเราไม่มีแขกมาก็นานแล้วนะคะ เพราะเจ้าบ้านเอาแต่ตีหน้ายักษ์ใส่คนละแวกนี้เสียหมด”

“เดี๋ยวเถอะต้อย” เชษฐ์ไชยทำเสียงขุ่นใส่แม่บ้าน นางเห็นก็เพียงยิ้มเอ็นดูเท่านั้น

“ก็มันจริงนี่คะ นายเชษฐ์นะนายเชษฐ์ ใครเข้าหาก็ไม่สนใจ จะมัวปักใจอะไรแต่กับผู้หญิงสารเลวพรรค์นั้น”

“ฉันไม่ได้ปักใจ ฉันเบื่อ”

“เบื่อน่ะซีคะถึงต้องมีความรัก คนเขาว่ากันว่า คนมีความรักมักจะดูเด็กลงไปนิดนึง” นางบิดเอวเต้นท่าน่ารักในขณะจีบปากจีบคอร้องเพลงในช่วงท้าย ภาพคุณป้าอายุราวห้าสิบสวมเสื้อลูกไม้สีขาวและผ้าซิ่นสีน้ำตาลทำท่านั้น ได้เรียกแม่บ้านเด็กหัวเราะกันคิกคักข้างหลัง ยิ่งทำให้ใบหน้าของเชษฐ์ไชยดูเคร่งเครียดและเบื่อไปกว่าเดิม

ชายหนุ่มหันไปถอนใจ “จะทำอะไรก็อายเด็กเสียบ้าง”

“อายอะไรกันคะ สมัยนายเชษฐ์จีบกันกับแม่นั่นใหม่ ๆ ทำตัวน่าอายกว่านี้ตั้งเยอะ อย่าให้ฉันโม้”

“เงียบไปเลยนะต้อย ถ้าต้อยพูดฉันไล่ต้อยไปทำงานที่สวนแน่ โน่น…เสียงเจ้าอิกมันมาแล้ว ไป ๆ ไปช่วยกันขนของจะได้มากินข้าวกินปลา”

“ว่าแต่นายเชษฐ์จะไม่โกนหนวดโกนเคราสักหน่อยเหรอคะ ถ้าโกนสักหน่อย ป่านนี้สาวติดทั้งจังหวัดแล้ว”

“เอ๊ะ ฉันบอกให้ไปไงล่ะต้อย”

ในขณะที่แม่บ้านคนอื่นเกรงกลัวต่อคำสั่งจากนายใหญ่ของบ้าน วิ่งออกไปกันหมดแล้ว  ต้อยยังยืนคลี่ยิ้มมองเชษฐ์ไชยและถามไถ่กระเซ้าอยู่ เพราะรู้ดีว่าวันนี้เชษฐ์ไชยใจร้อนกับการรอแขกมาเยี่ยมเยียน ปกติคนใจร้ายไม่สนโลกคนนี้มีหรือจะแคร์ว่าใครจะมาหรือไป นางส่ายหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม เมื่อมือหนาเคลื่อนมาดุนไหล่เชิงบังคับให้นางเดินออกไปต้อนรับเจ้านายคนเล็กด้วยอีกคน

“ค่า ๆ ต้อยยอมไปแล้วค่า”

“ทำไมต้องให้ขึ้นเสียงใส่ตลอด ฉันกลายเป็นยักษ์เป็นมารก็เพราะเธอนะต้อย” คนตัวใหญ่ด้านหลังบ่นอุบ

“ไม่ต้องมาโทษฉันหรอกค่ะ นายเชษฐ์ชอบเผลอดุคนงานเอง ฉันช่วยไม่ได้นะคะ บอกแล้วว่าให้มีแฟนจะได้ใจเย็นขึ้นหน่อยก็ไม่ยอมเชื่อกัน”

ในระหว่างที่คุย เด็กในบ้านหอบกระเป๋าสองมือทำท่าจะสะดุดล้มหน้าคะมำ ทว่าหล่อนก็ทรงตัวได้ในที่สุด หากแต่เชษฐ์ไชยก็มองทัน ด้วยความปากไวชายหนุ่มก็พูดเอ็ด “เดินดี ๆ หน่อยสิอิน เกิดล้มหัวร้างข้างแตกขึ้นมา เลือดเปื้อนของของแขกมีปัญญาใช้เขาหรือเปล่าก็ไม่ ดูแลให้มันดี ๆ จะได้ไม่มีปัญหา เข้าใจที่ฉันพูดไหม”

“ค่ะ นายเชษฐ์” เด็กรับใช้วัยรุ่นขานตอบเสียงอ่อน แล้วรีบเดินเข้าไปข้างในด้วยกลัวว่าจะถูกเอ็ดอีก

คนยืนข้างหันไปส่ายหน้าให้อย่างหน่ายใจ “พูดไม่ทันขาดคำแท้ ๆ”

เชษฐ์ไชยยักไหล่อย่างไม่สนใจเมื่อเห็นสายตาแม่ต้อย ชายหนุ่มยืนไขว้แขนไว้ด้านหลังอยู่บริเวณหน้าบ้านรอต้อนรับ ส่วนแขกจอดรถอยู่ในโรงรถฝั่งซ้ายของบ้านซึ่งเปิดไฟไว้รอนานแล้ว ที่พักอาศัยของเชษฐ์ไชยกว้างขวางและใหญ่โตสมฐานะนายใหญ่แห่งอาณาจักรรุ่งอรุณี อยู่ท่ามกลางท้องทุ่ง เฉพาะทางเข้าก็กินเนื้อที่แล้วหนึ่งกิโลเมตร ถูกล้อมรอบด้วยไม้ดอกไม้ประดับหลากชนิด

ตัวบ้านเป็นบ้านไม้สีเหลืองเข้มหลังใหญ่เคลือบสีมันวาวดูใหม่อยู่ตลอด มีอยู่สองชั้น ประตูหน้าต่างเป็นกระจก มีเหล็กดัดลวดลายสวยงามปิดล็อกอย่างแน่นหนา ที่ทำให้ดูเด่นจนสะดุดตาคือดอกกุหลาบสีขาวที่ถูกจัดแต่งล้อมรอบตัวบ้าน ลามไปจนถึงโรงจอดรถที่เหล่าแขกต่างพากันยกกระเป๋าสะพายบนหลังและลงไปรวมตัวกัน เชษฐ์ไชยที่ยืนมองอยู่ไกลนึกแปลกใจว่าเหตุใดตัวเองจึงถอยกรูดไปตั้งหลักจนแม่ต้อยสงสัย หรือหาที่กำบังร่างตนเองทั้งที่มั่นใจว่าที่นี่ไม่มีภัยอันใดทำให้เขาเกรงกลัวได้

อาจเป็นเพราะเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ผู้ผอมโปร่ง ผิวขาว ตาเรียว คนเดียวกันกับคนที่อยู่ในโทรศัพท์ของเขากระมัง เด็กหนุ่มที่เข้าใจว่าเชษฐ์ไชยเป็นเพียงคนสวนของครอบครัวมาโดยตลอด ซึ่งนายใหญ่ของที่นี่ก็มั่นใจว่าหากเด็กวิวเห็นเขาตอนนี้คงตกใจเป็นแน่

“นายเชษฐ์จะไปไหนคะ รอรับแขกก่อนสิ”

“อ๋อ…ฉันนึกขึ้นได้ว่ามีธุระต้องจัดการให้เสร็จก่อนพรุ่งนี้ เอากาแฟขึ้นไปให้ด้วยนะต้อย”

“เดี๋ยวสิคะ อยู่ทักทายกันแค่ไม่กี่นาทีก็ได้…” นางมองตามเจ้านายด้วยความงุนงง เชษฐ์ไชยมีท่าทางผิดแปลกไปอย่างเห็นได้ชัดเมื่อมองไปยังกลุ่มเด็ก ๆ เพื่อนของอัศวิน ราวกับกำลังเจอผี พูดไม่ทันจบดี ร่างใหญ่ก็ถอยกรูดแล้วหมุนตัววิ่งกลับเข้าไปในบ้านเสียอย่างนั้น คนมองทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าให้อย่างมิอาจเข้าใจความคิด ก่อนจะหันมายิ้มรับเด็ก ๆ ที่มาถึงก็ยกมือไหว้ทักทาย

“ว้าย คุณหนูตัวเล็กของป้าโตเป็นหนุ่มขนาดนี้แล้วเหรอคะเนี่ย ขอป้ากอดให้ชื่นใจสักที คงไม่รังเกียจใช่ไหมคะ”

นางทำเสียงตื่นเต้นมองเจ้านายที่เคยตัวเล็กสูงราวเอว นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่นางเห็นอัศวิน เพราะคุณอิทธิ บิดาของอัศวินหรือพี่ชายของเจ้านายนางต้องการตีตนออกห่างด้วยอยากสืบทอดธุรกิจ ใช้ชีวิตติดหรูทำตัวสูงส่ง เท่านั้นยังไม่พอ เพราะคำพูดของคุณอิทธิทำให้บิดาของสองแฝดเกลียดขี้หน้าเชษฐ์ไชย กล่าวหาว่าเชษฐ์ไชยก้าวร้าวและทำตัวไม่ดีอยู่บ่อย ๆ

น่าเสียดายที่รวยไปก็เปล่า พี่น้องมองกันเป็นศัตรูเพื่อแก่งแย่งชิงดี พี่ชายคนโตค่อนข้างขี้อิจฉา เหตุที่เชษฐ์ไชยผูกพันกับที่นี่มากกว่าเพราะได้อาศัยมาตั้งแต่วัยรุ่นกับคุณปู่ ต้นเหตุก็เพราะทะเลาะกับพี่ชายคนโตจนถึงขั้นชกต่อย แต่บิดาไม่ฟังความของเชษฐ์ไชยสักครั้ง เพราะเห็นว่าลูกชายเป็นคนมุทะลุ จึงไล่ให้มาอยู่กับคุณปู่ที่นี่

ยังดีหน่อยที่แต่เดิมธุรกิจนี้คุณไกรเลิศ ปู่ของสองแฝดเป็นคนบุกเบิกและสร้างมาจนยิ่งใหญ่ และท่านก็ยังรักและขอบคุณเชษฐ์ไชยเสมอที่คอยดูแลไร่ให้ท่านมาโดยตลอด บ้านหลังนี้เป็นของท่านกับคุณย่า แต่หลังคุณย่าเสียตั้งแต่วัยกลางคน ท่านก็เดินทางไปอยู่ร่วมกับคุณแม่ของเชษฐ์ไชย นางกับคุณปู่พยายามขอร้องให้เชษฐ์ไชยกลับไปอยู่ด้วยกัน

เชษฐ์ไชยก็ตอบกลับไปว่าเปล่าประโยชน์ที่จะชวน ตราบใดที่บิดาและพี่ชายอยู่ตรงนั้น

เมื่อหวนคิดแล้วต้อยก็สะบัดหน้า ทุกอย่างคงเปลี่ยนไปแล้วกระมัง ตั้งแต่เชษฐ์ไชยได้รับตำแหน่งซีอีโอของบริษัท การให้ลูกชายมาทำดีกับอานอกคอกคนนี้ไว้มันคงเป็นทางที่ถูกแล้ว ใจจริงต้อยไม่อยากคิดเช่นนี้เลย แต่เหตุการณ์ที่เชษฐ์ไชยถูกกระทำเมื่อก่อนมันจำต้องทำให้คิด

นางจำชื่อเด็ก ๆ ราวห้าหกคนได้ไม่หมด เพราะมีแต่คนมีชื่อเรียกยากทั้งนั้น คนแก่ที่อาศัยอยู่แต่บ้านนอกอย่างนางลิ้นแข็งและรู้สึกกระดากอาย แต่จำได้จากลักษณะท่าทางเอาเสียมากกว่า โดยเฉพาะเด็กผู้ชายผิวสีขาวสะอ้านค่อนข้างยิ้มเก่งที่แนะนำตัวเองว่าจะมาทำงานที่นี่ แม้ท่าทางเจ้าตัวจะผอมบางเกินกว่าจะทำงานอะไรได้ก็ตาม

“ฝากป้าต้อยดูแลมันด้วยนะ” อัศวินบอก แล้วต้อนพาเพื่อนเดินเข้าไปด้านใน ครั้นเห็นสายตาตื่นเต้นของทุกคนยามสำรวจบ้านแล้วผู้ดูแลมาโดยตลอดอย่างนางก็พลอยยิ้มด้วยความเอ็นดู

นอกนั้นยังได้พบกับอัษฐไชยอีกด้วย “คุณอัฐษ์ ยังหล่อเหมือนเดิมเลยนะคะ”

“แม่ต้อยก็สวยเหมือนเดิมเลย”

“ต๊าย! คนอะไรปากหวานตั้งแต่เด็กจนโต ปากหวานอย่างนี้มีแฟนรึยังคะ” นางทำเสียงคนบ้ายอจนเรียกรอยยิ้มของอัฐษไชยได้อีกครั้ง ชายหนุ่มเพียงโคลงศีรษะตอบ “จะไปมีได้ยังไงกันเล่า วัน ๆ ฉันก็เอาแต่ทำงาน”

“สองพี่น้องนี่สมกับเป็นแฝดจริงเชียว หวงชีวิตโสดไปทำไมกันคะ”

“ก็ผู้หญิงแบบแม่ต้อยหายากยังไงล่ะ แม่ต้อยน่ะ สเปคฉันเลยนะ” อัฐษไชยยิ้มสุขุม

“ขอโทษนะคะ ถึงคุณอัฐษ์จะสารภาพอย่างนี้แล้ว แต่ฉันเลิกกับไอ้แสวงไม่ได้จริง ๆ อีกอย่างฉันไม่อยากจับปลาสองมือด้วย เพราะนายเชษฐ์ก็บอกแบบนี้กับฉันเหมือนกัน คุณสองคนนี่เป็นแฝดแล้วยังสเปคเหมือนกันอีกนะคะ” นางพูดเป็นตุเป็นตะ เรียกรอยยิ้มของคนฟังอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ แล้วทั้งคู่ก็เดินตามเด็ก ๆ เข้าไปข้างใน

“อย่างนี้ผมก็อกหักน่ะสิ” คนตัวสูงแกล้งล้อ

“โถ คุณอัฐษ์ก็รู้จักหาวิธีแซวฉันนะคะ ไปทานข้าวเถอะค่ะ เตรียมไว้รอแล้ว เดี๋ยวเย็นชืดเสียหมด”

ตาคมเหลือบมองไปทั่วบ้าน เมื่อนึกขึ้นมาได้

“แล้วเชษฐ์ล่ะ ไปไหน” คนเดินพร้อมกันถามขึ้น เพราะเมื่อตอนเย็นยังตอบชายหนุ่มอยู่เลยว่าอยู่บ้าน ไม่ได้มีธุระออกไปไหน มิหนำซ้ำยังบอกอยู่ว่าจะเตรียมมื้อเย็นทานด้วยกัน ทุกคนจึงหิ้วท้องรอมากินที่นี่แม้จะหิวกันขนาดไหน เขากลัวเหลือเกินว่าคนผอม ๆ ที่เอาแต่เงียบบนรถจะเป็นลม

“โอ๊ย รายนั้นน่ะวิ่งขึ้นไปข้างบนแล้วค่ะ เห็นว่างานด่วนต้องรีบทำ ไปเถอะค่ะเด็ก ๆ ท่าทางหิวแย่แล้ว”

“จ้า ๆ” ชายหนุ่มตอบเสียงหวาน เดินตามแรงจูงคนอายุมากกว่าผู้สวมผ้าซิ่นย่ำเท้าดุ่ม ๆ นำ โดยไม่สนว่าเข็มขัดเงินจะหลุดแล้วผ้าจะไปกองลงอยู่ที่ตาตุ่มหรือไม่ อัฐษไชยคลี่ยิ้มมองคนอาวุโสใจดี ผู้เคยเป็นพี่เลี้ยงของพวกเขาในวัยเด็กด้วยความรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้กลับมาอีกครั้ง หลังจากอาศัยอยู่ภายในบ้านที่กว้างขวางทว่าไม่มีอะไรเลย

เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเชษฐ์ไชยถึงไม่อยากจากที่นี่ไป

แต่บางทีก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ทำไมพี่ชายถึงทิ้งเขาให้เผชิญทุกอย่างที่นั่นเพียงลำพังแล้วมามีความสุขที่นี่

ทำไม…





 

หิวโว้ย!

เชษฐ์ไชยในชุดนอนกางเกงขายาวกับเสื้อยืดแขนสั้นผุดลุกขึ้นนั่งอย่างหงุดหงิด เหลือบมองนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงเขาต้องลุกออกไปทำงาน แต่เพราะความหิวโจมตีคนตัวยักษ์ใหญ่อย่างเขาไม่เลิก ทำให้ชายหนุ่มไม่อาจข่มตาหลับลงได้แม้จะเข้านอนตั้งแต่หัววัน ท้ายที่สุด เชษฐ์ไชยก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ทุกคนคงเข้านอนเร็วเพราะเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย ลงไปตอนนี้คงไม่มีปัญหาอะไร…มั้ง

ร่างสูงเดินออกไปข้างนอกแล้วหยุดชะงักที่หัวบันไดเพื่อเงียบฟังสถานการณ์ ไฟด้านบนปิดสนิท มีเพียงแสงน้อย ๆ จากห้องครัวสาดมาเท่านั้น ชายหนุ่มค้อมตัวมองประตูของแขกแต่ละบานก็ปิดไฟมืด บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าทุกคนแยกย้ายไปพักกันแล้ว

ได้ยินเสียงคนล้างจานชาม น่าจะเป็นแม่ต้อยกับลูกสาวที่ยังอยู่ดึกดื่นเพราะดูแลแขก นางจัดการทุกอย่างเสมือนที่นี่เป็นบ้านของตนเอง นั่นแหละที่ทำให้เชษฐ์ไชยรู้สึกวางใจยามไม่อยู่เพราะรู้ดีว่าแม่ต้อยจะทำหน้าที่ตนเองเป็นอย่างดี ชายหนุ่มจึงเดินลงไปข้างล่าง “ทำอะไรน่ะ!”

“ตาเถร!” นางสะดุ้ง แม้จะอยู่กับลูกสาวก็ยังผวา หันกลับมาทำหน้าดุเชษฐ์ไชยใหญ่ “นายเชษฐ์! เกิดฉันหัวใจวายตายขึ้นมาจะทำยังไงคะ เห็นสวย ๆ สาว ๆ อย่างนี้จะหกสิบแล้วนะคะ จะแกล้งเหมือนตอนเด็ก ๆ ไม่ได้แล้ว”

“ต้อยนั่นแหละ โดนประจำแล้วยังไม่หายอีก ว่าแต่มีอะไรกินบ้าง ฉันหิวน่ะ”

“ไม่มีหรอกค่ะนายเชษฐ์ ดึกขนาดนี้จะมีอะไรละคะ ของที่เหลือนายเชษฐ์ก็บอกให้เด็กที่บ้านกินหมดแล้ว” หน่อย ลูกสาววัยสิบหกปีของต้อยตอบพลางเช็ดถ้วยชามช่วยแม่ที่เพิ่งล้างเสร็จไปพลาง เด็กคนนี้มีความกตัญญู ว่างเมื่อไรเป็นต้องมาช่วยมารดาทำงานที่บ้านตลอด ซึ่งนอกจากจะได้เงินเดือนแล้ว เชษฐ์ไชยยังเอ็นดูส่งเสียให้เรียนเองด้วย เขาเห็นหน่อยเป็นเหมือนน้องสาวตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง

“ไม่มีอะไรเหลือเลยเหรอ ไอ้คนพวกนี้ กะกินล้างกินผลาญเลยรึไง”

“ก็นายเชษฐ์บอกเองนี่คะว่าเหลือก็ทิ้งไปเปล่า ๆ ให้กินกัน หรือไม่ก็ห่อไปให้พ่อแม่ที่บ้าน ตอนนี้น่าจะมีแค่ข้าวไข่เจียวค่ะ เพราะมันมืด ถ้าไปสวนก็กลัวเดินเหยียบคองูเข้า มีแค่นี้กินไหมคะ” หน่อยตอบด้วยรอยยิ้ม เชษฐ์ไชยพยักหน้าตอบแบบขอไปทีขณะนั่งรอบนโต๊ะ เห็นเช่นนั้นเด็กสาวจึงหันบอกมารดา “แม่ ทำข้าวไข่เจียวให้นายเชษฐ์หน่อย จะได้กลับบ้านไปนอนได้แล้ว”

ชายหนุ่มถอนใจ “ก็นอนห้องข้างล่างนี่ได้ ทำอย่างไม่เคยแอบนอนตอนฉันไม่อยู่”

สองแม่ลูกมองหน้ากัน แล้วหัวเราะคิก “ไม่เอาหรอกค่ะ วันนี้แขกเยอะ ไม่อยากรบกวน อีกอย่างเดินไปแค่ไม่กี่ก้าวก็ถึงบ้านแล้ว หน่อยกับแม่ถือเสียมไปคนละอัน คุณเชษฐ์ไม่ต้องกลัวนะคะว่าใครจะมาฉุดเรา”

“ใครมันกล้ามาหยามในถิ่นฉัน ฉันจะจับมันขึงเชือกทรมานให้ดู”

แม้จะเป็นคำพูดที่ดูโหดร้าย แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยจนสองแม่ลูกสัมผัสได้

อันที่จริงบ้านพักของทั้งสองไม่ได้ไกลและอยู่ในเขตดูแลของไร่อรุณีนี่เอง บ้านหลังนี้อยู่บนเนินเขาขนาดเล็กที่ดูไม่ชัน แต่มองไกล ๆ ก็เห็นเป็นคล้ายเขาลูกเล็กลูกหนึ่งซึ่งมีบ้านตั้งอยู่ มองลิบ ๆ เหมือนหลังเล็กแต่ครั้นมาถึงแล้วทุกคนต้องตกใจกับขนาดของมัน เดินลงเนินไปเพียงร้อยเมตรก็เป็นบ้านพักของคนงานที่อยู่ไกลต่างอำเภอ ซึ่งเชษฐ์ไชยทำไว้เพื่อรองรับ บางห้องเป็นเพื่อนร่วมรุ่น บางห้องเป็นครอบครัว ด้านในก็มีเตียงซึ่งแล้วแต่ว่าคนงานจะขนของอะไรมาใส่เพิ่มเติม เพื่อความประหยัด ห้องน้ำจะเป็นห้องรวมทว่าแยกระหว่างชายหญิงอย่างละสองห้อง อยู่คนละฟากเพื่อความปลอดภัยและถูกต้อง แต่ส่วนใหญ่คนงานหญิงจะแอบไปดูคนงานชายมากกว่า

บ้านของต้อยดีหน่อยเพราะอยู่มานาน ของนางได้เป็นหลังเล็ก ๆ ที่มีห้องพักและห้องน้ำส่วนตัว เชษฐ์ไชยอาสาต่อเติมให้เพราะเห็นว่าหน่อยกำลังโตเป็นสาวแล้ว นี่คือพระคุณอย่างหนึ่งที่ต้อยรำลึกถึงอยู่เสมอว่าเจ้านายไม่เคยลืมพวกนางเลย

ครั้นแล้วเสร็จต้อยก็วางจานข้าวไข่เจียวลงต่อหน้าเจ้านาย กลิ่นหอมของมันลอยฟุ้งไปทั่วทั้งห้องครัว “งั้นฉันกลับบ้านก่อนนะคะนายเชษฐ์ พรุ่งนี้อยากทานอะไร ฉันจะได้เตรียมให้”

“แล้วแต่ต้อยเห็นสมควร”

เชษฐ์ไชยไม่สนใจสิ่งอื่นนอกจากอาหารตรงหน้า หน่อยวางแก้วน้ำไว้ข้างคนตัวโตแล้วหันมองมารดาอย่างไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดนายใหญ่ของบ้านต้องทำร้ายตัวเอง ปล่อยให้หิวจนดึกดื่นอย่างนี้ ทว่าไม่ได้เอ่ยอะไร ทั้งคู่เดินออกไปอย่างเงียบ ๆ ทิ้งให้เจ้านายมีความสุขกับอาหารตรงหน้าเท่านั้น

ทว่า กินได้ไม่กี่คำเท่านั้น เชษฐ์ไชยก็สำลักอาหารในปากอย่างเฉียบพลัน เมื่อมีใครเดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะที่เขากำลังสำราญกับของกิน ไม่ใช่แม่ต้อยลืมของ ไม่ใช่ผี แต่เป็นเด็กหนุ่มตัวผอมผิวขาวสะอ้านที่เขาพยายามหลบเมื่อหัวค่ำที่ผ่านมานี้ต่างหาก!

“พี่หนวด”

อีกฝ่ายมองเขาด้วยรอยยิ้มพราวที่คาดเดาไม่ได้

“อั่ก!” เชษฐ์ไชยทุบอกตัวเอง รีบยกน้ำดื่มอย่างตกใจ

“พี่หนวด พี่จริง ๆ ด้วย!” คนตรงหน้ายิ้ม เห็นเชษฐ์ไชยหน้าดำหน้าแดงกระหืดกระหอบยกน้ำดื่มไม่หยุดก็เดินมาช่วยลูบหลัง “กินช้า ๆ ก็ได้นี่พี่ ไปตายอดตายอยากมาจากไหน หรือกลัวเจ้าของบ้านลงมาเห็นเหรอ เห็นเขาว่ากันว่าคุณเชษฐ์ดุอย่างกับหมาร็อตไวเลอร์แหนะ”

จะให้เขาบอกตรง ๆ ว่าตกใจมันงั้นหรือ เชษฐ์ไชยหอบหายใจ “แล้วเธอล่ะ มาแอบกินอะไรในครัวคนอื่นฮะ”

“ถามคนอื่นแบบนั้น คิดว่าเขาจะทำเหมือนพี่งั้นเหรอ แล้วพี่เข้ามาได้ยังไง แม่บ้านล็อกบ้านไม่ดีงั้นเหรอ หรือว่าพี่จะมาปล้นบ้านเจ้านาย สรุปพี่เป็นโจรรึเปล่าวะเนี่ย” เด็กวิวทำหน้าตาตื่นเต้น

“ต้องเป็นโจรแน่ถ้าเธอยังไม่เอาเงินมาคืนฉัน แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เป็น โจรบ้าที่ไหนวะจะมานั่งกินข้าวบ้านคนอื่นสบายใจเฉิบ ของมีราคาก็ตั้งอยู่เยอะแยะ” แล้วเขาจะไปอธิบายกับเด็กนี่ทำไมกัน เชษฐ์ไชยมุ่นคิ้วตักข้าวไข่เจียวกินอย่างอารมณ์เสีย รู้อย่างนี้บอกความจริงแล้วได้กินของดี ๆ เมื่อตอนเย็นยังดีกว่า เพราะยังไงเด็กนี่ก็ได้เห็นเขาอยู่ดี

“ก็กำลังมาทำงานหาเงินใช้หนี้พี่อยู่นี่ไง” วิริยะตอบ

“ว่าไงนะ” คนหน้าหนวดย้อนอย่างไม่เข้าใจ อย่าบอกนะว่าเพื่อนที่จะมาทำงานช่วงปิดเทอมที่อัศวินพูดถึงคือไอ้เด็กผอมกะหร่องแทบไม่มีแรงเดินคนนี้ อีกอย่าง ไหนจะผิวสีขาวละเอียดนี่อีก บ่งบอกชายหนุ่มอยู่แล้วว่าไม่เคยเจอแดดและงานหนัก ๆ มาก่อน แล้วจะไปทำงานกับพวกคนงานคนอื่นได้อย่างไร เกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาก็มาหาว่าเขาใช้งานหนักเกินไปอีก

“ก็ผมจะมาทำงานที่นี่ไง พี่เองก็ทำงานที่นี่เหมือนกันเหรอ” คนตรงหน้าทำตาแป๋ว เปลี่ยนมาตีสนิทอย่างสังเกตได้

“อ๋อ อืม…”

“แล้วพี่ทำงานอะไร โอ๊ย! ดีใจ งั้นผมก็ไม่เหงาแล้วน่ะสิ มีพี่ทำงานอยู่ที่นี่ด้วย แล้วพี่ก็สอนงานผมหน่อยนะ นะพี่หนวดนะ” เด็กหนุ่มหน้าใสจนออกไปทางซีดเดินมากุมต้นแขนเขาเขย่าดีใจจนออกนอกหน้า สัมผัสจากฝ่ามือนั้นบอกชายหนุ่มอีกครั้งให้รู้ดีว่าวิริยะไม่เคยผ่านงานพวกนี้มาก่อน มันนิ่มและบอบบาง

“ไม่รอดหรอก เธออยู่ที่นี่ไม่รอดหรอก”

คนฟังแปลกใจ “หมายความว่าไงวะพี่ พี่ดูถูกผมเหรอ”

“เออ โคตรดูถูกเลย ก้มดูสภาพตัวเองรึยังก่อนคิดจะมาทำงานที่นี่ กลับไปตีระนาดอย่างเดิมน่ะดีแล้ว” มือใหญ่ตักข้าวทำท่าจะกิน หากทว่าคนตัวเล็กกลับอ้าปากแล้วดึงมือใหญ่ไปงับกินเสียเอง พูดเสียงอู้อี้เพราะข้าวเต็มปากว่า “พี่มีสิทธิ์อะไรมาตัดสินผม มาไล่ผมกลับไปอีกแล้วเนี่ย ตัวเองเป็นแค่คนสวน รู้ไหมว่าผมเป็นใคร”

“แล้วเธอรู้ไหมฉันเป็นใคร…”

“พี่หนวด!” วิริยะไม่ได้เสียงดังแค่ร้องด้วยความตกใจ เพราะได้ยินเสียงฝีเท้าเหมือนมีใครเดินลงบันไดมา เด็กหนุ่มกระตุกดึงคนตัวโตกว่าไปอยู่หลังตู้เย็นตัวใหญ่ให้ไหล่กว้างพิงกับกำแพง ราวเป็นสัญชาติญาณที่ต้องช่วยเหลืออีกฝ่ายเพราะกลัวจะถูกเจ้านายจับได้แล้วไล่ออก หากรู้ว่าพ่อหน้ากอริลล่าคนนี้แอบย่องเข้ามาหาของกินถึงในบ้าน

นิ้วมือเรียวยาวปิดริมฝีปากคนตัวโตกว่าแล้วยกนิ้วชี้อีกข้างบอกให้เงียบเสียงลง เมื่ออีกฝ่ายพยายามดิ้นให้หลุด “เดี๋ยวก็โดนไล่ออกหรอก พี่อยากตกงานรึไง เงียบไปเลย เดี๋ยวผมออกไปดูเองว่าใครมา”

เชษฐ์ไชยอยากจะบ้า ยามคนตัวเล็กอมข้าวไว้เต็มปากแล้วถลึงตาราวตกใจอะไรอยู่ทำให้เขานึกถึงหนูแฮมสเตอร์จอมซนขึ้นมา ดูเหมือนเจ้าตัวจะตกใจจนลืมเคี้ยวข้าวในปากจริง ๆ เห็นเช่นนั้นแล้วเขาก็จะยอมทำตามความประสงค์อีกฝ่ายให้แล้วกัน ครั้นพยักหน้ารับ วิริยะก็ลดมือที่กุมปากสากของเขาลง ไม่รู้ทำไม ความร้อนจากมือนุ่มยังไม่ยอมจางหายไปแม่ว่าเด็กคนนั้นเดินห่างออกไปแล้ว

“ใครอยู่ในครัว”

เสียงของน้องชายเขานี่ อัฐษไชย

“ผมเองครับ อาอัฐษ์” เสียงเด็กหนุ่มตอบสดใสอย่างเช่นทุกครั้ง

“วิวเองหรอกเหรอ มาทำอะไรในครัวตอนนี้ หืม ฉันก็คิดว่าเสียงผีบ้านผีเรือนที่ไหนคุยกัน”

“คุยอะไรกันครับ ไม่มี๊ สงสัยอาอัฐษ์ได้ยินเสียงละครที่ผมดูในโทรศัพท์มั้งครับ” เด็กหนุ่มทำตาโตโกหก รีบเคี้ยวข้าวในปากตุ้ย ๆ ไปด้วย เป็นภาพที่น่าดูสำหรับคนมองที่ยืนอยู่เบื้องหน้าจนผุดยิ้มขึ้น

รู้เช่นนั้นเชษฐ์ไชยจึงแอบชะเง้อมองไปออกไป เห็นวิริยะยืนอยู่ขอบประตูพูดคุยกับอัฐษไชยซึ่งสวมชุดนอน ด้านนอกเป็นเสื้อคลุมที่ไม่ได้มัดปิดชุดไว้ แต่ที่น่าแปลกใจ เขาไม่ได้เห็นสายตาของน้องชายแบบนั้นมาเนิ่นนานเท่าไรแล้ว สายตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูยามมองอะไรสักอย่าง “แล้วสรุปลงมาทำอะไรกลางดึก มาดูละครเหรอ”

“อ๋อ…ผมลงมาหาอะไรกินน่ะครับ รู้สึกหิวน่ะ เลยดูละครไปพลาง แหะ ๆ” วิริยะเกาหัวแกรกตอบด้วยเสียงไม่เต็มนัก ก็เพราะว่ากำลังโกหกน่ะซี คนแอบฟังส่ายหน้าให้กับความเจ้าเล่ห์ของเด็กนี่ มาทำงานที่นี่ก็ดี พ่อคนจอมแถจะได้เรียนรู้การใช้ชีวิตขึ้นอีกเยอะแน่ ด้วยน้ำมือของนายเชษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้อย่างไรเล่า

“จริงซีนะ เมื่อตอนเย็นเห็นว่ากินนิดเดียว เอาแต่นั่งเงียบ” กล่าวพลางเอื้อมมือหยิบเศษข้าวบนแก้มเด็กตรงหน้าออก

คนฟังนิ่งไป ส่วนหนึ่งเพราะนึกตกใจที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนั้น “อะ ครับ”

สองคนนี้มันอย่างไรแน่ เชษฐ์ไชยคิดทั้งมองทั้งสองอย่างไม่วางตา

“งั้นอาไปพักเถอะครับ ขับรถมาตั้งไกล เดี๋ยวผมกินข้าวเสร็จก็ขึ้นไปแล้ว”

“อยู่คนเดียวได้นะ”

“ได้ครับ สบายมาก” วิริยะยักไหล่ท่ามกลางรอยยิ้มเอ็นดูของผู้จับตามองอยู่ตรงหน้า ก่อนอัฐษไชยจะหมุนตัวกลับไปยังห้องพัก

ทั้งสองปล่อยให้อัฐษไชยเดินขึ้นไปด้านบน เงี่ยหูฟังจนรู้ว่าเข้าไปในห้องแล้ว เชษฐ์ไชยจึงได้ออกมายืนหยุดอยู่ด้านหลังของเด็กหนุ่มอย่างไม่เข้าใจสายตาน้องชายตัวเองยามมองเด็กวิวนี่ ครั้นเด็กหนุ่มหันกลับมาโดยไม่ทันรู้ว่าเขาอยู่ข้างหลัง ตัวเล็ก ๆ สะดุ้งโหยงเมื่อชนกับหน้าอกเขา และเป็นช่วงเวลาที่เชษฐ์ได้เห็นอย่างเต็มตาว่าทำไมน้องชายฝาแฝดจึงได้ใช้สายตาเช่นนั้นมองเด็กตรงหน้า

ในระยะแค่คืบที่ทั้งสองสบตากัน บอกสเน่ห์บางอย่างให้เขาได้รู้สึก แต่เพียงแค่ไม่นานเท่านั้นวิริยะก็ถอยตัวออก “โอย ตกใจหมดเลยพี่ เดี๋ยวผมไปนอนก่อนนะ ส่วนพี่น่ะรีบกินแล้วก็รีบออกไปได้แล้ว แล้วก็ล็อกบ้านให้ดี ๆ ด้วยนะ รู้ไหม ผมจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ไม่บอกเจ้านายพี่ เพราะงั้นแลกด้วยการให้พี่สอนผมนะ ไปล่ะ”

เชษฐ์ไชยไม่อาจหยุดคิดได้ ว่าน้องชายของเขากำลังตกหลุมรักหน้าใส ๆ ขนตายาว ๆ และเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กคนนี้

เขาไม่รู้ว่ารสนิยมของน้องชายเป็นแบบไหน อันที่จริง…เขาไม่รู้เลยต่างหากว่าอัษฐไชยชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร ในแววตาของน้องชายร่วมท้องยามสบตากัน แม้จะใช้คำพูดที่ดี แต่ทว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความเย็นชาและห่างเหิน หรือเขา…รู้จักอัฐษไชยน้อยไปกันหนอ

ชายหนุ่มกอดอกคิด พลางมองตามร่างผอมโปร่งของวิริยะไปด้วยความสงสัย





-------------------------------------------------------------------------

มาเจอกันที่ไร่แล้ว พอทั้งสองได้เจอกัน จากหม่น ๆ จะมีแต่ความสดใสน่ารัก แล้วคุณนักอ่านทุกคนจะค่อย ๆ ตกหลุมรักอาเชษฐ์กับน้องวิวทีละนิด จนกลายเป็นโงหัวไม่ขึ้น อิอิอิอิ

หนูนาตั้งใจจะเขียนให้ทั้งสองมีความขุ่น เทา ในเส้นทางของตัวเอง แต่พอมาเจอกันทำให้ทั้งสองรู้สึกผ่อนคลายและเป็นตัวของตัวเอง มีทะเลาะ มีเถียง และเริ่มสนิทกัน และมองกันเป็นคนพิเศษในที่สุด เพราะฉะนั้นนักอ่านทุกคนได้ได้ฟินแบบยาว ๆ แน่นอนค่ะ

หัวข้อ: Re: **{5.3.61-ตอนที่ ๔ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 07-03-2018 16:14:11
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: **{5.3.61-ตอนที่ ๔ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 07-03-2018 22:09:18
 :z2: :z2: :z2:
โหย อะไรจะไปสนิทกับพี่หนวดได้เร็วขนาดนั้น
อย่าลืมสิ ตัวเองเป็นคนทำให้รถคนอื่นเสียหายนะ
หัวข้อ: Re: **{5.3.61-ตอนที่ ๔ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-03-2018 00:42:43
 นึกว่าจะไม่ลุกมาสู้คนซะแล้ว ไม่อย่างนั่รตะเป็นอะไรที่น่ารำคาญมาก
หัวข้อ: Re: **{5.3.61-ตอนที่ ๔ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 08-03-2018 12:07:16
ติดตามค่ะ อยากเห็นวิวจัดการนังสองแม่ลูกมากๆ!!!
หัวข้อ: Re: **{5.3.61-ตอนที่ ๕ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 09-03-2018 14:23:57



ตอนที่ ๕

เข้าวันที่สองในการพักผ่อน ในเช้าวันถัดมาวิริยะยังไม่มีโอกาสได้พบนายเชษฐ์ เจ้าของไร่ที่นี่เลย เพราะได้ยินว่าเป็นคนห่วงงานและค่อนข้างมีนิสัยที่จู้จี้เรื่องความเรียบร้อยมากเป็นพิเศษ จึงมักออกไปควบคุมคนงานด้วยตนเอง เมื่อถึงเวลาอาหารเช้า ทุกคนต่างเตรียมตัวทักทายเจ้าบ้าน แต่แม่ต้อยบอกว่าเชษฐ์ไชยลุกไปไร่ตั้งแต่ตีสี่กว่า ๆ แล้ว สรุปว่าวันนี้จนถึงห้าโมงเย็น เด็ก ๆ ก็ยังไม่มีโอกาสทักทายเจ้าของบ้าน

แม้แต่อัฐษไชยยังไม่เข้าใจพี่ชายตนเองเลย

ช่วงสายหน่อย ๆ อัศวินก็พาเพื่อนทุกคนออกไปเที่ยวชมอาณาจักรรุ่งอรุณีด้วยการให้ลุงแสวง คนที่สวนขับรถเป็นสารถีให้ เพราะเกรงใจอาอัฐษ์ที่ขับรถมาส่งเมื่อวาน ไม่ไกลจากไร่รุ่งอรุณีเป็นอุทยานแห่งชาติ น้ำตกอยู่ในช่วงไหลเอื่อย ไม่มากทว่าพอมีน้ำให้เล่น เด็ก ๆ ผู้เคยอยู่แต่ในเมืองซึ่งรายล้อมไปด้วยป่าปูนซีเมนต์ต่างตื่นเต้นกันยกใหญ่ ยกกล้องขึ้นมาถ่ายเก็บภาพความทรงจำกันถี่ระรัวไม่กลัวเมมโมรี่เต็ม

“เล่นน้ำกันเถอะ”

เพื่อนทุกคนชวนกัน ทว่าวิริยะออกตัว “กูไม่เล่นนะ ขี้เกียจเปลี่ยนเสื้อผ้า”

“มึงเอาเสื้อผ้ามาเผื่อมั้ย” อัศวินถาม วิริยะคิดว่าเพื่อนต้องการยืมเพราะไม่ได้ติดมือมา ชายหนุ่มจึงพยักหน้ารับ จะหันไปหยิบเสื้อในกระเป๋าที่สะพายมา ร่างเด็กหนุ่มก็ลอยขึ้นด้วยแรงยกของเพื่อนตัวใหญ่

“เฮ้ย! ไอ้อิก!”

“ไม่เล่นเหรอ งั้นมึงเปียกคนแรกเลย!”

“อ๊ากกกกก!” ตัวบางลอยละลิ่วลงน้ำตูมใหญ่ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนคนอื่นและลุงแสวง จากนั้น ทุกคนก็ถอดเสื้อผ้าเหลือเพียงกางเกงบ็อกเซอร์ชั้นใน แล้วกระโดดลงตามวิริยะไป นอกเสียจากเสียงสายน้ำกระทบกับโขดหินแล้ว เสียงความสุขของพวกเขาในวันนั้นยังดังก้องไปทั่วอุทยาน

“เอ้า มองกล้องนะครับ” เสียงคนแก่ร้อง

“ถ่ายดี ๆ นะลุงแหวง”

ภาพเด็กหนุ่มวัยรุ่นเปียกปอนไปด้วยน้ำ เกาะกลุ่มหันหน้าเข้าหากล้อง ภาพและความรู้สึกนี้คงถูกเก็บไว้ในความทรงจำของทุกคน วิริยะมองตามอัศวินที่ยังคงสนุกสนานกับการปีนโขดหินแล้วกระโดดลงน้ำ เล่นกับเพื่อนคนอื่น ส่วนเขารู้สึกหนาว นั่งคลุมผ้าขนหนูตากแดดรออยู่ตรงนี้ ไม่นานทุกคนก็รู้สึกหิว ลุงแสวงสามีแม่ต้อยบอกว่าจะลงไปซื้ออาหารที่ร้านก่อนทางขึ้นน้ำตกให้เอง วิริยะจึงอาสาเดินไปช่วยคุณลุงถือ

กลับมาก็เห็นลูกหมาตกน้ำสี่ห้าตัวนั่งกอดเข่าคลุมด้วยผ้าขนหนูเรียงกันบนโขดหินก้อนใหญ่ วิริยะเห็นแล้วนึกขัน ถืออาหารเที่ยงไปแจกจ่ายให้ทุกคนจนครบถ้วน สนุกสนานกับการเล่นน้ำกันอีกสักพัก ทั้งหมดจึงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบริเวณจุดต้อนรับนักท่องเที่ยว แล้วไปชมธรรมชาติที่อื่นต่อ กว่าจะกลับมาถึงที่ไร่ก็บ่ายสามเศษ เด็กทุกคนลงความเห็นว่าจะแยกย้ายกันอาบน้ำ พักผ่อน แล้วค่อยลงมาเจอกันในช่วงมื้อค่ำ

รอขอบคุณเชษฐ์ไชยที่ให้ที่พักอย่างดี

หลังอาบน้ำล้างตัวเสร็จวิริยะเดินออกมาข้างนอก ชั้นบนมีห้องสำหรับรับรองแขกอยู่สามห้อง ห้องหนึ่งซึ่งอยู่ปีกซ้ายของบ้านยกให้อัฐษไชยพักคนเดียวเพราะไม่อยากรบกวนและคิดว่าคุณอาคงต้องการความเป็นส่วนตัวกว่า ส่วนเขาพักอยู่กับอัศวิน อีกห้องถัดไปซึ่งใหญ่ที่สุดเป็นห้องพักของเจ้าของบ้าน และปีกซ้ายที่ใหญ่พอ ๆ กันนั้น ยกให้มาร์คและเพื่อนอีกสองคนนอนด้วยกัน

 วิริยะเหลือบมองประตูถัดไปจากห้องพักของตนเองอยู่ครู่หนึ่งอย่างใคร่ทราบ เพราะใจจริงเขาอยากรู้จักคุณเชษฐ์ไชย  ได้ข่าวว่าเป็นฝาแฝดกับอัฐษไชย แม้จะได้ยินเสียงลือเล่าอ้างว่านายใหญ่ของที่นี่ดุกว่าเสือ พูดจาขวานผ่าซาก ทำตัวไม่ค่อยน่ารักเท่าไร แต่อย่างน้อย หากเขาจะต้องมาอยู่ที่นี่ถึงสองเดือน วิริยะควรทำความรู้จักกับว่าที่เจ้านายตัวเองตั้งแต่เนิ่น ๆ

หรือที่พี่หนวดพูดเมื่อคืนมันจะจริง เขาจะอยู่ที่นี่ไม่รอดอย่างนั้นหรือ วิริยะสะบัดหน้า ไม่ว่าอย่างไรเขาจะไม่กลับบ้านจนกว่าจะครบสองเดือน ขอให้คำสัตย์ต่อตัวเองไว้ตรงนี้เลย

“ออกไปไหนคะน้องวิว อีกเดี๋ยวก็ถึงเวลามื้อเย็นแล้ว อ้าว…” แม่ต้อยร้องครางเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์บ้านกรีดร้อง หลังเอ่ยทักวิริยะด้วยเสียงใจดี เด็กหนุ่มมองตามร่างเล็กของนางกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปพูดสาย คงมีธุระ จึงไม่ได้ให้คำตอบ ตัดสินใจออกมาเดินเล่น “สวัสดีค่ะ ไร่รุ่งอรุณีค่ะ เอ้า…นายเชษฐ์ โทรมาทำไมกันคะ”

ลำขาเด็กหนุ่มชะงัก หันกลับไปมองด้วยความใคร่ทราบ

“จะไม่มาทานข้าวเย็นที่บ้าน จะทานกับคนงานในไร่ เอ…แต่ว่านายเชษฐ์ไม่ได้มารับแขกเลยนะคะ วันนี้เข้ามาทานที่บ้านสักหน่อยไม่ได้เลยหรือคะ คุณอัฐษ์ก็มาทั้งที” ต้อยพูดเสียงอ่อนเชิงขอร้อง แต่ใบหน้ายามนางรับฟังคนในสายตอบเป็นอย่างดีว่า ไม่ว่าอย่างไรนายเชษฐ์คนนั้นก็จะไม่เข้ามา “ก็ได้ค่ะ ไว้เป็นพรุ่งนี้ก็แล้วกัน แล้วนายเชษฐ์จะกลับเข้ามา…ฮัลโหล นายเชษฐ์คะ นายเชษฐ์ โถ…พ่อคุณของอีต้อย!”

นางทอดถอนใจ หันมาเห็นวิริยะที่ตั้งใจฟังแล้วรีบเดินเข้ามาหา เด็กหนุ่มพยายามทำท่าให้เป็นปกติที่สุด ไม่แสดงให้คนตรงหน้ารู้ทันว่าเขากำลังอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นอยู่ นางส่งยิ้มให้แล้วพูดว่า “เดินลงเนินไปเป็นไร่ส้ม น้องวิวลองไปดูลาดเลาก่อนก็ได้นะคะว่าเขาทำงานกันยังไงบ้าง ส่วนคอกม้าอยู่ไม่ไกลจากไร่ส้มเท่าไร มีลูกม้าอยู่ด้วย ถ้าสนใจก็ลองไปให้อาหารมันได้นะคะ”

“ครับ” วิริยะขานตอบเสียงสดใส “ขอบคุณมากครับป้าต้อย”

“ไม่เป็นไร ยินดีมากเลยค่ะ”

เด็กหนุ่มเดินตรงไปยังคอกม้า สองข้างทางเป็นต้นไม้เขียวขจี ไม่รก ส่วนใหญ่เป็นลานกว้างและจัดแต่งต้นไม้ต้นใหญ่ไว้เป็นจุด ๆ ไป เหลือบไปเห็นหลังคาคอกม้าลิบ ๆ เด็กหนุ่มจึงเดินเข้าไป  เห็นกองฟางเรียงเป็นบล็อกใหญ่ ๆ จนสูง ม้าหลายตัวต่างสีต่างขนาดเรียงอยู่แต่ละคอก หากทว่าตาใสกวาดไปเจอะอะไรเข้า

เขาชะงักเท้ากึก เมื่อเห็นคนตัวโตคนหนึ่งสวมเสื้อแขนยาวลายตาราง กางเกงสีน้ำตาลเข้ม ผมมัดรวบไว้ข้างหลังและสวมหมวกทรงคาวบอยทับกำลังง่วนอยู่กับการฉีดน้ำใส่ม้าตัวสีดำทะมึนใหญ่ตัวหนึ่งอยู่หน้าคอก อันที่จริงม้าตัวนี้ก็คล้ายอีตานี่เหมือนกัน

“พี่!”

“เชี่ย!”

“โอ๊ย!” คนถูกทักหันขวับมาหาพร้อมกับน้ำในสายยางพุ่งเข้ามาเต็มหน้าวิริยะ เด็กหนุ่มยกมือลูบหน้าสำลักกลืนน้ำไปหลายอึก อีกฝ่ายยังไม่มีความสงสารเขาเลยแม้แต่น้อย ทำเสียงหงุดหงิดต่อว่าเขาเสียยกใหญ่ “ไอ้เด็กนี่! ทำไมชอบมาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงอยู่เรื่อยเลยวะ ดีนะที่ไม่เผลอเตะแถมไปอีกที ตกใจหมด”

“เปียกหมดเลย!”

“เออ! สมควร คราวหลังจะถีบเข้าให้ ชอบมาแบบนี้ดีนัก” ไม่พูดเปล่า ลำขายาว ๆ ยกเตรียมจะทำร้ายวิริยะแล้ว เด็กหนุ่มหน้าเหวอแล้วถอยกรูดออกห่างมองคนทำหน้ายักษ์ใส่ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เอาจริงอย่างที่พูด เขาก็ควรทำท่ากลัวเพื่อให้อีกฝ่ายตายใจเสียบ้าง คิดแล้ววิริยะก็สะบัดเช็ดเสื้อเปียกของตัวเองไปพลาง เดินเข้าไปดูพ่อกอริลล่าตัวใหญ่ทำงานไปพลาง

“ทำอะไรอยู่น่ะ ให้ผมช่วยไหม จะได้เสร็จไว ๆ”

ตาคมเห็นว่าเด็กตรงหน้าขยับมาใกล้ ทำท่าจะหยิบแปรง “ไม่ต้อง ทำเสร็จแล้ว ถอยไปสิบก้าวเดี๋ยวนี้ ปฏิบัติ!” กล่าวจบวิริยะก็ทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ถอยกรูดออกตามจำนวนเป๊ะ ทำเอาคนออกคำสั่งทีเล่นทีจริงรู้สึกถึงความสนุกขึ้นมาทันใด ประกอบกับหน้าใส ๆ เด๋อ ๆ ยามรับฟังนั้น บอกได้เลยว่าอัฐษไชยจะมองด้วยสายตาเช่นนั้นก็ไม่แปลก “ยืนอยู่นั่นแหละ ให้ห่างม้าไว้เลย”

“ทำไมล่ะพี่หนวด ผมแค่อยากช่วย”

“ช่วยทำให้ลำบากน่ะซี รออยู่นี่แหละ พี่…จะเอาม้าไปผูก”

หากเด็กคนนี้เป็นเพื่อนของอัศวิน เขาควรแทนตัวเองว่าอาอย่างที่น้องชายพูดหรือไม่ หากทว่าเชษฐ์ไชยไม่ได้คำตอบให้ตัวเองในตอนนั้น เมื่อเหลือบเห็นว่าเสื้อที่วิริยะสวมเป็นสีขาว และเมื่อโดนน้ำก็เห็นไปถึงไหนต่อไหนหมดแล้ว ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย หันไปทิศอื่นเมื่อรู้สึกคอแห้งผากอย่างไม่เข้าใจตนเองว่าเป็นเพราะอะไร กว่าจะเรียกสติตนเองได้ ชายหนุ่มก็ถอดเสื้อนอกลายตารางของตัวเองโยนไปแปะหน้าอีกฝ่ายเข้าให้แล้ว

“อะไร ให้เอามาเช็ดตัวเหรอ” คนด้านหลังร้องตาม ขณะที่เชษฐ์ไชยเลือกจูงม้าเดินหนีเข้ามาที่คอก

“จะทำอะไรก็ทำไปสิ”

“งั้นใส่นะ”

“ซักมาคืนด้วย”

“ขอบคุณครับ”

เชษฐ์ไชยอยากเขกมะเหงกตัวเองที่ทำเช่นนั้นแล้วมาตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ไม่อยากยอมรับว่ากำลังช่วยอีกฝ่าย ครั้นผูกม้าในคอกแล้วเสร็จชายหนุ่มก็ทอดถอนใจคิดว่าจะเดินกลับไปด้วยหน้าตาอย่างไรดี เพราะเกรงว่าเด็กวิวนั่นจะมองเขาแปลกไป เหตุใดเขาต้องทำดีกับผู้ชายด้วยกัน ทำอย่างกับหมอนั่นเป็นผู้หญิงที่ไม่สมควรปล่อยให้ใครเห็นรูปร่างภายใต้ร่มผ้าได้ จะพูดไป การปฏิบัติของอัฐษไชยก็แลดูทนุถนอมเด็กคนนี้เกินไปกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ ไม่แน่...วิริยะอาจเคยชินกับการถูกดูแลเช่นนี้แล้วก็ได้

ใช่แล้ว มันไม่มีอะไรพิเศษทั้งนั้นแหละ!

คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็ตัดสินใจเดินกลับไปที่เดิม ยังเห็นคนตัวเล็กผอมโปร่งยืนรออยู่ ทว่าบัดนี้สวมเสื้อของชายหนุ่มไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เชษฐ์ไชยรู้สึกแปลก เมื่อเห็นภาพทับซ้อนของใครบางคนที่สวมชุดของเขายืนส่งยิ้มให้ เธอผมยาวสลวย ยืนอยู่ตรงนั้นเช่นเดียวกัน แล้วโบกมือเรียกให้เขารีบเดินไปหา

“กลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว เดี๋ยวก็เป็นปอดบวมตายห่า”

“อ้อ จริงสิ”

เด็กหนุ่มตรงหน้าราวนึกขึ้นมาได้ จึงปลดกระดุมเสื้อแขนยาวของเชษฐ์ไชย แล้วก็ถอดเสื้อสีขาวด้านในออก เห็นดังนั้นหน้าของหนุ่มโสดมานานกว่าห้าปีก็ร้อนผ่าวขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผิวของวิริยะละเอียดเนียนสมอายุเด็กวัยรุ่น บนคอมีสร้อยพระเล็ก ๆ ห้อยอยู่ ที่แปลกคงเป็นเพราะสีผิวของเด็กนี่มันขาวเกินไปจนเหมือนคนป่วย แลไม่น่ามองเท่าไรนัก ไม่ซี…จะน่ามองรึไม่ มันก็ไม่เกี่ยวกับเขา “ใส่แค่เสื้อของพี่ดีกว่า”

 นายใหญ่ของไร่รู้สึกว่าพักนี้ตัวเองมีอาการแปลก ๆ ไป หรือทำงานมากจนป่วย หลังจากแขกกลับไปเขาคงต้องหาเวลาพักบ้างเสียแล้วกระมัง

“พี่ทำที่นี่นานยัง คราวที่แล้วที่เจอกัน พี่ไปร่วมงานคุณไกรเลิศเฉย ๆ เหรอ” วิริยะถามขณะสวมเสื้อ

“ตั้งแต่สิบหก”

“ก็ยี่สิบปีเลยงั้นสิ”

“ยังไม่แก่ขนาดนั้น เดี๋ยวตบลูกตาหลุด” คนตอบทำเสียงหงุดหงิดใส่ ทำเอาวิริยะหน้าหงอ แต่ก็เท่านั้นเอง เด็กหนุ่มไม่ได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายตั้งใจเอ็ดหรือดุอะไรจึงไม่รู้สึกว่าน่ากลัว ออกจะตลกและสนุกเสียด้วยซ้ำที่กวนอีกฝ่ายให้ขุ่นได้

“รู้ได้ไงว่าตัวเองไม่แก่ ดูหน้าสิ สามสิบห้าอัพแล้วใช่ไหมเรา”

“เพื่อนเล่นเหรอวิว!”

“อุ๊ เรียกชื่อผมด้วยแหละ นึกว่าลืมไปแล้วเสียอีก”

วิริยะหัวเราะคิกคัก เดินตามหลังคนตัวใหญ่ที่บัดนี้สวมเพียงเสื้อกล้ามเดินไปยังต้นไม้ต้นใหญ่แถวลานกว้าง บริเวณนั้นน่าจะเป็นที่สำหรับขี่ม้าเดินเล่นชมไร่ ร่มรื่นและลมพัดผ่านตลอด ครั้นเห็นคนหน้าหนวดนั่งลงเอนหลังพิงความหนักแน่นของไม้ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านเป็นหลัก วิริยะก็รีบทำตาม ทรุดลงไปพิงอยู่ข้างกันแล้วยิ้มให้แหย ๆ “ไม่เอาสิ อย่ามองแบบนั้น ผมก็แค่อยากมีเพื่อนช่วงทำงานที่นี่ แล้วพี่ก็เป็นคนเดียวที่ผมรู้จัก”

เชษฐ์ไชยถอนใจ “ไม่รู้จักฉันมันดีกว่าอีก”

“อะไรนะพี่”

“แล้วทำไมต้องอยากกระเสือกกระสนมาทำงานที่นี่ด้วยวะ แค่ตีระนาดตามงานศพก็พอแล้วไหม” คนถามผุดขยับมานั่งหลังตรงถามอย่างเอาจริงเอาจัง สีหน้าบ่งบอกว่ากำลังรำคาญและระอาที่ถูกไล่ตามเต็มที

“พี่ไม่เข้าใจผมหรอก ผมต้องใช้เงิน ไหนจะมีหนี้ที่ผมติดพี่อีก ผมต้องซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่อีก…” วิริยะอยากคุยกับพ่อใจจะขาด เขาดีใจที่ธเนศบอกว่าจะโทรมา

“นี่นะเหตุผล โคตรไร้สาระเลย แค่โทรศัพท์ใหม่ขอพ่อแม่ซื้อให้ก็หมดเรื่องแล้ว”

“พี่ไม่เข้าใจ!” เมื่อได้ยินวิริยะเสียงดังพร้อมสีหน้าเปลี่ยนไปเชษฐ์ไชยก็ชะงัก อันที่จริงเขาไม่เคยเห็นเด็กคนนี้เศร้าเลย แม้ท่าทางเด็กข้างกายจะทำราวไม่ได้เป็นอะไร แต่เมื่อกล่าวถึงครอบครัวขึ้นมา ในแววตาของวิริยะมีความเศร้าฉายเด่นจนไม่อาจปิดเขามิด

“ทำไม อย่าบอกนะว่าเป็นพวกเด็กกำพร้า พ่อแม่ไม่มี ต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเอง อย่ามาใช้มุกเด็กอนาถากับฉันนะ มันไม่ได้ผลหรอก แล้วเลิกซะนิสัยแถแบบที่ทำกับไอ้อั…” ลืมไปเสียสนิทว่าตอนนี้เขาเป็นเพียงไอ้หนวด คนสวนของไร่ หากเรียกชื่อน้องชายด้วยสรรพนามเช่นนั้น เด็กนี่ต้องหาเรื่องพูดแกล้งเขาเป็นแน่ “ช่างมันเถอะ ฉันรู้แค่ว่าเธอไม่มีทางอยู่ที่นี่ได้นานเกินอาทิตย์หรอก”

วิริยะหัวเราะดังเฮอะ “พี่นี่ นอกจากบุกไปกินข้าวบ้านเจ้านายแล้วก็ดีแค่พูดสินะ คงอิจฉาผมละซี๊ที่มาทีหลังแถมเป็นเพื่อนของไอ้อิกอีก ผมเชื่อนะ ว่าเรื่องนี้จะทำให้ผมได้เจองานที่สบายกว่าคนตัวถึก ๆ อย่างพี่”

“ฝันอยู่เหรอ ทำไมฉันต้องอิจฉาเธอมิทราบฮะ” มือใหญ่ทำท่าจะเขกมะเหงกอย่างสุดทน เห็นเพียงรอยยิ้มพราวของคนแกล้ง ขณะที่อีกฝ่ายเอนตัวหลบและปัดมือเชษฐ์ไชยออกราวลูกแมวกำลังเล่นของเล่น “ตัดสินใจกลับไปตอนนี้ก็ยังไม่สายนะ ที่นี่ไม่ใช่ที่คนเคยอยู่สบายอย่างเธออยู่ได้”

คนฟังยกยิ้ม หันสบใบหน้าอันปกคลุมไปด้วยหนวดเคราที่มองออกไปยังทุ่งหญ้าเบื้องหน้า หนำซ้ำวันนี้ก็อากาศดี ท้องฟ้าสดใสกว่าทุกทีที่วิริยะเคยมอง “พูดแบบนี้ เป็นห่วงผมอยู่งั้นสิ”

“เข้าข้างตัวเองไปรึเปล่า ฉันจะห่วงเธอทำไม” คนย้อนเบิกตาโต

“ก็กลัวไม่ได้เงินคืนไง ทำไม คิดอะไรอยู่เหรอ”

ไอ้เด็กนี่! เชษฐ์ไชยล่ะเบื่อกับลูกแถและนิสัยต่อปากต่อคำของมันเหลือเกิน ประสมกับรอยยิ้มกวนบนใบหน้ายามสบตาแล้วนั้น จากที่ควรนึกเคือง ดันกลายเป็นว่าทำไม่ลงเสียได้ ชายหนุ่มไม่เข้าใจความคิดเบื้องลึกของตนเองเลยสิพับผ่า!

เชษฐ์ไชยทอดถอนใจ ปล่อยให้ความเงียบดำเนินมาหาพวกเขาบ้าง ตั้งแต่ที่ได้เจอกันรู้สึกว่าจะมีแต่ชวนทะเลาะและถกเถียงเสียส่วนใหญ่ ใจชายหนุ่มกระตุกวูบเมื่อบ่ากว้างรู้สึกหนักราวแบกอะไรไว้ ตาคมหลุบลงไปเห็นศีรษะเล็กและแก้มแดงปลั่งที่แนบอยู่ เปลือกตาของคนช่างเถียงปิดสนิทจนเห็นขนตาเรียงกันสลวย จากที่มองไม่ชัดเมื่อคืน เชษฐ์ไชยเห็นสเน่ห์ของวิริยะแล้ว

และเชื่อว่าน้องชายของเขาก็เห็นมันเช่นกัน

มือใหญ่ขยับเคลื่อนไปเชยคางประคองให้ใบหน้าใสเงยขึ้น เห็นชัดจนเขาสามารถจดจำรายละเอียดได้ ชัดจนสเน่ห์ที่ว่านั้น ได้ดึงดูดใบหน้าคมคายให้เคลื่อนขยับเข้าไปใกล้ ใกล้จนเว้นไว้ด้วยระยะของลมหายใจเท่านั้น…

“ตื่นโว้ย! มาหลับมานอนอะไรเอาป่านนี้!” แล้วร้องปลุกคนหลับอยู่ข้างหูจนสะดุ้งตื่น เมื่อเห็นว่าสิ่งที่ตัวเองทำได้ผล คนตัวยักษ์หัวเราะอย่างสะอกสะใจ ไม่สนหน้าบูดหน้างอของคนเพิ่งตื่น

“โถ่พี่ ก็คนไปเที่ยวมาเหนื่อย ๆ แทนที่จะปล่อยให้นอนต่อสักหน่อย” วิริยะบ่น

“แค่ไปเที่ยวยังบ่นว่าเหนื่อย ทำงานที่นี่หนักกว่าสิบเท่านะจะบอกให้” ไม่บอกเปล่า นิ้วชี้เรียวจิ้มหน้าผากสั่งสอนอยู่สองสามที วิริยะเพียงนั่งโงนเงนพิงต้นไม้ต้นใหญ่ไม่สนคำพูดของคนตัวใหญ่กว่า แต่ก็ไม่ได้จะนอนต่อ มองแผ่นหลังกว้างของคนนั่งข้าง ซึ่งอีกฝ่ายยังคงมองทอดออกไปยังวิวต่อหน้าไปเรื่อย

“พี่หนวด”

คนฟังหันมาสบตา แล้วเบี่ยงกลับไปอย่างเดิม “อะไร”

“พี่เคยรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าบ้างไหม”

คำที่เด็กข้างกายเปรยขึ้นนั้น จี้ใจดำของเชษฐ์ไชยจนรู้สึกเจ็บ ชายหนุ่มหันไปมองว่าคนถามกำลังทำสีหน้าอย่างไร เห็นเพียงมุมข้างของอีกฝ่าย ยามเอื้อมแขนผอมเล็กขยับไปเล่นใบไม้ใบหญ้าแถวนั้น อากาศก็เย็นร่มรื่น ทว่าท่าทางอีกฝ่ายดูเหมือนร้อน เหงื่ออาบลงจากไรผมมาถึงแก้มขาวที่เคยซีด บัดนี้ระเรื่อแดงมีเลือดฝาดเพราะความร้อนแล้ว เชษฐ์ไชยพยายามปรับสีหน้าของตัวเองเกรงว่าอีกฝ่ายจะเงยขึ้นมาเห็น เห็นว่าคำถามนี้มีผลกระทบต่อใจเขา

หรือที่พยายามดิ้นรนมาถึงที่นี่ เพราะอีกฝ่ายก็มีความรู้สึกนึกคิดแบบเดียวกับเขา

ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานไปทุกวัน เพื่อให้คนอื่นยอมรับและมองเห็นค่า

แล้วจะได้เป็นที่ต้องการ ไม่ถูกทอดทิ้งอีกต่อไป…



--๕๐--



--------------------------------------------------------------

เอาห้าสิบเปอร์เซ็นมาฝากก่อน ส่วนอีกห้าสิบที่เหลือจะปั่นมาให้อ่านอีกเรื่อย ๆ จ้า

ถ้าชอบก็คอมเม้นกันด้วยนะคะ เดี๋ยวตั้งแต่ห้าสิบเปอร์เซ็นหลังนี้ เนื้อหาจะเริ้มเข้มขึ้น มีปมขึ้น วิวจะตกเป็นของอาเชษฐ์แล้วมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนขึ้น ส่วนวิวจะได้รู้ว่าพี่หนวดเป็นอาเชษฐ์เมื่อไรก็คงเป็นตอนหน้าค่ะ

นับถอยหลังตอนที่วิวเรียกอาเชษฐ์ ในขณะที่อาเชษฐ์ยังแทนตัวเองว่าพี่ คิดแล้วมันฟินน่าดู

จะเข้าสู้โหมดวัวแก่กินหญ้าอ่อนในไม่ช้านี้แล้ว แม้แต่คนเขียนยังตื่นเต้นเลยค่ะ

ชอบก็แชร์ คอมเม้นเป็นกำลังใจด้วยนะคะ ได้อ่านจนจบแน่นอนค่ะ

ส่วนเรื่องลบตอนออกเอาไว้ที่หลังนะคะ เจอกันอีกทีตอนหน้าค่า!!

กำลังใจที่ดี ช่วยบอกว่าคุณนักอ่านคิดเห็นอย่างไร

หัวข้อ: Re: **{5.3.61-ตอนที่ ๕ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 09-03-2018 14:28:01

(ต่อ)

“พี่หนวด”

คนฟังหันมาสบตา แล้วเบี่ยงกลับไปอย่างเดิม “อะไร”

“พี่เคยรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าบ้างไหม”

คำที่เด็กข้างกายเปรยขึ้นนั้น จี้ใจดำของเชษฐ์ไชยจนรู้สึกเจ็บ ชายหนุ่มหันไปมองว่าคนถามกำลังทำสีหน้าอย่างไร เห็นเพียงมุมข้างของอีกฝ่าย ยามเอื้อมแขนผอมเล็กขยับไปเล่นใบไม้ใบหญ้าแถวนั้น อากาศก็เย็นร่มรื่น ทว่าท่าทางอีกฝ่ายดูเหมือนไม่เย็นกับเขาด้วย เหงื่ออาบลงจากไรผมมาถึงแก้มขาวที่เคยซีด บัดนี้ระเรื่อแดงมีเลือดฝาดเพราะความร้อนแล้ว เชษฐ์ไชยพยายามปรับสีหน้าของตัวเองเกรงว่าอีกฝ่ายจะเงยขึ้นมาเห็น เห็นว่าคำถามนี้มีผลกระทบต่อใจเขา

หรือที่พยายามดิ้นรนมาถึงที่นี่ เพราะอีกฝ่ายก็มีความรู้สึกนึกคิดแบบเดียวกับเขา

ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานไปทุกวัน เพื่อให้คนอื่นยอมรับและมองเห็นค่า

แล้วจะได้เป็นที่ต้องการ ไม่ถูกทอดทิ้งอีกต่อไป…

 “ถามทำไม” ชายหนุ่มย้อน

วิริยะทอดถอนใจ “ผมพูดจริง ๆ นะพี่ ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าในสายตาคนอื่นเลย ไม่รู้เป็นตั้งแต่เมื่อไร มารู้อีกทีสมองก็คิดแต่เรื่องงาน คิดแต่จะดิ้นรนหาเงินให้ได้เยอะ ๆ คิดแค่ว่าถ้าผมมีหน้าที่ที่ต้องทำ ได้ทำงาน ตัวผมจะมีค่าขึ้นมาบ้าง แล้ว…เขาจะได้มองผมดี ๆ สักที”

ความรู้สึกของเชษฐ์ไชย ดูเหมือนจะมีคนข้าใจหัวอกแล้ว

“ไม่มีใครตัดสินคนอื่นด้วยเรื่องแค่นี้หรอก มีแต่พวกใจแคบเท่านั้นแหละ” เชษฐ์ไชยรู้สึกเข้าใจคนข้างกายขึ้นมาถนัดตา เพราะเขาเองก็มีสถานะไม่ต่างกัน ที่เขาตากแดดลงทุนลงแรงทั้งหมดก็เพื่อให้ใครเห็นค่าทั้งนั้น

วิริยะหัวเราะหึในลำคอ “งั้นเหรอ”

“เขามีความหมายกับความรู้สึกเธอมากขนาดนั้นเลยรึไง”

วิริยะยักไหล่ “ก็ไม่เชิงหรอก ก็แค่…พวกปากหอยปากปูที่ชอบว่าคนอื่นน่ะ”

“พูดจาอย่างกับผู้หญิง”

“เอ้า ก็ไม่รู้จะเอาไปเปรียบกับอะไรนี่นา แล้วพี่ล่ะ พี่ไม่เห็นตอบผมเลย” คนอายุน้อยกว่าสะกิดด้วยสีหน้าทะเล้น

“เรื่องอะไรจะบอก ที่มาถามกันเนี่ยเพราะว่าอยากระบายไม่ใช่รึไง ก็ระบายมาสิ” เจ้าของไหล่กว้างพาตนเองเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่ ขยับหมวกลงมาปิดหน้าพร้อมที่จะงีบพักสายตาทั้งที่เพิ่งบอกเด็กหนุ่มว่ากำลังรับฟังอยู่ เห็นดังนั้นวิริยะเองก็รู้สึกถึงความผ่อนคลายได้อย่างน่าประหลาด

“อันที่จริงผมก็รู้สึกกังวลตั้งแต่ขึ้นรถมาแล้วว่าหลังจากนี้จะเป็นไงต่อ พี่รู้ไหม ถึงจะเห็นผมไม่ค่อยทำหน้าเศร้าหรืออะไรให้ใครเห็น แต่ข้างในผมมันโคตรพัง โคตรรวนเลย ทั้งที่ผมพยายามทำดีกับพวกเขามาตลอดแท้ ๆ แต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติกับผมดีเลยสักครั้ง ผมเหนื่อยแต่ไม่สามารถหยุดได้ ถ้าผมอ่อนแอเมื่อไร พวกเขาก็จะเหยียบผมซ้ำ ซึ่งมันเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมดิ้นรนสู้ เป็นเหตุผลที่ผมต้องมาไกลถึงที่นี่เพื่อทำงาน ผมถึงอยากเป็นเพื่อนกับพี่ไง พี่หนวด…”

“อืม อืม…” คนนั่งข้างครางในลำคอ

“พ่อของผม เขาเป็นคนที่เก่งมากเลย ตลอดระยะเวลาที่ให้ผมอยู่กับแม่เลี้ยงก็คอยถามถึงผมตลอด โดยที่ไม่รู้เลยว่าพวกเขาทำอะไรกับผมบ้าง ส่วนผม ก็เอาแต่เป็นห่วงความรู้สึกของคนอื่นจนลืมความรู้สึกของตัวเอง มารู้ตัวอีกทีใจผมก็พังไปหมดแล้ว ตอนนี้ผมรู้สึกว่าเหลือตัวคนเดียวแล้ว ที่พึ่งหนึ่งเดียวของผมก็กำลังจะไปจากที่นี่ มัน…กำลังจะไปเมืองนอก ผมโคตรไม่รู้เลยว่าจะทำไงดี”

เด็กหนุ่มหันมองคนข้างกายที่พยักหน้าบอกว่ากำลังรับฟัง แล้วหันมาทอดถอนใจเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนขึ้นรถมาอีกครั้ง “แล้วผมนี่ก็โคตรบ้าเลย กลับไปต้องเจอเรื่องแย่ ๆ ที่สองแม่ลูกนั่นหามาใส่อีกแน่ ไม่น่าหลุดโมโหใส่เลย มองเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่โต้ตอบอย่างทุกทีเรื่องก็จบแล้ว”

น้ำเสียงเด็กหนุ่มมีน้ำโห บ่นต่ออีกว่า “แต่พวกนั้นก็ทำเกินไปจริง ๆ จะโขกจะสับอะไรผมไม่เคยว่า ไม่เคยตอบโต้ ผมลำบากทำงานตัวเป็นเกลียวหาเงินให้ตัวเองได้เรียนน่ะยอมได้ แต่พวกนั้นไม่ควรพูดถึงแม่ของผมเสีย ๆ หาย ๆ ไม่ควรก้าวก่ายสมบัติหรือสิ่งของไหน ๆ ที่พ่อกับแม่ผมช่วยกันหามา พี่เข้าใจผมใช่ไหมพี่หนวด แม่ใครใครก็รัก” วิริยะรู้สึกถึงเลือดที่สูบฉีดบนใบหน้า

“ผมรู้ว่าผมผิดที่ระงับอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ แต่ผมไม่ผิดที่จะปกป้องแม่ตัวเอง ใช่ไหม” คนตัวเล็กกว่าหันไปหาเชษฐ์ไชย หวังว่าพี่หน้ากอริลล่าจะตอบกลับมาบ้าง หากทว่าไร้วี่แววคนพูดมากอย่างเคย อีกซ้ำลมหายใจของอีกฝ่ายยังสม่ำเสมอราวกับว่าตอนนี้ไม่ได้ยินเขาพูดอีกต่อไปแล้ว เมื่อเห็นดังนั้นวิริยะโมโหยิ่งกว่าตอนถูกว่าแม่อีก

“ไอ้พี่หนวด!” เด็กหนุ่มร้องเสียงดัง ดึงหมวกที่ปิดหน้าอีกฝ่ายออก

“อะไร เสียงดังทำไม!”

“นี่พี่หลับไปตอนไหน ไอ้ผมก็อุตส่าห์ระบายความในใจด้วย สรุปพี่ปล่อยให้ผมพูดกับกองขี้ม้าตรงนั้นเหรอ” นิ้วชี้เรียวพุ่งไปตรงหน้าแล้วลุกขึ้นยืนปัดก้น ฝุ่นผงปลิวกระจายเข้าเต็มหน้าหนวดของเชษฐ์ไชยจนต้องยืนบ้าง อารมณ์เสียขั้นสุดอย่างไม่ต้องสงสัย

“ทำดี ๆ สิวะ เห็นไหมฝุ่นมันเข้าตากูเนี่ย”

วิริยะยังไม่กลัว “พูดกับเพื่อนเจ้านายแบบนี้ได้ยังไง พูดไม่เพราะเลยว่ะพี่”

“ใครเป็นเจ้านาย มานี่ก็เป็นแค่คนงานล่ะว้า”

“ตอนนี้ยังไม่ได้เป็น แต่ถึงเป็นผมก็เหนือกว่าพี่อยู่ดี คอยดูเถอะ ถ้าผมได้เจออาเชษฐ์เมื่อไร ลูกน้องปลายแถวอย่างพี่โดนจัดหนักแน่” คนพูดทำหน้าเหนือกว่าและถือวิสาสะพูดจาราวสนิทสนมกับเชษฐ์ไชยเพื่อข่มเขา ใจหนึ่งก็นึกโมโหในความจองหองพองขน ใจหนึ่งก็นึกเอ็นดูในความน่ารักนี้อย่างเสียมิได้ เชษฐ์ไชยพูดไม่ออกไปพักหนึ่งเพราะไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร เพราะชื่ออาเชษฐ์ที่อีกฝ่ายกำลังเรียกก็เป็นตัวเขา

“นั่นไง พอผมพูดถึงอาเชษฐ์แล้วหน้าซีดเลย” คนตรงหน้าล้ออย่างไม่เคยรู้อะไรเลย

ชายหนุ่มอึกอัก เพราะไม่อยากบอกความจริงตอนนี้ เขายังสนุกที่ได้เห็นสีหน้าของวิริยะตอนโมเมพูด “กลับไปเลยไป หรือจะไปบ่นให้กองขี้ม้าตรงนั้นฟังต่อก็ไป พี่จะไปหาข้าวกินแล้ว”

“ว่าแต่พี่เคยเห็นอาเชษฐ์ปะ หล่อมั้ย” วิริยะทำหน้าอยากรู้

“ก็หล่อแหละ ใคร ๆ ก็พูดว่านายเชษฐ์แห่งไร่อรุณีหล่อทั้งนั้น พอ ๆ กันกับณเดชน์ ประมาณนั้น” คนพูดยักไหล่ ยิ่งเห็นสีหน้าตื่นเต้นของวิริยะที่บอกว่าเชื่ออย่างสนิทใจแล้วยิ่งรู้สึกสนุก

“แล้วไงอีก เท่มั้ย ที่เขาว่าอาเชษฐ์ดุเหมือนหมานี่จริงรึเปล่า”

“เฮ้ย ต้องดุเหมือนเสือสิ! คนบ้าอะไรดุเหมือนหมา”

“แล้วพี่จะทำหน้าโกรธผมทำไม ผมไม่ได้ว่าพี่สักหน่อย”

เชษฐ์ไชยอยากจะตะโกนใส่หน้าเด็กคนนี้เหลือเกินว่าคนที่ตัวเองพูดถึงคือเขาเอง แต่ติดตรงที่มันพูดไม่ได้ มือใหญ่ดันให้วิริยะเดินหลบไป หากทว่าคนตัวเล็กไม่ทันระวัง สะดุดล้มไปตะครุบเอากองขี้ม้าตรงหน้า

“อี๋!” เด็กหนุ่มมองที่มือตัวเอง สะบัดมือเอาความสกปรกออกท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของกอริลล่าตัวใหญ่ด้านหลัง ตั้งแต่พบกัน วิริยะไม่เคยเห็นคนตรงหน้าหัวเราะจนตัวขดตัวงอเช่นนี้มาก่อน “ขำอะไรนักหนา นี่แหนะ!” พูดจบก็สะบัดฝ่ามือไปตรงหน้า ขี้ม้าปลิวว่อนไปแปะเต็มหนวดจนคนหัวเราะถึงกับชะงัก ดีที่ไม่เข้าปากที่กำลังอ้าด้วย

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ” วิริยะหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของอีกฝ่าย แต่จากตกใจ เปลี่ยนมาหน้าเขียวหน้าดำราวกับยักษ์ไม่ได้ดังใจ เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นเตรียมวิ่งเมื่อเห็นท่าไม่ดี ตัวใหญ่หนาก้าวดุ่ม ๆ มาใกล้ด้วยสีหน้านั้น

“ไอ้เด็กเปรต!”

“ก็พี่ทำผมก่อน พี่ผลักผมก่อน” ทั้งสองเถียงกันลั่นคอกม้า ตัวเล็ก ๆ ของวิริยะวิ่งไปหลบหลังต้นไม้พร้อมกับคนอายุมากกว่าที่วิ่งไล่หวังจับมาลงโทษ

“มึงเป็นใคร กล้ามาทำกับกูเป็นนี้หา วิว มานี่เลย บอกให้มาไง”

“ใครไปก็โง่แล้วพี่ ก็ผมไม่ผิดอะ พี่ผลักผมก่อน” วิริยะหลบซ้ายหลบขวา

“ขาอ่อนเองช่วยไม่ได้ ก็บอกให้มานี่ไง ถ้าจับได้โดนดีแน่” เชษฐ์ไชยกระโดดตะตรุบ วิริยะจึงคิดได้ว่าควรทำอย่างไร เมื่อเหลือบไปเห็นสายยางที่คนหน้าหนวดใช้อาบน้ำให้ม้าเมื่อครู่ที่ผ่าน เด็กหนุ่มหลบไปเปิดก๊อกแล้วฉีดใส่หน้าที่เปื้อนด้วยขี้ม้าทันที พร้อมกับที่ลำขายาวชะงักกึกอย่างไม่อยากเชื่อว่าเรื่องอย่างนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง

“ฉันหมดความอดทนแล้วนะวิว!”

“เอ้า ผมก็ล้างออกให้พี่แล้วไง”

“ไอ้วิว!” ร่างใหญ่ปอนเปียกไปด้วยน้ำแผดเสียง ส่วนเจ้าของยืนหอบฟึดฟัดราวกระทิงพร้อมที่จะพุ่งชนเต็มที่ เห็นดังนั้นวิริยะรู้สึกว่าภัยกำลังมาเยือน จึงปกป้องตัวเองด้วยการเปิดน้ำแรงสุดขีด ฉีดเข้าเต็มเบ้าหน้าของกอริลล่าที่พุ่งตรงหวังจะเล่นงานเด็กหนุ่ม “อ๊ากกกกก!”

คนบ้าตรงหน้าน่ากลัวกว่าที่คิด รู้ตัวอีกทีตัวใหญ่ ๆ ก็กระโจนผ่านสายน้ำเข้ามาราวกับเสือร้ายตัวโต ทำเอาวิริยะเสียหลักล้มไปยังพื้นทั้งยืน หากทว่าเพราะทุ่มมาเต็มกำลัง เชษฐ์ไชยก็ล้มตามลงมาด้วย ช่วงเวลาโกลาหลที่คนล้มกำลังร้องเพราะตกใจ สันจมูกของชายหนุ่มก็กระแทกเข้าไปที่ฟันของอีกฝ่าย จากที่ต้องการเล่นงานให้เด็กคนนี้เจ็บแสบ กลับเป็นเชษฐ์ไชยเสียเองที่ถูกฟันจอบเฉาะหน้าเข้าให้!

“โอ๊ยยยย!”

“อั่ก เจ็บ ๆ ๆ ๆ” เชษฐ์ไชยลูบจมูกตัวเองป้อย ๆ ไม่สนร่างเล็กที่โดนเขานอนทับ

“ฟันหักรึเปล่าวะเนี่ย”

“โอยยยย ดั้งฉัน!” คนอายุมากกว่าบ่นเสียงดังแล้วกุลีกุจอลุกนั่ง บนตัวทั้งสองเปื้อนไปด้วยเศษดินและโคลนอย่างช่วยไม่ได้ และฝ่ายวิริยะได้สติก่อนเพราะไม่ได้เจ็บตัว เด็กหนุ่มมุ่ยหน้าเมื่อเหลือบเห็นเลือดไหลซิบบนสันจมูกของคนด้านบน มือเล็ก ๆ จึงเอื้อมไปปาดออกปกปิดความผิดของตัวเอง โดยที่ไม่รู้เลยว่าปลายนิ้วร้อน ๆ นี่ทำให้หัวใจที่ปิดผนึกสั่นไหว

เชษฐ์ไชยตกใจที่จู่ ๆ ถูกปฏิบัติเช่นนี้ ชายหนุ่มผละมองดวงตากลมใสเบื้องหน้าอย่างตกใจ

“ทำอะไร”

“ปละ เปล่า” วิริยะหลบตา กลัวว่าจะถูกโกรธที่ทำให้อีกฝ่ายเลือดไหล

หรือเด็กนี่กำลังเขิน เชษฐ์ไชยแอบคิดเข้าข้างตัวเอง เพราะชายหนุ่มรู้ตัวดีว่าเขาน่ะหล่อเหลาจนใครเหลียวหลังตาม ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะกำลังใจเต้นสะท้านเพราะเขาสบตา คนอย่างเชษฐ์ไชยน่ะสเน่ห์เหลือล้นอยู่แล้ว ชายหนุ่มคิดแล้วเริ่มเป็นฝ่ายพูดก่อนเพื่อให้อีกฝ่ายไม่รู้สึกเกร็ง แม้ว่าตัวเองจะกำลังคิดผิดอยู่ก็ตาม “งั้น กลับไปล้างเนื้อล้างตัวได้แล้ว”

“พี่…เจ็บมากไหม” คนผิดตะล่อมถาม ขืนบอกตรง ๆ มีหวังโดนฆ่าแน่

“เจ็บอะไร๊ ไม่เห็นเจ็บ”

“งั้นผมกลับก่อนนะ เอ่อ…ไปล่ะ” ไปก่อนที่คนหน้าหนวดจะรู้ดีกว่า วิริยะยิ้มแหยให้เชษฐ์ไชยแล้วรีบลุกขึ้นเดินออกมา

“เฮ้ยวิว!” เด็กหนุ่มชะงัก ขนลุกซู่ด้วยกลัวที่จะถูกจับทุ่มลงพื้นบันดาลโทสะ หันไปหาคนเรียกพร้อมหน้าที่สตรองที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วฉีกยิ้มให้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงกุมจมูกตนเองแสดงถึงความเจ็บปวด ทั้งที่โกหกว่าไม่ได้รู้สึกอะไร เด็กหนุ่มปั้นเสียงหวานตอบ “ว่าไงครับ พี่หนวด”

ดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังปั้นหน้าขึงขังเช่นกัน พูดกับวิริยะว่า “ใครที่มันเอาเปรียบแล้วเห็นว่าไม่ถูกต้องก็อย่าไปยอม คนพวกนี้ยิ่งยอมพวกมันยิ่งได้ใจ เพราะงั้น อย่าให้ฉันรู้ว่าเธอยอมให้พวกนั้นรังแกอีก สู้ซะ! หวังว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะบ่นให้ฉันฟัง”

ใจวิริยะเต้นตึกเมื่อได้ฟังคำพูดอันเข้มแข็งนั้น เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้างและพยักหน้ารับ

“พี่นี่มันคนดีจริง ๆ”

“แล้วก็บอกไว้เลยว่าที่ฉันพูดไปน่ะ เพราะเห็นว่ามันไม่ถูกต้องแค่นั้นแหละ เลิกโง่ให้เขาเอาเปรียบได้แล้ว”

คนฟังหน้าบูดลง “เริ่มไม่เป็นคนดีละ เฮอะ”

พูดจบแล้วเด็กหนุ่มคนสดใสก็สะบัดหน้าขวับเดินกลับไป เชษฐ์ไชยส่ายหน้า มองตามร่างนั้นไปจนลับสายตาแล้วความเจ็บปวดก็แล่นเข้าจมูกจนต้องร้องซี๊ดอย่างลืมตัว ทำอวดเก่งวางท่าว่าไม่เป็นไรให้ไอ้เด็กนั่นเห็นไปอย่างนั้นเอง อันที่จริงเขาเจ็บจนอยากล้มตัวลงไปดิ้นร้องไห้ราวกับเด็กห้าขวบจะตายอยู่แล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น ในสมองของเขากลับไม่มีอารมณ์ขุ่นมัวหลงเหลืออยู่เลย มีเพียงรอยยิ้มพราวระยับของเด็กแสนสดใสเมื่อครู่กลบไปเสียจนหมดสิ้น ไม่น่าเชื่อเลย ว่าความทุกข์ ความเครียดและความเหงาหลาย ๆ อย่างมลายหายไปพริบตาเพียงเพราะรอยยิ้มของใครสักคน ทั้งที่เขาพยายามลบเลือนมันออกจากจิตใจทุกหนทางแต่ก็ไม่เป็นผล

พยายามมานานนับปีแล้ว

“หึ…”

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าที่ไม่เคยเผยให้ใครที่นี่เห็นสักครั้ง ขณะเดินไปยังโรงอาหารของคนงาน ทุกคนยกมือทำความเคารพเมื่อเห็นนายใหญ่ของอาณาจักรเดินเข้ามาด้านใน ผ่านคนที่กำลังนั่งทาน ไปยังแถวที่กำลังต่อคิวรอรับมื้อเย็นอย่างรู้หน้าที่  อันที่จริงหัวหน้าแม่ครัวอย่างแม่ต้อยเคยเรียกให้เขาไปรับอาหารเลย แต่เชษฐ์ไชยปฏิเสธ เขาพูดว่าจะไม่ใช้อภิสิทธิ์การเป็นนายอย่างเอาแต่ใจอีกต่อไปแล้ว

ตั้งแต่ครั้งนั้น ครั้งนั้นเขาหลงเมียเกินเหตุ เอาใจเธอสารพัดอย่างเพื่อให้ได้ดังใจ ไม่เว้นแม้กระทั่งกดขี่ข่มแหงน้ำใจของคนงานหลายคน ถึงหล่อนจะหนีไปกับชายชู้ได้หลายปีแล้ว แต่ความรู้สึกผิดนี่ยังคงติดอยู่ในใจชายหนุ่มไม่หายไปไหน ทว่าก็ไม่ได้นำไปพูดกับใคร

“นายเชษฐ์ วันนี้นึกยังไงถึงมาทานที่นี่ครับ”

“นี่ก็บ้านกู กูจะมากินมันแปลกรึไง” ชายหนุ่มตอบ แล้วถือโอกาสวางถอดอาหารนั่งร่วมกับคนทักเลย หนุ่มผิวคล้ำรุ่นน้องเขาห้าหกปีทำหน้าเหวอไปพักหนึ่งแล้วหัวเราะหลังได้ยินคำตอบ พูดว่า “ไอ้มากินมันไม่แปลกหรอกครับนายเชษฐ์ แปลกตรงที่นายเชษฐ์ยืนยิ้มอยู่คนเดียวตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”

มือที่ตักอาหารพร้อมเข้าปากชะงัก “ใครยิ้ม”

“นายเซษฐ์บ่ฮู้โตเลยบ่ครับ ยิ้มหน้าบ้านเปิ้นเวิ้น ข้อยแนมเห็นตั้งแต่ร้อยเมตรพู้น มีอีหยังดีน้อ เล่าให้หมู่ผมฟังนำแหน่ รึว่านายเซษฐ์เจอผู้สาวงาม ถืกตาต้องใจอยากได้มาเฮ็ดเมีย” ไอ้ดำหนุ่มอีสานพูดขึ้น ทำเอาเชษฐ์ไชยสำลัก

“ไม่มีอะไรทั้งนั้น พวกมึงคิดเองเออเองทั้งนั้นแหละ เห็นกูอารมณ์ดีเข้าหน่อยก็ดึงเข้าเรื่องอย่างว่าเลยนะ รึอยากให้กูอารมณ์เสียถึงจะพอใจ”

“เอ๋า กะเห็นนายเซษฐ์เปลี่ยวมาโดนแล้วเนาะ”

“เปลี่ยวพ่อมึงสิ!” เชษฐ์ไชยรู้สึกถึงหน้าที่ร้อนวูบวาบ

“นายเชษฐ์ร้อนเหรอครับ หน้าแดงมากเลย ไอ้ดำไปเอาพัดลมมาเปิดให้นายเชษฐ์ซิ” ไอ้หมอกเพื่อนรุ่นเดียวกันกับดำบอกเพื่อน ได้ฟังหนุ่มอีสานก็ลุกทำตามคำของของหมอกอย่างว่าง่าย หรือไม่ก็ต้องการเอาอกเอาใจเจ้านายเป็นพิเศษ แต่ถึงอย่างนั้นแล้วหน้าของเจ้านายของพวกมันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลย

“ว่าแต่ฮูดังนายเซษฐ์ไปถืกหยังมาครับ เลือดแตกเลย” ไอ้ดำทัก เชษฐ์ไชยเบิกตา ลูบสันจมูกตัวเองนึกขึ้นมาได้

“ไอ้อาเธอร์ดีดประตูใส่หน้ากู” ชายหนุ่มพูดถึงม้าที่คอกแทน ขืนตอบความจริงโดนขำตายแน่ แต่ถึงจะตอบเช่นนี้เขาก็ได้ยินลูกน้องตัวดีหัวเราะพรืดกัน ชายหนุ่มวางช้อนลงเสียงดังบอกว่าตอนนี้เริ่มอารมณ์ไม่ดีแล้ว พวกมันจึงหรี่เสียงลง แล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน

“เอาจั่งได๋แลงนี้บักหมอก สถานที่พร้อม กับแกล้มพร้อม มื้ออื่นหยุดพร้อม หาของเมา ๆ กินกันบ่”

“อยู่ดี ๆ ไม่ว่าดี อยากกินยากันยุงแล้วไอ้ห่าดำ” หมอกส่ายหน้า

“บักฮูดาก กูหมายถึงเหล้า” ไม่พูดเปล่า มือสากตบกบาลเพื่อนไปทีพร้อมเสียงหัวเราะของหมอก ในขณะที่เชษฐ์ไชยก้มลงมองข้อความที่อัฐษไชยส่งมาโวยวายเมื่อรู้ว่าเขาจะไม่เข้าไปทานข้าวที่บ้าน โดยที่ชายหนุ่มรู้ดีว่าจะเป็นเช่นนั้น พร้อมกับคำขอร้องให้รีบกลับเข้าไปของน้องชายที่ยังส่งกระหน่ำตามมาอีกยาวเหยียด

‘วันนี้เด็ก ๆ เขานัดดื่มกัน มีเครื่องดื่มเยอะแยะ มาสังสรรค์กับอิกหน่อยเร็ว หลานมันเรียกหาแต่แกทั้งวัน จะงานยุ่งอะไรนักหนาวะเชษฐ์ ฉันไม่เข้าใจแกเลย ถามจริง ๆ งานหนักมากจนแกผละมาหาครอบครัวไม่ได้สักหน่อยเลยเหรอ อีกไม่กี่วันเด็ก ๆ กับฉันจะกลับกันแล้ว ใจแกจะไม่มาเจอกันตลอดอาทิตย์เลยรึไง’

ชายหนุ่มส่ายหน้าให้ข้อความบนจอมือถือแล้วปิดมันลง คราแรกตั้งใจจะต่อว่าคนงานพวกนี้ที่หาเรื่องเมา แต่เปลี่ยนใจแล้ว ชายหนุ่มวางช้อนในมือลงแล้วถามทั้งสองไปว่า “มีกับแกล้มแล้วใช่ไหม กูไปด้วย”

สองหนุ่มผิวคล้ำชะงักราวกับไม่เชื่อหู “อีหยังนะครับ”

“กูจะไปกินด้วย ทำไม หรือพวกมึงจะไม่ให้กูไป”

“โอ๊ยยยย ให้ไปอยู่แล้วครับนายเซษฐ์ของข้อย แต่ว่าพวกเฮาบ่มีไวน์รึว่าวิสกี้แพง ๆ ให้นายเซษฐ์เด๊ะ เฮามีแต่เหล้าขาวสี่สิบดีกรี นายเซษฐ์กินนำได้อยู่บ้อ สิบ่แสบคอแม่นบ่” คนพูดตะล่อมถาม ใจหนึ่งก็ไม่เชื่อว่าเจ้านายจะรับได้

“กูแดกได้หมดนั่นแหละ แค่ได้เมาก็พอ” ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าน้องชายจะไม่มาตามเขาถึงที่นี่ แต่เชษฐ์ไชยกลับอยากหนี อยากลบความรู้สึกบางอย่างที่มันติดค้างในใจของเขาออก เมื่อจู่ ๆ ก็นึกถึงความหลังยามอยู่กับภรรยาสุดรักเมื่อห้าปีก่อน เมื่อนึกถึงลูกที่เสียไปเพราะความเป็นพ่อที่ไม่เอาไหนของเขา

ปิดกั้นความรู้สึก เอาแต่โทษว่าเป็นความผิดตัวเอง ปล่อยตัว ทำแต่งาน

ทุกอย่างทำให้เชษฐ์ไชยคนก่อนตายไปแล้วกลายเป็นเขาในปัจจุบัน

เจ็บจนอยากหายไปจากโลกใบนี้....

 

 
----------------------------------------------------
 ขอตัดมาจบตอนช่วงนี้ก่อนนะคะ ยาวมากเลย

เดี๋ยวมาอัพอีกทีช่วงบ่าย ๆ และตอนหน้าวิวก็จะได้รู้แล้วว่าพี่หนวดคนบ้าที่น่ารักเป็นอาเชษฐ์

สถานะของทั้งสองจะสั่นคลอน รวมถึงความรู้สึกเปลี่ยนไปมากขนาดไหน

กลับมาอัพแล้วค่ะ จะรีบปั่นต้นฉบับให้จบแล้วส่ง สนพ.

ขอบคุณค่ะ อิอิ

 
หัวข้อ: Re: **{9.3.61-ตอนที่ ๕ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-03-2018 16:34:36
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **{9.3.61-ตอนที่ ๕ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 09-03-2018 19:14:01
โว๊ะ คนแก่จะเขินอะไรขนาดนั้น คนแซวเขาไม่รู้หรอก
ว่าแต่คนเขียนมาต่อเร็วๆ นะ คิดถึงน้องวิวแล้วละ
 :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: **{9.3.61-ตอนที่ ๕ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 09-03-2018 22:07:25
โว๊ะ คนแก่จะเขินอะไรขนาดนั้น คนแซวเขาไม่รู้หรอก
ว่าแต่คนเขียนมาต่อเร็วๆ นะ คิดถึงน้องวิวแล้วละ
 :katai4: :katai4:
จะอัพให้อ่านทุกวันนะคะ
หัวข้อ: Re: **{10.3.61-ตอนที่ ๖--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 10-03-2018 15:36:26


ตอนที่ ๖

“กูยังไม่เมาเลยอิก มึงดูตากูสิ กูกินต่อได้เพื่อน”

“นี่กี่นิ้ว”

“สี่…”

“มึงเมาแล้วเพื่อนวิว ปะ กูไปส่งเข้าห้องนอน”

ไม่คิดว่าวิริยะจะคออ่อนถึงขนาดนี้ อัศวินหิ้วแขนเพื่อนขึ้นพาดคอแล้วพาเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองหลังจากบังคับให้ดื่มด้วยความไม่รู้ เพื่อนรักเดินสะโหลสะเหลก้าวขึ้นไปพร้อมกันอีกทั้งบ่นอุบตามประสาคนเมาไปด้วย อัศวินก้มมองที่ข้อมือตนเองบอกเวลาเพิ่งจะสามทุ่ม ไม่คิดว่าวิริยะจะอ่อนได้ขนาดนี้

เพื่อนสนิทมองคนเมาแล้วอดที่จะแอบยิ้มขันไม่ได้ “ไอ้กาก กูมาส่งแค่ตรงนี้นะ เข้าไปนอนได้แล้วไป”

ทว่ากำลังจะหมุนตัวเดิน ร่างของเขาก็ชะงัก

“อิก…อิก อย่าเพิ่งไป”

อีกฝ่ายร้องเรียก เข่าทรุดจนอัศวินต้องรีบพุ่งเข้าไปรับด้วยเกรงจะล้มหัวฟาดพื้นเข้า ความสลัวของชั้นบนของบ้านที่ไม่ได้เปิดไฟทำให้อัศวินตกใจ เมื่อเหลือบเห็นน้ำตาของเพื่อนสะท้อนแสงไฟด้านล่าง มือยาวกอดคอรั้งเขาเข้าไปหาอย่างไม่เคยทำมาก่อน อีกทั้งยังสั่นเทาราวลูกนก

“เป็นอะไรวะวิว” อัศวินถามขึ้น ความเมายิ่งทำให้เขางุนงงไม่เข้าใจอารมณ์ของเพื่อน รู้เพียงแค่ว่าการกอดปลอบจะช่วยบรรเทาความเศร้าของวิริยะได้ไม่มากก็น้อย “ทำไมมึงร้องไห้ เป็นอะไร บอกกูหน่อย”

“กูเสียใจ” วิริยะกอดคอเพื่อนแน่น “กูเสียใจที่ไม่เคยใช้เวลาร่วมกับมึงเลย กูอยากอยู่กับมึงนาน ๆ”

“ดราม่าอะไรวะเนี่ย มึงเมาแล้วชอบเรื้อนร้องไห้เหรอ”

“กูชอบมึง ชอบมึงมาก ๆ เลย”

“เออ กูรู้ กูก็ชอบมึงเหมือนกันนั่นแหละ ถ้าไม่ชอบคงเลิกคบไปนานแล้ว” อัศวินตอบพลางลูบผมของอีกฝ่ายเป็นเชิงปลอบ แม้เสียงของอีกฝ่ายยามเอ่ยสั่นเครืออ่อนไหวแสดงถึงความเจ็บปวด แต่มันก็ยังคงฟังดูน่ารักเสมอเมื่อออกจากปากของวิริยะ เขาเองก็รู้สึกใจหายไม่แพ้กันเมื่อเห็นเพื่อนเสียใจขนาดนี้

วิริยะเอาแต่ฉีกยิ้มให้ ไม่เคยแสดงมุมอ่อนไหวให้เขาเห็นแม้สักครั้ง

“ขอโทษนะวิว แล้วกูจะติดต่อมาตลอด แค่ซ่อมโทรศัพท์รอกูก็พอ” ได้ฟัง วิริยะคิดว่ามันเป็นคำสัญญา เด็กหนุ่มเงยขึ้นมองหน้าเพื่อนอยู่ครู่หนึ่งทั้งน้ำตาแล้วพยักหน้ารับ เข้าใจอย่างสนิทว่าทั้งสองเปิดอกคุยกันแล้วและอัศวินตกปากรับคำด้วยสัญญา

ทั้งสองมองหน้ากันนิ่งในความสลัว เป็นวิริยะที่ขยับขึ้นไปแนบปากจูบอีกฝ่ายก่อนเพราะความเมา ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ทำนั้นน่าตกใจสำหรับอัศวินเพียงไหน อัศวินตัวแข็งทื่อ เบิกตาโตเพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น และท้ายที่สุดก็ผละตัวออกห่างอย่างต้องการรักษาเพื่อนไว้

“ดะ เดี๋ยวก่อน” เด็กหนุ่มยกมือปราม “มึงเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปแล้ววิว”

ทั้งสองมองตากันท่ามกลางเสียงดังด้านล่าง

อัศวินเพิ่งจะรู้ว่าคำเมื่อครู่ที่วิริยะพูด ไม่ใช่แค่ความชอบของเพื่อนที่มีต่อเพื่อนอย่างที่เขามองอีกฝ่ายมาโดยตลอด เด็กหนุ่มอยากพูดอะไรสักอย่างเพื่ออธิบายให้วิริยะเข้าใจ และรู้ว่าไม่ควรถือสาในสิ่งที่วิริยะกระทำเพราะคนตรงหน้ากำลังเมาไม่ได้สติ

“ไอ้อิก! อาเชษฐ์มา อาเชษฐ์มาแล้ว!”

เพื่อน ๆ ด้านล่างเรียก ทำให้ความเงียบของทั้งสองถูกทำลายลง

“อิก กู…” วิริยะเอื้อมมือมากุม

“กูลงไปหาอาเชษฐ์ก่อนนะ มึงเข้าไปนอนซะ พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน กูอยากคุยตอนที่มึงไม่เมามากกว่า” แล้วอัศวินก็วิ่งลงไปโดยที่ไม่พูดอะไรต่อ ปล่อยให้วิริยะทั้งงงและเมาอยู่มุมนั้น สุดท้ายเด็กหนุ่มเลือกที่จะเดินควานหาห้องเอง เข้าไปหลบทำสติให้พ้นสายตาคนอื่น

เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงนอนบนเตียงในความมืดโดยที่ไม่เปิดไฟ หวังจะให้ถึงพรุ่งนี้เช้าเร็ว ๆ อย่างที่เพื่อนรักว่า อยากพูด อยากเปิดใจคุยกันให้เข้าใจ แม้จะต้องเสียเพื่อนดี ๆ อย่างอัศวินก็ตาม อย่างน้อยเขาก็ได้บอกความรู้สึกของตัวเองก่อนที่อัศวินจะไป นี่แหละเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาตัดสินใจทำในชีวิต

ถึงจะคิดอย่างนั้น ไม่รู้ทำไมน้ำตาของเด็กหนุ่มไหลไม่ยอมหยุดสักวินาที จนกระทั่งผล็อยหลับไปเมื่อไรก็ไม่ทราบ

มารู้สึกตัวสลึมสลือก็ตอนได้ยินเสียงใครสักคนเปิดประตูเดินเข้ามาในห้องมืด ๆ ความคิดแรกคืออาจจะเป็นอัศวินเข้ามาพัก หลังจากดื่มกับทุกคนอยู่ข้างล่างก็เป็นได้ วิริยะพลิกนอนคะแคงเมื่อรู้สึกถึงแรงกระเพื่อมของเตียงคล้ายมีคนทิ้งตัวลงนอน แต่เพราะความเมาและสติที่ยังกลับมาไม่ครบถ้วนทำให้เด็กหนุ่มส่งเสียงอือออได้เท่านั้น

ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายได้ยินเสียงของเขาก็ขยับเข้ามาใกล้ สัมผัสใบหน้าและลำตัวราวพินิจพิเคราะห์

“รตี…รตี…”

วิริยะร้องปราม หูแว่วได้ยินเสียงใครสักคน ใครสักคนที่พยายามกอดเขาพร้อมพร่ำคำคร่ำครวญบางอย่างอยู่ข้างหู

“เธอกลับมาแล้วเหรอ กลับมาหาฉันแล้วเหรอ”

มือใหญ่ลากไล้ตามลำตัวเขาไปจนถ้วนทั่ว แล้วขึ้นมาคร่อมทับอย่างอุกอาจ บังคับกอดและจูบราวกับสัตว์ป่าหิวกระหาย ตัวใหญ่หนักทาบทับร่างเด็กหนุ่ม บวกกับกลิ่นเหล้าแรง ๆ บอกให้เด็กหนุ่มรู้ว่านี่ไม่ใช่อัศวินอย่างแน่นอน

เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร รู้เพียงว่าก็เมาหนักไม่ต่างกัน วิริยะพยายามส่งเสียงบอกว่าเขาไม่ใช่ใครที่ไหนทั้งนั้น แต่ร่างกายไม่อำนวยเอาเสียเลย

“ไอ้หมอนั่นมันให้เธออย่างที่ฉันให้ไม่ได้ ฉันคิดอยู่แล้วเชียวว่าเธอจะกระเสือกกระสนกลับมาเข้าสักวัน”

วิริยะตัวหนักอึ้ง รู้เพียงว่าเสื้อผ้าถูกกระตุกออกจากร่างกาย แต่ตัวเองเพียงร้องอือออไม่เป็นศัพท์ได้เท่านั้น คนด้านบนไร้สติ เอาแต่พล่ามอะไรสักอย่างราวกับคนบ้า “ต่อให้คลานเข่ากลับมา อย่าหวังว่าจะได้ฐานะเมียของฉันคืน ฉันให้ได้แค่เป็นของว่างของฉันแค่นั้นแหละ จำไว้ จำไว้เลย!”

“อื้อ! ฮึก…”

ความรุ่มร้อนอะไรบางอย่างทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บ ยามมันเสียดแทรกเข้ามาในกาย

“เธอมัน…ผู้หญิงชั้นต่ำ”

ถ้อยคำหยาบโลนถูกกรอกเข้าหูเด็กหนุ่มโดยที่เขาไม่เข้าใจและไม่มีทางเข้าใจ อีกทั้งความกดดันและคับแค้นใจของคนด้านบนกระทั้นกระแทกเข้ามาสู่ร่างกายราวพายุโหมพัดกระหน่ำ วิริยะทำได้เพียงแค่ส่งเสียงและยกลำแขนระโหยโรยแรงปรามเท่านั้น เขาเจ็บปวด แต่ก็รู้ว่าคนด้านบนเองก็กำลังเจ็บปวดอยู่ไม่ต่างกัน

“สารเลว นังสารเลว!”

แม้จะมีแต่ถ้อยคำร้ายกาจสาดใส่ มันกลับประสมไปด้วยเสียงสะอื้นไห้ของอีกฝ่าย

“อื้อ อื้อ!” มือยาวไขว่คว้าหาที่ยึดเหนี่ยว กลายเป็นกอดคนด้านบนแนบแน่น

ท้ายที่สุดทั้งสองคนก็ปลอบโยนกันและกัน นำพาไปสู้ห้วงฝันอันเวิ้งว้างที่ห่างไกลความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง ไม่รู้เลยว่าวันพรุ่งนี้จะมีอะไรรอพวกเขาอยู่

 

วิริยะสะดุ้งตื่นเพราะความปวดหัวและแรงกระเพื่อมยามพลิกไปมาของคนข้างกาย เด็กหนุ่มขยับตัวงัวเงียโอดโอยไปพร้อมกัน โดยไม่รู้ว่าจะเจ็บปวดส่วนไหนก่อนดี วินาทีหนึ่งมีภาพบางอย่างแล่นเข้าสมองเมื่อนึกหาสาเหตุของการเจ็บปวดร่างกาย เด็กหนุ่มเบิกเปลือกตาตื่นอย่างเต็มตา สำรวจร่างกายตนเองซึ่งบัดนี้ล้อนจ้อนไร้เสื้อผ้า แม้อยากให้คิดว่ามันเป็นฝัน แต่มันไม่ใช่!

วิริยะไม่รู้เลยว่าใคร ใครเป็นคนนอนกับเขาเมื่อคืน

เขาไม่กล้าแม้แต่จะหันหลังไปดู

“ฉิบหายแล้ว…”

เด็กหนุ่มก้มลงมองสภาพร่างกายตนเอง จำไม่ได้เลยว่าผ่านวิธีการอย่างไร รู้เพียงว่าก่อนหลับเขากับอัศวินสัญญากันไว้ว่าจะปรับความเข้าใจกัน วิริยะพยายามพาร่างอันเจ็บปวดลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าสวมใส่ลวก ๆ ตัดสินใจจะเดินหนีออกไปข้างนอกแล้วทำทีว่าไม่เกิดอะไรขึ้น หากทว่าเขาไม่เหลือบไปเห็นคนนอนบนเตียงเดียวกันกับเขาว่าเป็นใครเสียก่อน

เด็กหนุ่มตัวชา แปลกใจและงุนงงไปหมด

“พี่ พี่หนวด…” วิริยะตัวชา ก้าวขาไม่ออกไปชั่ววินาทีหนึ่ง

อีกฝ่ายได้ยินเสียงเขาแล้วงัวเงีย ลืมตาตื่น ทำสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นเด็กหนุ่ม วิริยะถอยกรูดออกห่างทันทีอย่างระวังท่าทีเมื่อเห็นอีกคนลุกขึ้นนั่ง มองเขา เพราะยังมีเศษเสี้ยวความทรงจำบางอย่างเมื่อคืนหลงเหลืออยู่ เมื่ออีกฝ่ายเห็นเขาพยายามเดินออกไปข้างนอกก็กุลีกุจอลุกเดินตามมา “เธอ…วิว”

โดยไม่สนเลยว่าตัวเองไม่ได้สวมใส่อะไร “พี่ พี่! พี่ไปใส่กางเกงก่อนเถอะ” วิริยะก้มหน้า

คนฟังควานหยิบผ้าขนหนูที่ไหนสักที่มาพันเอว เดินตรงมาที่วิริยะ “เรื่องเมื่อคืนนี้ ฉัน…”

“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละพี่ พี่รีบลงไปดีกว่า คราวที่แล้วก็แอบเข้าครัว คราวนี้แอบมานอนบนเตียงเจ้านายอีก ผมไม่อยากให้คนสวนอย่างพี่เดือดร้อน ไปรีบใส่เสื้อผ้าแล้วลงไปเถอะ ผมสัญญาว่าจะไม่บอกใครเลย รวมถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ด้วย มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาทั้งนั้น” เด็กหนุ่มก้มหน้า ส่ายมือระรัวเพราะไม่อยากสบตา

คนฟังรู้สึกฉุน “ทำไม จะบอกว่าเมื่อคืนนี่ฉันนอนเอากับรูในแจกันรึไง”

“ปากเสีย!” เด็กหนุ่มเหวอย่างทนฟังไม่ได้ สีหน้าบอกไม่พอใจ “เมื่อคืนพี่ก็รู้ว่าเราเมามาก พี่มาจากไหนวะ ผมนอนของผมอยู่ดี ๆ แท้ ๆ”

ชายตัวใหญ่หนวดเฟิ้มตรงหน้าไม่สะทกสะท้านคำกล่าวหาของวิริยะ เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายต่างหากที่มานอนรอบนเตียงในห้องของเขาเอง แม้กระทั่งตอนนี้เจ้าตัวยังไม่รู้เลยว่ากำลังอยู่ในห้องของใคร ชายหนุ่มถอนใจ ยอมรับผิดส่วนหนึ่งที่ใช้กำลังเอาชนะเด็กตรงหน้า

เชษฐ์ไชยสางผมยุ่งของตัวเอง “เออ พี่ผิดเอง แล้วพี่ก็อยากจะรับผิดชอบ…”

“ถ้าอยากรับผิดชอบก็ลืมไปให้หมดเลยนะพี่ อย่าให้ใครรู้เรื่องคืนนี้ ผมขอร้อง” เด็กหนุ่มยกมือไหว้ “ให้มันจบกันตรงนี้ได้ไหม ผมไม่อยากมีปัญหา ลืมเรื่องนี้ไปเลยนะครับ นะ...”

เชษฐ์ไชยนิ่งไป เพราะยังคงไม่เข้าใจคำที่อีกฝ่ายตอบ “ปัญหาอะไร”

“ผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ผมไม่อยากคิดเรื่องอื่นให้ปวดสมอง แล้วก็อยากมาที่นี่เพื่อทำงานจริง ๆ”

“อย่ามาดูถูกฉันนะ ฉันก็แค่จะรับผิดชอบในสิ่งที่ฉันทำ”

“ไม่ ๆ ๆ พี่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ไม่ต้องหรอก ผมโอเค แล้วผมก็ไม่ต้องการการรับผิดชอบอะไรจากพี่ด้วย…”

“แต่ฉันไม่โอเค!”

วิริยะถอยออกห่างเมื่อเชษฐ์ไชยแสดงสีหน้าไม่ได้ดังใจ แล้วรีบเดินหนีชายหนุ่มออกจากห้องไปโดยไม่อยู่รอฟังคำไหนทั้งนั้น ท่าที และคำพูดแสดงออกมาโดยตรงแล้วว่าการนอนกับเขาเมื่อคืนเป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ในชีวิต

เมื่อถูกปฏิเสธเช่นนั้นแล้ว ชายหนุ่มยกมือหนาขึ้นสางผมยาวของตัวเองเดินวนไปยังห้องน้ำพร้อมกับความโมโหที่ยังอบอวลอยู่ในอก ครั้นเห็นร่างกายตนเองในกระจกแล้วนั้น มองดูสภาพของตอนนี้แล้วก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่า หรือเพราะเขาเป็นไอ้หนวดคนสวนธรรมดา ไม่ได้มีฐานะใหญ่โตที่ไหน เขาดูต่ำต้อยเรี่ยดินอย่างที่เคยถูกมองตลอด

เด็กนั่นจึงปฏิเสธ

“เวรเอ๊ย!” เขาเบื่อจริง ๆ พวกหน้าเงิน!

สุดท้าย…มันก็จบอย่างเห็นแก่ตัวอย่างนี้ทุกที ทุกคนมันก็เห็นแก่ตัวกันหมด

หน้าเงิน น่าขยะแขยง!

เชษฐ์ไชยคิดพลางขบฟันจนกรามปูดนูนด้วยความโมโห

เด็กนี่ไม่รู้อะไรเสียแล้ว คนอย่างนายเชษฐ์น่ะ ฆ่าได้…หยามไม่ได้!

 

วิริยะรู้สึกร่างกายไม่มีเรี่ยวแรง เด็กหนุ่มเดินออกมาข้างนอกก็ตกใจที่ตัวเองเข้าห้องผิด หากทว่าเพราะทุกอย่างมันสุมหัวทำให้ไม่ได้หยุดฉุกคิดอะไร เข้ามาอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายในห้องพักของตัวเองด้วยความยากลำบาก กว่าจะเสร็จก็ได้กลิ่นอาหารจากด้านล่างลอยขึ้นมายั่วน้ำย่อยแล้ว

เด็กหนุ่มยกยิ้มเมื่อได้ยินเสียงเพื่อนบ่นถึงเขาเพราะความคออ่อนเมื่อคืน นินทาในระยะเผาขนกันเลยเชียว คิดแล้วก็เดินลงบันไดตรงไปยังโต๊ะอาหารที่มีกลุ่มเพื่อนนั่งกันจนครบถ้วน ร่วมด้วยอาอัฐษ์ และใครอีกคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตาเด็กหนุ่มจนทำให้ลำขาไม่มีแรงขึ้นมาเสียเฉย ๆ

เด็กหนุ่มชะงักขา ตาคมของอีกฝ่ายผละมามองเขาและรับรู้การมาถึง

“นั่นไง ไอ้กากมาพอดีเลย เป็นไง สร่างเมารึยังวะวิว”

อัศวินทัก ทว่าวิริยะหน้าซีด พูดไม่ออก เมื่อเหลือบไปเห็นนัยน์ตาคมของเจ้าของร่างใหญ่ที่เพิ่งจะแยกกันเมื่อเช้าเหลือบจ้องไม่ยอมละ แวบหนึ่งเขาเห็นรอยยิ้มเหยียดและสะใจที่เขาแสดงท่าที่เช่นนี้ “เอ้อ มึงยังไม่ได้เจออาเชษฐ์นี่ นี่อาเชษฐ์ของกูนะวิว อาเชษฐ์ครับนี่ไอ้วิว คนที่ผมบอกว่าจะมาทำงานที่นี่”

“อ้อ คนนี้นี่เอง…”

วิริยะยกมือไหว้ทั้งที่หน้ายังเสีย รู้สึกจุกจนพูดไม่ออกเมื่ออีกฝ่ายกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเป็นปกติกับอัศวินว่าไม่รู้จักวิริยะเลยสักนิด แล้วมองมายังเขาด้วยสายตาที่แตกต่างไปจากเคย

เขาไม่เคยรู้และไม่เคยเอะใจเลยว่าอีกฝ่ายเป็นใคร รู้เพียงว่าตอนนี้รู้สึกราวกับถูกทรยศและคิดว่าเชษฐ์ไชยเห็นเป็นเพียงของเล่นสนุก ได้ดูเขาพูดจาเข้าข้างตัวเอง ได้มองเขาวางท่าบ้า ๆ มาตลอดอย่างน่าขัน น่าตลก น่าตลกสิ้นดีเมื่อถูกมองด้วยสายตาเย็นชาตรงหน้าหลังความจริงเปิดเผย

ความจริงแล้วเขากับอีกฝ่ายมันคนละชนชั้น

นี่สินะ ธาตุแท้และตัวตนที่แท้จริงของเชษฐ์ไชย!

ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมหลังจากนี้ ในนัยน์ตาคมของอีกฝ่ายบอกเด็กหนุ่มเช่นนั้น

เชษฐ์ไชยที่เขาเห็นยามนี้ เป็นสายตาของนายเชษฐ์จอมโหดของไร่รุ่งอรุณี ไม่ใช่สายตาของพี่หนวดแสนใจดีคนนั้นอีกต่อไปแล้ว

มันจบแล้ว…



--๕๐--

---------------------------------------------------------------------------

วิวรู้ความจริงแล้ว ทุกอย่างเริ่มมีชนวน เริ่มจุดไฟตั้งหม้อมาม่าแล้ว อิอิ

คนนึงก็โกรธและมีปมเรื่องโดนหลอกลวง อีกคนนึงก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นของเล่น

ต่อไปจะงอน จะโกรธ จะดราม่ารึเปล่า ต้องรอติดตาม

อย่าลืมนะคะ ถ้าเห็นใจก็คอมเม้น โหวต ทุกทางที่ให้กำลังใจหนูนาได้ สนับสนุนหนูนาได้ ขอความกรุณาด้วยนะคะ

แล้วจะตอบแทนด้วยการขยันอัพนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

กำลังใจที่ดี ช่วยบอกว่าคุณนักอ่านคิดเห็นอย่างไร

หัวข้อ: Re: **{10.3.61-ตอนที่ ๖--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-03-2018 16:06:22
  :pig4:
หัวข้อ: Re: **{10.3.61-ตอนที่ ๖--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-03-2018 16:08:27
โธ่.... วิวน้อยโดนเขมือบเสียแล้ว  :hao5:
หัวข้อ: Re: **{10.3.61-ตอนที่ ๖--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 10-03-2018 18:25:49
โธ่.... วิวน้อยโดนเขมือบเสียแล้ว  :hao5:
เดี๋ยวมีอีกค่ะ
หัวข้อ: Re: **{11.3.61-ตอนที่ ๖--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 11-03-2018 11:47:10


(ต่อ)

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารครึกครื้นและเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยหยอกล้อของผู้ร่วมรับประทาน ทว่าวิริยะกลับไม่รู้จะพูดอะไรดี มีเพียงอัฐษไชยเท่านั้นที่เพียรตักกับข้าวมาให้ สอบถามว่าอร่อยถูกปากหรือเปล่า เด็กหนุ่มเพียงยกยิ้มและพยักหน้ารับอย่างระวังท่าที เพราะยังไม่หายตกใจจากเรื่องใหม่ที่เพิ่งได้รับทราบ

เหลือบมองคนนั่งหัวโต๊ะผู้มีตำแหน่งนายใหญ่แห่งไร่รุ่งอรุณีที่กำลังตักอะไรทาน หลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ภาพลักษณ์ที่เขาเคยมองเมื่อก่อนก็มลายหายไปหมดแล้ว พี่หนวดคนธรรมดาของเขาไม่หลงเหลือเค้าเดิมให้เห็น หากเป็นเช่นนั้นแล้วการทำงานจะเป็นอย่างไรต่อ วิริยะไม่รู้เลย

“วิว วิว!”

“หะ หา…” เด็กหนุ่มเงยมองหน้าอัศวินที่นั่งอยู่ข้างอาคนโต แม้จะผ่านเรื่องสะเทือนใจเมื่อคืนมาแล้วนั้น ท่าทีของเพื่อนรักยังไม่เปลี่ยนไปจากเดิม มองเขาด้วยรอยยิ้มใจดีเช่นเคย “อะไร มีอะไรเหรอ”

“ก็มึงบอกว่าอยากเรียนรู้งาน จะได้ช่วยอาเชษฐ์ได้ไง นี่กูก็กำลังฝากมึงให้อาเชษฐ์ดูแลอยู่ ดีไหม”

“ดีกับผีน่ะสิ” เด็กหนุ่มบ่นอุบกับตนเอง

“อะไรนะ”

“อ๋อ เปล่า ขอบใจนะ กูซึ้งใจมากเลย” เด็กหนุ่มแค่นยิ้มให้เพื่อนท่ามกลางสายตาเอ็นดูของคนนั่งข้าง อาคนเล็กของอัศวินเพียงยกยิ้มเท่านั้น หันมองพี่ชายที่ยังคงปั้นหน้าเข้มราวกับไม่สบายท้อง ทั้งที่ความเป็นจริงก็ไม่ควรเก๊กท่าให้เหนื่อยหน้าอย่างนี้เลย อยู่กับคนกันเองทั้งนั้น อัฐษไชยจึงเอ่ยขึ้นว่า “อันที่จริงก็เห็นรู้จักกันก่อนหน้านี้ไม่ใช่เหรอ เชษฐ์กับวิว”

วิริยะชะงัก เงยมองคนนั่งข้าง

“รู้จักอะไร ก็แค่บังเอิญเจอกันผ่าน ๆ” เชษฐ์ไชยตอบ

“ใช่เหรอ เมื่อวานฉันลองเดินตามวิวไปที่คอกม้า เห็นเล่นน้ำสนุกกันใหญ่ ก็คิดว่าแกจะตามวิวมากินข้าวด้วยกันแต่ก็ไม่ ฉันเลยโมโหส่งข้อความไปตามแกอีกรอบไง” อัฐษไชยอธิบายเสียงฉุนเล็กน้อยพอให้รู้ว่ายังมีความรู้สึก และนั่นทำให้ผู้ถูกกล่าวถึงทั้งสองเงียบไป ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะเล่นพูดว่าจับได้คาหนังคาเขาแบบนั้น

“อ๋อ รู้แล้ว! ที่ป้าต้อยถามว่ามึงไปเอาเสื้ออาเชษฐ์มาใส่ได้ยังไงใช่ไหม กูจำได้แล้ว” มาร์คถามวิริยะขึ้นด้วยเสียงตื่นเต้น ได้ยิน เด็กหนุ่มพูดไม่ออกเพราะตอนนั้นเขาไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ

“เออ แล้วมึงก็โมเมตอบป้าต้อยว่าเป็นเสื้อของคนสวน อำเก่งนะเนี่ย” อัศวินยกนิ้วชี้ล้อ

“กูไม่ได้อำ” วิริยะตอบ ปรายตามองคนที่ยังคงนั่งเงียบอยู่หัวโต๊ะ

“ยังจะมาพูดเล่นอีก เป็นคนตลกน่ะเรา”

“ก็มันเป็นเสื้อของคนสวนจริง ๆ นี่”

“เพื่อนวิว พอได้แล้วเพื่อน พวกกูขำจนฉี่จะราดอยู่แล้ว มุกมึงตลกดีจริง ๆ แซวอากูซะไปไม่เป็นเลย เห็นแบบนี้อากูก็หล่อนะโว้ย”

“กูไม่ได้พูดเล่น ก็กูคิดว่าเป็นเสื้อคนสวนไง กูไม่รู้ไง!” ดูเหมือนคนช่างจ้อจะไม่สนุกด้วย วิริยะลุกขึ้นยืน เดินหนีไปอย่างอารมณ์เสีย พลอยให้คนนั่งข้างที่เผลอขำขันไปกับหลานชายต้องชะงักมอง ทุกคนแปลกใจเมื่อเพื่อนผู้สดใสไม่เล่นด้วยอย่างเคย ท้ายที่สุดอัฐษไชยก็เหลือบมองพี่ชายที่ยังคงไม่แสดงความรู้สึกใดใด นอกจากมองตามแผ่นหลังแคบของวิริยะอย่างเงียบเชียบ

อัฐษไชยรู้แล้วว่าอาจมีบางอย่างเกิดขึ้น

“กินกันต่อเลย เดี๋ยวฉันมา ไปดูวิวก่อน”

อัฐษไชยยกมือบอกทุกคน แม้กระทั่งแม่ต้อยก็ยังเป็นห่วงวิริยะจนออกนอกหน้า

“กินข้าวทีละสองสามคำ แล้วจะเอาแรงที่ไหนไปทำงานวะ” มาร์คพูดถึงเพื่อนตัวผอมที่เดินออกไป หลังจากอัฐษไชยเดินตามวิริยะไปแล้ว “ไอ้อิก กูว่าชวนมันกลับไปกับเราเถอะ เดี๋ยวค่อยหางานอื่นให้มันทำที่โน่นเอาก็ได้ เดี๋ยวกูฝากมันให้ทำงานที่ร้านอาหารญาติกูเอง”

“เออ ก็ดีเหมือนกัน กูว่ามันก็ไม่น่าจะมาทำงานที่ไร่ไหว” เพื่อนอีกคนเออออ

“แต่มันบอกว่าอยากอยู่ที่นี่แล้วนะ แถมมาบอกว่าไปตีสนิทคนที่ไร่ไว้แล้วด้วย โม้ใหญ่เลยว่าพี่เขาใจดีมาก คอยช่วยมันทุกอย่างเลย กูถึงได้มาฝากให้อาเชษฐ์คอยดูแลมันห่าง ๆ ให้นี่ไง” อัศวินยักไหล่แล้วหันไปหาอาในประโยคสุดท้าย ได้ฟัง เชษฐ์ไชยที่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเพื่อนทั้งหมดถึงคอยเอาอกเอาใจเด็กคนนี้นักหนาก็รู้ อาจเป็นเพราะวิริยะเป็นพวกใสซื่อ มักแสดงออกอย่างโดยตรง จึงทำให้คนมองดูรู้สึกเป็นห่วงเรื่องการใช้ชีวิต

“ไม่รู้จะกวนอาเชษฐ์ไหม แต่วิวมันเป็นพวกตั้งใจเรียนรู้มากเลย ฝากดูแลมันเป็นพิเศษได้ไหมครับ”

ชายหนุ่มหันมองหลานชายอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ขัด

“ถ้าแกต้องการ ได้สิ อาจะดูแลให้อย่างพิเศษเลย” เชษฐ์ไชยรับคำอย่างว่าง่าย เพราะรู้ดี วิริยะเองก็ดูท่าจะโกรธเหมือนกัน ที่เขาพยายามปกปิดสถานะตัวเอง

แต่หาได้ใช่ความผิดของเขา ก็เด็กนั่นดันคิดเอง ชายหนุ่มช่วยไม่ได้

 

วิริยะหยุดลำขาอยู่บริเวณทุ่งกว้างห่างจากคอกม้าไม่ไกลนัก เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเอาความขุ่นมัวอออกไป บอกตัวเองว่าเขาไม่มีสิทธิ์โกรธที่โง่คิดว่าอีกฝ่ายเป็นแค่คนสวน ไม่ว่ามันจะน่าโมโหขนาดไหนก็ตาม ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพยายามหนีเขาเพื่อปิดมันหรือไม่ อีกฝ่ายก็ต้องถูกกว่าเสมอ เพราะเป็นผู้ใหญ่กว่าและกำลังจะเป็นเจ้านายด้วย

แต่อยู่คนเดียวได้ไม่นาน ไม่ทันหยุดหอบเสียด้วยซ้ำก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครวิ่งตามหลังมา

“วิว!”

เด็กหนุ่มเบิกตาเมื่อเห็นอัฐษไชยเหงื่อแตก วิ่งเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างกาย ระหว่างทั้งสองมีเพียงลมหายใจระรัวเท่านั้นกั้นกลาง กระทั่งหายเหนื่อยแล้ววิริยะจึงเงยขึ้นไปสอบถาม เหตุใดจึงมาอยู่ตรงนี้กับเขาได้ “อาอัฐษ์วิ่งตามผมมาทำไมครับ ทำไมไม่ทานข้าวต่อ”

คนตัวสูงกว่าโคลงศีรษะ “จะให้กินลงได้ไง เห็นเด็กร้องไห้ขี้มูกโป่งวิ่งหนีมาต่อหน้าต่อกันขนาดนี้”

“ผมเปล่าสักหน่อย!” วิริยะกอดอกทำหน้ามุ่ย

“แล้วเป็นอะไร เพื่อน ๆ งงกันเป็นไก่ตาแตกหมดแล้ว”

เด็กหนุ่มงุดหน้าลงพื้น ตั้งแต่เช้ารู้สึกไม่สบายตัว เจ็บปวดขัด ๆ ทำให้พลอยหงุดหงิดง่ายไปด้วย “เปล่าครับ”

มือใหญ่ข้างกายเอื้อมมาจับต้นแขนเด็กหนุ่มให้หันไปสบตาหวังจะจับผิด วิริยะทำได้เพียงแค่ก้มลงมองพื้นเพราะไม่อยากให้ใครเห็นว่ากำลังเศร้า กำลังกังวล หรือเสียความรู้สึก เด็กหนุ่มแยกแยะไม่ออกเลยว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกอย่างไร ตอนนี้เขาไม่เป็นตัวของตัวเองเลย

“บอกมาเถอะน่าวิว มีเรื่องอะไรกับเชษฐ์รึเปล่า ปรึกษาอาได้ เดี๋ยวอาไปว่ามันให้”

“มะ ไม่ใช่หรอกครับอาอัฐษ์ อย่าไปว่าเขาเลย ผมผิดเอง เข้าใจทุกอย่างผิดไปเอง” วิริยะรีบส่ายหน้าระรัวเพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ ไหนจะเรื่องแม่เลี้ยง ไหนจะเรื่องหนี้ที่ต้องทำงานชดใช้ แล้วยังมีเรื่องบ้า ๆ นี่เข้ามาให้รกสมองอีก แล้วเขาก็ปัดออกไปไม่ได้สักอย่างด้วยซี “ผมดันไปเข้าใจว่าพี่…เอ่อ อาเชษฐ์เป็นแค่คนงานธรรมดา เมื่อวานก็เลยเล่นกับเขาแรงไปหน่อย แค่นั้นเอง”

ใบหน้าคนพูดดูเหมือนสำนึกผิดจริง

“งั้นเองหรอกเหรอ” อัฐษไชยหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

วิริยะพยักหน้ารับเล็กน้อย “แล้วก็ แผลตรงจมูกนั่น ฝีมือผมเอง” เล่าให้ฟัง

คนฟังเบิกตาตื่นเต้น แล้วหลุดหัวเราะอีกครั้งอย่างไม่อยากเชื่อ “จริง ๆ เหรอ เธอเป็นคนทำมันเหรอ”

“ทีนี้ไม่รู้จะทำตัวยังไงเลยครับ มันรู้สึกแปลก ๆ ไม่ค่อยกล้าเล่นด้วยเหมือนเมื่อก่อน”

คนตัวใหญ่กว่าส่ายหน้า “ไม่ต้องคิดมากหรอก เชษฐ์เขาก็แค่วางท่าดุไปอย่างนั้นเอง อันที่จริงเขาเป็นคนจิตใจดีมากนะ ถ้าสนิทกันก็น่าจะรู้นี่ เดี๋ยวอีกหน่อยก็เลิกอวดเบ่งใส่แล้วแหละ ไม่ต้องห่วง”

ถึงจะพูดอย่างนั้นให้เขาสบายใจ วิริยะกลับรู้สึกคาราคาซัง ก่อนหน้านี้เขาเห็นท่าทีของเชษฐ์ไชยยามวางท่า ยามอวดเบ่งมาก่อน ทว่าอีกฝ่ายไม่เคยมองเขาด้วยวิธีเย็นชาเช่นตอนนี้เลยแม้แต่สักครั้ง นั่นทำให้วิริยะคิดว่าคราวนี้อีกฝ่ายกำลังมีกำแพงบางอย่างก่อขึ้นอยู่ในใจ ไม่ต่างจากความรู้สึกของเขาที่มีรอยร้าวเมื่อได้รับรู้สถานะที่แท้จริงของอีกฝ่าย รู้ได้ว่าไม่อาจกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว

“กลับไปกินข้าวเถอะ เพื่อน ๆ อาจรออยู่” เจ้าของร่างสูงใหญ่ข้างกายเอ่ยขึ้น เรียกให้เด็กหนุ่มเงยขึ้นไปมองใบหน้ารูปหล่อและถึงบางอ้อขึ้นมาทันใด ว่าที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาอัฐษไชยก็เพราะเคยเห็นเชษฐ์ไชยมาก่อนนี่เอง วิริยะพยักหน้ายอมทำตามคำสั่ง แล้วหมุนตัวเดินกลับไปพร้อมกันขณะที่เอ่ยปากไถ่ถาม “อาอัฐษ์กับพี่…อาเชษฐ์เป็นฝาแฝดเหรอครับ”

“ใช่ แล้วเธอก็กำลังคิดอยู่ ว่าพวกอาไม่เหมือนกันสักนิดเดียวเลยใช่ไหมล่ะ” ผู้อาวุโสย้อนด้วยน้ำเสียงใจดีกึ่งขำขัน เรียกรอยยิ้มเล็กน้อยขึ้นมาบนใบหน้าขาวซีด ครั้นเห็นสีหน้าวิริยะดีขึ้นมา ตาคมที่งุดลงมองคนเดินข้างอยู่แวบหนึ่งจึงผละออกไปมองทิวทัศน์บริเวณอื่น

“ก็อาอัฐษ์ออกจะหล่อ ใจดี ทุกอย่างดีไปหมด ใครจะไปรู้ว่ามีแฝดเป็นตรงกันข้ามกันหมดทุกอย่าง…” พูดยังไม่ทันจบดี ปิ๊กอัพยกสูงคันคุ้นตาก็แล่นมาจอดอยู่ตรงหน้าของพวกเขา อันที่จริงคาดว่าน่าจะมาที่คอกม้ามากกว่า ซึ่งเห็นอัฐษไชยหยุดยืนรอดูทำให้วิริยะจำต้องยืนอยู่ตรงนั้นด้วย ทั้งที่ไม่อยากเจอหน้าเลยแท้ ๆ

ทั้งสองมองคนที่ถูกพาดพิงถึง กำลังทำหน้าเป็นกอริลล่าจอมโหดเดินลงจากรถ ดูยังไงก็ไม่มีทางจะมาดีแน่ หากไม่ได้ยืนอยู่กับน้องชายของอีกฝ่าย ป่านนี้วิริยะวิ่งหางจุกตูดไปไหนต่อไหนแล้ว ไม่อยากพูดกับคนหน้าบูดพรรค์นี้

“ทำไมรีบมาจังเลย พวกเรากำลังจะกลับ” อัฐษไชยถามพี่ชาย

ผู้ถูกทักทำทีสาละวนกับการเก็บของอยู่หลังรถ ชำเลืองตาเห็นร่างผอมโปร่งที่กำลังมองไปที่อื่นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบ “ขืนรอกินข้าวด้วยคงได้กินตอนเที่ยงโน่น ฉันมีงานที่จะต้องทำ เรื่องเวลาแค่นี้ไม่รู้แล้วจะไปทำห่าอะไรได้”

วิริยะรู้ตัวว่าถูกด่า ซึ่งทำได้เพียงแค่ยืนหน้างอ และผู้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดก็หัวเราะกับท่าทีทั้งของพี่ชายและเพื่อนของหลานอย่างไม่อาจปิดได้ อายุก็มากกันแล้ว เหตุใดทั้งสองจึงตัวเป็นเด็กโกรธกันไปได้ อัฐษไชยจึงเริ่มพูดกับพี่ชายที่เป็นฝ่ายอายุมากกว่า “สรุปจะงอนกันอย่างนี้ต่อไปน่ะเหรอเชษฐ์”

“ใครงอนใคร” เชษฐ์ไชยเสียงดัง

“แกทำแบบนี้เด็กจะเครียดเอานะ”

“ก็ช่างสิ อีกไม่กี่วันก็จะกลับไปแล้ว”

“ใครบอกว่าผมจะกลับ ผมไม่กลับ ผมจะทำงานที่นี่” วิริยะรีบแย้งทั้งโคลงศีรษะ แล้วเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของเชษฐ์ไชย “หรือว่า อาเชษฐ์ อยากจะไล่ให้ผมกลับไปกันล่ะ”

คำเรียกที่เด็กตรงหน้าเน้นย้ำสถานะของเชษฐ์ไชย ทำให้ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วก็ขยับตัวสูงใหญ่ทำงานตรงหน้าต่อโดยไม่รีบไม่ตอบคำถาม “ฉันเชื่ออย่างสนิทใจว่างานที่นี่ไม่เหมาะกับเธอ ถ้าจะมาอยู่แล้วกินแรงคนอื่น หวังจะได้เงินเยอะกว่าคนอื่นเพียงเพราะเป็นเพื่อนของหลานฉัน กลับไปซะ ที่โน่นมีงานสบาย ๆ รออยู่เยอะแยะ”

“ผมไม่เคยคิดแบบนั้นสักหน่อย” วิริยะรีบตอบ แล้วฉุกคิดขึ้นได้ว่าเคยพูดไปเล่น ๆ ครั้งหนึ่ง “อาจจะ…มีแอบคิดนิดนึง แบบว่าขี้โม้ไปบ้าง แต่ผมไม่ได้คิดจะทำแบบนั้นเลย ผมตั้งใจมาทำงานจริง ๆ แล้วก็ไม่ยอมกลับไปจนกว่าจะเปิดเทอมด้วย” เด็กหนุ่มพูดหน้าจริงจัง แล้วก็หันไปหาอัฐษไชยขอความช่วยเหลืออีกแรง

ผู้ยืนฟังอยู่ตลอดยกยิ้ม “เด็กสัญญาแล้ว แกก็กล้ารับหน่อยสิ”

“ฉันไม่ได้ป๊อด ฉันขี้เกียจมีปัญหา”

“ถ้าอยากทำสวนมากนัก เดี๋ยวอาจ้างมาทำที่บ้านก็ได้นะวิว”

“แต่มันไม่เหมือนกันนี่ครับ” วิริยะทำเสียงสูงราวเด็กถูกขัดใจ

“เด็กเขาอยากทำงานกับแก นี่ยังจะไล่อีกเหรอ”

“ไม่ได้ไล่โว้ย ก็บอกแล้วไงว่าไม่อยากมีปัญหา ก็ได้…ให้ทำก็ได้ แล้วอย่ามาบ่นทีหลังแล้วกัน” นิ้วชี้ยาวยกชี้หน้าเด็กหนุ่ม ก่อนผู้พูดจะเดินสามขุมยกสัมภาระเข้าไปในคอกม้า ปล่อยให้วิริยะกับอัฐษไชยมองหน้ากันอยู่ตรงนี้หลังได้ยินคำอนุญาต

อันที่จริงวิริยะไม่ได้อยากอยู่ที่นี่ขนาดนั้น แต่เขายังไม่อยากกลับไปที่บ้าน ไปเจอคนพวกนั้น

เผชิญหน้ากับเชษฐ์ไชยตรงนี้ยังไม่น่ากลัวเท่า

กลับไปถึงที่พักแล้ววิริยะก็แวะพูดคุยกับเพื่อนที่หวังดีอยากให้กลับไปด้วย เด็กหนุ่มปฏิเสธเพราะไม่อยากให้ทุกคนลำบากหางานให้ หรือนำเขาไปฝากกับใคร หลังเข้าใจกันแล้วก็ขึ้นตรงไปนอนต่อเพราะรู้ลึกล้าร่างกาย เขาสลบเหมือด มารู้สึกตัวยามกลางดึกของวัน ขณะที่พยายามลุกจากเตียงให้เบาที่สุดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงพลิกของอัศวิน ก่อนที่เพื่อนรักจะรู้สึกตัวตื่น

“ไปไหนอีก” เจ้าของร่างบนเตียงสอบถาม

“หิวน้ำ…”

อัศวินลุกขึ้นนั่ง บิดขี้เกียจสองสามที “เป็นอะไรรึเปล่า นอนยาวขนาดนี้กูนึกว่าซ้อมตาย มานี่ซิ” พูดพลางกวักมือเรียก ได้ยินแล้วเด็กหนุ่มจึงทำตามคำบอกของเพื่อนอย่างว่าง่าย ย่างเท้าเข้าไปหา หยุดยืนอยู่ตรงหน้าให้มือยาวยกขึ้นมาอังหน้าผาก สัมผัสบริเวณแก้มอยู่สองสามครั้ง ถูกทำเช่นนี้ใจวิริยะเต้นตึกจนแทบทะลุออกจากอก

“ทำแบบนี้ จะจีบกูปะเนี่ย” เด็กหนุ่มพูดฝ่าความเงียบ ซึ่งได้ฟังเพื่อนก็หลุดยิ้มขัน

“กูไม่ชอบเด็กอายุห้าขวบ”

“สิบเจ็ดแล้วเพื่อน”

“นิสัยมึงก็ไม่ต่างหรอก เพื่อน ๆ กับกูถึงต้องคอยดูแลอย่างนี้นี่ไง” อัศวินบอกพลางยกยิ้ม แล้วดึงให้วิริยะทรุดลงนั่งข้างกันหวังจะคุยปรับความเข้าใจ คราวแรกเด็กหนุ่มรู้สึกอึดอัด แต่ท่าทางของอัศวินไม่ได้แปลกไปเลย ทำให้ใจของเขาชื้นขึ้นมาบ้าง ฟังอีกฝ่ายพูดขึ้นมาว่า “ขอโทษที่กูดีกับมึงเกินไปจนทำให้มึงคิดแบบนั้นกับกูก็แล้วกันนะ แต่จะให้กูเลิกทำก็ไม่ได้ ทำไปเพราะหวังดีกับมึงจริง ๆ”

วิริยะพยักหน้ารับ “มึงก็ดีของมึงอย่างนี้มานานแล้ว ไม่ต้องขอโทษหรอก กูเข้าใจทั้งหมดนั่นแหละ”

“กูยังอยากเป็นเพื่อนกับมึงอยู่ เป็นเพื่อนมันยั่งยืนกว่าเป็นอย่างอื่นนะ”

“รู้น่า กูแค่อยากบอกให้มึงรู้ก่อนไปแค่นั้น ไม่ได้หวังให้มึงมาเป็นผัวกูหรอก” วิริยะผลักหัวเพื่อนแล้วลุกขึ้นยืน ยิ้มให้บอกว่าตอนนี้เข้มแข็งแล้ว อัศวินยังกุมจับมือของเขาเป็นการปลอบประโลมใจ ยังเป็นอัศวินที่แสนดีเช่นเคย อัศวินที่เขาตกหลุมรัก

ถึงจะบอกกับเพื่อนไปเช่นนั้นแล้ว ภายในใจของวิริยะก็ช่างขี้แพ้เหลือเกิน

เด็กหนุ่มเดินลงมาที่ครัว แล้วทรุดลงนั่งร้องไห้ในความมืดมิดนั้นอย่างปิดกั้นความรู้สึกไม่ได้อีกต่อไป

 

วิริยะลุกลงมาข้างล่างตั้งแต่เช้า เป็นเพราะเมื่อคืนเขาไม่ได้นอนต่อจนสว่างจึงลงมาหาอะไรทำเพื่อแก้อารมณ์ให้คลายขุ่น แต่เอาเข้าจริงแล้วแม่ต้อยก็ทำทุกอย่างเองเสียหมด หน้าที่ก็แบ่งให้แม่บ้านทุกคน จะให้วิริยะไปแย่งทำก็กระไรอยู่ เห็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงทรุดนั่งลงบนโต๊ะอาหารพลางทอดถอนใจ

“เห็นว่าจะกลับวันนี้กันใช่ไหมคะน้องวิว” แม่ต้อยถามขึ้น

“ครับ อาจจะไปช่วงเย็น แต่ผมไม่ได้ไปด้วยหรอกนะครับ จะยังอยู่ทำงานที่นี่ต่อ”

“อ้าว ก็ไหนเพื่อน ๆ คุยกันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะชวนน้องวิวกลับไปด้วยคะ”

“ผมไม่อยากกลับน่ะครับ ที่นี่บรรยากาศดี แถมป้าต้อยก็ทำกับข้าวอร่อยด้วย อยากอยู่ต่อ”

“แหม…ปากหวานไม่เบานะคะเนี่ย” นางหันมายิ้มแซว เรียกความสบายใจแก่วิริยะขึ้นมาได้นิดหน่อย และแม้จะได้นอนพักตั้งแต่เมื่อวาน วิริยะกลับยังไม่รู้สึกสบายตัวขึ้นเลย โดยเฉพาะบริเวณที่ถูกเจ้าของอาณาจักรแห่งไร่รุ่งอรุณีล่วงล้ำ ซึ่งเด็กหนุ่มไม่รู้ว่ามันจะหายเมื่อไร

สีหน้าของวิริยะไม่ค่อยสู้ดีนักจนแม่ต้อยสังเกตได้ นางทักว่าเด็กหนุ่มกำลังไม่สบายและตระเตรียมมื้อเช้าให้ทานก่อนใคร แล้วบอกแม่บ้านคนอื่นให้หยิบยาแก้ไข้มาให้เขาทานเสร็จสรรพ วิริยะทานได้ไม่กี่ทำก็ไม่รู้สึกอยาก อาจเป็นเพราะพิษไข้อย่างที่แม้ต้อยว่า เด็กหนุ่มทานยาตามคำขอร้องของนางแล้วพาตัวเองเดินออกไปข้างนอก ผ่านห้องโถงใหญ่ของบ้านไปยังบันได

ระหว่างนั้นสวนทางกับเชษฐ์ไชยที่กำลังเดินลงมา วิริยะพยายามอย่างที่สุดเพื่อให้ตัวเองดูแข็งแรงในสายตาอีกฝ่าย ไม่อย่างนั้นจะโดนไล่ให้กลับบ้านอีก เมื่อพ้นสายตาของอัฐษไชย วิริยะรับรู้แต่โดยดีว่าเชษฐ์ไชยไม่จำเป็นต้องพูดคุยดีกับเขา หรือมองด้วยสายตาของคนรู้จัก เด็กหนุ่มก้มหน้าลงมองพื้นแต่ละขั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ พาร่างอ่อนระโหยไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง

รู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก

หวังว่าทุกอย่างมันจะเป็นอย่างที่อัฐษไชยพูด ทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมในอีกไม่ช้า

หวังเหลือเกิน





----------------------------------------------



 ตอนหน้าเป็นช่างเวลาของอาเชษฐ์กับวิวอย่างเดียวแล้วค่ะ เพราะทุกคนจะกลับไปแล้ว เหลือแค่ทั้งสองได้ใช้เวลาด้วยกัน เรื่องราวก็เริ่มข้นขึ้น ความสัมพันธ์ของตัวละครก็มีมากขึ้น

ยังไงก็คอยติดตามกันด้วยนะคะ

เจอกันตอนหน้าจ้า

กำลังใจที่ดี ช่วยบอกว่าคุณนักอ่านคิดเห็นอย่างไร

หัวข้อ: Re: **{11.3.61-ตอนที่ ๖--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-03-2018 13:44:14
สงสารวิว
หัวข้อ: Re: **{11.3.61-ตอนที่ ๖--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 11-03-2018 14:36:14
วิวสูๆ นะ นึกถึงเพลงพี่เบิร์ด กลับตัวก็ไม่ได้ จะเดินต่อไปก็ไปไม่ถึง
เป็นช่วงที่สับสนสุดๆนะ กลับไปก็ไม่อยากเจอคนที่บ้าน ตั้งใจอยู่ต่อ
แต่ก็ต้องปรับตัว และยังสับสนอีก
 :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: **{11.3.61-ตอนที่ ๖--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 11-03-2018 15:56:59
วิว สู้ๆนะลูก  :กอด1:
หัวข้อ: Re: **{12.3.61-ตอนที่ ๗--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 11-03-2018 23:56:31


ตอนที่ ๗

“ดูแลตัวเองดี ๆ นะ”

อัศวินบอกขณะที่ทั้งหมดยืนกันอยู่หน้าบ้านพัก หลังจากเก็บข้าวของขึ้นรถยนต์ วิริยะยกยิ้มทั้งพยักหน้ารับความห่วงใยในฐานะเพื่อนสนิท เวลาเที่ยวของทุกคนผ่านไปไวกว่าที่คิดจนต้องกลับแล้ว ข้างกายอัศวินเป็นอัฐษไชยที่ยืนอยู่กับพี่ชายฝาแฝด ร่างสูงขยับเข้าไปกอดเชษฐ์ไชยแล้วตบบ่าหนาเปาะด้วยรอยยิ้มสุขุมเช่นเคย

“ฉันกับหลานไปก่อนนะ ถ้ามีเวลาพวกเราจะมาอีก”

“ใช่ครับ พวกเราสนุกมาก คนของอาเชษฐ์ก็ดูแลพวกเราดีมากเลย” มาร์คพูดขึ้น พลอยให้เพื่อนคนอื่นเออออ แล้วจบด้วยคำหวานเอาอกเอาใจคนแก่ “ยิ่งกับข้าวป้าต้อยคนสวยนะ อร่อยมากเลยครับ”

“ขอบคุณค่ะ” นางทำหน้าพอใจปนขัดเขิน

“ลูกสาวป้าต้อยก็สวยด้วย”

“ไอ้แฟรงค์!”

มาร์คตบหัวเพื่อนผู้โพล่งขึ้นอย่างตกใจ อีกคนก็ช่วยกันปิดปากพร้อมแสดงสีหน้าว่าบริสุทธิ์ใจให้แม่ต้อยเห็น นางโคลงศีรษะ ระอาอยู่ในทีแต่ก็ยังยิ้ม “หนุ่มเมืองนี่กะล่อนเชื่อไม่ได้ตั้งแต่เด็กอย่างนี้ทุกคนรึเปล่าคะ คราวหน้าฉันจะได้สั่งไม่ให้ลูกสาวเดินผ่านเลยสักครั้ง เดี๋ยวโดนล่อลวงเอาได้”

“เปล่านะครับป้าต้อย ไอ้แฟรงค์มันชมตามความจริง น้องเขาน่ารักดี”

“ชอบน้องเขาก็บอก กลัวแม่ยายไม่ให้จีบอะเด้!”

“ไอ้แฟรงค์!” มาร์คหันไปช่วยเพื่อนกุมปากพ่อแฟรงค์จอมโพล่งด้วยสีหน้าเฝื่อนลง แล้วส่งยิ้มแหยให้ฝั่งแม่ต้อยและเจ้าของสถานที่ที่ยืนหน้ามุ่ย ตอนนี้ก็สี่โมงเย็นแล้ว ไม่มีแดดให้ร้อนหรือชวนอารมณ์เสียใด ๆ เด็กหนุ่มคาดว่าสีหน้าของอีกฝ่ายที่เป็นอยู่ตอนนี้ ต้นเหตุมาจากเขา

“จะจีบเด็กบ้านนี้มันเร็วไปสิบชาติ ข้ามศพฉันไปก่อน”

เสียงของเชษฐ์ไชยดังขึ้น เรียกให้วิริยะหันไปมอง เห็นท่าทีนิ่งกว่าทุกครั้งและแม่ต้อยที่เพียงยิ้มขัน “ก็ตามที่นายเชษฐ์บอกนั่นแหละค่ะ”

สิ้นคำนั้น ทำเอามาร์คถึงกับอึ้งไป เรียกเสียงหัวเราะของทั้งวิริยะและเพื่อนรุ่นเดียวกันได้เป็นอย่างดีเพราะไม่เคยเห็นมาร์คเสียหน้าเช่นนี้มาก่อน

อัฐษไชยยกยิ้มเมื่อเห็นเด็ก ๆ ร่าเริง สะกิดพี่ชายให้หันดูวิริยะที่กำลังยิ้มจนตาหยีชี้นิ้วใส่เพื่อนร่วมกลุ่ม ครั้นเชษฐ์ไชยมองตาม ชายหนุ่มก็พูดว่า “วิวเป็นเด็กแบบนั้น ดูท่าทางเหมือนปิดตัวไม่ยอมรับใครเลย แต่พอรู้จักกันจริง ๆ แล้วเข้ากับคนง่ายกว่าที่คิด เวลาสนิทกันเขาจะปล่อยรอยยิ้มแบบนั้นออกมา รอยยิ้มนั่นสามารถชาร์จพลังงานชีวิตของเราได้”

“พูดเรื่องอะไรเข้าใจยากฉิบหาย” พี่ชายยักไหล่

“เวลาแกเหงาก็คุยกับเด็กคนนี้สิ”

“ไม่เอา ไร้สาระ”

อัฐษไชยมองพี่ชายส่ายหน้า แล้วยกยิ้มให้คนวางท่า “แกไม่เคยคิดเลยเหรอ ว่ารู้สึกมีความสุขเวลาอยู่ใกล้เขา”

คนฟังหันขวับมามองเขม็ง “ฉันไม่ใช่แก ไม่ได้อยู่ใกล้เด็กผู้ชายแล้วยิ้มหน้าบานอย่างแก”

“แกไปเห็นฉันทำหน้าอย่างนั้นตอนไหน แอบมองฉันงั้นเหรอ เอ…หรือว่าแอบมองใคร…”

“หุบปากไปเลย ไม่ต้องมาเดาใจฉัน ไอ้น้องเวร”

เห็นทีท่าร้อนตัวของเชษฐ์ไชยแล้วคนเป็นน้องก็ส่ายหน้า “ฉันเป็นน้องแกไม่กี่นาทีเอง แล้วบางประเทศเขาถือว่าคนออกมาทีหลังเป็นพี่ด้วย เพราะฉะนั้นหัดรับฟังสิ่งที่ฉันพูดบ้างก็ได้ ไอ้พี่เวร”

“เป็นบุญหูฉันที่ได้ยินแกพูดคำหยาบ” เชษฐ์ไชยยกยิ้มแล้วยกมือล้วงกระเป๋า เหลือบมองประเด็นหลักที่รู้ตัวว่ากำลังถูกพูดถึงอย่างไม่กระโตกกระตาก พูดกับอัษฐไชยอีกว่า “ถ้าฉันเหงา ฉันแค่ไปที่คอกม้า ไปที่ไร่ ทำงานหาเงินแล้วเอาเงินนั้นมาปรนเปรอตัวเอง”

“มีเงินไม่เหมือนมีเมียหรอก”

“พูดเหมือนเคยมี!” คนมีประสบการณ์เยอะกว่าทำท่าเหนืออย่างเห็นได้ชัด อัษฐไชยส่ายหน้าให้อย่างอดทนกับนิสัยของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ ชายหนุ่มขยับเข้าไปยืนใกล้ กระซาบเสียงแผ่วให้เชษฐ์ไชยฟังว่า “ก็รู้อยู่ว่าแกเคยมี แต่หลังจากนี้แกควรเปลี่ยนนิสัยตัวเองเวลามีเมียได้แล้ว กับเมียใหม่น่ะ”

“ไอ้อัฐษ์ แกพูดเรื่องอะไร!” คนย้อนเบิกตาโต มองน้องชายที่ยกยิ้มมีเลศนัย

“ไม่ มี อะ ไร หรอก ครับ…”

แล้วหางตามองไปยังวิริยะเป็นเชิงยั่วเย้าพี่ชาย เชษฐ์ไชยรู้สึกถึงลมที่วิ่งพล่านไปทั่วตัวแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากเตะขายาว ๆ ของอัฐษไชยไปทีอย่างหงุดหงิด คนน้องแทนที่จะโกรธ แต่กลับหัวเราะพึงพอใจมากกว่าที่กระเซ้าเย้าแหย่พี่ชายให้โมโหได้ พลอยได้เรียกรอยยิ้มของแม่ต้อยที่ยืนมองให้มีความสุขไปด้วย เพราะนึกถึงเมื่อครั้งวัยเยาว์ ทั้งสองก็หยอกล้อกันเป็นเพื่อนเล่นตลอดเช่นนี้

“ไปกันดีกว่า ล่ำลากันเสร็จแล้วนะเด็ก ๆ” คุณอาหนุ่มหันไปถาม

“ครับ ว่าแต่อาเชษฐ์ครับ ฝากดูไอ้วิวมันอีกทีนะครับ” อัศวินบอก

“เออ! อาจะดูแลอย่างดีเลย”

คนกล่าวยกมือเกาศีรษะอย่างนึกรำคาญอยู่ในที น้ำเสียงนั้นได้เรียกให้คนตัวโปร่งหันไปมองเพราะต้องการทราบว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน ซึ่งครั้นอีกฝ่ายรู้ตัวว่าถูกมอง ก็หันมาตีหน้าดุใส่เขาอย่างไม่ปิดบัง หลังจากที่หลานชายของเจ้าตัวขึ้นรถไปแล้ว

วิริยะโบกมือลาจนรถของอัฐษไชยลงเนินไปหายลิบ มีเพียงฝุ่นควันสีแดงลอยละลิ่วหลงเหลือเล็กน้อยเท่านั้น พอมาคิดอีกทีก็รู้สึกใจหายเหมือนกัน เพราะหลังจากนี้จะเหลือเพียงตัวคนเดียวแล้ว คนที่คิดว่าจะฝากผีฝากไข้ก็กลายร่างเป็นยักษ์ ยืนทำหน้าเป็นหมาร็อตไวเลอร์รอเขาอยู่ด้านหลัง

เด็กหนุ่มหันไปเห็นเชษฐ์ไชยยืนกอดอกรออยู่ ไม่ได้รีบเดินหนีเข้าไปในบ้าน สายตาของอีกฝ่ายดูไร้ความรู้สึกและห่างเหินกันมากจนเด็กหนุ่มต้องหลบตาทั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด เห็นเช่นนั้นแล้ววิริยะตัดสินใจเดินแยกออกมา คิดว่าเป็นฝ่ายเขาสิควรโกรธที่ถูกหลอกมาโดยตลอด

คิดว่าเป็นเจ้าของที่นี่ เป็นอาของอัศวินแล้วอยากทำตัวยังไงต่อเขาก็ได้งั้นหรือ

เขาไม่แคร์หรอก เขาต่างหากที่ควรทำท่าทางอย่างนั้นต่ออีกฝ่าย

“เดี๋ยว!”

เสียงเรียก ทำให้วิริยะชะงักเท้าอยู่กลางโถงใหญ่ของบ้านไม้ เด็กหนุ่มหันไปมองคนขานชื่อที่เดินมาหยุดทำหน้าขึงขังใส่อย่างงุนงง ถึงจะคิดแบบอวดเก่ง แต่ครั้นพอรู้ว่าพี่หนวดของเขาคือใครก็อดที่จะรู้สึกหวั่นกลัวไม่ได้ ตัวก็ใหญ่ หน้าก็ดุ พละกำลังก็มหาศาล

“ครับ อาเชษฐ์”

คนตรงหน้าถอนใจ ยกมือเท้าสะเอว “ขึ้นไปเก็บเสื้อผ้า”

“ฮะ” วิริยะย้อนหน้างง

“ขึ้นไปเก็บเสื้อผ้า”

“ไม่ได้ให้พูดใหม่ ผมแค่งงว่าอาเชษฐ์ให้ผมไปเก็บเสื้อผ้าทำไม” เด็กหนุ่มรีบพูด

“ย้ายไปอยู่ที่ใหม่”

“อะไรนะ”

เชษฐ์ไชยยกมือสางผมที่หล่นมาปรกตาขึ้น ทำหน้าจริงจังกล่าวว่า “ก็หลานฉันกลับไปแล้ว นั่นก็หมายความว่าเธอไม่ใช่แขกของฉันอีกต่อไป เธอเป็นคนงาน ก็ต้องย้ายไปอยู่ที่สำหรับคนงานอยู่น่ะสิ บ้านของฉันไม่ให้คนอื่นนอกจากคนในครอบครัวของฉันอยู่หรอก”

วิริยะรู้สึกเหมือนถูกตอกหน้าเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ก็ไหนอาเชษฐ์รับปากกับไอ้อิกว่าจะดูแล…”

“ก็ดูแลได้แค่ในฐานะคนงานนั่นแหละ เร็ว ฉันให้เวลาเก็บของแค่ห้านาที อีกห้านาทีฉันต้องเห็นเธอไปรอที่รถ”

“นี่พี่จะทำแบบนี้กับผมใช่ป่ะ!” วิริยะเสียงดังอย่างสุดทน โกรธจนหน้าดำหน้าแดงแต่ทำอะไรไม่ได้เมื่อเห็นว่าเชษฐ์ไชยเอาจริง ไม่ใช่พี่ชายคนเก่า แล้วเด็กหนุ่มจะทำอย่างไรได้เล่า นอกจากมุ่นคิ้วหน้ายู่ยับกว่ากระดาษ “เออ! ไปก็ได้ ไม่ง้อหรอก”

แล้วคนกล่าวก็เดินกระแทกเท้าตึงตังเดินขึ้นไปด้านบน เชษฐ์ไชยเพียงแค่มองตามเท่านั้น ไม่ได้สะทกสะท้านต่อพฤติกรรมของเด็กคนนี้ รู้เพียงว่าน้องชายได้เห็นความลับของพวกเขาเข้าแล้ว ความลับที่เด็กคนนั้นไม่ต้องการให้ใครรู้ และคนที่รู้นี้อาจจะเป็นใครที่เจ้าตัวอ้างว่าเป็นคนที่ชอบก็ได้ เพราะยามที่วิริยะมองอัฐษไชยก็เต็มตื้นไปด้วยสายตายกย่องเชิดชูเหลือเกิน

เชษฐ์ไชยเข้าไปที่ห้องพักจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะรู้สึกเหนียวตัว ด้วยทำงานมาทั้งวัน อัฐษไชยก็บังคับให้มาส่งหลานชายกับเพื่อนเขาจึงได้ปลีกตัวจากงานมา

ผ่านไปสิบนาทีจึงลงมาด้านล่าง เห็นเด็กหนุ่มที่เขาสั่งให้รอกำลังยืนหน้ามุ่ยอยู่ ชายหนุ่มมองผ่านสีหน้านั้นแล้วเดินวนรถคู่ใจไปยังฝั่งคนขับโดยไม่พูดมาก

แม้จะยืนรอกว่าห้านาทีแล้ว และอีกฝ่ายไม่มีทีท่ารู้สึกผิดที่บอกให้เขาทำ วิริยะสะบัดความขุ่นใจออกแล้วเปิดประตู เห็นกองเอกสารวางอยู่บนเบาะข้างคนขับแล้วก็แปลกใจ ครั้นเมื่อเด็กหนุ่มจะยกมันออก สายตาพิฆาตก็สาดมาใส่ให้เขาชะงักมือ “ใครบอกให้นั่งตรงนี้ ไปนั่งข้างหลัง เอามือออกจากงานฉันซะ”

“แต่…”

“รึจะวิ่งไป”

เด็กหนุ่มถอนใจให้พ่อวัวกระทิงจอมเหวี่ยงนี่ จำใจปิดประตูเดินไปด้านหลังโดยไม่พูดอันใดต่อ โยนกระเป๋าใส่กระบะแล้วปีนขึ้น ไม่ทันได้นั่งดีเสียด้วยซ้ำรถก็ขยับขับเคลื่อนออกอย่างไว ทำเอาวิริยะกลิ้งหลุน ๆ ไปกองที่ท้ายรถ ยังดีที่มันปิดไว้ ไม่อย่างนั้นอาจเห็นเด็กหนุ่มนอนคลุกฝุ่นอยู่ก็ได้

นั่นทำให้วิริยะรู้ตัวว่าเขาอาจถูกเกลียดแล้ว เชษฐ์ไชยแกล้งเขา

แต่ช่างเถอะ ใครจะไปง้อ!

ได้ต่างคนต่างอยู่อย่างนี้ก็ดี จะได้ไม่ต้องลำบากเวลาเจอหน้ากัน

ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีแต่นานสำหรับวิริยะเหลือเกิน กว่าจะถึงที่พักที่ว่านั้น หัวของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนมาเป็นสีแดงหมดแล้ว

ครั้นรถจอดเขาก็รีบลงมาสะบัดปัดฝุ่นออกจากผม เนื่องจากเป็นเวลาหลังเลิกงาน ทุกคนจึงยังอยู่หน้าบ้าน ไม่ได้รีบเข้าพักผ่อน ที่นี่เป็นห้องแถวเรียงกันยาวอยู่สองฝั่ง ด้านหน้าแต่ละห้องมีที่สำหรับให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจทุกบ้าน เมื่อไปถึงได้เรียกสายตาของทุกคนให้ความสนใจเด็กหนุ่มเป็นพิเศษ

เจ้าของสถานที่เดินนำไปหาลุงแสวงที่เคยเห็นก่อนหน้านี้ เป็นสามีของแม่ต้อย พูดคุยกันสองสามนาที วิริยะเห็นลุงแกชี้ไปยังฝั่งของห้องแถวห้องหนึ่งอยู่สักพัก แล้วเชษฐ์ไชยก็เดินแยกมาเรียกเขา “ตามมา จะพาไปที่ห้อง นี่กุญแจ ตรงนั้นเป็นห้องอาบน้ำของผู้ชายที่เธอต้องใช้ กับห้องน้ำที่ต้องใช้รวมกัน”

มันตั้งอยู่ท้ายของห้องแถวที่ไกลพอสมควร

“ไม่มีห้องน้ำในตัวเหรอครับ” เด็กหนุ่มรีบถาม “แล้วถ้าปวดตอนดึก ๆ ล่ะ”

“นั่นมันเรื่องของเธอ”

ว่าจบก็เดินไปอีกฝั่ง ไม่ใช่ฝั่งที่ลุงแสวงชี้บอกให้ไป วิริยะแปลกใจแต่ก็ไม่ได้คิดมาก เพียงแค่หอบข้าวของแล้วยิ้มทักทายคนที่เดินผ่าน ซึ่งกำลังพักผ่อนหรือรวมกลุ่มพูดคุยกันอยู่หน้าห้องพักของตนเอง ตึกแถวนี้มีสิบกว่าห้องเรียงกันยาวไปจนเกือบสุดตา มีสองตึกซึ่งหันหน้าเข้าหากัน ตรงกลางเป็นลานกว้างไว้ใช้ทำกิจกรรม มีต้นไม้และเก้าอี้นั่งเล่น

เชษฐ์ไชยพาเด็กหนุ่มไปหยุดอยู่หน้าห้องหนึ่งซึ่งอยู่เกือบท้าย มันอยู่ใกล้ห้องน้ำดี แต่ข้อเสียคือตอนกลางคืนคงมืดมาก เพราะไฟติดอยู่กลางตึก และตรงหน้าห้องน้ำ ที่สำคัญเขาเป็นพวกกลัวผีจนยอมนอนอั้นฉี่ถึงเช้าได้ ยามไปเข้าค่ายที่ไหนมักเป็นแบบนั้น เมื่อเห็นห้องพักของตนเองแล้ว วิริยะรีบเปิดประตูเข้าไปด้านใน วินาทีแรกเด็กหนุ่มชะงักไปกับกลิ่นฝุ่น แต่ไม่เป็นไร ของแค่นี้มันทำความสะอาดได้

ภายในห้องเป็นสีขาวสะอาดตาดีอยู่ ด้านบนก็ติดฝ้าอย่างดี แต่ก็มีรอยโหว่อยู่หนึ่งแผ่นคล้ายว่าน้ำซึมลงมาใส่จนมันแตกผุ ห้องกว้างพอวางข้าวของได้ครบ เสียแต่เขาไม่มีสมบัติอะไรนอกจากเสื้อผ้า ในนี้มีตู้ให้ใส่ข้าวของจิปาถะเล็กน้อย ใส่เสื้อผ้า ฟูกเนื้อต่ำที่ถูกพับไว้และปกคลุมด้วยผ้าป้องกันฝุ่นไรอีกที อันที่จริงพื้นปูกระเบื้องอย่างดี แต่เจ้าของเก่าคงชอบเสื่อน้ำมันมากกว่า และลวดลายมันก็น่ารักดีหากทำความสะอาดเอาฝุ่นออก

เดินสำรวจทั่วทั้งห้อง เด็กหนุ่มเห็นพัดลมตัวขนาดกลางตั้งอยู่ข้างตู้เสื้อผ้าก็เดินไปหยิบมาดู น่าเสียดายที่คอมันหักจนหน้าง้ำลง อาจจะพังไปแล้วก็ได้ น่าเสียดายจริง ๆ

“ห้องเก่าไปหน่อย อยู่ได้ใช่ไหม” คนด้านหลังถามเมื่อเห็นวิริยะสำรวจรอบกาย แวบหนึ่งเด็กหนุ่มเห็นสายตาที่บอกได้ว่ากำลังดูถูก บอกว่าเขาติดสบาย คงอยู่ที่แบบนี้ไม่ได้แน่

“ได้ครับ ดีกว่าที่คิด” แต่อยากได้พัดลมสักตัวก็ยังดี หน้าร้อนเขาอยู่แบบไม่มีพัดลมไม่ได้เลย

“ในตู้เสื้อผ้ามีมุ้ง แล้วเรื่องของกินต้องมากินตามเวลาที่ไร่ทำ มาช้ากว่านั้นก็อด” คนกล่าวกอดอกพูดหน้าตาเฉย มองตามวิริยะที่เดินออกมาข้างนอกวางข้าวของลงไว้ก่อน แล้วเดินไปทักทายเพื่อนบ้านที่เป็นครอบครัวคนต่างจังหวัดด้วยรอยยิ้มสดใส

จากนั้นเจ้าตัวก็ขอยืมไม้กวาดและไม้ถูพื้นกลับมาที่ห้องพัก จัดการลงมือทำความสะอาดเองอย่างขมักเขม้นบอกเป็นนัยว่าเรื่องนี้สบายมาก ไม่มีอะไรทำลายความมุ่งมั่นของเจ้าตัวได้

“นายเซษฐ์ พาคนงานใหม่มาพักเบาะครับ คือบ่พาไปห้องดี ๆ ทางพู้น”

เชษฐ์ไชยหันขวับมองไอ้ดำกับคำทักทายของมัน “เรื่องของกู”

“ให้มาพักฝั่งนี้ ว่าแต่แม่นผู้สาวบ่ครับ งามบ่” ว่าแล้วมันทำท่าจะชะโงกหน้าเข้าไปด้านใน เชษฐ์ไชยดึงคอเสื้อคนงานรุ่นน้องกลับอย่างเป็นไปอัตโนมัติ โดยไม่เข้าใจตนเองว่าจะหวงทำไม แล้วสะบัดมือออกเมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจของดำ มันเกาศีรษะถามอย่างไม่เข้าใจเมื่อเห็นวิริยะก้มหน้าก้มตาถูพื้นอยู่ “ผู้ซายคือให้มาอยู่ม่องนี้ล่ะครับ ดำกะนึกว่านายเซษฐ์พาผู้สาวมา กะว่าสิจีบจักหน่อย”

“ฝั่งนี้มันใกล้ห้องน้ำ เด็กมันอยากอยู่ใกล้ห้องน้ำ”

ชายหนุ่มตอบผ่าน ๆ

“ผู้ซายอีหยังคือมาขาวจูนพูนพอปานหยวกกล้วยแท้ สิเฮ็ดงานหยังได้ครับนายเซษฐ์”

“ทำได้ก็แล้วกันน่ะ”

วิริยะเดินออกมาข้างนอกหลังถูพื้นเสร็จ มือยาว ๆ ยกไม้ในมือตั้งฉากกับพื้นทำหน้าทำตาไม่พอใจเมื่อโดนดูถูกอีกครั้ง เมื่อออกมาด้านนอกได้ คนอายุมากกว่าทั้งสองก็ได้เห็นว่าเลือดฝาดขึ้นมาอยู่เต็มหน้าขาวของเด็กหนุ่มรวมกับเหงื่อบนหน้าผาก

เมื่อเห็นว่าดำแอบพินิจพิเคราะห์เด็กตรงหน้า เชษฐ์ไชยก็กระแอมเสียงดัง

“นี่ไอ้ดำ คนงานที่นี่” ชายหนุ่มบอกวิริยะ เด็กหนุ่มผละมองชายที่รู้ว่าอายุมากกว่าแล้วยกมือไหว้ ท่าทีพอรู้อยู่ว่าอายุน้อยกว่าเชษฐ์ไชยแต่มากกว่าเขา อีกฝ่ายมีรอยยิ้มเป็นอาวุธ ถึงแม้ตัวจะคล้ำทว่ากลับทำให้เพิ่มความดูดีขึ้นมากอีกเมื่อดูในภาพรวม

“สวัสดีครับ ผมชื่อวิว”

“ไอ้ดำ สรุปเจอไหมวะสาวที่มึงว่า” เสียงใครสักคนร้องมาแต่ไกล เป็นหนุ่มตัวสูงโปร่งผิวสะอ้านกว่าดำระดับหนึ่ง แต่คล้ำกว่าเชษฐ์ไชย หน้าตาหล่อ ตัวบางกว่าดำและก็ดูมีสัดส่วนน่ามอง ที่สำคัญพูดภาษากลางด้วย

“นี่บักหมอก หมู่อ้าย นี่น้องวิว คนงานคนใหม่ที่นายเซษฐ์พามาเด้อหมอก ถ้าน้องวิวต้องการให้พวกเฮาซ่อยอีหยังบอกมาได้เลย ห้องพวกอ้ายอยู่ฝั่งพู้น ห้องที่มีกระถางต้นไม้งาม ๆ นั่น ย่างไปหาเฮาได้ตลอด รึจะแวะมานั่งเล่นนำกันกะได้ บ่ต้องเกรงใจ” ดำพูดยาวเป็นหางว่าว ทำเอาวิริยะแทบประมวลคำศัพท์ที่ได้ยินเกือบไม่ได้ รู้เพียงว่าตอนพูดด้วยนั้นดำยิ้มด้วยไมตรีจิตที่ดี

“ครับ ขอบคุณครับพี่ดำ”

“ว่าแต่ทำไมนายเชษฐ์ให้มาอยู่นี่ล่ะ ฝั่งโน้นก็ยังโอ๊ย…” ดำกอดคอเพื่อนแล้วหยิกตูดให้เงียบไป ไม่อย่างนั้นความหวังดีของพวกเขาอาจเป็นการทำให้ตกงานก็เป็นได้ เมื่อเห็นสายตาของคนยืนฟังนั้นเดือดเป็นน้ำร้อนรออยู่

ดำยกยิ้มแล้วพูดลา “ซั่นอ้ายไปก่อนเด้อ มื้อนี่มีนัดกับหมู่ในกลุ่มว่าสิไปอาบน้ำอยู่น้ำตก ไป…บักฮูดาก!” แล้วก็ลากคอหมอกไปอย่างนั้นด้วยรอยยิ้มสุดพิรุธ

วิริยะเพียงยิ้ม แล้วหันมาเจอะหน้าบูดของเชษฐ์ไชย พลอยให้อารมณ์เขาบูดตามไปด้วย

“พี่ดำ ขอผมไปอาบน้ำด้วยสิ...”

“ทำธุระเสร็จแล้วรึไง!” เชษฐ์ไชยทำเสียงดังกลบ ขณะที่ยังกอดอกมองอยู่ วิริยะสะดุ้งหันขวับไปมองคนดุ ซึ่งเสียงอันมีอำนาจนั้นได้เรียกสายตาเพื่อนบ้านให้มามองอยู่จุดนี้เป็นจุดเดียว

ตอนนี้หน้าเขาคงหงอยเหลือสองนิ้วเท่านั้น วิริยะทำได้เพียงมองเข้าไปข้างในแล้วพูดเสียงเบาว่า “ยังครับ”

“ทำให้เสร็จ เรื่องแค่นี้ก็ยังต้องให้บอก” คนฟังเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า พูดเรื่องสำคัญพร้อมยกนิ้วชี้สั่ง “แล้วก็ต่อจากนี้ไป อย่าเรียกฉันว่าพี่ต่อหน้าใครเด็ดขาด ถ้าเรียกเมื่อไรฉันจะไล่ออกไปโดยไม่มีข้อแม้ ที่นี่ฉันเป็นนายใหญ่ใคร ๆ ก็นับถือ อย่ามาตีสนิทกับฉัน ไม่ต้องมารู้จักกัน ไม่ต้องมาทำตัวเด่นเพราะเป็นเพื่อนของหลานฉัน”

วิริยะเข้าใจแล้ว เด็กหนุ่มไม่ปฏิเสธความต้องการของอีกฝ่าย

“ครับ…”

แล้วก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง

“ไปกินข้าวที่โรงอาหารฝั่งโน้น แล้วค่อยกลับมาอาบน้ำ รีบเข้านอนด้วย พรุ่งนี้ต้องเริ่มงาน ต้องตื่นแต่เช้า”

คนฟังหันกลับมารับคำสั่งเสียงอ่อนลง “ครับ”

ผู้เป็นเจ้านายนิ่งไปพักหนึ่งเพราะหมดคำพูด ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีเกินคาด ทั้งที่คิดว่าฝ่ายวิริยะจะต้องเถียง ต้องพยายามเอาแต่ใจเพื่อให้ได้อยู่ในห้องที่ดีและสะอาดกว่านี้แน่

เชษฐ์ไชยมองตามแผ่นหลังแคบของคนงานคนใหม่ที่กำลังจัดข้าวของอยู่พักหนึ่ง แล้วเดินกลับมาที่รถ ชายหนุ่มไม่ได้ขับออกไปแต่เดี๋ยวนั้น รอจนกว่าเห็นวิริยะเดินเอาไม้กวาดและไม้ถูพื้นไปคืนเพื่อนห้องข้างแล้วจึงสตาร์ทรถ รู้สึกหงุดหงิดร้อนใจประหลาด สะบัดภาพสีหน้ายามเด็กคนนั้นตอนขานรับคำสั่งของเขาง่าย ๆ ไม่ได้เลย

มันมีแต่ความผิดหวัง

แต่ช่างมันเถิด เขาไม่สน ก็แค่คนงานคนหนึ่งเท่านั้น…

ชายหนุ่มบอกตนเองเช่นนั้นแล้วบังคับยานพาหนะคู่ใจแล่นออกไป

 

 
-----------------------------------------------------------------------
อะไรคือความหวง ไม่ยอมให้คนอื่นเห็นน้องคะอาเชษฐ์ อิอิ

เนื่องจากเขียนทั้งสองมุมมอง คงไม่มีใครเกลียดอาเชษฐ์ใช่มั้ย นางจะใจร้ายแบบไม่ร้ายสุด ๆ นะ จะแอบมองตลอด

แม้ว่าอาเชษฐ์จะเป็นสามีที่ซึนมาก แต่นางจะไม่ได้ซึนขั้นสุด จะมีหลุดออกมาให้คนอ่านกระชุ่มกระชวยใจ ยังย้ำว่าเรื่องนี้เป็นแนวเบาสมองนะคะ ไม่ต้องคิดมากว่าทั้งสองโกรธกันแล้วจะดราม่าอะไร เดี๋ยวเรื่องจะเข้มข้นและน่ารักขึ้นค่า

คอมเม้น ไลค์ แชร์ให้ด้วยนะคะ

กำลังใจที่ดี ช่วยบอกว่าคุณนักอ่านคิดเห็นอย่างไร


--๕๐--

หัวข้อ: Re: **{12.3.61-ตอนที่ ๗--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-03-2018 00:23:06
ไม่เกลียด แต่หมั่นไส้ ขอทีเถอะ  :fcuk:
หัวข้อ: Re: **{12.3.61-ตอนที่ ๗--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-03-2018 02:33:24
จะร้องไห้แล้วนะ
หัวข้อ: Re: **{12.3.61-ตอนที่ ๗--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 12-03-2018 09:42:29
ทำไมทำกับโสรยาได้เพียงนี้นะ พี่เชษฐ์ อ้าว..วิวเองเหรอ นึกว่าเรื่องจำเลยรักซะอีก อิอิอิ
หัวข้อ: Re: **{12.3.61-ตอนที่ ๗--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 12-03-2018 11:18:06
พี่เชษฐ์ น้องไม่ได้ตั้งใจ อย่าแกล้งน้องเลยนะ
หัวข้อ: Re: **{12.3.61-ตอนที่ ๗--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 12-03-2018 16:22:39


(ต่อ)

หลังทำความสะอาด จัดแจงข้าวของสัมภาระอันน้อยนิดของตนเองแล้วนั้น วิริยะเดินสำรวจห้องตนเองอีกครั้ง เจอะกับเจ้าพัดลมหน้าหักงอตัวเดิมตั้งอยู่ ด้วยความอยากรู้จึงยกไปเสียบปลั๊กแล้วลองเปิดว่าใช้ได้หรือไม่ ความที่ตั้งอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช้งานนานแล้ว ครั้นกดปุ่มเปิด ฝุ่นที่เกาะกรังก็พุ่งลอยเข้ามาเต็มหน้าเด็กหนุ่มจนร้องเหวอ ควานหาปุ่มปิดแทบไม่ทัน

ถึงจะน่าตกใจ แต่มันยังใช้ได้อยู่

“ขอบคุณพระเจ้า!” เด็กหนุ่มคลี่ยิ้ม ลูบตัวช่วยชีวิตตรงหน้าอย่างดีใจราวกับมันเป็นสิ่งมีชีวิต “อยู่ไปกับผมนาน ๆ นะ อยู่ไปจนถึงสองเดือนข้างหน้าเลยก็ได้ ผมสัญญาว่าจะดูแลอย่างดี ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลย”

คนเพ้อพูดคนเดียวยกมันไปทำความสะอาดข้างนอกอยู่ครู่ ครั้นแล้วเสร็จเด็กหนุ่มก็คลี่ยิ้มหน้าบานมีความสุขที่สุด “โอ้โหพี่ชาย ที่แท้ก็สีเขียวนี่เอง ถึงจะหน้างอไปหน่อย แต่พอตัวสะอาดแล้วหล่อไม่เบานะเนี่ย มาเถอะ มาดูแลผมข้างในกันเถอะ” ไม่พูดเปล่า วิริยะอุ้มยกอย่างทนุถนอมเข้าไป ไม่ทันได้เห็นสายตาคนข้างห้องที่มองตามด้วยความอึ้งระคนสงสัยในความบ้าบอของเขา

เด็กหนุ่มไม่สน ตอนนี้เขามีความสุข ได้ออกมาจากสายตาดุ ๆ นั่น ได้อยู่เป็นส่วนตัวอย่างนี้เขาก็พอใจแล้ว

“นี่ มีใครอยู่ข้างในไหม”

วิริยะหันขวับไปตามเสียงด้วยความใคร่ทราบเมื่อมีใครเรียก ครั้นวางพัดลมตัวเขียวไว้อย่างเบามือแล้วก็เดินออกไปด้านนอก เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งกับเพื่อนอีกสองคนยืนรออยู่ “ครับ มีอะไรเหรอครับ”

“เราเองเหรอที่มาอยู่นี่ ก็นึกว่าผู้หญิงซะอีก” หล่อนกอดอกมองวิริยะตั้งแต่หัวจรดเท้าครู่หนึ่ง ฝ่ายเด็กหนุ่มเองก็ไม่ได้นิ่งถูกคุกคามทางสายตาเพียงฝั่งเดียว เขาสำรวจเห็นว่าคนถามน่าจะอายุมากกว่าหลายปี สักยี่สิบกว่าได้ หน้าดูเป็นสาวชาวบ้านธรรมดา ผิวคล้ำแดด แต่ผิวหน้าดีและเนียนละเอียดกว่าสองคนข้างหลัง

เด็กหนุ่มตอบกลับว่า “ครับ ผมเอง พี่ ๆ มีอะไรรึเปล่า”

ผู้ฟังกลอกตา แล้วหันไปทำท่าหัวเราะ เป็นหัวเราะปลอมที่สุดเท่าที่วิริยะเคยเห็นมาเลย “เปล่าหรอกจ้ะ พวกพี่ก็แค่อยากมาเห็นหน้าคนที่นายเชษฐ์มาส่งถึงที่กันเท่านั้นเอง อยากรู้ว่าจะวิเศษวิโสมาจากไหน”

“หมายความว่าไง” เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว หรือจะเป็นพวกขี้อิจฉา

“ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษหรอกจ้ะ พวกพี่แค่แซวเล่น” หล่อนสะบัดมือพูดทั้งหัวเราะ “ก็แค่คิดกันว่านายเชษฐ์ติดผู้หญิงที่ไหนรึเปล่า เห็นเขาว่ามาส่งถึงที่ขนาดนี้ ถ้าเป็นเราพวกพี่ก็โล่งใจไปเปราะนึง”

“ทำไมเหรอครับ พวกพี่ชอบอาเชษฐ์เหรอ”

“บ้าน่ะซี ใครจะไปกล้ากันเล่า เราน่ะไม่รู้อะไรหรอกว่าสมัยนายเชษฐ์มีเมียน่ะเอาแต่ใจขนาดไหน ที่สำคัญ พวกพี่ไม่มีทางนอกใจพ่อเทพบุตรบอยแบนด์ของพวกพี่หรอกจ้ะ” แม้จะแปลกใจกับสรรพนามที่วิริยะเรียกเชษฐ์ไชย ทว่าหล่อนทำท่าบิดตัวเขินเมื่อกล่าวถึงบอยแบนด์ที่ว่า ซึ่งเป็นกลุ่มคนดังที่วิริยะไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลยสักครั้ง

เด็กหนุ่มเพียงแค่เกาศีรษะ “เอาแต่ใจนี่ หมายถึงโหดด้วยใช่ไหมครับ”

“ใช่จ้ะ พวกพี่นี่ร้องไห้ร้องห่มกันมาหมดแล้ว เพราะความขี้เอาใจเมียของนายเชษฐ์ทั้งนั้น”

“เล่าให้ฟังหน่อยสิครับ” วิริยะกระตือรือร้นอยากรู้

“ดีเลยจ้ะ พวกพี่อยากระบายกันมานานแล้ว ที่พวกพี่ไม่อยากให้นายเชษฐ์มีเมียก็เพราะว่าเขาเป็นพวกหลงเมียจนโงไม่ขึ้นเลยล่ะ ถ้าได้เมียดีก็ดีไป แต่ที่ผ่านมาเป็นเมียที่เลวมาก เอาแต่ใจแล้วก็กดขี่ข่มเหงพวกเราสารพัด เชิดคอว่าตัวเองเป็นเมียนายใหญ่ของที่นี่ แกล้งแม้กระทั่งคนงานตัวเล็ก ๆ คนแก่ ๆ อย่างป้าต้อยยังโดนเลย แล้วนายเชษฐ์ก็ไม่สนใจ เห็นดีเห็นงามตามใจเมียไปหมด เมียทำผิดก็ไม่เคยว่าเลย…” คนเล่าพูดด้วยทำหน้าจริงจังไปด้วย วิริยะทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับฟัง

“แล้วไงต่อครับ เมียเขาไปไหนแล้วล่ะ”

“ก็หนีไปน่ะสิจ๊ะ นายเชษฐ์เป็นพวกคนบ้างาน นังนั่นก็เลยหนีตามผู้ชายไปแล้วทิ้งลูกไว้ให้…”

“แล้วเด็กไปไหนล่ะครับ ฝากใครเลี้ยงเหรอ”

“คือ…” คนเล่าทำหน้าลำบากใจ มีทีท่าเสียใจไม่ต่างกับอีกสองคนที่นึกถึงเด็กคนนั้น วิริยะรู้สึกร้อนใจและอยากฟัง แต่รอให้ทั้งหมดพร้อมก่อนจะดีกว่า ซึ่งหล่อนก็ทำใจได้ไวอย่างที่คิด บอกเด็กหนุ่มเสียงเศร้าว่า “น้องณิชา แกเสียแล้วจ้ะ แกมีโรคประจำตัว ป่วยหนักแล้วก็จากนายเชษฐ์ไปเมื่อสองปีที่แล้ว ห่างจากตอนที่แม่รตีนั่นหนีไปแค่ปีเดียว ตอนนั้นน้องณิชากำลังน่ารัก ไม่น่ารีบจากไปเลย”

เด็กหนุ่มนิ่งไปพักหนึ่ง ไม่คิดเลยว่าเชษฐ์ไชยจะผ่านอะไรหนักหน่วงมาเช่นนั้น แม้ท่าทางจะดูมืดมนไปบ้าง ปิดกั้นตัวเองกับผู้อื่น แต่ก็ยังมองดูเป็นคนที่พึ่งพาได้จนเด็กหนุ่มมองผ่านท่าทางไร้อารมณ์ต่อโลกนั้นไปได้ นับว่าตากอริลล่านั่นเข้มแข็งพอควรเลย

“ว่าแต่เห็นเรียกนายเชษฐ์ว่าอาเชษฐ์ แบบนี้ใช่ไหมนายเชษฐ์ถึงได้พามาส่งถึงที่อย่างนี้” คนถามฉีกยิ้ม ทำเอาวิริยะนิ่งไป เขาเพิ่งรับปากคนหน้าดุว่าจะไม่พูดถึงความสัมพันธ์ของทั้งสอง ไม่อยากให้ใครมองว่าเขาใช้เส้นสายหรืออวดเบ่งว่าเกี่ยวข้องอะไรกัน

“พวกพี่ ๆ อย่าไปบอกใครได้ไหมครับ ผมแค่ถูกคนรู้จักของอาเชษฐ์ส่งมา แต่ก็มาเป็นแค่คนงานธรรมดาเหมือนกัน ไม่ได้พิเศษอะไรกว่าคนอื่นเลย”

“พวกพี่เข้าใจจ้ะ ไม่ต้องห่วง” พวกหล่อนพยักหน้ารับคำ “แต่ดูท่าดูทางแบบนี้จะทำงานไหวเร้อ พี่ไม่ได้ดูถูกเรานะ ดูหุ่นสิผอมกะหร่องแบบนี้ ผิวก็เหมือนไม่เคยโดนแดดเลย อยากให้มาเห็นหนุ่ม ๆ ที่ไร่จังว่าตัวขนาดไหนถึงจะทำงานได้ ไม่แปลกใจที่คนเขาจะประคบประหงมกัน”

“โธ่ ผมทำได้นะพี่ พรุ่งนี้จะพิสูจน์ให้ดู” เด็กหนุ่มหน้าง้ำ

“ว่าแต่กินข้าวมารึยัง พวกพี่กำลังจะไปกิน แล้วก็…ว่าจะแวะไปหาอะไรเจริญหูเจริญตาดูสักหน่อย อย่างหลังเราคงไม่อยากไปด้วยหรอก” พวกหล่อนหันไปหัวเราะคิกคัก “เอ้อ มาชวนคุยตั้งนาน พี่ชื่อส้มนะ นั่นพี่กุ้ง อีกคนชื่อพี่ตา เราชื่ออะไร อายุเท่าไร ทำไมยังดูเด็กอยู่เลย”

วิริยะยกยิ้ม “ผมชื่อวิวครับ ตอนนี้สิบเจ็ดแล้ว”

“มิน่าล่ะทำไมดูเด็ก” พวกหล่อนเบิกตา เปลี่ยนแววที่เคยมองจิกมาเอ็นดูอย่างฉับพลัน “ไป ออกไปกินข้าวกับพวกพี่กันดีกว่า เดี๋ยวพาไปทำความรู้จักกับลุง ๆ ป้า ๆ ที่นี่ด้วยเลย เวลาต้องการความช่วยเหลือแกจะได้ช่วยได้ มาอยู่ที่นี่แค่ทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูพวกแกก็พร้อมที่จะเอาใจแล้ว ยิ่งรูปร่างหน้าตาดูคุณหนูขนาดนี้ หลงกันทั้งไร่”

ไม่พูดเปล่า มือยาวเอื้อมมาดึงแก้มวิริยะส่ายไปมาอย่างมันเขี้ยวด้วย

“พี่ส้มก็” ไม่ชอบแบบนี้เลย เด็กหนุ่มมุ่ยหน้าและลูบมันป้อย เมื่อได้ยินเพื่อน ๆ ของพี่สาวตรงหน้าหัวเราะคิก

หลังจากยอมให้ส้มแซวจนพอใจแล้ว วิริยะตามพี่ ๆ ทั้งสามไปยังโรงอาหารของไร่อย่างที่หล่อนต้องการ เด็กหนุ่มได้มีโอกาสทำความรู้จักกับผู้ใหญ่ของไร่ และเหล่าพี่ ๆ ป้า ๆ หลายคน เมื่อไปถึงก็กรูกันเข้ามาทักทาย ชมเปาะว่าเขาน่ารัก ถึงขั้นสัมผัสเนื้อตัวราวกับไม่ค่อยเห็นคนมาจากเมืองเท่าไรนัก จากที่เด็กหนุ่มคิดหวั่นใจในตอนแรกว่าจะเข้ากับใครไม่ได้ แต่ทุกคนต่างเป็นกันเองและส่วนใหญ่ดูซื่อ ๆ ตามประสาชาวบ้านธรรมดา ทำให้วิริยะรู้สึกแปลกใจเหลือเกิน

ส้มพูดถึงว่ามีลูกหลานไปเรียนในเมืองก็เยอะแยะ หล่อขึ้น สวยขึ้น ผิวสะอ้านขึ้นมากันเยอะ แต่คนในเมืองแท้ ๆ กับคนย้ายเข้าสู่เมืองมันมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดแสดงอยู่ ซึ่งวิริยะมีข้อนั้น เด็กหนุ่มจึงยิ้มรับคำทักทายแสนน่ารักของทุกคนอย่างรู้สึกอุ่นใจว่าจากนี้ไปคงอยู่อย่างมีความสุขกว่าที่คิด

“เดี๋ยวกินเสร็จจะไปอาบน้ำเลยก็ได้นะ พวกพี่จะแวะไปน้ำตกกันซักหน่อย”

วิริยะชะงัก ได้ข่าวว่าดำกับหมอกก็ไปที่น้ำตกเหมือนกัน มันใกล้ขนาดที่ใครก็ไปได้อย่างนั้นหรือ “ไปทำไมกันครับ เดี๋ยวก็มืดแล้วด้วย ไม่อันตรายเหรอ”

“ไม่หรอกจ้า น้ำตกอยู่ที่ท้ายไร่นี่เอง ส่วนจะอันตรายก็น่าจะอันตรายก็ตอนวันเสาร์อาทิตย์ละมั้ง”

“พูดมากไปแล้วยายตา” ส้มปรามเพื่อนปนยิ้มเมื่อนึกถึงสิ่งที่พาดพิงไปเมื่อครู่ สร้างความฉงนงุนงงให้แก่เด็กหนุ่มเป็นอย่างมาก วิริยะรู้สึกราวตัวเองเป็นคนโง่ตามอะไรก็ไม่ทัน อยากรู้อยากเห็นไปหมด

“สรุปพวกพี่ไปทำไมกันครับ”

กุ้งวางช้อนลง แล้วยิ้ม “ไปดูเทพบุตร”

“อะไรนะ”

“ก็เทพบุตรบอยแบนด์ของพวกเราไง รึว่าวิวอยากไปดูด้วย” ส้มถาม เรียกรอยยิ้มแก่เพื่อนอีกสองคนขึ้นมาทันใด วิริยะหน้ามุ่ยเพราะตามสถานการณ์ไม่ทัน ที่จริงก็กลัวว่าจะมืดก่อนแล้วไม่กล้าอาบน้ำ แต่เขาก็อยากรู้เรื่องไอ้เทพบุตรที่ว่านั่นเหมือนกัน ครั้นตัดสินใจได้แล้ววิริยะก็ยืดหลังตรงอย่างมุ่งมัน ตอบกลับพวกหล่อนไปว่า

“โอเค! ผมจะไปน้ำตกกับพวกพี่…”

“ตายแล้ว เบา ๆ สิวิว” กุ้งรีบกระโจนมากุมปากวิริยะไม่ให้เสียงดัง ส่วนส้มก็ยกมือร้องชู่ด้วยหน้าแตกตื่นตกใจ พลอยให้วิริยะฉงนตามไปด้วยเพราะไม่รู้ว่าเรื่องนี้ต้องเป็นความลับ เด็กหนุ่มย่นคิ้ว มองทั้งสามคนอย่างไม่เข้าใจ

กระทั่งพวกหล่อนพาเขาปั่นจักรยานไปตามถนนของไร่ ลงไปจนสุดเนินขนาดสุดลูกหูลูกตาแล้วเลี้ยวไปทางตีนเขา คราแรกวิริยะเกรงใจที่จะให้กุ้งถีบจักรยาน แต่หล่อนบอกว่าเขาตัวเล็กนิดเดียว น้ำหนักยังน้อยกว่าหล่อนมากเพราะเป็นสาวอวบ อีกทั้งเขาไม่รู้เลยว่ากุ้งจะแข็งแรงได้ขนาดนี้ ปั่นโดยไม่หอบสักนิด อาจเป็นช่วงลงเนินด้วยทำให้ทุกคนไม่เหนื่อย และถึงสถานที่เร็วกว่าที่คิด เพียงแค่ห้านาทีเท่านั้นเอง

ไปถึง พวกเขาเห็นรถมอเตอร์ไซค์จอดเรียงกันสองสามคันอยู่ที่ชายป่าสุดเขตของไร่ วิริยะยกมือเกาหัว แทนที่พวกหล่อนจะเอาจักรยานไปจอดที่โล่งดี ๆ กลับซ่อนไว้หลังพุ่มไม้ มันน่าสงสัย

ในขณะที่ทั้งสามย่องเข้าไป มีเพียงวิริยะเดินด้วยท่าทางปกติสุด เพราะเริ่มรู้สึกว่าสามสาวไม่ชอบมาพากลเป็นอย่างยิ่ง ท้ายที่สุดเมื่อได้ยินเสียงน้ำตกและคนเล่นน้ำไกล ๆ ส้มกระตุกดึงวิริยะให้ค้อมหมอบ เดินย่องตามกุ้งไปเรื่อย ๆ จนถึงต้นไม้ต้นใหญ่ริมตลิ่งฝั่งนี้ ห่างจากน้ำตกราวสิบกว่าเมตรได้ บริเวณโดยรอบเป็นต้นไม้พุ่มเล็กพุ่มใหญ่ไม่หนามากนัก ยกเว้นมีต้นไม้ต้นใหญ่ตระหง่านตั้งอยู่ ซึ่งกุ้งก็ตรงไปหลบอยู่หลังมัน แล้วค่อย ๆ ชะโงกหน้าออกไป

“ทำอะไรอะพี่”

“ชู่...”

หรือแอบมาดูพวกสัตว์ป่ากินน้ำทำนองนั้น วิริยะเบิกตาทำหน้างง มองส้มยกนิ้วชี้จ่อปากห้ามมิให้ส่งเสียงดัง แล้วเป็นกุ้งที่กวักมือเรียก วิริยะจึงลุกเดินเสียงเบาด้วยกลัวว่าสิ่งที่คิดจะแตกตื่น ครั้นไปถึงเด็กหนุ่มก็ชะโงกหน้าออกไป เห็นน้ำตกไม่เล็กไม่ใหญ่ มีน้ำไหลเอื่อยสาดกระเซ็นลงมาข้างล่าง ซึ่งเป็นบ่อน้ำสีมรกตสวยจนเกิดฟองอากาศสีขาว แต่สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มเบิกตาโพลงคือ ผู้ชายมากกว่าห้ากำลังเล่นน้ำด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้นอย่างสนุกสนาน!

สรุปมาแอบดูผู้ชายกันนี่หว่า!

“พี่!”

“ชู่ พี่บอกให้เงียบไง เดี๋ยวไก่ตื่นกันพอดีหรอก” ส้มบอกพร้อมคลี่ยิ้มหวาน แลบลิ้นทำท่าหื่นชะโงกมองออกไป “ดูสิ วันนี้หมอกใส่กางเกงในสีชมพูด้วย น่า…จริง ๆ เลย”

วิริยะอ้าปากค้าง “พวกพี่ทำอะไรกันเนี่ย”

“ไม่ได้ทำอะไร แค่ดู” ตาพูดแล้วชะโงกคอทำตาฉ่ำหวาน “โอ๊ยยย! จะถอดแล้วแก จะถอดแล้ว”

“หยุดกันเลย ห้ามดูนะพี่” วิริยะเบิกตา ปกป้องของสมบัติผู้ชายด้วยกันที่ไม่ควรเสียให้สาว ๆ หื่นพวกนี้ดู

“ห้ามไปก็เปล่าประโยชน์ พวกพี่มาดูกันบ่อย มากกว่านี้ก็เห็นมาแล้ว”

“เขาได้กันให้ดูเหรอพี่”

คนฟังหันขวับมามองเด็กหนุ่ม “เล่นมุกถูกมั้ย พี่หมายถึงแบบ…แบบ เปลี่ยนเสื้อผ้าอะไรอย่างนี้จ้ะ” ได้ฟังแล้ววิริยะยกมือกุมขมับกับสาวทั้งสาม ไม่คิดว่าสาวบ้านนอกจะทำเรื่องขนาดนี้ได้ ถ้าหนุ่มๆ ที่น้ำตกแจ้งความก็เอาผิดได้เลย

“ดูทำหน้าเข้า วิวจ๊ะ พวกพี่ก็แค่ดู เป็นผู้ชายไม่เสียหายหรอกน่า ที่สำคัญพวกพี่ไม่บ้าถึงขั้นดูแล้วไล่ข่มขืนพวกมันด้วย” ส้มหัวเราะคิกคักกับกลุ่มเพื่อน พูดต่ออีกว่า “แล้วนี่พวกพี่ก็มาดูแค่นาน ๆ ที พวกนั้นก็ไม่ได้แก้ผ้าแก้ผ่อนจริง ๆ หรอก พี่อำกันเล่น น้ำตกเนี่ยเป็นของสาธารณะ วิวจะมาอาบก็ได้นะ”

วิริยะรีบส่ายหน้า เมื่อเห็นแววตาของสามสาว

“แต่วันเสาร์อาทิตย์อย่ามาเด็ดขาดเลย อาจถึงตายได้”

เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว “ทำไมละครับ”

“เพราะเป็นวันของจ้าวอสูรไงจ๊ะ ห้ามมาเหยียบที่นี่เด็ดขาดเลย”

อีกแล้วเหรอเนี่ย วิริยะถอนใจเมื่อได้ยินถ้อยคำกำกวมชวนให้อยากรู้ของทั้งสามสาว แต่ไม่รู้สึกว่าอยากรู้เหมือนเมื่อครู่ใหญ่ ๆ ที่ผ่านมาแล้ว ท้ายที่สุดทั้งสามก็กลับมาที่ห้องพักกันก่อนตะวันตกดิน วิริยะจึงได้มาอาบน้ำผลัดเสื้อผ้า ทิ้งตัวลงนอนเล่นบนฟูกผืนกว้างแค่เมตรเดียว ความหนาไม่ต้องพูดถึง ดีกว่านอนทับเสื่อนิดหน่อย ดีหน่อยที่มีลมจากพี่เขียวสุดหล่อพัดมาไล่ยุงและทำให้สดชื่น คืนนี้ของวิริยะจึงผ่านไปอย่างง่ายดาย

ช่วงเวลานอนผ่านไปไวกว่าที่คิด เด็กหนุ่มรู้สึกตัวตื่นเพราะมีคนมาเคาะประตูร้องเรียกบอกว่าสายแล้ว จำเสียงได้ว่าเป็นคุณน้าข้างห้อง วิริยะยกนาฬิกาบนข้อมือขึ้นดู ให้รู้ว่าตอนนี้เพิ่งแค่หกโมงกว่า อีกตั้งนานกว่าจะแปดโมงและเริ่มงาน แต่ทว่าเมื่อคิดดูอีกที กว่าเขาจะเข้าคิวอาบน้ำแต่งตัว แล้วไปเข้าคิวกินข้าวอีกก็คงนานอยู่ วิริยะรีบกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง ถึงจะรีบขนาดไหน เด็กหนุ่มก็ยิ้มหวาน ค่อย ๆ คลานไปลูบปิดพี่เขียวอย่างอ่อนโยนที่สุด

กว่าวิริยะจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เจ็ดโมงกว่า เป็นคนสุดท้ายที่เดินออกมาจากห้องน้ำ ตั้งใจจะเอาข้าวของส่วนตัวเข้าไปเก็บในห้องพักก่อนแล้วไปทานข้าว มาถึงก็เห็นเชษฐ์ไชยยืนกอดอกมองด้วยสายตาคมดุ บริเวณโดยรอบไร้คนงานคนอื่นเพราะทุกคนต่างรู้เวลาและหน้าที่กันหมดแล้ว คาดว่าตอนนี้น่าจะไปรวมตัวกันอยู่ที่โรงอาหาร

มาทำไม เขายังไม่ทันสายสักหน่อย วิริยะย่นหน้าเดินเลยคนตัวใหญ่มาเปิดประตูเก็บของ

“อย่าบอกนะว่าจะใส่ชุดนี้ทำงาน” คนด้านหลังถามขึ้นฝ่าความเงียบระหว่างที่วิริยะเดินออกมา เด็กหนุ่มถึงกับก้มลงมองตัวเอง เป็นกางเกงวอร์มขายาวที่เคยใส่ออกกำลังกายกับเสื้อยืดแขนสั้นตัวสีเทาเข้ม มันก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดอะไรสักหน่อย มีรองเท้าผ้าใบด้วย แบบนี้ทะมัดทะแมงจะตาย

“ครับ ชุดนี้แหละ” วิริยะขานตอบ

“ไปเปลี่ยนเป็นชุดที่มันมิดชิดกว่านี้ คิดว่านี่อยู่ฟินแลนด์ดินแดนหิมะรึไง ออกไปแค่ห้านาทีตัวก็ไหม้แล้ว”

ไหม้ก็ตัวผม ผิวก็ผิวผม อาเชษฐ์จะมาเดือดร้อนอะไรด้วยเล่า วิริยะคิดอยู่ในใจแล้วเชยตามองคนหน้างอเป็นก้นลิงแล้วถอนใจ “ผมไม่ชอบใส่ชุดหนา ๆ ตอนทำงาน มันร้อน เดี๋ยวหายใจไม่ออก”

“แล้วคิดว่าโดนแดดตรง ๆ ทั้งวันมันจะไม่ร้อนตายห่ารึไง ไปเอาเสื้อตัวอื่นมาใส่เดี๋ยวนี้”

วิริยะถอนใจ “ไม่มีหรอก วันนี้ใส่ตัวนี้ไปก่อน”

“ฉันสั่งว่าให้ไปหยิบมาใส่!” คนตัวสูงผู้ยืนกอดอกตรงหน้าเพิ่มระดับเสียงอีกนิด ทำเอาคนหูทวนลมกะว่าจะเดินเลี่ยงไปที่อื่นชะงักเท้า นึกได้ขึ้นมาว่าในกระเป๋ามีอยู่ตัวหนึ่ง เขาไม่ได้กลัวตาลิงหน้าโหดนี่หรอก ก็แค่ไม่อยากมีปัญหา คิดแล้ววิริยะก็หยิบเอาเสื้อลายตารางตัวที่เคยยืมเชษฐ์ไชยเมื่อวันก่อนขึ้นมาสวมทับ เดินหน้ายุ่งออกมาข้างนอกโดยหวังว่าคนอายุมากกว่าจะไม่หาเรื่องเขาอีก

“พอใจยังครับ” น้ำเสียงคนถามติดกึ่งฉุนกึ่งรำคาญ

เชษฐ์ไชยเห็นเสื้อที่เด็กหนุ่มตรงหน้าใส่แล้วก็เปลี่ยนท่าทีไป พูดไม่ออกพักหนึ่ง รู้แค่ว่าเลือดวิ่งพล่านไปทั่วทั้งหน้าอย่างไม่รู้สาเหตุ แล้วก็เดินดุ่ม ๆ จากไปโดยไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ปล่อยให้วิริยะมองตามด้วยความไม่เข้าใจการกระทำของอีกฝ่าย

“อะไรของเขาวะ” ไม่เข้าใจเอาเสียเลย

วิริยะเกาหัว สรุปเมื่อกี้เชษฐ์ไชยมาทำไม เด็กหนุ่มไม่ทันได้ถาม

ชักจะแปลกไปทุกทีแล้ว

“วิว วิว!” ส้มกวักมือเรียกขณะที่นั่งอยู่บนโต๊ะแล้ว เด็กหนุ่มรีบเดินไปเข้าคิว ส่งภาษาใบ้ไปบอกพวกหล่อนว่ากลัวข้าวหมดก่อน หากทว่าส้มก็ส่ายมือ ชี้ที่ชามข้าวที่ตักมาเผื่อให้แล้ว เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มหน้าบานดีใจ วิ่งไปราวลูกหมาตัวน้อยถูกเจ้านายเรียก ท่ามกลางสายตาของเชษฐ์ไชยและกลุ่มของหมอกกับดำ

“พวกเฮา กลุ่มอีส้มมันยาดน้องใหม่เฮาไปแล้ว เฮ็ดจังใด๋ดี” หนุ่มอีสานพูดขึ้นพลางมองไปยังวิริยะที่กำลังทำหน้าตาพึงพอใจกับข้าวเช้าฝีมือแม่ต้อย ราวเด็กน้อยได้ของถูกใจ ใคร ๆ ก็รุมเอาอกเอาใจ แม้แต่เชษฐ์ไชยก็แปลกใจที่ทุกคนลงความเห็นว่าวิริยะน่ารักสดใส ไม่มีใครไม่หลงรัก ไม่เว้นแม้แต่พวกเห่อเด็กใหม่อย่างกลุ่มที่เขานั่งด้วยตรงนี้

“น้องมันเป็นผู้ชาย จะให้ไปอยู่กลุ่มพวกนั้นไม่ได้ ต้องมาเป็นเด็กเราเท่านั้น” หมอกบอก

เหนือ หนุ่มอีกคนรีบแสดงความเห็น “รึว่าน้องมันเป็นตุ๊ดวะ ที่จริงต้องมาตีสนิทกับกลุ่มเราแทนที่จะเป็นกลุ่มผู้หญิง”

“บ่ น้องวิวมันบ่ได้เป็น มันปฏิเสธซุมหมู่นั่นบ่ได้ต่างหากล่ะ เบิ่งตี๊ เฮ็ดหน้าบ่ถืกเลย” ดำร้องว่าพลางชวนให้คนอื่นมองตามไปด้วย หากทว่าเพื่อนและเชษฐ์ไชยส่ายหน้า เมื่อเห็นเพียงว่าวิริยะมีแต่ยิ้มอย่างพอใจกับพวกหล่อนเท่านั้น หาได้เป็นอย่างที่ดำว่าแม้แต่นิด

“ไปถามน้องมันหน่อยว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ย เดี๋ยวมีใครหาว่าเราหล่อแล้งน้ำใจ”

“ไม่ต้องมีใครไปไหนทั้งนั้น เดี๋ยวถึงเวลาเชคชื่อแล้ว ใครไม่ทันวันนี้กูไม่ให้เงิน” เชษฐ์ไชยกล่าว เรียกสีหน้าพ่อหนุ่มหล่อทั้งหลายให้รู้สึกเซ็งขึ้นมากันสลอน เจ็ดหนุ่มบอยแบนด์เพียงแค่ชำเลืองมองวิริยะอยู่ครู่แล้วยอมทำตามอย่างว่าง่าย หันรีหันขวางไปเก็บจานชามแล้วพากันเดินหนีไป ท่ามกลางสายตาสาวน้อยสาวใหญ่ สาวดุ้น และสาวแก่แม่หม้ายที่มองตามกันเป็นพรวน

นัยน์ตาคมผละไปมองร่างที่อยู่ในเสื้อของเขา ไม่เข้าใจว่าวิริยะตั้งใจทำอะไร ทำไมต้องใส่มันมากวนประสาทด้วย เชษฐ์ไชยคิดทั้งมองตามร่างผอมโปร่งที่กำลังยิ้มแฉ่งจ้อกับสาว ๆ ตรงหน้าอย่างไม่ยอมหยุด กระทั่งรู้ตัวว่าถูกมองนั่นแหละ จึงละรอยยิ้มลงเปลี่ยนมาเป็นบึ้งตึง แล้วก้มหน้าก้มตาตักของตรงหน้าทาน

วิริยะเดินตามกลุ่มพี่ ๆ ไปเช็กชื่อพร้อมกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ขณะที่เชษฐ์ไชยยืนสังเกตการณ์อยู่ตลอด สรุปแล้วเด็กหนุ่มถูกแยกให้ไปอยู่กับกลุ่มบอยแบนด์ทั้งเจ็ด บริเวณที่ต้องใส่ปุ๋ยบำรุง ส่วนพวกของส้มต้องแยกไปเก็บและคัดผลที่ต้องใช้ความชำนาญในการตัดสินกว่า แต่เพราะได้ทำความรู้จักกับดำและหมอกก่อนแล้ว วิริยะจึงไม่รู้สึกว่าลำบาก อีกอย่างเวลาทำงานก็ต่างคนต่างทำหน้าที่ เขารู้สึกสบายใจ เพียงแต่ไม่ค่อยชอบใจกับสายตาคอยจับผิดตลอดเวลาของใครบางคนที่เดินวนเวียนอยู่แถวนี้นัก

“เอาไปสะพาย ของเอ็งเอาแค่ครึ่งถังพอ เดี๋ยวยกบ่ไหว” ดำโยนตะกร้าใส่ปุ๋ยมาให้ เป็นกระป๋องสำหรับใส่น้ำที่ประยุกต์ใส่สายเอาไว้สะพายบนบ่าแทนการถือ เด็กหนุ่มเห็นคนอื่นจับยกขึ้นสะพายไว้ข้างหน้า เทปุ๋ยใส่เต็มแล้วกำออกมาทีละสองข้าง โยนใส่ต้นผลไม้แล้วเดินไปจนสุดแถว

“ไม่เป็นไรพี่ ใส่เต็มเหมือนคนอื่นเลย ผมไหว” ขืนใส่ทีละครึ่งเขาก็ต้องเดินมาเติมตรงนี้อีก สรุปกว่าจะเสร็จก็เดินไปกลับรวมสี่รอบเลยน่ะซี ในขณะที่คนอื่นใส่เต็มถัง สามารถใช้ได้จนถึงสุดท้ายของสวน ซึ่งมันก็ไกลมาก

“ซั่นกะลองใส่เต็มคุเบิ่งก่อน ถ้าบ่ไหวแล้วจั่งค่อยลดลงเนาะ”

คนพี่ตัวโตถามพลางยกถุงปุ๋ยขึ้นเทให้ โดยไม่คำนึงถึงน้ำหนักของมันราวคุ้นชินกับการยกของหนัก วิริยะเบิกตาโพลงเมื่อเห็นกล้ามเนื้อนูนโผล่พ้นเสื้อกล้ามตัวสีดำของพี่ชายจากอีสาน เพราะไม่สนเรื่องสีผิวของตัวเอง ดำจึงไม่ชอบใส่เสื้อแขนยาวกระมัง แต่ก็ดูแมนสมชายชาตรีอย่างบอกไม่ถูก หากพวกส้มได้มาเห็นยามนี้คงกรี๊ดกันลั่นสวนแน่ คิดแล้ววิริยะก็กวาดสายตามองหนุ่มคนอื่น

เห็นหนุ่มตัวใหญ่อีกคนยกกระป๋องปุ๋ยขึ้นสะพายพอดี นี่ก็อีกคน จะแมนไปกันถึงไหน

“แนมอีหยัง เอ้ายกขึ้นได้แล้วอ้ายจะซ่อย”

วิริยะหันมายิ้มให้พี่ชายเบื้องหน้า “บ่มีอีหยังหรอกคร้าบ”

ได้ยินคนกรุงพูดบนไทยไปด้วย หนุ่มอีสานฟังแล้วรู้สึกเอ็นดูกับความน่ารักของเด็กหนุ่มเบื้องหน้าอย่างทนไม่ไหว ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับความไม่ถือตัวนี้ มิน่าเล่าใครก็ต่างเห่อวิริยะกันทั้งนั้น เพราะเป็นแบบนี้นี่เอง คิดแล้วดำก็ช่วยยกถังขึ้นใส่บนไหล่แคบของเด็กตรงหน้า จากหน้าขาว ๆ เริ่มแดงเพราะความหนัก แต่ก็ปั้นยิ้มบอกว่าไหว

“โอ้ พอได้อยู่ครับพี่ดำ” แม้จะแอบเซอยู่ก็เถอะ

“ไหวแท้บ่ ฟ้าวย่างฟ้าวเหวี่ยงใส่ต้นไม้มันก็สิบ่หนักแล้ว” มือใหญ่จับไหล่วิริยะช่วยให้ยืนคงที่ เด็กหนุ่มพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “แล้วสิบ่ใส่หมวกใส่อีหยังปิดแดดโดนหัวเลยเบาะ เดี๋ยวบ่ซำบายเอาเด้ เดี๋ยวแดดออกอ้ายกะสิใส่คือกัน”

“ไม่ต้องหรอกพี่ นี่ก็ทำงานกับต้นไม้ทั้งนั้น มีร่มอยู่ตลอดทาง ไม่ร้อนหรอก สบายมาก ไปแล้วนะ” ว่าจบก็เดินนำออกไป อาจเป็นเพราะหนักแต่ไม่กล้าพูดต่อหน้าเชษฐ์ไชยด้วย ดำเพียงยืนค้ำเอว มองตามหนุ่มน้อยจากเมืองใหญ่เดินทุลักทุเลค่อย ๆ หยุดกำปุ๋ยโยนใส่ต้นไม้อย่างนึกห่วง

กะว่าจะเดินไปยกถุงปุ๋ยมาเปิดรอเพื่อนคนอื่น เผื่อใครต้องการมาเติมจะได้สะดวก ดำวางถังสะพายของตัวเองแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังกองปุ๋ย ผ่านเจ้านายที่ยืนกอดอกมองอยู่ ดูเหมือนวันนี้เชษฐ์ไชยจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ดูจากสีหน้าที่มองเขาตอนนี้แล้วดำรู้สึกเหมือนตัวเองทำผิดอะไรสักอย่าง แต่เพราะเป็นคนอัธยาศัยดีแต่เดิมแล้ว หนุ่มอีสานจึงยิ้มให้เจ้านายแล้วค้อมหัวยามเดินผ่าน

แปลกใจที่เชษฐ์ไชยดูไม่ดีขึ้น แล้วทำหน้ายักษ์ใส่กว่าเก่า หรือคิดว่าเขายิ้มเยาะเย้ยกัน ทำอย่างกะไอ้ดำคนนี้เป็นชู้กับเมียตัวเองอย่างนั้น ขณะที่ก้มจะหยิบยกถุงปุ๋ยทั้งคิดอย่างนึกงงและสงสัย หนุ่มอีกสานรู้สึกว่ามีแรงถีบจากด้านหลังมาโดนก้น จนเขาหัวทิ่มไปใส่กองปุ๋ยขี้ไก่อีกกอง!

“อ๊ากกกก เหม็นโว้ย อุแหวะ!” ที่สำคัญวันนี้ไม่ได้ใส่เสื้อแขนยาวทับเสียด้วย ตัวเหม็นหมดแล้ว กว่าจะเลิกงานก็เข้าใกล้ใครไม่ได้!

“เอ้า ทำงานอยู่ดี ๆ เสือกอยากเล่นขี้แล้วไหมล่ะไอ้ดำ”

น้ำเสียงคนด้านหลังบ่งบอกว่าอารมณ์ดีขึ้นเมื่อเห็นชายหนุ่มโวยวายทำท่าจะอ้วก ดำลุกขึ้นมองคนอายุมากกว่าหน้างอ รู้เลยว่าเชษฐ์ไชยแกล้งเขาเพราะหมั่นไส้เรื่องอะไรสักอย่าง “โห่ นายเซษฐ์ แกล้งดำเฮ็ดหยังครับ ย่านดำหล่อกั่วแล้วผู้สาวสนใจกั่วเบาะ”

คนฟังยักไหล่ แล้วชี้หน้าเตือน “มึงช่วยตัวเองให้รอดก่อน ก่อนจะไปช่วยคนอื่น”

ดำเลิกคิ้วงงไปกว่าเดิม สรุปเมื่อเช้าเขาทำให้เจ้านายไม่พอใจเรื่องอะไร “ข้อยซ่อยโตเองตลอดแหละครับ บ่มีเมีย”

“ไอ้สัตว์...”

เป็นคำด่าที่อารมณ์ดีที่สุดของเจ้านาย

แล้วเชษฐ์ไชยก็เดินเข้าไปในสวน ตรวจตราว่าวิริยะโยนปุ๋ยเข้าไปที่ต้นไม้ได้เรียบร้อยดีหรือไม่ หรือไม่ก็ตามไปติเตียนวิริยะก็เป็นได้ เพราะไปถึงก็เห็นเด็กหนุ่มทำหน้ายุ่งหลังได้ฟังสิ่งที่เชษฐ์ไชยพูด คงไม่วายแกล้งเด็กใหม่อีกตามเคย คิดแล้วหนุ่มอีสานก็เพียงส่ายหน้า ปัดกลิ่นขี้ไก่ออกจากตัวอย่างหงุดหงิด

โดนนายซังแล้วบักดำเอ๊ย!


--๑๐๐--



---------------------------------------------------

ซัง=เกลียด

ซ่อย=ช่วย

กั่ว=กว่า

ยาด=แย่ง

ย่าน=กลัว

เผื่อมีใครอ่านแล้วไม่เข้าใจค่ะ 55555



อาเชษฐ์มีความหมั่นไส้หนุ่มอื่น อิอิ

วันนี้พี่ ๆ พาวิวไปดูผู้ชายอาบน้ำ เดี๋ยวตอนหน้ามีความตลกด้วย น่ารักด้วย วุ่นวายด้วย เพราะน้องจะแอบไปดูอสูรอาบน้ำ ปูเรื่องขนาดนี้ มีหรือว่าวิวจะไม่อยากไปดู 555555

รอเจอกันตอนหน้านะคะ

คอมเม้นด้วย รอกำลังใจอยู่นะคะ

กำลังใจที่ดี ช่วยบอกว่าคุณนักอ่านคิดเห็นอย่างไร

หัวข้อ: Re: **{12.3.61-ตอนที่ ๗--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 12-03-2018 17:05:56
ตอนนี้สงสารดำมากกว่า ไม่รู้ตัวว่าถูกเขม่น คนอะไรอยู่ๆ โชคร้ายมาหาซะงั้น
แต่แอบกรี๊ดๆ ไปกับสาวๆ ด้วย
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: **{12.3.61-ตอนที่ ๗--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-03-2018 21:13:44
วิวไปไหน ขอตามไปด้วยคนซิ  :m7:
หัวข้อ: Re: **{12.3.61-ตอนที่ ๗--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 13-03-2018 11:17:13
ตามหึงวิวขนาดนี้
ยังจะทำเปนดุอีกน้า
 :laugh:
หัวข้อ: Re: **{13.3.61-ตอนที่ ๘--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 13-03-2018 13:16:25

ตอนที่ ๘

อย่างที่ดำพูดจริง ๆ หากรีบเดินรีบโปรยปุ๋ยลงใส่ต้นผลไม้ไปเรื่อย น้ำหนักของที่แบกก็จะลดลงตามไปด้วย วิริยะเดินเซแค่ช่วงแรกเพราะความหนัก ประกอบกับพื้นไม่สม่ำเสมอด้วย ครั้นมันเหลือแค่ครึ่งถังก็ดีขึ้น แต่จะไม่มีความสุขก็ตอนที่มีลิงตัวใหญ่เดินตามหลังมาคุมนี่น่ะซี

“โยนให้มันถึงต้นหน่อย ใส่ปุ๋ยบำรุงผลไม้ไม่ใช่บำรุงต้นหญ้า จะให้หญ้างามกว่าต้นที่ปลูกมันใช่เรื่องที่ไหน” คนด้านหลังพูดไล่ วิริยะมุ่นคิ้วถอนใจ แต่ก็เถียงอะไรไม่ได้นอกจากขานรับ “ครับ…”

แล้วก็จ้ำอ้าวเดินให้ห่างอย่างนึกรำคาญ

เดินได้สองสามรอบวิริยะก็หอบ ไร่ก็กว้างสุดลูกหูลูกตา ไม่รู้จะรวยอะไรนักหนา

แต่ทำงานมันก็เหนื่อยเช่นนี้แหละ เด็กหนุ่มบอกตัวเอง คนอื่นเขาก็เหนื่อยเหมือนกัน

สักพักแดดก็ออกจนสว่างจ้าแสบตา ความร้อนลุกลามไล่จนเด็กหนุ่มต้องสะบัดเสื้อให้เกิดลมใส่ตัว พี่ชายคนอื่นสวมเสื้อแขนยาวและใส่หมวกกันหมดทุกคนแล้ว วิริยะยกมือปาดเหงื่อบนแก้มตัวเองขณะรอให้ดำเติมปุ๋ยให้ไปพลาง นึกตกใจที่แก้มตัวเองร้อนเพราะแดดราวกับเป็นไข้ สงสัยพรุ่งนี้ต้องหาหมวกใส่แล้ว

“เอ้า นี่หมวก”

วิริยะเงยมองดำที่โยนหมวกสานมาให้ แล้วเด็กหนุ่มจึงขยับจับมันสวมให้ดี “ขอบคุณครับพี่ดำ”

“ของนายเซษฐ์เพิ่น เห็นแกลืมถิ่มไว้ม่องเติมปุ๋ย ใส่ไปก่อนแล้วจั่งเอาไปคืน”

เด็กหนุ่มชะงัก ยิ่งไม่อยากคุยด้วยก็ยิ่งมีเหตุผลให้เข้าไปคุยอีก หากทว่าวิริยะก็เพียงยิ้มรับพี่ชายจากอีสานแล้วทำงานต่อไปโดยไม่ปริปากพูดอะไร แรก ๆ ก็สู้ความหนักของมันได้ แต่หลัง ๆ วิริยะไม่ไหว ยอมเดินหลายรอบเอาดีกว่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกหนักอยู่ดี ไม่รู้ว่าบ่าพังไปแล้วหรือยัง ยิ่งตอนกลางวันยิ่งรู้สึกราวตกอยู่ในนรกเพราะความร้อนของแดด วิริยะรู้สึกนับถือลุง ๆ ป้า ๆ เกษตรกรที่ตากแดดกันทั้งวันจริง ๆ

วิริยะไม่เคยรู้สึกว่าได้กินข้าวเที่ยงแสนอร่อยเท่านี้มาก่อน เด็กหนุ่มเจริญอาหารเพราะพลังงานที่เสียไปช่วงทำงาน พลอยให้คนมองรู้สึกเอ็นดูยิ่งขึ้นไปอีก ผ่านไปครึ่งวัน จากหนุ่มกรุงหน้าขาวกลายเป็นหนุ่มคนงานหน้าแดงเพราะแดดเลีย แต่ก็ไม่ได้ลดความน่าเอ็นดูลงไปได้เลย ยิ่งวิริยะทนงานที่นี่ได้อย่างไร ทุกคนก็ยิ่งรักเด็กหนุ่มมากขึ้น

ความเหนื่อยนั้น เมื่อได้พักสักสองสามนาทีก็หายไป วิริยะรู้สึกว่าการทำงานที่ไร่มันก็ไม่ได้แย่ เพียงแต่เพราะความร้อนของแดดทำให้คนเพลียมากขึ้นไปอีกระดับ เด็กหนุ่มยกน้ำดื่มอย่างกระหายหลังเสร็จงาน ท่ามกลางเหล่าหนุ่มบอยแบนด์ภูธรที่นั่งพักอยู่ข้าง ๆ บางคนก็ถอดเสื้อ บางคนก็ถอดหมวกแล้วเสยผมเปียกเหงื่อขึ้นเปิดหน้า แม้จะไม่ขาวสะอ้านกัน แต่ก็มีสเน่ห์ที่ผู้ชายด้วยกันอิจฉา ทุกคนต่างเป็นมิตรและคอยถามเด็กหนุ่มเสมอว่าไหวหรือไม่

ห้าโมงแล้ว แดดสาดมาใส่ต้นไม้ทำให้เกิดร่มเงา บริเวณพวกเขานั่งรอเจ้านายก็มีลมเบา ๆ สาดใส่อยู่เสมอ เพราะร่างกายเปียกไปด้วยเหงื่อ เมื่อถูกลมแล้วจึงรู้สึกสดชื่น

“ได้ตังค์แล้วไปอาบน้ำที่น้ำตกกันไหม วันนี้ร้อนฉิบหาย กูขี้เกียจต่อคิว”

“วันนี้ไปไม่ได้” หมอกรีบปราม “อาบที่หอนี่แหละ แล้วมาแดกเหล้ากัน”

“เออ เป็นความคิดที่ดี แต่ห้ามให้นายเชษฐ์รู้นะมึง”

“ไอ้ห่า รอบที่แล้วนายเชษฐ์เล่นกูซะเพลีย ลุกไม่ขึ้นเลย” หมอกส่ายหน้าพูด ในกลุ่มนี้หมอกเป็นผู้ชายที่ขาวที่สุด ตัวบางที่สุดแต่ก็ดูซ่อนรูป นับจากที่เขาเห็นเมื่อวาน หน้าตาดูหล่อสำอางสไตล์ที่สาว ๆ ชอบ วิริยะเห็นพี่ชายตรงหน้าพูดถึงเรื่องที่ถูกเชษฐ์ไชยกระทำตอนเมาแล้วหน้าร้อน หรือพวกพี่ ๆ เองก็เคยโดนอีตากอริลล่านั่นเจาะไข่แดงเพราะความเมากันมาแล้ว

“พี่หมอกเองก็โดนเหรอ” เด็กหนุ่มเบิกตา

ทุกคนเหลียวมามองเด็กหนุ่มผู้นั่งฟังมาตลอดนิ่ง ทำหน้าตกใจ “บักหมอกนี่โดนดุเลยน้องวิว พวกอ้ายบ่รู้จะห้ามนายเซษฐ์จั่งใด๋ ว่าแต่น้องวิวกะโดนนายเซษฐ์เล่นคือกันเบาะ”

เด็กหนุ่มอึกอัก แล้วนิ่งไป มองพี่ ๆ พูดกันต่ออีกว่า

“กูบอกแล้วให้มึงเฮ็ดโตให้ใหญ่ ๆ เข้าไว้ นายเซษฐ์จะได้บ่มายุ่งกับมึง”

“ทำตัวให้มันแมน ๆ กว่านี้น่ะ เข้าใจไหมไอ้หมอก” เหนือพูดปนยิ้ม ตบบ่าหมอกกระเซ้า

“กูไม่แมนตรงไหนวะ”

“ถ้าเทียบกับนายเชษฐ์มึงก็ไม่แมนล่ะวะ แต่หลังจากนี้มีตัวตายตัวแทนละเว้ย” พูดจบพี่ชายที่ถอดเสื้ออวดกล้ามเนื้อชัดเจนก็ชายตามายังวิริยะส่งซิกให้กัน เด็กหนุ่มหน้าเหวอเมื่อเห็นทุกคนทำทีรู้ทัน รีบส่ายหน้าระรัวปฏิเสธ หน้าที่มีสีอยู่แล้วก็แดงมากขึ้นไปอีก

“เออ พวกมึงไม่ต้องโบ้ยให้น้องมัน แค่กูโดนก็ถือว่าหนักแล้วนะ ห้ามบอกนายเชษฐ์เด็ดขาดเลย เดี๋ยวเมาแล้วบ้าอำนาจสั่งให้กูวิดพื้นท่าเตรียม วิ่งรอบไร่อีก ไม่รู้กูผอมแล้วไปทำให้ไร่แกเจ๊งรึไง เอาแต่บ่นว่ากูไม่แมนพออยู่นั่น ไอ้เพื่อนห่า…กูก็ต้องทำตามไง ไม่ทำตามก็โดนตีนนายเชษฐ์อีก” หมอกบ่นไปพร้อมกับเสียงหัวเราะก๊ากสะใจของเพื่อนในกลุ่ม

ท่ามกลางสีหน้าตกใจของวิริยะ ที่เด็กหนุ่มพยายามปกปิดที่สุด

เกือบไปแล้ว เกือบเผยไต๋ให้คนอื่นรู้ไปเสียแล้ว

ที่นี่เข้าคิวรับเงินเป็นรายวัน เพราะหากรอเป็นเดือนก็คงจะอดตายกันก่อน หลังวิริยะได้เงินก็เดินกลับมาที่ห้องพักพร้อมกับกลุ่มของส้ม ร่างกายรู้สึกล้าแต่พอพักก็มีแรงขึ้น วันนี้เด็กหนุ่มรู้สึกเหนื่อย ขี้เกียจรอต่อคิวอาบน้ำ อยากรีบอาบรีบไปพักผ่อน จึงจัดแจงข้าวของส่วนตัวถือไปขอยืมจักรยานของกุ้งเพื่อไปอาบน้ำที่น้ำตกแทน ครั้นไปถึงก็ไม่มีรถมอเตอร์ไซค์ของพวกดำ คาดว่าจะไม่มีใครมาอาบ

เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มพอใจ ไม่รู้ทางเข้าจึงเดินไปบริเวณที่สามสาวพามา แหวกใบไม้ใบหญ้าเดินไปยังตลิ่งน้ำ ทว่าไปถึงเห็นน้ำตกสาดกระทบผืนน้ำและก้อนหินด้านใต้เสียงดังสะท้อนก้อง แต่มีใครสักคนกำลังใช้มันอยู่ ใครสักคนที่แผ่นหลังกว้างนั้นเต็มไปด้วยรอยสัก กล้ามเนื้อ ดำผุดดำว่ายแล้วโผล่ขึ้นเหนือน้ำสางผมที่ปรกหน้า

วิริยะชะงักขาแล้วรีบหลบอยู่หลังต้นไม้ ยกมือกุมหน้าอกตัวเองอย่างนึกตกใจ

ใครวะ

เมื่อครู่เด็กหนุ่มเห็นเพียงแวบเดียวเท่านั้น จึงตัดสินใจชะโงกหน้าออกไปอีกครั้งอย่างต้องการทราบ หรือนี่จะเป็นอสูรที่แก๊งสาวหื่นบอกวิริยะกันหนอ คิดแล้วใบหน้าแดงคร้ามเพราะแดดเลียก็ขยับออกไปจากต้นไม้ เห็นผู้ชายตัวใหญ่ผมเปียกยาวระบ่าจากด้านหลัง กำลังว่ายน้ำขึ้นไปยังโขดหินบริเวณใกล้น้ำตก อาจเป็นเพราะรูปร่างที่น่าอิจฉานั้นทำให้วิริยะหยุดดูจนลืมไปว่าตัวเองมาที่นี่ทำไม

ร่างกายสมบูรณ์แบบ บวกกับสถานที่ตรงนี้สวยงามทำให้บรรยากาศดูขลังอย่างน่าประหลาด ใครกันที่ว่าคนคนนี้เป็นอสูรร้าย มองจากมุมนี้แล้ว วิริยะขอเถียงจริง ๆ เลยว่าไม่ใช่ เขาคิดว่าเป็นเทวดาเสียอีก

กระทั่งชายคนนั้นหันมาทิศนี้ ทำเอาเด็กหนุ่มขนลุกซู่ “เชี่ย!”

นั่นมันอีตาเชษฐ์ไชยหน้ากอริลล่านี่ วิริยะตาเหลือกตกใจ ยกมือตบปากและศีรษะตัวเองให้ลบเลือนความคิดเมื่อครู่ไปเสียให้หมด มองตามร่างสูงใหญ่ที่เดินขึ้นไปยังโขดหินจนเห็นร่างกายที่ปกปิดด้วยผ้าน้อยชิน หนำซ้ำมันยังแนบติดตัวราวกับไม่ได้ใส่อะไร ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเสร็จแล้ว ขอรอตรงนี้ไปจนกว่าเชษฐ์ไชยจะกลับ แล้วค่อยไปอาบต่อดีกว่า

คิดแล้วก็ขยับตัวจะกลับเข้ามาหลังต้นไม้ เหยียบโดนอะไรสักอย่าง คาดว่าจะเป็นกิ่งไม้แก่ ๆ แถวนั้นจนเกิดเสียง เรียกให้คนอีกฝั่งที่ไม่รู้จะหูดีอะไรนักหนาหันมา เด็กหนุ่มรีบขยับตัวซ่อนหลบ หอบหายใจด้วยกลัวอีกฝ่ายจะรู้ว่าเป็นเขา

“นั่นใคร ออกมา ไม่งั้นกูยิงนะ”

วิริยะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เข้าใจคำเตือนของส้มอย่างถ่องแท้ว่าอสูรที่กล่าวถึงเป็นยังไง แต่ก็ไม่ขยับออกไปและรอให้เชษฐ์ไชยตายใจคิดว่าตัวเองหูฝาดไป ซึ่งก็จริง อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่งจนคิดว่าอาจอ้อมมาอีกทางเพื่อจับเขาให้ได้คาหนังคาเขา หากเป็นเช่นนั้นโดนยิงตายแน่ คิดแล้ววิริยะรีบชะโงกออกไปดูให้แน่ใจ

ดีที่เชษฐ์ไชยไม่ได้ร้ายหรือฉลาดอย่างที่เขาคิด พูดง่าย ๆ ว่าโง่ อีกฝ่ายเชื่อว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและปล่อยผ่านไป

แต่สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มเบิกตาจนเหลือก คือคนตัวใหญ่กำลังเปลื้องกางเกงในที่ใส่ภายใต้ผ้าขนหนูสีขาวโดยไม่อายผีสางนางไม้แถวนี้ ถึงจะเคยเห็นแบบชัดระดับแอชดีมาแล้วก็เถอะ วิริยะยังรู้สึกว่ามันโคตรอุจาดตาเลย!

คิดว่าจะล่าถอยกลับบ้าน ดูอย่างนี้ไม่ไหวแน่ วิริยะตรองแล้วตั้งใจจะหมุนตัวกลับ แต่รู้สึกว่าผีสางนางไม้คงไม่ชอบเด็กหนุ่มกระมัง ไม่รู้สะดุดอะไร วิริยะร้องเหวอเพราะร่างของเขาเอนไปด้านหลังอย่างไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อีกแล้ว เด็กหนุ่มรู้สึกถึงความฉิบหายกำลังจะมาเยือนในไม่ช้า

ตูม!

ร่างของวิริยะร่วงลงไปในน้ำจนเสียงดัง เรียกสายตาของเชษฐ์ไชยที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หันมองเด็กหนุ่ม จะทำอย่างไรดี มีหวังเขาได้โดนอีกฝ่ายฆ่าหมกป่าเพราะมาแอบดูแน่ คิดแล้ววิริยะก็ตัดสินใจตะเกียกตะกายให้ตัวเองโผล่พ้นน้ำ แสร้งว่ายน้ำไม่เป็นไปเสียดื้อ ๆ ทั้งที่ความจริงพ่อส่งเขาไปเรียนว่ายน้ำตั้งแต่ ป.สาม!

“อั่ก ชะ ช่วยด้วย!”

“ วิว…วิว!” ครั้นเห็นว่าเป็นวิริยะที่กำลังจะจมน้ำ เชษฐ์ไชยลืมไปว่าตัวเองกำลังถอดผ้าเปลี่ยน

ชายหนุ่มทิ้งผ้าขนหนูในมือ แล้วกระโจนลงไปในน้ำโดยไม่ต้องคิดเพื่อช่วยคนตัวเล็กด้วยกลัวไม่ทันการณ์ ครั้นไปถึง ชายหนุ่มกระตุกดึงวิริยะมาประคอง พาว่ายน้ำมาจนถึงบริเวณที่เท้าแตะถึง แล้วอุ้มวิริยะขึ้นไปวางไว้ตรงพื้นราบเรียกสติ ตอนนี้คนตัวเล็กหน้าซีดเผือดและหมดสติไปแล้ว คาดว่าคงกลืนน้ำไปหลายอึก

“วิว วิว!”

ตายแน่ไอ้วิว มึงตายแน่!

มือใหญ่ตีแก้มเด็กหนุ่มเรียกสติอย่างใจร้อน สางผมที่ปรกหน้าให้ไปพลางร้องเรียกชื่อวิริยะไปพลาง เด็กหนุ่มไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะห่วงเขาขนาดนี้ รู้เพียงว่าตอนนี้ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ได้แค่หลับตาปี๋แกล้งไม่มีสติไปก่อน

“วิว ตื่นสิ ได้ยินพี่ไหม” คนด้านบนถาม

หน้าวิริยะซีดเพราะรู้ตัวว่าต้องถึงคาดแน่ หากอีกฝ่ายรู้ว่านี่เป็นเพียงลูกแถของเขา เขาไม่ได้เป็นอะไรเลย!

ขณะที่เชษฐ์ไชยก้มลงฟังเสียงหัวใจของเด็กหนุ่มนั้น วิริยะแอบลืมตา ตาเล็ก ๆ เหลือกวาวเป็นลูกแตงโมงเมื่อเห็นชัดว่าอีตาคนนี้ไม่ได้ใส่อะไรเลย! เดี๋ยวซี นี่มันโคตรอุบาทว์เลยไม่ใช่รึไง จะวิ่งหนีก็ไม่ได้ ทำไมมันซวยอย่างนี้หนอ คิดแล้วเด็กหนุ่มทำได้เพียงแค่หลับตาลง คืนนี้เขาฝันร้ายแน่ นี่มันยิ่งกว่าชัดระดับแอชดีอีก!

“วิว ตื่นสิวิว” มือใหญ่ประคองหน้าเขาพูดปนหอบ

วิริยะถูกจับให้นอนราบกับพื้น แล้วจากนั้นเด็กหนุ่มรู้สึกถึงริมฝีปากอันประกอบไปด้วยหนวดแข็ง ๆ แนบเข้ามาหวังจะช่วยผายปอดให้ ดวงตาใสเหลือกขึ้นด้วยความตกใจ จากสลบเหมือดก็ได้สติขึ้นมาทันใด ลืมคิดไปว่ามันจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น รีบผลักเชษฐ์ไชยแล้วตามด้วยถีบจนคนตัวใหญ่หงายเงิบ

“อาเชษฐ์จะทำอะไร” วิริยะร้องเสียงดัง ยกมือกุมปาก

แต่มารู้ตัวก็สายแล้ว ความลับของเด็กหนุ่มแตก และไม่ใช่แค่แตกธรรมดา มันแตกอย่างละเอียดเลยล่ะ เมื่อเห็นหน้าของพ่อกอริลล่าเมื่อรู้ความจริงว่าทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องโกหก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะวิริยะสร้างขึ้นมาเท่านั้น

“อะ อาเชษฐ์…” คนพูดยิ้มแห้ง

รู้สึกถึงขนที่ลุกเกรียวเมื่อเห็นนัยน์ตาราวสัตว์ป่าเบื้องหน้า

“เธอ…” เชษฐ์ไชยขบกราม รู้สึกเหลืออดจนแสดงออกทางสีหน้า

“ผะ ผมไม่กวนแล้ว…” ก่อนจะถูกไล่ฆ่า วิริยะหันกลับไปยังบ่อน้ำมรกตที่เคยถูกช่วย แล้วโดดลงไปอีกครั้ง ว่ายน้ำอวดท่าฟรีสไตล์ที่เรียนตั้งแต่เด็กให้อีกฝ่ายดูเพื่อเป็นการหนีอย่างไม่คิดชีวิต คาดว่ารอบนี้เขาคงทำสถิติความเร็วใหม่เสียด้วยซ้ำ!

เด็กหนุ่มว่ายมายังฝั่งที่พลาดตก แล้วตะเกียกตะกายขึ้นไปยังมุมที่เคยยืนอยู่อย่างโล่งใจที่เชษฐ์ไชยไม่บ้าดีเดือดว่ายตามมา หลบหลังต้นไม้แล้วหอบหายใจทั้งเช็ดน้ำที่ไหลตกจากผมตนเองไปพลาง หากทว่าเหลือบเงยไปเบื้องหน้า ก็เล่นเอาใจที่เต้นระทึกเมื่อครู่หายวาบอีกครั้ง เมื่อเห็นส้มกับตามองเขาด้วยสายตาอึ้ง

วิริยะอ้าปากค้าง ยกมือชี้นิ้วไปยังทั้งสองอย่างตกใจ เมื่อพวกเธอเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นเข้าเสียแล้ว ตายแน่ เขาต้องตายแน่ ๆ!


--๕๐--

หัวข้อ: Re: **{13.3.61-ตอนที่ ๘--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 13-03-2018 13:18:52

(ต่อ)

วิริยะตามส้มกับตากลับมาที่ห้องพัก เด็กหนุ่มคืนจักรยานให้กุ้งแล้วแวะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า หน้าซีดเหลือสองนิ้ว ไม่กล้าพูดกับสองสาวที่แอบเห็นภาพน่าอายเมื่อครู่ใหญ่ ทั้งที่บอกว่านาน ๆ จะแวะไปที่น้ำตกที เหตุใดวันนี้พวกหล่อนถึงไปอยู่ที่นั่นได้ วิริยะคิดแล้วเดินกลับมาที่ห้องพัก เห็นพี่สาวทั้งสองนั่งรออยู่ด้านหน้า ราวกับมีเรื่องคุยกับเด็กหนุ่ม

วิริยะรู้ดีว่าเป็นเรื่องอะไร เด็กหนุ่มไขเปิดประตูห้องแล้วนำเข้าไป ทั้งสองถือวิสาสะนั่งบนฟูกของเด็กหนุ่มแล้วปล่อยให้วิริยะนั่งอยู่หน้าพี่เขียวเพื่อเป่าผมให้แห้ง วิริยะทำท่าวุ่นวายกับผมสั้น ๆ ของตัวเอง ไม่กล้าแม้กระทั่งเชยตาขึ้นสบพี่สาวทั้งสอง

“ทำไมแอบไปคนเดียวแบบนั้นล่ะวิว ไอ้พวกพี่ก็เป็นห่วงกลัวว่าจะโดนยิงตาย” ส้มเริ่มประเด็น

วิริยะเงยหน้ามองสองสาว “ก็ใครจะไปรู้ล่ะครับ อีกอย่างก็ลืมไปเสียสนิทว่าวันนี้วันเสาร์”

“พวกพี่ก็อุตส่าห์รีบตามมาบอกว่าวันนี้ไปไม่ได้ วิวนี่ก็ปั่นไวเหลือเกิน”

เด็กหนุ่มหน้าหงอย “ขอโทษครับ”

“นี่ดีนะที่นายเชษฐ์ไม่ยิงเข้า แล้วเขาทำอะไรเรารึเปล่า” ส้มสอบถาม เมื่อเห็นหน้าที่เคยโดนแดดเลียของเด็กหนุ่มยังคงแดงระเรื่อราวลูกตำลึงสุกปลั่ง วิริยะรีบเงยขึ้นมาสบตา มีทีท่าแปลกใจแต่ก็รีบยกยิ้ม ส่ายหน้าบอก “ไม่ได้ทำอะไรเลยครับ ผมหนีออกมาเสียก่อน”

“แต่ก็เกือบใช่ไหม” ตาถาม

วิริยะรู้สึกถึงเลือดที่วิ่งขึ้นหน้า “กะ เกือบอะไร”

“เอ้า พี่เห็นหน้าวิวตอนตะเกียกตะกายขึ้นมาอย่างกะตะกวดหิวไก่ นึกว่าโดนไล่ออกมาเสียอีก”

“อะ เอ่อ ครับ อาเชษฐ์ไล่…” ไล่ด้วยสายตาและภาพอุจาดตาที่ปัดออกไม่ได้

อันที่จริงตอนนั้นเชษฐ์ไชยตกใจและเชื่ออย่างสนิทเลยว่าเขาว่ายน้ำไม่เป็น มานึกอีกทีก็รู้สึกแปลก ๆ ยามเสียงตกใจของอีกฝ่ายเรียกสติเขาผุดขึ้นมา สัมผัสของมือใหญ่ที่สางผม รวมไปถึงจูบรุ่มร้อนบนริมฝีปากของเด็กหนุ่มด้วย ราวกับมันไม่ได้จางหายไปไหนเลย คิดแล้วิริยะก็ยกมือกุมขมับสั่งตัวเองให้หยุด หยุดความคิดบ้า ๆ นั่นเสีย

มันไม่ใช่จูบ นั่นก็แค่การผายปอด

“เป็นอะไร ทำไมหน้าแดงขนาดนี้ เริ่มงานวันแรกก็ไม่สบายเลยเหรอ”

เด็กหนุ่มรีบส่ายหน้า “เปล่า วิวสบายดี”

“ว่าแต่ว่าเราน่ะโชคดีไม่เบานะที่รอดลูกกระสุนนายเชษฐ์มาได้ คราวนี้รอดไปนะวิว…” พูดยังไม่ทันจบเสียงเคาะประตูห้องของเด็กหนุ่มก็ดังขึ้น ซึ่งมันก็ดังตามอารมณ์ของคนเรียก พลอยให้สองสาวเหลือบมองตากันราวรู้อยู่แล้วว่าเจ้าของเสียงนี้เป็นใคร ส้มหน้าตก มองตาวิริยะแล้วยิ้มแห้ง ๆ ให้ “แต่ตอนนี้อาจไม่รอดแล้วก็ได้”

วิริยะเบิกตา รู้ทันที “อาเชษฐ์เหรอ!” เด็กหนุ่มลุกยืน เมื่อตกใจหรือทำอะไรไม่ถูกวิริยะมักทำอย่างนี้เสมอ

“งั้นพวกพี่กลับก่อนนะ อธิบายดี ๆ ล่ะ”

วิริยะรีบส่ายหน้า ทำเหมือนจะร้องไห้มองตามสองสาวที่เดินออกไปเปิด เห็นเชษฐ์ไชยยืนหน้ายักษ์อยู่ริมประตู ไม่ทันจะได้เอ่ยรั้งสองสาว คนตัวใหญ่ก็จับดึงเขาเดินดุ่มเข้าไปด้านใน คิดว่าตัวเองเป็นนายใหญ่ เป็นเจ้าของสถานที่แล้วยังไง รองเท้าไม่ยอมถอดเมื่อเข้าห้องคนอื่นก็เรียกว่าเป็นพวกไร้มรรยาทอยู่ดี วิริยะมุ่ยหน้ามองอย่างไม่ชอบใจ

แถมตอนนี้เขาก็ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรเลยด้วย เด็กหนุ่มทำหน้าหงอยมองเจ้านาย

เชษฐ์ไชยหันมาค้ำเอวมองเขา “ฉันไล่เธอออก”

วิริยะอ้าปากค้าง “ผมยังไม่ได้เรียกพี่ว่าพี่เลย! อุ๊บ…” เด็กหนุ่มเหลือกตาปิดปากตัวเอง ส่ายตากลมมองไปทิศอื่นไม่นับครั้งนี้ที่เผลอเรียกเพราะตกใจ ทำเอาเชษฐ์ไชยที่ยืนฟังยิ่งโมโหไปกว่าเดิมอีก

“อย่ามากวนโมโหฉันนะ”

วิริยะมุ่นคิ้ว “แล้วอาเชษฐ์จะไล่ผมออกเรื่องอะไร วันนี้ผมก็ทำงานตรงเวลา ไม่ได้กินแรงคนอื่นด้วย”

“ฉันจะไล่เพราะว่าอยากไล่ แล้วเลิกมาทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่ฉันได้แล้ว มันไม่ได้ผล” นิ้วชี้เรียวชี้หน้าเด็กหนุ่ม

“ผมไม่ได้เจ้าเล่ห์นะ”

“อย่ามาเถียง พรุ่งนี้เก็บข้าวเก็บของออกจากไร่ฉันไปเลย”

“ทำไม อาเชษฐ์อายเหรอ อายตรงรอยสักบนหลัง รึว่าอายอะไรที่มันมีเล็กนิดเดียว”

“วิว!” คนตรงหน้าขึ้นเสียงจนวิริยะสะดุ้ง หน้าหงอลงพอรู้แล้วว่าเชษฐ์ไชยเอาจริง

“ผมหมายถึงรอยแผลเป็น”

“ไม่ต้องมาเล่นลิ้น ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นเธอ” ไม่รู้ทำไมชอบยกนิ้วชี้ชี้หน้าเขาจัง วิริยะมุ่นคิ้วคอตกรับฟังอย่างเงียบเชียบ แม้สีหน้าจะไม่ค่อยยอมรับว่าตนเองผิดเท่าไรก็ตาม แต่เขาคิดว่าควรเงียบรับฟังดีกว่าดื้อรั้นเถียง อีกหน่อยคนตรงหน้าคงลดความโมโหลงไปเอง ทั้งที่วิริยะคิดว่าแค่เรื่องนิดเดียว ไม่ควรจะโกรธถึงเพียงนี้สักหน่อย

“ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยเห็นนี่นา…” เด็กหนุ่มทำเสียงเบา “อาเชษฐ์จะอายทำไม”

คนตัวโตค้ำเอวแล้วมุ่นคิ้วจนหน้าหงิก เมื่อได้ฟังยิ่งโมโห “เธอว่าฉันโมโหเธอเรื่องนี้เหรอ ประสาทแล้ว! ฉันโมโหที่เธอแกล้งจมน้ำต่างหาก คิดว่าถ้าจมจริง ๆ แล้วฉันช่วยไม่ทันจะเกิดไรขึ้น หา! เกิดจมน้ำตายขึ้นมาฉันจะทำยังไง!”

วิริยะรู้สึกแปลกใจ เงยเห็นหน้าจริงจังของชายที่กำลังโกรธ “อาเชษฐ์เป็นห่วงผมเหรอ”

เมื่อได้ฟังสิ่งที่เด็กหนุ่มย้อนถาม เชษฐ์ไชยชะงักไปพักหนึ่ง แล้วอึกอักผละสายตาไปหาคำตอบให้ตนเอง กลับมาเสียงดังโวยวายเหมือนเดิมว่า “ห่วงก็บ้าแล้ว! เกิดพ่อแม่เธอมาเอาเรื่องฉันจะทำไง”

“เฮอะ ที่แท้ก็ห่วงตัวเอง” เด็กหนุ่มหัวเราะหน้าเซ็ง

สรุปคือไล่ออกจากไร่เพราะไม่อยากรับผิดชอบชีวิตของเขาอย่างนั้นหรือ วิริยะคิดแล้วมุ่ยหน้า มองเชษฐ์ไชยที่กำลังกำลังอารมณ์เสียกล่าวกับเขา “คราวหลังอย่ามาทำตัวเจ้าเล่ห์แบบนี้อีก ไม่อย่างนั้นโดนดีแน่”

“มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่ครับ ผมว่ายน้ำได้”

“ฉันหมายถึงหมดทุกเรื่อง ไม่ใช่เฉพาะแต่กับเรื่องนี้เรื่องเดียว” กล่าวจบแล้วพาลไปเตะพี่เขียวของวิริยะอย่างไร้เหตุผลทั้งที่เด็กหนุ่มไม่เข้าใจ

“อาเชษฐ์ อาเชษฐ์ทำอะไร!”

วิริยะเบิกตาเพราะรู้ดีว่าร่างกายของพี่เขียวของเขาอ่อนแอและพร้อมจะตายได้ทุกเมื่อ ที่สำคัญเขาเพิ่งจะได้ใช้มันไปเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น จะเปิดจะปิดแต่ละทีก็ค่อย ๆ ทำอย่างอ่อนโยน แต่ไอ้พี่หนวดบ้านี่กลับใช้มันเป็นเครื่องบันดาลโทสะเสียอย่างนั้น ตากลมทำได้เพียงแค่เบิกกว้างมองพัดลมตัวเขียวเซละลิ่วล้มฟาดพื้นดังโครมใหญ่ จากที่พัดหมุนติ้วก็ค่อย ๆ หยุดลง

“พี่เขียว! อาเชษฐ์ทำบ้าอะไรเนี่ย ฮือ!”

เด็กหนุ่มวิ่งไปลูบคลำของรักของหวงอย่างพูดไม่ออก ร้องตะโกนต่อว่าคนกระทำอย่างเหลืออด “ทำไมทำแบบนี้! เป็นบ้าอะไรทำไมต้องทำลายข้าวของด้วย!”

“แล้วจะทำไม!” เชษฐ์ไชยรู้สึกโกรธที่ถูกต่อว่า ถูกเด็กนี่ร้องตะโกนใส่ หันหลังกลับมา เห็นไอ้ตัวดีที่ตีหน้ามึนคุยด้วยเมื่อครู่นั่งประคองพัดลมตัวเก่าไว้บนตัก น้ำตาหยดแหมะราวเม็ดฝน ทำอย่างตัวเองเป็นอังศุมาลินกำลังสั่งลาโกโบริเป็นครั้งสุดท้าย เห็นแล้วเชษฐ์ไชยอยากจะบ้า

“อย่ามาทำตัวเว่อร์ไปหน่อยเลย กะอีแค่พัดลมตัวเดียว”

“ผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพี่เขียว!”

“ประสาท!”

ชายหนุ่มส่ายหน้า ลืมความโมโหไปในบัดดลเมื่อเห็นตาแดงก่ำอันเต็มไปด้วยก้อนน้ำเต็มเบ้า ทำหน้าโกรธราวเขากำลังฆ่าใครตาย อาจใช่…เมื่อตาคมเหลือบเห็นเด็กหนุ่มหน้าเศร้า พยุงพัดลมตัวนั้นขึ้นตั้งอย่างอ่อนโยน ทำเสียงสะอึกสะอื้นค่อย ๆ กดปุ่มเปิด ครั้นเห็นว่ามันใช้งานไม่ได้อีกต่อไปแล้ว วิริยะหันหน้าโกรธมายังเขา ด่าทางสายตาที่เขาทำพัดลมพัง ราวเป็นฆาตรกรจริง ๆ เสียอย่างนั้น

“ออกไปเลย!”

เชษฐ์ไชยชะงัก ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าไล่เขา “ว่าไงนะ…”

“บอกให้ออกไปไง!” แววตาของวิริยะแสดงออกมาว่ากำลังโกรธเขาจริง ๆ

เด็กหนุ่มลุกขึ้นมาผลักไล่ ต้อนให้เชษฐ์ไชยถอยกรูดก้าวเดินออกไปจากห้อง ใบหน้าโกรธขึ้งประสมคราบน้ำตานั้นเป็นภาพสุดท้ายก่อนที่ประตูจะปิดฉับตามแรงอารมณ์ จากที่เป็นฝ่ายโกรธ ทำเอาเชษฐ์ไชยนิ่งไป แล้วฉุกคิดว่าตัวเองกำลังถูกโกรธเข้าแล้ว แถมยังเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะโกรธกันด้วย คิดแล้วชายหนุ่มก็ยังคงยืนงงอยู่หน้าประตูนั้น ฟังเสียงร้องไห้ระงมของวิริยะอย่างไม่สามารถเข้าถึงใจเด็กบ้านั่นได้เลย

ชายหนุ่มถอนใจ แค่พัดลมพัง ต้องเล่นใหญ่รัชดาลัยขนาดนี้เลยหรือเนี่ย!

 

อาจเป็นเพราะความเหนื่อยล้าจากการทำงาน วิริยะรู้สึกตัวตื่นช่วงตีห้าเพราะนอนเร็ว จากเมื่อวานไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอะไร ตื่นมาคราวนี้วิริยะร้องโอดโอยเพราะปวดเมื่อยตามร่างกายไปทุกส่วน โดยเฉพาะช่วงบ่าและดวงตาที่บวมฉึ่งเพราะร้องไห้

คิดแล้วก็พาลโกรธเชษฐ์ไชยที่ทำลายแหล่งความสุขหนึ่งเดียวของเขาทิ้งไป เด็กหนุ่มยกมือเกาแขนขาที่มีแต่รอยยุงกัดแล้วมุ่ยหน้า ถึงไม่รู้สึกตัวว่าร้อนเพราะหลับสนิทปานซ้อมตาย แต่ร่างกายเขาอาจเสียเลือดไปแล้วห้าสิบเปอร์เซ็นก็ได้ เป็นเพราะคนไร้เหตุผล คนป่าเถื่อนพรรค์นั้นนั่นแหละ หน้าตาทุเรศแล้วนิสัยยังทุเรศอีก นี่เขาไปเผลอมองว่าหล่อได้ยังไง!

ถึงจะเป็นแฝดกับอัฐษไชยก็เถอะ แต่ต่างกันราวฟ้ากับเหว!

วิริยะเก็บที่นอนอย่างหงุดหงิดเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน อันที่จริงเขาไม่ใช่พวกบ่อน้ำตาตื้น และที่ร้องไห้ก็ไม่ใช่เพราะว่าเสียใจอะไร เขาโกรธจนน้ำตาไหลต่างหาก น้ำตาไหลเพราะไม่มีสิทธิ์แก้ตัวอะไรเลยกับคำกล่าวหา

ครั้นเก็บที่นอนแล้วเสร็จวิริยะก็รีบไปอาบน้ำผลัดเสื้อผ้า ค้นเห็นเสื้อจีนส์แขนยาวตัวละสี่พันของอัศวินหลงมาก็หยิบขึ้นมาสวม หากเพื่อนรักรู้ว่าเขาเอามาใส่ขนปุ๋ยคงได้ไล่เตะจนก้นช้ำแน่ แต่ช่างเถอะ เสื้อของเชษฐ์ไชยที่ใส่เมื่อวานก็ยังไม่แห้งเลย ใส่ไปแค่วันนี้แล้วค่อยเอามาซักเก็บไว้ก็คงไม่เป็นไร คิดแล้ววิริยะก็เปิดประตูออกไปข้างนอก ตกใจเมื่อเห็นคนตัวใหญ่ที่เพิ่งทะเลาะกันเมื่อวานกำลังจะเคาะประตูเรียก

คนตรงหน้าตกใจไม่ต่างอะไรจากวิริยะ เด็กหนุ่มเปลี่ยนสีหน้า แล้วเดินออกไปข้างนอก ปิดประตูลงกลอน รู้สึกว่าเชษฐ์ไชยทำหน้าเหมือนวางตัวไม่ถูก และมองตามร่างกายเขาราวกำลังคิดอะไรอยู่

“แต่งตัวจะไปไหน”

เจ้าของเสียงทุ้มถามฝ่าความเงียบ ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังนั่งมัดเชือกรองเท้า

“ทำไม แปลกใจที่เห็นผมตื่นเช้ารึไง” วิริยะย้อนเสียงเยาะราวกับการเอาชนะคำดูถูกของอีกฝ่ายได้เป็นเรื่องที่สนุกสนาน “ก็แค่ปรับตัววันเดียวเท่านั้นแหละ เห็นไหมว่าผมตื่นไปทำงานทันอยู่แล้ว ไม่ต้องให้ใครมาปลุกหรอก”

“วันนี้วันอาทิตย์”

มือขาวซีดชะงัก แล้วรีบเงยขึ้นมองเชษฐ์ไชยที่ยังคงหน้านิ่ง

“หยุดเหรอ”

คนหน้าหนวดยักไหล่ สีหน้าแสดงออก บอกเด็กหนุ่มว่าสุดท้ายแล้ว ‘กูชนะ’ พร้อมกับความอับอายขายขี้หน้าขั้นสุดของวิริยะ ขณะที่รีบลุกขึ้นยืนเต็มตัวอย่างอัตโนมัติ “แล้วอาเชษฐ์มาทำไม วันนี้วันหยุดนี่”

เชษฐ์ไชยกอดอก “วันนี้หยุดก็จริง แล้วจะหยุดกินข้าวด้วยไหมละ ออกไปช่วยคนงานคนอื่นเตรียมของทำกับข้าวกับปลาด้วย ไม่ใช่นอนกระดิกตีนรอกินของฟรีอย่างเดียว อะไรพอทำได้ก็ทำซะ”

“ขอบคุณที่อุตส่าห์ตื่นตั้งแต่เช้ามาหลอกด่ากันนะครับ จะไปช่วยทำเดี๋ยวนี้แหละ แล้วคราวหน้าไม่ต้องเสียเวลามาเองก็ได้” วิริยะเปิดประตูเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดตัวสีขาวกับกางเกงขาสั้นเท่าเข่าสีครีม หน้าที่ว่าแดงหายแล้วเพราะได้นอนหลับอิ่มเอม จะเหลือก็แต่แก้มที่มีรอยปากยุงมากกว่าห้าตัวนี่แหละ

เด็กหนุ่มออกมาก็ไม่เห็นเชษฐ์ไชยแล้ว อีกฝ่ายอาจไปวิ่งออกกำลังก็ได้ เพราะเมื่อครู่เห็นสวมเสื้อกล้ามและกางเกงวอร์ม ไม่น่าเชื่อว่าจะสักเต็มหลังด้วย เด็กหนุ่มสะบัดภาพเมื่อวานออกแล้วเดินเข้าไปที่ครัวของโรงอาหาร เห็นแม่ต้อยกับหญิงสาวหลายคนกำลังจัดแจงทำอยู่ หนึ่งในนั้นมีส้มอยู่ด้วย หล่อนรีบกวักมือเรียกเด็กหนุ่มทันที

“วิว มานี่”

วิริยะมองหาผู้ชาย ทว่าไม่เห็นใครสักคน ปกติงานพวกนี้เป็นของผู้หญิงนี่ แล้วเหตุใดเชษฐ์ไชยต้องไปตามเขาด้วย เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วแล้วทรุดนั่งลงบนแคร่ตัวเดียวกับส้มที่กำลังซอยผักฉับ ๆ อย่างคล่องแคล่ว หล่อนคงเคยชินกับการตื่นตั้งแต่เช้ากระมัง เพราะตอนนี้หน้าตาดูสดชื่นมาก ไม่มีท่าทางเหมือนคนอดหลับอดนอนอย่างเขา แม้ว่าเมื่อคืนจะนอนหลับเต็มตื่นเหมือนกัน

“เรื่องเมื่อคืนเป็นไงบ้าง” ส้มกระซิบถาม ท่ามกลางเสียงโขลกพริกแกง สับหมูของแม่ครัวคนอื่น

“โดนด่ายับเลย” เด็กหนุ่มหน้ามุ่ย เล่าต่ออีก “แถมเตะพัดลมวิวปลิวว่อน”

“ตายจริง แล้วโดนทำร้ายไหม” ส้มเบิกตาตกใจ เด็กหนุ่มรีบส่ายหน้าตอบเพราะรู้ดีว่าคนอย่างเชษฐ์ไชยไม่ร้ายถึงขนาดทำใครเจ็บตัวเพราะความโกรธ ครั้นเห็นเด็กหนุ่มบอกว่าปลอดภัยส้มยกมือกุมหน้าอก “โล่งใจไปที นึกว่าจะโดนฆ่าหมกห้องไปแล้วนะเนี่ย สงสัยคงเพราะเป็นเด็กของคนรู้จัก นายเชษฐ์เลยไม่กล้าทำอะไร”

วิริยะยิ้มรับ นึกขอบคุณบารมีของเพื่อนรักอย่างอัศวินและอัฐษไชยขึ้นมาทันทีทันใด

“เอ้อ ก็นึกว่าผู้ชายมาช่วยทำกับข้าวด้วย ไปไหนกันหมดครับ”

“อ๋อ…พวกผู้ชายน่ะเหรอ…”

พูดยังไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงฮุยเล่ฮุยกันมาแต่ไกล วิริยะเบิกตา หันไปเห็นเงาของชายฉกรรจ์มากกว่าสิบชีวิต วิ่งถอดเสื้อต่อแถวตามหลังคนที่พวกเขาเพิ่งจะพูดถึง แล้วอดที่จะหัวเราะไม่ได้ “นี่เล่นฝึกทหารกันอยู่เหรอ”

“อย่าดูถูกเชียวนะ ที่คนงานหนุ่ม ๆ ได้หุ่นน่าขยี้ขนาดนั้นได้เพราะนายเชษฐ์ช่วยเทรนให้อย่างดีแหละ”

“ผมว่าเขาวิ่งคนเดียวแล้วเหงาเลยบังคับคนอื่นให้วิ่งเป็นเพื่อนมากกว่า” ที่สำคัญ ฟังจากเจ็ดหนุ่มบอยแบนด์ภูธรพูดแล้ว มีแต่คนขยาดที่ถูกเชษฐ์ไชยบังคับให้ออกกำลังกายกันทั้งนั้น คิดแล้วเด็กหนุ่มก็มุ่ยหน้า นึกโกรธขึ้นมาเสียดื้อ ๆ

“วิว ยกกะละมังผักบุ้งที่แช่น้ำไว้ตรงนั้นมาให้หน่อยเร็ว พี่จะหั่นเอาไปผัด”

“ครับ” แม้จะขานรับดิบดี วิริยะยกของโดยที่รู้สึกว่าร่างกายตัวเองหนักเป็นสองเท่า เผลอร้องโอยต่อหน้าส้มอย่างไม่ได้ตั้งใจ พลอยให้พี่สาวต่างบ้านนึกเป็นห่วง เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเดินลูบกล้ามเนื้อบนบ่าตัวเองหน้ายู่มาทรุดนั่งข้างแล้ว หล่อนจึงสอบถาม “ปวดเมื่อยตัวเหรอ วันแรก ๆ ก็งี้แหละ สองสามวันก็หาย เดี๋ยวทำกับข้าวเสร็จพี่จะพาไปขอยานวดที่ป้าต้อยนะ”

วิริยะยิ้มรับ ยกมือนวดบ่าตัวเอง ขาก็ปวดเพราะเดินทั้งวัน หากได้นวดยาก็คงดีขึ้นมาบ้าง ไม่อยากจะคิดเลยว่าต้องทำงานในขณะที่ร่างกายเป็นอย่างนี้

หลังทำกับข้าวเสร็จก็สว่างแล้ว ส้มพาเด็กหนุ่มเดินไปยังบ้านพักของป้าต้อยเพื่อขอยานวด นางทำหน้าตกใจรีบไปค้นยามายื่นให้ มือก็ลูบจับตัววิริยะด้วยความเป็นห่วง ถามไถ่ว่าไม่เป็นอะไรมากใช่หรือไม่ เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มรับไมตรีแล้วเดินกลับมาที่โรงอาหาร ประจวบเหมาะกับกลุ่มที่ไปวิ่งออกกำลังกายรอบไร่กลับมาถึง ผ่านเขากับส้มและกลุ่มสาว ๆ ที่ทยอยเข้ามาช่วยงาน กลับเข้าไปในหอพักเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาทานมื้อเช้าช่วงเจ็ดโมง จะเหลือก็แต่เชษฐ์ไชยที่วิ่งมาทิศนี้ หยิบเอาขวดเกลือแร่ที่วางทิ้งไว้มายกขึ้นดื่ม

วิริยะบีบยาขึ้นนวดช่วงกล้ามเนื้อไหล่ภายใต้เสื้อพักหนึ่ง แล้วบีบอีกส่วนไปนวดต้นขา

“ตายจริง นั่นรอยยุงกัดเหรอวิว ทำไมมันเยอะอย่างนั้นล่ะ” ส้มถาม

วิริยะก้มลงมองตัวเองอีกที นึกตกใจเหมือนกัน “อ๋อ ครับ”

“ก็โง่นอนให้มันกัดไปสิจะได้ตายไว ๆ” เสียงทุ้มดังขึ้นอยู่ไม่ไกล วิริยะเงยไปสบตานัยน์ตาคมดุเจ้าของคำพูดเมื่อครู่แล้วมุ่นคิ้วบอกว่าไม่ชอบใจ นั่นเพราะใครเล่าทำให้เขาต้องเป็นแบบนี้ คิดแล้วเด็กหนุ่มก็เลือกที่จะไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วย เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายมาหาเรื่องอีกตามเคย ไม่อยากยุ่งด้วยอีกต่อไปแล้ว

“ไปเถอะพี่ส้ม วิวหิวข้าว”

“จะกินเลยเหรอ”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับแล้วเดินหนีออกไปตักอาหาร เมินเชษฐ์ไชยราวกับชายหนุ่มไม่มีตัวตน เป็นอากาศธาตุไป

ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย ขณะทำท่าบิดตัวออกกำลังกาย ตาคมก็มองตามแผ่นหลังแคบนั้นเดินจากไปโดยไม่ยอมพูดด้วย ต่างออกไปจากทุกที แม้จะมีเรื่องไม่พอใจกัน วิริยะจะวิ่งเข้าหาและพยายามคุยด้วยเสมอ ใบหน้าคมเต็มไปด้วยความข้องใจ ฉุกคิดขึ้นมาว่า หรืออีกฝ่ายจะยังโกรธเรื่องเขาทำลายพัดลมตัวนั้นอยู่

ไร้สาระ

เชษฐ์ไชยคิดแล้วส่ายหน้า ยกขวดน้ำดื่มโดยที่ไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาด้วย รู้เพียงว่าเขาไม่สนว่าไอ้เด็กนั่นจะเคืองขุ่นอะไร ก็แค่คนงานตัวเล็ก ๆ ไม่สลักสำคัญ ไม่ได้มีผลแก่ชีวิตของชายหนุ่มแม้แต่นิดเดียว คิดแล้ว นายใหญ่ของอาณาจักรก็เดินกระแทกเท้าดุ่ม ๆ ออกมา

ครั้นมาถึงบ้านและพร่ำบอกว่าตัวเองถูก ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เชษฐ์ไชยก็เหวี่ยงข้าวเหวี่ยงของไปทั่วราวกับคนพาล รู้สึกสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเมื่อยังหวนถึงน้ำตาของเด็กนั่น และสีหน้าที่มองด้วยดวงตาแตกต่างไปจากเดิม

ให้ตายซี เด็กนั่นทำของอะไรใส่เขากัน ชายหนุ่มไม่เข้าใจตัวเองเลย

เขาโกรธจนบ้าเมื่อรู้ว่าวิริยะแสร้งว่ายน้ำไม่เป็น เพราะเขาเชื่อ เป็นห่วงและกลัวจริง ๆ

กลัวว่าเด็กนั่นจะตาย!

สุดท้ายก็เป็นเรื่องโกหก แต่มันกลับเป็นเรื่องโกหกที่เขาดีใจที่สุดในชีวิต!



--๑๐๐--

--------------------------------------------------

แอ่แฮ่ อ่านกันร้อยเปอร์เซ็นต์ทีเดียวเลย สนุกมั้ยคะ ถ้าสนุกอย่าลืมคอมเม้นเป็นกำลังใจคนเขียนนะ จะรออ่านอย่างใจจดใจจ่อ แล้วก็อย่าลืมสนับสนุนนักเขียนตาดำ ๆ คนนี้ด้วยเน้อ เพียงแค่ซับพอร์ทด้วยการเสียเวลาโหวต แชร์ให้สักนิดนึง แค่นี้หนูนาก็ชื่นใจแล้วเด้อ

อาเชษฐ์กับน้องวิวเริ่มมีความน่ารักขึ้นมานิด ๆ แล้ว คู่นี้เขาเป็นแนวพ่อแง่แม่งอน

รับรองว่าฟิน ตลกไปพร้อมกันแน่ ไม่ดราม่าเน้อ

กำลังใจที่ดี ช่วยบอกว่าคุณนักอ่านคิดเห็นอย่างไร

หัวข้อ: Re: **{13.3.61-ตอนที่ ๘--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 13-03-2018 14:54:45
ทำผิดยังไม่รุ้ตัวอีกนะอาเชษฐ์
วิวไม่คุยด้วยแล้ว สมน้ำหน้า
ไปซื้อพัดลมมาคืนเลยน้าา
ถ้าจะให้ดี พาวิวกลับไปนอนที่บ้านเหมือนเดิมเลย  :impress2:
หัวข้อ: Re: **{13.3.61-ตอนที่ ๘--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-03-2018 14:56:13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **{13.3.61-ตอนที่ ๘--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 13-03-2018 19:21:57
สงสารวิว สงสารพี่เขียว
คนอะไรใจร้ายจัง
 :beat:
หัวข้อ: Re: **{13.3.61-ตอนที่ ๘--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 13-03-2018 19:45:11
ใครก็ได้ช่วยพาพี่เขียวไปหาหมอที  :serius2:
หัวข้อ: Re: **{13.3.61-ตอนที่ ๘--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 13-03-2018 20:59:59
ค่อยๆเป็นค่อยๆไปเนอะ ^^
หัวข้อ: Re: **{13.3.61-ตอนที่ ๘--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-03-2018 22:31:12
 o13 เชียนได้น่าอ่านน่าติดตามมากครับ....สนุกมาก.. o13



 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: **{14.3.61-ตอนที่ ๙--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 14-03-2018 11:18:33


ตอนที่ ๙

สองสามวันมานี้ เชษฐ์ไชยไม่ได้ตามมากวนวิริยะเลย พบเจอกันก็ช่วงออกกำลังกายตอนเช้าตรู่แบบผ่าน ๆ เท่านั้น นั่นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกดี เพราะเบื่อที่จะถูกมองด้วยสายตาจับผิดและรับฟังคำดูถูกต่อว่าสารพัดอย่างของอีกฝ่าย แต่เอาเข้าจริงก็แปลกใจเหมือนกันที่เป็นแบบนี้ มันทำให้รู้สึกว่าเชษฐ์ไชยพยายามตีตัวออกห่างจากเขา ทั้งที่ก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรนัก

แต่ช่างมันเถอะ คนไร้เหตุผลพรรค์นั้น เด็กหนุ่มไม่แคร์

พักหลัง ๆ มานี้วิริยะค่อนข้างใช้เวลากับเจ็ดหนุ่มบอยแบนด์ภูธรมากเป็นพิเศษ ตั้งแต่เช้าจนถึงเวลานอนเลยด้วยซ้ำ เพราะบ่นว่าร้อนอยู่บ่อย ๆ ดำก็เลยชวนเขาไปนอนด้วยกันที่ห้อง ซึ่งตอนแรกเด็กหนุ่มก็เกรงใจอยู่ แต่เพราะเขาขาดพัดลมไม่ได้จึงตัดสินใจไป ครั้นไปถึงทำให้เด็กหนุ่มตะลึงกับที่ฝั่งพักนั้น เป็นเตียงคู่อย่างดี ห้องก็ใหม่เอี่ยมอย่างกับเป็นโรงแรม ผิดจากห้องของเขาที่มีที่นอนแค่ฟูกต่ำ ๆ ฝ้าก็แทบจะหล่นลงมาทับหัว

นั่นยิ่งทำให้วิริยะโมโห เมื่อเห็นว่าห้องฝั่งนี้ยังปิดอยู่ เหลือใช้อีกตั้งสองสามห้อง แต่เชษฐ์ไชยกลับเลือกให้เขาไปนอนอีกฝั่ง เมื่อวัดจากฝีก้าวที่เดินไปห้องน้ำ ที่นี่ไกลกว่าไม่กี่ก้าว เขาอยากย้ายมานอนกับดำอย่างถาวรเลย ให้ช่วยออกค่าน้ำค่าไฟด้วยก็ได้

เชษฐ์ไชยเกลียดอะไรเขานักหนา เมื่อก่อนเขามองคนแบบนี้เป็นคนดีได้ยังไง เรื่องคืนนั้นเขาก็อุตส่าห์หวังดีไม่อยากเอาความเพราะคิดว่าเป็นความผิดพลาด แต่สิ่งแย่ ๆ ที่เชษฐ์ทำตอนนี้วิริยะจะไม่อดทน

“ไป! หาเหล้าแดกกัน ได้เงินละ” หนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นหลังจากได้เงินค่าแรงกันแล้ว วิริยะเดินตามหลังพวกพี่ ๆ ผ่านกลุ่มคนงานคนอื่นเพื่อกลับไปที่หอ ล้างเนื้อล้างตัวผลัดเสื้อผ้าพักผ่อนให้มีแรง ที่จริงสองวันแล้วที่ไม่ได้ใช้แรงงานเฉพาะส่วน เพราะพวกเขาย้ายมาบริเวณถางหญ้าพรวนดินกันแทน ส่วนที่ลำบากหน่อยก็คือฝ่ามือที่จับจอบกับเสียมนี่แหละ ระบมไปหมดแล้ว

วิริยะมองมือสากแดงของตัวเองพลางเดินตามหลังหนุ่ม ๆ ตัวโต เพราะไม่มีถุงมือเหมือนคนอื่นเขา

“ร้อนฉิบหาย ไปอาบน้ำที่น้ำตกกันไหมวันนี้”

“เออ กูก็อยากไป” ทั้งแปดคนเดินผ่านเชษฐ์ไชยที่ยืนกอดอกหน้าเคร่ง ต่างยกมือไหว้กันระนาว เหลือไอ้หนุ่มตัวผอมที่ตอนนี้หน้าแดงก่ำคร้ามเพราะแดดกำลังตั้งอกตั้งใจแกะมือสากลอกของตัวเองไม่สนโลก พลอยให้คนหน้ารกเห็นแล้วขัดตา เอื้อมขาไปเตะดำที่ยืนอยู่ใกล้อย่างต้องการระบายอารมณ์

หนุ่มอีสานงงเป็นไก่ตาแตก ตั้งแต่วันนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองไปทำให้เจ้านายเคืองใจเรื่องอะไร ดำเกาหัวแล้วปล่อยผ่าน หันไปกระตุกวิริยะที่จะเดินชนเสาให้ขยับออก “จะย่างกะย่างให้มันดี ๆ แน เดี๋ยวกะหัวปูดส่ำลูกบักนาว อย่าหาว่าอ้ายบ่เตือนเด้”

วิริยะฉีกยิ้ม “คร้าบอ้าย!”

“เว้าอีสานตาฮักแท้” ดำทำท่าหยอกด้วยการหยิกแก้ม พลอยให้เพื่อนคนอื่นหัวเราะแซวด้วย

“น้องมันอยากเอาใจมึงมากกว่า มึงมันโง่ไง ถูกยอนิดยอหน่อยก็ตามใจไปหมด” เหนือพูดปนหัวเราะ

“บักเหนือ คนแบบกูเขาเอิ้นคนอัธยาศัยดีโว้ย บ่ได้ซั่ว” ดำกอดคอน้องเล็กของกลุ่มแสดงท่าทางดังว่า พลอยให้วิริยะนึกขำและพยักหน้ารับในสิ่งที่พี่ชายต่างภาคบอกด้วย เพราะหากไม่ได้ความใจดีของดำเขาก็คงลำบาก ดำทำดีกับเขาเพราะเป็นคนดีโดยเนื้อแท้

“มื้อนี้สิไปอาบน้ำนำหมู่อ้ายบ่ สิได้กลับมาพร้อมกันโลด”

วิริยะรีบพยักหน้า “ไปครับไป รอผมก่อนนะจะไปเอาเสื้อผ้า”

“คราวนี้วิวอยู่เป็นเด็กเราอย่างเต็มตัวแล้วโว้ย” หนุ่มคนหนึ่งตะโกน แล้วทั้งแปดก็พากันโหวกเหวกคุยกันตามประสาเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ในขณะที่วิริยะก็เพียงหัวเราะสนุกไปกับเหล่าพี่ชายกลุ่มนี้เท่านั้น ครั้นมาถึงห้องพักก็รีบเก็บเสื้อและผ้าเช็ดตัวเตรียมไปอาบน้ำ ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครรัวเข้ามา ฝีเท้าที่มีมากกว่าสองคู่

ไม่นานก็เผยใบหน้าของสามสาว ส้ม กุ้ง และตาชะโงกหน้าเข้ามาหาวิริยะอย่างตื่นเต้น ให้เด็กหนุ่มนึกขึ้นได้ว่าทั้งสามต้องมีเรื่องอะไรขอร้องเขาเป็นแน่ วิริยะแสร้งทำไม่เห็น เก็บข้าวของแล้วเดินออกไปเจอะกับสาวจอมหื่นทั้งสาม

“วิวจ๋า ได้ข่าวว่าเดี๋ยวนี้ไปนอนกับเทพบุตรของพวกเราเหรอ” ส้มทำตาปริบ

“พี่รู้อยู่ตลอด ยังมาแอ๊บอีก”

คนฟังทำยิ้มแย้มเขินอาย “ก็แหม เดี๋ยวนี้เราน่ะ ไม่ค่อยมาเล่นกับพี่เลย”

“พี่ส้มก็ เมื่อเช้ายังทำกับข้าวด้วยกันอยู่เลยนะ” วิริยะกอดอก

“วิวรักพี่ไหม” คนตรงหน้าทำตาแป๋ว พลอยให้วิริยะอึ้งไปช่วงหนึ่งกับมุกนี้ เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยท่าทีไปต่อไม่ถูกเมื่อเห็นสายตาอ้อนของลูกแมวทั้งสาม ไม่นาน โทรศัพท์ของส้มก็ถูกยื่นมาวางบนมือของเขาสีหน้าเว้าวอน “วิวจ๋า ถ่ายเหนือตอนนอนหลับคืนนี้มาให้ดูหน่อยสิ นะ…”

วิริยะเบิกตา “ไม่เอา!”

“นะ รับรองว่าจะเก็บเป็นความลับ”

“พี่จะบ้าเหรอ ผมนอนห้องพี่ดำนะ จะไปแอบถ่ายพี่เหนือได้ยังไง อีกอย่างพี่เหนือตอนนอนโป๊จะตาย ไม่มีทางที่ผมจะยอมถ่ายมาให้แน่ ถ้าพี่เหนือรู้เข้าตัวผมขาดเป็นสองท่อนเพราะโดนเตะชัวร์”

“ถ้าไม่เคยนอนด้วยกันจะรู้ได้ยังไงว่าเหนือแก้ผ้านอน ฮะ…” ส้มย้อนด้วยรอยยิ้มเผล่ สายตาร้ายกาจกว่าเก่า ได้ยินพี่สาวตรงหน้าต้อนแล้ววิริยะขนลุกซู่กับฝีปากของตัวเอง ทั้งสามเป็นสาวที่น่ารักและใจดีมาก เขาคิดเสมอว่าอยากจะตอบแทนที่พวกหล่อนใจดีด้วย แต่ทำอย่างนี้เกินไป คิดแล้ววิริยะก็หน้าจ๋อย

“ก็ได้ แค่รูปเดียวนะ”

“พี่ขอของไทรูปนึงนะ” กุ้งรีบพูดบ้าง

“ของพี่ขอรูปดำ เอาซิกซ์แพ็กส์เน้น ๆ!” ตาทำเสียงซู่ซ่าเมื่อกล่าว “ส่งมาที่ไลน์กลุ่มเลยนะ ตรงนี้น่ะเห็นไหม”

“คร้าบ จะพยายามนะ” เด็กหนุ่มขานรับ สรุปแล้วเขาต้องแอบถ่ายทั้งสามคนจริง ๆ หรือนี่ วิริยะหน้าซีดเป็นไก่ต้มเดินกลับไปยังกลุ่มบอยแบนด์สุดหล่อแห่งภูธรหลังจากปิดล็อกห้อง เอาจริง ๆ ก็นึกตลกท่าทีของพี่สาวทั้งสามยามกระดี๊กระด๊าอยู่หรอก แต่สิ่งที่เขาต้องทำมันดูเหมือนคนโรคจิตยังไงก็ไม่รู้ซี คิดแล้วเด็กหนุ่มก็ได้แต่ส่ายหน้า

 

เชษฐ์ไชยในชุดนอนขายาวกับเสื้อยืดสีเทาเดินออกจากห้องน้ำหลังชำระร่างกายแล้วเสร็จ ในมือถือผ้าขนหนูเช็ดผมพลางมองนาฬิกาบนฝาผนังบ่งบอกว่าตอนนี้ทุ่มกว่าแล้ว เหลือบไปเห็นสร้อยพระเส้นเล็กวางอยู่บนหัวเตียง เป็นของใครสักคนที่ทำหลุดทิ้งไว้เมื่อหลายวันก่อน ซึ่งชายหนุ่มตั้งใจเอาไปคืนให้ตั้งแต่เห็นวันแรก ๆ แต่เจอกันทีไรก็พูดจาไม่ถูกคอกันตลอด เลยไม่มีโอกาสได้คืนสักที

เสียงโทรศัพท์ที่วางทิ้งไว้บนเตียงสั่นครืดบอกว่ามีใครกำลังต้องการคุยสายด้วย ชายหนุ่มทอดถอนใจเมื่อเห็นว่าเจ้าของเบอร์คือน้องชายร่วมท้อง เอื้อมไปกดรับสาย เปิดสปีคเกอร์โฟนพลางเช็ดผมที่เปียกไปพลาง

“ว่าไง จะเร่งให้ฉันออกไปจากไร่อีกรึไง” ชายหนุ่มทำเสียงเย็นชาอย่างเคย

“จะทักทายน้องดี ๆ ไม่ได้เหรอ”

“แบบนี้ไม่ดีตรงไหน จะให้ฉันกราบสวัสดีเลยไหมไอ้คุณอัฐษ์”

ครั้นได้ยินเสียงหัวเราะของอัฐษไชยแล้ว ฝั่งนี้ก็ระบายยิ้มบ้าง

“เออ แบบนั้นก็ดี”

“สรุปนี่โทรมาทำไม ฉันไม่ใช่พวกชอบคุยกับใครผ่านโทรศัพท์นาน ๆ หรอกนะ น่าเบื่อ”

“ฉันแค่จะโทรไปเช็กว่าแกดูแลวิวดีรึเปล่า รึว่าแกล้งจนเด็กกลัวไปหมดแล้ว” น้องชายตอบตามใจตัวเอง พลอยให้คนฟังนิ่งไปเพราะตอนแรกชายหนุ่มก็คิดทำอย่างนั้นจริง ๆ แต่ครั้นเห็นว่าวิริยะพยายามสู้และยืนหยัดอย่างเข้มแข็งด้วยตัวเองตลอด ทำให้เชษฐ์ไชยรู้สึกว่าตัวเองมองเด็กนั่นผิดไป ซึ่งตอนนี้กลายเป็นว่าเขาถูกโกรธแทนเสียได้ ทั้งที่เป็นฝ่ายถูกปฏิเสธและหยามเกียรติความเป็นชายขนาดนี้

เชษฐ์ไชยอึกอัก “ก็…ก็ดี เด็กมันเก่ง”

“ฉันคิดไว้แล้วเชียวว่าคนอย่างวิวไม่มีทางยอมให้แกเล่นง่าย ๆ แน่”

“อย่ามารู้ดี คราวที่แล้วก็ทีนึงแล้วนะ ไอ้น้องเวร” ชายหนุ่มใช้เสียงกึ่งเล่นกึ่งจริง

“แล้วมันจริงอย่างที่ฉันรู้รึเปล่าล่ะ”

คนพี่นิ่งไป “แก…รู้อะไร…”

“ขอฉันคุยกับวิวหน่อยสิ”

“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง!”

คนใจร้อนขึ้นเสียงปนหงุดหงิด แต่น้องชายไม่ได้รู้สึกถึงความน่ากลัวเลยแม้แต่นิด หัวเราะชอบอกชอบใจที่กวนประสาทเชษฐ์ไชยให้หัวหมุนได้ ใครบอกว่าไอ้น้องชายของเขามันดีแสนดี อัฐษไชยน่ะร้ายกาจกว่าที่คนอื่นคิด โดยเฉพาะเรื่องการสรรหาวิธีมากลั่นแกล้งเขา “บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะอัฐษ์ แกรู้อะไรมา”

“ฉันต้องการคุยกับวิว แล้วค่อยบอก”

เชษฐ์ไชยขบฟันราวอยากจะร้องตะโกนใส่คนในสายอย่างถูกขัดใจ ชายหนุ่มยกมือขึ้นเหวี่ยงฟาดใส่อากาศสองสามทีด้วยความหงุดหงิด ตอบเสียงธรรมชาติที่สุดกลับไปอย่างใจเย็นว่า “เด็กมันคงอยากจะพัก ทำงานมาทั้งวันแล้ว”

“เชษฐ์ ออกไปหาวิวเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงของอัฐษไชยเยือกเย็นขึ้นจนพี่ชายสัมผัสได้

“อ๋อ…ได้เลย ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ แต่จะโทรกลับไปทีหลังนะ เผื่อเด็กมันหลับ”

“ห้องใกล้กันแค่นี้ เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้วนี่ ไม่ต้องวาง ฉันรอได้” ดูเหมือนอัฐษไชยจะรู้ทัน

“ฮะ อะไรนะ แถวนี้สัญญาณไม่ค่อยดีเลย เดี๋ยวโทรไปใหม่นะ…” มือยาวยื่นโทรศัพท์ออกห่างไปเรื่อย ๆ แสร้งทำให้เสมือนจริงที่สุด

แม้น้ำเสียงจะฟังเหมือนใจเย็นไม่มีอะไรแอบแฝง แต่ครั้นกดปุ่มวางสาย หนุ่มหน้ากอริลล่าก็ใช้เกียร์ที่เร็วที่สุดวิ่งลงไปข้างล่าง กระโดดขึ้นนั่งบนรถคู่ใจ ขับบึ่งไปยังหอพักด้วยความรวดเร็วที่สุดเพราะกลัวว่าน้องชายจะรู้ว่าเขาแกล้งหลานเพื่อน ครั้นไปถึงชายหนุ่มก็วิ่งไปยังห้องพักของวิริยะ ท่ามกลางเสียงโทรศัพท์ที่ดังสั่นเตือนว่าอัฐษไชยกำลังโทรมาอีกรอบหนึ่ง

หากทว่าเมื่อไปถึง เชษฐ์ไชยก็แปลกใจที่วิริยะปิดไฟนอนตั้งแต่หัววัน ห้องปิดสนิทราวกับไม่มีคนอยู่ ทั้งที่เพื่อนร่วมหอคนอื่นยังนั่งเล่นกันอยู่หน้าที่พัก ชายหนุ่มถอนใจหอบเหนื่อยรอให้ตนเองเป็นปกติก่อนแล้วค่อยจะเคาะประตู หากทว่าคนงานข้างห้องเด็กหนุ่มก็เอ่ยถามขึ้นว่า “นายเชษฐ์จะมาหาวิวเหรอคะ”

ชายหนุ่มหันไปมองก่อนจะพยักหน้าตอบ “ใช่ พอดีมีธุระนิดหน่อย”

“วิวไม่อยู่ค่ะ”

“ไปไหน!” คนถามมุ่นคิ้วสงสัย ค่ำมืดดึกดื่นปานนี้แล้วทำไมยังไม่ยอมกลับห้องอีก หรือจะอยู่กับกลุ่มไอ้พวกแสบนั่นแล้วปลีกตัวออกมายังไม่ได้ หรือไปกินเหล้า ถูกบังคับให้ดื่มจนเมาหาทางกลับห้องไม่เจอ

“อ๋อ เห็นว่าไปนอนห้องไอ้ดำน่ะค่ะ”

คนฟังหน้าตึงขึ้นมาอีกระดับ “ไปได้ยังไง! ทำไมไม่นอนห้องของตัวเอง!”

“เห็นว่าที่ห้องไม่มีมุ้ง ไม่มีพัดลม ก็เลยไปนอนกับไอ้ดำก่อนน่ะค่ะ ไปได้สองสามวันแล้ว” ไม่รู้เป็นเพราะโกรธที่วิริยะทิ้งห้องตัวเองไปหรืออะไร เชษฐ์ไชยหน้าร้อนวูบวาบใจเต้นตึกตัก เขาก็นึกว่าถูกบังคับล่อลวงให้อยู่จนกลับมาไม่ได้ แต่นี่เต็มใจไปนอนกับไอ้พวกนั้นเองอย่างนั้นหรือ คิดแล้วนายใหญ่ของไร่ก็เดินกระแทกเท้าดุ่มไปยังฝั่งที่พักของผู้ชาย ไม่สนเสียงโทรศัพท์ที่กรีดร้องลั่นในมือ

ท่ามกลางสายตาหวาดระแวงของคนงานที่บอก นางไม่รู้ว่าตนเองทำถูกหรือเปล่าที่เล่าให้เจ้านายฟัง แต่เมื่อเห็นรังสีจิตสังหารของเชษฐ์ไชยหลังได้ฟังแล้วนั้น เริ่มรู้สึกสงสารวิริยะขึ้นมาแล้ว กลัวว่าจะถูกเล่นงานเข้า ทั้งที่นางหวังดีคิดว่าเชษฐ์ไชยจะหาของที่ขาดมาเติมให้คนงานอย่างเช่นทุกครั้ง

 --๕๐--

หัวข้อ: Re: **{14.3.61-ตอนที่ ๙--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 14-03-2018 11:21:30

(ต่อ)

ในขณะที่เจ็ดหนุ่มกำลังสนุกสนานกับการตั้งวงดื่มสี่สิบดีกรีกันนั้น วิริยะนอนเล่นเกมที่ส้มโหลดไว้ไปพลาง เหลือบมองว่าทุกคนจะหยุดกันเมื่อไรไปพลาง แต่ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่ได้ตั้งใจกินให้เมาเหมือนช่วงวันหยุดเพราะรู้ว่ามีงาน แค่จิบแล้วก็เล่นกีตาร์ ร้องเพลงกันไปด้วยเท่านั้น

วิริยะเพิ่งรู้ว่าดำร้องเพลงเพราะมาก โดยเฉพาะเพลงที่ต้องใช้ลูกเอื้อนมาก ๆ อย่างเพลงลูกทุ่งแนวอีสาน

เขาแอบอัดคลิปตอนดำดีดกีตาร์ร้องเพลงแล้วส่งไปให้พี่สาวทั้งสามดูเป็นการเรียกน้ำย่อยก่อน เพราะไม่รู้ว่าทุกคนจะเข้านอนเมื่อไร นี่ก็เพียงแค่สองทุ่มเท่านั้นเอง จากนั้นข้อความก็เด้งเข้ามา กรี๊ดกร๊าดกันยกใหญ่ราวกับเห็นพี่ชายจากอีสานของวิริยะเป็นดาราใหญ่ เด็กหนุ่มเห็นแล้วเพียงแค่หัวเราะคิกคักชอบใจ

แม้ว่าห้องฝั่งนี้จะกว้าง แต่การเอาผู้ชายร่างใหญ่ทั้งเจ็ดคนมาอัดรวมในห้องเดียวกันมันก็ยุ่งยากไปนิด ดังนั้นไม่แปลกที่วิริยะจะเห็นสองหนุ่มรุ่นพี่นั่งอยู่บนตักกันในวงเหล้าที่มีโต๊ะเก้าอี้จำกัด สำหรับพวกเขาถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะเขากับกลุ่มเพื่อนมักทำเช่นนี้เหมือนกัน แต่ครั้นสาว ๆ เห็นแล้วก็พากันหวีดเสียยกใหญ่ เมื่อวิริยะส่ายกล้องไปให้เห็นบรรยากาศยามพี่ชายทั้งหมดอยู่ด้วยกัน

“ทำไรอะวิว” หนุ่มคนหนึ่งหันหน้ามาถาม

เด็กหนุ่มรีบผละมือจากโทรศัพท์ “อ๋อ หาสัญญาณอะพี่ ไม่มีอะไร”

“ในนี้ก็มีสัญญาณปกตินี่หว่า โทรศัพท์ไม่ดี สงสัยต้องซื้อใหม่แล้วมั้ง”

หมอกปัดหัวคนถาม “ทำไม มึงจะเปย์น้องเหรอ”

“เปย์…คือไรวะ”

“ไอ้ห่า ก็คือมึงจะจ่ายให้น้องมันเหรอ”

“ใครบอกมึง กูแค่แซวมัน มึงดูหน้ากูซิ หน้ากูมันคนจนเว้ย!” พูดจบก็ล็อกคอหมอกหยอกเย้ากันไปด้วย พลอยให้วิริยะนึกถึงอัศวินขึ้นมาทันใด ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มก็เล่นกับเพื่อนรักอย่างนี้ แต่หลังจากนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ทั้งสองจะไม่ได้เจอกันอีกตั้งนาน แต่ในขณะที่ทั้งหมดกำลังสนุกกับการร้องเพลงกันนั้น เสียงเคาะประตูดังปังราวคนไม่สบอารมณ์ก็เกิดขึ้น ทำเอาวิริยะลืมความเศร้าเมื่อครู่ที่ผุดขึ้นไปในบัดดล

“เปิดประตู กูรู้พวกมึงอยู่ข้างใน!”

“เฮ้ย! เสียงนายเชษฐ์” หมอกร้องขึ้น

“ฉิบหาย แยกวง!” ดูเหมือนเมื่อทั้งเจ็ดหนุ่มรู้ว่าใครมาแล้ว สถานการณ์ราวกับวัยรุ่นลักลอบทำเรื่องผิดกฎหมายแล้วมีตำรวจมาทลายรัง วิ่งกันจ้าละหวั่นไปหมดทั้งที่ห้องก็ไม่ได้กว้างขนาดนั้น วิริยะตกใจ เมื่อดำมุดเข้ามาอยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกันแสร้งนอนหลับหนีเพื่อนคนอื่น

“ไอ้ห่าดำ!”

เมื่อเห็นว่าเจ้าของห้องตัดช่องน้อยแต่พอตัวแล้ว ต่างคนต่างพากันหาที่ซ่อนราวกับเป็นพวกอาชญากรผิดกฎหมาย พลอยทำให้วิริยะตกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องหวาดกลัวเชษฐ์ไชยกันขนาดนี้ด้วย

“กูบอกให้พวกมึงเปิดประตู!”

เสียงจากยมทูตชัด ๆ นี่!

“ทำไมวันนี้นายเชษฐ์มาได้วะ ใครบอก”

“กูบ่ฮุ้! ไปเปิดประตูสิวะ”

ดำร้องทั้งมุดตัวอยู่ในผ้าห่มที่เด็กหนุ่มนอน ท้ายที่สุดเมื่อเสียงเคาะเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนั้น หนุ่ม ๆ ทั้งหลายรู้ว่าเจ้านายข้างนอกได้เพิ่มดีกรีความโกรธไปอีกขั้น หากช้ากว่านี้ได้จมกองเท้าแน่ หมอกจึงตัดสินใจวิ่งไปเปิดประตูรับหน้าแทนเพื่อน ๆ ที่ต่างไปหลบอยู่ใต้เตียง ในตู้เสื้อผ้า และแกล้งตายอยู่บนพื้นด้วยก็มี ซึ่งก็โชคร้ายหน่อย โดนเชษฐ์ไชยเดินเข้ามาเหยียบกลางลำตัวจนจุก ทว่าคนหน้าโหดตรงดิ่งไปกระชากดึงวิริยะที่นอนเรียงกับพี่ ๆ อีกสองคนออก โดยมิได้เอาเรื่องอะไรใครที่เหลือเลย เรียกได้ว่าทุกคนเป็นอากาศธาตุไปแล้ว

“อาเชษฐ์!” วิริยะงุนงง

“ออกไปคุยกันข้างนอก”

“ช้า ๆ หน่อยสิผมตามไม่ทัน” ดำชะโงกหัวมองตามเด็กหนุ่มที่ถูกดึงให้เดินตามหลังไปแล้วนึกแปลกใจ ไม่ต่างจากเพื่อนคนอื่นที่รอดชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเป็นกังวลและห่วงว่าวิริยะจะโดนจัดการเรื่องอะไร เพราะที่ผ่านมาเชษฐ์ไชยก็คอยหาเรื่องเด็กคนนี้มาโดยตลอด หนำซ้ำวันนี้นายใหญ่ของไร่ก็ดูเหมือนจะหงุดหงิดกว่าทุกวันด้วย

หน้าเชษฐ์ไชยตอนก้มลงมากระชากดึงให้วิริยะลุกขึ้นนั้นยังล่องลอยอยู่ในหัวดำ โคตรน่ากลัว

“อาเชษฐ์หยุด อาเชษฐ์!”

วิริยะขมวดคิ้วมุ่นขณะพูดเสียงดัง เขาถูกพาออกไปมาถึงต้นไม้ใหญ่บริเวณลานกว้างของหอ เด็กหนุ่มกระตุกมือกลับด้วยความไม่เข้าใจว่าเชษฐ์ไชยต้องการอะไร จู่ ๆ ก็บุกไปแล้วบังคับใช้กำลังให้เขาเดินตามมา

“อาเชษฐ์มีธุระอะไร” คนถามกอดอก ไม่ยอมให้คนตัวโตกว่าจูงพาเดินต่อไป

เชษฐ์ไชยหันมาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ทำไมมานอนที่นี่”

คนฟังพยักหน้าเข้าใจสถานการณ์ “อ๋อ ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง”

“ฉันถามก็ตอบสิ!” ดูเหมือนคนตรงหน้าเด็กหนุ่มจะกำลังโมโห

“พี่ดำชวนมาผมก็มาน่ะสิ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธสักหน่อย”

“แล้วห้องของตัวเองก็มีทำไมไม่นอน”

“ก็ห้องพี่ดำดีกว่า พัดลมก็ตัวใหญ่ ที่นอนก็นุ่ม แถมมีเพื่อนคุยเยอะแยะ” วิริยะตอบตามความจริงทั้งสบตาคนอารมณ์ร้อนตรงหน้า นึกเจ็บหนึบตรงข้อมือที่ถูกบังคับกุมจับเมื่อครู่นิดหน่อย พลอยให้รู้สึกขุ่นใจที่ถูกกระทำอย่างไร้เหตุผลด้วย ประสมกับเรื่องเก่า ๆ ที่ประสบ ทำให้เริ่มไม่อยากคุยกับคนตรงหน้าแล้ว

“กลับไปนอนที่ห้องของตัวเองเดี๋ยวนี้” เชษฐ์ไชยออกคำสั่ง

“ไม่ไป…”

“วิว!”

“ก็มันเป็นสิทธิ์ของผม อาเชษฐ์มีสิทธิ์อะไรมาออกคำสั่ง สรุปเป็นเจ้านายหรือเป็นเจ้าชีวิตครับ” เด็กหนุ่มทำหน้ามึนคุยด้วยราวไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เห็นเชษฐ์ไชยขบกรามพ่นลมหายใจฟืดฟาดแล้วนึกหวั่นนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดรุ่นพี่ที่เป็นกันเมื่อครู่

คนหน้าหนวดยกนิ้วชี้ชี้หน้า “ปากก็บอกว่าอยู่ได้ ที่แท้ก็ติดสบายเหมือนเดิมนั่นแหละ”

วิริยะชะงัก เปลี่ยนสีหน้ามาเป็นบึ้งบูด และเสียความรู้สึกเมื่อนึกขึ้นมาได้ “อ๋อ…พอผมพูดแบบนั้น เลยเป็นโอกาสให้อาเชษฐ์แกล้งอะไรก็ได้เพื่อความสะใจใช่ไหม คิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าห้องดี ๆ เหลือตั้งเยอะแยะแต่คุณเลือกห้องนั้นให้ ถ้าแบบนั้นทำให้คุณรู้สึกสนุก ก็ได้! กลับไปนอนตากยุงที่ห้องก็ได้ แบบนี้ก็คงพอใจอาเชษฐ์แล้วแหละ”

คนฟังนิ่งไป

“วิว…”

เชษฐ์ไชยอึ้งจนพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำพูดตรง ๆ ประสมสีหน้าผิดหวังของวิริยะ ทำได้เพียงมองตามแผ่นหลังแคบนั้นขณะที่วิริยะเดินไปอีกฝั่งเพื่อกลับห้องพักอย่างที่พูด มือใหญ่เขกกะโหลกหนา ๆ ของตัวเองสองสามทีอย่างนึกหงุดหงิด อยากจะบอกว่าเขาไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อยแต่ก็สรรหาคำพูดมาแก้ตัวไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้ชายหนุ่มคิดแกล้งวิริยะจริง ๆ

ชายหนุ่มรีบเดินตามหลังวิริยะไปจนถึงหน้าห้องพัก ดีหน่อยที่คนงานคนอื่นเข้าไปพักด้านในกันแล้ว

“เดี๋ยวก่อน” คนตัวโตกว่าเรียกให้วิริยะหยุด ซึ่งเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ขัดคำสั่งของเชษฐ์ไชย หันกลับไปหาด้วยความใคร่ทราบว่ายังมีธุระอะไรอีก นอกจากแวะมาด่าเขา

เชษฐ์ไชยจึงกดต่อสายไปยังอัฐษไชยแล้วยื่นให้ พูดด้วยน้ำเสียงใจเย็นราวกับเมื่อครู่ไม่ได้ปะทะอารมณ์กันมา “ไอ้อัฐษ์มันเป็นห่วง อยากคุยด้วย”

ทั้งที่ไม่อยากพูดดีกับคนตรงหน้า วิริยะก็จำต้องทำเพราะอยากให้อัฐษไชยสบายใจ เด็กหนุ่มเมินสายตาของเชษฐ์ไชยไปแล้วรับมาถืออย่างไม่เกี่ยงงอน ซึ่งดูเหมือนคนหน้ากอริลล่าตรงหน้าจะรู้ตัวว่าถูกโกรธกับสิ่งที่ก่อ ไหนจะเรื่องเดิมที่ยังไม่ทันได้เคลียร์อีก “เข้าไปคุยข้างในก็ได้ ตรงนี้ยุงมันเยอะ”

“ข้างในก็มีเหมือนกันนั่นแหละ ไม่ต่างจากข้างนอกหรอก” คนตอบมุ่นคิ้ว ยิ่งเป็นการย้ำความผิดของเชษฐ์ไชยไปอีก

ดูเหมือนเชษฐ์ไชยจะมีเรื่องพูดกับวิริยะอีก ทว่าเด็กหนุ่มหันมาพูดกับอัฐษไชยเมื่อปลายสายกดรับแทน อันที่จริงคืออยากให้คนหน้าหนวดรู้ว่าตอนนี้หรือตอนไหนก็ไม่อยากพูดด้วยอีกต่อไปแล้ว ซึ่งการกระทำแบบนี้อาจไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายลำบากอะไรนัก นอกจากรู้ตัวแล้วต่างคนต่างอยู่สักที เลิกมาแกล้ง เลิกมาวุ่นวายวิริยะได้แล้ว

ดูเหมือนในขณะที่วิริยะกำลังตอบคำถามไถ่อย่างเป็นห่วงของอัฐษไชยอยู่นั้น เชษฐ์ไชยคงเดินแยกไปที่ไหนสักที่ เมื่อหันกลับมาเด็กหนุ่มก็ไม่เห็นแล้ว แต่วิริยะไม่ได้ใส่ใจ บอกกับคนในสายว่าเขาสบายดีและไม่ต้องห่วงว่าจะลำบากอะไร ที่นี่มีแต่คนน่ารักทั้งนั้น ซึ่งเมื่ออัฐษไชยวางใจและหายเป็นห่วงแล้วทั้งสองก็วางสายลง พร้อมกับนายใหญ่ของไร่เดินหน้าเรียบกลับมา ในมือถือถุงอะไรสักอย่างมาหยุดตรงหน้าวิริยะ

เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว เมื่อคนตรงหน้ายื่นของในมือให้เขาพร้อมกับถาม “ไอ้อัฐษ์ว่ายังไงบ้าง”

วิริยะรับของมาถือ เปิดดูเป็นมุ้งสีฟ้าอันใหม่ยังไม่ทันแกะจากถุงแพ็ค เด็กหนุ่มยังคงหน้าบึ้ง ถึงจะทำแบบนี้แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรู้สึกดีด้วยหรอก “ไม่ต้องกลัวว่าผมจะฟ้องอาอัฐษ์หรอกว่าอาเชษฐ์แกล้งยังไงบ้าง ผมไม่พูดอะไรทั้งนั้นแหละ”

เชษฐ์ไชยเริ่มหัวเสีย “อย่ามาหาเรื่องฉันนะ”

“พูดความจริงมันผิดตรงไหนครับ ขอเถอะ คราวนี้ต่างคนต่างอยู่ไปเลยนะ อย่างที่อาเชษฐ์พูดไง” มือเล็ก ๆ เอื้อมเอาโทรศัพท์มาวางบนฝ่ามือของเชษฐ์ไชยหนัก ๆ ประกอบด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นั้นทำให้ชายหนุ่มพูดไม่ออกไปอีกสักพัก ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมไม่โวยวาย ไม่เสียงดังบังคับให้วิริยะเชื่อฟังอย่างที่ทำกับคนงานคนอื่น

ทำได้เพียงมองตามเด็กตรงหน้าเดินตึงตังเข้าไปข้างใน

มือใหญ่ขยี้ขยำหัวตัวเองอยู่สองสามนาทีอย่างหงุดหงิดไม่ได้ดังใจ ทำไมหัวร้อนปากหมาไม่เข้าเรื่อง ทำไมไม่รู้จักควบคุมอารมณ์เอาเสียเลย มันไม่ใช่ความผิดของวิริยะสักนิด แต่แค่ได้ยินว่าเด็กหนุ่มไปนอนที่ห้องคนอื่นก็ทำให้เขาโมโหจนลืมคิดไตร่ตรองอะไรหลายอย่าง ทำผิดอีกรอบอย่างช่วยไม่ได้

เชษฐ์ไชยไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจเลยว่าเขาเดือดร้อนอะไรเมื่อวิริยะไม่อยากพูดด้วย ไม่อยากมองหน้า และทำท่าทางรังเกียจเขา เขาอาจกำลังจะบ้าไปแล้วก็ได้ เมื่อคิดว่าไม่อาจปล่อยให้มันเป็นแบบนี้อีกต่อไป ต้องการที่จะทำให้วิริยะคนเดิมกลับมาทุกวิถีทาง

การหายหน้าไป ไม่เข้าไร่ไปเจอวิริยะกลับทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก

 

ร้อนโว้ย!

วิริยะร้องตะโกนในใจอย่างนึกหงุดหงิด พลิกซ้ายขวาเพราะไม่สบายเนื้อสบายตัวบนฟูกผืนบาง พลันใบหน้าเอาแต่ใจของคนคลั่งอำนาจราวกอริลล่าตัวผู้ผุดขึ้นมาแล้วยิ่งนึกหงุดหงิดไปกันใหญ่ พูดออกมาได้ว่าเขาไม่รู้จักอดทน ให้เขาอดทนกับการถูกเจ้าตัวแกล้งไปตลอดใครมันจะไปทนไหว เขาไม่ใช่พวกซาดิสม์สักหน่อย

แล้วนี่อะไร ไปเอามุ้งมาให้แล้วไม่เอาพัดลมมาด้วย คิดว่าห้องผีสิงเก่า ๆ นี่จะมีลมพัดเข้าออกสะดวกอย่างนั้นหรือ ตัวเองนอนอยู่ในห้องใหญ่ เปิดแอร์เย็นสบาย ไม่ได้สัมผัสกับตัวเองแล้วยังกล้ามาดูถูกคนอื่นอีก คิดแล้วก็อารมณ์ขึ้น

ไหนจะเสียงของกลุ่มรุ่นพี่ที่เพิ่งถูกทลายแหล่งกบดานอีก เป็นชั่วโมงแล้วยังไม่หยุดออกกำลังกาย พวกดำคงถูกเชษฐ์ไชยทำโทษให้วิ่งรอบไร่กันแน่ คนดี ๆ ที่ไหนจะมาวิ่งออกฝึกทหารกันดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ แถมเสียงของเชษฐ์ไชยตอนตะโกนสั่งก็ดังไปทั้งหอ

“สงสัยยังไม่เหนื่อยพอ กลางค่ำกลางคืนไม่หลับไม่นอนกันดีนัก!”

สรุปเป็นเจ้านายหรือเป็นครูกันแน่ วิริยะมุ่นคิ้วแล้วเอาหมอนอุดหู หลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ รู้เพียงว่ารู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีเพราะเหงื่อเต็มตัวในช่วงตีสี่กว่า เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ แต่ตัดสินใจเก็บที่นอนแล้วออกไปอาบน้ำคลายร้อน เห็นว่าคนงานคนอื่นเริ่มตื่นกันแล้วจึงเอาโทรศัพท์ไปคืนส้ม เดินตามคนงานชายไปช่วยเก็บผักที่สวน ตรงข้ามกับบ้านหลังใหญ่ที่เคยมาพักก่อนหน้านี้

บ้านตรงหน้าก็เปิดไฟแล้ว เห็นเชษฐ์ไชยเดินออกมาด้านนอกเพื่อดูคนงาน ดูเหมือนทุกวันจะเป็นแบบนี้ตลอด ตื่นแต่เช้ามาสูดอากาศและออกกำลังกาย แต่วันนี้คงแปลกที่วิริยะตื่นเร็วกว่าทุกวัน เมื่อรู้ว่าคนตัวโตเห็นเขาแล้ววิริยะเปลี่ยนมาก้มหน้าก้มตาเก็บผักใส่ตะกร้าอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วยกเดินหนีกลับมาที่โรงครัว เอามาวางเรียงไว้กับผักชนิดอื่น ๆ ที่วางอยู่ก่อนหน้า

“ทำไมวันนี้ตื่นตั้งแต่เช้าละคะ ทำไมไม่นอนเสียให้พอ” แม่ต้อยถามขึ้น

วิริยะยกยิ้ม “นอนไม่หลับครับ”

“มีเรื่องอะไรรึเปล่าคะ บอกฉันได้นะคะ”

เด็กหนุ่มส่ายหน้าด้วยสีหน้าเป็นปกติ “เปล่าครับ ก็แค่เมื่อคืนอากาศร้อนอบอ้าวนิดหน่อย ผมเลยตื่นเร็ว”

“อ้อ นึกว่าทะเลาะอะไรกับนายเชษฐ์เสียอีก” แม่ต้อยกุมหน้าอกโล่งใจ แต่วิริยะหน้าเสียไปเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าของแม่ต้อย มองนางเล่าปนยิ้มให้ฟังว่า “เมื่อคืนนายเชษฐ์เดินหน้ายุ่งมาขอมุ้ง บอกจะเอาไปให้น้องวิว ก็นึกว่ามีปัญหาอะไรกัน แล้วนายเชษฐ์ไม่ได้บอกเหรอคะว่าขาดเหลืออะไรให้เดินมาขอที่บ้านฉันได้เลย”

วิริยะส่ายหน้าอย่างนึกอารมณ์เสียอีกที “ไม่ครับ ไม่ได้บอกอะไรเลย”

“ถ้าอยากได้อะไรบอกฉันได้นะคะ”

“งั้น ป้าต้อยพอจะมีพัดลมเหลือใช้สักตัวไหมครับ”

นางทำหน้าเสียดาย “ขอโทษนะคะ แต่พัดลมไม่มีเหลือเลยค่ะ เดี๋ยวฉันจะลองถามคนงานคนอื่นดูให้นะคะ”

“ขอบคุณครับ” วิริยะทำหน้าละห้อย เดินกลับไปหากลุ่มของส้มที่กำลังช่วยกันหั่นผักและพูดคุยกันไปด้วย

เวลางานเดินมาถึงอย่างรวดเร็วและเชื่องช้าไปพร้อมกัน วิริยะชาชินกับความร้อนอบอ้าวของอากาศตอนกลางวัน เด็กหนุ่มได้รับถุงมือผ้าต่อจากดำ ช่วยให้ทำงานสบายขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน กระทั่งถึงเวลาพักเบรกช่วงบ่ายที่อากาศร้อนมากของวัน ทุกคนเดินไปทรุดนั่งดื่มน้ำข้างวิริยะที่ยังคงขะมักเขม้นถางหญ้าออกจากโคนต้นไม้สองต้นสุดท้ายของแถว วิริยะเหงื่อซกอาบมาถึงคาง หน้าแดงไปทั้งหน้าจนคนมองอยู่ต้องบอกให้พัก

“วิว มาพักก่อน หน้าเราดูไม่ไหวแล้วน่ะ” ไทร้องบอกพลางถอดเสื้ออวดหุ่น

“เดี๋ยวก่อนพี่ ใกล้จะเสร็จแล้ว”

“ถึงเวลาพักก็ควรพัก อย่าหักโหมเดี๋ยวไม่สบาย”

“ผมแข็งแรงจะตาย” วิริยะหันไปยิ้มให้พี่ ๆ ที่นั่งดื่มเกลือแร่กันคนละขวดอยู่ไม่ไกล บ้างก็ส่งเสียงเชียร์ บ้างก็ห้ามปราม หากทว่าตากลมผละไปเห็นเชษฐ์ไชยเดินถือขวดน้ำแร่ที่เหลือเข้ามา เด็กหนุ่มวางเสียมในมือลงแล้วผุดลุกขึ้นจากพื้น “เออ ไม่ควรหักโหมจริง ๆ แหละพี่ ขยันไปก็ไม่ได้เงินเพิ่ม ไม่ใช่ไร่ของผมสักหน่อย”

“โห่วววว! ปากเก่งจริง น้องใครวะ”

“น้องกู ๆ” ดำยืดอกภาคภูมิใจ มองวิริยะเดินยิ้มแป้นเข้าไปหา

“น้องมึงใช่มั้ย งั้นมารับตีนกูแทนน้องมึงหน่อยสิ”

“อุ่ย! นายเซษฐ์” ดำสะดุ้ง

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ” เมื่อเห็นดำหน้าหงอตกใจเพราะไม่รู้ว่าเชษฐ์ไชยเดินมา เพื่อนทุกคนหัวเราะชอบใจไม่เว้นแม้กระทั่งวิริยะด้วย เด็กหนุ่มรับเกลือแร่ที่เชษฐ์ไชยเอื้อมส่งให้สีหน้าเป็นปกติ แม้ว่าสีหน้าจะดูอิดโรยเพราะทำงานทว่ากลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเมื่ออยู่กับกลุ่มลิงทโมนกลุ่มนี้ แต่ครั้นเจ้าตัวรู้ว่าเชษฐ์ไชยกำลังจะพูดด้วยเท่านั้น หน้าก็บึ้ง แล้วเดินเบี่ยงไปนั่งอีกมุมเสียเฉย ๆ ทั้งที่เมื่อครู่เห็นจะนั่งกับดำแท้ ๆ

เชษฐ์ไชยขบฟันอย่างนึกหงุดหงิด แล้วอย่างนี้จะได้คุยกันเมื่อไร

คนอย่างเขายอมเป็นฝ่ายง้อก่อนไม่รู้หรือว่าโชคดีแค่ไหน!

ชายหนุ่มยกมือเท้าสะเอว เพราะเรื่องแค่นี้ทำให้ความโมโหก่อขึ้นเล็ก ๆ เหลือบไปเห็นดำกำลังยกขวดน้ำเกลือแร่ขึ้นดื่มแล้วขวางหูขวางตา มือหนาฟาดเพียะไปกลางกบาลของมันอย่างต้องการระบายอารมณ์ ทำให้น้ำที่กำลังยกดื่มหกกระเด็นกระดอน พร้อมสีหน้าไม่พอใจของดำ “อั่ก! นายเซษฐ์ แกล้งดำเฮ็ดหยัง!”

เชษฐ์ไชยหน้ายุ่ง อารมณ์เสีย “ขวางหูขวางตา!”

“เอ้า! เบิ่ง…น้ำดำเบิ่ดเลย แล้วดำจะกินอันใด๋”

“พี่ดำเอาของผมไปกินก็ได้ ผมพอแล้ว” เชษฐ์ไชยหันขวับมองเจ้าของเสียง ลมออกหูจนรู้สึกได้

“น้องอ้ายนี่มันตาฮักแท้ ๆ มา!” วิริยะคลี่ยิ้มชอบคำพูดของดำนัก ปิดฝาขวดน้ำที่เหลือครึ่งหนึ่งไปให้ท่ามกลางสีหน้าหงุดหงิดของเจ้านาย เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วมองเชษฐ์ไชยเมื่อเห็นเจ้านายทำท่าฟึดฟัด จะเดินเข้ามาแกล้งดำที่ยกน้ำดื่มอีกที ตากลมจ้องเขม็งจนคนตัวโตรู้แล้วว่าหากหาเรื่องดำอีกทีอาจเรื่องใหญ่มากกว่าแค่ไม่พูดด้วย เชษฐ์ไชยชะงักขาที่ตั้งใจจะถีบมันเพราะความหมั่นไส้ แล้วถอยหลังกลับไป

เขาไม่ได้กลัววิริยะโกรธ แต่แค่ไม่อยากมีปัญหา!

คิดแล้วเชษฐ์ไชยก็ทำหน้านิ่ว มองวิริยะที่ยังคงทำหน้ามึนไม่ยอมคุยด้วย

 

เลิกงานแล้ววิริยะจะรีบกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและพักผ่อน เพราะคิดว่าเมื่อคืนได้นอนน้อยมาก หลังจากรับเงินจากเจ้านายแล้ววิริยะรู้สึกได้ว่าเชษฐ์ไชยเดินตามหลังมา เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้ามากขึ้นไปอีก ซึ่งคนข้างหลังดูเหมือนจะรู้ตัวว่าเขากำลังจะเดินหนีอย่างเคย

“วิว…” เชษฐ์ไชยเรียก ทว่าเด็กหนุ่มทำเป็นไม่ได้ยิน เร่งฝีเท้ามายืนหยุดอยู่หน้าห้องพักเพื่อไขประตูเข้าไปข้างใน กำลังจะเดินเข้าไปแล้วแต่เชษฐ์ไชยกระตุกดึงให้หันกลับไปหาเสียก่อน “อย่ามาทำเมินกันแบบนี้นะ แค่เรื่องนิดเดียวเอง”

วิริยะมุ่นคิ้ว “เรื่องนิดเดียวเหรอ เออ เรื่องนิดเดียวแล้วอาเชษฐ์จะมาสนใจทำไม”

“ก็ดูเธอสิ ทำตัวไม่เห็นเหมือนเมื่อก่อน”

“แล้วทีอาเชษฐ์ล่ะ ฝ่ายอาเชษฐ์ไม่ใช่เหรอที่ทำกับผมก่อนน่ะ”

“ฉันทำอะไร” ชายหนุ่มย้อน

“เฮอะ ไม่รู้เลยสินะว่าทำอะไร นี่ใช่ไหมธาตุแท้ของอาเชษฐ์ คิดดูเอาเอง ตั้งแต่ไอ้อิกกลับไปใครกันแน่ที่เปลี่ยนไป” วิริยะพูดพลางเงยหน้าจ้องตา สีหน้าบ่งบอกว่าเสียความรู้สึกจนเชษฐ์ไชยพูดไม่ออก ทำได้เพียงนิ่งฟังเด็กหนุ่มพูดต่อ “คนก็อุตส่าห์คิดว่าจะเป็นพี่ที่ดี ที่แท้แม่งก็หลอกกันตั้งแต่ครั้งแรก สนุกมากใช่ไหมที่ใช้ผมเป็นตัวตลกคลายเครียดน่ะ ผมก็อุตส่าห์ไม่โกรธ อุตส่าห์ลืมเรื่องนั้นไปแล้ว แล้วยังไง แล้วอาเชษฐ์ยังจะตามมากวนใจอะไรผมอีก”

“ฉันเปล่า” เชษฐ์ไชยปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นว่าวิริยะทำหน้าระอา ชายหนุ่มก็รีบพูด “จริงอยู่ว่าฉันหลอกเธอ ฉันไม่ได้บอกเธอว่าฉันเป็นใคร แต่ฉันไม่ได้เสแสร้งเวลาอยู่กับเธอสักหน่อย และ…” เขายอมรับว่าเขาตั้งใจแกล้งวิริยะจริง ๆ ชายหนุ่มคิดเพราะเริ่มรู้สึกว่าไม่อยากพูด วิริยะอาจโกรธมากขึ้นเมื่อได้ยิน “และเธอเองไม่ใช่รึไงที่คิดเป็นตุเป็นตะว่าฉันเป็นแค่คนสวน ฉันไม่เคยบอกสักหน่อย”

วิริยะมุ่นคิ้ว “ผมไม่สนแล้วว่าคุณจะเป็นใคร ต่างคนต่างอยู่”

“แล้วทำไมต้องโกรธขนาดนี้ด้วยวะ”

“ก็มันเป็นสิทธิ์ของผม” เด็กหนุ่มตอบเสียงกึ่งฉุนกึ่งรำคาญ “ตัวเองโกรธได้คนเดียวรึไง”

“ถ้าโกรธนักก็กลับบ้านไป สภาพไม่น่าจะอยู่ถึงเดือน”

“อาเชษฐ์ไม่ต้องมาไล่ ยังไงผมก็ไม่กลับ ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น” คนอายุน้อยกว่ารีบตอบแล้วหมุนตัวจะเดินเข้าไปในบ้าน เหลือบไปข้างในห้องเจอแขกผู้มาเยือนตัวใหญ่ ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่เห็นตั้งแต่ยังไม่เดินเข้าไป วิริยะอ้าปากค้างใจเต้นตึกตัก จากอารมณ์โกรธแปรเปลี่ยนมาตื่นเต้นดีใจ เมื่อเห็นพัดลมตัวใหญ่หน้ากว้างหลายนิ้วตั้งรออยู่ แม้แต่ถุงที่ครอบก็ยังไม่ได้แกะ

“โอ้มายก้อด!” เด็กหนุ่มเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ามันอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง สำรวจแล้วแกะออกอย่างถนอมมือที่สุดในโลก เมื่อเห็นชัดเจนแล้วทำได้เพียงกระโดดดึ๋งดีใจ ร้องพึมพำอยู่ประโยคเดียวว่า “โอ้มายก้อด โอ้มายก้อด โอ้มายก้อด!”

พัดลมตัวใหม่ไฉไลกว่าเดิมมาก รูปหล่อตัวโตสามารถปกป้องวิริยะไปได้อีกหลายปี หากไม่มีใครเตะมันระบายอารมณ์อีกน่ะนะ เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มพลางลากสายของมันไปเสียบปลั๊กอย่างอารมณ์ดี ลูบคลำความใหม่เงาวับของมันอย่างไม่สนว่าเชษฐ์ไชยจะยืนมองอยู่ “พี่รูปหล่อ พี่รูปหล่อ มาอยู่ด้วยกันเถอะ”

เชษฐ์ไชยมุ่นคิ้ว มองเด็กที่เพิ่งทำหน้าหงุดหงิดเมื่อครู่กำลังบ่นพึมพำกับพัดลมอย่างกับคนบ้าแล้วนึกขัน มองตัวผอม ๆ ของวิริยะก้มลงกดปุ่มของมันเพื่อทดลองงาน เมื่อใบพัดหมุนจนเกิดลมขึ้น เด็กหนุ่มที่เคยขี้หงุดหงิดเมื่อก่อนก็หายไป กระโดดลิงโลดอยู่คนเดียวอย่างไม่อาย

“เหวอ! พายุมา พายุมา ลมแรงเหลือเกิน!”

เด็กหนุ่มหมุนตัวติ้วอย่างชอบใจอยู่พักหนึ่งคงนึกได้ว่ามีชายหนุ่มยืนอยู่ วิริยะหันหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มมาหาเขา คงนึกขึ้นได้ว่าควรขอบใจคนที่ซื้อให้ด้วยกระมัง คิดแล้วคนตัวโตกว่าก็กอดอกทำหน้าเชิดขึ้นรอให้วิริยะที่วิ่งมาหานั้นกล่าวขอบคุณ แต่ทว่าเชษฐ์ไชยคิดผิดไป รอยยิ้มชายหนุ่มหุบลงเมื่อวิริยะวิ่งเลยเขาออกไปข้างนอก

“ป้าต้อย ป้าต้อยยยยย!”

คนหน้าหนวดอ้าปากค้าง มองตามวิริยะอย่างไม่อยากจะเชื่อ อีกฝ่ายดันเข้าใจว่าแม่ต้อยเป็นคนหาไอ้นี่มาให้เสียอย่างนั้น วิ่งตะโกนแหกปากตั้งแต่หน้าห้องออกไปหานางแล้ว ทำราวเชษฐ์ไชยเป็นเพียงอากาศเท่านั้น ชายหนุ่มยกมือขึ้นสางผมตัวเองให้สงบสติลงก่อน อย่าเพิ่งอารมณ์เสีย เห็นวิริยะอารมณ์ดีขึ้นแล้วก็ควรจะพอแค่นี้ เชษฐ์ไชยบอกตัวเอง

เดี๋ยวแม่ต้อยก็บอกเด็กนั่นเองนั่นแหละ ว่าเขาต่างหากที่เป็นคนซื้อและยกมาไว้ที่นี่เองกับมือ!

แต่ช่างมันเถอะ เขาไม่ใช่ประเภททำดีเอาหน้าสักหน่อยนี่…

เขาไม่ได้อยากเห็นสีหน้าของวิริยะตอนดีใจที่รู้ว่าสิ่งนี้เป็นของเขาเลย ไม่เลยสักนิด ไม่มี๊!


--๑๐๐--


-------------------------------------------------------

เมื่อถูกงอนเพราะพัดลม ก็ต้องง้อด้วยพัดลม 55555555

อาเชษฐ์มีความเสียงสูงและอาการจะปิดไม่มิดแล้วนะคะ ไรต์ละเบื่อคนปากแข็ง

อิอิ

ตอนหน้าพอน้องวิวรู้ว่าพัดลมเป็นของใคร สถานการณ์ก็เข้าสู่โหมดปกติ อาจจะสนิทกันขึ้นมาอีกนิดนึงด้วย และความออกนอกหน้าของอาเชษฐ์จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นไปพร้อมกับความน่าสงสารของพี่ดำที่ต้องถูกใช้เป็นเครื่องมือระบายอารมณ์ ซึ่งปัจจุบันนางก็ยังงงว่านางทำอะไรผิดอยู่ 555555

ไหนใครชอบตอนนี้บ้าง คอมเม้นกันหน่อยค่ะ อุตส่าห์มาอัพให้อ่านกันยาว ๆ

ขอโทษที่อัพช้าด้วยเน้อ ปกติอัพถี่เพราะทีละ 50 ไง ตอนนี้อัพแบบจุใจก็ต้องรอหน่อยนะ

ช่วงนี้ไรต์ติดซีรี่ส์ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์มาก นั่งหัวเราะจนกรามค้าง ชอบกอล์ฟกับคิมมากเลย แล้วอยากเขียนนิยายที่มีนายเอกแบบคิมมาก คือตัวใหญ่แต่สาว ใฝ่ฝันว่าอยากได้ผู้ มีใครอยากจะอ่านแนวนี้บ้างมั้ยเอ่ย อิอิ

เจอกันตอนหน้าค่า มีอะไรมาเม้ามอยกันได้นะคะ

กำลังใจที่ดี ช่วยบอกว่าคุณนักอ่านคิดเห็นอย่างไร

1 เม้น ต่อ 1 ตอนนะคะ
หัวข้อ: Re: **{14.3.61-ตอนที่ ๙--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 14-03-2018 11:54:15
อาเชษฐ์ ต่อยดีขึ้นมาหน่อย
ทำผิดละรู้จักง้อ แต่ปากเเข็งจริง
สงสารพี่ดำ จะโดนไปอีกกี่ตอนน้า
กว่าอาเชษฐ์จะรู้ตัว ว่าชอบวิวไปล้า
มีความหึงออกนอกหน้ามากเว่อร์  :o8:
หัวข้อ: Re: **{14.3.61-ตอนที่ ๙--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-03-2018 13:24:54
สมน้ำหน้าคนถูกเมิน
หัวข้อ: Re: **{14.3.61-ตอนที่ ๙--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 14-03-2018 14:30:00
ขอให้พี่เขียวไปสู่สุขติ  :amen:
ยินดีต้อนรับนะพี่สุดหล่อ  :กอด1:
วิว สู้ๆนะลูก  :L2:
หัวข้อ: Re: **{14.3.61-ตอนที่ ๙--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 14-03-2018 15:00:44
 :z2: :z2: :z2:
วิวดีใจที่ได้พัดลม ยังกะคนถูกหวยรางวัลที่1
แต่อีกคนตั้งท่า ให้คนมาขอบคุณ กับรอเก้อซะงั้น
หัวข้อ: Re: **{14.3.61-ตอนที่ ๙--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 15-03-2018 00:37:15
น้องวิวน่ะน่ารักอยู่แล้ว แต่อาเชษฐ์กับเด็กน่ารักอย่างน้องวิวเลยทำตัวไม่ถูกเลยใช่มั้ยคะ
หัวข้อ: Re: **{15.3.61-ตอนที่ ๑๐--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 15-03-2018 13:51:00


ตอนที่ ๑๐

วิริยะเดินหน้ามุ่ยกลับมาที่ห้องพักหลังจากได้รู้ความจริงว่าพัดลมตัวใหม่เป็นของใคร เมื่อไปถึง ลำขายาวชะงักเมื่อยังเห็นร่างสูงใหญ่ยืนรออยู่ท่าทางหน้าดำคร่ำเครียด เด็กหนุ่มคิดว่าเชษฐ์ไชยอาจยังอยากคุยเรื่องก่อนหน้านี้อยู่ แต่เขายังไม่ต้องการ

แต่จะให้ยืนหลบอยู่แบบมืด ๆ สลัว ๆ อย่างนี้ต่อไปมันก็อย่างไรอยู่ เขารู้สึกขนลุกขนพองแปลก ๆ ตั้งแต่เดินมาจากบ้านแม่ต้อยแล้ว ตอนไปเพราะความตื่นเต้นจึงลืมคิด แต่เมื่อใจเย็นลงทำให้วิริยะรู้สึกหวาดระแวง ตากลมเหลือบมองรอบข้างที่หลายห้องเริ่มปิดไฟกันแล้ว หลงเหลือเพียงไฟดวงเล็ก ๆ ของหอที่เปิดทิ้งไว้เท่านั้น

“นึกว่าจะค้างอยู่บ้านต้อยแล้วซะอีก” คนหน้าหนวดพูดขึ้นเมื่อเห็นวิริยะกึ่งเดินกึ่งวิ่งไป เด็กหนุ่มปล่อยผ่านคำพูดประชดประชันของอีกฝ่ายเพราะอยากจะหนีเข้าห้องเต็มแก่ ไม่ชอบบรรยากาศวังเวงแบบนี้เอาเสียเลย

“อาเชษฐ์มีธุระอะไรอีกไหม ผมจะนอนแล้ว”

“คือฉัน…” เชษฐ์ไชยอยากจะเริ่มพูดใหม่อีกครั้ง แต่เห็นทีท่าราวรำคาญเขาจากเด็กตรงหน้า ชายหนุ่มรู้สึกไม่ได้ดังใจขึ้นมาทันทีอย่างไม่รู้สาเหตุ รู้แต่ว่าวิริยะควรกล่าวขอบคุณเขา หรือแสดงออกด้วยกิริยาท่าทางดีกว่านี้สักหน่อย แต่ดันมารำคาญเขาเสียได้ “ฉันหวังว่าจะไม่ได้ยินข่าวว่าเธอไปนอนห้องใครอีก”

วิริยะมุ่นคิ้ว “ผมบอกแล้วไงว่าจะนอนห้องใครก็ได้ มันสิทธิ์ของผม”

“อยากได้ความเย็นฉันก็ซื้อให้แล้วไง”

“แต่คุยกับพี่พัดลมไม่ได้นี่นา”

“ฉันเห็นเธอคุยเป็นต่อยหอยเลย คุยเยอะกว่าคุยกับฉันอีก”

วิริยะนิ่งไป อึกอักเพราะเถียงไม่ออก “มะ…มันก็ใช่ แต่ผมก็แค่พูดแก้เซ็งไปงั้น ๆ เองแหละ อีกอย่างพัดลมไม่ได้ช่วยให้หายกลัว…” คนพูดเบิกตาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ควรพูดเรื่องนี้ให้ชายตรงหน้าฟัง วิริยะยกมือกุมปากตัวเองเมื่อเห็นสายตาใคร่ทราบของเชษฐ์ไชย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ทันแล้ว อีตาหน้าหนวดยกยิ้มหน้าพึงพอใจแล้วยกนิ้วชี้ชี้หน้าล้อ

“อย่าบอกนะ ว่ากลัวผี”

วิริยะเบิกตา “บ้า! กลัวเกลออะไรกันล่ะ” เด็กหนุ่มหลบสายตา

“แน่ใจนะ”

วิริยะรีบเชิดคอพยักหน้าอวดเก่ง เมื่อเห็นว่าเด็กตรงหน้าไม่ยอมรับ เชษฐ์ไชยหรี่ตาจับผิดโดยรู้อยู่แล้วว่าวิริยะต้องกลัวแน่ ชายหนุ่มจึงเอ่ยพูด

“นี่ห้องข้าง ๆ ไม่ได้บอกอะไรเลยเหรอ ด้วยความหวังดีจากฉัน เตือนว่ากลัวไว้ก็ดีนะ แถวนี้ยิ่งมีประวัติอยู่ ยิ่งทำเป็นไม่กลัวเดี๋ยวจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นการลบหลู่เข้า” เจ้าของสถานที่ผู้อยู่มานานกว่าทำเสียงขรึมเล่าจริงจัง วิริยะรีบกระเถิบเข้าหาราวร่างกายเป็นไปอย่างอัตโนมัติ จับต้นแขนเชษฐ์ไชยหายใจหอบถี่ราวกำลังตกใจ มองรอบกายตนเองเพื่อความแน่ใจว่าด้านหลังไม่มีอะไรน่ากลัวอยู่

“ประวัติ…อะไรเหรอครับ” คนถามยังไม่วายกวาดสายตามองแม้ว่าจะกลัวจนเหงื่อแตก

“ถ้าห้องข้าง ๆ ไม่เล่า ฉันก็ไม่อยากเล่า เดี๋ยวเธอจะไม่สบายใจ”

“ไม่ได้ อาเชษฐ์ต้องเล่า!” วิริยะส่ายหน้า เชยตาขึ้นสบบอกว่ากำลังบังคับ ไม่ใช่ขอร้อง “บอกผมมาเดี๋ยวนี้เลยนะอาเชษฐ์”

“ทำไม กลัวเหรอ”

“เปล๊า!” วิริยะถอยกรูดปฏิเสธตาแข็งจนคนฟังสัมผัสได้ว่ากำลังโกหก เพราะอยากแกล้ง ทำให้เชษฐ์ไชยยอมพยักหน้าเชื่อแล้วขอตัวลากลับที่พักด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ทั้งที่ตอนแรกเจ้าตัวอยากไล่ชายหนุ่มให้กลับไปพ้น ๆ แต่สายตาช่วงหลังราวกำลังวิงวอนว่าอย่าไปจากกันเลย เห็นแล้วทำให้คนมองนึกขันกับท่าทีของวิริยะ แลดูน่าสงสารและน่าแกล้งในเวลาเดียวกัน

อยากเมินเขาดีนัก ขอเอาคืนหน่อยแล้วกัน

หลังจากเชษฐ์ไชยกลับไปแล้ววิริยะนอนเหลือกตาโพลงในความมืดสลัวของห้อง ที่จริงก็ถึงเวลานอนแล้วแต่เด็กหนุ่มกลับนอนไม่หลับอย่างเคย ทั้งที่ก็เหนื่อยมาตลอดทั้งวันอย่างทุกครั้ง ไม่ใช่แค่เรื่องน่ากลัวที่เชษฐ์ไชยตั้งใจแกล้งเขา แต่ความไม่สบายใจเพราะเรื่องที่มีปากเสียงกันก่อนหน้านี้ก็ด้วย

เด็กหนุ่มกลับมาคิดทบทวน ที่อีกฝ่ายบอกว่าไม่เคยใส่หน้ากากเข้าหาเขาเป็นความจริงหรือไม่ เชษฐ์ไชยคนนี้กับพี่หนวดคนนั้นเป็นคนเดียวกันอย่างนั้นหรือ

บ้า จะบ้าตาย!

เด็กหนุ่มนึกหงุดหงิดพลิกตัวนอนหงาย หากทว่าความคิดทั้งหมดเปลี่ยนมาชาตึบทั้งสมอง เมื่อเหลือบไปเห็นนัยน์ตาสีขาวสะท้อนแสงคู่หนึ่งมองเขาผ่านฝ้าที่หลุดผุพังอยู่ช่องด้านบน ราวถูกผีอำ วิริยะตัวชาและเหงื่อแตกพลั่กเมื่อสบตากับมัน นี่หรือประวัติที่เชษฐ์ไชยกำลังหมายถึง ซึ่งมันกำลังคืบคลานเข้ามาครอบคลุมจิตใจวิริยะให้แตกซ่าน เต็มไปด้วยความกลัว

โดนผีหลอกเข้าแล้ว ผีเจ้าที่มาเล่นเขาแล้ว!

จะทำอย่างไรดี จะแกล้งมองไม่เห็นแล้วหลับตานอนหลับไปเลยดีหรือเปล่า แต่หากแสร้งไม่เห็นแล้วมันโกรธลงมาหาเขาถึงที่นอนจะทำอย่างไร ในขณะที่วิริยะตัวแข็งสบตากับความน่ากลัวเบื้องหน้านั้น มันกลับขยับตัวเชื่องช้า ชะโงกคอยาว ๆ ลงมาจากฝ้าทักทายวิริยะโดยที่เด็กหนุ่มไม่ทันได้ตั้งตัว

“เมี๊ยว…”

ใจที่คิดประหวั่นพรั่นพรึงดับวูบพร้อมกับร่างของวิริยะที่ลุกขึ้นนั่งยีศีรษะตัวเอง

“ไอ้แมวบ้า หลอกให้กลัวเสียได้”

เด็กหนุ่มมุ่ยหน้าแล้วลุกขึ้นเปิดไฟ เห็นแมวลายเสือตัวโตตัวหนึ่งกำลังมองมา บนคอมีปลอกบอกว่าเป็นสัตว์ที่มีเจ้านาย มันชะโงกหน้าลงมาราวกับกำลังต้องการบอกอะไร วิริยะเดินไปหยุดอยู่ด้านใต้ ตกใจที่จู่ ๆ มันตัดสินใจกระโดดลงมาหา เด็กหนุ่มรีบอ้าแขนรับด้วยกลัวว่ามันจะบาดเจ็บหากตกจากที่สูง แล้วมันปีนมาจากไหนก็ไม่อาจรู้ได้ รู้เพียงว่าความอบอุ่นจากตัวมันปลอบประโลมวิริยะให้คลายความกลัวไปได้

“จะมาทำไมไม่มาดี ๆ ปีนฝ้ามาทำไม โดยเฉพาะฝ้าห้องฉัน มันจะพังใส่หัวเมื่อไรยังไม่รู้เลย”

เด็กหนุ่มบ่นกับมัน ความเกรงกลัวหายไปอย่างสิ้นเชิง

“แล้วนี่อะไร แกหิวเหรอ” เด็กหนุ่มทรุดนั่งบนฟูก วางมันลง แต่ดูเหมือนมันจะคุ้นชินกับคนเหลือเกิน ราวกับว่าฉลาดเป็นกรด เดินมาใช้ขาหน้าสะกิดให้เด็กหนุ่มสนใจ หรือไม่ก็กำลังขออะไรสักอย่าง ทำให้วิริยะสรุปได้ว่ามันกำลังหิวอยู่ “หิวจริง ๆ ด้วยสินะ เอ…จำได้ว่าฉันมีไอ้นั่นอยู่นี่นะ ฉันจะให้รางวัลที่แกหลอกให้ฉันกลัวได้”

เด็กหนุ่มหันไปค้นเอาปลากระป๋องมาเปิดให้

“กินไอ้นี่ได้รึเปล่านะ หุ่นอย่างแกคงไม่เลือกกินหรอก ใช่ไหม” แล้วมองมันเดินไปก้มหน้าก้มตากินอย่างเอร็ดอร่อยอย่างวางใจและเอ็นดูกับท่าทีน่ารักของมัน

มารู้ตัวอีกทีก็รู้สึกง่วงนอนแล้ว เด็กหนุ่มปิดไฟแล้วทรุดนอนลงบนฟูก ในความมืดสลัวและกึ่งหลับกึ่งตื่นนั้นมีความอบอุ่นของเจ้าเหมียวตัวอวบอ้วนนอนคลอเคลียอยู่ชิดใกล้ ราวกับว่ากำลังมีใครสักคนกำลังนอนกอดเขาอยู่อย่างนั้น

สัมผัสอบอุ่นจากแมวตัวน้อย และพัดลมตัวใหญ่ที่ให้ความเย็นสดชื่นทำให้วิริยะรู้สึกหลับลึกกว่าทุกวัน

 

เชษฐ์ไชยตื่นตั้งแต่ตีสี่เป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว หลังล้างหน้าล้างตา แต่งตัวแล้วเสร็จชายหนุ่มก็เดินออกมาดื่มกาแฟด้านนอก นาฬิกาบอกว่าเพิ่งจะตีห้าเท่านั้น ชายหนุ่มนึกแปลกใจที่วันนี้เห็นวิริยะตื่นมาเก็บผักตั้งแต่เช้า หรือจะกลัวผีจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันหนอ คิดแล้วเจ้าของอาณาจักรรุ่งอรุณีก็กระตุกยิ้มนึกสนุกขึ้นมาทันที

เมื่อวิริยะเห็นแม่ต้อยเดินเข้ามาที่บ้านพักของเชษฐ์ไชย เด็กหนุ่มรีบวิ่งตามนางขึ้นมาพูดคุยอะไรสักอย่างแล้วหันมาหาเชษฐ์ไชยอย่างนึกตกใจ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าพูดเรื่องอะไรกัน แต่เรื่องที่เขาซื้อพัดลมให้เมื่อวานยังคงติดค้างกันอยู่ วิริยะควรมีทีท่าแบบนี้ซี ถึงจะถูก

คนตัวเล็กกว่าเดินหน้ายุ่งตรงมาทางเขาหลังจากแยกกับแม่ต้อย หยุดอยู่หน้าบ้านพักหลังโตที่เชษฐ์ไชยยืนอยู่

“เอาสร้อยพระของผมมาเลย อาเชษฐ์จะเก็บไว้ทำไม”

อ้อ…เรื่องนี้นี่เอง เชษฐ์ไชยคิดแล้วยกมือกอดอกตัวเองวางท่า “ใครบอกว่าฉันอยากจะเก็บกันล่ะ ตั้งใจจะเอาไปคืนหลายรอบแล้ว แต่ได้ข่าวว่าใครบางคนไม่ชอบขี้หน้า เอาแต่เดินหนี”

ซึ่งได้ฟังแล้ววิริยะก็นิ่งไป ดูเหมือนจะยอมรับกลาย ๆ ว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ

“งั้นก็เอามาให้ผมซะสิ”

“จะขอความช่วยหลือคนอื่นน่ะ พูดแบบนี้เหรอ” คนตัวโตงุดตามองยังไม่หลุดจากท่าที่วางไว้

“ขอความช่วยเหลืออะไรครับ ผมมาทวงของของผมคืนต่างหาก”

“ทำอย่างกับฉันขโมยของเธอมาอย่างนั้น”

“ถ้าอาเชษฐ์ไม่ได้ตั้งใจก็เอามาคืนผมสิ” วิริยะเริ่มเสียงดัง

“ทำไม เมื่อคืนเจอดีเหรอ เห็นอะไรในห้องใช่ไหม” วิริยะขนหัวลุกแม้ว่าจะไม่มีอะไรอย่างที่เชษฐ์ไชยแกล้งถามก็ตาม เด็กหนุ่มหน้ายุ่งแล้วจิ๊ปากบอกว่าไม่พอใจ ต้องการได้สร้อยพระประจำวันเกิดของตัวเองคืนอย่างโดยด่วน อย่างที่คนตรงหน้าว่า ตอนนี้เขาอยากได้ที่พึ่งพาทางจิตใจที่สุด

“สร้อยนั่นเป็นของพ่อ เขาให้ผมตอนที่ผมเกิด มันเป็นสร้อยพระประจำวันเกิด ตั้งแต่ได้มาผมก็ไม่เคยห่างมันเลย”

“แล้วไง”

“แล้วไงอะไรล่ะ ก็ผมต้องการได้คืนไงครับ” วิริยะทำเสียงหงอย

“กลัวมากขนาดนั้นเลยรึไง” วิริยะทำสีหน้าระอาและไม่ยอมตอบ คนถามเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มแล้วคล้ายว่าหมดสนุก ยกจิบกาแฟแล้วมัดเชือกรองเท้าเตรียมออกไปวิ่ง ทั้งที่เห็นดวงตาแป๋วของวิริยะแล้วกลับไม่รู้สึกสงสารสักนิด จิตใจทำด้วยอะไร เด็กหนุ่มยู่หน้าทำท่าขัดใจอยู่หลังเชษฐ์ไชยที่ลุกขึ้นยืนวอร์มร่างกาย กระทั่งได้ยินเสียงของคนอายุมากกว่ากล่าวว่า

“ขึ้นไปหยิบเองสิ อยู่บนหัวเตียง”

แล้วเชษฐ์ไชยก็วิ่งออกไปโดยที่ไม่อธิบายอะไรไปมากกว่านี้ วิริยะยืนมองตามแผ่นหลังกว้างนั้นด้วยความไม่เข้าใจว่าคิดอะไรอยู่ ทำไมต้องให้เขาขึ้นไปบนนั้นด้วย ตัวเองเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือว่าตั้งแต่อัศวินกลับไปก็ไม่ควรเกี่ยวข้องกันอีก เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว คิดว่าไม่ควรขึ้นไป ตัดสินใจเดินกลับมาที่โรงอาหารเพื่อตั้งหลักคิดก่อนว่าเชษฐ์ไชยจะมาไม้ไหน

แกล้งไม่ให้เขาได้อยู่ห้องดี ๆ ทำตัวห่างเหินใส่ แล้วมากล่าวหาว่าเขาพยายามหลบหน้า ทั้งที่เป็นความต้องการของตัวเองแท้ ๆ โบ้ยความผิดให้เขาทั้งที่เด็กหนุ่มทำตามความประสงค์ของเจ้าตัวนั่นแหละ

ทำตัวห่างเหินอย่างเดิมก็ดีอยู่แล้ว แล้วไหงจู่ ๆ มาพูดดีด้วย วิริยะชักไม่เข้าใจตาหนวดเจ้าของไร่นี่เสียแล้ว เด็กหนุ่มถอนใจ อยากได้สร้อยพระก็จริงอยู่ แต่ไม่อยากย่างเท้าเหยียบขึ้นไปบนนั้น จึงได้แค่บอกตัวเองในใจก่อนว่า “ค่อยไปเอาตอนกลับบ้านทีเดียวละกัน ไปทำงานก่อนไอ้วิว”

แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นวิริยะก็คิดว่าต้องการได้คืนโดยเร็วที่สุดอยู่ดี ตลอดเวลาการทำงานเขาเห็นเชษฐ์ไชยเดินมาดูอยู่บ่อยครั้ง แถมทำหน้าราวกับรู้อยู่แล้วว่าวิริยะไม่ได้ขึ้นไปเมื่อเช้า ซึ่งยังรู้ทันอีกนั่นแหละว่าเด็กหนุ่มอยากได้มันคืนมากขนาดไหน ก็วิริยะมานึกขึ้นได้น่ะซีว่าเมื่อคืนเขาก็แค่ฟลุ๊คเห็นแมวเท่านั้น แล้วหากคืนนี้ในช่องโหว่ของฝ้าไม่ใช่แมวเล่า เขาจะทำอย่างไร เหลือบมองขึ้นไปทีไรก็ขนหัวลุกทุกที

เห็นทีเย็นนี้เลิกงานเขาต้องรีบไปที่บ้านของเชษฐ์ไชย ก่อนอสูรเจ้าของสถานที่กลับไปถึงให้ได้

“เป็นอะไร ทำหน้ามุ่ยตั้งแต่เช้าแล้ว” หมอกถามขณะทรุดกายนั่งดื่มเกลือแร่ข้าง ๆ ถัดไปเป็นดำนั่งถอดเสื้อโชว์หุ่นล่ำเห็นกล้ามเนื้อแต่งแต้มด้วยเม็ดเหงื่อ นี่แค่พักเบรก ราวกับพี่ชายจากอีสานเป็นนายแบบโดยไม่รู้ตัว วิริยะผละสายตาจากดำมามองตาคนถาม ยกยิ้มนิด ๆ

“เปล่าหรอกพี่ แค่เซ็ง ๆ”

หมอกหัวเราะ “เซ็งอะไรวะ งั้นเย็นนี้มาแดกเหล้ากับพวกพี่”

“ไม่เอาอะ เกิดโดนจับได้ ไม่อยากฝึกทหาร ทำงานก็เหนื่อยอยู่แล้วยังต้องมาวิ่งรอบไร่อีก”

“บ่ต้องเว่าฮอดเรื่องนี้เลย อ้ายฮู้ยินแล้วสูน กะเป็นย้อนวิวนั่นแหละเฮ็ดให้นายเซษฐ์เพิ่นสูน หมู่อ้ายเลยโดนหางเลขไปนำ” ดำชะโงกหน้ามาทำเป็นงอนเด็กหนุ่ม พลอยได้เรียกรอยยิ้มขึ้นมาแต้มบนหน้าแดง ๆ เพราะความเหนื่อยของเด็กหนุ่มได้บ้าง ฟังดำบ่นต่ออีกว่า “คราวหน้าถ้านายเซษฐ์จะคุยนำกะเฮ็ดโตดี ๆ อย่าเถียงเพิ่น อย่าเว่ากวนตีนเพิ่น เข้าใจบ่วิว หมู่อ้ายสิได้บ่ยากนำ”

“ไม่เกี่ยวสักหน่อย ผมไม่ได้กวนนะ” วิริยะส่ายหน้า

“บ่ได้กวนแล้วเป็นหยังนายเซษฐ์ต้องโมโหเวลาคุยนำตลอด”

“ใครจะไปรู้ละ ทีพี่ดำไม่ได้ทำอะไรก็เห็นโดนเขาพาลใส่ตลอด คนแบบนั้นจะเอาเหตุผลอะไรอีก”

“เออ ก็จริง” ดำเออออแล้วหันมาฉุกคิดกับตนเองอย่างไม่เข้าใจ “สรุปนายเซษฐ์เป็นหยังวะ”

“เป็นคนจ่ายเงินค่าแรงมึงไง” คนพูดสวมเสื้อลายตารางตัวสีฟ้าดำเดินหน้ายุ่งมาแต่ไกล ราวกับมีหูทิพย์ ได้ยินทุกครั้งเวลาลูกน้องบ่นถึง ซึ่งลูกน้องคนนี้ก็ไม่ค่อยยินดีนักที่เจ้านายรู้ทัน ดำหันไปยิ้มแห้งให้เชษฐ์ไชยที่ยกกระติกเดินตรงมาเติมให้คนงานพร้อมลุงแสวง แม้จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นราวกับเมื่อครู่ไม่ได้พูดถึงอีกฝ่ายแล้วนั้น กระติกอันใหญ่ก็กระแทกโขกมาที่หลังคนงานหนุ่มดังผลั่ก

“เออะ!” ดำร้องพลางกุมบริเวณเจ็บ เงยหน้างอ ๆ ไปหาเจ้านายอย่างเหนื่อยใจ “นายเซษฐ์…”

“ขวางหูขวางตากูจริง ๆ ถอยไป”

“ทางกะมีตั้งหลาย”

“มึงจะให้กูเอาตีนเขี่ยมึงออกไหม”

“ถอยกะได้ครับ” ดำทำเสียงอ่อยพลางชายตาหาผู้ช่วยเหลือ ซึ่งเพื่อนทั้งหกก็รักกันดีเหลือเกิน หัวเราะชอบอกชอบใจราวกับไม่เคยเห็นเรื่องตลกอย่างนี้มาก่อน ขณะที่เชษฐ์ไชยเดินถือกระติกน้ำผ่านวิริยะไป เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วและรู้สึกคันก้นขึ้นมาเหมือนมีตัวอะไรไต่ จากที่นั่งขัดสมาธิ ลำขายาว ๆ เด้งเหยียดออกไปเองโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ในขณะที่ง่วนอยู่กับการเกาก้นที่บวมฉึ่งเพราะถูกมดกัด เด็กหนุ่มไม่รู้เลยว่าขาของตัวเองไปขัดกับแข้งใหญ่ของคนเดินผ่านเข้า

“เฮ้ย!”

มารู้ตัวอีกทีคนงานคนอื่นก็ร้องอุทานกันเสียงดัง พร้อมกับกระติกที่มีน้ำลอยละลิ่วลงมากระแทกบนหัวเด็กหนุ่มจนรู้สึกมึน ตอนแรกก็เหมือนจะดีอยู่ แต่ผ่านมาอีกสองสามวินาทีวิริยะรู้สึกเหมือนเห็นภาพซ้อน หัวโงนเงนจะหงายท้องตึงเสียให้ได้

“เฮ้ย ตาไหลรวมกันแล้ว!” ดำร้อง รีบตะเกียกตะกายลุกไปเพื่อช่วยพยุงวิริยะที่จู่ ๆ ก็ล้มตึงลง แต่ติดตรงที่ว่าเท้าของเชษฐ์ไชยยาวกว่า ทั้งที่ก็ล้มอยู่เหมือนกัน แม้ดำไปถึงแล้วก็ไม่ทันได้แตะถึงร่างคนหมดสติ หงายเงิบไปอีกฝั่งเพราะส้นเท้าของเจ้านายถีบลงกลางอกเสียก่อน แล้วคนถีบก็วิ่งไปพยุงวิริยะเสียเอง ท่ามกลางความตกใจของเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ที่ต่างร้องโหวกเหวกเสียงดัง

เชษฐ์ไชยพยุงแก้มแดง ตบแปะ ๆ บนหน้าเบา ๆ เรียกสติ “วิว วิว!”

“ผายปอด นายเซษฐ์ ผายปอด…”

“ผายปอดพ่อมึงสิ ยังจะมาเล่นอีก หลบ!” มือใหญ่ปาดน้ำที่เปียกบนหน้าให้เด็กหนุ่มพลางนึกวิธีช่วยเหลือ

หน้าของเจ้านายจริงจังและเข้มขรึมขึ้นมาสิบเท่าขณะจับต้องร่างเด็กในอ้อมกอดอย่างอ่อนโยน ดำเหงนมองร่างสูงใหญ่ของเจ้านายที่รีบอุ้มพยุงวิริยะขึ้นโดยไม่เกรงสายตาใคร เริ่มรู้สึกขึ้นมาเล็กน้อยแล้วว่าที่เจ้านายมาพาลใส่เขาบ่อย ๆ นั้น อาจไม่ใช่เพราะถกเถียงหรือเป็นควันหลงที่วิริยะกวนประสาทอย่างที่เคยคิดก่อนหน้า

สายตาของอสูรร้ายเจ้าถิ่นแห่งนี้ยามสบมองวิริยะที่ไร้สติ บอกดำว่าอาจเป็นเพราะเหตุผลอื่น

บอกว่าเด็กในอาณัตินั้น เป็นของเจ้าตัว ใครหน้าไหนก็อย่าได้เข้าใกล้!


--๕๐--


------------------------------------------------------------------

อ้ายดำเริ่มรู้ทันนายเชษฐ์แล้วว่ามาไม้ไหน ไม้หมาหวงก้างนี่เอง ผ่าม! ฮ่าๆๆๆ

อยากรู้กันไหมว่าพอพี่ดำรู้ทันนายเชษฐ์แล้วจะแกล้งคืนรึเปล่า อิอิ

วันนี้มาอัพให้อ่านแล้วนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะอัพที่เหลือ ขอปั่นก่อน

***มีข่าวดีมาบอก 90Days ผ่านพิจารณาแล้วนะคะ หยอดปุกรอไว้เลย

ใครเป็นแฟนคุณกายกับโอ๊คต้องได้เก็บนะคะ จะเขียนตอนพิเศษเพิ่มให้อีกค่ะ

กำลังใจที่ดี ช่วยบอกว่าคุณนักอ่านคิดเห็นอย่างไร





 

 
หัวข้อ: Re: **{15.3.61-ตอนที่ ๑๐--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 15-03-2018 16:03:18
 :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: **{15.3.61-ตอนที่ ๑๐--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-03-2018 16:40:38
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **{15.3.61-ตอนที่ ๑๐--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 15-03-2018 18:23:24
พี่ดำเอาคืนเลย เราหมั่นไส้คุณเชษฐ์มานานแล้ว อะไรจะซึนเบอร์นั้น!

ตัวเองทำอะไรน้องไว้บ้างนี่ไม่มีสำนึกอ่ะ หมั่นไส้ๆๆๆ
หัวข้อ: Re: **{15.3.61-ตอนที่ ๑๐--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 15-03-2018 18:52:14
แหม ดำรู้ทันเจ้านายแล้ว ต่อไปต้องแกล้งให้หัวหมุนไปเลยนะ
 o13 o13
หัวข้อ: Re: **{15.3.61-ตอนที่ ๑๐--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-03-2018 02:19:03
เฮียดำตามเก็บให้หมดเลยนะ เก็บแล้วก็ส่งคืนนายกลับไปด้วย เอาแบบแม่น ๆ นะ  :katai3:
หัวข้อ: Re: **{17.3.61-ตอนที่ ๑๐--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 17-03-2018 01:12:12


(ต่อ)


 

วิริยะรู้สึกตัวอีกทีก็ไม่รู้ว่าตัวเองนอนอยู่ไหน รู้เพียงว่าอยู่บนเตียงนอนนุ่มแสนสบายที่เขาห่างหายมากว่าสองอาทิตย์ ครั้นตื่นเต็มตา เห็นนาฬิกาบอกว่าเย็นมากแล้วก็กระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งอย่างตกใจ นึกถึงเรื่องงานและค่าแรงขึ้นมาโดยทันที เขาทำงานมาครึ่งวันต้องได้ค่าแรงอีกครึ่งหนึ่งซี เลยเวลาจ่ายเงินมาแล้วด้วย!

เด็กหนุ่มยกมือกุมคอตัวเองอยู่พักหนึ่ง ตาก็กวาดมองภายในห้องใหญ่อันแสนคุ้นตาแห่งนี้ พินิจพิเคราะห์ว่าเขาเคยมาเหยียบที่นี่เมื่อก่อน ท้ายที่สุดเด็กหนุ่มก็เบิกตาโพลงเมื่อทราบแล้วว่าเป็นที่ไหน เป็นเวลาเดียวกันที่เห็นใครสักคนเดินออกจากห้องน้ำด้วยผ้าขนหนูผืนเดียว บนตัวหนา ๆ เต็มไปด้วยหยดน้ำและผิวปากไปพลาง เช็ดผมไปพลางอย่างอารมณ์ดีอยู่หน้ากระจก ราวไม่รู้ว่ามีเขาอีกคนในห้อง

ใครสักคนคนนั้น ที่เป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้!

“อาเชษฐ์!” วิริยะจะรีบกุลีกุจอลุก ทว่าเจ็บคอขึ้นมาจนขาอ่อน

“ทำไม มีอะไร ร้องเสียงดังซะตกอกตกใจหมด”

เด็กหนุ่มงุนงง เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วไหนจะไอ้ท่าทีสบายอกสบายใจของตาหน้าหนวดตรงหน้าอีก มันแปลกเกินไปแล้ว วิริยะค่อย ๆ ลุกขึ้นมองลิงตัวใหญ่กล้ามแน่นที่ยืนตรงหน้ากระจก อดจะตะลึงกับสัดส่วนที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นง่าย ๆ เบื้องหน้าไม่ได้ แต่เดี๋ยวซี มันใช่เวลามันอิจฉาหุ่นอาเชษฐ์ไหมก็ไม่!

“ผมมาที่นี่ได้ไง”

เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น มองตามเชษฐ์ไชยที่กำลังง่วนอยู่กับการเช็ดตัวและผมหยักศกระยะตกบ่า พลอยให้คนมองก็ลืมคำถามของตนเองไปด้วย หายไปและผุดภาพชายหนุ่มตัวโตหุ่นแซ่บขึ้นมาทดแทน ชายหนุ่มที่กำลังยกขาเหยียบเก้าอี้ตัวเตี้ยหน้ากระจก ผ้าขนหนูที่พันเอวเลิกเปิดไปกองที่ต้นขาแบบหมิ่นเหม่ แล้วมือหนาอันมีเส้นเลือดปูดประดับความเป็นชายที่ถือผ้าขนหนูอีกชิ้นนั้น ก็ลากไล่ตามลำขาแข็งแรง จากล่าง…ขึ้นมาด้านบน

เซ็กซี่…

ไหนจะหน้าท้องเป็นลอน ๆ นั่นอีก คนมองกลืนน้ำลาย มองเจ้าของร่างกายกำยำนั้นผละหันมายกยิ้มยั่ว กัดริมฝีปากเชิญชวนวิริยะให้เดินเข้าไปหา

เด็กหนุ่มชะงัก เพราะแบบนี้ถึงทำให้เขาได้รู้ว่าตัวเองมโนไปไกลแสนไกล ไกลเกินความจริงไปตั้งแต่คิดว่าคนหน้าลิงกอริลล่านี่เซ็กซี่แล้ว วิริยะสะบัดหน้า บ้า! เขาบ้าไปแล้วแน่ ๆ! สงสัยคงจะเป็นผลกระทบจากการโดนกระแทกที่หัวอย่างรุนแรง

เด็กหนุ่มผละสายตาไปมองที่อื่น “ผมถามไม่ได้ยินรึไงเล่า”

เรียกให้เชษฐ์ไชยที่กำลังเช็ดตัวหันกลับไปมอง พบคนหน้าแดงยืนเก้ ๆ กัง ๆ ทำตัวไม่ถูก เป็นเช่นนั้นแล้วชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปหยุดอยู่ใกล้กว่าเก่า ใกล้จนเห็นชัดว่าวิริยะขัดเขินและหลบสายตาเพียงเพราะเห็นเขากึ่งเปลือยเช่นนี้ “รอให้ฉันใส่เสื้อผ้าก่อนไม่ได้รึไง”

“งะ งั้นผมออกไปรอข้างนอกก็แล้วกันนะ” เด็กหนุ่มรีบบอก

“เดี๋ยว…” เชษฐ์ไชยกระตุกข้อมือเล็กไม่ให้เดินไป “ไม่ต้องไป ถ้ายังไม่สบายตัวก็นอนต่อ”

“เอ่อ ผมกลับไปนอนที่ห้องของผมต่อก็ได้”

“เดี๋ยวจะหาว่าฉันแล้งน้ำใจอีก นอนแม่งตรงนี้แหละ”

เด็กหนุ่มมุ่ยหน้า ก้มลงมองตัวเอง “แต่ว่าตัวผมมีเหงื่อ เหม็นก็เหม็น เดี๋ยวที่นอนอาเชษฐ์จะติดเหงื่อผมไปด้วย”

“นอนมาก็ตั้งสามสี่ชั่วโมง ยังไงมันก็ติดอยู่แล้ว อย่าเรื่องมาก นอนต่ออีกซักชั่วโมงมันจะเป็นไรไป” มือใหญจับต้นแขนหวังจะพาวิริยะเดินกลับไปทิ้งตัวลงบนเตียง ให้นอนต่อ แต่ดูเหมือนเด็กนี่จะไม่ยอมไปโดยง่าย  ชายหนุ่มจึงหน้าตึงขึ้นมานิด ๆ ถามวิริยะอย่างตรงไปตรงมาว่า “ทำไม ไม่อยากหายใจร่วมห้องแคบ ๆ กับฉันรึไง”

วิริยะหน้ายุ่ง ถ้าตอบว่าใช่คงโดนบี้ให้เละคาห้องแน่ เด็กหนุ่มหลุบตาลงต่ำเพราะไม่อยากสบตา แต่ไหงกลับไปเจอสิ่งไม่อยากเจอที่นูนเด่นเป็นรูปขึ้นมาจากผ้าขนหนูแทนเสียได้ เขาว่าเขามองตาอาเชษฐ์คงดีกว่าหลุบลงมาเจอห่อหมกตรงนี้ “ปละ เปล๊า…ผมแค่เกรงใจ แต่พูดก็พูดเถอะ เวลาคนงานเป็นลม อาเชษฐ์ก็อนุญาตให้ขึ้นมานอนตากแอร์บนห้องอาเชษฐ์ทุกคนเลยงั้นเหรอครับ”

คนฟังหน้าขึ้นสีเมื่อนึกถึงสิ่งที่วิริยะถาม รีบผละมือออกจากต้นแขนเด็กหนุ่มมาพูด “ฉันก็แค่ไม่รู้ว่าเธอเอากุญแจห้องของเธอไปซ่อนไว้ที่ไหนก็เท่านั้นเองแหละ”

“ผมก็นึกว่าอาเชษฐ์เป็นห่วงซะอีก” วิริยะลอยหน้าลอยตา

“ใครเห็นคนนอนตาเหลือกกองอยู่กับพื้นแบบนั้นก็ต้องช่วยทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวมาตายเป็นผีเฝ้าไร่ฉัน”

ได้ฟังวิริยะย่นคิ้ว บ่นอุบอิบ “ทีแอบเอาพัดลมเข้าไปยังทำได้”

“หยุดเลย ช่วงเวลาชุลมุนแบบนั้นใครมันจะไปคิดทัน อีกอย่าง รู้ว่าฉันเป็นคนเอาพัดลมไปให้แล้วคำขอบคุณซักคำก็ไม่มี ไอ้เด็กเวร…”

“อย่ามาพูดดีกว่า ก็ที่อาเชษฐ์ต้องซื้อพัดลมตัวใหม่มาให้เพราะตัวเองเตะตัวเก่าพังไม่ใช่รึไง ทำไมผมต้องขอบคุณด้วย นี่มันยังไม่ลบล้างความผิดที่อาเชษฐ์ทำมาด้วยซ้ำ ยังหวังคำขอบคุณอะไรอีก”

“เดี๋ยวเถอะวิว!” วิริยะชะงัก เมื่อเห็นกอริลล่าทำท่าขู่ด้วยการยกนิ้วชี้มาไว้ตรงหน้า เด็กหนุ่มหน้าหงอยลงเมื่อเห็นว่าเชษฐ์ไชยเริ่มมีน้ำโหเพราะคำเถียงไม่ตกฟากของเขา รู้สึกเสียท่านิด ๆ ที่เมื่อถูกดุทีไรก็เป็นแบบนี้เสมอ นี่ถ้าสามารถใส่เสียงเอฟเฟกต์เหมือนในละครได้ คงมีเสียงลูกหมาครางหงิง ๆ ดังขึ้นมาแล้ว

“ก็ได้ ผมผิดเอง” เด็กหนุ่มมองพื้นหน้าจ๋อย เขาเป็นเด็กยังไงก็ผิดอยู่ดี จึงเลือกเดินผละออกจากอีกฝ่าย มุ่งหน้าไปยังประตู แต่ติดตรงที่ว่าเหตุใดเชษฐ์ไชยต้องทิ้งผ้าที่เช็ดตัวเมื่อครู่ไว้เรี่ยราดด้วย มารู้ตัวอีกทีเท้าของเขาก็เหยียบมันจนลื่นพรืด “เหวอออ!”

วิริยะอ้าปากกว้าง ตาเหลือกเท่าไข่ห่าน เมื่อนึกได้ว่าไม่ตายก็หยอดน้ำข้าวต้มแน่ หากล้มไปหัวฟาดพื้นด้วยท่านี้ แต่ทว่าดีหน่อยที่ดูเหมือนเชษฐ์ไชยเห็นและพุ่งเข้ามารับเขา พร้อมกับมือยาวของเด็กหนุ่มคว้าเกาะเอวของอีกฝ่ายไว้ได้ทัน อยู่ในท่าเต้นรำของเจ้าชายอสูรและสาวน้อยผู้เลอโฉมที่กำลังตกหลุมรักกันในค่ำคืนหนึ่ง

เสียงนาฬิกาเดินดังแกรก ๆ คั่นกลางระหว่างดวงตาสองคู่ที่ประสานกัน

วิริยะแก้มรุมร้อนขึ้นมาเสียเฉย ๆ เขาเห็นอะไรบางอย่างภายใต้หนวดเครายาวครึ้มแบบดิบเถื่อนเบื้องหน้า ในระยะใกล้ เขาเห็นความเป็นอัฐษไชยบนใบหน้าของเชษฐ์ไชยขึ้นมาชั่ววินาทีหนึ่ง แต่เหตุใดสายตาดูอ่อนโยนกว่า ใจดีกว่า และดูหล่อเหลากว่าอัฐษไชยนัก

บ้า เขาต้องบ้าแน่ที่มองว่าเชษฐ์ไชยหล่อ!

“เป็นอะไรรึเปล่า” เจ้าของใบหน้าที่เด็กหนุ่มมองสอบถาม และได้เรียกให้เด็กหนุ่มหลุดออกจากความคิดบ้าบอ

“มะ ไม่เป็นอะไรครับ” วิริยะตอบแล้วหลบสายตาไปทิศอื่น เหลือบไปเห็นเอวของเชษฐ์ไชยแล้วมือเล็กจึงบีบบริเวณที่เขากุมเกาะอย่างนึกแปลกใจ ถ้าเป็นเอว เหตุใดจึงนุ่ม ๆ แน่น ๆ อย่างนี้ อีกอย่างเขาเพิ่งมาเห็นว่าบริเวณที่เขาถูกประคองนั้นมันต่ำจนผิดสังเกตเกินไป ใจวิริยะหายวาบและไม่อยากจะคิดเลย ว่าอะไรที่อยู่ในมือของเขา เด็กหนุ่มชะโงกมองออกไปแล้วปล่อยให้จมูกบานด้วยความตกใจสุดขีดเมื่อเห็นว่าตรงที่เขาบีบเมื่อครู่นั้น

คือตูด!

ตูดแบบไม่มีอะไรปิดแม้แต่นิด เนื้อแนบเนื้อ

“อ๊ากกก!” วิริยะร้องสุดเสียง ดิ้นขลุกขลักผละมือออกจากก้นของเชษฐ์ไชยที่บัดนี้ล่อนจ้อน ผ้าขนหนูกองลงอยู่ที่ข้างล่างตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ จนร่างของวิริยะหลุดออกจากมือของคนอายุมากกว่า หล่นตุบลงกระแทกพื้นจนเจ็บบั้นท้าย แล้วเอามือเช็ดเสื้อผ้าตัวเองร้องโหวกเหวกราวผีเข้า

“เป็นอะไรเนี่ย ไอ้เด็กบ้า!” เชษฐ์ไชยค้ำเอว ก้มลงมองวิริยะซึ่งอยู่ในที่ต่ำกว่า

เด็กหนุ่มเงยขึ้นไป หน้าเหวอ

มุมเสยนี่ไม่น่ามองเลย!

“อ๊ากกกกกก!” เห็นเต็ม ๆ ชัดยิ่งกว่าชัดอีก! ชาติก่อนเขาทำกรรมอะไรถึงต้องมาเจอเรื่องอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วิริยะคิดแล้วยกผ้าขนหนูมาปิดหน้าร้องโวยวาย แต่มานึกขึ้นได้ว่าไอ้ผ้าที่ตนใช้ปิดนั้นก็เป็นชิ้นที่อาเชษฐ์ทำหล่นเมื่อครู่ แถมเขาเห็นอีกฝ่ายเอาเช็ดไข่ไปตั้งหลายรอบ นึกได้  เด็กหนุ่มรีบยกมันขึ้นไปรวบบนรอบเอวให้เชษฐ์ไชยร้อง “อ๊ากกกกก!”

“ชู่…กลัวคนอื่นไม่รู้รึไงว่าอยู่ในห้องฉัน” มือใหญ่กุมปิดปากวิริยะให้เงียบเสียง พร้อมกับตาของเด็กหนุ่มที่เหลือกโพลง เพราะถูกปิดปากและหายใจได้เพียงทางเดียว จมูกวิริยะบานยิ่งกว่าถ้ำเจ้าแม่นาคีเพราะแรงหายใจ จ้องตาคนตัวโตที่โน้มลงมาสบเป็นเชิงเอ็ด “ทำอย่างกับไม่เคยเห็นไปได้ ยังไม่ชินอีกรึไง”

สาบานได้ว่าเขาไม่เคยชิน และไม่คิดว่าควรที่จะชินกับของแบบนี้ วิริยะดิ้น เขย่าผ้าที่ปิดให้ด้วยใบหน้าแดงก่ำบอกให้เชษฐ์ไชยจัดการกับไอ้นี่มากกว่ากุมปิดปาก เมื่อคนตัวโตกว่ารับรู้ว่าเด็กหนุ่มเงียบเสียงลงแล้วก็ยอมปล่อย จากนั้นจึงพันผ้าขนหนูบนเอวเสียใหม่ด้วยสีหน้าที่บอกว่า ไร้ยางอายสุด ๆ!

วิริยะเหงื่อซึมหลังเพราะตกอยู่ในช่วงสถานการณ์ที่น่าตกใจ ลุกขึ้นยืนใจเต้นตุบไม่ยอมหาย ฝันร้ายแน่คืนนี้

“ผะ ผมกลับก่อนนะ” ว่าแล้วก็หมุนตัว

“เดี๋ยว…”

“อ๊ากกกกก!”

“จะร้องทำไม ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย” เชษฐ์ไชยนึกโมโห มองวิริยะที่พยายามปัดป้องพลางถอยกรูดออกห่างเพียงเพราะเขาเอื้อมรั้ง สีหน้าของเด็กหนุ่มได้บอกเชษฐ์ไชยว่าตอนนี้กำลังตกใจเพียงไหน หรือว่าวิริยะกำลังคิดอะไรน่ากลัวอยู่ โดยเอาเขาเข้าไปเกี่ยวข้อง

คิ้วหนาเลิกขึ้นเมื่อภาพบางอย่างแล่นเข้ามาในสมอง ขณะมองแววตาของวิริยะที่แสดงถึงความไม่ปลอดภัยออกมา “หรือว่า…ที่ไม่อยากอยู่ในนี้นาน ๆ เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบคราวที่แล้ว” ชายหนุ่มถามหยั่งเชิงด้วยเสียงเรียบ จ้องตากลมที่เบิกกว้างขึ้นหลังได้ฟัง ชายหนุ่มจึงยกยิ้มแล้วย่างเท้าเดินเข้าไปใกล้กว่าเก่า “แสดงว่ายังไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้นสินะ...”

“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะอาเชษฐ์!” วิริยะเริ่มขุ่น ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา

“ทำไม ทำใจฟังไม่ได้เหรอ ว่าเรา…มีอะไรกันในนี้ บนเตียงนี้” นิ้วชี้ยาวชี้ไปยังจุดหมายที่กล่าวถึง วิริยะรู้สึกเหมือนจะสะอึกเมื่อเห็นรอยยิ้มร้ายของคนกล่าว นี่ตั้งใจพูดขึ้นมาเพื่อแค่ต้องการแกล้งเขาเท่านั้นเองหรือ หน้าเด็กหนุ่มเริ่มขึ้นสี กล่าวว่า “บอกให้หยุดพูดไง”

“ทำไม รึว่าทำใจไม่ได้ที่คาดไม่ถึงว่าฉันเป็นใคร ถ้ารู้ว่าฉันไม่ใช่คนสวน เธอจะยอมให้ฉันรับผิดชอบเธอรึเปล่า”

“ก็ผมบอกแล้วไงว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุ อาเชษฐ์จะพูดถึงมันขึ้นมาอีกทำไม” เด็กหนุ่มใช้เสียงตามอารมณ์

“ฉันคงไม่พูดขึ้นมาหรอก ถ้าเธอไม่ทำท่าทางแบบนี้ใส่ฉัน”

“ผมเปล่า” เด็กหนุ่มเถียง แล้วละสายตาไปพูดอ้อมแอ้ม “ต่อให้ทำ อาเชษฐ์ก็ไม่ควรพูดเรื่องนี้ขึ้นมา”

เชษฐ์ไชยขบกรามจนปูด “ถ้าฉันพูดขึ้นมา เธอจะรู้สึกเสียดายที่ตัดสินใจผิดรึไง”

“ไม่ ก็บอกไปแล้วไงว่า…”

“เธอมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”

“ใช่!” วิริยะขานตอบทันควันเช่นกัน มองคนหน้าดุพูดกลับมาด้วยเสียงเยือกเย็น

“แต่คนที่เธอชอบ มันไม่มีทางชายตามองคนอย่างเธอแน่” สายตาคนกล่าวแสดงออกว่ากำลังเหยียดเยาะ

ได้ฟัง วิริยะชะงักกึกและสรรหาคำพูดตอบโต้ไม่ได้ไปพักหนึ่ง ตากลมเบนหลบไปที่ใดสักที่ปรับสีหน้าให้เป็นปกติแม้จะรู้สึกราวถูกมีดแทงอยู่ ซึ่งเชษฐ์ไชยเริ่มรู้ตัวแล้วว่าตนเองพูดจารุนแรง ทำกิริยาหยาบคายกับวิริยะไปมาก ส่งผลให้ทั้งสองต้องเงียบไป และเป็นฝ่ายคนอายุน้อยกว่าที่คิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง เด็กหนุ่มเงยขึ้นมองหน้าเชษฐ์ไชยอย่างผิดหวัง

“ไม่ต้องบอกผมหรอก ผมรู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นใคร”

เชษฐ์ไชยนิ่ง มองหน้าเจื่อนของวิริยะแล้วใจหายขึ้นมาเสียเฉย ๆ

“ผมก็แค่ไม่อยากให้ใครต้องมาลำบากใจเพราะผมก็เท่านั้นเอง ถ้าทำให้อาเชษฐ์เข้าใจผิดก็ขอโทษจริง ๆ”

“เพราะงั้นเลยแสดงออกด้วยการรังเกียจฉันแบบนี้สินะ” คนตัวโตถาม

วิริยะถอนใจ “พอผมพูดดี ๆ แล้ว ทำไมอาเชษฐ์ต้องหาเรื่องด้วยวะ”

“ก็ฉันไม่ชอบวิธีของเธอ มันหยามกันชัด ๆ”

“หยามบ้าอะไร ทำไมต้องแคร์ด้วยว่าผมจะตัดสินใจยังไง”

“เธอไม่ได้ถูกปฏิเสธ เธอไม่เข้าใจ”

“สรุปอาเชษฐ์ชอบผมใช่ไหม!” เด็กหนุ่มโพล่งถาม พร้อมกับเชษฐ์ไชยที่เป็นฝ่ายล่าเมื่อครู่ชะงักกึก สีหน้าเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็รีบตั้งหลักแล้วปรับสีหน้าและอารมณ์ตัวเองมาโวยวาย ทั้งที่เมื่อครู่ยังทำหน้ามึนต้อนวิริยะอยู่เลย

“เข้าข้างตัวเองไปหน่อยมั้ง ฉันแค่ไม่อยากเสียภาพพจน์นายใหญ่ของไร่รุ่งอรุณีเท่านั้นเอง ประสาท!”

“อ๋อ เหรอ รักษาภาพพจน์เขาทำแบบนี้นี่เอง” เด็กหนุ่มยักไหล่

เชษฐ์ไชยรู้สึกหน้าร้อน “เกิดเธอเอาเรื่องฉันพลาดนอนกับเธอไปพูดให้ใครฟัง ชื่อเสียงของฉันก็ป่นปี้ไปหมดน่ะซี เพราะงั้นฉันถึงพยายามให้เธอรับเงินฉันไป จะได้รู้ว่าฉันรับผิดชอบเธอแล้ว แล้วเธอจะได้ไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใครไงล่ะ ชอบนักไม่ใช่รึไง เงินน่ะ...”

วิริยะละรอยยิ้มยียวน ไม่คิดว่าเชษฐ์ไชยจะพูดแบบนี้ “มากเกินไปแล้วนะอาเชษฐ์”

ร่างสูงส่ายหน้าเยาะ “รับเงินฉันแล้วกลับไปซะสิ อยากอยู่แบบสบาย ๆ ไม่ใช่รึไง”

วิริยะหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ มองตาเชษฐ์ไชยอย่างผิดหวัง “ผมนึกว่าคุณแม่งเป็นคนดี แต่สุดท้ายผมก็คิดผิด” พูดจบวิริยะก็เดินกระแทกเท้าออกไปด้วยสีหน้านั้น ไม่ได้เสียงดังและต่อล้อต่อเถียงอย่างเคย ปล่อยให้คนฟังยืนนิ่งราวกับหุ่นหินโดนสาป อาจจะใช่ เพราะแววตาของเด็กหนุ่ม เพราะคำพูด และท่าทางที่ผิดจากเมื่อก่อนไปอย่างถนัดตา สาปให้เชษฐ์ไชยทำตัวไม่ถูกไปพักหนึ่ง

วิริยะไม่ได้ร้องโหวกเหวกโวยวายเหมือนเมื่อครู่ นั่นทำให้เชษฐ์ไชยรู้ว่าตอนนี้วิริยะโกรธจริง ๆ

โกรธจนไม่แม้แต่อยากจะมองหน้าเขา

ไม่รู้เป็นเพราะอะไรที่ทำให้เขาเคืองจนหน้ามืดพูดไม่คิดออกไป เพียงแค่เด็กนั่นไม่อยากเข้าใกล้ ทั้งที่เมื่อก่อนเป็นคนเอ่ยปากพูดเองแท้ ๆ ว่าไม่ต้องการเกี่ยวข้องกัน เชษฐ์ไชยทรุดตัวนั่งลงบนเตียงนอนของตัวเอง ยกมือขึ้นสางผมชื้นขึ้นอย่างไม่เข้าใจตัวเองตอนนี้เอาเสียเลย

ไม่เข้าใจเลย

 

วันถัดมา เชษฐ์ไชยลุกขึ้นมาออกกำลังกายตั้งแต่เช้ามืด บริเวณลานกว้างตรงกลางของหอทั้งสองฝั่งมีที่สำหรับออกกำลัง ลำแขนแข็งแรงโหนยกร่างตัวเองบนบาร์ไปพลาง สายตาก็กวาดมองห้องบางห้องไปพลาง รอดูว่าจะมีคนออกมาหรือไม่

กระทั่งช่วงตีห้า ชายหนุ่มเห็นร่างผอมโปร่งของคนงานใหม่เดินถืออุปกรณ์ส่วนตัวออกมาข้างนอก จุดมุ่งหมายคือห้องอาบน้ำที่เริ่มมีคนงานชายออกมาเตรียมตัวกันแล้ว รวมถึงเจ็ดหนุ่มที่มาร่วมออกกำลังกับเขาอยู่ตรงนี้ด้วย ดำตะโกนร้องทักทายน้องรักของมัน เรียกให้วิริยะหันมาทางนี้ แล้วยกยิ้มตอบรับราวเมื่อวานไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นเชษฐ์ไชยก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายยังคงโกรธ

วิริยะมองผ่านเลยเขาอีกครั้ง ราวกับชายหนุ่มไม่มีชีวิต เป็นต้นไม้ใบหญ้าไร้ความสลักสำคัญ

พักหลังมานี้เชษฐ์ไชยอารมณ์เสีย หงุดหงิดง่ายเป็นพิเศษ หนุ่ม ๆ บอยแบนด์ทั้งเจ็ดต่างหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับเจ้านาย โดยเฉพาะดำที่ไม่ถูกตาเชษฐ์ไชยเป็นพิเศษ แต่ถึงอย่างนั้นก็มักจะถูกใช้เป็นเครื่องมือระบายความหงุดหงิดเล็ก ๆ น้อย ๆ เสมอ ซึ่งไม่มีใครรู้เลยว่าเป็นเพราะอะไร

แต่มีดำเท่านั้นที่สังเกตเห็นสถานการณ์ระหว่างเชษฐ์ไชยกับน้องรักของเขา แม้วิริยะจะเป็นปกติ พูดคุยสนุกสนานกับพวกเขาเช่นเดิม แต่เมื่อใดที่มีเชษฐ์ไชยมาอยู่ในรัศมีตาเห็น วิริยะจะเปลี่ยนสีหน้า และหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้กัน

ส่วนเชษฐ์ไชยก็อีกคน เมื่อก่อนสายตาเยือกเย็นเป็นอสูรร้าย ตอนนี้ดำกลับเห็นแววตาลูกหมาตัวน้อยในนั้น ยามมองตามหลังวิริยะทุกครั้งที่เด็กหนุ่มเดินถอยหนีไป หนุ่มอีสานอยากรู้เหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้น และเขาควรถามจากปากวิริยะเพื่อให้ได้ความกระจ่าง คิดเช่นนั้นแล้วหนุ่มตัวล่ำก็เดินไปหาเด็กหนุ่มที่ง่วนอยู่กับการถางหญ้า

เชษฐ์ไชยเห็นสองคนนั่งสุมหัวกันอยู่ไกลลิบ ๆ แล้วหงุดหงิด เดินกลับออกไปด้านนอกของไร่ ไม่อยากมอง ไม่อยากเห็นหน้าวิริยะแล้วอารมณ์เสีย ฝ่ายเขาต่างหากที่ควรโกรธเพราะถูกหยาม ถูกแสดงท่าทีรังเกียจอย่างออกนอกหน้าอย่างนั้น ดันถูกโกรธเสียได้

วันนี้ท้องฟ้าครึ้มบอกว่าฝนจะตกแน่ แถมเริ่มมีลมกรรโชกแล้วด้วย ชายหนุ่มจึงเดินไปหาลุงแสวง ให้บอกคนงานว่าหากฝนตกก็กลับไปพักกันได้เลย ไม่ต้องฝ่าฝนทำงาน เพราะตอนนี้ก็ย่ำบ่ายแล้ว ไม่ต้องการให้คนงานคนไหนไม่สบายเพราะทำงานกับเขา

เอาเข้าจริงจนถึงเวลาเลิกงานฝนก็ไม่ตกอย่างที่คิด มีเพียงลมที่แรงมากขึ้นเพราะเป็นฝนหลงฤดู เชษฐ์ไชยอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาด้านล่าง เห็นแม่ต้อยกำลังล้างจานชามทำงานบ้านร่วมกับแม่บ้านคนอื่นอย่างขะมักเขม้น นางส่งยิ้มน้อย ๆ ทักทายเขา ทว่าชายหนุ่มทำเมิน เดินไปทิ้งก้นนั่งบนเบาะกระบะยกสูงคู่ใจ แล้วขับออกไปที่หอโดยไม่รู้ว่าไปทำไม

ชายหนุ่มเดินไปยังโรงอาหารเพื่อหาอะไรทาน มองออกไปด้านนอกเห็นพยับฟ้าพยับฝน และสายฟ้าสาดลงที่ใดสักที่ แต่ตรงนี้มีเพียงลมแรง คาดว่าลมอาจจะพัดให้ฝนไปตกที่อื่นแล้วก็ได้

“เอ้า กำลังจะกลับแล้วเหรอ” ผู้ช่วยแม่ครัวคนหนึ่งร้องทักคนงานด้วยกัน เชษฐ์ไชยเพิ่งเห็น ว่าผู้ถูกเรียกเป็นสาวใหญ่ที่อยู่ข้างห้องของวิริยะ หล่อนฉีกยิ้มหวานให้คนทักตอบกลับไปอย่างกันเองว่า “จ้า พอดีฉันติดละครหัวค่ำน่ะ จะรีบกลับไปดู”

“งั้นฝากปลากระป๋องนี่ไปให้วิวหน่อยสิ มันลืมไว้ ช่วงนี้กินเก่งต้องลุกมากินกลางดึก” นางบอก

“ช่วงนี้เห็นพาคนมานอนด้วยทุกวันเลย คงชวนกันกินตามประสาวัยรุ่นนั่นแหละ วัยกำลังโต”

เชษฐ์ไชยนิ่งฟังเมื่อได้ยินเช่นนั้น จากอารมณ์ดีก็พลันนึกฉุนขึ้นมาอีก

“ผู้หญิงรึเปล่าแก เห็นหงิม ๆ ก็ร้ายไม่เบานะเนี่ย พ่อหนุ่มกรุง”

เพื่อนบ้านวิริยะส่ายหน้า “ผู้หญิงไม่ใช่ ก็มีแต่พวกนังส้มที่ชอบแวะไปนั่งคุยกันแป๊บ ๆ แล้วกลับ น่าจะเป็นกลุ่มพวกไอ้ดำมากกว่า ฉันได้ยินเสียงผู้ชายแว่ว ๆ ทุกคืนเลย” นางอธิบาย ได้ฟังแล้วเชษฐ์ไชยก็ผุดลุกขึ้นยืน อารมณ์ไม่ต่างจากท้องฟ้าที่กำลังแปรปรวนตอนนี้เท่าใดนัก เดินกลับขึ้นไปนั่งบนรถยกมือกุมประสาทตนเองไม่ให้ขุ่นเคืองอะไรที่ไร้เหตุผล

แต่วิริยะตั้งใจขัดคำสั่งเขา ท้าทายเขาด้วยการพาคนอื่นเข้าไปนอนด้วยกัน

เดี๋ยวซี เขามีสิทธิ์โกรธเรื่องนี้ที่ไหนกัน!

แต่ไม่รู้ทำไม ในสมองของเชษฐ์ไชยตอนนี้คิดเพียงแค่การหาวิธีทำให้วิริยะไล่ไอ้พวกลิง ๆ นั่นกลับไปนอนที่ห้องตัวเอง เพราะภาพในหัวเชษฐ์ไชยตอนที่ใครสักคนนอนร่วมฟูกแคบ ๆ นั่นกับวิริยะผุดขึ้นเต็มหัวไปหมด และชายหนุ่มรู้สึกว่ารับไม่ได้ คิดแล้วเชษฐ์ไชยก็บึ่งรถกลับไปบ้านพัก ขึ้นไปหยิบสร้อยพระวิริยะติดตัวแล้วเดินดุ่มออกจากบ้าน ไม่สนสายตางงงวยของแม่ต้อย

ค่ำแล้ว ฝนเริ่มหยดเปาะแปะพร้อมกับเมฆฝนหนาก่อตัวขึ้นมากมาย ชายหนุ่มหยุดอยู่หน้าห้องพักของวิริยะ เคาะโดยไม่คิดให้เสียเวลาด้วยซ้ำ หากวิริยะกลัว ต้องการสร้อยพระคืนเขาจะเอาไปให้ และสั่งห้ามให้เด็กหนุ่มพาใครมานอนด้วยอีก

“มาแล้วครับ มาแล้ว ใจเย็น ๆ เด้อ…”

เสียงสดใสของวิริยะขานรับ ราวกับคิดว่าไม่ใช่เชษฐ์ไชยแน่

ซึ่งเด็กตรงหน้าก็แสดงออกเช่นนั้น เมื่อเปิดประตูเห็นเชษฐ์ไชยยืนหน้าขึงขังรออยู่

ระหว่างทั้งสองจึงเงียบไปพักหนึ่ง

“บายเด้อ…” วิริยะทำท่าจะปิดประตู แต่คนอายุมากกว่าไม่ยอม

“ไม่ต้องมาเนียนเลย” เมื่อเห็นว่าท่าทีของวิริยะไม่แย่นัก สุ้มเสียงแข็งขืนของเชษฐ์ไชยเองก็อ่อนลงไป เอื้อมมือไปดึงประตูแล้วถือวิสาสะเดินเข้าไปภายในห้อง เมื่อเห็นตาของวิริยะที่ก้มลงมองรองเท้าเขาเปื้อนฝุ่นโคลนมาด้วย ชายหนุ่มถอดรองเท้าแล้วปิดประตูเพราะลมแรง เกรงว่าฝุ่นจะปลิวเข้ามาข้างใน

ความเย็นของสายฝนสาดกระหน่ำลงบนหลังคาเสียงดัง แต่ภายในใจของทั้งสองกลับเงียบเชียบไป เชษฐ์ไชยเหลือบมองเพื่อนของหลานชาย ดูเหมือนวิริยะจะใจเย็นลงบ้างแล้ว ความเคืองโกรธเมื่อหลายวันก่อนเจือจางลงไปมาก เหลือเพียงใบหน้าที่เคยขาวใสยู่ยับเพราะไม่รู้จะวางตัวอย่างไรต่อหน้าเขา หรือไม่ก็พยายามแสดงออกให้เชษฐ์ไชยเห็นว่ายังคงโกรธอยู่

เชษฐ์ไชยควรแก้ไขสถานการณ์เช่นนี้ก่อน ก่อนจะพูดเรื่องอื่น

“ขอโทษ”

ชายหนุ่มพูดขึ้นฝ่าความเงียบอย่างรวดเร็ว รู้สึกกระดากอายที่ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยก่อน

เรียกให้คนงอนเงยขึ้นมองเพราะได้ยินไม่ชัด “ฮะ” เด็กหนุ่มย้อน

เชษฐ์ไชยถอนใจ “ขอโทษ” พูดช้าลงกว่าเดิม

เมื่อได้ยินชัดเจนแล้วว่าอย่างไร คนฟังอมยิ้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าของจอมวางท่า เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้า “อะไรนะ...”

เด็กหนุ่มเห็นแววตาค้อนของเชษฐ์ไชย คนตัวใหญ่จิ๊ปากราวอารมณ์เสียหรือถูกขัดใจ อาจเพราะรู้ว่าตัวเองกำลังถูกเขาแกล้งก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยอมพูดอีกครั้งด้วยเสียงที่กล้าหาญขึ้นกว่าเก่า “บอกว่าขอโทษ จะไม่ปากหมาอีก พอใจยัง”

เมื่อเห็นว่าเชษฐ์ไชยตั้งใจจริง ๆ วิริยะทำท่ากอดอกยอมรับในสิ่งที่ได้ยิน พยักหน้ารับอยู่สองสามที “ก็ได้ สัญญาแล้วนะ ห้ามปากหมาใส่ผมอีก” เด็กหนุ่มพูด สีหน้ากึ่งโกรธกึ่งไม่โกรธ

เชษฐ์ไชยพยักหน้าเออออ ทำเก๊ก

ฝ่ายวิริยะเองก็แสร้งตีหน้าขึงขังได้พักเดียว ก่อนจะยอมยิ้มอย่างเต็มปากให้คนตรงหน้าอีกครั้ง บอกว่าหายเคืองใจแล้ว และพอใจที่ได้ยินคำขอโทษก่อน ซึ่งเป็นการหายโกรธที่ง่ายกว่าเชษฐ์ไชยคิดไว้มาก อาจเป็นเพราะนี่คือวิริยะผู้สดใสและเป็นที่รักของทุกคนในไร่ ผู้ไม่เคยสร้างความลำบากใจให้คนอื่นเลยกระมัง

มีแต่สร้างรอยยิ้ม ด้วยยิ้มที่สดใสจากเจ้าตัวเอง

เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา รอยยิ้มที่ทำให้เชษฐ์นึกขึ้นมาทุกทีว่า

ทุกสิ่งทั้งหมดต่อหน้านี้ เป็นของเขา…


--๑๐๐--


-----------------------------------------------------

ค้นพบคนกลัวเมียหนึ่งอัตรา แถมหลงเมียหนักมาก หวงก้างหนักมากเช่นเดียวกัน

ตอนหน้าเดี๋ยวเจอคนจอมแถ 2017 นะคะ

แถยังไงให้ได้นอนห้องเดียวกับเมีย แถยังไงให้เมียดูแลตอนป่วย อิอิ

มีใครหลงน้องวิวเหมือนเค้าบ้าง มาเม้ามอยกันเถอะ



ขอกำลังใจรัว ๆ เลยจ้า

หัวข้อ: Re: **{17.3.61-ตอนที่ ๑๐--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 17-03-2018 02:56:55
นี่กลัวเมียแล้วหรือเนี่ย คิดไปเองมากกว่านะ ปากจัดปานนี้ ไผจะคิดเอาทำปัว หรือวิวจะว่าไง  :hao3:
หัวข้อ: Re: **{17.3.61-ตอนที่ ๑๐--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-03-2018 03:16:26
ดีนะที่ยอมลงให้
หัวข้อ: Re: **{17.3.61-ตอนที่ ๑๐--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 17-03-2018 09:34:15
ดีค่ะ ค่อยๆขยับความสัมพันธ์ ^^
หัวข้อ: Re: **{17.3.61-ตอนที่ ๑๐--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 17-03-2018 10:07:16
ต้องง้อสิจ๊ะ เด็กๆ น่ารักน้าาา ไม่งั้นเสร็จดำชัวร์ ยิ่งตัวแกล้งอยู่ด้วย อิอิอิ
  :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: **{17.3.61-ตอนที่ ๑๐--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 17-03-2018 13:37:29
หลงเมียเด็กสุดๆเลย 5555
หัวข้อ: Re: **{17.3.61-ตอนที่ ๑๐--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 17-03-2018 13:44:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **{17.3.61-ตอนที่ ๑๐--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 17-03-2018 14:28:41
สงสารดำจัง 55555 แต่น้องวิวน่าเอ็นดูมากจริงๆค่ะ ยิ่งตอนคุยกะพัดลมนะน่ารัก ส่วนอาเชษฐ์คนปากแข็ง นี่ก็ปากแข็งซะจริง
หัวข้อ: Re: **{18.3.61-ตอนที่ ๑๑--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 18-03-2018 00:32:04


ตอนที่ ๑๑

สองทุ่มครึ่งแล้ว และแม้ว่าเรื่องระหว่างวิริยะกับเชษฐ์ไชยจะลงเอยด้วยความเข้าใจกัน แต่เอาเข้าจริงเด็กหนุ่มรู้สึกแปลก วางตัวไม่ถูกเมื่อเห็นว่าเจ้าของสถานที่แห่งนี้ยังทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่ยอมกลับไปที่พักของตัวเองสักที

เด็กหนุ่มเริ่มหาวเพราะตื่นตั้งแต่เช้า ยังไม่ง่วงนอนมากมายนักแต่ก็อยากนอนเล่นไปพลาง ๆ ก่อน แทนที่จะนั่งหลังแข็งมองคนหน้าหนวดตรงหน้าอย่างนี้ จู่ ๆ มีใครมานั่งจ้องตอนทำตัวสบาย ๆ เป็นใครก็ต้องรู้สึกเกร็งกันทั้งนั้น

“อาเชษฐ์ จะกลับรึยังครับ” เด็กหนุ่มถามขึ้น มองชายตัวใหญ่หน้ารกทำไม่รู้ไม่ชี้นั่งเขี่ยโทรศัพท์ไปเรื่อย

“ยัง ฝนยังตกอยู่เลย”

วิริยะถอนใจ “แต่ผมง่วงแล้วอ่ะ”

“ง่วงก็นอนสิ นอนเลย” เชษฐ์ไชยพยักพเยิดหน้า หากทว่าวิริยะกลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

“ฝนตกแค่ปรอย ๆ เองนะครับ”

เจ้าของนัยน์ตาคมผละไปมองเด็กหนุ่ม “ทำไม อยากไล่ฉันออกไปเพราะนัดใครไว้รึไง”

“บ้า ไม่มีหรอก” วิริยะรีบตอบเพราะบริสุทธิ์ใจจริง ๆ เด็กหนุ่มมุ่ยหน้าเดินไปกางมุ้งและที่นอนเสร็จสรรพเป็นการไล่เชษฐ์ไชยโดยอ้อม บอกอีกฝ่ายว่าเขาอยากนอนเต็มแก่แล้ว แม้ว่าจริง ๆ ยังไม่ได้ง่วงขนาดนั้นก็เถอะ ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายเห็นดังนั้นแทนที่จะลุกขึ้นล่ำลาหรือพูดอะไรสักอย่าง กลับเมินเฉยต่อเขาแล้วหมกมุ่นกับโทรศัพท์ในมือเสียอย่างนั้น

เสียงฟ้าร้องดังครืนอยู่ที่ไหนสักแห่ง แล้วฝนก็กระหน่ำลงมาใหม่ราวกับเป็นใจให้เชษฐ์ไชย จนวิริยะต้องถอนใจ หงุดหงิด “อาเชษฐ์อย่าเล่นโทรศัพท์ได้ไหม ไม่เห็นเหรอว่าฟ้าร้องอยู่ ฝนก็ตกอีกแล้ว ผมไม่ชอบ…”

พูดไม่ทันจบดี ไฟฟ้าทั้งหมดในบ้านก็ดับพรึ่บลง ทำเอาวิริยะเท้าชาวาบเพราะตกใจ เชษฐ์ไชยทำตามที่เด็กหนุ่มพูดอย่างว่าง่าย ปิดเครื่อง แล้วโยนมันไปที่ไหนสักแห่งในความมืดมิดของห้อง ท่ามกลางเสียงฝนเทกระหน่ำลงบนหลังคา

“อาเชษฐ์…”

วิริยะขานชื่อชายหนุ่มอยู่อีกมุม หากทว่าเชษฐ์ไชยไม่ได้ตอบในทันที “อาเชษฐ์ครับ…”

“อะไรเล่า เรียกทำไม”

“อยู่ตรงไหน” เสียงวิริยะอยู่ใกล้ ไม่ทันได้ตอบมือยาว ๆ ก็ควานมาแตะถึงตัวของชายหนุ่ม พร้อมกับเสียงถอนหายใจของคนกลัว โล่งอกที่เจอเขาจนได้ เชษฐ์ไชยยกยิ้มเมื่อรู้เช่นนั้น สัมผัสได้ว่าวิริยะทิ้งก้นนั่งข้างกายเขา ข้างกายชนิดที่ว่าเกือบจะนั่งอยู่บนตักแล้ว

ชายหนุ่มทำท่ารำคาญ พูดออกไปว่า “อะไรเนี่ย จะมาเบียดทำไม ร้อน”

วิริยะกระเถิบออกเล็กน้อยเท่านั้น “ร้อนตรงไหน อากาศเย็นจะตาย”

“แล้วจะมาเกาะแกะทำไม ที่นั่งมีเยอะแยะ”

“เดี๋ยวอาเชษฐ์กลัวไง” วิริยะทำเสียงล้อเลียน

“ใครกลัวกันแน่มิทราบ”

“หาว่าผมกลัวเหรอ ผมไม่ได้กลั๊ว” วิริยะบอกเสียงสูง เรียกรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของเชษฐ์ไชยอย่างเสียไม่ได้ ดีหน่อยที่ว่าตอนนี้ไฟดับจึงสามารถกลบเกลื่อนท่าทีตอนนี้ได้สนิท ไม่นานก็ได้ยินเสียงไฟฟ้าแล่นเข้ามาที่หลอดไฟด้านบนดังแกร๊ก และพัดลมที่เริ่มหมุน

“อุ๊ เหมือนไฟจะมาแล้วเลยอาเชษฐ์” วิริยะเขย่าแขนกำยำคนอายุมากกว่าอย่างดีใจและโล่งอกในคราเดียวกัน เมื่อเห็นไฟฟ้ากำลังกะพริบติดและพัดลมหมุน กระทั่งห้องทั้งหมดสว่างโร่แล้ววิระยะหันไปหาคนนั่งข้างที่ไม่สนองตอบต่อความดีใจของเด็กหนุ่ม ทว่า วิริยะเห็นใบหน้าของเชษฐ์ไชยตอนนี้ตาเหลือกเหลือเพียงตาขาว และหนังตาถูกพับปลิ้นขึ้นเป็นผีหลอกอยู่ “อ๊ากกกก!”

วิริยะร้องเหวอแล้วกระเถิบออกห่าง ตกใจท่ามกลางเสียงหัวเราะพอใจของคนอายุมากกว่าที่แกล้งได้

“อาเชษฐ์ ทำบ้าอะไรวะนั่น เอาตาลงดี ๆ เลย!” วิริยะกุมอกตัวเองเมื่อเรียกสติได้ หน้าจ๋อยเหลือสองนิ้วสิ้นลายคนอวดเก่ง ซึ่งเชษฐ์ไชยยังคงหัวเราะชอบใจ พูดว่า “ก็เห็นว่าคนแถวนี้ไม่กลัวผี”

“เป็นใครก็ตกใจมั้ย” เด็กหนุ่มยู่หน้า ลุกขึ้นยืน “กลับไปนอนเลย นี่มันถึงเวลานอนผมแล้ว”

“ฝนมันยังตกอยู่เลย”

“เอาไอ้นี่ไปใส่ก็ได้ ฝนตกเม็ดเล็ก ๆ เอง” วิริยะเดินไปหยิบถุงพลาสติกใส่ของที่ได้มาช่วงออกไปซื้อขนมกับดำ แล้วพับหูมันขึ้นเป็นหมวก ยกขึ้นไปครอบสวมให้คนตัวใหญ่กว่าที่นั่งอยู่บนพื้นอย่างเสร็จสรรพ “มันจะได้ยินเสียงป๊อกแป๊ก ๆ หน่อย แต่เหมาะกับอาเชษฐ์มากเลยนะ” คนตัวเล็กกว่ากลั้นขำบอกพลางยกนิ้วโป้งให้

“เพื่อนเล่นเหรอ”

เด็กหนุ่มที่กำลังสนุกยิ้มแหย ยอมเป็นคนถอดให้เองเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ก็แค่หวังดีไง กลัวไม่สบายอะไรงี้”

“อ๋อ งั้นให้ค้างที่นี่สิ”

“อืม” เด็กหนุ่มพยักหน้า แล้วเหลือกตาย้อน “ห๊า...”

“ก็ไม่ได้อยากค้างหรอก แต่ฝนมันตก เดี๋ยวไม่สบาย เห็นอย่างนี้กระหม่อมฉันบางนะ…” พูดแล้วเชษฐ์ไชยก็เดินตรงไปยังที่นอนที่วิริยะตระเตรียมไว้ ถือวิสาสะมุดเข้าไปทิ้งตัวลงนอนภายในมุ้งสีฟ้าของเด็กหนุ่มราวกับว่ารอช่วงเวลานี้มานานมาก วิริยะหน้าเหวอ ไม่เข้าใจความคิดและการกระทำอันสวนทางของคนอายุมากกว่าตรงหน้าสักเท่าไร ซึ่งใครจะไปยอมให้ทำเช่นนั้นโดยง่ายกัน

ใครจะไปเชื่อว่าเชษฐ์ไชยจะไม่สบายเพียงแค่เพราะตากฝนนิด ๆ หน่อย ๆ ดูขนาดตัวสิ เด็กหนุ่มคิดแล้วมุดเข้าไปดึงให้คนตัวยักษ์ลุกขึ้นนั่ง “ไม่ได้ นี่มันที่นอนผม อาเชษฐ์ก็กลับไปนอนที่ห้องอาเชษฐ์สิ”

คนถูกเรียกทำหน้ารำคาญ “ก็ฝนมันตกไง พูดให้มันรู้เรื่องหน่อยสิ”

“ก็ตัวเองนั่นแหละพูดไม่รู้เรื่อง ที่นอนมันแคบจะนอนตรงนี้ได้ยังไง ผมทำงานหนักมาทั้งวัน อยากพักผ่อนแบบเต็มอิ่มจะได้มีแรงทำงาน ไม่ยกที่นอนให้อาเชษฐ์หรอกนะ กลับไปนอนบนเตียงนุ่ม ๆ ของตัวเองโน่น” วิริยะพูดพลางดึงแขนให้เชษฐ์ไชยขยับออกมานอกมุ้ง หากทว่าร่างใหญ่ไม่สะทกสะท้านกับแรงของเด็กหนุ่มเลยแม้แต่น้อย

ซึ่งเชษฐ์ไชยจะไม่มีทางยอมกลับไปแน่ หากเขายังไม่ได้รู้ว่าวิริยะนัดกับใคร และนอนกับใครตลอดช่วงที่ผ่านมา ชายหนุ่มนึกอะไรขึ้นมาได้จึงรีบพูดออกไปว่า

“เวลาฝนตกไฟมันชอบดับทั้งคืนเลย”

คนตั้งหน้าตั้งตาไล่เขาชะงักไปพักหนึ่ง แล้วละมือที่กระตุกดึงแขนหยุดชั่งใจอยู่ชั่วครู่ราวกับไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้พยายามไล่เชษฐ์ไชยอย่างเคย

“ถ้าไม่ว่าอะไร เดี๋ยวของีบรอก่อนก็แล้วกัน ถ้าฝนหยุดตกเมื่อไรฉันจะกลับ”

ถ้ามันตกทั้งคืนจะทำยังไงเล่า วิริยะทำหน้างอพูดไม่ออก แต่ก็ไม่กล้าไล่ให้ไปตรง ๆ “ก็ได้…”



แม้ว่าภายนอกจะได้ยินเสียงเปาะแปะของเม็ดฝนที่ตกลงมาบนหลังคาอยู่ตลอด แต่ภายในที่มืดสลัวนั้นกลับเงียบไร้เสียงสนทนาอะไรทั้งสิ้น ยาวนานมาราวครึ่งชั่วโมงแล้ว วิริยะห่มผ้าห่มพลิกตัวนอนตะแคงหนี ไม่ยอมให้เชษฐ์ไชยนอนบนฟูกร่วมกันกับเขา ให้นอนในมุ้งแต่อยู่บนเสื่อน้ำมันเท่านั้น ซึ่งเมื่อดับไฟแล้ว ในห้องก็เกิดแสงสะท้อนสาดเข้ามาจากข้างนอกจนเห็นอยู่ลาง ๆ ว่าคนตัวใหญ่นอนหันหน้ามาทิศนี้

อีกฝ่ายนอนหนุนแขนตนเอง ไม่มีหมอนและผ้าห่ม นอนบนเสื่อน้ำมันเปล่าในมุ้งเดียวกันเท่านั้น เด็กหนุ่มไม่เข้าใจว่าเหตุใดเชษฐ์ไชยจึงไม่เรื่องมาก จะมีก็แต่เขาที่นอนเหงื่อแตกแต่ไม่กล้าออกจากผ้าห่ม ไม่กล้าที่จะหลับ

แต่อยู่ในความคิดเพียงครู่เดียวเท่านั้น วิริยะรู้สึกถึงลมอุ่นร้อนรดอยู่ที่หลังคอและใบหู

“อาเชษฐ์”

“หืม…” เสียงคนขานตอบเบาคล้ายใกล้จะหลับอยู่เต็มที แต่สามารถบอกวิริยะว่าอยู่ใกล้แค่คืบเดียวเท่านั้น เด็กหนุ่มเหลือกตาตกใจขึ้นกว่าเก่า “ลงไปนอนที่เดิมเลย”

“ก็พื้นมันแข็ง” คนพูดใช้เสียงอู้อี้

“มันเบียด”

“เดี๋ยวก็กลับแล้ว แค่แป๊บเดียวเอง” ได้ยินที่เชษฐ์ไชยบอกแล้ววิริยะอยากจะบ้า นี่มันแป๊บเดียวแบบไหนของเชษฐ์ไชยกัน ผ่านมาเป็นชั่วโมงแล้วไม่มีทีท่าว่าจะกลับเลยแม้แต่นิด เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วขยับตัวกลับมานอนหงายเพราะอยากได้ที่นอนคืน ดุนดันให้คนตัวใหญ่กว่ากลิ้งออกไปจากฟูก แต่ที่ไหนได้ เมื่อคนนอนตะแคงหันมาทิศนี้ทำท่าจะหงายหลังไป มือกลับไวยิ่งกว่าสามจี เอื้อมมารั้งตัวกอดวิริยะเป็นหลักไว้ได้ทัน

เด็กหนุ่มพูดไม่ออกเมื่อกลายเป็นว่าถูกกอดเอาเสียได้ และระยะที่ใบหน้าคมคายในเงาสลัวอยู่นั้น ใกล้จนเขาต้องหยุดหายใจไปพักหนึ่ง แต่ไม่นานวิริยะก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าไม่ควรอยู่ในท่านี้นานนัก มันออกจะรู้สึกแปลก ๆ ไปหน่อย เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นนั่งปัดไล่ความรุมร้อนออกจากแก้ม แล้วหันไปหากอริลล่าตัวใหญ่ด้านหลัง “ไม่ไหวแล้วนะอาเชษฐ์ ถ้าจะนอนก็นอนที่ตัวเองสิ”

“ก็ไม่ได้อยากนอนด้วยนักหรอก แต่พื้นมันแข็งไง”

“ถึงได้บอกให้กลับไปนอนที่บ้านไงล่ะ”

“แต่ฝนมันตกนี่…”

“อาเชษฐ์ตัวเท่าควายจะไม่สบายง่าย ๆ แบบนี้น่ะเป็นไปไม่ได้หรอก”

“ก็มันเป็นไปแล้ว เนี่ย ตัวเริ่มร้อนแล้วเนี่ย…” ไม่พูดเปล่า ดึงหลังมือวิริยะไปแนบลำคอด้วย

“โว้ย…” เด็กหนุ่มกระตุกแขนกลับไปไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดเพราะหน่ายใจ

“ไม่ดีรึไง ฉันอุตส่าห์ยอมนอนเป็นเพื่อนด้วย เกิดเจอดีขึ้นมาจะได้ไม่ต้องกลัว” คนพูดตีหน้ามึนไม่รู้สึกรู้สา

“ไม่กลัวหรอก ผมมีเพื่อนนอนแล้ว” วิริยะพูดตามตรงเพราะสุดทน แต่นั่นทำให้นายใหญ่ของไร่รุ่งอรุณีหน้าตึงขึ้นมา จากอารมณ์ดี ๆ ก็พลันมีน้ำโหหลังจากได้ยินกับหู ได้ฟังจากปากของวิริยะ คนตัวใหญ่ลุกขึ้นนั่งหลังตรงเพราะเริ่มอยู่ไม่ติด มองใบหน้าขาวใสภายใต้แสงสลัวของห้องสีหน้าเรียบนิ่ง

“นี่ไม่ไปนอนกับเขา ก็พาเขามานอนที่ห้องงั้นเหรอ” ชายหนุ่มย้อน ซึ่งวิริยะยักไหล่ไม่ได้รีบร้อนอธิบายอะไร

“ทุกคืนเลยแหละ…”

คนฟังพ่นลมหายใจฟืดฟาด ยกนิ้วชี้ชี้หน้าวิริยะออกคำสั่ง “ฉันขอสั่งเดี๋ยวนี้เลยนะว่าห้ามพาใครมานอนด้วยทั้งนั้น”

“ทำไมล่ะ ผมก็ไม่ไปนอนห้องพี่ดำแล้วไง” วิริยะรีบแย้ง

“ฉันไม่อนุญาต” วิริยะไม่รู้จะหาคำไหนมาเถียงอีกต่อไป เด็กหนุ่มย่นคิ้วมองคนตัวโตที่นั่งตรงกันข้ามอย่างนึกหงุดหงิดที่ไม่สามารถพูดอะไรได้ ก็เห็นอุตส่าห์เดินมาง้อ ขอโทษเขาแล้ว นึกว่าจะเป็นคนดีกว่าเดิม ที่ไหนได้ยังเอาแต่ใจไม่ยอมเปลี่ยน

ขณะที่ทั้งสองไม่ยอมพูดกันเพราะความไม่พอใจก็เกิดเสียงกุกกักขึ้น เรียกความสนใจของเชษฐ์ไชยและวิริยะไป เด็กหนุ่มเบิกตาเมื่อนึกอะไรได้ จะลุกออกจากมุ้งไปทว่าคนตัวโตกว่าไม่ยินยอม

“จะไปไหน” มือหนารั้งต้นแขนวิริยะ “มันมาแล้วใช่ไหม ถ้าฉันรู้ว่าเป็นใคร รับรองว่ามันไม่อยู่ดีแน่”

วิริยะฟังแล้วถอนใจเฮือกใหญ่ “ตามสบาย” ไม่ได้กลัวว่าคนคนนั้นจะเดือดร้อนด้วยสักนิด

เด็กหนุ่มดึงต้นแขนออกจากอาณัติของเชษฐ์ไชยไปเปิดไฟให้ภายในห้องสว่างขึ้น หนุ่มเจ้าของไร่รีบเดินตามหลัง หากทว่าวิริยะไม่ได้เดินมุ่งไปยังประตูห้องอย่างที่คิด กลับหันไปอีกทาง หยุดอยู่ใต้ฝ้าช่องที่เป็นรูอยู่ครู่หนึ่งราวกับกำลังรออะไร เชษฐ์ไชยมุ่นคิ้วเมื่อท้ายที่สุดก็ปรากฏผู้มาใหม่ พร้อมกับเลือดที่แล่นเข้าสู่ใบหน้าของชายหนุ่มจนแดงเป็นปื้น เมื่อเห็นเจ้าแมวตัวหนึ่งชะโงกหน้าลงมา ร้องเหมียว ๆ เรียก

“ว่าไง มาแล้วเหรอ” วิริยะร้องทักมัน

เชษฐ์ไชยยกมือขึ้นสางผมพร้อมกับความอับอายขายขี้หน้าประเดประดังเข้ามาไม่หยุด มองวิริยะอ้าแขนรับไอ้แมวลายเสือตัวอ้วนที่กระโดดลงมาราวกับคุ้นชินกันนักหนา นี่เขาเป็นเดือดเป็นร้อน ตั้งหน้าตั้งตาขัดขวางวิริยะ และกลายเป็นไอ้บ้าก็เพราะแมวตัวเดียวอย่างนั้นหรือ!

“แกนี่ชักตัวหนักขึ้นทุกวันแล้วนะ จะรับไม่ไหวแล้ว”

พูดกับพัดลมอย่างเป็นตุเป็นตะหรือแม้กระทั่งเสียน้ำตาให้ก็เคยมาแล้ว เชษฐ์ไชยเหงื่อแตก เชื่อว่าที่เพื่อนข้างห้องได้ยินนั้น ต้องเป็นตอนที่วิริยะกำลังพูดกับไอ้แมวตัวนี้อยู่เป็นแน่

“ทำไมวันนี้มาเร็วจัง พี่หลง” วิริยะอุ้มพลางลูบขนของมันเล่นราวสนิทสนม ก็คงใช่

ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย ที่ผ่านมาเขาทำอะไรลงไปบ้างนี่ เชษฐ์ไชยคิดพลางมองเด็กหน้าใสตรงหน้าพูดคุยกับเจ้าเหมียวตาเฉี่ยว ช่วงวินาทีหนึ่งเขาเห็นว่าวิริยะผละมามอง แล้วยกยิ้มราวกับเป็นตัวร้ายในละครที่รู้เท่าทันว่าตอนนี้เขาขายขี้หน้าเพียงไหน แต่เขาคงวิตกไปเอง แบบวิริยะน่ะหรือจะยิ้มแบบนั้น

กระทั่งเด็กหนุ่มเดินผ่านเชษฐ์ไชยไป เขาถึงได้เห็นว่าหัวไหล่เล็ก ๆ เคลื่อนไหวขึ้นลง

พร้อมเสียงหัวเราะคิกคักของอีกฝ่าย!

เออ เขาโกรธจนหน้ามืดไม่ทันได้คิดให้ดี ใครจะไปรู้ว่าเป็นแมวกันเล่า!

“ถะ ถ้ามีเพื่อนนอนด้วยแล้ว ฉันกลับดีกว่า” คนหน้าแตกพูดขึ้น แล้วเดินดุ่มออกไปพร้อมรอยยิ้มที่ปิดไม่มิดของวิริยะ แต่ก่อนจะปิดประตู คนหน้าหนวดยังทำเป็นขึงขังหันกลับมาพูดด้วยว่า “เอ้อ ที่จริงไอ้แมวตัวนี้มันชื่อเสือ ไม่ได้ชื่อหลง…”

วิริยะละรอยยิ้ม “รู้ได้ไง”

คนตัวใหญ่นิ่ง แล้วพูดอ้อมแอ้ม “แมวฉันเอง”

แล้วก็ปิดประตูไป พร้อมกับความงงของเด็กหนุ่มหลังได้ยินประโยคสุดท้าย

ที่จริงวิริยะก็คิดอยู่ว่าหากมันมีปลอกคอก็ต้องมีเจ้านาย แต่ไม่คิดว่าไอ้พี่เสือผู้แวะมานอนเป็นเพื่อนของเขาทุกคืนนั้น จะเป็นของเชษฐ์ไชย คิดแล้วเด็กหนุ่มก็ก้มลงพินิจบนคอฟู ๆ ของมัน แหวกขนออก เพิ่งเห็นตัวหนังสือเท่าหม้อข้าวหม้อแกงเขียนไว้ว่า ‘แมวนายเชษฐ์’ นี่ตาเขาบอดหรือไงถึงไม่เคยเห็นสักครั้งเดียว คิดแล้วรอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าเด็กหนุ่มอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ยิ่งนึกถึงตอนเชษฐ์ไชยเหวอ ยิ่งตลก

“เอ้า นี่รางวัลที่หักหน้าอาเชษฐ์ได้” เด็กหนุ่มให้มันกินปลากระป๋องอย่างเช่นทุกคืน

เมื่อมันกินเสร็จก็เลียแข้งเลียขา เดินออดอ้อนอยู่ช่วงหนึ่งวิริยะก็อุ้มไปปิดไฟนอน

ความอบอุ่นยามพี่เสือแทรกตัวเข้ามาเคลียคลอแม้จะไม่มากเท่าร่างกายใหญ่โตเมื่อครู่ใหญ่ แต่ครั้นวิริยะได้พริ้มตาหลับ แล้วนึกถึงภาพเมื่อช่วงหัวค่ำตั้งแต่แรกเริ่มจนวินาทีที่เชษฐ์ไชยเดินออกไป เขาไม่ทันได้รู้ตัวเลย ว่ารอยยิ้มเปื้อนหน้าอยู่ตลอดจนหลับไป

“เจ้านายแกนี่น่ารักดีนะ พี่เสือ…”





--๕๐--



-------------------------------------------------



ไม่ไหวแล้ววววววว แก้มร้อนไปกับอาเชษฐ์และความน่ารักของน้องวิววิวหนักมาก

มีความปากแข็งและความอ้อนเมียไปอีกกกกก

หลังจากงอนง้อกัน ก็มีความสนิทกันเพิ่มขึ้น และคนพี่ก็อาการออกมากขึ้นไปอีกเท่าตัว มาดูว่าจะโป๊ะแตกเมื่อไหร่นะคะ ยังมีความน่ารักของทั้งสองอีกเยอะ อย่าลืมติดตามกันเน้อออ

เหมือนเดิมค่ะ กำลังใจหลักคือการได้นั่งอ่านความคิดเห็นของทุกคน



หัวข้อ: Re: **{18.3.61-ตอนที่ ๑๑--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-03-2018 01:01:31
นายหัวหึงแมว รู้ไปถึงไหน อายไปถึงนั่น  :jul3:
หัวข้อ: Re: **{18.3.61-ตอนที่ ๑๑--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-03-2018 03:34:56
กระหม่อมไม่บางแล้วใช่ไหม
หัวข้อ: Re: **{18.3.61-ตอนที่ ๑๑--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 18-03-2018 07:05:51
ปลากระป๋องไม่ดีต่อสุขภาพแมวนะคะ
หัวข้อ: Re: **{18.3.61-ตอนที่ ๑๑--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 18-03-2018 08:32:12
อาเชษฐ์นี่โวยวายเล่นใหญ่เก้อเลย มาเจอน้องเสือ 55555
หัวข้อ: Re: **{18.3.61-ตอนที่ ๑๑--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 18-03-2018 16:19:30
ที่มาเฝ้านี่ กลัวดำมานอนด้วยหรือจ๊ะ
แล้วไง กลายเป็นแมวซะงั้น ฝนก็ยังไม่หยุด
กลับได้ไม่กลัวเป็นหวัดซะงั้น
 :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: **{18.3.61-ตอนที่ ๑๑--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 18-03-2018 23:43:09
อาเชษฐ์คะ เสียท่าแมวแล้วอ่ะ อุวะห้่าห้า
หัวข้อ: Re: **{19.3.61-ตอนที่ ๑๑--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 19-03-2018 00:01:07
(ต่อ)


เขาว่ากันว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับแมวคือนายกับทาส เมื่อใดที่แมวตัวหนึ่งเจอกับใครสักคนที่สามารถตอบสนองความต้องการของมันได้ มันจะวนเวียนอยู่แถวผู้นั้น แต่ไม่ใช่เพื่อให้มนุษย์มีความสุข เพื่อความสบายของตัวมันเองต่างหาก และถ้ามันเจอกับทาสที่ทำตัวเป็นนายอยู่ตลอดเวลา ไม่สนใจใคร่ตอบสนองความต้องการของมัน อย่างเชษฐ์ไชย ไม่แปลกที่พี่เสือจะหนีออกมาหาทาสผู้จงรักภักดีอย่างวิริยะ

เสียงเหมียว ๆ ร้องเรียกให้เด็กหนุ่มตื่นก่อนเวลานาฬิกาปลุก วิริยะลืมตา เห็นแมวลายเสือแล้วขยับไปลูบขนเกาคางเป็นการทักทายยามเช้ามืด พี่เสือพริ้มตาหลับพึงพอใจ กลิ้งหลุน ๆ ตามมือของเด็กหนุ่มอยู่เช่นนั้น เล่นกันจนกระทั่งถึงเวลาต้องตื่นจริง ๆ แล้ว วิริยะจึงลุกขึ้นตระเตรียมเสื้อผ้าไปอาบน้ำ เปิดประตูปล่อยให้เพื่อนนอนกลับบ้าน

แล้วเสร็จวิริยะก็เดินออกไปช่วยคนงานชายเก็บผัก ยกกลับมาที่โรงครัว น่าแปลกที่วันนี้ไม่เห็นเชษฐ์ไชยออกมาวิ่งหรือออกกำลังกายที่ลานกลางแจ้งอย่างเคย คิดแล้วใบหน้าใสก็ผุดรอยยิ้มขึ้น ภาพน่าขันเมื่อคืนยังชวนให้เด็กหนุ่มตลกได้ไม่เบื่อ สงสัยจะยังอายอยู่

ทั้งที่ยังงงอยู่ว่าบางทีเชษฐ์ไชยก็แปลก ไล่ให้กลับยังไงก็ไม่ยอม

“วิว” ส้มร้องเรียกเด็กหนุ่ม ซึ่งวันนี้กุ้งกับตาก็ตื่นแต่เช้ามาช่วยด้วย เห็นแล้ววิริยะก็พยักหน้ารับ เดินไปหาพี่สาวทั้งสามโดยดี “มาตรงนี้เร็ว มา ๆ”

“คร้าบ ๆ” เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มให้คนเรียก ครั้นไปถึงก็หยิบจับโน่นนี่ช่วย ในขณะที่เห็นหนุ่ม ๆ คนอื่นออกกำลังกายกันอยู่ลานกลางแจ้งฝั่งหอพัก และอีกส่วนที่กำลังวิ่งรอบไร่ เสียงสามสาวกระดี๊กระด๊าชอบใจยามชวนกันดูหุ่นแซ่บ ๆ ของบอยแบนด์รุ่นพี่ของเขา

วิริยะยกยิ้ม ทำงานไปพลาง ถามไปพลาง “เอ้อ วันนี้อาเชษฐ์ไม่มาออกกำลังกายเหรอ”

“ก็ยังไม่เห็นมานะ สงสัยวันนี้ขี้เกียจ” ส้มบอก

“มีวันขี้เกียจด้วยเหรอ” วิริยะหัวเราะ “ตัวใหญ่ขนาดนั้น หุ่นอย่างกับพวกบ้าฟิตเนสอ่ะ”

“คนเราก็มีวันขี้เกียจหมดนั่นแหละจ้ะ พี่เองยังขี้เกียจทุกวันเลย ลืมตาตื่นมาทุกเช้าก็พูดขึ้นมาทุกทีว่าขอหยุดซักวันเหอะ แต่มันทำไม่ได้ไง เดี๋ยวอดตาย” ตาบอก แล้วเสียงหัวเราะทั้งกลุ่มก็ดังขึ้นมา

“ว่าแต่วิวไม่ไปออกกำลังกายบ้างเหรอ ให้เทพบุตรของพวกพี่สอนให้ ดีจะตาย” กุ้งถาม

วิริยะเบิกตา ยิ้มให้พี่สาวทั้งหมด “ไม่เอาอ่ะ แค่ทำงานก็เหนื่อยจะแย่”

“มาคิด ๆ ดูแล้วหน้าตาแบบวิวนี่ พอมีกล้ามขึ้นมาคงรู้สึกแปลก ๆ นะ ว่าไหม” ส้มพูด

“ทำไมล่ะ” เด็กหนุ่มย้อนหน้าฉงนปนยิ้มขัน

“เอ้า ก็หน้าสวยขนาดนี้ เสียดาย” ได้ยินแล้ววิริยะหน้าบูด ไม่ค่อยดีใจกับคำชมของส้มเท่าไรนัก เขาเป็นผู้ชายก็สมควรได้ยินว่าหล่อมากกว่าสวยซีถึงจะถูก แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งชีวิตของเด็กหนุ่มก็ได้ยินคำนี้มากกว่าคำว่าหล่อเสมอ คิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ

หลังทานอาหาร กลุ่มเทพบุตรบอยแบนด์แห่งภูธรก็ชวนวิริยะเดินไปที่ไร่พร้อมกัน เด็กหนุ่มถอนใจ เมื่อต้องกลับไปใส่ปุ๋ยอีกแล้ว หากทว่าเป็นอีกไร่และผลไม้คนละชนิดกัน ดีหน่อยตรงที่ว่าคืนที่ผ่านมาฝนตกทำให้อากาศชุ่มชื้น ไม่ร้อนมาก แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเวลาเที่ยงเดินทางมาถึง เด็กหนุ่มก็เกือบไหม้เกรียมไปพร้อมกับพี่ ๆ ดีหน่อยที่ได้น้ำเกลือแร่เย็น ๆ จากลุงแสวงที่ยกมาแจกจ่ายให้

เขายังทานเก่งอยู่เช่นเดิม ฝีมือทำอาหารของแม่ต้อยทำให้วิริยะเจริญอาหารมากขึ้น บวกกับการใช้แรงงานไปตลอดครึ่งวันทำให้มื้อเที่ยงทุกวันนั้น วิริยะต้องกักตุนพลังงานให้มากที่สุดเพื่อทดแทนส่วนที่เสียไป ถึงจะเหนื่อยและเสียเหงื่อมาก แต่เด็กหนุ่มทานอาหารตรงกันทุกมื้อ เขารู้สึกว่าตลอดสามอาทิตย์ที่อยู่ที่นี่ทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปมาก น้ำหนักขึ้น แต่ไม่มีไขมันส่วนเกินเลย

ทุกวันจะมีกิจกรรมเดิม ๆ วนเวียนอยู่เช่นนี้ ไม่มีอะไรหวือหวานัก นอกจากได้ความเหน็ดเหนื่อย วิริยะก็เห็นมิตรภาพ ความห่วงใยของลุง ๆ ป้า ๆ ที่เอาใจใส่เขาเสมือนลูกหลานคนหนึ่ง ยอมรับว่าชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์แบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน

หลังอาบน้ำชำระร่างกาย วิริยะส่องกระจกมองตัวเอง แม้ว่าจะสวมเสื้อแขนยาว ใส่หมวกและผ้าปกปิดหน้า แต่ดูเหมือนแสงจากยูวีก็สามารถแทรกซึมมาทำร้ายผิวของเด็กหนุ่มได้ จนคล้ำลงมาเฉดหนึ่ง ซึ่งมันก็ไม่ได้ดูแย่อะไร แก้มของเขาแดงอย่างนี้ประจำ มันจะกลับมาดีขึ้นเมื่อตื่นตอนเช้าตามเวลาที่ควร แต่ยอมรับว่าผิวพรรณตอนนี้ดูดีกว่าช่วงที่มาใหม่ ๆ มากทีเดียว

ดูเป็นคนมีเลือดฝาด สุขภาพดี ไม่ซีดจนเกินไป

วันนี้วิริยะอาบน้ำเสร็จตั้งแต่ห้าโมงครึ่งและเป็นวันเสาร์ เขามีเวลาเดินเที่ยวเล่นหรือซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปกับดำ เข้าเมืองไปหาซื้ออะไรจุกจิกไว้ใช้ส่วนตัว ซื้อขนมขบเคี้ยวอย่างอาทิตย์ก่อน ๆ แต่วันนี้วิริยะอยากเดินเล่นที่ไร่ ไปยังส่วนที่ไม่เคยไปบ้าง

ส้มบอกว่านอกจากมีสวนผักไว้สำหรับทำอาหารกินเองแล้ว นายเชษฐ์ของไร่ยังให้เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู เลี้ยงปลา ทำเกษตรแบบครบวงจรเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ลงทุนเข้าเมืองไปประชุมและศึกษาเป็นตัวอย่างให้ชาวบ้านละแวกนี้ทำตาม เห็นอย่างนี้คนหน้าหนวดก็จบปริญญาโทด้านนี้โดยตรงด้วย ยิ่งได้ฟังคำเล่าเกี่ยวกับเชษฐ์ไชย วิริยะยิ่งรู้สึกแปลกใจ มีอะไรให้เด็กหนุ่มคาดไม่ถึงอยู่เรื่อย

หน้าตาออกจะเป็นคนโง่แท้ ๆ

ไม่เอาสิ ไม่นินทาเจ้านาย

เหลือบไปเห็นโรงเพาะพันธุ์พืชผักผลไม้ต่าง ๆ ที่ใหญ่กว้างแล้วนั้น เด็กหนุ่มอดจะทึ่งไม่ได้ คิดว่าเชษฐ์ไชยเก่งไม่น้อยที่ดูแลที่นี่มาจนถึงทุกวันนี้ ได้รับความไว้วางใจให้สืบทอดต่อจากคนรุ่นก่อน

ตัดภาพไปวันที่เจอกันวันแรกซึ่งวิริยะไม่คอยประทับใจเท่าไร ผู้ชายอะไรตัวใหญ่ กล้ามบึ๊ก ใส่เสื้อยืดแขนสั้นอวดกล้ามแขน หน้าเต็มไปด้วยหนวดแทบจะไม่มีที่ว่าง คาดว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในป่าไม่ต่ำกว่าสองปี ผมยาวมัดจุกไว้ข้างหลัง แล้วทำตัวเหมือนตอนเด็ก ๆ ไม่มีคนเล่นด้วย หน้าบูดยิ่งกว่าตูดลิง วางท่าเป็นอันธพาล ทั้งที่ตัวจริงทั้งบ้าและไม่มีเหตุผลจนดูน่าตลก และ…น่ารักในบางที

มาคิดอีกที เมื่อเห็นอาณาจักรอันยิ่งใหญ่อย่างรุ่งอรุณีแล้ว ที่สองสามวันนี้เชษฐ์ไชยหายไปก็คงง่วนอยู่กับงานอยู่กระมัง เขาเคยเห็นกองเอกสารในรถของเจ้านายอยู่ครั้งหนึ่ง คาดว่าอีกฝ่ายคงจริงจังกับมันน่าดู

รู้ตัวอีกทีวิริยะก็เดินมาเกือบถึงบ้านพักหลังใหญ่ของเชษฐ์ไชยแล้ว ทว่าเด็กหนุ่มอยู่ในฝั่งของสวนผักที่มักตื่นมาเก็บตั้งแต่เช้ามืด มองเข้าไปเห็นรถปิ๊กอัพยกสูงที่เชษฐ์ไชยใช้เป็นประจำจอดอยู่ น่าแปลกที่ตอนนี้เขาเห็นลุงแสวงกับแม่ต้อยออกมายืนรอใครอยู่หน้าบ้าน พร้อมเด็กคนอื่น ๆ อย่างตื่นเต้น

ไม่นานวิริยะเห็นรถยุโรปคันหนึ่งแล่นฝ่าฝุ่นแดงขึ้นมาอย่างเชื่องช้า นั่นอาจเป็นแขกของเชษฐ์ไชยก็เป็นได้ คิดแล้ววิริยะกะว่าจะเดินวนให้ครบรอบไร่กระทั่งถึงหอ แต่เห็นว่าคนที่เปิดประตูออกมานั้นคุ้นตาของเขานัก เด็กหนุ่มชะงักเท้า หยุดมองร่างสูงใหญ่สวมสูทสีเข้ม ผูกไทด์ ผมสั้นรองทรงเซ็ตเสยขึ้นอย่างเรียบร้อย เดินเอากุญแจไปให้ลุงแสวงขับรถเข้าไปเก็บ ช่วงวินาทีหนึ่งวิริยะเห็นมุมข้างหล่อเหลาของชายคนนั้น เรียบนิ่ง สุขุม ทักทายแม่ต้อยที่กำลังยิ้มหวานพอใจ

“อาอัฐษ์…”

แล้วทำไมแต่งตัวเต็มยศอย่างนั้น หรือที่โน่นมีพิธีการอะไรอีกหรือเปล่า

แต่เอ…ไม่เจอกันไม่กี่อาทิตย์ อัฐษไชยดูมีผิวเข้มขึ้น แถมปล่อยไรหนวดด้วยหรือ ทั้งที่อัฐษไชยเป็นคนสำอางสะอาดสะอ้าน รูขุมขนสักนิดก็ไม่มีให้เห็นด้วยซ้ำ

วิริยะตาเหลือกเท่าไข่ห่านเมื่อคิดบางอย่างขึ้นมา ไม่อยากจะนึกเลย

หรือนั่นจะเป็น...

“อาเชษฐ์!” เด็กหนุ่มอุทานเสียงเบาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา มองคนตัวโตขยับถอดเนคไทออกจากคอ ปลดกระดุมเสื้อสองเม็ด สลัดสูทยื่นให้แม่ต้อยแล้วล้วงกระเป๋าก้าวเท้ายาว ๆ เข้าไปในบ้าน ท่าทางเหวี่ยงนิด ๆ แบบนั้นใช่แน่นอน

ทำไมหล่อวะ

สรุปสองสามวันที่หายไป ไปไหนมา

วิริยะเดินได้ครบหนึ่งรอบไร่พอดีก็ค่ำ จึงเดินไปโรงอาหาร ตักข้าวตักปลามานั่งทานด้วยความงง บวกกับไม่เข้าใจท่าทางของเชษฐ์ไชยที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนด้วย เชษฐ์ไชยแบบนิ่งสุขุมที่เขาเห็นเมื่อครู่ที่ผ่านมานั้น เป็นเชษฐ์ไชยที่ดูไม่ได้เลย ถึงภายนอกจะดูดีและน่ามองก็เถอะ

อีกฝ่ายไปเจอเรื่องอะไรมากันหนอ

“พวกแก มาแล้ว ข่าวมาแล้ว!” แม่ครัวนางหนึ่งร้องเรียกพวกให้ไปดูอะไรสักอย่าง บริเวณครัวจะมีโทรทัศน์ส่วนกลางขนาดพอประมาณตั้งอยู่ ซึ่งคนกลุ่มหนึ่งมักจะมานั่งดูด้วยกัน ทว่าวันนี้แปลกไป ทุกคนไม่ได้ตั้งตารอละครอย่างที่คิด

“นั่นไง นั่นไง” ทุกคนส่งเสียงดังขึ้น เรียกให้วิริยะผละสายตาไปดูจนเห็นว่าเป็นข่าวธุรกิจ เขาไม่ได้ยินเนื้อข่าวว่าเป็นมาอย่างไร แต่ภาพในจอนั้นคือเชษฐ์ไชยสวมชุดเดียวกันที่เพิ่งเห็นเมื่อตอนเย็นยืนหน้าเรียบสุขุม ออกไปทางจริงจังท่ามกลางแสงแฟลชของกล้องนับครึ่งร้อยตัว ยืนท่ามกลางกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง หนึ่งในนั้นมีอัฐษไชยที่ยืนยิ้มรับตากล้องอย่างสุภาพ และสตรีค่อนวัยที่ยังคงสวยคนหนึ่ง

เด็กหนุ่มหรี่ตา อ่านอักษรตัวเล็กที่พาดหัวข่าวบนหน้าจออยู่ในใจ

‘รุ่งอรุณีประกาศเปิดตัว CEO คนใหม่’

ผู้บริหารคนใหม่ หมายถึงเชษฐ์ไชยน่ะหรือ!

วิริยะสำลักข้าวเฉียบพลัน มองหน้าจอที่แพลนสำรวจร่างสูงของเชษฐ์ไชยตั้งแต่หัวจรดเท้า เหตุนี้เองกระมังที่อีกฝ่ายหายไป แล้วโผล่มาอีกทีในสภาพอาบน้ำตัดขนเรียบร้อย แล้วเปลี่ยนไปจนเด็กหนุ่มเกือบจะเข้าใจว่าเป็นอัฐษไชย กล้องแพลนไปที่ใบหน้าเข้มขรึมนั้นอีกที ดีหน่อยที่เชษฐ์ไชยไม่ได้โกนหนวดออกไปหมด ยังคงเหลือไรไว้เล็กน้อยและตัดแต่งให้เป็นรูปเป็นทรง ซึ่งมันก็ออกมาดีเหลือเกิน

ทำไมเขาไม่เห็นรู้มาก่อนเลย ว่าตากอริลล่านี่จะยิ่งใหญ่ขนาดนี้

เมื่อวานเมื่อก่อนเด็กหนุ่มกับอีกฝ่ายยังนอนฟูกเดียวกันอยู่เลย มารู้อีกทีก็รู้สึกเหมือนตัวเองต่ำเตี้ยเรี่ยดินกว่ามาก มิน่าเล่า เจอกันทีไรเชษฐ์ไชยอวดเบ่งและวางท่านัก เพราะมีอะไรยกตัวอีกฝ่ายไว้อย่างนี้นี่เอง

ช็อกสุด ๆ

วิริยะกลับมานั่งหมดอาลัยตายอยากหลังจากกลับมาที่ห้องพักของตัวเอง ไม่อยากเชื่อที่ตาเห็น กระทั่งถึงเวลาที่พี่เสือแวะมาหา เด็กหนุ่มใช้เวลาเล่นกับมันอยู่พักหนึ่งก็กะว่าจะไปนอน ลุกขึ้นไปกางที่นอนหมอนมุ้งเสร็จสรรพ อันที่จริงมุ้งในตู้เสื้อผ้าก็มี แต่มันเก่าและมีรู เขาจึงเลือกใช้อันใหม่ที่เชษฐ์ไชยหามาให้แทน กำลังอุ้มพี่เสือเดินไปจะปิดไฟเข้ามุ้ง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาในความเงียบ

วิริยะย่นคิ้ว ใครกันที่มาตอนนี้

วิริยะอุ้มพี่เสือเดินไปเงี่ยหูฟังอยู่ครู่ แต่ก็คิดว่าคงไม่มีอะไร จึงเอื้อมมือเปิดประตูไปรับแขกผู้มาเยือนกลางดึก ครั้นสิ่งที่คั่นกลางเปิดออกเผยว่าใครมา เด็กหนุ่มนิ่งไปพักหนึ่ง

แสงจากในห้องสาดไปโดนหน้าคนตัวสูงให้เห็นชัดเจนว่าเป็นใคร เจ้าของไร่แห่งนี้นั่นเอง เจ้าตัวสวมเสื้อยืดแขนสั้นตัวสีขาว กางเกงนอนขายาว สิ่งที่แปลกไปคือใบหน้าที่สะอาดสะอ้านกว่าเมื่อก่อนจนดูแทบเป็นคนละคน และผมที่เคยยาวนั้น ตัดสั้น ถูกเสยขึ้นเปิดหน้าผาก แม้มันไม่ได้ใช้อะไรเซ็ตให้เป็นทรง แต่ก็ดูเข้ากับคนตรงหน้าอย่างประหลาด

“อาเชษฐ์” เด็กหนุ่มเงยมองคนตัวสูงเบื้องหน้า

สีหน้าของเชษฐ์ไชยไม่ต่างจากเมื่อตอนเย็นนัก “ถอยหน่อย”

คนอายุมากกว่าบอก แล้วเดินเข้ามาข้างในอย่างหน้าตาเฉยโดยไม่รอคำอนุญาต วิริยะอ้าปากอยากจะปราม อยากจะบอกว่าไม่พร้อมต้อนรับใครตอนนี้ แต่พูดไม่ออก ทำได้เพียงก้มลงมองอีกฝ่ายถอดรองเท้าแล้วเดินเข้ามา

“มีธุระอะไรรึเปล่าครับ” เด็กหนุ่มถาม ลูบขนของพี่เสือไปพลาง

“เอาไอ้นี่มาให้” พูดจบก็ยื่นสร้อยพระให้วิริยะ “จะเอามาให้ตั้งแต่วันนั้นก็ลืม”

เด็กหนุ่มเอื้อมไปรับแล้ววางลงบริเวณหัวนอน จากนั้นก็เดธแอร์ขึ้นมา ระหว่างทั้งสองเงียบไปพักหนึ่งไร้บทสนทนา ดูเหมือนว่าเชษฐ์ไชยตั้งใจเอามาคืนเขาแค่นั้น ไม่ได้มีธุระอย่างอื่น แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมคนตรงหน้ายังไม่กลับไป ตากลมชำเลืองมองคนตรงหน้าแวบหนึ่ง พูดฝ่าความเงียบขึ้นมาว่า “ใช้ครีมอะไรอ่ะ”

เชษฐ์ไชยมุ่นคิ้วย้อน ไม่เข้าใจเป้าหมาย “อะไร”

“เอ้า ก็เห็นวันนี้หน้าใสเชียว” คนพูดคลี่ยิ้มกวน

“ทำไม อยากจะใช้ตามรึไง”

เด็กหนุ่มยักไหล่ “ก็ไม่แน่นะ”

“ครีมขี้ม้า ลองใช้ไหมล่ะ” คนอายุมากกว่าตอบ ซึ่งเป็นคำตอบที่เรียกยิ้มมาประดับบนใบหน้าเด็กหนุ่ม หวนให้นึกถึงวันที่วิริยะสะบัดขี้ม้าใส่หน้าเชษฐ์ไชย ทั้งตลกและตกใจ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยังจำฝังใจ เด็กหนุ่มหุบยิ้มเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้า อุ้มพี่เสือพูดกับเชษฐ์ไชย “ก็นึกว่าจะกระหม่อมบางจริง ๆ เห็นไม่มาที่ไร่หลายวัน นึกว่าจะไม่สบายซะอีก”

เชษฐ์ไชยงุดตาลงสบ “รู้ด้วยเหรอว่าฉันหายไป”

“ก็…” วิริยะอึกอัก “…ปกติก็จะเห็นอาเชษฐ์อยู่ที่ไร่ตลอด เดินตรวจ คอยพูดว่าต้องทำแบบนี้นะ ต้องทำแบบนั้นนะ” เด็กหนุ่มทำหน้าขึงขังชี้นิ้วทำท่าออกคำสั่ง ล้อเลียนคนตัวโตกว่า ถึงอย่างนั้นคนมองกลับไม่ได้ไม่พอใจ ก้มลงดูหน้าใสของวิริยะทุกอากัปกิริยาอย่างตั้งใจฟัง

“แล้วรู้รึเปล่าว่าฉันไปไหนมา” เชษฐ์ไชยกอดอก

วิริยะนิ่ง ส่ายสายตาไปทิศอื่น “รู้ครับ ตกใจมากเลยที่เห็นอาเชษฐ์ในทีวี ยืนตัวแข็งเป็นหุ่นขี้ผึ้งให้คนถ่ายรูป” แล้วหันมายิ้มเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ “เอ้อ มีช็อตนึงที่ผมชอบมากเลยนะ ช่วงที่กล้องซูมหน้าอาเชษฐ์อะ ผมแอบเห็นขนจมูกโผล่ออกมาสองสามเส้น แล้วอาเชษฐ์ก็ทำเนียนสูดเก็บไปข้างในอย่างธรรมชาติเลย”

คนฟังยกมือลูบจมูกตัวเองอย่างอัตโนมัติ เห็นรอยยิ้มขำของวิริยะก็พอรู้ว่าเด็กตรงหน้ามันแกล้ง ยังไม่ยอมหยุดยียวนเขา “แต่อาเชษฐ์ต้องเก็บอาการหน่อยนะครับ แก้ไขอย่างนึงจะดีมากเลย คือตอนที่อาเชษฐ์ประหม่ารึว่ากำลังเขินเนี่ย อาเชษฐ์จะเผลอทำจมูกบานออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แบบเนี้ย…” ว่าแล้วคนตัวเล็กกว่าก็ทำให้ดู ไม่ได้ทำธรรมดาด้วย ทำหุบเข้าหุบออกเป็นจังหวะเพลงสามช่าเลยต่างหาก

เห็นแล้วอยากเขกมะเหงกชะมัด ทว่าคนฟังก็พยักหน้ารับช้า ๆ พูดเสียงเรียบ

“ถ้างั้นก็รู้สินะ ว่าฉันไม่ใช่เพื่อนเล่น”

เด็กหนุ่มชะงัก เก็บกิริยาลิงค่างของตัวเองเมื่อคนตรงหน้าไม่สนุกด้วย

“รู้ครับ” วิริยะมุ่นคิ้วเงยขึ้นไปตอบอย่างรู้ดี ใช้เสียงเบากว่าเดิมพูดต่ออีกว่า “แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอาเชษฐ์จะถูกไปซะทุกเรื่องนะ ถ้าไม่มีเหตุผลยังไงก็ต้องผิด...บ้าง คือ ผิดนิด ๆ ก็ได้...” คนพูดหลุบตาลงมองพื้น

เชษฐ์ไชยถอนใจ “เอาไอ้เสือมา”

“ฮะ” วิริยะย้อนทั้งเงยขึ้นมอง “ได้ไงอ่ะ ไม่ให้หรอก”

“ก็ได้สร้อยพระคืนแล้ว จะขโมยแมวคนอื่นไปได้ยังไงวะ” คนตัวโตกว่าพูด

“ก็มันไม่เหมือนกันนี่นา อีกอย่าง ถึงอาเชษฐ์พากลับไป มันก็หนีมาหาผมอยู่ดีนั่นแหละ มันเป็นแมวผมแล้ว” วิริยะรีบส่ายหน้า อุ้มพี่เสือถอยกรูดออกห่างเมื่อเห็นท่าไม่ดี เชษฐ์ไชยเท้าสะเอวมุ่นคิ้ว ถึงหน้าจะไม่มีหนวดแต่ก็ยังคงไม่สิ้นลายกอริลล่าตัวผู้จอมดุ ทำเสียงเข้มพูดว่า “อย่ามาโมเมว่าเป็นของตัวเองนะ ไอ้เสือเป็นของฉัน”

“ถ้าเป็นของอาเชษฐ์ ทำไมมันต้องหนีมาหาผมด้วยเล่า ที่สำคัญแมวตัวเองหายไปตั้งหลายวันทำไมไม่ตามหา”

“ก็ฉันคิดว่ามันติดตัวเมียอยู่ไง เอาคืนมาเดี๋ยวนี้เลย” ไม่พูดเปล่า ร่างสูงเดินมาต้อนเขาและพยายามเอื้อมมาแย่งอุ้ม ทว่าวิริยะไม่ยอม เด็กหนุ่มหมุนตัวหนี เชษฐ์ไชยขยับตัวตามยื้อแย่งจนกระทั่งฝ่ายพี่เสือรู้สึกรำคาญ มันกระโดดออกจากอ้อมแขนวิริยะลงพื้นไป ในขณะที่เด็กหนุ่มตกใจกลัวว่ามันจะได้รับบาดเจ็บจนตัวเองลำบากแทน หงายเงิบลงก้นจำเบ้าไม่พอ ตัวยักษ์ของเชษฐ์ไชยยังล้มตามมาทับอีก

“โอ๊ยยย!” หน้าผากทั้งสองกระแทกกัน

“ฮือ เจ็บ ๆ ๆ ๆ!” วิริยะร้อง

“เวรเอ๊ย!” เชษฐ์ไชยยกมือลูบหน้าผากตัวเองป้อย ๆ ขยับจะลุก หากทว่าเหลือบเห็นคนใต้ร่างในระยะใกล้ที่กำลังยู่หน้าเพราะความเจ็บเช่นเดียวกัน หรือไม่ก็กำลังรู้สึกหนัก อดไม่ได้ที่จะเคลื่อนสายตาคมสำรวจไปทั่งทั้งใบหน้าเมื่อได้โอกาส

ทุกอย่างดูพอดี ตั้งแต่ผิวหน้า ริมฝีปาก ขนตา รูปจมูก แม้ว่าเด็กตรงหน้ากำลังทำหน้าประหลาดเพราะเจ็บ แต่มันดูน่ามองและเป็นธรรมชาติจนใจคนมองเต้นตึก

นี่ไง สิ่งที่อัฐษไชย น้องชายของเขาเห็น

สเน่ห์บางอย่างที่มี ทำให้เด็กคนนี้พิเศษกว่าคนอื่น

ดูเหมือนวิริยะจะรู้ตัว เมื่อเห็นนัยน์ตาคมของเชษฐ์ไชยหยุดมองในระยะใกล้ เด็กหนุ่มนิ่ง เงยขึ้นสบตาเชษฐ์ไชยในความเงียบงัน มีเพียงเสียงฝีเท้าของพี่เสือยามเหยียบพื้นเสื่อน้ำมัน และหรีดหริ่งแถวนี้เป็นสิ่งคั่นกลาง เด็กหนุ่มเบื้องหน้ากลืนน้ำลาย ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจทำลายความเงียบที่สาปทั้งสองลงด้วยคำพูด

“อาเชษฐ์ ทำจมูกบานอีกแล้ว...”

คนฟังเลิกคิ้วและรู้สึกถึงความร้อนของแก้มขึ้นมาเล็กน้อย มองตากลมเบื้องหน้า วิริยะยังไม่ละสายตาไปไหน หนำซ้ำยังเคลื่อนมือมาบีบจมูกโด่งของเขา

เอ่ยต่ออีกว่า

“เขินอะไรเหรอ...”


--๑๐๐--


----------------------------------------------------

เขินหนูไงลูกกกกก ดาเมจความน่ารักของหนู่พุ่งกระแทกใจอาเชษฐ์มาก 55555

น้องวิวและความกวนของเขา พร้อมกับอาเชษฐ์เวอร์ชันหล่อก็มา

หมดโควต้าที่พิมพ์ไว้แล้ว ตอนนี้ต้องพิมพ์วันต่อวันแล้วค่ะ ฮือออ!!

ขอกำลังใจด้วยนะคะ จะได้มีแรงปั่น

1 เม้น ต่อ 1 ตอน เหมือนเดิมจ้า

รักเด้ออออออ

หัวข้อ: Re: **{19.3.61-ตอนที่ ๑๑--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 19-03-2018 00:07:29
 :o8:  :-[  :impress2: น่ารักนะเนี่ย...เขินจนจมูกบาน... :hao7:
หัวข้อ: Re: **{19.3.61-ตอนที่ ๑๑--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 19-03-2018 00:39:34
เขินน้องวิวไงลูกกกก 5555
หัวข้อ: Re: **{19.3.61-ตอนที่ ๑๑--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 19-03-2018 01:12:42
อยากเห็นวิวกะอาเชษฐ์รักกันไวๆจัง
อาเชษฐ์เขินวิวบ่อแบบนี้ จะรู้ใจตัวเองมะไหร่นะ
มีแอ๊บมาทวงแมวคืน
แหม อยากมีข้ออ้าง มาหาวิวใช่มั้ยหล่ะ
 :katai3:
หัวข้อ: Re: **{19.3.61-ตอนที่ ๑๑--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-03-2018 03:10:31
 :m20:
หัวข้อ: Re: **{19.3.61-ตอนที่ ๑๑--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-03-2018 03:12:36
ถ้ารู้ว่าเขินจนจมูกบาน ก็เอาจมูกไปเก็บไว้ซิ หาที่ไว้ไม่ได้ก็เอาไปเก็บแถว ๆ แก้มวิวก็ได้ จะได้ไม่มีใครเห็น  :hao3:
หัวข้อ: Re: **{19.3.61-ตอนที่ ๑๑--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 19-03-2018 06:39:58
อ๊ะ เลิกแกล้งกันสักพัก แล้วหันมาเขินกันแทนนะ
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: **{19.3.61-ตอนที่ ๑๑--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: T_TARS ที่ 19-03-2018 07:23:57
ไม่ได้มาตามหาแมวคืนหรอก แค่หาเรื่องมาหาน้องวิวแบบซึนๆ
 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: **{19.3.61-ตอนที่ ๑๑--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 19-03-2018 16:19:31
ถ้ารู้ว่าเขินจนจมูกบาน ก็เอาจมูกไปเก็บไว้ซิ หาที่ไว้ไม่ได้ก็เอาไปเก็บแถว ๆ แก้มวิวก็ได้ จะได้ไม่มีใครเห็น  :hao3:
แบบนี้คนเขินอาจเป็นคนอ่านเองนะคะ 555555 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: **{19.3.61-ตอนที่ ๑๐--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 19-03-2018 23:22:51


ตอนที่ ๑๒

“เขินอะไรเหรอ...”

เพราะคำถามนี้ทำให้เชษฐ์ไชยนิ่งไปพักหนึ่ง สบนัยน์ตาใสของเด็กเบื้องหน้าเพราะไม่รู้จะตอบกลับไปอย่างไร แล้วหลุบมองมือขาวที่เอื้อมมาบีบปลายจมูกเขา ไม่รุนแรง ดูแล้วเหมือนวิริยะอยากจะหยอกล้อเขามากกว่า ชายหนุ่มจึงกุมจับข้อมือของเด็กตรงหน้า กระตุกให้ขยับเข้ามาชิดใกล้กว่าเก่า คิดว่าอยากจะแกล้งวิริยะคืนบ้าง

คนถูกกระทำเบิกตาตกใจ “อะ อาเชษฐ์...”

“ว่ายังไง”

ระยะที่ถูกดึงเข้าไปทำให้ความห่างของทั้งสองร่นน้อยลง น้อยลงชนิดที่ว่าวิริยะตกใจในความชัดเจนระยะรูขุมขนของตากอริลล่า บวกกับใบหน้าที่เปลี่ยนไปยิ่งทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกทำตัวไม่ถูกไปกันใหญ่

เชษฐ์ไชยยกริมฝีปากยิ้ม สบนัยน์ตาของเด็กหนุ่มอย่างรู้ทัน

“มองอย่างนี้บอกมาตรง ๆ ก็ได้ว่าฉันหล่อ”

คนฟังยู่หน้า “หลงตัวเอง”

“ก็สายตาเธอมันฟ้อง”

“เฮอะ!” วิริยะหัวเราะทำหน้าระอา “ปล่อยมือผมเลย”

“ไม่ปล่อย” กล่าวจบสายตาคมของเชษฐ์ไชยมองไปยังพี่เสือที่อยู่ด้านหลัง ราวกับว่าเป็นการประกาศศึกกลาย ๆ ว่าจะไม่ยอมยกให้เด็กหนุ่มแต่โดยง่าย เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ววิริยะพยักหน้าพอเข้าใจ ซึ่งอีกฝ่ายเองดูเหมือนจะเข้าใจเหมือนกัน และรับรู้ว่าเด็กหนุ่มคงยอมคืนพี่เสือให้ จึงยอมคลายมือในท้ายที่สุด

เด็กหนุ่มลอบยิ้ม เชษฐ์ไชยไม่รู้อะไรเลย เรื่องรบก็ควรมีแผน ไม่อย่างนั้นจะชนะศึกได้ยังไง

ระหว่างทั้งสองเงียบไปสักพัก นั่งตัวตรงไม่ไหวติง มีเพียงสายตาที่จับจ้องกันและกันราวคาวบอยกำลังดวลปืน กระทั่งถึงเวลาเหมาะสม วิริยะกระโจนไปด้านหลังเพื่อหวังชิงความได้เปรียบ แต่คนหน้าโหดตรงหน้าก็ไม่โง่ ใช้ความยาวของลำตัวกระโดดมาตะครุบตัววิริยะไว้ได้

“อ๊ากกกก ปล่อยนะอาเชษฐ์ พี่เสือเป็นของผม”

“พูดหมา ๆ ได้ไง นี่มันของฉัน!” เชษฐ์ไชยคว้ามือจะแย่งแมวในอ้อมกอดวิริยะ ในขณะที่เด็กหนุ่มกอดพี่เสือกลิ้งหลุน ๆ บนพื้นหนี ซึ่งก็ยากมากเหลือเกินเมื่อถูกตัวใหญ่ยักษ์ของคนอายุมากกว่ากอดรัดฟัดเหวี่ยงไล่ตาม

“เอามา!”

“ไม่ให้ พี่เสืออย่าไปนะ!” วิริยะดิ้นหลบตัวโต ๆ ด้านบน จะลุกหนีก็ถูกดึงกางเกงจนร่นแทบจะหลุดตูด เด็กหนุ่มยอมปล่อยพี่เสือไว้บนพื้นเพื่อปกป้องกางเกงนอนของตัวเองก่อน แล้วขยับเป็นฝ่ายขึ้นนั่งทับตัวใหญ่เท่าหมีควายของชายเบื้องหน้า ขยับจับลำแขนยาวทั้งสองข้างขึงกับพื้นในท่าพิสดาร แล้วก้มลงกัดแก้มของเชษฐ์ไชยไปเต็มแรง

“อ๊ากกกกก ไอ้เด็กบ้า!” เชษฐ์ไชยดิ้น

เมื่อหลุดจากแรงอันน้อยนิดเบื้องหน้าก็เช็ดน้ำลายที่เปื้อนเยิ้มบนแก้มออก ตั้งใจจะหันไปคว้าแมวของตัวเองอุ้มหนีกลับบ้าน แต่วิริยะไวกว่า ลุกไปอุ้มพี่เสือไว้ได้ ชายหนุ่มกระตุกดึงขายาวของหมาตัวน้อยที่เพิ่งกัดเขา ลากให้กระเถิบมาหา เห็นหน้ายู่ยับนั้นแล้วกึ่งมันเขี้ยวกึ่งโมโห ฝังเขี้ยวลงบนก้นวิริยะจนเด็กหนุ่มร้องว๊าก

วินาทีชลมุนอลหม่านยังไม่ยอมจบแต่โดยง่าย วิริยะหน้างอและโกรธเพราะความเจ็บ ยอมให้เชษฐ์ไชยได้อุ้มพี่เสือไปก่อนแล้วตลบหลังอีกที รู้อยู่แน่ว่าคราวนี้อีกฝ่ายจะไม่ยอมปล่อยพี่เสือออกจากมือ เด็กหนุ่มคว้าคอยาวของคนตรงหน้าเข้ามาใกล้ งับกัดอย่างเอาแต่ใจจนเชษฐ์ไชยดิ้นพล่าน “โอ๊ยยยย ยอมแล้ว ยอม!”

วิริยะสะบัดหน้าไปมาราวเป็นหมาบ้า ไม่ยอมปล่อย พลอยให้มือหนาที่อุ้มพี่เสือผละมากุมจับไหล่เด็กหนุ่ม “วิว! ยอมแล้ว ยอม ๆ ๆ ๆ!”

ทั้งสองหอบแฮ่กเพราะใช้กำลังกันเมื่อครู่ ท้ายที่สุดเด็กหนุ่มก็ยอมทำตามในสิ่งที่เชษฐ์ไชยขอ เขากัดคนตรงหน้านานเท่าไรไม่รู้ ที่รู้ ๆ คือเป็นรอยชัดและน้ำลายไหลอาบจนถึงเสื้อสีขาวที่สวม ถึงอย่างนั้นเชษฐ์ไชยก็ยกมือกุมบริเวณที่ถูกกัดของตัวเองเมื่อครู่ ทำหน้างอแงราวกับเด็กห้าขวบทั้งหอบหายใจกันไปด้วย “เจ็บฉิบหาย!”

เด็กหนุ่มรีบไปยกพี่เสือมาอุ้มทันที มองรอยแผลและสีหน้าของเชษฐ์ไชย เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมานิด ๆ

“แล้วนี่อะไร…” เชษฐ์ไชยยกมือที่เยิ้มด้วยน้ำลายมาดู ทำหน้าหยี “กูจะเป็นหมาบ้าไหมวะเนี่ย”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า ทีอาเชษฐ์ยังกัดตูดผมเลย” วิริยะหลุบหน้าลงมองพื้น

“ก็ใครมันเริ่มก่อนล่ะ” เอาจริง ๆ พอนึกถึงเขาก็รู้สึกอายเหมือนกันที่ทำแบบนั้น

“แต่อาเชษฐ์พูดแล้วนะ ห้ามมาทวงพี่เสือคืนอีก พี่เสือเป็นของผมแล้ว” เด็กหนุ่มทำเสียงอ่อนลงแล้วลูบของบนตักราวหวงแหนสมอยาก ทำให้คนหงุดหงิดที่ถูกเล่นงานคลายความรู้สึกลงไป เมื่อเห็นว่าวิริยะอยากให้มันอยู่ด้วยจริง ๆ

แล้วดูทำหน้าเข้า ทำอย่างกับถูกเขารังแก ทั้งที่ฝ่ายเชษฐ์ไชยต่างหากที่ถูกกระทำ

ชายหนุ่มทอดถอนใจอย่างเสียไม่ได้ “เออ...” น่าแปลกที่เขาไม่ถือสาการกระทำบ้า ๆ ของวิริยะสักนิด “ยังไงก็ต้องกลับไปอยู่แล้ว ค่อยมาทวงวันนั้นก็ได้”

เด็กหนุ่มดีใจ เงยมาคลี่ยิ้มให้ “ขอเอาไปด้วยเล...”

“ไม่ให้โว้ย” สิ้นคำ วิริยะก็หัวเราะน้อย ๆ

เมื่อสถานการณ์กลับมาปกติแล้ว ทั้งสองไม่มีเรื่องคุย วิริยะจึงตัดสินใจบอกว่าถึงเวลานอนแล้ว เชษฐ์ไชยก็เดินหน้างอกุมคอออกไปโดยไม่พูดไม่จา ส่วนเด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นลูบก้นตัวเองเดินไปปิดไฟนอน จะลุกจะนั่งก็ระบมก้น แต่ถึงอย่างนั้นยังคงยิ้ม เมื่อพี่เสือขยับเข้ามาซุกมอบความอบอุ่นอยู่ข้างกายและทำให้รู้สึกวางใจ

แม้บางทีจะมีภาพใบหน้าสะอาดสะอ้านของใครสักคนในระยะใกล้ชิดผุดขึ้นมา โดยที่เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าทำไม

ดูเหมือนวิริยะจะไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกแล้ว ตั้งแต่มีพี่เสือเขาก็ตื่นตรงเวลามาโดยตลอด หนำซ้ำเด็กหนุ่มนอนหลับสบายเต็มอิ่มเพราะความวางใจอีกด้วย ซึ่งหลังจากตื่นก็เป็นแบบเดิมทุกครั้ง อาบน้ำแต่งตัว ออกไปช่วยงานที่โรงครัว เมื่อถึงสวนผักแล้วไม่รู้เป็นเพราะอะไร ตากลมเหลือบมองขึ้นไปยังบ้านหลังใหญ่อีกฝั่งอย่างไม่รู้ตัว เห็นเชษฐ์ไชยตื่นแล้ว กำลังดื่มกาแฟอยู่หน้าบ้าน

อีกฝ่ายแปะพลาสเตอร์หรืออะไรมิทราบไว้บนหน้าและลำคอ ทำให้วิริยะเริ่มรู้สึกผิดที่เผลอเล่นแรงไปหน่อย

วันนี้ทั้งวันดูเหมือนทุกคนจะสนใจเรื่องของเชษฐ์ไชยเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้เห็นเจ้านายแบบนี้นานมากแล้ว ตั้งแต่สมัยถูกเมียทิ้งใหม่ ๆ เชษฐ์ไชยก็ปล่อยตัวทำงานหนักจนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง หรืออันที่จริงก็ตั้งใจทำแบบนี้ เพราะยังคงฝังใจกับการถูกทิ้งอยู่ จริง ๆ แล้วไม่มีใครรู้ว่าเชษฐ์ไชยคิดอย่างไร ก็เพียงแค่เดาไปในทางเดียวกันเท่านั้นว่าเจ้านายไม่อาจหาเมียใหม่ได้ในเร็ววันนี้ เพราะเจ็บจากคนเก่าที่ทุ่มเทมาเยอะ

อันที่จริงเรื่องราวของเชษฐ์ไชยนั้น จะว่าน่าสงสารก็ใช่ จะว่าสมควรก็ถูก ใครใช้ให้รักให้หลงจนไม่ลืมหูลืมตากันเล่า

แต่วิริยะก็คงได้แค่คิด อย่างไรเสียเด็กหนุ่มก็เป็นคนอื่น

ทั้งวันเชษฐ์ไชยไม่ได้มาปรากฏตัวให้เห็นอย่างเช่นทุกครั้ง จะมีก็แต่ลุงแสวงที่ยกเครื่องดื่มชูกำลังและเกลือแร่มาให้แทน เจ้านายจะมาก็ต่อเมื่อเลิกงานและจ่ายเงินค่าแรง พลอยให้คนงานสาวน้อยสาวใหญ่กระดี๊กระด๊ากับภาพลักษณ์ใหม่กัน

หลังเลิกงานเด็กหนุ่มก็เดินตามกลุ่มพี่ ๆ ผ่านเชษฐ์ไชย จะกลับไปที่หอกันเลย

“เฮ้ย! วันนี้อากาศฮ้อน ผู้ใด๋สิไปอาบน้ำที่น้ำตกกับกูแน ขี้คร้านถ่าโดน” ดำถามขึ้น

“เออ พวกกูไป”

“ไป ไปกันหมดนี่แหละ” หมอกเสริมด้วย

ดำจึงหันมากอดคอวิริยะ “วิวไปนำอ้ายบ่”

“ไปพี่ ผมก็ขี้เกียจรอคิวเหมือนกัน” เด็กหนุ่มตอบทันที เมื่อได้ฟังดำก็พยักหน้าเออออรู้กันตามประสาพี่น้องคู่ซี้ แต่เมื่อพี่ชายตัวใหญ่ผละสายตาไปทิศใดทิศหนึ่งเพียงวินาทีเดียวเท่านั้น สีหน้าแรด ๆ ก็เปลี่ยนมาจริงจัง รอยยิ้มหายไปแล้วหันมาพูดกับเด็กหนุ่มอีกที “เออ อ้ายว่าวิวอาบอยู่นี่ดีกั่ว”

เด็กหนุ่มละรอยยิ้ม “ทำไมล่ะ ผมอยากไปด้วย”

“รถเฮาบ่พอนั่ง”

“ไม่พอห่าอะไรไอ้ดำ พอ!” ไทร้องเถียง วิริยะรีบพยักหน้าบอกว่าจริง

หนุ่มอีสานอึกอัก เหมือนคนมีความผิดแต่ไม่ยอมพูด “แต่หมู่อ้ายอาบโดนโพด ย่านวิวถ่า”

“ไม่เป็นไร ผมรอได้” เด็กหนุ่มยิ้มแป้นให้อีกครั้งเมื่อรู้ว่าสิ่งที่ดำกังวลนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นพี่ชายผิวคล้ำก็ยิ้มแห้ง ๆ แล้วผละสายตาไปอีกทิศอย่างมีพิรุธ วิริยะละรอยยิ้มสงสัย หันไปด้านหลังตนเองตามสายตาของดำ เห็นเชษฐ์ไชยยืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ แล้วเด็กหนุ่มจึงยกมือเกาหัวไม่เข้าใจ ถึงดำจะไม่อยากให้เขาไปด้วย แต่มันก็คงไม่เกี่ยวกับเชษฐ์ไชยหรอกระมัง

วิริยะรั้นจะตามพวกพี่ ๆ ไป เพราะมีดำคนเดียวที่ทำท่าแปลก ๆ

อันที่จริงหลายครั้งแล้วที่ดำไม่กล้าเข้าใกล้เด็กหนุ่มและทำทีเหมือนเกรงใจใคร วิริยะเกิดไม่เข้าใจตั้งแต่พี่ชายต่างจังหวัดเดินมาถามเขาว่าไปทำอะไรให้เชษฐ์ไชยโกรธมาก่อนรึเปล่า เด็กหนุ่มตอบไปเพียงว่าไม่ และย้อนถามไปว่าทำไม ดำจึงยิ้มแล้วบอกว่าไม่มีอะไร ซึ่งตั้งแต่วันนั้นเด็กหนุ่มก็ลืมมันไปแล้ว

หลังถูสบู่สระผมเสร็จก็คือเวลาสนุก ภาพพี่ชายทั้งเจ็ดสนุกสนานกับการเล่นน้ำเป็นสิ่งที่วิริยะเห็นจนชินตา เด็กหนุ่มเหลือบมองไปยังทิศที่เคยมาแอบดู ทั้งของกลุ่มนี้ และเชษฐ์ไชย แล้วยกยิ้มขึ้นอย่างนึกตลก สุดท้ายตัวเองก็มาเป็นเป้าสายตาอยู่ที่นี่เสียเอง ไม่รู้ว่ากลุ่มพวกส้มจะแอบมากันรึเปล่า แต่คิดถึงช่วงมาถึงที่นี่ทีไรก็ตลก

ส่วนมากทั้งหมดจะสวมเพียงบ็อกเซอร์ ที่น่ามองก็คงจะเป็นหุ่นที่ดูดีกันทั้งนั้น ยิ่งยามเปียกน้ำจนผิวมันระยับสะท้อนแสง หุ่นยิ่งดีไปกันใหญ่ เห็นแล้วเด็กหนุ่มก็รู้สึกอิจฉา ทำได้เพียงแช่ แอบหุ่นตัวเองใต้น้ำมองรุ่นพี่กระโดดตูมทีละคนด้วยรอยยิ้ม แต่สนุกกันได้ครู่เดียวก็มีแขกไม่ได้รับเชิญ ซึ่งไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

“เฮ้ย นายเชษฐ์มา…” หมอกพูดเสียงเบา แต่อยู่ไม่ห่างจากเด็กหนุ่มนัก เพื่อนที่สามารถได้ยินจึงหันไป เห็นคนตัวใหญ่เดินถือเป้สัมภาระเดินตามโขดหินเข้ามา

“ฉิบหายแล้ว วันนี้วันเสาร์เหรอวะ”

“ไม่ใช่ วันนี้เพิ่งจะวันพุธ นายเชษฐ์ลืมอะไรหลายวันแท้วะ” หมอกบอก และเมื่อเห็นเต็มตาว่าใครมา ลิง ๆ ทั้งหลายก็ไม่กล้าขยับไปพักหนึ่ง รอให้เจ้านายเดินมาหยุดอยู่บนโขดหินใหญ่ที่ใช้วางของโดยไม่เปียกน้ำได้ บริเวณที่ใกล้กับตรงที่เคยช่วยชีวิตวิริยะคราวนั้น หมอกเป็นหน่วยกล้าตาย เอ่ยถามขึ้นไปว่า “นายเชษฐ์จะอาบน้ำเหรอครับ น้ำขุ่นแล้วนะ”

“แม่นครับ แถมบักวิวเยี่ยวใส่แล้วนำ”

วิริยะหันขวับหาดำ “มั่วแล้ว!” จะกลัวเชษฐ์ไชยลงมาเล่นด้วยอะไรขนาดนั้น ถึงขนาดเอาฉี่เขามาไล่

“กูจะมาว่ายน้ำ พวกมึงเล่นกันไปเลย” ไม่พูดเปล่า คนตัวสูงใหญ่ก็วางกระเป๋าสัมภาระลงแล้วถอดเสื้อออกโดยไม่รอความสมัครใจของลูกน้องทั้งหลาย ซึ่งหนุ่ม ๆ ผู้อายุน้อยกว่าและเป็นลูกน้องเมื่อเห็นก็ไม่มีใครท้วงติงอีก ยิ่งเห็นหุ่นเชษฐ์ไชยแล้วยิ่งพากันร้องโหวกเหวกแซวราวกับเป็นเพื่อนเล่น ซึ่งวิริยะแอบคิดมานานแล้วว่าไอ้พี่พวกนี้มันกลัวเจ้านายจริง ๆ รึเปล่า

หรือแค่ทำเป็นเล่นใหญ่กันเฉย ๆ

เพราะดูสนิทสนมกันดี

เด็กหนุ่มยิ้มเมื่อถูกไทจับขึ้นขี่คอลอยตุ้บป่องกันอยู่ในน้ำ ไทเป็นพวกตัวใหญ่ บ้าพลัง และชอบหยอกล้อคนอื่นเช่นนี้เสมอ เด็กหนุ่มเป็นเพียงเด็กผู้ชายที่ชอบเล่นอะไรแผลง ๆ เมื่อได้ทำเช่นนี้รู้สึกว่าสนุกสนานเช่นกัน จะมีก็แต่ดำที่ไม่ค่อยร่วมกับทุกคน เมื่อไทพาวิริยะเดินลอยคอในน้ำได้สองสามก้าว ไม่รู้พี่ชายจากอีสานมาจากไหน กระโจนถีบไทจากด้านหลงจนวิริยะและไทกระดอนไปกันคนละทาง

“อะไรของมึงวะไอ้ดำ ไอ้ห่า กูเล่นกับน้องอยู่ดี ๆ”

ดำอึกอัก “บ่มีหยัง กูแค่คันตีน บ่มีที่เกา” แล้วผละสายตาไปยังเชษฐ์ไชยที่เดินลงน้ำมา

“ไอ้ห่า ไว้วันหลังให้กูคันบ้างนะ มา...วิว มาเล่นกันต่อ”

“บ่ให้เล่นเว้ย น้องกู” ดำดึงวิริยะไปหา

“แหนะ หวงน้องก็บอกไอ้เวร พูดกับกูดี ๆ สิเพื่อน เกิดน้องนุ่งจมน้ำขึ้นมามันไม่คุ้ม”

“ไม่หรอกพี่ ผมว่ายน้ำเก่ง” วิริยะคลี่ยิ้มมองดำที่ทำหน้าหงอ ไม่เถียงอะไรเพื่อน “ผมว่าจะเลิกแล้วล่ะพี่ดำ จะขึ้นไปเปลี่ยนผ้าแล้ว”

“เออ ดีมาก เดี๋ยวบ่สบาย” ดำยิ้มขึ้นมาราวกับกำลังโล่งใจ เด็กหนุ่มจึงว่ายน้ำสวนกับเชษฐ์ไชยหวังจะกลับไปจุดที่วางของ เปลี่ยนเสื้อผ้า หากทว่าคนหน้าดุรีบถามเขาก่อน “ไปไหน”

“ไปเปลี่ยนผ้าไงครับ เลิกเล่นแล้ว” เด็กหนุ่มตอบแล้วมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย เมื่อพ้นน้ำได้ก็รู้สึกหนาวนิด ๆ เดินกอดอกเปล่า ๆ เปลือย ๆ ขึ้นไปยังกองเสื้อผ้าจะรีบเปลี่ยน หากทว่าตกใจเมื่อยกผ้าขนหนูจะพันเอว เขาเห็นคนที่เพิ่งลงน้ำและเปียกได้เพียงครึ่งตัววิ่งขึ้นมาเปิดกระเป๋าที่เจ้าตัวถือมา “เดี๋ยว อย่าเพิ่ง!”

แถมห้ามเขาถอดผ้าอีก

วิริยะเลิกคิ้วงง มองเชษฐ์ไชยที่รีบดึงผ้าขนหนูผืนสีขาวออกมายื่น “เอานี่ไป”

“อะไร ของผมก็มี” เด็กหนุ่มตอบ กำลังจะเอาผ้าพันเอวเชษฐ์ไชยก็ทำเสียงดุ

“ไม่ต้องถอด กลับบ้านไปทั้งอย่างนี้แหละ เอาผ้าไป!”

เด็กหนุ่มไม่เข้าใจ “อะไรของอาเชษฐ์เนี่ย ผมไม่มีรถกลับ กว่าพี่ ๆ จะอาบน้ำเสร็จ มันหนาวนะเว้ย”

“เดี๋ยวไปส่ง”

“บ้า เดี๋ยวรถอาเชษฐ์ก็เปียกหมด”

คนตรงหน้ามุ่นคิ้ว “ใครจะให้นั่งข้างหน้า ให้นั่งข้างหลังต่างหาก”

“นี่มาอาบน้ำนะครับ ทำไมต้องนั่งคลุกฝุ่นไปกับอาเชษฐ์ด้วย” เด็กหนุ่มทำหน้ารำคาญอยู่ในที

“ฉันบอกให้ทำอะไรก็ทำ”

“บ่ทำ จะทำไม จะกัดตูดผมอีกรึไงครับ นายเซษฐ์” คนพูดทำเสียงคล้ายดำ

พูดจบวิริยะก็พันผ้าขนหนูไว้ที่เอวเพื่อทำตามความพอใจของตัวเอง

“ไอ้เด็กเวรนี่…” เชษฐ์ไชยทำหน้าระอาและดุในคราเดียวกัน เปลี่ยนจากยื่นให้เป็นกางผ้าขนหนูผืนใหญ่เป็นฉากกั้นไม่ให้ใครคนไหนเห็นได้นอกจากตัวเอง ในขณะที่วิริยะยังถอดกางเกงในตัวสีขาวใต้บ็อกเซอร์ออกมาอย่างหน้าตาเฉย ไม่มีความอายอะไรทั้งสิ้น ทำราวเคยชินมาก่อนแล้วเสียอย่างนั้น หรือจะใช่ คิดแล้วชายหนุ่มจึงเอ่ยถามออกไปว่า “มาอาบที่นี่บ่อยรึไง”

วิริยะไม่อยากตอบ แต่ก็ไม่ทำเช่นนั้น “ก็เกือบทุกวัน”

คนฟังหูผึ่ง “แล้วแก้ผ้าเปลี่ยนแบบนี้ตลอด”

“ก็ใช่ไง จะให้เปลี่ยนแบบไหนล่ะ” วิริยะยักไหล่ หยิบเสื้อผ้าตัวใหม่มาสวมทำหน้าไม่รู้สึกรู้สา เหลือบขึ้นมาอีกที เห็นเชษฐ์ไชยทำหน้าขึง ยกนิ้วชี้ชี้หน้าราวกับทำความผิดอะไรร้ายแรงเสียอย่างนั้น

“ตั้งแต่วันนี้ ฉันขอสั่งว่าห้ามมาอาบน้ำที่นี่อีก”

“ได้ไงอะ” วิริยะเบิกตา

“ไม่ต้องเถียง! ถ้าเถียงอีกคำนึงฉันจะขับรถไปส่งที่ บขส.”

เมื่อได้ยินวิริยะทำหน้างอโวยวายอะไรสักอย่าง ดำผละไปมองเด็กหนุ่มและเชษฐ์ไชยบนบกอยู่อย่างต้องการจับผิด ที่เห็นคือนอกจากจะใจเย็นกว่าเมื่อก่อนแล้ว เขายังมีโอกาสเห็นเชษฐ์ไชยเป็นฝ่ายยอมรุ่นน้องของเขาก่อนด้วย เหตุการณ์มันคล้ายช่วงที่เจ้านายมีเมียสมัยก่อนไม่มีผิดเพี้ยน

จะมีใครบ้างที่กล้าทำท่าวีนเหวี่ยงใส่เจ้านายได้โดยไม่โดนตีนอย่างที่วิริยะทำบ้าง

อันที่จริงก็คิดว่าวิริยะพิเศษเพราะคำที่เด็กหนุ่มเรียกเชษฐ์ไชย แต่ดำเริ่มคิดว่ามันไม่ใช่แค่นั้นแล้ว

ยิ่งสังเกต ชายหนุ่มยิ่งเห็น

ดำคิด แล้วมองตามร่างสูงใหญ่ของเชษฐ์ไชยที่เพิ่งลงน้ำได้เปียกครึ่งท่อน กำลังก้มเก็บเสื้อผ้าสัมภาระของตัวเอง แล้วบังคับจูงวิริยะให้เดินตามออกไปข้างนอก ไหนจะไอ้การเอาผ้าขนหนูปิดไม่ให้ใครเห็นวิริยะตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก ทำอย่างกับจะไม่มีคนรู้ทัน ว่าเสือเจ้าของไร่อรุณีหวงของขนาดไหน อุตส่าห์ลงทุนขับรถตามมาขนาดนี้

ทำแบบนี้ ไม่มีคนดูออกเลย เจ้านายเอ๋ย...

ชายหนุ่มยิ้ม แล้วส่ายหน้ากับวิธีการที่เชษฐ์ไชยเลือกทำอย่างนึกขัน รู้สึกยินดี หากเชษฐ์ไชยเลือกที่จะลุกขึ้นใหม่ นอกจากจมกับอดีต หลังจากวนเวียนแต่เดินเข้าออกคอกม้า รำลึกถึงความเจ็บปวดเดิม ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ยอมหายสักที

และดำดีใจ ที่ใครสักคนผู้สามารถรักษาแผลของเชษฐ์ไชยได้นั้น คือวิริยะ


--๕๐--


-------------------------------------------------------------------

มาแล้วจ้า

พี่ดำมีความยิ้มกริ่มและแอบมอง มีความเกรงใจและรู้ตัวนิด ๆ ว่าต้องทำยังไง อิอิ

ส่วนคนเป็นอาก็...อาการไม่ค่อยออกเท่าไหร่เลย 555555

ตอนหน้าคุณอาจะโป๊ะแตกช่วงไหน ต้องรอติดตามค่ะ

เหมือนเดิมนะคะ คอมเม้นเป็นกำลังใจเค้าด้วย

เจอกันตอนหน้าจ้า

บายเด้อออออออ




หัวข้อ: Re: **{19.3.61-ตอนที่ ๑๒--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 19-03-2018 23:44:18
ขำคนฟอร์มเยอะ  ออกอาการจนลูกน้องสงสัย
หัวข้อ: Re: **{19.3.61-ตอนที่ ๑๒--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 20-03-2018 00:07:31
ดำน่ารัก เอ็นดูตอนถีบ คันตีนไม่มีที่เกา 5555
หัวข้อ: Re: **{19.3.61-ตอนที่ ๑๒--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 20-03-2018 00:34:16
ตามจ้า...น่ารักดี  :กอด1:
หัวข้อ: Re: **{19.3.61-ตอนที่ ๑๒--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-03-2018 01:27:01
ใครไม่เป็นดำไม่รู้หรอก อะไร ๆ ก็มาลงที่ดำ เพราะงั้นดำเลยต้องปฏิวัติตัวเองใหม่ หู ตา ต้องไหว หมั่นสังเกตุ แล้วลงมือกระทำการใด ๆ ก็ได้ ให้ตัวดำปลอดภัยจากมือ-teen นาย  :katai3:
หัวข้อ: Re: **{19.3.61-ตอนที่ ๑๒--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-03-2018 03:38:22
ตอนนี้มันมากเลยค่ะ ตลกคนปากแข็ง
หัวข้อ: Re: **{19.3.61-ตอนที่ ๑๒--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: Pinkping ที่ 20-03-2018 04:59:37
เพิ่งเข้ามาอ่าน สนุกดีค่าาา มาต่อเร็วๆน้า
หัวข้อ: Re: **{19.3.61-ตอนที่ ๑๒--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 20-03-2018 08:59:16
นี่คนซึนเขาลืมเก็บอาการหรือเปล่าคะ? หรือไม่คิดว่าคนอื่นจะมองออก? แหมมมมม
หัวข้อ: Re: **{21.3.61-ตอนที่ ๑๒--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 21-03-2018 16:27:43


(ต่อ)

หลังอาบน้ำชำระร่างกายแล้วเสร็จก็หกโมงเย็น เชษฐ์ไชยเดินลงบ้านมาด้วยชุดลำลองสบาย แอบหยิบบุหรี่ใส่กระเป๋าแล้วเดินผ่านแม่ต้อยที่กำลังสั่งงานเรือนเด็ก ๆ ในบ้าน ออกไปหาที่สูบข้างนอก มิเช่นนั้นแล้ว หูของชายหนุ่มอาจชาเพราะคำบ่นของนางได้

ดีหน่อยที่หน้าร้อนนั้น ช่วงกลางวันจะยาวนานกว่าฤดูกาลอื่น หกโมงเย็นแล้วตะวันยังไม่ลับขอบฟ้าเลย

อีกสองร้อยเมตรข้างหน้าคือคอกม้า ที่ที่เชษฐ์ไชยมักเข้ามาหาความสบายใจ แต่ไม่รู้ทำไมเมื่อมาถึงกลับทำให้ชายหนุ่มไม่เคยสงบใจได้เลย ภาพวันเก่าต่าง ๆ ไม่ยอมหยุดแล่นเข้ามาในหัว ขยับไปทางไหนก็เห็นแต่ความทรงจำครั้งเก่าก่อนอยู่เต็มไปหมด นี่คงเป็นเหตุผลที่เขายังฝังใจอยู่กระมัง

ชายหนุ่มยกบุหรี่ขึ้นสูบ ไม่รู้ทำไม วันนี้เขาเลือกเดินผ่านคอกม้าไปยังที่หอแทน มารู้ตัวอีกที หลายวันมานี้เชษฐ์ไชยคิดว่าที่อื่นทำให้เขาสงบจิตสงบใจและมีความสุขมากกว่า ถึงจะไม่เข้าใจความหมายจริง ๆ ว่าความรู้สึกนี้คืออะไร แต่เขาก็รู้เพียงว่ามันดีกว่าเมื่อก่อน

สองข้างทางเป็นต้นไม้ที่ตัดแต่งเป็นระเบียบ อีกร้อยเมตรข้างหน้าเป็นคอกหมู เล้าไก่ ทว่าต้องเดินผ่านบริเวณพืชผักสวนครัวไปก่อน เชษฐ์ไชยเดินลงเนินท่ามกลางต้นไม้ร่มรื่นและคิดอะไรไปเรื่อย ตลอดระยะเวลาก้าวเดิน ตะวันค่อย ๆ ลงต่ำไปตลอด จนฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน บริเวณโดยรอบของเชษฐ์ไชยเริ่มสลัว

“กรี๊ดดด! หยุดนะ บอกให้หยุดไง!”

ชายหนุ่มชะงัก ได้ยินเสียงของหน่อยลูกสาวแม่ต้อยมาจากข้างหน้า ซึ่งมันค่อนข้างเป็นป่ารกสูงและอันตราย มือหนาทิ้งบุหรี่ลงพื้นแล้วขยี้มันด้วยเท้า รีบวิ่งไป ใจหายวาบไม่อยากคิดว่าเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้น เมื่อไปถึงเขาเห็นหน่อยกำลังร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่เธอไม่ได้ถูกทำร้าย เป็นผู้ชายสองคนกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงใช้กำลังกันบนพื้นดินลูกรัง

ใจเชษฐ์ไชยชื้นขึ้นเมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น

“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย หยุดนะ หยุด!!”

แต่ครั้นเพ่งมองไปในความสลัวมืดอีกที ชายหนุ่มกลับเร่งฝีเท้ามากขึ้นไปอีก เมื่อหนึ่งในนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นวิริยะที่ซัดกับคู่กรณีอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งที่ฝ่ายตรงข้ามตัวใหญ่กว่ามาก และฝ่ายเด็กหนุ่มเท่านั้นที่ถูกทำร้าย

เชษฐ์ไชยวิ่งไปถีบไหล่ใหญ่คู่กรณีออกเป็นการห้ามปรามฉบับของชายหนุ่มเอง แล้วกระตุกดึงวิริยะให้ลุกขึ้นยืนหอบอยู่ด้านหลัง กันท่าไม่ให้อีกฝ่ายกระโจนเข้าใส่เด็กหนุ่ม “เป็นอะไรกัน กัดกันอย่างกับหมา!”

“มันจะลวนลามน้องหน่อย!” วิริยะตะโกนผ่านเสียงหอบ

“ว่าไงนะ” เชษฐ์ไชยหันหน้าไปหาคู่กรณีของวิริยะหน้าขึ้ง อารมณ์ขึ้นมาทันที ยิ่งเห็นว่าเป็นใครชายหนุ่มยิ่งโมโห

ไอ้ชาติ มันเป็นพี่ชายของคนที่แย่งเมียเขาไป ถึงจะอายุมากกว่าเชษฐ์ไชยอยู่สองปีและคุณไกรเลิศ ปู่ของเขาเลี้ยงให้เติบโตมาพร้อมกัน แต่ชายหนุ่มกลับเกลียดความหน้าตัวเมียของพวกมันอย่างเข้าไส้ เกลียดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร มันชอบเรียกร้องความสนใจ ชอบเลียแข้งเลียขาปู่ของเขา  “กูถามมึงไม่ได้ยินรึไง!”

มันตรงหน้าตาแข็งสู้ แม้จะรู้ว่าเชษฐ์ไชยเป็นนาย “กูเปล่า”

“ไม่จริงนะอาเชษฐ์ เมื่อกี้มันกอด…”

“มึงไม่ต้องเสือก กูกับเด็กก็แค่เล่นกัน ใช่ไหมหน่อย...” มันว่า แล้วหันไปหาเด็กสาววัยสิบหก

หน่อยหน้าซีด หลุบตาลงมองพื้น “จ้ะ”

“เฮ้ย! ได้ไงอะหน่อย เมื่อกี้หน่อยยังร้องเรียกคนช่วยอยู่เลย!” วิริยะชักหงุดหงิด

“เห็นไหม เด็กมันยังบอกเลยว่ากูไม่ผิด” ไอ้ชาติทำหน้าเย้ย

“มันลวนลามน้องหน่อยจริง ๆ นะอาเชษฐ์ ผมเห็นกับตา!”

“มึงอย่าเลือกให้มันมากนัก! ไม่งั้นมึงจะร้อนเป็นไฟจนอยู่ไม่ได้ซะเอง”

“มึงขู่ผิดคนแล้ว” เชษฐ์ไชยพูดเสียงเย็น จ้องตาคนตรงหน้านิ่ง ผละมองวิริยะที่มุ่นคิ้วนักเลงทั้งที่สภาพหน้าเละแล้วกล่าวกับไอ้ชาติอีกทีว่า “ถ้ามึงทำคนของกูอีก มึงต่างหากที่จะร้อนจนอยู่ไม่ได้ ถ้าอยากระเห็จออกไปข้างนอก ไม่มีที่ซุกหัวนอน ไม่มีใครต้อนรับอย่างน้องชายมึง ก็ลองดู”

ไอ้ชาติกัดฟันกรอดจนกรามปูด ไม่มีทีท่ากลัวเชษฐ์ไชย แต่ถึงอย่างนั้นก็คงฉลาดพอทีจะคิดได้ว่าใครที่มีอำนาจกว่า เหนือชั้นกว่า

เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว เชษฐ์ไชยดึงเด็กสาวตัวสั่นมากอดบ่า จ้องไอ้ระยำตรงหน้า “ถ้าหน่อยพูดออกมาคำเดียวว่ามึงทำ ต่อให้จริงรึไม่จริงกูก็จะเชื่อ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น มึงได้ตายคาส้นตีนกูแน่ ไป...หน่อย” พูดจบเชษฐ์ไชยก็เลือกที่จะใจเย็น พาหน่อยกลับไปที่บ้านพัก แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะเอื้อมมาจูงมือวิริยะให้เดินตามหลังไปทางนั้นด้วย

เด็กหนุ่มมองไหล่กว้างของคนหน้าดุเมื่อครู่ กำลังโอบกอดหน่อยเดินนำเขาโดยไม่พูดอะไรอีก ในขณะที่มือหนา กุมจับมือวิริยะให้เดินตามโดยไม่พูดอะไร เด็กหนุ่มกะพริบตาปริบ ไล่ความรุมร้อนออกจากแก้มอย่างไม่เข้าใจว่าจะเขินทำไม

วิริยะกับหน่อยถูกพากลับไปยังบ้านพักของเชษฐ์ไชย เมื่อไปถึงฟ้าก็มืดพอดี เด็กหนุ่มเหลือบมองบ้านไม้หลังใหญ่เงาวับที่ประดับด้วยดอกกุหลาบสีขาวเบื้องหน้า นานแล้วที่ไม่ได้กลับเข้ามาด้านใน ครั้นแม่ต้อยเห็นสภาพเด็กหนุ่มก็กุมอกด้วยความตกใจ คำถามแรกคือไปฟัดกับหมาที่ไหนมา วิริยะทำได้เพียงแค่ยิ้มให้นางแห้ง ๆ ไม่กล้าอธิบาย เหลือบมองหน้าดุของเชษฐ์ไชยเป็นเชิงถามว่าจะเอาอย่างไรดี

“จะอะไรซะอีกล่ะ ก็หน่อยนั่นแหละไม่รู้จักระวังตัว” พูดตามตรงไปเฉยเลย

“ว่าไงนะคะ” แม่ต้อยกุมหน้าอกตัวเองอีกครั้ง

เชษฐ์ไชยมองเด็กสาว ชี้นิ้ว “ก็นี่ไง เกือบโดนลากเข้าป่าไปแล้ว ดีนะวิวไปเห็นก่อน ถึงแม้จะช่วยอะไรไม่ค่อยได้ก็เถอะ”

“อ้าว” วิริยะทำหน้างง

“ตายแล้วนังหน่อย โชคดีนะแก แล้วทำไมต้องออกจากบ้านมาด้วย”

“หนูแค่จะมาช่วยแม่ทำงาน”

“ก็แม่บอกแกแล้วว่าให้อยู่บ้านอ่านหนังสือ” แม่ต้อยทำเสียงอ่อน

“หนูอ่านเสร็จแล้ว แล้วก็คิดว่าอยากช่วยแม่”

“พอเลย! ฉันบอกฉันเตือนกี่ทีแล้ว แล้วไหนบอกจะพกเสียมตลอด ทำไมวันนี้ถึงไม่ถือมาด้วย แต่ถึงจะพกมาจริง ๆ ก็ไม่มีทางสู้แรงมันได้หรอก เผลอ ๆ มันอาจจะเอาเสียมนั่นแหละฆ่าเธอ เกิดฉันไม่อยู่แถวนั้นจะทำยังไง ทำไมประมาทเลินเล่อแบบนี้ นี่ถ้าถูกข่มขืนขึ้นมาจะทำยังไงฮะหน่อย!” นายใหญ่ของไร่ทำเสียงดุ กอดอกยิงคำถามกับเด็กสาววัยสิบหกที่ก้มหน้าก้มตาลงมองพื้น พูดและตอบคำถามไม่ได้ สุดท้ายน้ำตาก็หยดแหมะ ร้องไห้โฮขึ้นมาเสียดื้อ ๆ

เห็นแล้ววิริยะก็นึกฉุน คนเจอเรื่องร้าย ๆ มาแทนที่จะปลอบกัน มาดุเสียได้

“หนูขอโทษค่ะนายเชษฐ์” หน่อยตอบเสียงสั่น

เมื่อรู้ว่าเด็กร้องไห้ เชษฐ์ไชยนิ่งไปพักหนึ่ง เหลือบมองไปเห็นวิริยะทำตาเขียวปัดมาให้ ถึงได้รู้ว่าตัวเองปากไม่ดี “งั้น...คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีก” ชายหนุ่มถอนใจ

หน่อยพยักหน้ารับน้อย ๆ หลังจากนั้นนายใหญ่ของบ้านก็ให้แม่ต้อยพาเดินประคองไปดูแลกันข้างใน ส่วนเจ้าตัวที่ทำเป็นดุก็หลุบมองสายตาวิริยะ เห็นแววต่อว่าอยู่ในนั้นทว่าไม่ได้พูดอะไร จนกระทั่งแม่ต้อยลับสายตาไป

เชษฐ์ไชยจับวิริยะในสภาพมอมแมมเปื้อนฝุ่นนั่งลงบนโซฟา ในห้องโถงของบ้านที่เคยเข้ามาเมื่อก่อน แล้วชายหนุ่มก็บอกเด็กในบ้านให้ไปหยิบกล่องยา

“หน่อยโกหกอาเชษฐ์นะครับ” วิริยะเงยมองเชษฐ์ไชยเมื่อเห็นชายหนุ่มทรุดลงนั่งข้าง สภาพของเด็กหนุ่มยับเยิน คิ้วแตก ปากแตก โหนกแก้มบวมเขียว สภาพเหมือนโดนรุมซ้อมมา แต่เจ้าตัวกลับอวดเก่งเกินตัวเสียอย่างนั้น

“ฉันรู้ หน่อยคงกลัวตัวเองลำบากทีหลัง เพราะไอ้ชาติมันเจ้าคิดเจ้าแค้น”

“ไล่มันออกไม่ได้เหรอ คนแบบนี้มันอันตรายมากเลยนะ รู้ไหมผมเห็นมันแอบมองหน่อยทุกวันเลย แล้วมันก็คงรู้ว่าหน่อยต้องเดินมาช่วยป้าต้อยทำงานเวลานี้ทุกวัน มันวางแผนมาอย่างดีนะครับ มันเลือกตรงที่มีหญ้ารกสูงจะได้ไม่มีใครเห็นด้วย” วิริยะรีบเล่า

“ฉันจะเลี้ยงมันไว้อีกไม่นานหรอกวิว”

เชษฐ์ไชยจ้องตาเด็กเบื้องหน้า เมื่อเห็นวิริยะพยักหน้ารับแล้วชายหนุ่มจึงเอื้อมรับกล่องปฐมพยาบาลจากเด็กในบ้าน ไล่พวกหล่อนให้ไปทำงานแล้วเริ่มเปิดกล่องจะทำแผลให้ “แล้วนี่ตัวเท่าลูกหมา ริอาจไปสู้กับคนตัวใหญ่ ๆ เขา คงคิดว่าตัวเองจะสู้ได้ละมั้ง”

วิริยะเชยตาสบคนกล่าว “ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรไหม”

“มันก็ดีอยู่ แต่ควรสำเหนียกด้วยว่าต้องช่วยแบบไหน ไม่ใช่ทำอะไรเกินตัว มันจะยิ่งลำบากไปกันใหญ่”

“สรุปห่วงปะเนี่ย ด่าผมทำไม” เด็กหนุ่มทำหน้าเบื่อ

“ก็เป็นห่วงไงถึงได้ด่าอย่างงี้ ขนาดฉันยังไม่คิดจะใช้กำลังกับไอ้ชาติหมานั่นเลย มันอันตราย” วิริยะชะงัก มองใบหน้าหล่อของคนกล่าวที่กำลังง่วนกับอยู่การจัดการยาทาโน่นนี่ นี่รู้ตัวรึเปล่าว่าพูดอะไรออกมา เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มแล้วยกมือกุมปากที่แตกเพราะลืมตัว สบนัยน์ตาคมของเชษฐ์ไชยที่เคลื่อนมาสบหลังจากเทแอลกอฮอล์ใส่สำลี กำลังจะทำความสะอาดแผลให้

“ไหน ขอดูแผลหน่อย” สุ้มเสียงทุ้มของคนกล่าวนุ่มนวลแปลก ๆ

วิริยะคลายมือที่กุมบาดแผลบนหน้า จ้องใบหน้าคมคายที่เคยอยู่ภายใต้หนวดเครารกรุงรังเมื่อก่อน ซึ่งบัดนี้สะอาดสะอ้านแลดูน่ามอง เมื่อได้เห็นความหล่อเหลาของเชษฐ์ไชยชัดเจนแจ่มแจ้ง ใจวิริยะเต้นตึกตักอย่างน่าแปลก ไม่เข้าใจตัวเองเลย

นิ้วหัวแม่มือใหญ่สัมผัสใบหน้าเด็กหนุ่มเบามือและนำสำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดแผล ส่วนดวงตาคมกริบเบื้องหน้าก็ยังคงง่วนอยู่กับการสำรวจหาร่องรอยบาดเจ็บอื่น ๆ ชั่ววินาทีหนึ่งแตะโดนแผลของวิริยะแรงไปหน่อยจนเด็กหนุ่มร้องเจ็บ เชษฐ์ไชยจึงผละมาสบตา “โทษที เจ็บเหรอ”

วิริยะพยักหน้าน้อย ๆ ไม่ผละสายตาไปจากคนตรงหน้า ซึ่งฝ่ายเชษฐ์ไชยก็ทำเช่นนั้นเมื่อได้มองตากัน

คนเจ็บกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เมื่อรู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป เห็นว่าจากที่สบตา เชษฐ์ไชยผละมามองริมฝีปากของเขาอยู่แวบหนึ่ง เพียงแค่นั้นหน้าวิริยะก็ขึ้นสี ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าคนตรงหน้าจะจูบ แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าของคนอายุมากกว่าก็ดันเขยื้อนขยับมาใกล้ ใกล้จนลมหายใจกระทบใบหน้า

“มะ มองไม่เห็นแผลเหรอ แก่แล้วสายตาฝ้าฟางไปหมดแล้วใช่ไหม”

เด็กหนุ่มรีบพูดฝ่าความเงียบ

คนฟังชะงักอยู่ในระยะใกล้แค่คืบ แล้วผละสายตาไปที่อื่น “เปล่า เอื้อมมาหยิบไอ้นี่”

เป็นขวดยาที่อยู่ในกล่อง เห็นแล้วเด็กหนุ่มก็รู้สึกหน้าแตกขึ้นมานิด ๆ

“นึกว่าจะมาเป่าเพี้ยงให้ซะอีก จะได้หายไว ๆ เจ็บแผลมากเลย” ทำเสียงล้อเลียนเชษฐ์ไชยแก้หน้าให้ตัวเอง

“ปัญญาอ่อน มา! รีบทำแผลแล้วรีบกลับไปอาบน้ำนอน”

“น้า เป่าให้หน่อยสิอาเชษฐ์ อยากให้อาเชษฐ์เป่าให้จังเลย” เด็กหนุ่มแสร้งขยับหน้าเข้าใกล้

“อย่ามากวนน่า จะอ้วก”

วิริยะหัวเราะ “ทำไมอ่า ก็อาเชษฐ์เป็นห่วงนี่นา เป่าให้หน่อยเร๊ว”

“อยู่เฉย ๆ เป็นไหมฮะ!” คนทำแผลให้รำคาญ แต่ถึงอย่างนั้นวิริยะกลับหัวเราะชอบใจที่แกล้งกวนน้ำให้ขุ่นได้ ยอมนั่งให้เชษฐ์ไชยทำจนเสร็จแต่โดยดี ระหว่างนั้นตาคมก็เหลือบเห็นหลังมือของเด็กหนุ่มแตกเช่นกัน จึงถือโอกาสทำความสะอาดให้ด้วยเลย

ขณะจับมือทำความสะอาด ทำแผล สัมผัสในฝ่ามือวิริยะกระด้างจนไม่เหมือนเด็กในเมือง ซึ่งคาดว่ามันน่าจะเป็นเพราะช่วงหลังที่มาจับจอบจับเสียมทำงาน เชษฐ์ไชยหงายมือเด็กหนุ่มขึ้นดูหลังจากทำแผลให้เสร็จ แต่เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มทำแบบนี้วิริยะก็รีบชักมือกลับแล้วลุกขึ้นยืนแก้เก้อ ขอตัวไปพักผ่อน

เชษฐ์ไชยรีบลุกขึ้นยืนเมื่อได้ยินดังนั้น “งั้นฉันจะไปส่งเอง”

วิริยะรีบส่ายหน้า “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมเดินกลับ”

“ทำตามที่ฉันพูด ห้ามปฏิเสธ รออยู่ตรงนี้” นิ้วชี้เรียวออกคำสั่งพร้อมหน้าดุ

“เอ้า” มองตามเชษฐ์ไชยเดินตึงตังขึ้นไปข้างบนอย่างไม่เข้าใจ ครู่เดียวก็ถือพวงกุญแจรถลงมา นำวิริยะไปยังรถยนต์คู่ใจที่เด็กหนุ่มเพิ่งได้นั่งเมื่อตอนเลิกงาน ครั้นขึ้นมานั่งบนรถได้ ระหว่างทั้งสองก็เงียบไป มีเพียงคนตัวใหญ่ที่กำลังง่วนกับการจัดแจงข้าวของ แล้วสตาร์ทรถ

“ไม่ใช่แค่หน่อยที่ต้องระวังตัว เธอก็ต้องระวังด้วย” เชษฐ์ไชยพูดขึ้นฝ่าความเงียบราวไม่มีอะไร เด็กหนุ่มยิ้ม พยักหน้ารับในความหวังดีที่นาน ๆ ครั้งจะมี “เดี๋ยวมาตายในไร่ฉัน คนงานจะกลัวผีเอา”

“เฮ้อ...” วิริยะถอนใจหน่ายเหนื่อย ขอเปลี่ยนความรู้สึกมาเป็นเหมือนเดิมดีกว่า เชษฐ์ไชยนี่มันเชษฐ์ไชยจริง ๆ ภาพลักษณ์ที่ดูเป็นมิตรขึ้นมามันก็แค่ของหลอกตาเท่านั้นเอง

“นึกว่าจะห่วงคนที่แอบชอบซะอีก”

เด็กหนุ่มยิ้ม

“มโน” คนตอบทำหน้าไม่รู้สึกรู้สา

ไม่นานเชษฐ์ไชยก็พาวิริยะมาถึงหน้าหอพัก ชายหนุ่มปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วดับเครื่องในขณะที่วิริยะเองก็ด้วย ครั้นเสร็จ คนตัวใหญ่ก็โน้มเข้ามาใกล้ วิริยะที่ยุ่งอยู่กับการแกะเข็มขัดออกจากตัวก็ผละมาเจอใบหน้าคมคายในความมืดพอดี เด็กหนุ่มถอนใจ ทำหน้าระอา เหลือบมองมือหนาที่เอื้อมไปด้านหลังรู้ทันว่าอีกคนจะแกล้งให้หน้าแตกอีกเหมือนคราวที่แล้ว ซึ่งวิริยะไม่หลงกลแน่

“ไม่ต้องเปิดประตูให้หรอก ไม่ได้เจ็บมือขนาดนั้น” วิริยะยิ้มเผล่ ทำหน้ารู้ดี

“ใครบอกจะเปิดให้” คนตัวใหญ่มุ่นคิ้ว

วิริยะทำท่าจะเถียง เขารู้หมดนั่นแหละว่าเชษฐ์ไชยตั้งใจจะทำอะไร หากทว่าตกใจ เมื่อเชษฐ์ไชยพูดจบก็ขยับเข้ามาใกล้ พร้อมกระตุกแขนเด็กหนุ่มให้เขยื้อนไปหา แล้วแนบริมฝีปากจูบเขาในที่สุด

วิริยะเบิกตาโพลง ผีเสื้อตัวน้อยกระพือปีกบินอยู่ข้างในจนมวนท้องไปหมด

“ฮื่อ...”

เด็กหนุ่มก็เพิ่งรู้ว่าที่เชษฐ์ไชยหันมา ลำแขนที่เขาเคยคิดว่าอีกฝ่ายจะใช้เปิดประตูนั้นจริง ๆ แล้วทำอะไร ใช้ค้ำกับขอบประตูแล้วโน้มใบหน้าเข้ามาจูบเขาเช่นนี้อย่างไรเล่า หากจะแกล้ง ไม่แกล้งแรงไปหน่อยหรือ วิริยะรู้ ว่าที่เขาแกล้งเชษฐ์ไชยตั้งแต่เมื่อตอนเย็นนั้น ทำให้ศึกสงครามการเอาชนะกันของทั้งสองเริ่มขึ้นนานแล้ว

มือขาวกำเสื้อของคนตรงหน้าแน่น ลมหายใจขาดห้วงเป็นช่วง ๆ ยามลิ้นสากของคนตรงหน้ารุกไล่ตามอย่างเอาจริงเอาจัง อวดว่าตัวเองเก่งกาจชำนาญเรื่องนี้ขนาดไหน วิริยะส่งเสียงปรามในลำคอเมื่อรู้ว่าควรทำสิ่งไหนก่อน ทว่าลำเสียงของเด็กหนุ่มหายไปดื้อ ๆ เพราะเชษฐ์ไชยผละออก แล้วจูบปิดปากเสียใหม่อีกที ฟอนเฟ้นริมฝีปากเขาอยู่เช่นนั้น จนวิริยะต้องทุบหน้าอกตักเตือนว่าตอนนี้เด็กหนุ่มเจ็บอยู่

คนตรงหน้าผละออก ขยับเลยริมฝีปากมาที่ลำคอ ฝังจูบตรงนั้นครู่หนึ่ง แล้วผละมาที่ข้อศอก ลากไล่ตามลำแขนวิริยะ มาจรดริมฝีปากชื้นบริเวณหลังมืออีกทีจนเด็กหนุ่มขนลุกซู่ เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว ดึงมือออกด้วยความไม่เข้าใจ ท้ายที่สุดคนตัวโตเบื้องหน้าก็ได้ผละจากสิ่งที่กระทำมาสบตา เผยรอยยิ้มร้ายและเจ้าเล่ห์ แต่เป็นความเจ้าเล่ห์ที่ดูไม่ค่อยมีพิษมีภัยเท่าไรนัก

“ทำบ้าอะไรเนี่ย ไม่ขำนะ” วิริยะทำหน้ายุ่ง เม้มริมฝีปากรุ่มร้อนของตัวเอง

“ก็เป่าให้ไง”

มันก็จริงที่เชษฐ์ไชยฝังจูบแต่บริเวณที่เขาเป็นแผล แต่มันน่าอายนี่นา!

วิริยะหลุบตามองตัก “นี่มันดูดไหม ไม่ใช่เป่า”

คนฟังหัวเราะหึ “ชอบกว่าเป่าก็บอก”

“บ้า!” เด็กหนุ่มหน้าร้อนขึ้นอีก ตีเพียะบนอกคนตรงหน้า

ถึงจะถูกตี ทว่าเชษฐ์ไชยกลับไม่โกรธ และกระตุกยิ้มให้รู้เลยว่าตอนนี้เหนือกว่า

“ไม่เห็นเป็นไร ถ้าบริสุทธิ์ใจ ทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด”

“อย่ามาย้อนผมนะเว้ย!” วิริยะโวยเมื่อรู้นัยยะของคนตรงหน้า

ย้อนกลับไปเมื่อตอนเย็น

ในขณะที่เชษฐ์ไชยบังคับรถยนต์ไต่ขึ้นเนินไป วิริยะยกผ้าเช็ดผมที่เปียกไปพลาง ลอบชำเลืองมองคนตัวเปียกที่สวมเพียงกางเกงตัวเดียวข้างกายไปพลาง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องทำแบบนี้ด้วย ตั้งแต่ไล่เขากลับมาจากห้องของดำ ตั้งแต่มานอนเฝ้าที่ห้อง แล้วไหนจะตามเขามาถึงน้ำตกอีก

วิริยะไม่ใช่คนโง่ เขาเอะใจ อยากรู้ และไม่อยากคิดเองเออเอง

“อาเชษฐ์ชอบผมเหรอ”

สิ้นเสียงเด็กหนุ่ม รถยนต์ที่แล่นอยู่ดี ๆ ก็เบรกกึกจนวิริยะหน้าเหวอ หัวทิ่มไปยังคอนโซลรถ เด็กหนุ่มกุมหน้าผากตัวเองร้องโอดโอย “จะเบรกก็บอกกันก่อนสิอาเชษฐ์ หัวแตกแล้วมั้งเนี่ย”

คนหน้าดุทำตาแข็ง มองวิริยะ “พูดอะไรนะ”

“ฮะ ก็บอกว่าจะเบรกทำไมไม่บอกผมก่อน”

“ก่อนหน้านั้นอีก”

“ก็...” วิริยะหน้ายุ่งคิดอยู่พักหนึ่ง เมื่อนึกออกก็เริ่มรู้แล้วว่าที่คนข้างกายเป็นแบบนี้เพราะอะไร เด็กหนุ่มเปลี่ยนมายิ้มเผล่ราวกับเป็นไบโพล่าห์ หันไปชี้นิ้วล้อเลียนอย่างเต็มตัว “อย่าบอกนะว่าที่ทำหงุดหงิดเพราะเขินที่ผมถามเมื่อกี้ ทำไม...รึว่าชอบผมจริง ๆ”

เชษฐ์ไชยเบิกตาจนโต “พูดอะไร ชอบเชิบที่ไหน!”

“เหรอ ไม่ชอบจริงเหรอ” วิริยะขยับเข้าใกล้

“ถอยออกไปเลย!”

มือยาวกอดแขนกำยำแกล้ง “ไม่ชอบจริงเหรอ ผมน่ารักน้า...”

“อย่ามาทำแบบนี้ ฉันไม่ชอบ”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ คนเราถ้าบริสุทธิ์ใจ ทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด” พูดจบ วิริยะก็กระโจนกอดคอเชษฐ์ไชยให้โน้มตัวเข้าหา จูบลงบนแก้มสะอ้านอย่างนึกมันเขี้ยวและอยากแกล้งให้อีกฝ่ายเขิน ซึ่งเชษฐ์ไชยก็ร้องโหวกเหวกโวยวายหลังจากนั้นอย่างที่คิด ทำหน้าทำตาโกรธ ไม่ค่อยแสดงอาการให้วิริยะเห็นเลย ว่ากำลังอายที่ถูกเด็กหนุ่มแกล้งแล้วใช้วิธีเหวี่ยงเป็นการกลบเกลื่อน

ไม่ค่อยเลยจริงจริ๊ง!

เมื่อเจอกันช่วงพลบค่ำอีกครั้ง สถานการณ์ของทั้งสองถึงได้เปลี่ยนไป เชษฐ์ไชยคงเจ็บใจที่ถูกเด็กหนุ่มล้อเลียนจึงเอาคืน จนมาถึงตอนนี้ เชษฐ์ไชยคงกำลังคิดว่าใครหลุดเขินก่อนคนนั้นแพ้ และเป็นคนชอบอีกฝ่ายเสียเองกระมัง ถึงได้ทำหน้าราวกับว่าชนะวิริยะเช่นนี้

เด็กหนุ่มทำหน้างอ ตีต้นแขนหนา ๆ สองสามเพียะแก้ความอับอาย แล้วเปิดประตูวิ่งฉับสี่คูณร้อยกลับไปยังห้องพักของตัวเอง ให้ตายซี เขาไม่เคยได้เกรดวิชาพละดีมาก่อนเลยในชีวิต วิริยะเชื่อว่าครั้งนี้เขาวิ่งเร็วที่สุดในชีวิตเลยด้วยซ้ำ

ครั้นมาถึง วิริยะกุมหน้าอกที่เต้นโครมครามของตัวเอง

หากเจอสถานการณ์เดียวกัน เป็นใครก็คงตกใจเหมือนเขาแหละน่า!

คิดแล้ว นิ้วมือเรียวก็ยกสัมผัสที่ริมฝีปากอันอุ่นร้อนของตัวเอง…


--๑๐๐--


-------------------------------------------------------------------------------

ขอโทษค่า ไรต์มีความหลงว่าต้องอัพช่วงดึก เลยเวลาเย็นมามากเลยทีเดียวถึงนึกขึ้นมาได้ 555555 ตัวเองอย่าโกรธเค้านะ อิอิ

ส่วนสองคนนี้ แกล้งกันไปแกล้งกันมาจนคิดจริงกันแล่ว น้องวิวมีความโฆษณาว่าตัวเองน่ารัก

อาเชษฐ์คะ ทำซะขนาดนี้ คราวหน้าเจอน้องแล้วจะไม่อายเหรอคะ 55555

เอ...รึกำลังอยากจะสารภาพพอดี อุ๊บส์ ไม่เอาไม่เม้า

เจอกันตอนหน้าค่าาาา

เหมือนเดิมนะคะ 1 คอมเม้น คือ1 กำลังใจ

กำลังใจเยอะก็มีแรงปั่นเยอะเด้อ

หัวข้อ: Re: **{21.3.61-ตอนที่ ๑๒--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-03-2018 16:51:18
 :mew3:
หัวข้อ: Re: **{21.3.61-ตอนที่ ๑๒--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 21-03-2018 17:39:12
 :-[
อร๊ายยย เขินแทน ตัวจะแตกแล้ว อิอิอิ
หัวข้อ: Re: **{21.3.61-ตอนที่ ๑๒--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 21-03-2018 23:02:03
ชอบความขายของเก่งของน้องวิว น่ารักจริงๆด้วยลูกกกก

เอ๊ะ อาเชษฐ์ไม่คิดแบบนั้นจริงๆหรือคะ?
หัวข้อ: Re: **{21.3.61-ตอนที่ ๑๒--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-03-2018 01:52:57
โดนดูดแล้วมันหายเจ็บนี่ จริงปะ อยากรู้ ๆ  :m17:
หัวข้อ: Re: **{23.3.61-ตอนที่ ๑๓--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 23-03-2018 17:35:12


ตอนที่ ๑๓

เสียงรถยนต์คันคุ้นชินแล่นเข้ามาจอดอยู่หน้าบ้าน ทำให้แม่ต้อยได้ทราบว่าเจ้านายที่หายออกไปได้พักหนึ่งกลับมาแล้ว จากที่คิดไว้ คงออกไปส่งวิริยะกลับห้องพักกระมัง พักนี้เห็นทั้งสองพูดจาและเข้าขากันดีราวรู้จักมักจี่กันมานาน ทั้งที่ก็เพิ่งได้เจอกันเมื่อไม่นานมานี้เอง

สิ้นเสียงรถยนต์คันใหญ่ ไม่นานก็ปรากฏร่างของเชษฐ์ไชยภายในบ้าน ร่างสูงเดินมาทรุดนั่งบนโต๊ะอาหารที่กำลังจัดเตรียมรออย่างรู้เวลา แต่ที่แปลกไปคือสีหน้าเจ้านายของนางนั้นกลับกำลังเคร่งเครียด ทั้งที่เมื่อครู่เจอเรื่องใหญ่มา ยังไม่มีท่าทีเช่นนี้เลย

แม่ต้อยหยิบโถข้าวที่แบ่งไว้ ยกไปตักใส่จานของเจ้านายจำนวนพอเหมาะ ทั้งที่มีข้าวปลาอาหารครบถ้วนล่อตาล่อใจ ไหนจะกลิ่นหอมหวน หากทว่าเชษฐ์ไชยกลับทำหน้าเคร่ง ใจลอยครุ่นคิดอะไรไปเรื่อยโดยไม่สนใจสิ่งของตรงหน้าแม้แต่นิด เห็นเช่นนั้นแล้วถึงรู้ว่ามีบางอย่างผิดไป แม่ต้อยคิดพลางยื่นของในมือให้เด็กเอาไปเก็บ โน้มลงสอบถามเชษฐ์ไชยอย่างตรงไปตรงมา

“นายเชษฐ์ มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่าคะ”

คนฟังชะงัก ผละไปสบตานาง เงียบไปพักหนึ่งแล้วจึงค่อยตอบ “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”

“ไม่มีอะไร แล้วทำไมทำหน้าเครียดอย่างนั้นล่ะคะ บอกต้อยได้นะคะ” นางทำเสียงอ่อน

“ไม่มีอะไร ฉันก็แค่คิดอะไรไปเรื่อย”

ต้อยถอนใจ มองคนตัวใหญ่ขยับตัวหยิบช้อนขึ้นถือทำท่าจะตักอาหารทาน แล้วก็ใจลอยขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ถือมันไว้อย่างนั้นไม่ทานอะไรสักที ทุกอย่างสวนทางกับคำพูดอย่างนี้นางจะเชื่อคำเจ้านายได้อย่างไรกัน

แต่ดูเหมือนเชษฐ์ไชยจะรู้ตัวว่าแม่ต้อยกำลังกังวลใจ เจ้านายหยิบตักอาหารทานเมื่อปัดความคิดในสมองออกไปได้ ซึ่งนั่นแหละ เมื่อได้เห็นว่าชายหนุ่มดีขึ้นแล้วนางจึงเดินละไปทำงานอื่นต่อ ทั้งที่ท่าทีหนักอกหนักใจชองเชษฐ์ไชยยังไม่หายไปอย่างสนิทเท่าไรนัก แต่ก็ดีกว่าเมื่อครู่อยู่

แม่ต้อยไม่ค่อยเห็นเชษฐ์ไชยมีอาการนี้เท่าใดนัก ส่วนใหญ่เมื่อไม่พอใจอะไรจะเหวี่ยง โผงผาง เสียงดัง และพูดในสิ่งที่ต้องการอย่างตรงไปตรงมา ผิดวิสัยคนขี้โมโหไปเช่นนี้ คงมีเรื่องทำให้ไม่สบายใจ หรือกำลังคิดมากจนทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งมันมีปัจจัยน้อยมากเหลือเกินที่จะทำให้เชษฐ์ไชยเป็นเช่นนั้นได้

เมื่อไม่รู้ต้นสายปลายเหตุอาการเซื่องซึมของเจ้านาย ต้อยก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไรดี

นางเหลือบมองทีท่านั้นแล้วได้แต่ทอดถอนใจ หากรู้และสามารถช่วยได้ นางก็ยินดี

 

วิริยะรู้สึกตัวตื่นตามเวลาของทุกวัน บวกกับรู้สึกระบมบาดแผลตามลำตัวด้วย เด็กหนุ่มนอนเล่นกับพี่เสืออยู่พักหนึ่งก็ลุกขึ้นจัดแจง เตรียมตัวไปทำงานอย่างเช่นทุกวัน ถึงจะโดนกระทืบมาจนปวดเจ็บตามเนื้อตัว สภาพตอนนี้ก็ไม่ต่างจากช่วงแรก ๆ ที่เข้ามาทำงาน สักพักก็คงหาย แล้วก็กลับมาตัวเบาเหมือนเดิมได้

“ไปหาเจ้านายแกดี ๆ นะ” เด็กหนุ่มเปิดประตู พูดกับพี่เสือ มันเดินออกไปอย่างเชื่องช้าราวกับขี้เกียจ อาจเป็นเพราะความอ้วนที่สั่งสมมาตลอดก็เป็นได้ เมื่อเห็นก้นใหญ่ ๆ ส่ายดุ๊กดิ๊กเดินไปจนลับส่ายตา วิริยะก็ออกไปอาบน้ำ แล้วเดินไปช่วยคนงานคนอื่นเก็บผัก

ช่วงหนึ่งเด็กหนุ่มเหลือบไปเห็นใครยืนกอดอกอยู่โรงครัว ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายเห็นเขาก็มองเขม็งราวกับต้องการหาเรื่อง ไอ้ชาติที่เป็นคู่กรณีชกต่อยกับเขาเมื่อวาน วิริยะรู้ตัวดีว่าสิ่งที่เขาทำเป็นการแส่หาเรื่อง ทำให้มันรู้สึกว่าเขาเป็นศัตรู แต่จะให้ทำยังไง เขาทนเห็นเด็กผู้หญิงโดนมันลวนลามไม่ได้

จากต่างคนต่างอยู่ วิริยะกลายเป็นคู่อริของมันไปแล้ว

“วิว! มาช่วยเก็บผักเหรอ ไป...พี่ไปด้วย” เหนือวิ่งมากอดคอ สัมผัสโดนบริเวณที่เป็นแผลจนวิริยะเผลอครวญไปด้วยความเจ็บ ทำให้คนพี่ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น โน้มลงพินิจใบหน้าของวิริยะแล้วเบิกตาตกใจ “เฮ้ย ไปโดนอะไรมาวะวิว เมื่อวานยังเล่นน้ำกันดี ๆ อยู่เลย”

วิริยะยกยิ้มเล็กน้อย “คือ...”

“หรือว่านี่ฝีมือนายเชษฐ์ ที่นายเชษฐ์ลากออกมาก่อนเพราะงี้เหรอ”

“บ้า!”

“ไปทำอะไรให้นายเชษฐ์โกรธขนาดนี้วะเนี่ย” เหนือเหลือกตา

“ไม่ใช่ คือ...เมื่อวานตอนเย็นมีเรื่องนิดหน่อย”

“มีเรื่อง” คนตัวสูงกว่าย้อน “มีเรื่องกับใคร ใครมันกล้าทำน้องพี่ ไอ้ระยำที่ไหน!” วิริยะไม่คิดว่าเหนือจะกล้าโหวกเหวกโวยวายขนาดนี้ได้ เด็กหนุ่มยกมือกุมหน้าตัวเองเมื่อทุกสายตาหันมาเหลือบมอง ไม่เว้นแม้กระทั่งไอ้ชาติ

“มีหยัง เกิดอีหยังขึ้น” ดำมาสมทบ

เหนือจับตัววิริยะให้หันไปหา ทำเสียงดังฟ้องดำอีกต่อหนึ่ง “มึงดู ไอ้เหี้ยที่ไหนไม่รู้มาหยามเรา มันฝากตีนไว้ที่หน้าน้อง ทำแบบนี้ต้องการประกาศศึกกับเรานี่หว่า ทำใครไม่ทำ ทำเด็กของเทพบุตร กูไม่ยอมเว้ย!”

“พี่เหนือ!” วิริยะทำเสียงกึ่งเอ็ดกึ่งรำคาญความเล่นใหญ่ของพี่ชายกล้ามโต หนำซ้ำดำก็บ้าไปกับเขาด้วย ทำหน้าราวกับถูกเผาบ้าน กัดฟันจนกรามปูดพูดว่า “รู้จักกลุ่มหมู่กูน้อยไปแล้ว บอกอ้ายมาว่ามันเป็นไผ อ้ายจะเอาตีนไปจอดบนหน้ามัน วิว” ดำหันมาถามวิริยะหน้าจริงจัง

“ไม่ต้องหรอกพี่”

“บ่ต้องได้จั่งใด๋ วิวบ่แม่นพวกหาเรื่องไผก่อน มันต้องมาหาเรื่องวิวก่อนแท้ ๆ” ดำส่ายหน้า

“เรื่องมันยาวว่ะพี่ ไป...ไปเก็บผักกัน เดี๋ยวสาย”

“ผู้ใด๋อยู่แถวนี้แล้วมุดหัวอยู่ใต้ผ้าซิ่นฟังไว้ มึงโตใด๋กล้ามายุ่งน้องกู แข่วมึงหล่นแน่!”

วิริยะถอนใจ บังคับจูงสองพี่ชายตัวใหญ่ยักษ์เดินไปยังแปลงผักอย่างรู้สึกอาย ก็ดีใจอยู่หรอกที่ทุกคนเป็นห่วงเขาขนาดนี้ แต่ยิ่งทำแบบนี้ไอ้ชาติหมามันก็ยิ่งเคืองมากขึ้นไปอีกน่ะซี ป่านนี้คงคิดว่าเขาฟ้องรุ่นพี่กลุ่มนี้เรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มคิด แล้วเหลือบไปเห็นคนที่ถูกกล่าวหาว่ามุดอยู่ใต้ผ้าถุงนั้น กำลังเลือดขึ้นหน้าอย่างสุดขีด

“บ่เห็นเป็นหยังเลย บ่ต้องย่าน บ่ต้องเกรงใจว่ามันเป็นไผ เดี๋ยวหมู่อ้ายจะซ่อยวิวเอง บอกอ้ายมาเถาะว่าบักนั่นมันเป็นไผ อ้ายจะได้คอยระวังให้นำ” วิริยะทำหน้ายู่เดินมาพร้อมพี่ชายที่พยายามหว่านล้อมถามปนบ่น เด็กหนุ่มถอนใจ หยิบตะกร้ามาตัดผักคะน้าทีละต้น พูดว่า “เดี๋ยวพวกพี่ไปหาเรื่องมัน ผมอยากให้มันจบอะ”

“หาเรื่องอีหยัง หมู่อ้ายบ่แมนนักเลง เห็นอ้ายเป็นคนแบบนั้นเบาะ”

“อือ” วิริยะยิ้ม ตอบตัดบทด้วยการกวนประสาท

“เอ๋า” ดำทำหน้ายู่ “บ่บอกก็บ่ต้องบอก ถ้ามันมาหาเรื่องอีกกะมาบอกอ้าย เพราะตอนนั้นก็หมายควมว่ามันบ่อยากให้จบดี ๆ แล้ว เข้าใจบ่ บ่ต้องย่านว่าหมู่อ้ายสิลำบาก เพราะกลุ่มอ้ายมีหลายคน มีหลายส้นตีน”

“คร้าบ จะรีบวิ่งแจ้นไปบอกเลย”

“ฉันถามว่าฝีมือใคร!”

วิริยะละรอยยิ้ม มองไปยังบ้านไม้หลังใหญ่ตรงกันข้ามอย่างแปลกใจที่เห็นนายใหญ่หงุดหงิดตั้งแต่เช้า ร่างสูงใหญ่ยืนเท้าสะเอวมองเด็กสาวแม่บ้านคนหนึ่ง อาการของเธอดูตื่นกลัวเอาเสียมาก ก้มหน้าก้มตามองพื้นให้เชษฐ์ไชยตวาด

“หนูไม่รู้ค่ะนายเชษฐ์ เห็นมันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เลิกเรียนกลับมาแล้ว” หล่อนตอบ

เชษฐ์ไชยกำหมัด “จะไม่รู้ได้ยังไง ก็เฝ้าบ้านกันอยู่แท้ ๆ ไปตามทุกคนมาให้ครบ ฉันจะเอาเรื่องมันให้ถึงที่สุด!”

“ค่ะ” แล้วเด็กสาวคนนั้นก็เดินเช็ดน้ำตา ตัวสั่นงกเข้าไปในบ้าน

“นายเซษฐ์โหดอีกแล้ว เด็กน้อยเฮ็ดหยังบ่ถืกใจอีกน้อ” ดำบ่นปนยิ้ม แล้วแยกออกไปเก็บผักชนิดอื่นกับเหนือ ในขณะที่วิริยะย่นหน้า นึกได้ว่าช่วงแรก ๆ เชษฐ์ไชยก็ชอบหาเรื่องต่อว่าเขาแบบนี้เหมือนกัน รู้สึกสงสารเด็กผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาเลย

ไม่นาน แม่บ้านทุกคนไม่เว้นแม้ระทั่งแม่ต้อยก็เดินออกมายืนเรียงกันอยู่หน้าบ้าน ดูเหมือนเชษฐ์ไชยกำลังหัวเสียเอามาก ๆ พูดกับพวกหล่อนทั้งหลายตามอารมณ์ว่า “อยู่บ้านกันตลอด มีใครเห็นสักคนไหมว่าใครหน้าไหนมันมายุ่งกับของของฉัน ฉันบอกกี่ทีแล้วว่าห้ามใครมาแตะต้อง!”

ทุกคนเงียบกริบ ไม่มีใครพูดขึ้นมาสักเเอะราวสิ้นชีวิตไปหมดแล้ว จนเชษฐ์ไชยหยิบแก้วกาแฟเหวี่ยงลงพื้นถึงได้พากันสะดุ้ง ตอบชายหนุ่มได้ “ไม่ทราบค่ะนายเชษฐ์ พวกเราก็มัวแต่ทำงานอยู่ในบ้าน”

“จะไม่รู้ได้ยังไง มันมาเหยียบถึงหน้าบ้านเลยนะ อีกหน่อยโจรบุกมาพวกเธอคงนอนรอความตายในนั้นนั่นแหละ!”

พวกหล่อนทั้งหลายก้มหน้าเงียบ

“นายเชษฐ์คะ...”

“แม่ต้อยก็ด้วย เป็นแม่บ้านใหญ่แท้ ๆ แต่กลับรักษาของในบ้านไม่ได้ แย่!” เจ้าของเสียงทุ้มตวาดดังขึ้นมากกว่าเดิมอีก เมื่อเห็นเป็นแม่ต้อยที่ควรมีความรับผิดชอบกว่าคนอื่นเอ่ยจะออกความเห็น

วิริยะชะโงกคอมองไปยังฝั่งตรงกันข้าม ทรัพย์สินอะไรเสียหาย แพงขนาดไหนคนหน้าดุถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้น กระทั่งเห็นสองแม่ลูกปั่นจักรยานซ้อนท้ายกันผ่านมา ดูเหมือนจะตระเตรียมข้าวของไปบิณฑบาตที่ถนนลาดยางอีกหนึ่งกิโลเมตรข้างนอก แม่บ้านทั้งหลายมองตามทั้งสองราวกับเจอผี เรียกให้นัยน์ตาคมดุหันมาทางนี้ด้วย

ครั้นเห็นแม่ลูกทั้งสองแล้ว เชษฐ์ไชยโกรธยิ่งกว่าเก่า “หยุด หยุดเดี๋ยวนี้!” พูดพลางเดินไปดักหน้าจักรยานคันเก่าของทั้งสอง วิริยะลุกขึ้นยืนตกใจ ซึ่งไม่ต่างจากคนถูกกระทำเท่าใดนัก เกือบจะล้มกันไปแล้ว

“นะ นายเชษฐ์มีอะไรกับดิฉันเหรอคะ” นางก้มหน้าก้มตาถาม

ร่างสูงเดินไปค้นหยิบของในถุงพลาสติกใส ซึ่งบรรจุด้วยข้าวสุก กับข้าวแบบถุง และดอกกุหลาบสีขาวสะพรั่งหลายดอก ถูกมัดแบ่งไว้สองสามกำ มือหนาหยิบของที่ตามหาขึ้นมาถือ จ้องตาแม่สาวใหญ่ตรงหน้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “ใครใช้ให้เธอขโมยมันไป ของของฉัน เธอกล้าดียังไง!”

หล่อนสะดุ้งโหยง “ดอกไม้นี่เหรอคะ”

“ก็เออน่ะสิ!”

นางหน้าซีดขึ้นอีกระดับ ไม่กล้าบอกความจริงว่าเหตุใดจึงกล้าแอบมาเด็ดดอกไม้อันเป็นของรักของหวงหนึ่งเดียวของเจ้านาย หากทว่าสายตามีพิรุธ แอบเหลือบมองไปยังเด็กน้อยวัยเก้าขวบที่ยืนอยู่ข้างกัน เห็นแล้วเชษฐ์ไชยก็ถึงบางอ้อ กระตุกดึงเด็กตรงหน้าขยับเข้ามาใกล้ “ฝีมือแกเองเหรอ หา! หัดเป็นโจรตั้งแต่เด็กเลยงั้นเหรอ!”

เด็กตรงหน้าร้องไห้โฮเสียงดัง แต่ถึงอย่างนั้นเชษฐ์ไชยก็ไม่หายโกรธ กลับหงุดหงิดขึ้นกว่าเก่า

“ไปหักต้นกระถินตรงนั้นมา ไปเลือกมาว่าอยากโดนตีด้วยไม้แบบไหน!” ชายหนุ่มบอกคนร้องไห้ ซึ่งเด็กตรงหน้าก็เอาแต่แหกปากไม่ยอมตอบรับ

“นายเชษฐ์คะ ดิฉันขอโทษจริง ๆ ดิฉันไม่รู้ว่ามันจะกล้ามาขโมย...” แม่เด็กเริ่มน้ำตาไหล ตัวสั่นยกมือประนมไหว้ “วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของพ่อมัน นายเชษฐ์อภัยให้มันเถิดนะคะ มันแค่อยากได้ดอกไม้สวย ๆ ไปให้พ่อของมันเท่านั้นเอง เห็นแก่ความกตัญญูของมันเถิดนะคะ” คนพูดพยายามจะก้มลงกราบขอขมา หากทว่าเชษฐ์ไชยถอยกรูดหลบ

ความรู้สึกหนึ่งประดังประเดเข้ามาในหัว หวนนึกถึงลูกสาวที่จากเขาไปอย่างไม่มีวันกลับเช่นกัน

ใจร้อน ๆ ก็พลันสงบขึ้นมาเสียเฉย ๆ

อีกอย่าง นี่เขาจะมัวหวงก้างของพรรค์นี้ไปเพื่ออะไร ในเมื่อเขาไม่มีเยื่อใยให้กับมันแล้ว มันคนนั้น...คนที่ขอร้องให้เขาปลูกประดับบ้าน มีความใฝ่ฝันว่าอยากมีบ้านที่รายรอบไปด้วยดอกกุหลาบสีขาว และครอบครัวแสนสุข ชายหนุ่มถอนใจ สุดท้ายก็ถูกอดีตครอบงำอีกตามเคย

ชายหนุ่มปรับสีหน้า มองแม่สาวใหญ่ตรงหน้าออกคำสั่ง “คราวหลังอย่าปล่อยให้มันมาขโมยอีก”

“ค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะนายเชษฐ์”

“ไปให้พ้นหน้าฉัน” ถึงจะปากร้าย แต่ชายหนุ่มสามารถสงบจิตสงบใจได้ลงแล้ว ขณะที่ปล่อยให้สองแม่ลูกได้ไปทำบุญใส่บาตรให้ทันพระตอนเช้า เชษฐ์ไชยยกมือสางผมบอกตัวเองให้หยุดเป็นหมาบ้าสักที ประจวบเหมาะกับนัยน์ตาคมเหลือบไปเห็นวิริยะที่ยืนอยู่อีกมุม อารมณ์ก็เปลี่ยนไปอย่างไม่รู้ว่าทำไม

ชายหนุ่มนิ่ง ทำใจอยู่นานว่าจะเดินไปหาอีกฝ่ายหรือไม่ เมื่อวิริยะเห็นว่าเชษฐ์ไชยเจอเขาแล้ว ก็ทรุดตัวลงนั่งตั้งใจเก็บผักต่อไป แล้วนี่อย่าบอกว่าจะไปทำงานในสภาพนี้ ทั้งที่เนื้อตัวก็บวมช้ำ ต้องระบมและปวดเมื่อยเป็นแน่ คิดได้แล้วชายหนุ่มก็ถอนใจ เดินตรงไปหาคนที่ทำเป็นง่วนอยู่กับการทำงานเบื้องหน้า

“ไม่ว่าง”

ไปถึงก็เจอคำทักทายอย่างเป็นมิตรจากวิริยะเลย

“ไม่ได้ถาม” คนตัวสูงกอดอก มองวิริยะที่เก็บได้เต็มตะกร้าแล้วก็ยกขึ้นถือ หลับตาชังใส่ราวกับเป็นผู้หญิงแล้วจะหมุนตัวเดินหนีไปที่โรงครัว หากทว่าชายหนุ่มเดินไปดักหน้า ไม่ยอมให้ไป ซึ่งนั่นก็ทำให้บรรยากาศของทั้งสองดูครุกรุ่น ต่างจากบรรยากาศเมื่อวานไปอย่างสิ้นเชิง

เอ...หรือจะถูกโกรธ

นัยน์ตาดุงุดลงไปมองคนตัวเล็กที่ทำหน้าบึ้ง แล้วบังเอิญไปเจอรอยแดงบนคอที่ตัวเองทำทิ้งไว้ก็นิ่งไป ยิ่งเช้า ทุกคนก็คงยิ่งเห็นชัดขึ้น แล้วนี่ เจ้าตัวซื่อบื้อตรงหน้าจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าบนคอตัวเองมีอะไร ไม่ทันได้สังเกตหรือไง ชายหนุ่มคิดแล้วหน้าเริ่มร้อนขึ้นมาแปลก ๆ ทั้งที่เมื่อกี้ตอนโกรธไม่เห็นเป็น

“นายเซษฐ์ นายเซษฐ์ครับ ดำมีเรื่องจะฟ้อง” เสียงโหวกเหวกของดำตัดปัญหาของทั้งสองไป ให้สนใจคนตัวคล้ำกล้ามใหญ่ที่เดินเข้ามาทำเสียงเง้าเสียงงอด “มีผู้ใด๋บ่ฮู้มันแกล้งน้องดำ ดำบ่ยอมเด้อ นายเซษฐ์ต้องจัดการให้ดำ” ว่าพลางจับหน้าวิริยะให้หันไปหาเชษฐ์ไชยเป็นการแสดงหลักฐาน “เบิ่งเลย ส้นตีนเต็มหน้า”

“แค่มือเหอะพี่” เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วเถียงดำ จ้องตาคนตรงหน้าอย่างเสียมิได้

“เรื่องนี้กูรู้แล้ว กูเป็นคนไปห้ามเอง วิวมีเรื่องกับไอ้ชาติเมื่อวาน”

“ฮะ อีหลีติ” ดำเบิกตา “บักซาตินี่มันหมาแท้ ๆ บักซาติหมา”

“มึงก็รู้ว่าไอ้ชาติมันหน้าตัวเมียขนาดไหน นี่ก็ยังไม่เคลียร์ดี อย่าให้มันมากวนน้องของมึงก็แล้วกัน”

“อาเชษฐ์!” ยิ่งยุแบบนี้ วิริยะล่ะกลัวใจของดำเหลือเกิน

“ได้ครับ เดี๋ยวดำสิดูแลน้องซายของดำเอง”

“ส่วนเธอ” เชษฐ์ไชยยกนิ้วชี้ชี้หน้าคนอายุน้อยที่สุด กล่าวต่ออีกว่า “วันนี้ไม่ต้องทำงาน นอนพักที่ห้องนั่นแหละ”

“เฮ้ย! ไม่เอา ไม่ทำงานก็ไม่ได้ตังค์น่ะสิ ไม่เอาหรอก ผมทำไหว” วิริยะรีบโคลงศีรษะ

“อย่ามางกจนทำอะไรเกินตัวไปหน่อยเลย ฉันสั่งก็ทำตามซะ”

“ไม่หรอก ผมอยากทำ”

“อย่ามีปัญหาให้มากนักนะวิว!” เชษฐ์ไชยกัดฟันเมื่อยังเห็นว่าเด็กตรงหน้าดื้อดึงขัดคำสั่ง นี่เป็นสิ่งเดียวที่ใคร ๆ ไม่กล้าทำ แต่อวดเก่งได้คราวเดียว เมื่อเห็นหน้าโหดของเจ้านายแล้ว วิริยะหน้าหงอเหลือสองนิ้วอย่างอัตโนมัติ ยอมพยักหน้ารับความหวังดีแต่โดยง่าย

“ก็ได้ครับ วันนี้จะพักก่อน”

เมื่อเห็นสถานการณ์ของทั้งสอง ดำก็รีบพูด “ปะ...เดี๋ยวบ่ได้กินข้าวกันพอดี ไปก่อนเด้อนายเซษฐ์” แล้วก็ยักคิ้วหลิ่วตาชวนให้เท้ากระตุกใส่เสียเหลือเกิน

คนพี่ที่มาจากอีสานกอดคอวิริยะพาหมุนตัวไป หากจะเดินไปยังโรงครัวอย่างที่หวัง หนังหัวของดำกลับถูกเจ้านายกระตุกกลับ ยังดีที่กำกลุ่มผมกลุ่มใหญ่เลยไม่รู้สึกเจ็บ เพียงแค่หงายเงิบกลับไปหาเชษฐ์ไชยก็เท่านั้นเอง

ตาคมเหลือบมองวิริยะ เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่รู้ตัว จึงกระซิบลูกน้องว่า

“เอามือออก...”

ดำหันกลับมายิ้มแห้ง ๆ ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วพยักหน้ารับน้อย ๆ เป็นเชิงรู้กันว่าหมายความอย่างไร เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว เจ้านายก็คลายสีหน้าแสดงความไม่พอใจออก ให้ดำรู้แล้วว่าที่โดนหมั่นไส้มาตลอดนั้น เพราะเรื่องนี้นี่เอง

ครั้นออกมากันได้ไกลพอควรแล้ว วิริยะก็เหลือบไปเห็นเชษฐ์ไชยเดินกลับไปยังหน้าบ้าน ก้ม ๆ เงย ๆ สำรวจความเสียหายของต้นดอกกุหลาบทั้งหลายท่าทีวิตกและดูหวงแหน เห็นแล้วเด็กหนุ่มก็รู้สึกไม่เข้าใจ ทำไมถึงได้หวงของพรรค์นั้นขนาดเกือบพลั้งมือตีเด็กได้ ต้นกุหลาบสีขาวเหล่านั้นมีความหมายสำหรับเชษฐ์ไชยอย่างไรกันหนอ

“พี่ดำ”

คนที่เดินข้างกายหันไปหา “อีหยัง”

เห็นวิริยะทำหน้ากำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ แล้วพูดกับดำว่า

“ต้นกุหลาบที่อยู่หน้าบ้านนั่น สำคัญกับอาเชษฐ์ขนาดนั้นเลยเหรอ”

“อ๋อ เห็นว่าเมียเก่ามักหลาย นายเชษฐ์เลยปลูกตามใจ”

เด็กหนุ่มนิ่งไป แล้วผุดคำถามขึ้นมาใหม่ “ก็ไหนว่าเลิกกันหลายปีแล้ว”

“กะบ่เซิงว่าเลิกกันดอก นายหญิงเพิ่นหนีตามตัวผู้ไปก่อน บ่ได้บอกลานายเซษฐ์เลย อ้ายคิดว่านายเซษฐ์เพิ่นคงสิฝังใจกับเมียคนนี้แฮงอยู่คือกัน แต่ก่อนก็ฮักกะหลงจนโงหัวบ่ขึ้น สิให้ตัดใจง่ายๆ มันก็เฮ็ดยาก” ดำเล่าตามที่เห็น

“แล้วพี่คิดว่าอาเชษฐ์จะยังรักเมียคนนี้อยู่ปะ” เด็กหนุ่มถามเล่น ๆ

“อ้ายว่ายังฮัก วิวลองคิดเบิ่งว่าจะมีซักกี่คนที่เฮ็ดให้นายเซษฐ์ต้องปล่อยเนื้อปล่อยโต บ่สนใจโตเอง เฮ็ดงานงก ๆ ประซดซีวิตบ่สนใจผู้ใด๋ได้ แล้วที่ผ่านมานายเซษฐ์บ่เคยซายตาเบิ่งผู้สาวทางใด๋ นอกจากคุณรตรี”

“แล้วคุณรตรีอะไรนั่น สวยไหม”

“สวย เฉี่ยว ฉลาด แต่แรดโพด”

“พูดตรงเกินไปแล้ว” วิริยะหัวเราะคิก

“กะอ้ายเว้าความจริง บ่เซื่อลองถามบักเหนือเบิ่ง มันเคยโดนคุณรตรีอ่อยมาแล้ว”

เหนือของพี่ตาน่ะหรือ

วิริยะยิ้มไม่ออกเมื่อได้ยินเช่นนั้น รีบเปลี่ยนเรื่องพูดขึ้นมาเพราะไม่อยากให้มันยาว เขาไม่รู้ว่าหล่อนจะเลวจริงหรือไม่ รู้เพียงว่าเด็กหนุ่มคิดเช่นเดียวกับดำ ท่าทีของเชษฐ์ไชยเป็นเอามาก ดูเหมือนคนที่ไม่สามารถสะบัดเอาอดีตออกไปได้เลยแม้แต่เพียงนิด เชษฐ์ไชยยังรักเธอคนนั้น

แล้วที่ผ่านมา เขาก็แค่ถูกแกล้งไปตามระเบียบแค่นั้นกระมัง คงคิดเข้าข้างตัวเองอย่างที่เชษฐ์ไชยพูดจริง ๆ

แล้วนี่เขาเป็นอะไร ทำไมถึงได้รู้สึกโหวงอยู่ภายในใจอย่างน่าประหลาด...

เขารู้สึกสงสารเชษฐ์ไชยอยู่ หรือกำลังรู้สึกอะไรกันแน่ วิริยะไม่เข้าใจตัวเอง


--๕๐--

--------------------------------------------------------

มาอัพแล้ว และดึกมากกกกก พอดีไม่มีคนทวง ไม่มีคอมเม้นเป็นกำลังใจเลยไม่ค่อยมีแรงเขียนเท่าไหร่เลยค่ะ เศร้าาาาาาา อะล้อเล่น อิอิอิอิ ความจริงคือเมื่อวานไปดริ๊งค์มา เมาแอ๋ ไม่ได้อัพ ฮ่าๆๆๆ (เด็กๆอย่าทำเป็นเยี่ยงอย่างนะคะ)

มาเม้าความอาเชษฐ์กันเถอะ ทำไมเกิดเชื่องซึงซึมขึ้นมา เดี๋ยวอีกห้าสิบที่เหลือจะบอกค่ะว่าทำไม คือมันก็จะฟินหน่อย ๆ หน่วงนิด ๆ เพราะเริ่มมากลางเรื่องแล้ว ก็ต้องมีอะไรต่าง ๆ มาทำให้เกิดรสชาติมากขึ้นเนาะ อย่างเช่นชะนี เป็นต้น อิอิ

ทุกคนต้องเม้น ไม่เม้นคือไม่รักหนูนา งอนมาก หยอก ๆ

แต่ก็อยากอ่านฟีดแบคแต่ละตอนของทุกคนนะว่าว่าตอนไหนมันดรอป ตอนไหนมันสนุก ตอนไหนมันฟิน เพื่อการพัฒนาในช่วงรีไรต์เนาะ หากนักอ่านร่วมมือ หนูนาจะดีใจมาก ๆ เลย

ขอบคุณค่ะ เจอกันอีกห้าสิบที่เหลือเด้อออออ
หัวข้อ: Re: **{23.3.61-ตอนที่ ๑๓--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 23-03-2018 18:10:04
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **{23.3.61-ตอนที่ ๑๓--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 23-03-2018 19:02:44
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: **{23.3.61-ตอนที่ ๑๓--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 23-03-2018 19:06:39
ทำเอาใจวิวหวิวไปเลย คงคิดว่าตัวเองจนสู้เมียเก่าอาไม่ได้  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: **{23.3.61-ตอนที่ ๑๓--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 23-03-2018 19:47:20
ถ้าคุณเชษฐ์จะก้าวต่อไป คุณเชษฐ์ต้องเริ่มปรับความเคยชินเดิมๆ ได้แล้วนะ ชัดเจนด้วย ท่องไว้ๆ

ถ้าทำน้องวิวเสียใจ เราจะยึด!
หัวข้อ: Re: **{23.3.61-ตอนที่ ๑๓--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-03-2018 20:42:58
คุ้มดีคุ้มร้ายเสียจริง
หัวข้อ: Re: **{23.3.61-ตอนที่ ๑๓--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 23-03-2018 22:36:33
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **{25.3.61-ตอนที่ ๑๓--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 25-03-2018 17:59:44
--ต่อ--

วันนี้วิริยะไม่ได้เข้าไร่ไปทำงานด้วย ดำรู้สึกเหงาปากหน่อย ๆ ไม่มีเพื่อนรู้ใจที่เล่นมุกด้วยกันได้ และอย่างที่คิดเลย เมื่อไม่มีวิริยะ อย่าหวังว่าจะได้เห็นเงานายเชษฐ์ไปบริเวณที่พวกเขาทำงาน คงไปหมกตัวอยู่ในโรงเพาะ หรือไม่ก็คอกม้าอีกตามเคย

ยามนี้เที่ยงแล้ว ทุกคนต้องกลับมาทานที่โรงอาหารและเริ่มทำงานช่วงบ่ายโมงครึ่ง จะได้ไม่ร้อนมาก พี่ชายที่แสนดีอย่างเขาจึงอาสาเอากับข้าวกับปลาใส่ปิ่นโตเดินมาให้ถึงห้องพัก โดยมีหมอกมาด้วย คิดว่าวิริยะอาจนอนอยู่คงไม่รู้เวลา เดี๋ยวกับข้าวจะหมดเสียก่อน

หลังตรวจตราว่าปิดเรียบร้อยแล้วสองหนุ่มเพื่อนซี้ก็ยกปิ่นโตมุ่งหน้าไปยังหอพักทันที หากทว่าไปถึง หมอกกระตุกมือเรียกให้ดำหยุดดูก่อน เมื่อเห็นมีใครสองสามคนเดินวนเวียนอยู่หน้าห้องพักของวิริยะ เคาะเรียก ยังดีที่หมอกพกโทรศัพท์มาด้วย จึงโทรไปหาเชษฐ์ไชยรายงานว่าเกิดอะไรขึ้น

ไม่นานวิริยะก็เปิดประตู เห็นเช่นนั้นแล้วคนพี่ที่ยืนมองดูลาดเลาก็ทนไม่ได้ แต่ก็ถูกหมอกดึงไว้

“อย่าเพิ่งไป ให้นายเชษฐ์มาก่อน”

ดำพยายามใจเย็น มองดูไปก่อน

กระทั่งหมดความอดทน ดำไม่สนว่าของในมือจะเป็นอย่างไร ชายหนุ่มปล่อยปิ่นโตแล้วพุ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต เมื่อเห็นวิริยะกำลังถูกกลุ่มของไอ้ชาติที่เพิ่งถูกปล่อยพักพร้อมกันนั้น กระชากออกจากประตูห้องพักเตรียมตัวจะหมาหมู่กันเต็มที่ พวกมันมีสาม แต่ดำก็พุ่งเอาเท้าไปเหยียบหน้าไอ้หัวโจกเป็นการเปิดเกมก่อน ก่อนที่มันจะได้ต่อยวิริยะ

“บักสัตว์! มึงเฮ็ดหยังน้องกู”

“แล้วมึงเสือกอะไรด้วยวะ!” ไอ้ชาติต่อยสวน

“พี่ดำ พี่...” ไม่ทันจะได้ห้ามปราม วิริยะโดนใครสักคนเตะเข้าช่องท้องจนเจ็บจุก ทรุดตัวลงนอนไม่มีเรี่ยวแรง แล้วมันก็เดินมาซ้ำด้วยการต่อยจนรู้สึกมึนงงไปขณะหนึ่ง เหลือบไปเห็นดำกำลังโดนผู้ชายสองคนรุมอยู่ แถมพวกมันก็เล่นใช้ไม้หน้าสามที่ไปหยิบจากไหนก็ไม่ทราบด้วย ต่อให้ดำตัวโตและแข็งแรงขนาดไหนก็สู้ไม่ได้

“ชอบเสือกเรื่องคนอื่นดีนักนะมึง!” คนตรงหน้าว่าพลางต่อยวิริยะซ้ำอีกครั้ง เด็กหนุ่มนับไม่ได้ว่าโดนไปกี่ที นานเท่าไรที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น สมองเขามึนเบลอไปช่วงหนึ่ง แล้วก็เห็นว่าคนที่ขึ้นคร่อมทับทำร้ายเขาปลิวว่อนล้มลงพื้นไปเพราะเท้าใครสักคน จากนั้นก็ปรากฏร่างของผู้มาช่วย ผู้ที่ใหญ่โตทั้งตัวและอำนาจมีเด็ดขาดในไร่แห่งนี้

“พวกมึงทำบ้าอะไร!” เชษฐ์ไชยเสียงดัง เรียกสติที่ดับหายของวิริยะกลับมา

เด็กหนุ่มประคองตัวเองลุกขึ้นนั่ง นึกขอบใจที่เชษฐ์ไชยจัดการคนที่ทำร้ายเขา แต่เอาไปเอามา วิริยะเริ่มสงสารหมอนั่นขึ้นมา เมื่อไม่เห็นทีท่าว่าเชษฐ์ไชยจะหยุดทำร้ายมันเลย ราวกับเสือบ้าคลั่งกำลังตะครุบเหยื่อด้วยความหิวโหย

“ชอบนักใช่ไหม!” เชษฐ์ไชยตะโกนเสียงดัง กระแทกหมัดใส่หน้าไม่ยั้ง ในขณะที่เพื่อนคนอื่นรีบวิ่งมายังจุดเกิดเหตุเพราะหมอกไปตาม ครั้นมาถึง สองคนที่เหลือรวมไอ้ชาติก็เละเป็นโจ๊กตามไปติด ๆ เพราะเท้าที่นับได้ศิริรวมเกินสิบ

“อาเชษฐ์...”

“มึงอยากตายสินะ อยากตายคามือกูใช่ไหม!” ดูเหมือนเชษฐ์ไชยคลั่งไปแล้ว

“อาเชษฐ์ อาเชษฐ์!”

วิริยะวิ่งกระเผลกไปปราม เกรงว่าเชษฐ์ไชยจะพลั้งมือฆ่ามันไปจริง ๆ “อาเชษฐ์ หยุดนะ”

เด็กหนุ่มดึงกำปั้นแข็งแรงของคนโกรธให้หยุดแต่ทว่าไม่สามารถทำได้เลย เชษฐ์ไชยเหมือนกำลังหูดับและอยู่ในโลกของความโกรธ ท้ายที่สุดวิริยะก็เอื้อมอ้อมกอดไม่มีแรงไปสวมกอด ดึงคนตัวโตจากด้านหลังให้ถอยออกมา พร้อมกับพี่ ๆ คนอื่นที่ร่วมด้วยช่วยกัน ก่อนที่คนด้านใต้จะตายคามือหนัก ๆ ของเชษฐ์ไชย

“อาเชษฐ์” เมื่อจับแยกกันได้แล้ว เด็กหนุ่มสัมผัสได้ว่าคนที่นั่งอยู่บนพื้นหอบเหนื่อยราวกับหมดแรง จ้องร่างที่นอนเลือดอาบหน้าบนพื้นราวตั้งใจจะฆ่ามันจริง ๆ

แต่ที่ตัวสั่นเทาราวลูกนกเช่นนี้ เป็นเพราะกาย หรือที่ใจกันแน่หนอ วิริยะไม่รู้เลย

รู้เพียงว่าเขากอดเชษฐ์ไชยไว้แน่นเพื่อไม่ให้ขยับไปไหน และอีกฝ่ายก็รับรู้ ซุกหน้าอยู่ในอกราวกับกำลังเชื่อฟัง สวมกอดเขาราวกับกำลังกลัวว่าจะได้จากกันเสียอย่างนั้น ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองเลย ว่าที่เชษฐ์ไชยเป็นอยู่ตอนนี้เพราะเป็นห่วงเขา เพราะโกรธที่ปกป้องไม่ได้ เพราะกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไป

แต่ก็รู้อีกนั่นแหละ ว่ามันคงไม่ใช่แบบนั้น

อย่างน้อยวิริยะก็ดีใจ ที่พี่ชายคนนี้ดีกับเขาอย่างที่สุด พี่หนวดคนเดิมผู้ซึ่งไม่เคยหายไปไหน...

“อาเชษฐ์โอเคไหมครับ” เด็กหนุ่มถามขึ้น

คนตัวใหญ่ในอกพยักหน้าอยู่สองสามครั้ง ผละถอยออกเพื่อรักษาระยะห่างหลังอารมณ์สงบ ร่างสูงลุกขึ้นยืนสางผมยุ่ง ปรับลมหายใจให้เป็นปกติทั้งที่ยังนึกหงุดหงิดให้กับความหุนหันพลันแล่นไม่คิดหน้าคิดหลังของตัวเอง เพียงแค่เห็นวิริยะถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ อยากฆ่ามันให้ตายเสียอย่างนั้น

ตอนนี้เขาควรใจเย็นลงแล้วจัดการทุกอย่าง เขาเป็นผู้นำ จะทำให้ใครว่าไม่ได้ ชายหนุ่มหันไปมองสามนักเลงที่นั่งอยู่บนพื้น แววตาเต็มไปด้วยความเด็ดขาดกล่าวว่า “ไสหัวไปให้พ้นจากไร่กูซะ ก่อนตะวันตกดิน ถ้ากูยังเห็นพวกมึงป้วนเปี้ยนในไร่กูอีก หัวพวกมึงเป็นรูแน่”

สองคนที่ตามติดไอ้ชาติมาทำหน้าตกใจ ไม่คิดว่าจะถูกไล่ออก “นะ นายเชษฐ์ครับ”

“กูบอกให้ออกไป!”

ไอ้ชาติมันขบกรามจนปูด เงยจ้องตา “คิดว่ากูทำแบบนี้แล้วจะอยู่รอให้มึงไล่เหรอ”

“เออ ถ้าเก่งนักก็ออกไป!”

“กูไปแน่แหละ! แต่มึงต้องเสียใจทำกับกูแบบนี้”

“กูน่าจะยินดีมากกว่า มึงก็รู้นี่ว่ากูเหม็นขี้หน้ามึงเต็มทีแล้ว อันที่จริงก็ควรจะคิดได้ตั้งแต่ปู่ตายแล้วแท้ ๆ ยังเสือกหน้าด้านอยู่อีก ไอ้พวกทรพี กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา!”

“ไอ้เชษฐ์!” ชาติกัดฟันกรอด “จำไว้ มึงต้องเสียใจที่ทำแบบนี้กับกู!”

ว่าแล้วก็ลุกเดินหนีไป ปล่อยให้ลูกไล่ทั้งสองนั่งหน้างงไม่รู้จะทำอย่างไรดี ท้ายที่สุดพวกมันก็ล้มลุกคลุกคลานวิ่งตามไอ้ชาติไป คงรู้ดีว่าเชษฐ์ไชยไม่ต้อนรับมันอีกแล้ว ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของไร่เองก็รู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ แต่เขาเตรียมพร้อมไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอะไร เชษฐ์ไชยจะไม่มีทางให้มันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ดูเหมือนดำจะได้รับบาดเจ็บมากกว่าที่คิด หัวแตก และร้องเสียงหลงเมื่อเพื่อนพยุงให้ลุกขึ้น เชษฐ์ไชยหมุนตัวกลับมาด้านหลัง เห็นเด็กที่เป็นต้นเรื่องยืนหน้าหงอยสบตาเขาอยู่ คงจะรู้และสำนึกได้ว่าทำให้ใครลำบากไปบ้าง

“อาเชษฐ์โอเคไหม” วิริยะถามซ้ำเพราะเห็นสีหน้าของเชษฐ์ไชยยังไม่ค่อยดีอย่างที่ควร ยกมือเช็ดเลือดที่มุมปากตัวเองไปพลางจะขยับไปแตะหลังมือที่เปื้อนเลือดของคนอายุมากกว่าไปพลาง

“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ” คนตัวโตใช้เสียงเรียบตอบและขยับมือหลบ เด็กหนุ่มพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง ไม่คิดว่าเชษฐ์ไชยจะทำแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดมาก เลือกหันมองไปยังดำอย่างนึกเป็นห่วง เห็นไอ้ตัวใหญ่เท่าหมีร้องครวญราวลูกหมาเวลาเพื่อนแตะ

เชษฐ์ไชยส่ายหน้า “ต้องไปโรงพยาบาลแล้วมั้ง เห็นร้องเวลาเพื่อนโดนแขน สงสัยจะหัก”

“เอ้า แล้วทำไมอาเชษฐ์ถึงใจเย็นอย่างนี้เล่า!” วิริยะหน้าตื่น จะเดินไปหาดำ

“ไปหาไม้กับผ้าขาวม้ามา จะดามแขนไว้ก่อน” ได้ยิน เด็กหนุ่มรีบพยักหน้า กุมท้องตัวเองจะหมุนตัวไป เชษฐ์ไชยก็เพิ่งนึกได้ว่าใช้ผิดคน ชายหนุ่มรีบดึงวิริยะกลับ “ไม่ต้องไปแล้ว นั่งพักอยู่ตรงนี้ รอไปโรงพยาบาลพร้อมไอ้ดำดีกว่า ไอ้ไท! ไปหาผ้าขาวม้ามาซักผืน...”

“นายเซษฐ์สิอยากอาบน้ำหยังตอนนี้ ดำเจ็บแขน ฟ้าวพาดำไปโรงบาลเร็ว ๆ” ดำร้อง

“ไอ้ห่า จะตายอยู่ละยังมาตลก” เชษฐ์ไชยเดินแยกไปหาคนเจ็บอีกฝั่ง ทำท่าจะเขกมะเหงกซ้ำไปทีอย่างอารมณ์เสีย “ต้องดามแขนก่อน แต่ปากเก่งแบบนี้ไม่ต้องไปแล้วมั้ง”

“ไปครับนายเซษฐ์ ไป” ดำทำเสียงระโหย

วิริยะทำตามที่เชษฐ์ไชยบอก รอจนเจ้านายดามแขนให้ดำเสร็จก็ขึ้นรถไปโรงพยาบาลพร้อมกัน บาดแผลของเขาไม่ได้ร้ายแรงนัก ได้ยาทา และยาแก้ปวดมานิด ๆ หน่อย ๆ และอย่างที่เชษฐ์ไชยคิด ดำแขนหักและต้องใส่เฝือกถึงสามอาทิตย์ เมื่อรู้ดังนั้นความรู้สึกแรกคือโทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุ หากดำไม่มาช่วยเขา คงไม่ต้องเจ็บตัวถึงขนาดนี้

ตลอดเวลาที่นั่งรถกลับบ้าน ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มคิดไปเองหรือไม่ว่าเชษฐ์ไชยซึมลงไป ไม่พูดมากเหมือนเมื่อก่อน แถมเอาแต่ตีหน้าเคร่งราวกับคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา เด็กหนุ่มลอบมองคนนั่งข้างแล้วได้แต่หลุบตาลงตักอย่างไม่เข้าใจ เห็นอีกฝ่ายทำอย่างนี้ก็พลอยทำให้ไม่กล้าพูดด้วย

ตั้งแต่เกิดเรื่องวิริยะก็ถูกสั่งให้นอนพักอย่างเดียว ส่วนดำเองก็คงทำงานไม่ได้ไปอีกหลายวัน แม้แต่จะช่วยเหลือตัวเองยังไม่ค่อยจะได้ เจ้าของไร่ก็หายเงียบเข้ากลีบเมฆ สองสามวันมานี้เชษฐ์ไชยไม่ได้เดินมาที่ห้องเลย วิริยะก็ได้แค่ถามพี่เสือว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขารู้สึกรำคาญทุกทีที่เปิดประตูต้อนรับอีกฝ่าย แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเหงาเหลือเกินเมื่อไม่ได้ต่อปากต่อคำด้วย

วิริยะรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว เด็กหนุ่มเดินออกมาสูดอากาศข้างนอกในขณะที่คนงานคนอื่นกำลังทำงาน เหลือบไปยังคอกม้า แปลกใจที่เห็นคนตัวใหญ่เอนพิงต้นไม้ต้นเดิมนอนหลับหันหลังให้ บนใบหน้ามีหมวกทรงคาวบอยปิดอยู่ ว่างขนาดนี้แล้วทำไมถึงแล้งน้ำใจ ไม่มาเหลียวแลเยี่ยมเยียนเขาเลยสักนิด

เด็กหนุ่มใช้วิชาตีนแมวเดินไปหยุดอยู่ใกล้ ทรุดนั่งยองย่อเหลือบมองคนหลับอย่างเงียบเชียบ มือยาวก็ขยับไปหยิบวัตถุที่ปิดบังใบหน้าคมคายนั้นออกเพราะอยากจะแกล้ง ครั้นมันเปิดออกเผยให้เห็นใบหน้าที่เคยสะอาดสะอ้านเริ่มมีหนวดขึ้นมาปกคลุมแล้ว คงตั้งใจไม่ดูแลตัวเองอีกตามเคย เห็นแล้ววิริยะก็เผลอถอนหายใจอย่างรู้สึกเห็นใจ แต่กลายเป็นการปลุกเชษฐ์ไชยเสียอย่างนั้น

นัยน์ตาคมขยับอยู่สองสามทีก็ลืมตา เห็นวิริยะทำหน้าหงอยมองพื้นราวกับคิดอะไรอยู่

“ทำอะไร” เชษฐ์ไชยขยับตัวนั่งดี ๆ

คนถูกเรียกตกใจ “ฮะ อ๋อ...” เด็กหนุ่มทำตาลอกแลก “มาเช็กความหล่อให้”

“หล่อแล้วไง จะช่วยหาเมียให้งั้นเหรอ” คนตัวโตย้อน มองตามวิริยะที่ถือวิสาสะขยับมานั่งข้าง พิงต้นไม้ต้นเดียวกัน ไม่ทันได้มองว่าเด็กหนุ่มมีสีหน้าแปลกใจอย่างไร

“มีคนบอกว่าอาเชษฐ์เคยมีเมียแล้ว” เด็กหนุ่มพูดเสียงเบา

“ก็ใช่ ลูกก็มี” เชษฐ์ไชยตอบตามตรง วิริยะไม่กล้าพูดอะไรต่อ กลัวว่าจะเป็นการก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวมากเกินไป หากทว่าคนนั่งข้างก็พูดกับเขาต่อ “ถ้าได้ยินข่าวเรื่องฉันมีเมีย ก็น่าจะรู้อะไรมากกว่านั้นแล้วน่ะสิ”

เด็กหนุ่มอึกอัก “...อ๋อ ก็ได้ยินมาบ้าง”

“แล้วคิดว่าฉันโง่ไหม”

“ไม่เห็นจำเป็นต้องอยากรู้เลยว่าตัวเองโง่ไหม คนเราต่อให้เก่งขนาดไหน พอมีความรักก็เป็นคนโง่ทั้งนั้นแหละ” เด็กหนุ่มตอบพลางก้มลงเด็ดต้นไม้ใบหญ้าบริเวณที่ตัวเองนั่งไปพลาง ไม่ทันได้รู้ว่าคนนั่งข้างเหลือบมองอยู่ “แล้วปล่อยหนวดยาวรุงรังแบบนี้คนเขาก็กลัวกันหมดสิ ทำไมไม่โกนให้หล่อเหมือนเดิม”

เชษฐ์ไชยมองคนกล่าว กระตุกยิ้ม “สรุปคือยอมรับแล้วเหรอว่าฉันหล่อ”

เด็กหนุ่มเบิกตา หันมองคนถาม “ก็ดูดีกว่าตอนเป็นลิงป้ะ”

“ไม่เห็นต่างจากเดิมตรงไหน”

“ต่างสิ ตอนไม่มีหนวดหล่อกว่าตั้งเยอะ โกนเถอะ”

“ไม่เอาล่ะ เบื่อพวกชอบตัดสินคนที่หน้าตา” เชษฐ์ไชยกอดอกเอนหลังพิงต้นไม้ มองออกไปยังทุ่งกว้างเบื้องหน้าบอกว่าจบบทสนทนาตั้งแต่ตอนนั้น เมื่อได้เห็น วิริยะถอนใจรู้ว่ายังไงคนอายุมากกว่าก็ไม่ฟังคำของเด็กหนุ่มอยู่แล้ว เห็นเช่นนั้นวิริยะก็เอนหลังพิงพักบ้าง

ระหว่างที่สองเงียบไปพักหนึ่ง ในขณะที่ลมเย็นพัดเข้ามาสู่ร่างทั้งสองให้รู้สึกผ่อนคลาย วิริยะได้มีโอกาสนึกถึงเมื่อก่อน ตั้งแต่เกิดเรื่องคืนนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็เปลี่ยนไปอย่างลิบลับจนวิริยะแอบคิดว่ามันเลวร้ายเหลือเกิน แต่ก็ถูกอย่างที่อัฐษไชยบอก เดี๋ยวทุกอย่างก็กลับมาดีเหมือนเดิมเอง เพราะเชษฐ์ไชยไม่ใช่คนเลวร้าย

แค่ปากหมา ทำตัวโผงผาง ป่าเถื่อน ไร้มารยาทก็เท่านั้นเอง

สรุปว่าเป็นคนดีรึเปล่าเนี่ย เด็กหนุ่มคิดแล้วนึกขันอยู่ในใจ พลอยเรียกคนที่นั่งเงียบมันมามองด้วยความสงสัยว่าเขาเป็นบ้าอะไร จู่ ๆ ก็หัวเราะคิกขึ้นมาอยู่คนเดียว ทั้งที่ไม่ได้คุยเรื่องอะไรน่าขำกันสักนิด

วิริยะเอนหัวพิงไหล่แข็งแรงเมื่อรู้สึกง่วง บวกกับลมเย็นที่พัดมากระทบทำให้รู้สึกผ่อนคลายจนอยากจะหลับ น่าแปลกที่เชษฐ์ไชยไม่ทักท้วงหรือบ่นว่ารำคาญอย่างเคย ปล่อยให้เขาพริ้มตาลงหลับไป

แม้อากาศจะเย็นเพราะลมเพียงไหน วิริยะยังคงเป็นคนขี้ร้อนอยู่ดี แก้มของเด็กหนุ่มแดงปลั่งขับเลือดฝาด มีเหงื่อชื้นผุดขึ้นตามไรผม ยิ่งหลับไปพักหนึ่งเหงื่อเริ่มเยอะขึ้นจนคนมองอยู่ต้องเอื้อมไปหยิบหมวกขึ้นมาพัดวีให้ นานเท่าไรไม่ทราบที่ชายหนุ่มทำเช่นนั้น กระทั่งเห็นว่าเหงื่อบนหน้าแห้งเหือดไป

และความเย็นสบายนั้นเอง กลับปลุกให้วิริยะลืมตาสลึมสลือเงยมองเจ้าของไหล่ราวกำลังสงสัยอะไรสักอย่าง หากทว่าไม่ได้พูดจา และสีหน้ายามง่วงนั้นแลดูน่ารักน่ามองแปลก ๆ

เชษฐ์ไชยนิ่ง ชะงักมือ ไม่เข้าใจสีหน้าของเด็กหนุ่มที่เพิ่งตื่น กำลังจะพูดแก้ตัวให้ตัวเอง วิริยะก็ขยับล้มตัวลงนอนบนตักของชายหนุ่มต่อ อาจจะเพราะความเมื่อยคอ และแววตาเมื่อครู่คงอยากจะขออนุญาต แต่ด้วยความเป็นคนดื้อและหน้ามึนเป็นทุนเดิม เลยถือวิสาสะทิ้งหัวลงนอนเลย คงรู้อยู่แล้วว่าหากชายหนุ่มจะไม่ยอมก็คงโวยวายออกมาเอง

เชษฐ์ไชยหลุบมองคนหลับแล้วถอนใจ อะไรจะรู้จักเขาดีปานนั้น

มือหนาขยับพัดวีให้ลมไปพลาง ก้มลงมองคนนอนหลับไปพลาง

“นี่ไม่ใช่แม่นมนะเว้ย...” ชายหนุ่มบ่นเสียงเบา

ทำไมต้องใจดีกับเด็กนี่ด้วย เขาไม่เข้าใจตัวเองเลย

หากแต่กลับส่ายหน้าอันประสมด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ให้ตัวเอง แล้วเคลื่อนขยับชายเสื้อแขนยาวที่ไม่ได้ติดกระดุมไปปรกหน้า ไม่ให้แสงสว่างสาดกระทบดวงตาอันเป็นการรบกวนเวลาพักผ่อนของคนบนตัก สรุปว่าเขาเป็นอะไร ทำไมถึงได้มีความสุขยามได้ดูแลเด็กดื้อจอมต่อปากต่อคำตรงหน้าด้วย

หรือสิ่งที่เขาพยายามจะเลี่ยงมาโดยตลอดนั้น ได้เกิดขึ้นแล้ว

ที่ผ่านมา เขาพยายามฝืนใจตัวเองไม่ให้คิดอะไรมาก พยายามถอยออกห่าง เมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่ามีบางสิ่งบางอย่างพิเศษกำลังก่อตัวขึ้นภายในใจ แล้วความรู้สึกกังวลใจก็ตามมาให้รำลึกว่าเขาเป็นใคร มีภาระหน้าที่อะไรที่ต้องทำ หากเขาคิดอะไรกับวิริยะมากกว่านี้แล้วคนรอบข้างจะรับได้หรือไม่ การตัดสินตามใจของเขาอาจไปกระทบกับเรื่องไหนบ้าง ไม่เพียงสะท้อนกลับมาสู่เขา นั่นอาจส่งผลไปถึงวิริยะด้วย

เขาต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี

เพราะอย่างนั้น ชายหนุ่มจะรั้นเอาแต่ใจเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้อีกแล้ว

แค่คิดถึงความเป็นไปไม่ได้ของทั้งสอง เชษฐ์ไชยก็รู้สึกใจหวิวขึ้นมานิด ๆ

--๑๐๐--


---------------------------------------------------------------------------------------

แงงงงงง กว่าจะได้อัพ ปัญหามากมายเกิดขึ้นเยอะแย่มว๊ากกกกก

ยังไงก็ขอบคุณนักอ่านที่น่ารักที่ให้กำลังใจ คอยแวะมาทวง มาบอกว่ากำลังรออยู่ ทำให้หนูนาฮึดเขียนขึ้นมาได้ แม้ว่าจะมีความขี้เกียจเขียนไปบ้าง เถลไถลไปนิดหน่อย อิอิ

นายเชษฐ์คนหวงเมีย2k17 ก็มีความดูแลเมียไปอีก มีความคิดมากไปอีก เจอความแมวน้อยของน้องวิวิเข้าไป คนขี้หึงแอบเสียศูนย์นิดหน่อย แต่ไม่ต้องคิดว่าจะดราม่าอะไรนะคะ นี่นิยายเบาสมองเด้อ อิอิ

สุดท้าย รออ่านฟีดแบคอยู่เด้อ แนะนำได้เด้อว่าอยากให้ไปในทิศทางไหน มีกำลังใจเยอะก็มีแรงฮึดปั่นเยอะ แล้วจะพยายามตอบกลับความเห็นทุกคนให้ครบนะคะ


บายเด้ออออออออออ(ทำเสียงวิว)
หัวข้อ: Re: **{25.3.61-ตอนที่ ๑๓--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-03-2018 18:21:53
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **{25.3.61-ตอนที่ ๑๓--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 25-03-2018 19:51:56
เป็นห่วงดำจังเลย ใครจะว่าอะไรก็ช่าง เรา fc ดำ อิอิอิ
 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: **{25.3.61-ตอนที่ ๑๓--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 25-03-2018 19:52:38
คุณเชษฐ์คนซึน ที่ใกล้จะเลิกซึนแล้วหรือเปล่าคะ?
หัวข้อ: Re: **{25.3.61-ตอนที่ ๑๓--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-03-2018 02:51:08
น้องดำแขนหักเลย  น่าฉงฉานจะมีหญิงใดมาช่วยดูแลไหมเนี่ย  :hao5:
หัวข้อ: Re: **{25.3.61-ตอนที่ ๑๓--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 26-03-2018 19:47:33
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **{25.3.61-ตอนที่ ๑๓--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 27-03-2018 17:54:02
ต่างคนต่างคิดมากเนอะ
หัวข้อ: Re: **{28.3.61-ตอนที่ ๑๔--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 28-03-2018 01:15:16

ตอนที่ ๑๔

เมื่อย่างเข้าเดือนเมษา เดือนที่ใครก็รู้ว่าเป็นเวลาที่ไม่ควรออกจากบ้าน ตอนกลางวันอากาศยิ่งร้อนอบอ้าวมากขึ้นไปอีกเท่าตัว วิริยะไม่รู้ว่าร่างกายคนงานคนอื่นทำด้วยอะไร เหตุใดจึงไม่สะทกสะท้านต่อความร้อนของอากาศเลย ตั้งแต่เริ่มงานมา เด็กหนุ่มไม่เคยได้ยินข่าวว่าใครทำงานกลางแดดจนเป็นลมสักที มีแต่เขานี่แหละที่จะไม่ไหวเสียเอง

“วิว ไหวรึเปล่า ไปนั่งพักในร่มก่อนไป” เหนือร้องบอกเมื่อเด็กหนุ่มเดินเซ

วิริยะไม่รั้น เพราะรู้ขีดจำกัดของร่างกายตัวเองดี “ครับพี่”

เด็กหนุ่มรู้สึกหน้ามืด ทิ้งตัวนั่งลงพักแล้วหยิบน้ำเกลือแร่ขึ้นดื่มเอาแรง น้ำเกลือแร่ที่ลุงแสวงเอามาไว้ให้ ทำหน้าที่แทนเจ้านายที่ไม่รู้ว่าหายไปไหน หายไปแบบไร้ตัวตนจนวิริยะแปลกใจ

พักนี้เชษฐ์ไชยหายไปจากวงโคจรของเด็กหนุ่มอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจากหลับอย่างลำพังคราวนั้น ดูเหมือนทั้งสองจะหันหลังให้กันอย่างเป็นทางการแล้ว และวิริยะพยายามพร่ำบอกกับตัวเองว่าดีแล้วนี่ ที่ต่างคนต่างอยู่ ถึงจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปก็ตามที แต่ช่างมัน

ช่วงกลางวันวิริยะเห็นดำนั่งทานอาหารอยู่ก่อนแล้ว เด็กหนุ่มยกยิ้ม ถอดหมวกที่สวมแล้วดึงแขนส้มและพี่สาวคนอื่น ๆ เดินตรงไปหาคนป่วย ส้มเบิกตาตกใจที่เด็กหนุ่มทำอย่างนั้น แต่ก็ไม่ขัด เหลือบมองไปยังกุ้งกำลังทำหน้าไม่ถูกอยู่อีกฝั่ง แต่ก็ยอมทรุดตัวนั่งพร้อมกับเพื่อนคนอื่นท่ามกลางสายตางุนงงของดำ

“พี่ดำกินถนัดไหม” ดูเหมือนวิริยะมีแผน แอบหันมาขยิบตาให้ส้มอยู่สองสามที

“กะกินได้อยู่ บ่มีปัญหาหยัง” ที่จริงดำถนัดมือซ้าย และแขนที่หักก็ข้างซ้ายพอดี ซึ่งวิริยะคิดว่านี่อาจเป็นช่องให้พี่สาวบางคนทำคะแนนนำผู้หญิงคนอื่นไปก่อนได้ เด็กหนุ่มคิดแล้วทำท่ากระแอม หันไปพูดกับกุ้ง “พี่กุ้ง ป้อนพี่ดำหน่อยสิ เห็นไหมพี่ดำกินข้าวไม่ถนัด”

“บ่ บ่เป็นหยัง”

“เถอะน่า...” ส้มทำท่ารู้ทัน ดันตัวกุ้งเดินไป คนถูกจับคู่หน้าเหวอสั่นหัวไม่กล้า ให้ทรุดนั่งข้างพ่อหนุ่มหล่อจากอีสาน ฝ่ายดำงุนงง ส่งสายตาอันเต็มไปด้วยคำถามให้เด็กหนุ่มแต่ก็ไม่กล้าพูดมากนัก นอกจากจะหันไปยกยิ้มให้คนที่นั่งลงข้างกายเล็กน้อยอย่างรักษาน้ำใจ

ภาพเก้ ๆ กัง ๆ ของทั้งดำและกุ้งทำให้คนมองยิ้มอย่างนึกพอใจ หลังจากทำตัวเป็นพ่อสื่อให้พี่ที่รักทั้งสองฝ่ายแล้วนั้น วิริยะกลับเข้ามาทำงานดังเดิม เด็กหนุ่มพยายามกินอาหารและน้ำให้เพียงพอต่อพลังงานที่เสียไป ดื่มเกลือแร่ที่ลุงแสวงนำมาให้อย่างคุ้มค่า ในขณะนั้น เขาเหลือบไปเห็นแกแอบคุยอะไรเคร่งเครียดกับหัวหน้าคนงานคนอื่น ๆ

มีอะไรเรื่องใหญ่เกิดขึ้นหรือเปล่า วิริยะมองแล้วผละมาสนใจทำงานต่อ

เสร็จงาน เพราะไม่อยากต่อคิวอาบน้ำ วิริยะยืมจักรยานของตา ปั่นลงเนินไปยังน้ำตกคนเดียว ครั้นเสร็จก็ปั่นกินลมชมสองข้างทางกลับมายังหอพัก เก็บข้าวของเครื่องใช้แล้วออกมาเดินเล่น เหลือบไปยังโรงครัว เห็นดำกับกุ้งที่อาบน้ำผลัดเปลี่ยนผ้าในชุดสวยแล้ว กำลังนั่งคุยกันอย่างออกรส

เด็กหนุ่มยกยิ้มพอใจ ไม่อยากเข้าไปขัดเวลาที่ดีของทั้งสอง เลือกเดินไปอีกฝั่ง

เดินมาถึงคอกม้า วิริยะเห็นพี่เสือวิ่งไล่ผีเสื้ออยู่ที่ลานแถวนั้น ใจรู้สึกหวิวขึ้นมาอย่างน่าแปลก เมื่อคิดว่าจะได้เจอเชษฐ์ไชย แต่สุดท้ายก็ไร้ร่างใหญ่โตที่เด็กหนุ่มนึกถึง วิริยะไม่รู้ว่าตัวเองถอนใจทำไม เขาเดินเข้าไปหาพี่เสือเพื่อหยอกล้อกับมัน ซึ่งเมื่อเห็นเด็กหนุ่ม มันก็กระโจนเข้าหาอย่างคุ้นเคย ให้วิริยะโอบอุ้ม เล่นขนฟูฟ่องนุ่มนิ่มของมันไปพลาง แล้วหวนนึกถึงทุกอย่างไปพลาง

“พี่เชษฐ์...พี่เชษฐ์คะ”

วิริยะเบิกตา ได้ยินเสียงใครสักคนแต่ไกล ไม่รู้ทำไมราวกับเป็นสัญชาติญาณให้เด็กหนุ่มกระเถิบเข้าไปหลบหลังต้นไม้ เมื่อได้ยืนฝีเท้าเข้ามาใกล้ และชื่อของผู้ที่ถูกขานเรียกทำให้ใจเขาเต้นตึก

“พี่เชษฐ์ รอรตรีก่อน”

รตรี ภรรยาเก่าของเชษฐ์ไชยน่ะหรือ

“แล้วเธอจะตามฉันมาทำไม อยากกลับมาก็นอนเล่นอยู่ที่บ้านโน่น”

“ก็รตรีอยากรู้นี่คะว่าพี่เชษฐ์จะมาทำอะไรบ้าง จะอาบน้ำให้อาเธอร์เหรอ เดี๋ยวรตรีช่วย...”

“ไม่ต้อง แล้วก็เลิกมาเกาะแกะฉันสักที รำคาญ”

“ไม่ได้อยู่ต่อหน้ายายต้อยแล้ว ไม่ต้องทำเป็นไม่คิดถึงรตรีก็ได้นี่คะ รตรีรู้นะว่าพี่คิดถึงรตรีแค่ไหน...” ขนาดเธอยังรู้เลยว่าเชษฐ์ไชยเป็นอย่างไร หลังจากถูกทิ้ง วิริยะเหลือบมองออกไป เห็นเชษฐ์ไชยและหญิงสาวคนหนึ่งพูดคุยกันอยู่ไม่ไกลนัก ในแววตาของนายใหญ่แห่งไร่อรุณีมีอะไรบางอย่างที่คาดเดาไม่ได้ ยามถูกรุกล้ำจากผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเคยเป็นเมีย

“แล้วทำไมไม่โกนหนวดสักที บอกแล้วไงว่าไม่ชอบคนไว้หนวดไว้เครา กลับไปเดี๋ยวรตรีโกนให้นะคะ จะได้หล่อเหมือนเดิม”

เธอสวยอย่างที่ดำว่า ยิ่งเวลาทำตาหวาน ออดอ้อนเชษฐ์ไชย ไม่แปลกที่คนหน้าดุอย่างเสือจะกลายร่างเป็นแมวได้ เด็กหนุ่มหันกลับมาทอดถอนใจ บางทีเชษฐ์ไชยอาจกำลังอยากคืนดีกับเธอคนนั้นก็เป็นได้

“แล้วทำไมไม่ใส่ชุดดี ๆ ที่รตรีซื้อมาให้ ใส่ทำไมไอ้ชุดเก่า ๆ ขาด ๆ แบบนี้ สกปรก ไม่หล่อเลย”

มือขาวเอื้อมลูบขนพี่เสือไปด้วยขบคิดถึงความสัมพันธ์ของคนด้านหลังไปด้วย ไม่รู้ทำไมจึงรู้สึกหวิวโหวงอยู่ข้างใน จะรู้สึกห่วงทำไม ก็ดีแล้วนี่ที่เชษฐ์ไชยจะไม่เศร้า ไม่ทำร้ายตัวเอง ตกอยู่ในอดีตอย่างเมื่อก่อน

ในขณะที่ครุ่นคิด พี่เสือเหลือบเห็นเหยื่อที่เคยวิ่งไล่บินมาโฉบล้อก็กระโดดออกจากตักเด็กหนุ่มออกไป

วิริยะเบิกตา “พี่เสือ!” ร้องเรียกด้วยความตกใจ เป็นอันสิ้นสุดการหลบเลี่ยงที่จะเป็นก้างขวางคอของเชษฐ์ไชยในบัดดล เด็กหนุ่มหน้าหงอย ดวงตากวาดไปเห็นคุณรตรีอะไรนั่นกำลังโอบกอดรอบคอเชษฐ์ไชย ใบหน้าอยู่ใกล้กันเพียงไม่กี่คืบ ไม่เดาก็รู้ว่ากำลังจะจูบกัน

เพราะเสียงของวิริยะทำให้ทั้งสองหันมามอง เด็กหนุ่มหน้าร้อนฉ่าเมื่อจู่ ๆ ก็เป็นเป้าสายตา ลุกขึ้นยืนปรับสีหน้าเป็นปกติ เมื่อยามเชษฐ์ไชยผลักหล่อนออกห่างด้วยความแปลกใจที่เห็นเขา แล้วอีกฝ่ายก็เอ่ยถามขึ้นมาเสียเฉย ๆ ราวเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น “มาทำอะไรที่นี่”

วิริยะอึกอัก หลบตาไปทางอื่น “มาเดินเล่น”

“กลับไปได้แล้ว อีกเดี๋ยวก็มืด เกิดเจองูขึ้นมาจะอันตราย” ได้ฟัง เด็กหนุ่มเชยตาสบคนกล่าว กำลังเป็นห่วงเขาอยู่หรือ

“แล้วอาเชษฐ์ออกมาทำไม”

เชษฐ์ไชยนิ่ง ผละมองคนยืนข้าง “เรื่องของฉัน”

“ใครเหรอคะ ทำไมเรียกพี่ว่าอาได้ด้วย” หญิงสาวหนึ่งเดียวในวงสนทนาเอ่ยแทรก ในขณะที่พูดก็ก้มลงมองวิริยะตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่ปิดบังท่าที พลอยให้เด็กหนุ่มรู้สึกอับอายขึ้นมาเสียอย่างนั้น “ดูท่าทางผิวพรรณไม่น่าใช่คนแถวนี้ด้วย เป็นใครมาจากไหน” หล่อนสบตาวิริยะ

เด็กหนุ่มทำท่าจะตอบ หากทว่าเพียงแค่อ้าปากได้

“แค่คนงานที่ไร่” เชษฐ์ไชยชิงพูด

คนงานงั้นเหรอ วิริยะย่นคิ้วเงยมองคนตัวโตที่ยังคงทำหน้าไม่รู้สึกรู้สา นี่ลืมน้องชายผู้เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาหลายครั้งไปแล้วงั้นเหรอ เพียงเพราะเจอเมียเก่า ทำให้เด็กหนุ่มกลายเป็นคนอื่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น ยิ่งเห็นรตรีหัวเราะยามชายตามอง เด็กหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกเคือง

“ตายจริง คนงานสมัยนี้โมเมเรียกเจ้านายว่าคุณอาได้ด้วยเหรอคะ”

วิริยะนิ่ง ปรับสีหน้าเมื่อเสียงหัวเราะของหล่อนยังคงไม่หายไป แต่เขาก็เป็นแค่คนงานอย่างที่เชษฐ์ไชยพูดจริง ๆ นี่ อาจเป็นฝ่ายวิริยะเท่านั้นที่เผลอคิดและทำตัวสนิทสนมกับเชษฐ์ไชย อันที่จริงระหว่างทั้งสองไม่เคยเป็นอะไรมากกว่าเจ้านายและลูกน้อง อย่างที่เชษฐ์ไชยพูดไปเมื่อครู่

“เธอยังเด็กอยู่ พี่เชษฐ์เลยไม่ถือ แต่คราวหน้าคราวหลังอย่าไปเรียกให้ใครได้ยินรู้ไหมจ๊ะ ต้องรู้ด้วยว่าตัวเองเป็นใคร หรือถ้าฉันได้ยินอีกที ฉันจะไม่ใจดีเหมือนเขานะจ๊ะ” สุ้มเสียงของเธอไม่ใจดีอย่างที่พูดเลย

“กลับไปได้แล้วรตรี อย่ามาเกาะแกะ รำคาญ”

เชษฐ์ไชยดึงมือที่กอดแขนออก มองตาเด็กหนุ่มแล้วผละไปเสียเฉย ๆ

คงจะบอกเป็นนัยยะว่าควรออกไปจากที่ตรงนี้

วิริยะรู้สึกหน้าชาอย่างไม่เข้าใจตัวเอง เด็กหนุ่มผละเดินออกมาเสียดื้อ ๆ โดยไม่ได้เอ่ยลา อาจเพราะคิดว่ามันไม่จำเป็น ในเมื่อเขาทั้งสองไม่เคยเกี่ยวข้องอะไรกัน จะอยู่หรือไปก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรต่อเชษฐ์ไชยนักหรอก แต่สำหรับเขา วิริยะไม่รู้ว่ามันสำคัญอย่างไร ถึงได้ทำให้หัวใจหวิวโหวงได้แบบนี้

เด็กหนุ่มกลับมาที่โรงอาหารเพื่อทานข้าวแล้วจะได้กลับไปนอนพักผ่อน ในขณะที่ยืนต่อคิวเข้าแถว น่าแปลกที่คนงานกำลังพูดถึงคุณรตรีที่กลับมากันทั้งนั้น และวิริยะก็เพิ่งได้รู้ว่าหล่อนมาอยู่ที่นี่ได้เป็นอาทิตย์แล้ว พอดีกับช่วงที่เชษฐ์ไชยหายไปเลย

“ลูกสาวฉันที่ไปทำงานในบ้านก็มาบอกนะ ว่าจู่ ๆ นายเชษฐ์ก็ปรึกษาแม่ต้อยว่าอยากจะมีเมียอีก นี่ละมั้งเหตุผลที่นายเชษฐ์ซึม ๆ ไป เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน แม่เอ๊ย...ใครจะคิดละว่าเมียใหม่ที่ว่าก็คือคนเก่า”

“แล้วอย่างนี้พวกเราจะไม่ซวยกันหมดเหรอ อีคุณรตรีมันโขกสับเรายังไง แกจำไม่ได้เหรอ”

“ฉันไม่มีทางยอมรับมันแน่”

“คนอย่างแกเจ้านายคงต้องรอขออนุญาตก่อนหรอก ถ้าจะเอาอีนังนี่กลับมา พวกเราก็คงต้องยอมรับให้ได้” พูดกันไปก็ถอนใจกันไป วิริยะเดินถือชามอาหารกลับมานั่งคนเดียวที่โต๊ะ ยังไม่ได้สัมผัสจากตัวเองว่าบุคคลที่ทุกคนพูดถึงนั้นร้ายเพียงไหน แต่แค่เห็นแววตาก็รู้อยู่ว่าพอสมควร

อย่างที่คนงานคนอื่นพูด ก็คงต้องยอมรับกันให้ได้

วิริยะเดินกลับมาที่ห้องพักตนเองก็ตอนมืดแล้ว เหลือบออกไปเห็นร่างสูงใหญ่ในชุดเดียวกันกับเมื่อครู่ยืนรออยู่ในความสลัว ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าของเด็กหนุ่ม อีกฝ่ายก็รีบหันขวับมาราวกับว่ากำลังตั้งหน้าตั้งตารออยู่ วิริยะมุ่นคิ้วไม่เข้าใจ เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเชษฐ์ไชยด้วยความใคร่ทราบว่ามีธุระอะไร “มาทำไมเหรอ”

เชษฐ์ไชยนิ่งไปพักหนึ่ง “เห็นไอ้เหนือมันบอกว่าเป็นลมนี่”

“บ้า ก็แค่หน้ามืดนิดหน่อย แดดมันร้อน” วิริยะส่ายหน้า

“พรุ่งนี้ย้ายไปทำงานที่โรงเพาะ”

“ฮะ” เด็กหนุ่มย้อน

“รู้ใช่ไหมว่าโรงเพาะอยู่ตรงไหน เดินไป ไปถึงเดี๋ยวหัวหน้าคนงานที่นั่นจะสั่งงานเอง”

วิริยะย่นคิ้ว ไม่อยากคิดว่าที่อีกฝ่ายทำแบบนี้เพราะเป็นห่วง “ที่จริงผมทำที่เดิมต่อก็ได้”

“ไม่ไหวก็อย่าฝืน จะลำบากคนอื่นซะเปล่า ๆ” สิ้นคำของเจ้านาย วิริยะก็ถึงบางอ้อ

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับน้อย ๆ “เข้าใจแล้วครับ นายเชษฐ์”

“ไม่ต้องมาประชดกันเลย” เชษฐ์ไชยเพิ่มระดับเสียง ทำหน้าดุจ้องตาวิริยะ

“ไม่ได้ประชดสักหน่อย ทำไมผมต้องประชดด้วย”

“ก็ทำอยู่นี่ไงเรียกว่าประชด” นิ้วชี้เรียวชี้ที่ตัวเด็กหนุ่มให้รับผิด

วิริยะย่นหน้า พูดตามความเป็นจริงว่า “ก็เรียกเจ้านายมันผิดตรงไหน ที่จริงผมควรเรียกแบบนี้ตั้งนานแล้วด้วย” หากเชษฐ์ไชยมีธุระแค่นี้ก็ไม่อยากมีเรื่อง ครั้นคุยจบเด็กหนุ่มจึงหันไปไขกุญแจห้องตัวเองจะเข้าไปพัก เพื่อตัดบทหรือเลิกต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่ายสักที

“โกรธกันรึไง” มือใหญ่แตะที่ต้นแขน วิริยะจึงหันไปมองคนข้างกาย

“ทำไมต้องคิดว่าผมโกรธด้วย มีเหตุผลอะไรเหรอ”

คนฟังขบฟันราวกำลังไม่พอใจ “อย่ามาย้อนฉันนะวิว”

“ปล่อย ผมจะเข้าไปพัก ไม่อยากคุยด้วยแล้ว” เมื่อได้ยินเด็กหนุ่มพูดตามตรง เชษฐ์ไชยชะงัก มองดวงตากลมที่งุดลงมองจ้องมือของเขายามรั้งเจ้าตัวไว้ ชายหนุ่มจำยอมปล่อยอย่างที่วิริยะต้องการ

นึกต่อว่าตัวเองที่ทำตามใจอีกตามเคย ทั้งที่ตัดสินใจถอยออกห่างจากวิริยะแล้วแท้ ๆ แต่เพียงเห็นแววตาผิดหวังของเด็กหนุ่มเมื่อครู่ใหญ่ก็ทำเอาเชษฐ์ไชยไปไม่เป็น อยากเห็นว่าวิริยะเป็นอย่างไร โกรธหรือไม่

ทั้งที่ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าเด็กหนุ่มไม่ใช่คนคิดมาก และที่สำคัญไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับเขา

วิริยะไม่มีทางหึง ซึ่งก็จริง มีแต่ความเคืองใจที่ถูกทำตัวไม่มีเหตุผลใส่เผยออกมาจากเด็กหนุ่มเท่านั้น เชษฐ์ไชยยกมือสางผมสั้นอย่างนึกรำคาญความงี่เง่านี้ของตัวเอง พลางมองประตูที่ปิดลงไปด้วยน้ำมือของเด็กหนุ่มที่ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อชีวิตของเขาเกินไป จนทำให้ชายหนุ่มต้องเลือกที่จะถอยเว้นระยะห่างให้กลับมาสู่สภาพเดิม

เพื่อตัวเขา และวิริยะเอง

ทรมานตัวเองตอนนี้ ดีกว่าเจ็บปวดปางตายในวันข้างหน้า

เชษฐ์ไชยคิดแล้วทอดถอนใจ เดินกลับไปยังรถคันเดิมแล้วขับบึ่งออกไปยังบ้านพัก เห็นแม่บ้านกำลังตระเตรียมมื้อค่ำไว้รอชายหนุ่มอยู่ บนโต๊ะมีหญิงสาวคนเดิมกำลังนั่งรอรับประทาน หล่อนคลี่ยิ้มหวานรอให้ชายหนุ่มไปร่วมโต๊ะด้วย หากทว่าเชษฐ์ไชยเดินเลยไปยังบันได มุ่งไปสู่ห้องพักของตัวเองเพราะยังไม่รู้สึกหิวตอนนี้ ทำให้แม่ต้อยรู้สึกแปลกใจกับท่าทีนี้ของเจ้านาย

นางมองตามร่างของเชษฐ์ไชยจนลับไปจากสายตา ก็ไหนเคยบอกว่าอยากมีเมีย ไม่อยากเหงาใจเหมือนเมื่อก่อน แล้วไหงไอ้อาการเศร้าซึมยังไม่หายไปเมื่อรตรีกลับมาอยู่ด้วย นางคิดแล้วลอบถอนใจ หลังสั่งแม่บ้านจัดเสิร์ฟอาหารให้แขก นางก็เตรียมส่วนของเชษฐ์ไชยใส่ถาดแล้วยกขึ้นเดินไปด้านบนด้วยความเป็นห่วงเป็นใยเจ้านาย ยิ่งพักหลังเชษฐ์ไชยยิ่งเหมือนหุ่นยนต์ไปทุกที

แม่ต้อยเคาะประตูพอเป็นพิธี แล้วเปิดเข้าไปด้านใน เห็นเชษฐ์ไชยกำลังนั่งดูอะไรสักอย่างในโทรศัพท์มือถือ เมื่อเห็นว่าเป็นนางเดินเข้าไปก็วางมันลงแล้วทำเป็นปกติราวไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น อาการพิลึกลงไปเรื่อย

“ต้อยเอาข้าวเย็นมาให้นายเชษฐ์ค่ะ ทานเถอะนะคะ” นางวางไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง

“ฉันยังไม่หิวนี่ต้อย ยกขึ้นมาทำไม”

“ทานสักคำเถอะนะคะ” พูดยังไม่จบดี เสียงโทรศัพท์ของเชษฐ์ไชยก็สั่นครืดบอกว่ามีใครต้องการคุยด้วย เจ้าของของมันหงายขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นอัฐษไชยก็รีบโยนออกห่างราวเห็นเป็นของน่าแขยง

“เอ้า ทำไมไม่รับสายละคะ” นางถาม

“ก็คงจะโทรมาด่าฉันเรื่องไล่ไอ้ชาติออกเหมือนเดิมน่ะซี นี่ฉันชักจะงงแล้วนะ สรุปว่าใครเป็นพี่มัน ฉัน หรือไอ้ชาติหมานั่น ทำไมไอ้อัฐษ์มันถึงได้ห่วงนักหนา”

“ก็คนงานคนโปรดของคุณไกรนี่คะ”

“มันทำงานเก่งก็จริงอยู่ต้อย แต่สันดานมันไม่ดี เลี้ยงไม่เชื่อง” เชษฐ์ไชยหงุดหงิดกดปิดเครื่องไปเลย คนมองเห็นแล้วเพียงส่ายหน้า วางสำรับไว้แล้วลอบสังเกตทีท่าของเจ้านายว่าเป็นอย่างไร ตั้งแต่เอ่ยปากถามนางว่าถ้าเจ้าตัวจะมีเมียใหม่ ทุกคนคิดเห็นอย่างไร และนางก็ตอบไปเพียงว่าหากทำให้เชษฐ์ไชยมีความสุขนางก็ไม่ขัดใจ หลังจากวันนั้นเชษฐ์ไชยก็ไม่ได้รีบร้อนพาใครมาเปิดตัว นอกจากคุณรตรีที่จู่ ๆ ก็โผล่มาในรอบหลายปี

โดยอ้างว่าจะมาเยี่ยมหลุมศพลูกสาวในวันครบรอบ ทั้งที่หลายปีก่อนก็ไม่เคยเห็นมา

เมื่อหวนคิดถึงเรื่องราวเมื่อก่อน ต้อยไม่อยากคิดเลย ที่รตรีกลับมาก็เพราะเห็นข่าวเชษฐ์ไชยในทีวี ว่าชายหนุ่มคือทายาทที่แท้จริงของไร่รุ่งอรุณี คนฉลาดอย่างรตรีเมื่อมาถึงและเห็นสภาพความเป็นอยู่ของเจ้านายนาง อาจรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเชษฐ์ไชยลบหล่อนออกจากความทรงจำไม่ได้ คงง่ายที่จะกลับมา

เชษฐ์ไชยรักหล่อนแค่ไหน รตรีรู้ดี

“ต้อย...”

เสียงเชษฐ์ไชยเอ่ยขัดความคิดของต้อย เรียกให้นางผละไปหาเจ้านาย

“นายเชษฐ์จะเอาอะไรเพิ่มเหรอคะ”

เจ้านายถือช้อนและจ้องมันราวไม่เคยเห็นมาก่อน สีหน้าเหมือนกำลังขบคิด ว่าจะพูดหรือไม่พูดดี ท้ายที่สุดเหมือนกำลังรวบรวมความกล้า กล่าวกับนางออกมา “ถ้าเกิดฉัน...จะมีเมียอีกครั้งจริง ๆ ต้อยจะรับฉันได้ไหม”

ดูเหมือนเชษฐ์ไชยคงจะกลัดกลุ้มกับมันจริง ๆ ต้อยเห็นแล้วรู้สึกปวดใจ

“โถ...นายเชษฐ์คะ ต้อยรับได้เสมอแหละค่ะ นายเชษฐ์ไม่ต้องคิดมาก”

เชษฐ์ไชยงุดลงมองชามข้าวอยู่สักพัก “สมมตินะ ถ้าให้เลือกระหว่างฉันคืนดีกับรตรี กับถ้าฉันเป็นเกย์ ต้อยคิดว่าคนที่นี่จะรับเรื่องไหนได้มากกว่ากัน”

ต้อยอ้าปากเหวอไปกับสิ่งที่ได้ยิน เมื่อเชษฐ์ไชยเชยตาขึ้นมาสบราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องสมมติ นางคลี่ยิ้มให้แห้ง ๆ แล้วหลบตาไปครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จึงเงยขึ้นมาสบตาเจ้านายอีกครั้ง ตอบว่า “สำหรับต้อยคิดว่าแบบไหนถ้าทำให้นายเชษฐ์มีความสุข ต้อยรับได้หมดเลยค่ะ แต่สำหรับคนงานคนอื่นในไร่ ต้อยคิดว่าพวกเขาอาจจะอยากให้เป็นแค่เรื่องสมมติเท่านั้น ไม่อยากเลือกสักอย่างละมั้งคะ”

ได้ฟัง เชษฐ์ไชยก็พยักหน้ารับ “อย่างนี้นี่เอง”

“แต่นายเชษฐ์ไม่ต้องห่วงเรื่องคนอื่น แค่ทำตามหัวใจตัวเองก็พอเถอะค่ะ”

“ฉันอยากจะทำตามใจตัวเองจะตายอยู่แล้วต้อย แต่ฉันจะไม่ทำ...” เขาไม่อยากกลายเป็นยักษ์มารในสายตาคนงานใต้ความดูแลอีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มคิดแล้วตักข้าวปลาทานอย่างเงียบสงบ แม้จะไม่รู้สึกอร่อยก็ตามที

คิดได้แล้วว่าตอนนี้ยังพยายามไม่มากพอ เขาต้องถอยออกห่างจากวิริยะอย่างเด็ดขาดกว่านี้

ทรมานตอนนี้ ดีกว่าต้องเจ็บทุรนทุรายปางตายข้างหน้า

ชายหนุ่มหวังว่า การตัดสินใจตั้งแต่รู้สึกเพียงข้างเดียวเช่นนี้ จะเป็นหนทางที่ดีที่สุด และถูกต้อง

ไม่ว่ายังไงก็ต้องเจ็บปวดอยู่ดี...


--๕๐--


_______________________________________________

ถ้านายเชษฐ์ได้รู้ว่าวิวคิดเหมือนกัน ใจตรงกัน นางอาจจะไม่ตัดสินใจแบบนี้ก็ได้นะ นางแค่ป้องกันความรู้สึกตัวเองก่อนที่จะเจ็บปวด คือเรื่องนี้ คนเคยอกหักจะเข้าใจ ก็รู้กันอยู่ว่าปมของนายเชษฐ์มันใหญ่และฝังใจมาก

ส่วนน้องวิวก็อยู่ในช่วง คิดว่าตัวเองชอบอิกมาก สับสน เห็นเชษฐ์ไชยเป็นพี่ที่ใจดี

มาดูกันเถอะว่าวิวจะฝังปมอดีตของคนพี่ยังไง ในตอนหน้า อีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือก็กลับมาฮาเหมือนเดิมแล้ว อิอิ

อย่าลืมทิ้งคอมเม้นไว้เป็นกำลังใจกับหนูนาด้วยนะคะ รักคนอ่านทุกคนค่า

หัวข้อ: Re: **{28.3.61-ตอนที่ ๑๔--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-03-2018 02:19:25
 :z6:
หัวข้อ: Re: **{28.3.61-ตอนที่ ๑๔--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 28-03-2018 02:48:55
เห้ออออ
ทำไมต้องยอมให้ยัยรตีมาอยุ่ด้วยเนี่ย
ถึงอ้างว่าวันครบรอบวันตายลูก แต่แบบบบบ
ทำตัววางท่าชะมัด
อาเชษฐ์อย่าพึ่งยอมแพ้สิ
เจ็บตอนนี้กะอนาคตก็เจ็บเหมือนกันแหละ
อย่ถอยห่างจากวิวเลยน้าาา
ถ้าเปนคนงานในไร่ ถ้าต้องเลือกจริงๆ
คงอยากให้อาเชษฐ์เปนเกย์ มากกว่ากลับไปคบยัยรตีแน่ๆ
 :monkeysad:
หัวข้อ: Re: **{28.3.61-ตอนที่ ๑๔--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-03-2018 03:52:32
ก่อนจะปรับความเข้าใจกับวิว ไปจัดการอดีตเมียตัวเองก่อนจะดีกว่าไหม นายหัว  :katai1:
หัวข้อ: Re: **{28.3.61-ตอนที่ ๑๔--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 28-03-2018 09:26:45
สับสนความคิดตัวเองตีรวนใช่ไหมนายเชษฐ์
ไม่ต้องคิดมากหรอก ดำเองก็รู้ว่านายคิดยังไงกับริว
เอ๊ะ ทำไมต้องเอ่ยถึงดำ ก็เรา fc ดำนี่นา อิอิอิ
 :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: **{28.3.61-ตอนที่ ๑๔--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 28-03-2018 11:40:07
โอ้ยยยยนายเชษฐ์ ทำไมตอนนี้ดูสับสนน่าสงสารขนาดนี้

แต่คนเราเดินหน้าแล้วต้องไม่หันหลังกลับเนอะ คนเคยทำเราเจ็บแล้วต้องจำ (หมายความว่าเราไม่เอารตรีนะนายเชษฐ์...ฮาาาา)
หัวข้อ: Re: **{28.3.61-ตอนที่ ๑๔--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 28-03-2018 18:51:05
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: **{28.3.61-ตอนที่ ๑๔--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 29-03-2018 19:18:45
ถึงไม่คิดจะสานต่อกับวิว
แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเอารตีกลับมานี่???
หัวข้อ: Re: **{28.3.61-ตอนที่ ๑๔--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 29-03-2018 19:22:56
ถอยง่ายจังเลย  :m16:
หัวข้อ: Re: **{30.3.61-ตอนที่ ๑๔--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 30-03-2018 00:12:00
(ต่อ)

วิริยะเดินมาที่โรงเพาะตามที่เชษฐ์ไชยสั่งเมื่อวาน พอเข้ามา นึกตกใจกับความใหญ่กว้างของมัน เด็กหนุ่มอ้าปากหวอ กวาดสายตามองรอบกายอย่างตื่นตาตื่นใจ มีทั้งแปลงต้นกล้าอยู่หลายแปลง รถบรรทุกที่มีคนงานขนใส่ถุงเตรียมขนส่ง และอีกฝั่งมีคนงานกำลังกรอกดินใส่ถุงที่มีต้นเล็ก ๆ เตรียมเลี้ยงให้โต หนึ่งในนั้นมีคนงานที่คุ้นหน้าคุ้นตาวิริยะอย่างดี

เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มกว้าง วิ่งไปกอดคอคนที่กำลังง่วนอยู่กับการตักดินใส่ถุงดำ

“พี่ดำ!”

คนถูกทักทายเงยหน้าขึ้นมอง “เอ้า วิว! เป็นหยังคือได้มาเฮ็ดอยู่นี่”

เด็กหนุ่มละรอยยิ้มไปพักหนึ่ง แล้วกลับมาทำหน้าบานกว่าเก่า

“อ๋อ ถูกสั่งให้มา เมื่อวานแค่หน้ามืดนิดเดียวเอง”

“คือกันกับอ้ายเลย บ่นว่าอยากเฮ็ดงาน นายเซษฐ์เลยส่งมาม่องนี้ อ้ายเซ็งหลาย มีแต่ผู้เฒ่า”

ดำพยักเพยิดให้มองรอบกาย มีลุงป้านั่งล้อมกองดินสีดำอันผสมขี้ไก่เรียบร้อยแล้ว กำลังตักใส่ถุงกันอย่างขะมักเขม้น ฝ่ายถัดมาคือเอากล้าเล็กใส่ถุง แล้วยื่นให้ทางดำที่ต้องตักดินกลบอีกที แล้วจะมีคนมาทยอยเอาไปเรียงไว้ให้มันฝังราก หากมันไม่ตาย ก็จะได้นำออกไปจำหน่าย

กล้าพวกนี้เป็นพืชพันธุ์ผลไม้ที่เชษฐ์ไชยคิดค้นทดลองว่าแข็งแรง ออกผลดี บ่มเลี้ยงให้โตอีกหน่อยค่อยเปลี่ยนใส่ถุงที่ใหญ่ขึ้น เตรียมเอาออกไปขายให้ชาวไร่ในราคาถูกกว่าที่อื่น

การออกไปเที่ยวและรับฟังเรื่องเล่าจากลุงแสวงช่วงนั้น วิริยะนึกภาพความยิ่งใหญ่ของเชษฐ์ไชยไม่ออกเลย กระทั่งได้มาเจอด้วยตัวเองวันนี้

ดูเหมือนนอกจากทำนา การปลูกผลไม้ในจังหวัดนี้เป็นที่แพร่หลายกันมาก แต่ส่วนใหญ่ไร่รุ่งอรุณีจะมีเนื้อที่เยอะ คุณภาพในการคัดเกรดสูง และสามารถส่งออกในปริมาณมากกว่า ถึงอย่างนั้นเพื่อความสะดวกของชาวไร่ละแวกใกล้เคียง เชษฐ์ไชยจะส่งหัวหน้าคนงานไปรับซื้อต่อจากชาวไร่มาอีกทอดหนึ่ง แล้วค่อยนำมาคิดอีกทีว่าจะส่งออกไปที่ไหน ห้างสรรพสินค้า หรือต่างประเทศ หรือเอามาคิดค้นแปรรูปอีกที เพื่อไม่ให้ลำบากต้องนำออกไปขายข้างหน้ากับพ่อค้าคนกลาง เสี่ยงต่อการถูกกดราคา

งานทั่วทั้งไร่ วิริยะคิดว่าตรงนี้ง่ายและสบายที่สุด แต่ต้องอาศัยความใจเย็น อดทนอดกลั้นอยู่เหมือนกัน ก็แค่ตัก ๆ ดินใส่ถุงเท่านั้นเอง ทนเหม็นขี้ไก่อันเป็นปุ๋ยธรรมชาติหน่อยคงไม่เป็นไร อยู่ในร่มสบายกว่าคนตากแดดใช้แรงข้างนอกตั้งเยอะ นั่นกระมัง ถึงได้มีป้า ๆ ลุง ๆ ทั้งหลายอยู่ในนี้เต็มไปหมด

“โอ้โห แค่ตักดินก็ต้องอาศัยความชำนาญเหมือนกันนะเนี่ย ดูสิ มีแต่คนทำสวย ๆ แถมเหมือนกันทุกอันเลย” วิริยะบอกดำ แล้วก้มลงมองถุงที่ถูกดินอัดจนแน่นของตัวเอง บ้างก็เยอะเกิน บ้างก็น้อยเกิน สภาพไม่น่าผ่านคิวซีไปได้ เห็นแล้วป้า ๆ ก็หัวเราะ

“ทำไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็กะน้ำหนักมือได้ลูก”

วิริยะฉีกยิ้มเมื่อเห็นรอยยิ้มเอ็นดูของทุกคนยามมองเขา “แล้ววัน ๆ นึงพวกป้าทำได้กันกี่ถุงครับ”

“ก็ราว ๆ หกเจ็ดร้อย มากสุดก็พันนึง นายเชษฐ์เขาไม่ให้เร่ง ทำไปสบาย ๆ ก็พอ”

“โห...เก่งอะ” วิริยะเบิกตาโตอย่างนับถือ “แล้วเยอะอย่างนี้เอาไปไว้ไหนหมดครับ”

“ก็เอาไปไว้ให้โตขึ้น เรียงเป็นแปลงแบบตรงโน้น”

วิริยะมองตามนิ้วของคุณป้า เห็นแปลงต้นกล้าที่เริ่มโตขึ้นมาอีกนิดหนึ่งเรียงกันยาวแทบสุดลูกหูลูกตา “พอมันโต ก็เปลี่ยนถุงอันใหญ่ให้ดูใหม่ขึ้น แล้วขายนั่นแหละจ้า วัน ๆ นึงมีต้นกล้าขายออกเป็นพันสองพันต้น ไหนจะเอาไปลงที่สวนเราเองก็เยอะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไหนจะต้นที่ป่วย ต้องคัดออกด้วย” ป้าผู้ใจดีอธิบาย ได้ฟังแล้ววิริยะก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ภายใต้ชื่อของรุ่งอรุณีนี่มันยิ่งใหญ่จริง ๆ เด็กหนุ่มคิดแล้วเปลี่ยนท่านั่งเพราะเหน็บกิน รู้สึกชามาถึงก้นซ้ายแล้ว

“วิวนี่ก็เก่งนะ อยู่มาถึงตอนนี้ได้ เป็นเดือนแล้วยังสู้ไม่ยอมถอยเลย เป็นเด็กคนอื่นน่ะเหรอ อยู่กลางแดดครึ่งวันก็วิ่งโร่กลับไปนอนตากพัดลมอยู่บ้านแล้ว” ป้าคนหนึ่งพูดด้วย เด็กหนุ่มยิ้มแห้ง ๆ เป็นการตอบรับ ซึ่งตอนนี้ความชาเริ่มลามมาถึงไข่แล้ว เขาควรลุกขึ้นยืน เหยียดขา หรือทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ไม่ใช่นั่งพับขาอยู่เช่นนี้

“เอ้า มีใครอาสามาขนกล้าขึ้นรถ”

“ผมครับ!” วิริยะยกมือราวนักเรียนกำลังตั้งใจตอบคำถาม ยิ้มแป้นแล้นส่งให้หัวหน้าคนงาน

รีบลุกวิ่งไปหาลุงคนเดียวกันที่ยืนคุยหน้าดำคร่ำเครียดกับแสวงเมื่อวาน เด็กหนุ่มพยายามเก็บอาการขากะเผลก แต่มันปิดไม่มิด ทำเอาป้า ๆ ที่เห็นพากันสะกิดดูแล้วเราะแซวกันยกใหญ่ ส่วนวิริยะ ทำได้เพียงยิ้มแห้ง ๆ ให้ทุกคนแก้เขินอายเท่านั้น

เมื่อเดินไปถึงบริเวณแปลงกล้าโต ส่วนหนึ่งถูกนับเรียงรวมกันใส่ถุงหูหิ้วใบใหญ่เรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มตั้งใจจะเอื้อมหยิบ หากทว่าสายตาก็ดีเหลือเกิน เหลือบไปเห็นตัวอะไรดำ ๆ กำลังเลื้อยเข้าไปในถุง

“อ๊ากกกก งู! ช่วยด้วย ในถุงมีงู!”

วิริยะกระโดดถอยออกห่าง ลืมไปว่าขากำลังชาเพราะเหน็บ หงายเงิบล้มลงไปในแปลงต้นกล้า ด้วยความที่กลัวว่ามันจะตกใจเสียงของเขาแล้วเลื้อยตามออกมา แม้ไม่มีแรงขาพาตัวเองวิ่งหนี เด็กหนุ่มพยายามกลิ้งหลุน ๆ ผ่านกล้าอ่อนไปทั่วจนถึงท้ายแปลง ท่ามกลางความตกใจแตกตื่นของคนงานคนอื่น

กว่าจะต้อนและจับงูได้ ลุงป้าก็มาช่วยพยุงวิริยะให้ลุกขึ้นออกจากแปลงสีหน้าตกใจ ห่วงว่าต้นกล้าจะเสียไปมากกว่านี้ ตอนแรกเด็กหนุ่มก็น้อยใจที่ทุกคนห่วงทรัพย์สินมากกว่าชีวิตของเขา แต่ครั้นวิริยะเหลือบเห็นความเสียหายราคาร่วมหมื่นกองอยู่ตรงหน้า ก็เริ่มรู้สึกกลัวกอริลล่าเจ้าของไร่มากกว่างูแล้ว

หน้าวิริยะถอดสี เขาต้องโดนเล่นงานแน่!

ภาพต้นกล้าหักเละเทะทั่วทั้งแปลงตรงหน้านั้น ลุงหัวหน้าคนงานบอกว่านับได้รวมเกือบสองหมื่นบาท วิริยะเหงื่อตกไม่เป็นอันทำงาน ในขณะที่ดำกอดบ่าปลอบใจว่าเป็นใครก็ต้องตกใจกันทั้งนั้น แล้วเขาจะเชื่อและรู้สึกดีขึ้นได้ไงเล่า ขนาดดำมีแขนแค่ข้างเดียว แต่เป็นคนหนุ่มคนเดียวที่พึ่งได้ตอนนั้น วิ่งเข้าไปไล่จับมันอย่างไม่นึกกลัว ท่ามกลางเสียงกรี๊ดของป้าและลุงที่ร้องลั่นโรงเพาะ

เด็กหนุ่มยกมือกุมปิดหน้าตัวเอง รับความซวยที่จะมาในไม่ช้านี้

ซึ่งความซวยก็มาทันตายิ่งกว่ากรรมเสียอีก เมื่อเงยขึ้น วิริยะเห็นเจ้าของไร่หน้าโหดเดินเข้ามาด้วยความขึงขัง หลังได้ทราบข่าวจากหัวหน้าคนงาน แต่น่าแปลกใจ ที่เชษฐ์ไชยไม่ได้มีหนวดเครารุงรังเหมือนเมื่อวาน ใบหน้าสะอาดสะอ้าน และยังสวมเสื้อผ้าตัวใหม่ ไม่ใช้ตัวเก่า ๆ ขาด ๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว

คงกลับไปโกนหนวด แล้วลองเสื้อผ้าใหม่ ๆ กับคุณรตรีอะไรนั่นกันสนุกสนานเลยซีนะ

วิริยะรีบลุกขึ้นยืน เห็นนายใหญ่ของไร่เคี้ยวฟันแสดงความขึ้งโกรธมาแต่ไกล เมื่อกวาดสายตาเห็นว่าเด็กหนุ่มอยู่ตรงนี้ เชษฐ์ไชยก็ดิ่งมาหา พูดเสียงโมโหว่า “ทำไมถึงได้สร้างเรื่องไม่เว้นแต่ละวันเลยหา สนุกมากเลยรึไงที่เห็นคนอื่นคอยแก้ปัญหาของเธอ”

วิริยะนิ่ง ไม่คิดว่าเชษฐ์ไชยจะต่อว่าเช่นนี้

“ขะ ขอโทษครับ” เด็กหนุ่มเสียงอ่อน ไม่เห็นต้องโหดขนาดนั้น แค่นี้เขาก็สำนึกผิดจะแย่อยู่แล้ว แต่เชษฐ์ไชยคงจะโกรธมากจริง ๆ ทรัพย์สินเสียหายมากมายขนาดนั้น “ก็ผมตกใจที่เห็นงู งูตัวเบ้อเร่อด้วย เป็นใครก็ต้องวิ่งหนีกันทั้งนั้น ต่อให้เป็น...นายเชษฐ์ก็เถอะ”

“ไม่ต้องมาแก้ตัว ฉันไม่อยากฟัง”

“ฮะ” วิริยะย้อน “ผมก็แค่อธิบายนะ ไม่ได้จะแก้ตัวอะไรเลย”

“เงียบ!” คนตรงหน้าชี้นิ้วออกคำสั่ง “แค่อันเก่ายังไม่มีปัญญาจะจ่าย แล้วนี่ยังจะมาสร้างหนี้อันใหม่อีก ฉันว่าถึงเวลาแล้วที่เธอควรออกไปจากไร่แล้วจริง ๆ ฉันไล่เธอออก!”

วิริยะอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้อีกครั้ง

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ไป ผมจะอยู่จนกว่าเปิดเทอม”

“ฉันไม่ได้อยากรู้ว่าเธอจะอยู่หรือไม่อยู่ ฉันไล่ก็ต้องออกไป กลับเก็บเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้” คนตรงหน้าจริงจัง แวบหนึ่งวิริยะเห็นแววเฉยชาจากนัยน์ตาชายตรงหน้า ซึ่งไม่ใช่เชษฐ์ไชยคนก่อน เด็กหนุ่มไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนตรงหน้าจึงทำเช่นนี้ ในเมื่อเป็นพี่ชายที่ดีคนเดิมมันก็ไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์นายใหญ่ของไร่แห่งนี้เสียหายถึงเพียงนั้น แล้วเหตุผลไหน ที่ทำให้เชษฐ์ไชยเลือกกลับมาร้ายดังเดิม

เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว รู้ว่าลึก ๆ เชษฐ์ไชยไม่ใจร้ายอย่างที่กำลังแสร้งทำอยู่ตอนนี้

“งั้น เดี๋ยวผมหายออกไปจากสายตานายเชษฐ์สักสองสามวัน แล้วพอนายเชษฐ์ใจดีขึ้น จะกลับมาทำงานใช้หนี้ ไม่ต้องให้ค่าแรงผมอีกต่อไปแล้วก็ได้นะครับ” วิริยะทำหน้าขอร้อง จะเดินไปแตะตัวอย่างเคยก็ไม่ได้ คนหน้าดุทำท่ายักษ์รอไว้อยู่ อาจโดนหลังแหวนได้

“อยู่ไปก็รังแต่จะทำข้าวของเสียหาย ทำให้คนอื่นวุ่นวายลำบากไปด้วย”

“แต่ว่าผมอยากอยู่ที่นี่ต่อจริง ๆ นะครับ” วิริยะทำเสียงอ่อนและเงยขึ้นมาจ้องหน้า เว้าวอนเสียงเล็กเสียงน้อยราวลูกหมากำลังขอข้าวกิน ยิ่งทำให้คนตั้งใจทำเมินรู้สึกลำบากไปอีกเท่าตัว เชษฐ์ไชยขบฟันพยายามสุดฤทธิ์ที่จะเบี่ยงสายตาไปมองทางอื่น ในขณะที่วิริยะทำหน้าทำตาละห้อยขอร้อง ท้ายที่สุดคนตัวเล็กกว่าก็ใช้ไม้ตาย กระเถิบมาใกล้แล้วกุมจับแขนเขาทำตาปริบ ๆ

เชษฐ์ไชยตกใจ กระตุกแขนกลับ “ก็บอกว่าไม่ไง ถอยออกไป!”

วิริยะแปลกใจ หน้าถอดสีกับระดับเสียงของชายหนุ่ม ซึ่งเรียกทุกสายตาหันมามองยังทิศนี้

“ทำไมทำแบบนี้อีกแล้ววะ ก็ไหนบอกว่าตัวเองไว้ใจได้ไง”

เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว พูดตามตรงในสิ่งที่ตัวเองรู้สึก

คนฟังใจหาย “แล้วไง...”

กัดฟันพูดตรงกันข้ามกับความรู้สึกอีกครั้ง

เด็กหนุ่มจ้องตาเชษฐ์ไชย เริ่มยิ้มไม่ออก คิดในทางที่ดีไม่ได้

“สรุปก็แค่ไม่อยากให้ผมอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้วใช่ไหม ผมจะไปได้ไป” เด็กหนุ่มถามเสียงเบาให้ได้ยินเพียงแค่สองคน เมื่อเห็นทีท่าเมินเฉยของเจ้านาย ในขณะที่จ้องตากันเขม็งไม่ได้พูดจาอยู่ครู่หนึ่งนั้น วิริยะรู้สึกเหมือนหน้าร้อนขึ้นมาเพราะอะไรมิทราบ อาจเป็นเพราะความโกรธที่ถูกกระทำอันไร้เหตุผลด้วย หรืออาจกำลังใจเสียที่สุดท้าย คนที่คิดว่าเป็นคนดีเลือกที่จะทำร้าย

เชษฐ์ไชยไม่ได้ตอบอะไรเด็กหนุ่ม แต่ถึงอย่างนั้น สีหน้าเย็นชาของอีกฝ่ายก็บอกได้เป็นอย่างดี

“สรุปที่ผ่านมาก็โกหกผมใช่ป้ะ” เด็กหนุ่มถามอีกครั้ง

สีหน้าของเชษฐ์ไชยไม่ยินดียินร้ายเมื่อเห็นวิริยะน้ำตาไหล อันที่จริงวิริยะไม่รู้ว่าทำไมเป็นแบบนั้น เมื่อได้รับคำตอบจากท่าทางของเจ้าของสถานที่แห่งนี้

“ขอบคุณ แล้วผมจะจำไว้” เด็กหนุ่มถอดถุงมือ เช็ดน้ำตาบ้า ๆ ที่ไหลเพราะไม่ได้ดังใจออกจากใบหน้า แล้วตัดสินใจเดินฉับออกมา หมดคำพูดที่ต้องคุยกันตั้งแต่วันนี้

“ห้ามใครหน้าไหนไปส่งเด็ดขาด ถ้าฉันรู้ว่าใครไปส่ง ฉันไล่มันออก!”

ลำขายาวชะงักกึกเมื่อได้ยินทำสั่งทิ้งท้ายของเจ้านาย แต่ก็เท่านั้น วิริยะไม่รู้ว่าถูกทำเช่นนี้เพราะอะไร แต่เด็กหนุ่มโกรธและยอมกลับบ้าน ดีกว่าถูกสายตาเยือกเย็นไร้ความรู้สึกนั้นมอง แล้วเขาก็รับไม่ได้กับไอ้อาการผีเข้าผีออก เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของไอ้อสูรบ้านั่นอีกต่อไปแล้ว ไร้เหตุผลสิ้นดี!

“นายเซษฐ์ครับ นายเซษฐ์!”

ดำลุกเดินตามเจ้านายไปอีกฝั่งเมื่อเห็นวิริยะเดินกระแทกเท้าดุ่มออกจากโรงเพาะไป ไม่คิดแม้แต่จะหันหลังกลับมาขออยู่ต่ออย่างเคย ชายหนุ่มเห็นว่าเจ้านายไม่ได้ดีใจหรือโล่งใจที่ตัดสินทำแบบนี้ และรู้ว่าเขาคนเดียวที่สามารถเกลี้ยกล่อมให้เชษฐ์ไชยตามวิริยะออกไปได้ แต่เมื่อเดินไปถึง ดูเหมือนเจ้านายจะรู้ทันว่าดำกำลังจะพูดอะไร

“ไม่ต้องมาเปลี่ยนใจกู กูไม่เปลี่ยน” เชษฐ์ไชยพูดพลางก้มลงเก็บซากต้นไม้

“แต่ว่าน้องบ่ได้ตั้งใจเฮ็ดเด้นายเซษฐ์”

ถ้าไม่ได้เจอวิริยะเลย เชษฐ์ไชยคิดว่ามันจะดีกว่า

“ไม่ใช่แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ที่ทำให้กูตัดสินใจแบบนี้”

“เป็นหยัง เพราะว่านายเซษฐ์สิคืนดีกับคุณรตรีเบาะ”

นายใหญ่ชะงักมือ ขมวดมุ่นคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน “ใครบอกมึง”

“คนเขาฮู้กันทั่วไร่แล้ว แม้แต่วิวมันกะฮู้คือกัน”

“มันรู้รึไม่รู้จะสำคัญอะไร กูไม่สนใจ...” แม้จะแอบสะเทือนใจหน่อย ๆ ก็เถอะ คนกล่าวงุดลงมองต้นไม้เบื้องหน้า ทำทีง่วนอยู่กับการเก็บซากที่หักพังไปด้วย เงี่ยหูฟังในสิ่งที่ดำพูดด้วย

“นายเซษฐ์แน่ใจแล้วแม่นบ่ว่าความรู้สึกวิวมันบ่สำคัญ แต่ดำบอกไว้ก่อนเลย ว่าที่นายเซษฐ์เฮ็ดแบบนี้บ่ถืกต้อง”

ได้ฟัง เชษฐ์ไชยก็นิ่ง “กูมีเหตุผลของกู”

“เหตุผลของนายเซษฐ์ สิบ่เฮ็ดให้นายเซษฐ์เสียใจแม่นบ่” ดำถามเสียงแผ่ว

เจ้านายเงยมองคนถาม “ไม่มีทางไหนที่กูไม่เสียใจหรอก เจ็บตอนนี้กับเจ็บข้างหน้าก็ไม่ต่างกัน”

“ดำหมายถึง นายเซษฐ์ได้คิดเผื่อบ่ ว่านายเซษฐ์สิเจ็บโดนปานใด๋ นายเซษฐ์คิดเผื่อไว้บ่ ว่าการตัดสินใจเถื่อนี้สิผิดพลาด จนเฮ็ดให้นายเชษฐ์เสียใจไปตลอดชีวิต แล้วตอนที่นายเซษฐ์มานึกขึ้นได้ทีหลัง นายเซษฐ์จะได้คิดแค่ว่าบ่น่าตัดสินใจแบบนั้นเลย ฮู้แบบนี้ น่าจะลองทำไปก่อนดีกั่ว พอมาคิดได้ มันกะสายไปเบิ่ดแล้ว อาจบ่แค่สาย อาจจะแลงไปเลยกะได้” ดำพูดโดยไม่เปิดช่องไฟให้เชษฐ์ไชยเถียง คนฟังทำท่าง่วนอยู่กับการเก็บกวาดสิ่งตรงหน้า แต่แอบคิดตามในสิ่งที่ลูกน้องบอกไปด้วย

“ไม่รู้เว้ย! กูทำแบบนี้แล้ว ไม่มีทางกลับมาคิดทีหลังหรอก คนแบบกูมีแต่จะก้าวหน้า ไม่ถอยหลัง” เจ้านายรำคาญ ลุกขึ้นจะเดินหนีไปทางอื่นไม่ยอมให้ดำเกลี้ยกล่อมแต่โดยง่าย

“โธ่! นายเซษฐ์ อย่ารั้นกับดำแบบนี้” คนพูดทำเสียงเสียดาย มองตามคนตัวใหญ่เจ้าของสถานที่กำลังเดินเอาเศษซากต้นไม้ที่หักพังไปทิ้งข้างนอก หันมาว่ากับดำไปด้วย

“หุบปากไปเลย กูไม่อยากพูดเรื่องนี้ มัวแต่อู้เดี๋ยวกูหักค่าแรงมึงนะ”

“ถ้าวิวมันไปอีหลีล่ะ” คนพี่ห่วงน้องชายนัก

“คิดว่ามันมีปัญญาไปเองได้รึไง หัดคิดซะบ้าง”

ดำชะงักฉุกคิด เดี๋ยวซี หรือที่ทำแบบนี้เพราะเชษฐ์ไชยคิดไว้ก่อนแล้ว หนุ่มอีสานมองตามคนหน้าบึ้งราวโกรธใครมาเป็นชาติอีกฝั่งอย่างไม่ค่อยเข้าใจ ไม่รู้ว่าเจ้านายกำลังคิดอะไรอยู่ ไล่วิริยะออกจากงาน แต่ไม่ยอมให้ใครออกไปส่ง ทั้งที่ทางออกก็ไม่มีรถผ่านนอกจากรถของไร่ ต้องปั่นจักรยานหรือเดินเอาเท่านั้น ซึ่งระยะทางก็ไกลและร้อนมากด้วย

ดูเผิน ๆ เหมือนเป็นการกลั่นแกล้ง

แต่ถ้ามาคิดให้รอบคอบ ทำแบบนี้อย่างกับไม่อยากให้ไปเลยนี่หว่า

ป่านนี้น้องชายสุดท้องของเขาคงแอบไปร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่ที่ไหนสักที่เพราะถูกแกล้งกระมัง นายเชษฐ์นี่ร้ายเกินไปแล้ว แถมเจ้าเล่ห์อีกต่างหาก แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อดำไตร่ตรองได้แล้วก็รู้สึกโล่งใจไปนิดหน่อย เขาไม่คิดว่าวิริยะผู้ขี้ร้อนจะกล้าเดินตากแดดออกไปถนนใหญ่คนเดียวแน่

เศษซากต้นไม้ถูกโยนลงไปในกองขยะที่ซึ่งลับตาคนแล้ว เชษฐ์ไชยยกมือสางผมตัวเองออกคำสั่งให้ใจเย็นลงอีกนิด ปัดภาพไอ้ตัวเล็กน้ำตาคลอเต็มเบ้าเงยจ้องตา สีหน้าบอกว่ากำลังเสียใจที่เขาไม่มีเหตุผลนั้นออกไปจากสมองให้เร็วที่สุด ใจชายหนุ่มเต้นตึกจนต้องเดินไปมาเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดี พร่ำบอกตัวเองว่าวิธีไร้เหตุผลแบบนี้แหละที่จะทำให้เข้มแข็งได้

ต่อจากนี้ จะได้ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องข้องเกี่ยวกันอีก

ชายหนุ่มไม่คิดว่าวิริยะจะไป แต่ใจหนึ่งก็แอบรู้สึกดีที่วิริยะจะคิดได้ว่าเขาร้าย แล้วไปจากที่นี่เสีย

ไปเลย ไปแบบไม่ต้องลาแบบนี้น่ะดีแล้ว

ถึงจะคิดแบบนั้น แต่ถ้อยคำของดำกลับบาดลึกเข้าไปในอกของเชษฐ์ไชย ตลอดทั้งวันไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ชายหนุ่มแม้แต่คนเดียว อาจเป็นเพราะใบหน้าที่เอาแต่ขมวดคิ้วมุ่น ท่าทีหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลานี้ก็เป็นได้ ซึ่งเชษฐ์ไชยเองก็ไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองเลย แต่รู้...ว่ามันต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งเหมือนความรักครั้งก่อน

ชายหนุ่มยอมรับกับคำพูดของดำ เขาไม่รู้ว่าเวลาระยะหนึ่งที่ว่านั้น มันยาวนานแค่ไหน

อาจจะเสียใจไปตลอดชีวิตอย่างที่ดำพูดก็ได้

เมื่อใช้เวลาหวนคิดตามในสิ่งที่ลูกน้องกล่าว จากสิบนาที เป็นหนึ่งชั่วโมง จากชั่วโมง เป็นสอง สามชั่วโมง เชษฐ์ไชยก็ยิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองตัดสินใจไม่ถูกต้องจริง ๆ และชายหนุ่มรู้สึกว่า เขาไม่อยากให้วิริยะคิดว่าที่เขาร้ายต่ออีกฝ่ายเพราะอยากคืนดีกับรตรี คนอย่างนายเชษฐ์แห่งไร่รุ่งอรุณี ไม่มีทางถอยหลังไปอยู่จุดเดิมอย่างแน่นอน

เขาไม่มีทางคืนดีกับรตรี เชษฐ์ไชยอยากบอกวิริยะ แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่อยากรู้ก็ตาม

ชายหนุ่มมองนาฬิกาบนข้อมือบอกว่าสิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว รู้สึกใจเต้นตึกจนแทบจะทะลุออกจากอก คิดว่าควรไปหรือไม่ไปดี ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็ทิ้งข้าวของในมือลงพื้น หมุนตัววิ่งออกไปข้างนอกเมื่อคิดได้ว่าหากวิริยะตัดสินใจจริง ๆ ต่อให้กลัวความร้อนแค่ไหน คนโกรธก็ต้องไปจากที่นี่อย่างแน่นอน แล้วหากเป็นเช่นนั้นชายหนุ่มจะไม่ได้เจอ ไม่ได้มีโอกาสขอโทษอีกเป็นครั้งที่สอง

ร่างสูงไม่ได้กระโดดขึ้นรถอย่างที่เคย เพราะคิดว่าเป็นการเสียเวลา มุ่งตรงไปยังหอพักที่บัดนี้เงียบสงัดเพราะคนงานคนอื่นอยู่ที่ไร่ เห็นประตูห้องวิริยะถูกเปิดทิ้งไว้ก็รู้สึกโล่ง ดีใจที่เด็กหนุ่มไม่ได้โกรธถึงขั้นเก็บเสื้อผ้าหนี

เมื่อวิ่งไปถึง ถึงเชษฐ์ไชยก็เข้าไปด้านในด้วยความใจร้อน หากทว่ามันว่างเปล่า ใจที่ว่าชื้นวูบหาย ลงไปกองที่ตาตุ่มเมื่อไม่เห็นวิริยะ เป้ใบเดียวที่เป็นสัมภาระก็หายไปด้วย นอกนั้นของอย่างอื่นก็อยู่ดีทุกอย่าง วิริยะไม่ได้เอาอะไรไปสักชิ้น

มันจะสายไปแล้วจริงหรือ

“วิว!”

เชษฐ์ไชยตะโกน ตอนนี้เขาไม่สนแล้วว่าใครจะได้ยินหรือมองยังไง

“วิว ตอบพี่มาเดี๋ยวนี้เลย!”

ไม่มีเสียงตอบรับจากเด็กหนุ่มที่เขาเรียกหา ตัวเชษฐ์ไชยเริ่มสั่น เอาแต่นึกถึงดวงตากลมที่ถูกกลบไปด้วยน้ำ หากนับตั้งแต่ช่วงที่ทะเลาะกันก็ผ่านมานานหลายชั่วโมงแล้ว วิริยะอาจไปถึงถนนใหญ่ โบกรถไปในเมืองแล้วก็ได้ มือหนาขยับสางผมที่ปอนเปียกไปด้วยเหงื่อ ไม่ยอมตัดใจปล่อยให้เป็นเช่นนั้น ฮึดวิ่งกลับไปที่โรงเพาะแล้วกระโดดขึ้นรถคู่ใจ ขับบึ่งออกไปข้างนอกด้วยความเร็วที่สุด

“วิว อย่าเพิ่งไป...”

ดวงตาคมกวาดมองสองข้างทางหา

อย่าไปไหน อย่าเพิ่งไปไหน

เชษฐ์ไชยหน้าร้อนเมื่อนึกเช่นนั้น หวังว่าวิริยะจะไปไม่ถึงไหน

เขาหวังเหลือเกิน

 
--๗๕--
ตัวอักษรเกินเจ้าค่ะ ขอต่อกระทู้นะเจ้าคะ
หัวข้อ: Re: **{30.3.61-ตอนที่ ๑๔--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 30-03-2018 00:14:20

(ต่อ)

“ไอ้เจ้านายบ้าเอ๊ย บ้าอำนาจ! ไม่ต้องเจอะต้องเจอกันอีกเลย”

วิริยะยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตาของตัวเองอย่างอารมณ์เสีย แต่เมื่อเห็นว่าเสื้อแขนยาวที่ใส่เช็ดน้ำตาเป็นของใคร เด็กหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกโมโหขึ้นมาอีกเท่าหนึ่ง เสียใจขึ้นมาอีกเท่าหนึ่ง อารมณ์มันผสมปนเปจนงุนงง ทำได้แค่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา

วิริยะกำสายสะพายของเป้แน่นมองออกไปข้างนอก ในที่สุดก็เห็นถนนลาดยางสักที เด็กหนุ่มเดินไปทรุดตัวนั่งอยู่ที่ศาลาตรงหัวมุมสุดทางของไร่พักเหนื่อย ยกน้ำดื่ม ก้มลงนวดเท้าที่เดิน ๆ หยุด ๆ จนเมื่อยนั้น แล้วค่อยโบกรถยนต์ที่แล่นมุ่งตรงไปยังในเมือง เพื่อไปที่บขส. อีกทีเมื่อหายเหนื่อย

วิริยะไม่รู้ว่าตัวเองร้องไห้ทำไม ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยโกรธใครจนร้องไห้เป็นผีบ้าขนาดนี้มาก่อน ความรู้สึกหนึ่งก็เหมือนจะน้อยใจ อีกความรู้สึกก็เหมือนโกรธนิด ๆ เสียใจหน่อย ๆ รวมแล้วเด็กหนุ่มไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไร แต่มันก็คล้ายช่วงที่ถูกอัศวินปฏิเสธเหมือนกัน วิริยะคิดว่า ความรู้สึกของคนที่ผิดหวังก็ไม่ต่างกันมากนักหรอก ไม่ว่าจะกรณีไหน อกหัก หรือถูกคนไว้ใจทำร้าย

เสียงรถยนต์แล่นจากถนนใหญ่ผ่านไป เสียดายที่ไม่มีคันที่มุ่งไปยังในเมืองเลย

วิริยะเช็ดหน้าตัวเองให้สะอาดสะอ้าน เมื่อสงบจิตสงบใจได้แล้วก็ชะเง้อคอรถตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ เพราะเด็กหนุ่มตัดสินใจแล้วว่าจะไป จะไม่อยู่ต่อ อย่างน้อยเชษฐ์ไชยก็ถูก เรื่องที่เขาเอาแต่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นลำบาก ต่อจากนี้วิริยะคงไม่ทำให้เจ้าตัวเหนื่อยอกเหนื่อยใจอีก ดีแล้ว...เขาตัดสินใจถูกแล้ว

วิริยะย่นหน้า ที่สำคัญ เขาโกรธเชษฐ์ไชยที่ไม่มีเหตุผลจนไม่อยากเจอกันอีกแล้ว

เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว รีบเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงรถยนต์แล่นเข้ามาใกล้ หากทว่าไม่ได้มาจากถนนลาดยางเบื้องหน้า เป็นรถยนต์ที่ออกมาจากไร่รุ่งอรุณี เมื่อเหลือบไปเห็นแล้ววิริยะอ้าปากเหวอยิ่งกว่าเห็นผี เป็นรถปิ๊กอัพยกสูงคันคุ้นตาแล่นออกมาด้วยความเร็วสูง ด้านหลังคือฝุ่นสีแดงขโมงโฉงเฉงราวเป็นจรวด กำลังลงเนินมาทางทิศนี้

“ฉิบหาย!” หน้าวิริยะเต็มไปด้วยเหงื่อ แม้จะพักได้ครู่ใหญ่แล้วก็ตาม เด็กหนุ่มรู้สึกถึงลางไม่ค่อยดีเมื่อเห็นรถของอดีตเจ้านายมุ่งตรงมาทางนี้ เขาไม่อยากเจอ ไม่อยากคุยอะไรกับเชษฐ์ไชยตอนนี้

“วิว!”

ดูเหมือนเชษฐ์ไชยจะเห็นเด็กหนุ่มแล้ว วิริยะขนลุกซู่เมื่อได้ยินเสียงตะโกนแต่ไกล

หรือว่าอีกฝ่ายจะนึกเปลี่ยนใจ เลิกยกหนี้แล้วกลับมาเอาเรื่องเด็กหนุ่มกัน แบบนี้มันไม่ค่อยแฟร์เท่าไรเลย คิดแล้ววิริยะลุกขึ้นยืนอยู่ไม่ติดที่ ยามมองรถคันไกลสุดสายตาแล่นเข้ามาใกล้ทุกที ในขณะนั้นเชษฐ์ไชยก็ตะโกนอะไรบางอย่างฟังไม่ได้ศัพท์อยู่ อาจจะเป็นคำต่อว่า หรืออะไรสักอย่างเหมือนก่อนหน้านี้ก็เป็นได้

“วิว!”

เชษฐ์ไชยเร่งความเร็วขึ้นไปอีกเมื่อเห็นวิริยะอยู่ที่ศาลาสุดเส้นทางของไร่ ใจเต้นตึกจนทำอะไรไม่ถูก จ้องร่างที่ตัวแข็งมองมายังเขาราวกับเห็นสัตว์ประหลาด เขาอยากจะปรับความเข้าใจและให้เด็กคนนี้มองเสียใหม่ กลับมาเป็นวิริยะคนเดิมอีกครั้ง ชายหนุ่มบังคับยานพาหนะคู่ใจไปจอดกึกอยู่หน้าศาลา แล้วเปิดประตูวิ่งฝ่าฝุ่นสีแดงที่พัดมาตามลมไปหาเด็กหนุ่มตรงนั้นเพื่อคุยด้วย

“วิว...” มือเชษฐ์ไชยปัดควันฝุ่นให้มันคลายออก มองหาเด็กหนุ่ม หากทว่าไร้ร่างไอ้ตัวดีที่ทำหน้าเหวออยู่ตรงนี้ เหลือบไปเห็นหลังไว ๆ ของวิริยะวิ่งอยู่บนถนน ร้องเรียกรถคันหนึ่ง ซึ่งคนถูกเรียกก็จอดรับวิริยะเสียด้วย

เชษฐ์ไชยส่ายหน้า รีบวิ่งขึ้นรถขับตามไอ้เด็กบ้านั่นอีกครั้งอย่างไม่ยอม

ขนาดมาตามแล้วยังหนี นี่ไม่คิดจะเจอเขาอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย!

“ไปเลยครับลุง ไปเลย!” วิริยะรีบบอกลุงคนขับผู้ใจดีไม่รู้เวลา หลังจากวิ่งขึ้นมานั่งบนเบาะข้างกัน ซึ่งสภาพรถของแกไม่น่าจะขับเร็วถึงเก้าสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยเขาก็หลุดรอดจากเงื้อมมือของอสูรร้ายมาได้แล้ว วิริยะคิดแล้วถอนใจอย่างโล่งอก

รถของคุณลุงขนลูกเจี๊ยบสีเหลืองอยู่เต็มกระบะ วิริยะมองสองข้างทางที่เต็มไปด้วยทุ่งนาพลางสูดลมเข้าเต็มปอด แม้เสียงเครื่องยนต์ของลุงแกจะดังกระหึ่มขัดความสุนทรีย์ไปบ้างก็ไม่เป็นไร เขาหลุดจากขุมนรกแล้ว หลุดจากไอ้หน้าหนวดเอาแต่ใจนั่นแล้วโว้ย!

ปิ๊นนนนนน!

วิริยะสะดุ้ง ชะโงกหน้าออกจากหน้าต่างรถออกไปด้านหลัง อ้าปากค้างเมื่อยังเห็นเงายมทูตตามมาไม่ยอมถอย เด็กหนุ่มรีบหันกลับมา เหงื่อแตกอีกครั้ง ร้องบอกคุณลุงลั่นรถ “ลุง! ขับเร็วกว่านี้หน่อยได้ไหมครับ”

“ทำไมล่ะไอ้หนุ่ม”

“ขอร้องละครับลุง ช่วยผมหน่อย มีคนโรคจิตกำลังตามผมมา นั่นไง” วิริยะชี้กระจกให้คุณลุงดูหลักฐาน เห็นรถปิ๊กอัพยกสูงของผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นโรคจิตตามมา แถมบีบแตรไล่พวกเขาอีกต่างหาก เห็นดังนั้นคุณลุงผู้ใจดีก็ยอมเพิ่มความเร็วให้ทั้งบ่นไปด้วย “เอ้อ คนสมัยนี้มันบ้าดีเดือดได้ขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย ไปทำอะไรให้เขาล่ะ”

“ผมเปล่า ผมต่างหากที่ถูกกดขี่ข่มเหงทางความรู้สึก ก็เลยหนีมา”

ปิ๊นนนนนนนน!

ยิ่งได้ยินเสียงแตรกดดันจากด้านหลัง วิริยะก็แทบเป็นบ้า ไม่รู้ว่าเชษฐ์ไชยต้องการอะไร ก็เขาออกมาจากที่นั่นแล้วไง ต้องการอะไรอีก เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วมองกระจกหลัง เห็นอีกฝ่ายที่ไล่ตามนั้น เพิ่มความเร็วจนสามารถข้ามเลนมาตีขนาบข้างได้ เมื่อเห็นดังนั้นวิริยะหน้าเหวอ ยามเชษฐ์ไชยเปิดกระจกแล้วบีบแตร ตะโกนออกมาว่า “จอดรถ!”

“เฮ้ย ชักไม่ชอบมาพากลแล้วไอ้หนุ่ม นั่นมันนายเชษฐ์ไร่รุ่งอรุณีนี่หว่า” คุณลุงเหลือบมองคนหัวร้อนที่บังคับรถอยู่ข้างกัน ดีหน่อยที่เป็นบ้านนอก รถราไม่เยอะเหมือนในเมือง

“ไม่ต้องจอดนะลุง ผมขอร้อง”

“วิว บอกให้เขาจอดรถ!” คนหน้าดุบังคับเสียงดัง ทุกอย่างแลดูโกลาหล ไหนจะเสียงลม ไหนจะเสียงไอ้หนวดบีบแตรรถไล่บี้ ไหนจะเสียงเครื่องยนต์ราวเครื่องบินของคุณลุง ทุกอย่างผสมกันวินาทีนั้นทำเอาวิริยะปวดหัว

เด็กหนุ่มส่ายหน้า ยกมือกุมหูไม่รับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว คนขับรถอีกฝั่งก็ขบฟันจนกรามปูด หันมาหาเด็กหนุ่มท่ามกลางรถที่ยังแล่นขนาบข้างกันอยู่ “ถ้าไม่ยอมจอดฉันแจ้งตำรวจแน่ ลุง! อยากโดนข้อหาช่วยโจรหนีเหรอ จอดรถเดี๋ยวนี้เลย!”

ได้ยิน วิริยะหน้าเหวอเมื่อเชษฐ์ไชยเปลี่ยนเป้าหมาย เด็กหนุ่มรีบส่ายหน้าบอกคนขับข้างกาย

“ไม่จริงนะลุง ผมไม่ได้ขโมยอะไรทั้งนั้น”

“ละ ลุงว่าจอดรถคุยกันไหม” คุณลุงเริ่มงุนงง หันมาถามวิริยะ

“ไม่ได้ ผมไม่อยากคุยอะไรทั้งนั้น มันจบแล้วอาเชษฐ์ จบแล้ว!” เด็กหนุ่มหันไปหาเชษฐ์ไชยอีกฝั่ง ซึ่งเมื่อได้ยินแล้ว แทนที่จะเป็นฝ่ายยอมล่าถอย คนตัวใหญ่ทำหน้าดุเคร่งเครียด แล้วกดแตรบีบดังลั่นถนน กดดันทั้งลุงผู้ขนลูกเจี๊ยบและวิริยะทางนี้จนสะดุ้ง

“ลุง! ถ้าช่วยโจรหนีฉันเล่นงานลุงแน่!”

“เฮ้ย เอาไงดี นั่นนายเชษฐ์นะไอ้หนุ่ม” แกหันมาทำตาเหลือกใส่วิริยะ

เด็กหนุ่มหันหน้าไปหาอดีตเจ้านาย ไม่รู้ว่าเชษฐ์ไชยคิดอะไรอยู่ ยิ่งเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย วิริยะยิ่งคิดว่าไม่ควรให้คุณลุงจอดรถ เขาอาจถูกเชษฐ์ไชยบี้เละคากรงเล็บคม ๆ นั้น แค่ได้มองตาดุยามร้องออกคำสั่งให้หยุดตอนนี้ขนก็ลุกเกรียวกราวแล้ว ในขณะที่ขบคิดอย่างร้อนรนในใจ วิริยะเหลือบไปมองทางข้างหน้า ตาเบิกกว้างขึ้นไปอีกระดับพร้อมกับใจที่ร่วงลงไปอยู่ตาตุ่ม

“อาเชษฐ์ รถมา!”

วิริยะรีบหันไปบอกคนที่เอาแต่ใจ

“อ๊ากกกกก!”

ไม่รู้เสียงใครต่อใครบ้าง วิริยะร้องจนตาเหลือกผสานเสียงพร้อมกับคุณลุง เมื่อเห็นรถบรรทุกคันใหญ่แล่นสวนมาข้างหน้า ทั้งสองคันที่ขับขนาบข้างไม่ยอมกันนั้น แยกไปคนละทางด้วยความเร็ว เพื่อให้ไอ้รถคันใหญ่ตรงหน้าผ่านพ้นไป

เด็กหนุ่มร้องลั่นไม่กลัวเจ็บคอ เกาะรถแน่น เมื่อมันพาไถลลงข้างทาง ข้างหน้าเป็นทุ่งนาเขียวชอุ่ม ความเร็วของรถที่แล่นมาเมื่อตกร่องน้ำแล้วทำให้พลิกข้าง ทว่าพาพวกเขาวิ่งฝ่าเข้าไปในทุ่งนาที่เต็มไปด้วยโคลนถึงได้ช่วยหยุดความเร็วของรถได้ ยังดีที่มันกลับมาตั้งอย่างปกติได้

เมื่อรถหยุดนิ่ง วิริยะกุมจับตัวเองตรวจตราว่าเจ็บหรือส่วนไหนหักพังบ้าง สรุปว่าทุกอย่างปกติ เขายังไม่ตาย เมื่อได้สติแล้วเด็กหนุ่มนึกถึงอีกคนที่อยู่อีกฝั่งของถนน ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร

“ลุง เดี๋ยวผมมานะครับ!”

เด็กหนุ่มเปิดประตูวิ่งลุยโคลนออกไป ข้ามถนนไปยังอีกฝั่งที่ต่ำกว่าบริเวณจอดรถของพวกเขามาก ใจหาย เมื่อเห็นรถปิ๊กอัพยกสูงของเชษฐ์ไชยหงายท้องแน่นิ่ง อยู่กลางทุ่งนาสีเขียว ลำขาวิริยะก้าวออกไปหาอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว “อาเชษฐ์ อาเชษฐ์!”

ยังไม่ทันได้ถึงดี เด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงตอบรับ

“วิว ไม่เป็นอะไรใช่ไหม วิว!” ใจเด็กหนุ่มชื้นขึ้นมารู้ว่าเชษฐ์ไชยไม่ได้เป็นอะไร ทว่ายังไม่สามารถขยับออกจากรถเพราะเข็มขัดนิรภัยรัดตัวอยู่ เด็กหนุ่มทรุดอยู่ข้างหน้าต่าง เห็นคนตัวใหญ่ห้อยหัวโตงเตงลงพื้น พยายามแกะเข็มขัดให้หลุดหากทว่าไม่สามารถทำได้ เด็กหนุ่มวิ่งไปอีกฝั่ง มือไม้สั่น ช่วยอีกแรงจนร่างใหญ่ร่วงลงมาได้

“ทำไมทำแบบนี้ ถ้าหลบไม่พ้นจะทำยังไง!” วิริยะร้องใส่คนตรงหน้า ตัวสั่นเพราะนึกกลัว

เด็กหนุ่มยังจำความรู้สึกเมื่อนึกถึงเชษฐ์ไชยเมื่อครู่ได้ เขาเจ็บปวด เมื่อคิดขึ้นว่าจะสูญเสียไอ้บ้าตรงหน้าไป

ครั้นเชษฐ์ไชยตั้งสติได้ก็ดึงวิริยะเข้ากอด กอดแน่น รับฟังเสียงต่อว่าของวิริยะด้วยตัวที่สั่นเทาไม่ต่างคนในอกเท่าไรนัก เหตุการณ์กะทันหันเมื่อครู่ทำให้เชษฐ์ไชยฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้หลายอย่าง เขาไม่ควรตัดโอกาสของตัวเองเมื่อยังไม่ได้ลองทำ หากเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกับวิริยะ ชายหนุ่มจะโทษตัวเอง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นความผิดเขาทั้งหมด

เมื่อรถพลิกคว่ำ เชษฐ์ไชยนึกถึงวิริยะเป็นสิ่งแรก อยากจะรีบออกไปช่วย แต่ตัวเองยังจะเอาไม่รอด ชายหนุ่มคิดด้วยดวงใจที่สั่นหวิวขณะพยายามแกะเข็มขัดนิรภัยให้ตัวเอง และเมื่อได้รู้ว่าวิริยะปลอดภัย เชษฐ์ไชยก็รู้สึกเหมือนเกิดใหม่ และให้คำสัตย์กับตัวเองว่าจะไม่ทำอะไรตรงกันข้ามกับใจอีกต่อไปแล้ว...

“อาเชษฐ์ไม่ได้เจ็บตรงไหนใช่ไหม”

คนโกรธถามฝ่าความเงียบ ในขณะที่เริ่มรู้สึกแปลกเมื่อถูกกอด

เชษฐ์ไชยส่ายหน้า “ไม่ ไม่ได้เจ็บ”

วิริยะผละตัวออก เบนสายตาไปมองที่อื่นเมื่อคนตรงหน้ายังไม่ผละสายตาไปไหน กล่าวกับเขาว่า “เมื่อเช้าฉันโกรธก็เลยพูดแรงไป ถ้านั่นทำให้เธอเสียใจ ฉันก็...ขอโทษ เธอจะกลับไปทำงานที่ไร่ต่ออีกก็ได้ ฉันไม่ว่าอะไรแล้ว”

คนฟังถอนใจ “ได้ไง ผมไม่กลับไปแล้ว อีกหน่อยอาเชษฐ์ก็คืนดีกับเมีย เดี๋ยวก็มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นอีก กลับบ้านตั้งแต่ตอนนี้ยังดีกว่า” วิริยะยู่หน้า โคลงศีรษะปฏิเสธคำของคนตรงหน้าอย่างตรงไปตรงมา เมื่อได้ยิน เชษฐ์ไชยเลิกคิ้ว รีบแก้เรื่องที่ถูกเข้าใจผิด

“ใครบอกว่าฉันจะคืนดีกับเมีย ฉันไม่มีทางคืนดีกับรตรีอีกแน่นอน”

วิริยะนิ่ง มองคนทำตาโตจริงจังตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ ถ้าไม่ได้คิดจะคืนดีกันจริง ทำไมถึงได้ทำสีหน้ามีพิรุธ ลุกลี้ลุกลนอยากให้เขาเชื่อกันนัก เด็กหนุ่มหลุบมองที่มือตนเอง ลืมไปสนิทว่ากำลังถูกคนตรงหน้ากุมจับอยู่ วิริยะย่นคิ้ว สบตาคนอายุมากกว่าเบื้องหน้าอยู่พักหนึ่ง

“ถ้ามีอีก คราวหน้าผมกลับจริง ๆ”

“เฮ้ย! อย่าเพิ่งคุยอะไรกันเลยไอ้หนุ่ม มาช่วยลุงจับลูกเจี๊ยบก่อน ตายแน่ เจ้านายเล่นงานฉันเละแน่เลยคราวนี้!”

วิริยะหันไปตามเสียงอีกฝั่ง นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อครู่รถยนต์ของคุณลุงเทกระจาดทั้งคัน นึกถึงสภาพตัวเองร้องตาเหลือกโหวกเหวกประสานเสียงกับลุงเมื่อครู่แล้วนึกขัน เด็กหนุ่มหันกลับมาเห็นหน้าเชษฐ์ไชย ผุดรอยยิ้มขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เมื่อเห็นว่าทุกคนรอดกันหมด ทั้งที่ผ่านเรื่องราวบ้า ๆ ด้วยกันมาอย่างฉิวเฉียด

“ไปช่วยผมจับเลย ความผิดอาเชษฐ์นั่นแหละ”

 วิริยะทำเป็นตีหน้าตึงชี้นิ้วไปอีกฝั่งเป็นการสั่ง เห็นเชษฐ์ไชยส่ายหัวเซ็งหลังได้ฟัง แต่อีกฝ่ายก็เอื้อมมาจับมือ พาเขาคลานออกจากรถไปโดยไม่มีคำปฏิเสธใดอีก ทำแบบนี้ ไม่บอกวิริยะก็รู้ว่าเจ้าตัวอยากให้เขาอยู่ต่อขนาดไหน เห็นแล้วคนโกรธก็ลดทอนความรู้สึกลงไปได้นิดหน่อย

แต่ก็ยังโกรธ

ครั้นได้เห็นอสูรตัวใหญ่ยักษ์วุ่นวายกับการวิ่งไล่ตะครุบจับลูกเจี๊ยบราวร้อยตัวเบื้องหน้า จากหล่อ ๆ ตอนนี้เปื้อนไปด้วยโคลนตม สภาพไม่เหลือเค้านายใหญ่แห่งไร่รุงอรุณีเลย หากมีคนงานมาเห็น คงมีคนหัวเราะกันเหมือนเขาตอนนี้ ประกอบด้วยคำบ่นแล้วบ่นอีกของอีกฝ่าย ได้เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของวิริยะได้เป็นอย่างดี

เมื่อได้เห็นเชษฐ์ไชยทุ่มเทขนาดนี้ จะยอมหายโกรธให้ก็ได้

คิดแล้ววิริยะก็ส่ายหน้า ผุดรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง


--๑๐๐--


----------------------------------------------------------------

เป็นการตามง้อที่ค่อนข้าง...ฮาร์ดคอร์เหลือเกิน ฮ่าๆๆๆๆๆ

หลังจากเข้าใจกันแล้ว สถานการณ์ก็จะกลับมาเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีชะนีมาเป็นก้าง แต่หลังจากนี้ ความสามีจะเริ่มออกนอกหน้าขึ้นมาอีกระดับ การหึง การหวง การเรียกร้องความสนใจ มาหมดไม่เกรงใจคนในไร่แล้ว อิอิ ซึ่งน้องวิวก็เริมฉุกคิดขึ้นมาได้ทีละนิดแล้ว ว่าสรุป ตัวเองได้ชอบอาเชษฐ์ไหม

มาคอยเชียร์ความรักอุตลุดของอสูรปากแข็ง กับเจ้าหญิงซื่อบื้อกันต่อนะคะ หลังจากนี้น้องวิวจะได้เป็นเจ้าหญิงของเจ้าชายอสูรเต็มตัวแล้วค่าาาา

ชอบไหมเอ่ย อย่าลืมแบ่งเพื่อนคนอื่นอ่าน

ที่สำคัญ ทิ้งคอมเม้นให้หนูนาอ่านด้วยนะคะ จะตั้งใจอ่านเลยค่าาา

หัวข้อ: Re: **{30.3.61-ตอนที่ ๑๔--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 30-03-2018 00:46:31
กว่าจะคิดได้นะอาเชษฐ์
เล่นเอาเกือบตายกันหมด 5555
สมน้ำหน้าไล่จับลูกเจี๊ยบให้ลุงแกไปเลย
 :laugh:
หัวข้อ: Re: **{30.3.61-ตอนที่ ๑๔--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 30-03-2018 01:01:34
นายหัว จะทำเรื่องงี่เง่าให้มันมากเรื่องทำไม ถ้าไม่ทำเรื่องงี่เง่า ก็คงไม่ต้องมาไล่จับลูกเจี้ยบให้มันเหนื่อยแบบนี้หรอก :hao3:
หัวข้อ: Re: **{30.3.61-ตอนที่ ๑๔--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 30-03-2018 01:05:31
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **{30.3.61-ตอนที่ ๑๔--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 30-03-2018 07:56:34
คุณเชษฐ์ต้องตั้งสติดีๆนะคะ เฮัออออ
หัวข้อ: Re: **{30.3.61-ตอนที่ ๑๔--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: T_TARS ที่ 30-03-2018 08:22:25
ดีนะพี่ดำคอยเตือนสตินายเชษฐ์เรื่องน้องวิว
หัวข้อ: Re: **{30.3.61-ตอนที่ ๑๔--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 30-03-2018 08:53:24
ขอใช้ชื่อตอนนี้ว่า "ลูกเจี๊ยบสื่อรัก" อิอิอิ
แหม..นายเชษฐ์ คิดว่าวิวไม่ทำจริงละสิ
เกือบไม่เจอตัวแล้วละ เกือบเสียเวลาไปง้อถึงเมืองกรุงแล้ว
ดีที่ตั้งตัวทันนะ นี่แหละความดีของพี่ดำล้วนๆ เลยละ
จะไงละ ก็เราเป็น fc ของดำนี่นา
 :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: **{30.3.61-ตอนที่ ๑๔--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 30-03-2018 11:50:08
อันนี้คือคุณเชษฐ์จะเลิกปากแข็งแล้วก็จะชัดเจนสักทีแล้วใช่ไหมคะเนี่ย? ฮาาา
หัวข้อ: Re: **{30.3.61-ตอนที่ ๑๔--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 31-03-2018 15:22:20
 :เฮ้อ: กว่าพี่ท่านจะคิดได้  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: **{30.3.61-ตอนที่ ๑๔--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 31-03-2018 21:54:46
 :katai2-1:รอตอนจ่อไปคร่า
หัวข้อ: Re: **{30.3.61-ตอนที่ ๑๔--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 31-03-2018 22:40:57
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **{1.4.61-ตอนที่ ๑๕--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 01-04-2018 21:43:56

ตอนที่ ๑๕

เมื่อวาน เชษฐ์ไชยไปตามล่าโจรตัวเล็กที่วิ่งขึ้นรถขนลูกเจี๊ยบ จริง ๆ แล้วชายหนุ่มได้รับบาดเจ็บบริเวณข้อมือมาเล็กน้อย แต่ช่วงวินาทีชีวิตตอนนั้นเขาไม่ได้ห่วงตัวเอง นึกแต่ว่าวิริยะจะเป็นอย่างไร ก็เลยไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรมาก กระทั่งช่วงวิ่งจับลูกไก่เสร็จและสะสางปัญหาทั้งหมดนั่นแหละ ชายหนุ่มจึงรู้ตัวว่าข้อมือของตัวเองพลิก

กว่าจะจบเรื่องก็เย็น ชายหนุ่มตัดสินใจขอรับซื้อลูกเจี๊ยบพวกนั้นมาลงที่ไร่เสียเอง บอกกับเจ้านายลุงผู้เคราะห์ร้ายว่าทั้งหมดเป็นความผิดของพวกเขา ไม่เกี่ยวกับลูกน้องคนนี้ กว่าจะกู้รถขึ้นมาได้ ไอ้แสบทั้งเจ็ดเมื่อตามมาเห็น ต่างก็ทำหน้าเหวอ รีบสอบถามกันยกใหญ่ว่าทำไมถึงได้ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นได้ ท้ายที่สุดก็รุมขอของดี ถามว่าห้อยพระอะไรถึงได้หนังเหนียวขนาดนี้

เชษฐ์ไชยไปหาหมอ ได้เฝือกอ่อนมาพันข้อมือเท่านั้น อีกไม่นานก็คงหายเหมือนเดิม อันที่จริงชายหนุ่มไม่ได้เจ็บมากมายนัก แต่กันไว้ดีกว่าแก้ เผื่อว่ามันจะเป็นเรื้อรัง แบบนั้นเชษฐ์ไชยไม่ค่อยชอบเพราะจะส่งผลไปถึงเรื่องงาน

วันนี้ชายหนุ่มไม่ได้ออกไปที่ไร่ตั้งแต่รุ่งเช้าเหมือนทุกวัน สภาพมือเช่นนี้คงจะไปหยิบจับอะไรไม่ได้นัก เชษฐ์ไชยจึงคิดแค่ว่าจะไปเดินตรวจตราดูความเรียบร้อย คุมงาน และหาอะไรเพลิน ๆ ทำสักอย่างสองอย่าง ขณะที่ร่างใหญ่กำลังนั่งดื่มกาแฟ ดื่มด่ำกับภาพวิวไร่สุดลูกหูลูกตาใต้การดูแลของตัวเองอยู่นั้น เชษฐ์ไชยเลิกคิ้วอย่างนึกฉงน เมื่อมีอ้อมกอดของใครสักคนมอบให้จากด้านหลัง

ไอ้เด็กแสบหรือ...

อยากจะคิดว่าเป็นคนที่ต้องการให้ทำอยู่หรอก แต่คนที่อยากให้ทำ คงไม่เข้าหาเขาแบบนี้แน่

“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงนายใหญ่แห่งไร่ราบเรียบ ไม่ยินดีที่ถูกทักทายเช่นนี้

“ทำไมคะ เมียกอดแค่นี้ ทำเป็นเขินไปได้...”

สุ้มเสียงหวานดังอยู่ใกล้ใบหน้าเชษฐ์ไชย ก่อนเจ้าของจะแนบริมฝีปากจูบลงบนขมับสะอ้านของเขา อย่างไม่อายป้าคนสวนที่กำลังจัดแต่งแปลงดอกกุหลาบงามบริเวณใกล้กัน ชายหนุ่มวางแก้วกาแฟลงเสียงดัง หันไปหาคนหน้าหนาข้างหลัง “หยุดทำอะไรบ้า ๆ สักทีรตรี เมื่อไรจะกลับไปที่ของเธอฮะ”

“รตรีไม่กลับไปหรอกค่ะ รตรีคิดได้แล้ว ว่าใครรักรตรีที่สุดในโลก”

เธอทำหน้าหวาน ไม่สะทกสะท้าน

ชายหนุ่มถอนใจเฮือกใหญ่ “ฉันก็แค่เคยรัก”

“ไม่จริงหรอก รตรีรู้ว่าพี่เชษฐ์ยังรักรตรีอยู่”

“เธอยังคงคิดว่าฉันโง่อยู่อีกงั้นซี” เชษฐ์ไชยมุ่นคิ้ว

“ไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย รตรีแค่เห็นว่าพี่เชษฐ์ยังไม่เปลี่ยนไปก็เท่านั้นเอง ในเมื่อพี่เชษฐ์ยังรักรตรีอยู่ก็ไม่เห็นต้องทำใจแข็งเลยนี่คะ ให้อภัยเมียที่หลงผิดสักครั้งได้ไหมเอ่ย” หล่อนทำเสียงออดอ้อน หากทว่าเชษฐ์ไชยเพียงกระตุกยิ้มอย่างระอาเมื่อได้ฟัง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงหลงดีใจที่รตรีมาวิงวอนขอความรักเช่นนี้ แต่คราวนี้ชายหนุ่มหลุดพ้นจากบ่วงบ้า ๆ นั่นมาแล้ว

ที่เห็นนี่ก็แค่มารยาเท่านั้น รตรีไม่เคยรักเขาที่เป็นเขาเลยสักครั้ง

ชายหนุ่มลุกยืน จ้องตาหญิงสาวเบื้องหน้าเรียบนิ่งย้อนถามเธอไปว่า “ถามหน่อยเถอะ อะไรที่ทำให้เธอคิดว่าฉันอยากกลับไปคืนดีกับเธอนัก รตรี”

หล่อนคลี่ยิ้มเมื่อได้ฟังราวเป็นผู้เหนือกว่า ก็อาจใช่ เมื่อก่อนเชษฐ์ไชยเป็นเสือ แต่ก็เป็นเสือที่อยู่ภายใต้สวนสัตว์และผู้คุม รตรีควบคุมเขาทุกสิ่งอย่างไม่เว้นแม้กระทั่งจิตใจ ชายหนุ่มยอมรับว่าอย่างเขา การหาเมียรูปร่างหน้าตาสมบูรณ์แบบอย่างรตรีเป็นเรื่องไม่ง่าย เขาหลงความสวยความงามของเธอจนโงหัวไม่ขึ้น รักมาก รักจนยอมทำตามใจทุกอย่าง ทำอย่างนี้จนชีวิตคู่ยาวนานมาถึงสองปี

ตั้งแต่เธอท้อง เชษฐ์ไชยก็มุ่งมั่นทำงานไม่มีเวลาให้ ไม่ได้แตะต้องเมียตัวเองแม้แต่ปลายเล็บเพราะเธอบ่นว่าไม่ชอบ รังเกียจเขาว่าสกปรก ทะเลาะกันบ่อยขึ้น เชษฐ์ไชยเป็นพวกอารมณ์ร้อนแต่ก็ต้องยอม เธอเห็นว่าเขามักทำลายข้าวของระบายอารมณ์ จึงบอกว่ารับเชษฐ์ไชยไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ไม่กี่วัน ก็หอบผ้าหอบผ่อนตามหัวหน้าคนงานไปโดยไม่เอ่ยลาสักคำ

เชษฐ์ไชยโกรธ ด้วยความเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น เขาประกาศกร้าวว่าหากใครให้การช่วยเหลือเธอกับชู้ เท่ากับว่ายอมเป็นศัตรูกับนายเชษฐ์แห่งไร่อรุณี ซึ่งก็ไม่มีใครยินดีต้อนรับทั้งสอง นอกจากฝ่ายครอบครัวของรตรีเอง หล่อนเป็นลูกสาวของนายกำชัย นายใหญ่แห่งไร่ผาตะวัน ที่ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงซบเซาเพราะการถูกกดดันทางอ้อมของชายหนุ่ม แต่ก็เป็นผลกระทบจากฝีมือลูกสาวที่ทำไว้ด้วยเช่นกัน ผู้คนในสังคมแถวนั้นต่างตราหน้าว่าเธอเป็นผู้หญิงแย่

ดูเหมือนเธอจะไม่สะทกสะท้านต่อคำครหานัก เชษฐ์ไชยเคยรู้สึกผิดที่ทำให้เธอถูกนินทาว่าร้าย แต่เมื่อได้เห็นกับตาว่ารตรีอยู่ดี ชายหนุ่มก็เก็บความรู้สึกทั้งหมดกลับมา

หล่อนกระตุกยิ้ม จ้องตาเชษฐ์ไชยกล่าวตอบ “เพราะอะไรที่ทำให้รตรีคิดว่าพี่เชษฐ์ยังไม่ลืมรตรี” เธอทวนคำถาม แวบหนึ่งดูเหมือนกำลังหัวเราะเยาะด้วย “ก็ดูพี่ตอนนี้สิ ผ่านมาตั้งกี่ปีแล้ว ยังเหมือนเดิมอยู่อีก ไม่ยอมก้าวไปไหนสักที”

เชษฐ์ไชยขบฟัน รู้สึกไม่ชอบเอาเสียเลย

รตรียังคงยิ้มหวาน กล่าวต่ออีก “ดูพี่สิ รตรีจากมายังไง พี่เชษฐ์ก็ไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลย แล้วไหนจะของบ้า ๆ พวกนี้อีก ไม่อยากจะเชื่อ ทุกอย่างเหมือนเดิม อย่างกับเพิ่งผ่านมาแค่เมื่อวาน” คนกล่าวมองรอบกาย “รตรีเชื่อแล้วค่ะ ว่าพี่เชษฐ์รักรตรี รอรตรีได้จริง ๆ เพราะอย่างนั้นรตรีถึงได้กลับมายังไงเล่าคะ”

คนฟังส่ายหน้าอย่างสุดทน หากทว่าพยายามอย่างที่สุดเพื่อปรับสีหน้ามิให้ร้าย

“แน่ใจนะว่าฉันไม่ได้เปลี่ยนไป”

คนฟังคนทำประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงเย็นเยียบของเชษฐ์ไชย “อะไรนะคะ”

คนตัวใหญ่ยักษ์เบื้องหน้าจ้องตารตรีเขม็ง

“อยากพิสูจน์ไหม ว่าฉันยังรักเธอรึเปล่า”

เมื่อเห็นสายตาดุราวเสือของคนถาม หญิงสาวผู้มั่นใจเมื่อครู่เริ่มเปลี่ยนสีหน้าไป เธอนิ่งอึ้ง พูดไม่ออกไปพักหนึ่งเพราะเดาใจเชษฐ์ไชยไม่ได้ กลัวว่าหากทำอะไรผิดพลาดไป อาจแหลกคามือตีนของอีกฝ่ายอย่างข้าวของเครื่องใช้ที่ถูกทำลายเมื่อก่อน

“ยะ ยังไงกันคะ” เธอย้อน

เมื่อได้ยินดังนั้น เชษฐ์ไชยก็ไม่เก็บอารมณ์ของตัวเองอีกต่อไป ชายหนุ่มขบฟันแสดงความขึ้งโกรธที่เคยถูกหยามศักดิ์ศรี อยากจะระบายความคับแค้นใจเสียเต็มประดา เดินไปหาคนสวนที่กำลังจัดแปลงอยู่ไม่ไกล หยิบที่อีโต้ที่ใช้ฟันต้นหญ้าติดมือแล้วเดินตรงกลับมาทางรตรีอย่างไม่หยุดคิด ทันทีที่เห็น หญิงสาวเบิกตาโต มองคนโกรธขึ้งที่เดินเข้ามาด้วยความกลัว

“อยากรู้เหรอ ว่าฉันยังรักเธอไหม...” เชษฐ์ไชยมือสั่น เดินตรงไปหาอดีตเมียตรงหน้า

หล่อนเบิกตา เมื่อเชษฐ์ไชยไม่ละฝีเท้าเลย กำอีโต้ในมือแน่นดิ่งมาหา

“พี่เชษฐ์ กรี๊ดดดดดด!!”

“แล้วหล่อนก็ถอยกรูดจนล้มก้นจำเบ้า ร้องแหกปากอยู่นั่น ส่วนนายเชษฐ์คนเก่งของฉันก็พุ่งไปฟันไอ้แปลงดอกกุหลาบที่หวงมาหลายปีเสียยับเยิน ฟันไปจนราบเป็นหน้ากอง ปากก็ร้องบอกคุณรตรีว่าฉันไม่มีทางคืนดีกับผู้หญิงอย่างเธอ แม่เอ๊ย! ฉันอยากให้พวกแกไปเห็นกับตาเหลือเกิน สะใจอีแก่อย่างฉันจริง ๆ คราวนี้เราก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่านายเชษฐ์จะเอาคุณนังรตรีกลับมาทำเมีย”

คุณป้าคนสวนเล่าด้วยเสียงดุเด็ดเผ็ดมันกับเพื่อนที่กำลังพักเที่ยง ซึ่งทุกคนก็นั่งเงียบตื่นเต้น ในขณะที่วิริยะเหลือบมองหน้าพี่สาวทั้งสามหลังได้ฟังเรื่องทั้งหมดอยู่ไกล ๆ ซึ่งไม่รู้ว่าจริงแท้แค่ไหน หรือคุณป้าอาจจะมีใส่ไข่ด้วยก็ได้ แม้ว่าเชษฐ์ไชยจะเป็นคนโผงผาง ป่าเถื่อน แต่ตานั่นจะทำแบบนี้กับอดีตเมียจริง ๆ น่ะหรือ

“นายเชษฐ์นี่ พอรักก็รักแรง แต่พอเกลียดนี่ก็แรงกว่าสิบเท่าเลยนะ” ส้มพูด

“ฉันว่าป้าโม้มั้ง”

“โม้บ้าอะไร เกิดลองโม้ดูสิ นายเชษฐ์เล่นงานแน่” ส้มถลึงตาใส่กุ้งที่แย้ง

คนถูกดุมุ่ยหน้า “แต่ฉันว่านายเชษฐ์ไม่มาทำอะไรหยุมหยิมพวกนี้หรอก เอาเวลาไปทำงานดีกว่ามาจับผิดคนนินทาตัวเองตั้งเยอะ แต่...มันก็ดีนะ เกิดข่าวลือนี้ขึ้นมา พวกเราจะได้วางใจว่านายเชษฐ์ไม่ได้ลงเอยกับแม่รตรีนั่นอีกรอบ”

“เออ ว่าแต่ ข่าวลือว่านายเชษฐ์จะมีเมียใหม่เร็ว ๆ นี้ล่ะ” ตาพูดขัดขึ้น

ได้ยินแล้วสาวทั้งสามก็ร้องขึ้นมา แล้วทำหน้าห่อเหี่ยวใจ “วางใจไม่ได้เหมือนเดิมแหละ เพราะเราไม่รู้ว่าเมียใหม่นายเชษฐ์เป็นแบบไหน เกิดหนักกว่าแม่รตรีทำไงเล่า”

วิริยะยกยิ้ม มองพี่สาวทั้งสามแล้วส่ายหน้า “หนักอกหนักใจขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ก็ต้องแน่อยู่แล้วแหละวิว นี่ส่งผลต่อเรื่องปากท้องของเราเลยนะ” ส้มบอก ได้ฟังเด็กหนุ่มก็เพียงยิ้มขันไปกับท่าทางเล่นใหญ่ของพี่ทั้งสาม คุยกันไม่นานก็ถึงเวลาทำงาน กลับไปที่ไร่เห็นเชษฐ์ไชยทำหน้าขึงขังราวปวดขี้รออยู่อย่างทุกที อันที่จริงตั้งแต่คนตัวใหญ่ไปตามเขาเมื่อวาน ก็เพิ่งจะได้เจอกันตอนนี้ ซึ่งเจ้าตัวก็กลับมาทำหน้าที่เดิม แม้ว่ามือจะยังสวมเฝือกไว้อยู่

วิริยะมีหน้าที่ใหม่ที่ต้องรับผิดชอบเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง ทุกเย็นเขาต้องไปให้อาหารลูกเจี๊ยบรุ่นใหม่ที่เชษฐ์ไชยซื้อมา เด็กหนุ่มยินดีที่จะทำเพราะเห็นว่าพวกมันน่ารัก และอยากช่วยเชษฐ์ไชยอีกแรงหนึ่ง เพราะเอาจริง ๆ ก็เป็นความผิดของเด็กหนุ่มด้วยเหมือนกัน

“อากาศฮ้อนแฮง มื้อนี่ไปอาบน้ำที่น้ำตกกันบ่” ดำร้องถามเพื่อน สภาพไม่น่าจะช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ก็เสนอหน้าตามวิริยะกลับมาที่ไร่ด้วย เพราะงานในโรงเพาะไม่ใช่ทางของเจ้าตัว ดำว่า

“ไป ๆ ๆ” วิริยะรีบบอกขณะยกเกลือแร่ดื่ม

“บอกแล้วไงว่าไม่ให้เล่นน้ำ” เชษฐ์ไชยใช้เสียงเบา คุยกันสองคนเท่านั้น

เด็กหนุ่มหันมองคนทรุดนั่งข้าง เดี๋ยวนี้ชักมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวบ่อยขึ้น “อะไรเล่าอาเชษฐ์”

“ก็สั่งไปแล้วไงว่าห้ามไปเล่นน้ำกับไอ้ลิงพวกนี้” คนตัวโตทำเสียงจริงจัง

“ไม่มีเหตุผลเลย ก็ผมอยากเล่นน้ำอะ”

คนฟังนิ่งไปราวกับกำลังขบคิด แต่เพียงครู่เดียวก็ผละมาสบตาวิริยะ

“ให้เล่นแค่เสาร์อาทิตย์พอ”

“อะไรนะ” วิริยะย้อน

ดูเหมือนจะออกตัวแรงเกินไปจนเด็กตรงหน้าตามไม่ทัน เชษฐ์ไชยนิ่ง คนอย่างเขามันไม่เข้ากับไอ้มุกหยอดคำหวาน ไม่เข้ากับไอ้นิสัยตื๊อเอาสิ่งที่อยากได้อย่างที่คนอื่นเขาทำกัน ชายหนุ่มคิดว่าหากพูดไม่ได้ ก็คงต้องกระทำไปจนกว่าเด็กนี่จะรู้ตัว แล้วจะเป็นอย่างไรค่อยตามน้ำไปอีกทีเมื่อถึงเวลา แต่อย่างน้อย ชายหนุ่มก็คิดไว้ว่าจะไม่เก็บงำความรู้สึกไว้นานหรอก แต่ขอเวลาตั้งหลัก แล้วเดินหน้าเต็มกำลังเพื่อเอาชนะใจวิริยะเสียให้ได้ก่อน

เห็นเขาเป็นพวกมั่นใจในตัวเองเช่นนี้ เชษฐ์ไชยกลัวตัวเองแห้วเหมือนกัน

คนอย่างวิริยะเดาใจได้เสียที่ไหน

คิดแล้วเชษฐ์ไชยก็ยกแขนที่เจ็บของตัวเองขึ้นมาลูบเพราะรู้สึกปวดหนึบ ๆ นั่นแหละถึงได้เรียกความสนใจของเด็กที่นั่งจ้อข้ามหัวไปหาพี่คนอื่นได้ ตากลมงุดลงมองที่มือของชายหนุ่มแวบหนึ่ง สอบถาม “อาเชษฐ์เจ็บเหรอ แล้วจะออกมาทำงานทำไม กลับบ้านไปได้แล้วไป”

“รู้สึกเหมือนระบมลามมาถึงแขนเลย ตอนนี้”

“ไหน!” วิริยะทำตาโต รีบขยับมาขอสำรวจตรวจตราอาการของเจ้านาย ถึงจะไม่เห็นความแตกต่างเท่าไรนัก เด็กหนุ่มก็เงยขึ้นมาบอกเขา “ต้องรีบไปให้หมอสแกนดูอีกทีว่ากระดูกร้าวหรือแตกรึเปล่า เดี๋ยวนี้มันมีผิดพลาดกันได้ ต้องไปตรวจใหม่นะอาเชษฐ์ แล้วนี่กินยาตามหมอสั่งรึยังครับ”

เมื่อถูกสอบปากคำ เชษฐ์ไชยก็เผลอหลุดยิ้มแวบหนึ่ง “ยังไม่ได้กิน”

“เอ้า ทำไมล่ะ ไม่กินแล้วจะหายได้ไง ไม่ใช่เด็กแล้วนะเว้ย” วิริยะเงยหน้ามาสบตาอย่างไม่เข้าใจ

“ก็ยังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เช้าเลย แขนก็เจ็บ โมโหก็โมโห เลยไม่กินแม่ง...” คนตอบยักไหล่เมื่อนึกถึงเรื่องตอนเช้า แล้วมองทอดออกไปเบื้องหน้าไม่สนว่าวิริยะจะทำหน้าระอาอย่างไร เด็กหนุ่มผลักให้คนนั่งข้างลุกขึ้นยืน บังคับให้ลุกไปที่โรงครัวแต่เดี๋ยวนี้ เกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมา ตัวระดับบิ๊กไซส์อย่างนี้ เชษฐ์ไชยไม่คิดหรือว่าจะลำบากคนหาม คงต้องหาหยูกยาทาแก้เคล็ดขัดยอกไปหลายวัน

“ถ้าไม่ติดว่าต้องทำงานเก็บเงิน ผมจะพาอาเชษฐ์ออกไปเดี๋ยวนี้เลย” วิริยะบอก

ทว่าคนตัวใหญ่กลับส่ายหน้า “ใครบอกว่าได้เงิน”

“ฮะ”

เมื่อเห็นวิริยะเหวอราวเจอผี เชษฐ์ไชยก็อธิบาย แม้ในใจกำลังหัวเราะตลกใบหน้าของเด็กหนุ่มอยู่ก็ตามที “ก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่ายอมทำงานแลกกับการใช้หนี้ จะไม่เอาค่าแรงก็ได้ ก็เริ่มมันตั้งแต่วันนี้เลยเป็นไง”

วิริยะอ้าปากค้าง “อาเชษฐ์!”

เด็กหนุ่มแหงนมองผู้ที่เหนือกว่าตรงหน้าด้วยใบหน้าบึ้ง นึกโกรธที่เชษฐ์ไชยเอาจริงกับลูกแถเล่น ๆ ของเขา คนอะไรความจำดีเหลือเกิน แล้วไง แล้วคนอย่างเขาก็ได้กลายเป็นลูกหนี้ของเชษฐ์ไชยโดยสมบูรณ์แบบแล้วน่ะซี เด็กหนุ่มย่นคิ้วทำหน้าโกรธ แสดงออกไปว่าตอนนี้เขาไม่ชอบเอาเสียเลย ไม่ชอบการทำงานแล้วไม่ได้เงิน มันไม่แฟร์

แต่เขาก็ไม่มีตังค์จ่ายเหมือนกัน

คิดแล้ววิริยะก็ถอนใจ ท่ามกลางสีหน้าอมยิ้มของตาหน้าดุที่กำลังมองให้วิริยะรู้ตัว รู้แล้วว่าชนะ ไม่ต้องล้อเลียนกันขนาดนี้ก็ได้

เมื่อได้รู้ถึงข้อเท็จจริงเรื่องใหม่แสนรันทด เด็กหนุ่มคิดว่าจะโดดงานตั้งแต่วันแรกเลย หากทว่าหันไปอีกฝั่งเห็นผู้หญิงผิวขาวสะอ้าน สวมกางเกงขาสั้นกางร่มเดินมาทางนี้ จุดมุ่งหมายคือมาหาเชษฐ์ไชยผู้เป็นเจ้านายของเขา จากที่คิดว่าจะอู้ไปหาอะไรให้เชษฐ์ไชยกิน ตอนนี้คนข้างกายคงมีเพื่อนไปด้วยแล้วกระมัง

“พี่เชษฐ์ พี่เชษฐ์อยู่นี่เอง รตรีก็เดินถามคนทั้งไร่”

ทุกคนหันไปมองเธอเป็นตาเดียว รวมถึงเชษฐ์ไชยด้วย

“ยังไม่กลับไปอีกรึไง”

หล่อนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า “รตรีไม่ยอม รตรีอยากได้ผัวของรตรีคืน”

สิ้นคำ วิริยะนิ่ง มองทั้งสองในระยะใกล้แล้วคิดว่าช่างเป็นคู่ที่ดูเหมาะสมกันดี เชษฐ์ไชยก็หล่อ คุณตรีนี่ก็สวย

“คนอยู่เยอะแยะ พูดอะไรของเธอกัน” เชษฐ์ไชยเหน็บ ยังไม่วายเหลือบมาหาวิริยะ เด็กหนุ่มงุดลงมองพื้นเมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เมื่อเห็นเหตุการณ์แบบนี้ทีไรก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอากาศธาตุไปทุกที กระทั่งเมื่อเห็นนัยน์ตาคมของเชษฐ์เหลือบมาสบนั่นแหละ เขาถึงได้รู้ว่าตัวเองนั้น ยังคงมีตัวตนอยู่

“ก็พูดให้คนอื่นรู้ไงคะ ว่ารตรีต้องการอะไร...”

หน้าวิริยะร้อนราวถูกลนไฟ เมื่อเห็นคนสวยเขยิบเข้าใกล้แนบชิดกับเชษฐ์ไชยตั้งใจจะออดอ้อนตามเคย ทั้งที่เป็นสิทธิ์ของเธอที่จะทำอะไรตามใจได้ หากทว่าภายในของวิริยะกลับเต้นเร่าไม่อาจยินยอมให้เป็นอย่างนั้น ในอกเด็กหนุ่มแทบจะระเบิดจนต้องทำอะไรสักอย่าง เพราะความรู้สึกหวงที่ผุดขึ้นมา “อาเชษฐ์!”

มารู้ตัวอีกที วิริยะก็หยุดยืนขวางระหว่างกลางของทั้งคู่เรียบร้อยแล้ว

“อะไร”

คนถูกขานชื่อเบิกตาราวกับตกใจ ที่จู่ ๆ วิริยะทำแบบนั้น

เด็กหนุ่มรู้สึกถึงความร้อนบนแก้ม ยามเงยหน้าขึ้นมองนัยน์ตาคมของคนตัวใหญ่กว่า

“ยังไม่ได้กินข้าวไม่ใช่เหรอครับ ไปสิ...”

เมื่อวิริยะพูดจบ ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ตอบหรือเอออออะไร เชษฐ์ไชยถูกมือเล็ก ๆ เอื้อมมาจับจูง นำพาเขาเดินแยกออกจากรตรีมาเสียดื้อ ๆ ชายหนุ่มไม่สนเสียงแหลมร้องตามหลังนั้น รู้เพียงว่าเจ็ดหนุ่มแสบกำลังพยายามต้อนไม่ยอมให้รตรีตามมา เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกโล่งใจ แล้วหันกลับมาเผชิญสิ่งใหม่ตรงหน้า ที่ทำให้ความรู้สึกของเขากำลังโผผินดีใจราวผีเสื้อเจอดอกไม้งาม

หรือวิริยะ กำลังหึง

แค่คิด ใจเชษฐ์ไชยก็พองโตขึ้นมาแล้ว...


--๕๐--


---------------------------------------------------------------

เอาละเหวย เอาละเหวย เริ่มอาการออกทั้งคู่แล้ว อิอิ

แล้วความสัมพันธ์ของทั้งสองจะเป็นไปในทิศทางไหนต่อ ช่วยกันเชียร์ด้วยนะคะ

อาเชษฐ์ยังต้องออกตัวอีกเยอะ เดี๋ยวจะมีช่วงเล่นน้ำสงกรานต์ ช่วงแอบไปสวีทกันที่น้ำตกสองต่อสอง(มีNC) แล้วก็ช่วงเปิดใจ ก่อนที่วิวจะกลับ อาเชษฐ์จะสารภาพรักมั้ย มีดราม่าท้ายเรื่องนิดหน่อยก่อนถึงบทสรุปนะคะ

เช่นเคย อย่าลืมทิ้งคอมเม้นไว้ให้หนูนาอ่านด้วยเด้ออออ แล้วจะตอบทุกความเห็นเลย

เจอกันตอนหน้าจ้า

หัวข้อ: Re: **{1.4.61-ตอนที่ ๑๕--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 01-04-2018 22:30:37
วิว ดีมากจ๊ะ ของๆ ใคร ก็ให้รู้ไปซะเลย
 :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: **{1.4.61-ตอนที่ ๑๕--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: T_TARS ที่ 01-04-2018 22:59:58
หนูวิวท่าทางจะรู้ตัวช้า
หัวข้อ: Re: **{1.4.61-ตอนที่ ๑๕--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 01-04-2018 23:14:47
สัมผัสได้ถึงความดีใจของอาเชษฐ์เลยนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: **{1.4.61-ตอนที่ ๑๕--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 01-04-2018 23:15:44
เยี่ยมมากเลยวิว o13
หัวข้อ: Re: **{1.4.61-ตอนที่ ๑๕--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 02-04-2018 00:51:21
ยัยรตรี ยังไม่เข็ดใช่ป่ะ
หน้าด้านจริง ใครจะไปรักเธอลง
วิวต้องแบบนี้ อย่าให้ยัยรตรีมาใกล้อาเชษฐ์นะ
 :laugh:
หัวข้อ: Re: **{1.4.61-ตอนที่ ๑๕--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-04-2018 01:19:05
สงสัยวิวจะลืมตัวไปชั่วขณะ ลืมบ่อย ๆ เลยลูก เอาให้ชะนีกระเด็นไปจากไร่เลย  :laugh:
หัวข้อ: Re: **{1.4.61-ตอนที่ ๑๕--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-04-2018 12:29:27
 :laugh:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: **{1.4.61-ตอนที่ ๑๕--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 03-04-2018 07:27:01
เอานังรตรีไปเก็บค่ะ!!
หัวข้อ: Re: **{3.4.61-ตอนที่ ๑๕--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 03-04-2018 22:15:18

(ต่อ)

“เดี๋ยวสิ ฉันไปเองได้ อย่ามาหาเรื่องอู้งานนะ”

คนด้านหน้าส่ายหัว “ไม่สนอะ ทำงานไม่ได้ตังค์”

“แล้วนี่อะไร ฉันไม่ได้ตาบอดนะ จูงมือทำไม”

เชษฐ์ไชยหลุบตามองที่มือของคนเดินนำหน้า แม้จะทำเป็นไว้ท่า บอกวิริยะเช่นนั้น แต่เชษฐ์ไชยไม่ได้รั้งแขนกลับให้เด็กหนุ่มหยุดอย่างที่พูด คิดขึ้นมาแล้วก็รู้สึกย้อนแย้งตัวเองแปลก ๆ ซึ่งเมื่อเห็นว่าวิริยะไม่สนว่าจะถูกติงหรือทักท้วงอะไร ดื้อดึงพาเขาเดินไปยังครัวตามที่บอก ชายหนุ่มทำได้เพียงเก็บกลั้นสีหน้าที่กำลังดีใจของตัวเอง รู้สึกว่าอาจมีหวัง

เมื่อไปถึง วิริยะทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาว ทำหน้ายุ่งแหงนมองเชษฐ์ไชย ราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนจะยอมพูดออกมาด้วยสีหน้าคล้ายกำลังไม่พอใจ “คราวหน้าถ้าถูกกวนแบบนี้อีก อาเชษฐ์บอกผมเลยนะ”

ชายหนุ่มนิ่งไปพักหนึ่ง “ฮะ” ย้อนด้วยความไม่เข้าใจ

“เอ้า ก็เมื่อกี้ไง ผมเห็นนะว่าอาเชษฐ์ไม่อยากอยู่ใกล้กับเมียเก่า”

“อ๋อ...ก็ใช่”

วิริยะแหงนขึ้นมาจ้องตาอีกครั้ง แล้วคลี่ยิ้ม “เดี๋ยวผมช่วยเอง ไม่ต้องห่วง”

“ทำไมต้องช่วย” ชายหนุ่มมองใบหน้าใสที่นั่งอยู่บนเก้าอี้

“เอ้า ก็เมื่อกี้อาเชษฐ์มองผม ส่งซิกขอความช่วยเหลือไม่ใช่เหรอ ผมก็พาหนีออกมาแล้วนี่ไง ไม่เห็นต้องถามเลย” วิริยะยักไหล่หน้าไม่รู้ไม่ชี้ แล้วนึกออก ลุกขึ้นไปอีกฝั่งเพื่อหาของพอทานได้ให้เชษฐ์ไชย เป็นเวลาเดียวกันที่คนนั่งอยู่มุมนี้เสียความรู้สึกจนพูดไม่ออก อุตส่าห์คิดว่าเด็กหนุ่มกำลังหึงหรืออะไรสักอย่าง ที่ไหนได้ดันทำไปเพราะอยากช่วยเขาเท่านั้นเอง คิดแล้วเชษฐ์ไชยก็ได้แต่ส่ายหน้า

มาลองไตร่ตรองอีกที มีเหตุผลไหนที่วิริยะจะชอบเขาบ้าง ยังไม่มีเลย เขามีแต่ร้าย พูดจาแย่ ๆ ใส่

“อาเชษฐ์ กินข้าวสิครับ”

เด็กหนุ่มทรุดตัวนั่งลงตรงกันข้าม เห็นคนอายุมากกว่านั่งซังกะตายราวจะเป็นลม จึงรีบวางจานชามอาหารไว้ตรงหน้าด้วยรอยยิ้มแห่งความตั้งใจ และหวังว่าเชษฐ์ไชยจะชอบ เมื่อเห็นคนตัวโตเอื้อมมือที่เจ็บมาหยิบช้อน วิริยะนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าควรช่วยหรือไม่ เกรงว่าจะดูแปลก หากเสนอหรือออกตัวมากเกินไป ท่าทางของเชษฐ์ก็เก้กังไม่ถนัดนัก กระทั่งนัยน์ตาคมผละจากจานข้าวตรงหน้า มามองเด็กหนุ่มราวต้องการขอความช่วยเหลือ วิริยะก็ผละไปมองที่อื่นแสร้งไม่เห็นไปเสียดื้อ ๆ

เด็กหนุ่มได้ยินเสียงถอนหายใจ ทว่าเชษฐ์ไชยไม่ได้เอ่ยปากขอความช่วยเหลืออะไร นอกจากใช้มืออีกข้างที่ไม่ถนัดหยิบจับแทน เห็นแล้ววิริยะก็โล่งและลำบากใจนิด ๆ กับการตัดสินใจทำอะไรแปลก ๆ ก่อนหน้านี้

“แล้วยาอาเชษฐ์ล่ะ”

“จะเดินกลับไปกินที่บ้าน”

ได้ยินวิริยะก็นิ่ง “เอ้า แล้วถ้ากลับไปเจอเมียเก่าอาเชษฐ์ที่นั่นล่ะ จะทำไง”

“ก็ไม่ทำไง” เชษฐ์ไชยยักไหล่

“ไหนอาเชษฐ์บอกว่าไม่ชอบให้เขาเกาะแกะไง”

เชษฐ์ไชยผละจากอาหารตรงหน้า มองตาวิริยะอยู่พักหนึ่ง

“ฉันทำอะไรไม่ได้ นอกจากรอให้รตรีไปเอง”

“เขาอาจอยู่ต่อจนกว่าอาเชษฐ์จะใจอ่อนเลยก็ได้”

“ไม่มีทาง” เชษฐ์ไชยตอบพลางตักของตรงหน้าทานอย่างตั้งใจ ในขณะวิริยะคิดตามในสิ่งที่คนอายุมากกว่าบอก ไอ้ไม่มีทางที่เชษฐ์ไชยว่าน่ะคืออะไร คือเชษฐ์ไชยไม่มีทางใจอ่อน หรือคุณรตรีอะไรนั่นจะไม่มีทางอยู่นานถึงขนาดนั้น วิริยะคิดด้วยความไม่เข้าใจ

เด็กหนุ่มย่นคิ้ว

“งั้น อาเชษฐ์จะอยู่บ้านร่วมกับเธอทั้งอย่างนั้นเหรอ ก็ไม่ต่างจากคืนดีกันเลยน่ะสิ”

คนฟังมองวิริยะ เห็นเด็กหนุ่มก้มหน้าก้มตาสนใจไม้กระดานเบื้องหน้ามากกว่าสบมองเขา สีหน้าก็บอกว่าเหมือนกำลังถูกขัดใจอยู่ เห็นเช่นนั้นเชษฐ์ไชยก็ถอนใจ ไม่อยากคิดเองเออเองเข้าข้างตัวเองเหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว เขาต้องกระตุ้นอะไรสักอย่างให้มันเป็นตามที่คิด ไม่ใช่มามัวน้อยใจอยู่อย่างนี้ “คราวหน้าไม่ต้องทำอย่างนี้แล้วนะ ฉันจัดการเองได้”

วิริยะรีบส่ายหน้า “ไม่ได้ อย่างอาเชษฐ์น่ะต้องมีไม้กันหมา ผมนี่แหละจะเป็นให้”

“ไม่ต้อง ฉันจะหาผู้หญิงดี ๆ เข้าบ้านสักคน เดี๋ยวรตรีก็หอบผ้าหอบผ่อนหนีอายออกไปเอง” ชายหนุ่มว่า แล้วผุดรอยยิ้ม เมื่อเห็นวิริยะเงยขึ้นมามองเขาอย่างไม่เชื่อหูทันทีที่กล่าวถึงผู้หญิงคนอื่น เด็กหนุ่มเหลือกตาโต ขยับมาใกล้กว่าเก่าสอบถามเขา “สรุป ข่าวที่ว่าอาเชษฐ์อยากหาเมียใหม่เป็นความจริงเหรอ”

เชษฐ์ไชยยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ก่อนจะตอบอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด

“ฉันไม่รู้ว่าเธอไปได้ยินอะไรมาบ้าง แต่ฉันก็ปรึกษาแม่ต้อยไว้หลายวันแล้วว่าอยากมีใครไว้คอยปรึกษา คอยคุยด้วย แล้วก็คอยดูแลฉันตอนกลับไปอยู่ที่บ้าน แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่รับตัวฉันได้” พูดยังไม่ทันจบดี ลมเรอก็ลอยเอิ้กออกจากปากเชษฐ์ไชย จนคนขยับเข้าใกล้ต้องหยีหน้า ปิดจมูกตัวเองร้องโวยวาย

“แหวะ! เมื่อไรจะเลิกทำตัวทุเรศใส่ผมเนี่ย” วิริยะสะบัดมืออีกข้างไล่ลมเหม็น ๆ ออกไป

“มันบังคับได้ที่ไหน ของธรรมชาติ”

เด็กหนุ่มย่นคิ้ว “ถ้าจะให้ผู้หญิงรับอาเชษฐ์แบบนี้ได้ก็คงยาก บอกไว้เลยว่าตอนนี้มีแต่ผมนี่แหละที่รับได้ ทั้งตดเอย ทั้งเรอเอย แล้วไหนจะไอ้นิสัยผ้าหลุดนั่นอีก เป็นใครก็หนีกระเจิงกันทั้งนั่นแหละ”

เห็นวิริยะบ่นแล้วแทนที่เชษฐ์ไชยจะรำคาญหรือเบื่อหน่าย ชายหนุ่มกลับยกยิ้ม เมื่อเรื่องที่เด็กหนุ่มบ่นนั้นทั้งน่าขันและน่ารักอยู่ในที นัยน์ตาคมเฉียบมองใบหน้าใสยู่ยับราวอารมณ์เสียนั่นแล้วกล่าว “ฉันจะไปทำอย่างนั้นกับเขาทำไมกันล่ะ ถ้าฉันอยากได้เขาทำเมีย”

“แต่ ก่อนที่อาเชษฐ์จะพาใครเข้าบ้านมา ต้องให้ผมช่วย”

“ไม่ต้องช่วยอะไรทั้งนั้น นี่เป็นเรื่องของฉัน มันไม่ใช่เรื่องของเธอ เธอไม่ได้เกี่ยวอะไรกับปัญหานี้เลย ไม่จำเป็นต้องลำบากมาช่วยฉันก็ได้”

“ผมรู้ แต่...” ดูเหมือนวิริยะอยากจะดื้อดึง หากทว่าเมื่อฉุกคิดตามในสิ่งที่เชษฐ์ไชยบอก ทำให้เด็กหนุ่มได้รู้ว่าตัวเองก้าวข้ามเส้นมาไกลเหลือเกิน อันที่จริงเด็กหนุ่มก็เป็นแค่คนอื่น เขาไม่ควรไปยุ่งเรื่องของเชษฐ์ไชยทั้งที่ไม่จำเป็น ไม่ควรไปเดือดเนื้อร้อนใจแทนเชษฐ์ไชยอย่างที่เจ้าตัวว่า

ฉิบหาย นี่เขาบ้ารึเปล่า

วิริยะหน้าชา พูดไม่ออก ลอบมองเชษฐ์ไชย ด้วยความอยากรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่เมื่อเห็นเขาทำตัวแบบนี้ ออกตัวถึงขนาดนี้ เชษฐ์ไชยคงไม่คิดว่าที่เขาทำไปเพราะกำลังหวงอยู่หรอกนะ ความจริงก็มีอยู่แวบหนึ่งผุดขึ้นมา ตอนเห็นเชษฐ์ไชยถูกเมียเก่าเกาะแข้งเกาะขา เลยเผลอทำอะไรตามใจ แต่เด็กหนุ่มก็แย้งตัวเองว่าเป็นเพราะเขาหวังดีจึงทำเช่นนั้น ไม่อยากให้เชษฐ์ไชยเจ็บปวดอีก

ตั้งแต่เมื่อครู่ วิริยะพยายามบอกตัวเองอยู่เสมอว่าไม่มีอะไรมากกว่านั้น

จนกระทั่งเชษฐ์ไชยบอกว่าอยากจะมีเมียใหม่ ความรู้สึกที่เกิดเพียงช่วงสั้น ๆ ก่อนหน้านี้ก็เริ่มรุนแรงมากขึ้น ความรู้สึกนี่คืออะไร วิริยะอธิบาย และให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้

หรือเขาจะชอบเชษฐ์ไชย

“ฉันให้คนงานไปซ่อมฝ้าที่ห้องเธอแล้วนะ” เชษฐ์ไชยบอก ฝ่าความเงียบที่กัดกินตั้งแต่วิริยะหยุดพูดไปเสียดื้อ ๆ เมื่อครู่ เด็กหนุ่มผละมาสบตา แล้วรีบส่ายหน้าบอกว่าไม่ชอบ “แล้วพี่เสือจะเข้ามาหาผมได้ไง ก็ไหนอาเชษฐ์อนุญาตให้มานอนกับผมแล้ว จะผิดคำพูดเหรอ”

“เปล่า เดี๋ยวจะพามันมาส่ง”

ได้ฟังคำอธิบายแล้ว วิริยะไม่ได้มีสีหน้าดีขึ้นมานัก ราวกับกำลังอารมณ์เสีย ซึ่งไม่รู้ว่างอนเรื่องไหน เห็นแล้วเชษฐ์ไชยเพียงแค่ลอบยิ้มเท่านั้น

เมื่อทานข้าวเสร็จเชษฐ์ไชยไล่วิริยะให้ไปทำงานที่ไร่อย่างเดิม ส่วนตัวเขา ยืนมองคนหน้างอเดินกลับไปเข้าในไร่จนลับสายตาอย่างเป็นห่วง แล้วจึงไปที่บ้าน ทานยาอย่างที่บอกวิริยะ แม้จะรู้สึกเสียดายที่เด็กหนุ่มไม่ได้หึงหวงอย่างที่คิด แต่เพียงแค่นึกแผนกระตุ้นความหวงของวิริยะขึ้นมา แล้วเห็นเด็กหนุ่มโวยวายหรือน้อยอกน้อยใจ แม้จะเป็นเพียงความคิดเท่านั้นก็รู้สึกจักจี้หัวใจแล้ว

เชษฐ์ไชยหลับไปในช่วงบ่าย ตื่นขึ้นมาก็ถึงเวลาเลิกงานพอดี ชายหนุ่มล้างหน้าล้างตาแล้วเดินลงไปด้านล่าง เห็นรตรีนั่งง่วนอยู่กับการทาเล็บเสริมสวย เมื่อได้ยินฝีเท้าของเขา หล่อนชายตาขึ้นมามองแล้วค้อนขวับราวกับว่ากำลังโกรธ เชษฐ์ไชยหาได้สนใจ ตอนนี้หล่อนเป็นเพียงอากาศธาตุไร้ความสลักสำคัญต่อเขา ชายหนุ่มเพียงเดินเลยลงไปที่ลานจอดรถ แล้วขับออกไปยังที่ไร่ เห็นคนงานกำลังกลับที่พักกันพอดี หากทว่าไม่ยักเห็นวิริยะกับกลุ่มบอยแบนด์ภูธร

เชษฐ์ไชยชะเง้อคอหา แล้วนึกขึ้นมาได้ว่าทั้งหมดอยู่ที่ไหน

ชายหนุ่มเดินกลับไปขึ้นรถ บึ่งลงเนินเขาไปที่น้ำตกทันที ซึ่งเมื่อไปถึงเขาก็เห็นรถจักรยานยนต์จอดเรียงอยู่หลายคัน และแต่ละคันเขาก็จำได้ว่าเป็นของใคร นึกแล้วก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมา เขาบอกกี่ทีแล้วว่าไม่ให้มาแก้ผ้าเล่นน้ำกับไอ้พวกลิงทโมนกลุ่มนี้ เหตุใดวิริยะไม่เคยเชื่อกันบ้างเลย

เชษฐ์ไชยเดินไต่ตามก้อนหินลงไปที่น้ำตก เห็นกลุ่มผู้ชายกลุ่มเดิมกำลังสนุกสนานกับการกระโดดเล่นน้ำ หากทว่าพวกมันเริ่มรู้ตัวแล้วว่าเขามา จากดื้อ ๆ ก็เริ่มสงบเงียบและอยู่นิ่งให้เชษฐ์ไชยกวาดสายตานับว่ามีกันกี่คน พวกมันมากันครบทั้งเจ็ด ซึ่งน่าแปลกที่ไร้ร่างของวิริยะอย่างที่คิด

“วิวไม่ได้มาด้วยเหรอ”

พวกมันมองหน้ากันพักหนึ่งอย่างงงงวย

“ไม่ได้มาครับนายเชษฐ์ มีอะไรรึเปล่า”

เชษฐ์ไชยชะงัก แล้วหันไปเจอะสายตาของไอ้ดำที่แหงนมองราวกับกำลังรู้ทันและล้อเลียนเขา ชายหนุ่มปรับสีหน้าพักหนึ่ง “ไม่บอกโว้ย!” ตอบพวกมันแล้วเดินกลับออกมาเสียเฉย ๆ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของลิงค่างพวกนั้น อยู่ดีไม่ว่าดี ดันเดินมาให้ไอ้ดำล้อเสียได้ แค่นี้ก็ขายขี้หน้ามันมากพอแล้ว

เมื่อขึ้นรถมาได้ เชษฐ์ไชยก็เพิ่งนึกออกว่าวิริยะอยู่ที่ไหน เขาให้เด็กนั่นไปเลี้ยงลูกไก่ทุกเย็นนี่

สรุปนี่เขาเป็นบ้าเป็นหลังไม่มีสติเพราะหึงเพราะหวงอยู่หรือ

คิดแล้วนายใหญ่ของไร่ก็ยกมือกุมใบหน้า หากจะคิดการใหญ่ ใจเขาต้องนิ่งกว่านี้ ต้องไม่เสียสติไปกับอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ เชษฐ์ไชยพร่ำบอกตัวเองอยู่ในใจ แล้วบังคับรถยนต์ของไร่ออกไปยังเล้าไก่ที่ว่า เมื่อไปถึง เห็นวิริยะกำลังหว่านหัวอาหารให้พวกมันอยู่ คงกำลังเสร็จพอดี และเพราะได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่แล่นไปจอดอยู่ใกล้ ทำให้เด็กหนุ่มหันมามองทิศนี้

เชษฐ์ไชยเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้า ขณะที่วิริยะเดินออกจากเล้า

“ยังไม่ได้กลับไปที่ห้องเหรอ” ชายหนุ่มถาม

“เรื่องของผม”

เชษฐ์ไชยชะงัก เด็กนี่ชักจะกวนตีนเกินไปแล้ว แต่วิริยะก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร เชษฐ์ไชยจึงปล่อยผ่าน ไม่ถือสาเด็กหนุ่ม กล่าวถึงเรื่องที่ต้องการพูดว่า “ช่วงวันหยุดสงกรานต์ ฉันให้คนงานหยุดห้าวัน เธอจะกลับไปหาครอบครัวที่บ้านไหม”

วิริยะย่นหน้า หลุบตามองพื้น “เรื่องของผม”

คนตัวโตกว่าเริ่มรู้ว่ามันไม่ชอบมาพากลแล้ว อย่าบอกนะว่าเขาถูกโกรธ “มันจะเรื่องของเธอได้ยังไงวิว ฉันเป็นเจ้านาย ฉันต้องรู้ว่าเธอจะไปไหน ไปทำห่าอะไร”

เด็กหนุ่มจิ๊ปากรำคาญ “งั้นอาเชษฐ์ต้องไล่ถามคนงานทุกคนเลยงั้นสิ ว่าวันหยุดจะไปที่ไหนอะไรยังไงบ้าง จะให้หยุดก็ให้ไปสิ ไม่เห็นต้องมาซักไซ้เลยว่าจะไปไหนหรือทำอะไร นั่นมันเรื่องของคนอื่น อาเชษฐ์ไม่ต้องยุ่ง”

“เอ๊ะ ฉันถามดี ๆ เธอก็ตอบกันดี ๆ สิ”

เด็กหนุ่มตรงหน้าถอนใจ เชยตาขึ้นมาสบเขา

“เรื่อง ของ ผม...”

พูดจบก็เดินหนีไปเสียเฉย ๆ ปล่อยให้เชษฐ์ไชยยืนหน้าดำหน้าเขียวที่ถูกทิ้งอยู่ตรงนี้ แต่พอมาคิดอีกที เขานึกได้ว่าที่ทำแบบนี้ เพราะวิริยะต้องการเอาคืนเรื่องเมื่อตอนบ่ายเป็นแน่ แล้วสรุปว่าที่เขาทำไปไม่ได้ผลอะไรตอบรับกลับมาเลย นอกจากถูกวิริยะโกรธที่เขาหาว่ายุ่ง ชายหนุ่มทอดถอนใจทั้งโกรธทั้งงงที่ฝ่ายเขาดันเป็นคนผิดเสียได้

นึกขึ้นมาเชษฐ์ไชยหงุดหงิด อดจะพาลใส่ต้นไม้ใบหญ้าแถวนั้นไม่ได้

 

วันหยุดยาวดำเนินมาถึง เชษฐ์ไชยตื่นมาทำธุระ เขาลงไปต้อนรับแขกผู้มาจากตำบลที่สนิทสนมกันดีเพราะได้เข้าร่วมประชุมกันมาหลายครั้ง ครั้งนี้ ที่แวะมา ด้วยต้องการขอความช่วยเหลือจากทางไร่เพราะมีกิจกรรมของตำบล เลยอยากให้ใช้เชษฐ์เป็นสปอนเซอร์ให้

แขกผู้มาเยือนเป็นหญิงสาวที่ทำงานเป็นผู้ช่วยของนายกอบต. เธอชื่อว่าวรัญญา เป็นผู้หญิงหน้าตาปานกลาง ผิวใส ผมยาวแค่ระบ่า ไม่ทำสี ไม่จัดแต่งนอกจากทัดหู เรียกได้ว่าธรรมชาติแท้ ๆ ไม่มีการดัดแปลงใดใดทั้งสิ้น

“คนงานของนายเชษฐ์ไปไหนหมดคะเนี่ย เงียบจัง” เธอถามขณะเดินเคียงคู่เชษฐ์ไชย ชมนกชมไม้ภายในอาณาจักรของชายหนุ่มอย่างสงวนท่าที ไม่ทำท่าอยากรู้อยากเห็นเหมือนใครต่อใคร

“ผมให้กลับบ้านไปแล้วครับ”

เธอคลี่ยิ้มแล้วสูดลมเข้าเต็มปอด “ว่าแต่ที่นี่ อากาศดีจังเลยนะคะ”

ได้ฟังแล้วชายหนุ่มยิ้มรับ เปลี่ยนเรื่อง “คุณญาทานอะไรมารึยังครับ ผมก็ชวนเดินดูไปเรื่อยจนลืมเวลา แวะไปทานที่โรงครัวกับผมไหม ถ้าไม่รังเกียจ”

“โธ่นายเชษฐ์ รังเกียจอะไรเล่าคะ นายเชษฐ์ชวนทั้งที เป็นเกียรติมากกว่าค่ะ ทางไหนคะ”

ชายหนุ่มยกยิ้ม พาเดินไปยังจุดหมาย ดูเหมือนนายกอบต.จะฉลาดที่ส่งวรัญญามาขอให้เขาช่วย ท่านคงจะรู้ว่าชายหนุ่มกับเธอเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เชษฐ์ไชยไม่มีทางปฏิเสธเธอแน่ หลังจากพาหญิงสาวเดินชมไร่จนพอใจ เชษฐ์ไชยกลัวว่าเธอจะหิวจึงตัดสินใจชวนมาทานอาหาร แต่เขาไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะเจอวิริยะที่นี่ด้วย เห็นแล้วชายหนุ่มชะงักกึกไปพักหนึ่ง เมื่อเหลือบไปสบนัยน์ตากลมของเด็กแสบ

ด้วยความที่ต้องรับแขก เชษฐ์ไชยไม่มีเวลาพูดกับวิริยะนัก ชายหนุ่มพาเธอเดินเลยไปหาแม่ต้อยให้จัดการข้าวปลาอาหาร แล้วพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบกับวรัญญาตามประสาเพื่อนที่ชอบสิ่งคล้าย ๆ กัน ซึ่งเมื่ออาหารมาเรียงรายตรงหน้า วรัญญาก็ไม่เกรงใจ จัดการโดยไม่รีรอ เห็นแล้วชายหนุ่มก็นึกโกรธตัวเองที่ชวนเธอเดินเสียจนเหนื่อย

ตาคมเหลือบไปมองวิริยะ ดูท่าจะยังโกรธไม่เลิก ทั้งที่ก็ผ่านมาสองสามวันแล้วยังทำหน้างอใส่เขาอยู่อย่างนี้ เห็นแล้วชายหนุ่มทำได้เพียงทอดถอนใจ ต้อนรับวรัญญากระทั่งเธอขอตัวกลับ ก่อนไป วรัญญาขอบคุณที่เขายอมช่วยเหลือเรื่องเงินครั้งแล้วครั้งเล่า ชายหนุ่มเพียงแค่ยิ้มรับ พูดว่าเขาไม่ได้แค่อยากช่วยวรัญญา แต่เขาดีใจที่ได้ช่วยทุกคน

เมื่อวรัญญาขับรถออกไป เชษฐ์ไชยหมุนตัวจะเดินเข้าบ้าน เหลือบเห็นรตรียืนหน้ายักษ์รออยู่ ชายหนุ่มเพียงแค่กระตุกยิ้มแล้วเดินผ่านเธอไป ไม่สนที่จะตอบคำถามอีกฝ่าย ว่าวรัญญาเป็นใครมาจากไหน เกี่ยวข้องกับเขาอย่างไร เพราะเชษฐ์ไชยคิดว่ามันไม่จำเป็น

 

หลังจากทานมื้อเย็น วิริยะเดินใจลอยกลับมาที่หอ เพราะหลายคนกลับบ้านไปพักผ่อนในวันหยุดแล้ว ทำให้ที่นี่เงียบลงไปเยอะ พานให้วิริยะรู้สึกเหงาขึ้นมานิดหน่อย เด็กหนุ่มทอดถอนใจ ปัดภาพเชษฐ์ไชยยามอยู่กับผู้หญิงคนนั้นออกจากสมองไม่ได้ เขาไม่เคยเห็นเชษฐ์ไชยเป็นธรรมชาติเวลาอยู่กับคนอื่นเลย กระทั่งเห็นทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน

ผู้หญิงคนนี้น่ะหรือ คือคนที่เชษฐ์ไชยกล่าวถึง

เด็กหนุ่มยกมือทึ้งหัวตัวเองไม่เข้าใจ หยุดยืนคิดว่า แล้วที่ผ่านมามันหมายความว่ายังไงเล่า ที่มาทำดี ที่ตามเอาอกเอาใจ แล้วจูบเขา ก็แค่เล่นสนุกเท่านั้นเองน่ะหรือ ทำอย่างนี้มันไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือ!

“วิว! มานี่เร็ว” หมอกกวักมือเรียกจากหน้าห้องพักของดำ เห็นพี่ ๆ กำลังจัดแจงโต๊ะนั่ง คิดว่าคงกำลังจะเริ่มสังสรรค์กัน วิริยะรู้สึกไม่ดี เด็กหนุ่มคิดว่าจะไม่ไป แต่อีกนัยหนึ่งเขาก็ไม่ควรคิดอะไรไปคนเดียว เขาควรมีเพื่อนเล่น จะได้เลิกฟุ้งซ่านบ้าบออย่างนี้

วิริยะเข้าไปร่วมกลุ่มกับพี่ชายทั้งเจ็ดด้วยความอึน เห็นเหนือทำหน้าที่เป็นคนดีดกีตาร์ ส่วนดำก็กำลังร้องเพลง เมื่อเหลือบเห็นเขาก็ทำยักคิ้วหลิ่วตาทักทาย วิริยะเพียงแค่ยิ้มรับ ปรับอารมณ์ที่ขุ่นมัวของตัวเองออกแล้วเดินไปทรุดตัวบนเก้าอี้ข้างดำ “พี่ดำ ขอเพลงหน่อย”

“เดี๋ยว มึงต้องมาขอพี่นะวิว พี่เป็นคนเล่น ไอ้ดำมันแค่ร้อง” เหนือชะโงกหน้ามาเย้า

“งั้น ขอเพลงอมพระมาพูด”

ได้ยินเหนือก็หัวเราะ เปิดไอแพด

“เดี๋ยว หาคอร์ดแป๊ป” เดี๋ยวนี้หนุ่มชาวไร่เขาใช้ไอแพดกันแล้ว

“มาอารมณ์ใด๋วะสิฟังเพลงนี้” ดำถาม

“ไม่มีอะไร แค่อยากได้ยินพี่ดำเลียนแบบเสียงพี่เสก” เด็กหนุ่มคลี่ยิ้ม จริง ๆ ไม่ได้มีเจตนาจะล้อเลียน แต่ผมของดำมีส่วนคล้ายกันกับนักร้องคนนี้มาก เพียงแต่ดำไม่ได้ปล่อยจนยาวจึงดูดีกว่า ที่จริงในสายตาของวิริยะ ดำก็คล้ายเงาะป่าเวอร์ชันหล่อล่ำกล้ามปูเหมือนกัน คิดแล้วเด็กหนุ่มก็ร้องโวยวาย เมื่อถูกพี่ชายจากอีสานเอื้อมแขนมาล็อกคอทำโทษ ข้อหาแซว ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนคนอื่นที่รู้กัน

“ทำหน้าอย่างกับปวดขี้ เอาซักแก้วไหมวิว” ไทถามขณะรินเหล้า เมื่อเวลาล่วงเลยมาสักพัก

“ไม่เอาอะ กินข้าวมาแล้ว เดี๋ยวผมอ้วก”

ครึ่งชั่วโมงต่อมา...

พี่ ๆ ทั้งหลายเหลือกตามองคนที่ว่าจะไม่กินนั้น กำลังกระดกเหล้าลงคอพรวด ๆ ราวกินน้ำเปล่า เมื่อหมดแล้ว ก็วางแก้วกระแทกลงบนโต๊ะพร้อมกับเสียงลมหายใจ ดูเหมือนวิริยะจะขอเติมอีก ทั้งที่ทุกคนก็ไม่รู้ว่านี่เป็นแก้วที่เท่าไรแล้ว ดำแอบเอาขวดเหล้าหลบหลังตัวเอง มองดูวิริยะยกหลังมือเช็ดปากและขอเหล้าเพิ่ม “พี่ดำ ผมเห็นนะเว้ย”

เพื่อนคนอื่นหัวเราะ “ไอ้โง่ ขนาดน้องมันเมานะนั่น”

“พอแล้ว บ่ต้องกินอีก เดี๋ยวนายเซษฐ์สิด่า หาว่าอ้ายบ่ห้าม” ดำทำเสียงจริงจัง

“เออ ห้ามแล้ว เอามาอีกสิ” วิริยะยื่นแก้วให้ “เร็ว! พี่หมอก ชงมา”

“ครับ ๆ น้องวิว รอพี่แป๊บเดียวนะครับ”

“บักห่าหมอก!”

คนเกิดปีชงส่ายหน้าเบื่อ เมื่อเห็นดำทำเสียงดุปราม “เออน่า พรุ่งนี้ก็ไม่ได้ทำงานซักหน่อย ถ้าน้องมันเมามากก็ให้นอนค้างที่นี่แหละ”

“ใช่ พี่หมอกถูกแล้วที่อยู่ข้างผม ให้พี่ดำอยู่ข้างอาเชษฐ์ไป ไอ้บ้าอาเชษฐ์ ไอ้หน้าลิง!” เมื่อได้ยินความปากกล้าของวิริยะ ถูกคนหัวเราะชอบใจกันยกใหญ่ไม่เว้นแม้กระทั่งดำที่ห้ามปรามเมื่อครู่ กระทั่งต่างเริ่มตึง ๆ เพราะฤทธิ์เหล้ากันแล้ว ก็เลิกเล่นกีต้าร์แล้วหันมานั่งคุยกันแทน

“อ่า...” วิริยะดื่มแก้วสุดท้ายแล้วก็ฟุบหลับลงบนโต๊ะไปเสียเฉย ๆ ไม่พูดไม่จากับใคร เห็นเช่นนั้นดำก็หัวเราะ ก้มมองน้องรักหลับปุ๋ยสิ้นท่า ชายหนุ่มหันสะกิดเพื่อนให้ดู “เฮ้ย มึงเบิ่งคนบ่อยากกิน ไปเฝ้าพระอินทร์ก่อนหมู่เลย”

“ฮ่า ๆ ๆ อาการน่าเป็นห่วงนะเนี่ย”

“ถ้าไม่รู้จักกันอยู่แล้วเห็นยกเอา ๆ แบบนี้ กูจะคิดว่าอกหักนะเนี่ย” ไทว่าปนหัวเราะ ในขณะที่เพื่อนคนอื่นหันไปสนใจคุยกับคู่สนทนาต่อ ดำละรอยยิ้มของตัวเอง เพ่งมองคนฟุบหน้าหลับบนโต๊ะตัวสั่นราวกับกำลังสะอึก ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจ ถ้าหลับไปแล้วจะสะอึกได้ด้วยงั้นหรือ คิดแล้วก็เอื้อมมือที่ยังดีอยู่ไปแตะบ่าสั่นไหวของวิริยะ เขย่าเรียกสติของเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นมาตอบคำถาม

“วิว เป็นหยัง”

ไม่มีเสียงอะไร นอกจากแรงสั่นไหวของบ่าแคบตรงหน้า

“วิว ตื่น เป็นหยัง”

“ไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้อกหักนะพี่ดำ สบายมากเลย” วิริยะลุกขึ้นมา โคลงศีรษะที่โงนเงนหาที่ตั้งไม่ได้ หากทว่าบนใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา เห็นดังนั้นแล้วดำก็ตกใจ ไหนจะไอ้ประโยคคำตอบที่ไม่ตรงคำถามของเด็กตรงหน้านั้น อธิบายดำได้อย่างเดียวว่าวิริยะเป็นสายเมาแล้วดราม่า เมาแล้วร้องไห้

“เฮ้ย วิวเมาแล้วร้องไห้เหรอ ไอ้ภัค มึงดูน้องมัน” เพื่อนคนอื่นสะกิดกันดู

“วิว ร้องไห้ทำไม” หมอกถามปนหัวเราะ

“ก็มันเศร้าอะพี่หมอก พี่ไม่เข้าใจผมหรอก”

เด็กหนุ่มยกมือสางผมพูด เอนตัวพิงบ่าดำเพราะนั่งไม่ไหวแล้ว

“เศร้าอะไร เป็นวิวดีจะตาย ใครก็รักก็หลง” ไทบอก

เห็นแล้วเหนือก็ส่ายหน้า “เป็นอะไรไหนบอกพวกพี่ซิ”

เด็กหนุ่มได้ฟังก็ลุกขึ้นนั่งหลังตรง แม้จะตรงไม่ค่อยได้ก็ตามที พลอยให้พี่ ๆ ที่นั่งมองพากันหัวเราะตามไปด้วย เด็กหนุ่มทำหน้าโกรธทั้งน้ำตาเมื่อนึกถึง พูดเสียงยานคางไปเพราะความเมาว่า “ก็อาเชษฐ์นั่นแหละ อาเชษฐ์แม่งโคตรใจร้ายเลย”

หมอกพยักหน้า “ใช่ พี่เห็นด้วย”

“ใช่มะ ๆ” เด็กหนุ่มอือออไม่ได้ศัพท์ เช็ดน้ำตา ท่ามกลางสีหน้าตกตะลึงของดำ

หรือจะเป็นแบบนี้เพราะเชษฐ์ไชยกันหนอ คิดแล้วชายหนุ่มก็ยกโทรศัพท์ส่งข้อความบอกให้เชษฐ์ไชยมาที่นี่โดยด่วน

“อาเชษฐ์ใจร้าย แล้วมาตามใจผมทำไม มาใจดีกับผมทำไม ผมไม่ชอบเลย” เด็กหนุ่มส่ายหน้า ท่ามกลางรอยยิ้มของรุ่นพี่ที่รับฟังไปพลาง รินเหล้าดื่มกันไปพลาง กะปล่อยให้วิริยะระบายความคับข้องในใจเต็มที่ “พวกพี่รู้ไหม ว่าเขาให้ผมไปอยู่ฝั่งโน้นทำไม แม่งจะแกล้งผม ให้ผมทนลำบากไม่ได้จะได้หนีกลับไป แต่ผมมันถึกทน จะแกล้งยังไงผมก็ไม่ยอมหรอก รู้จักคนอย่างไอ้วิวน้อยไปซะแล้ว”

“ดีมากวิว สมแล้วเป็นน้องพี่” หมอกยกนิ้วชื่นชม

“แล้วเนี่ยพวกพี่รู้ไหม ผมก็อุตส่าห์จะกลับไปแล้ว อาเชษฐ์ยังไปตามกลับมาอีก ทำให้ผมคิดขึ้นมาเลย ว่าผมมันโคตรสำคัญ”

“ได้ข่าวว่าติดหนี้” ไทแทรก

เด็กหนุ่มยู่หน้าทั้งน้ำตา “มันก็ใช่ แต่พี่ไม่ได้เห็นตอนอาเชษฐ์มาขอให้ผมอยู่ต่อนี่”

“นายเชษฐ์เองก็รักก็หลงวิวด้วยเหรอเนี่ย” หมอกล้อ

ได้ยินวิริยะก็ยิ่งน้ำตาไหล ยกเหล้าขึ้นมาดื่มอีกครั้ง ท่ามกลางรอยยิ้มเอ็นดูของพี่ ๆ ยามรับฟัง “รักบ้าอะไร ถ้ารักแล้วจะคิดหาเมียใหม่เข้าบ้านเหรอ แม่ง โคตรใจร้ายเลย แล้วที่ทำกับผมหมายความว่าไง ไล่ตามผม ทำดีกับผม เอาอกเอาใจสารพัด ไอ้พี่เวร...ก็พอเข้าใจอยู่หรอกว่าผมเป็นแขก จะทำดีกับผมยังไงก็ได้ แต่จูบผมมันหมายความว่าไง”

พรวด! ทุกคนที่กำลังยกแก้วดื่มต่างพากันสำลักอย่างไม่ได้นัดหมาย

นายเชษฐ์ทำอะไรเด็กกัน! เด็กมันเพิ่งจะอายุแค่สิบเจ็ด

ที่เห็นป้วนเปี้ยนอยู่รอบ ๆ ตัววิริยะ ก็เพราะเป็นหมาแก่หวงก้างเองหรอกหรือ

เจ็ดหนุ่มเหลือกตามองวิริยะที่ยกหลังมือเช็ดน้ำตาร้องไห้ร้องห่ม โทรศัพท์ในมือดำร่วงผล็อยลงพื้น หันมาประคองตัวเด็กที่นั่งสะอึกสะอื้นข้างกายด้วยหน้าเหวอ ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของเพื่อนทั้งกลุ่ม

ทุกอย่างเงียบกริบ มีเพียงเสียงร้องไห้และคำบ่นของวิริยะคั่นกลาง เป็นเวลาเดียวกันที่เห็นรถของเชษฐ์ไชยแล่นเข้ามาจอด เจ้าตัวเดินลงมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนทุกครั้ง หากทว่าทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

เป็นเรื่องจริงหรือแค่วิริยะพล่ามไม่มีใครทราบ แต่ตอนนี้เจ้านายคงไม่รู้ตัวเลย ว่าจากเป็นคนยิ่งใหญ่น่านับถือ ตอนนี้กลายเป็นไอ้หื่นทำอนาจารเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดในสายตาของลูกน้องกลุ่มนี้เข้าให้แล้ว ดูจากหน้าเหวอ ๆ ของเพื่อนก็น่าจะพอเดาได้

ดำคิดแล้วเขย่าตัวปลุกไอ้ตัวดีให้ลุกขึ้นมาอธิบาย ไม่ใช่มาทิ้งระเบิดแล้วหลับหนีไปแบบนี้

คนเขาคิดไปถึงไหนต่อไหนเเล้ว!

--๑๐๐-

-----------------------------------------------------------------

นี่คือการทิ้งระเบิดของจริงจ้ะ อิอิ

ทุกคนจะคิดว่าเป็นเรื่องจริงไหม รอเดากันเอาเอง ส่วนน้องวิวก็สายดราม่าตั้งแต่เมากับอิกครั้งโน้น ยังไม่เข็ด 555555

อาเชษฐ์ก็มีความพยายาม แต่ก็แห้วตลอด แต่สุดท้ายมาตายตอนที่ไม่ได้ตั้งใจ

แล้วคนโหดจะแก้ตัวยังไงกับลูกน้อง ความลับรั่วแล้ว อิอิ

ตอนหน้ามีความง้อ แต่จะง้อแบบไหน ต้องรออ่านนะคะ เดี๋ยววิวจะได้กลับบ้านแล้ว

เหมือนเดิมนะคะ แล้วอย่าลืมทิ้งคอมเม้นให้หนูนาอ่าน จะได้ชื่นใจ มีกำลังใจเขียนต่อเด้ออออ

หัวข้อ: Re: **{3.4.61-ตอนที่ ๑๕--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-04-2018 22:46:48
 :fire: รุมเลยพวก
หัวข้อ: Re: **{3.4.61-ตอนที่ ๑๕--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: T_TARS ที่ 03-04-2018 23:37:20
 :hao3: :hao3: :hao3:
เรื่องของอีตาอสูรลิงยักษ์กับเด็กวิวเดอเรลล่าจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป
หัวข้อ: Re: **{3.4.61-ตอนที่ ๑๕--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 04-04-2018 00:10:47
คนเขาคิดถูกแล้วไงพี่ดำ เนี่ยยยย ชอบมาทำน้องเสียใจ โดนทิ้งระเบิด(แบบไม่ได้ตั้งใจ)ตู้มเลยยยย 5555
หัวข้อ: Re: **{3.4.61-ตอนที่ ๑๕--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 04-04-2018 00:12:51
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **{3.4.61-ตอนที่ ๑๕--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-04-2018 01:50:01
เอาละซิ สโนว์วิวถูกรังแก คนหล่อทั้ง 7 ต้องช่วยสโนวว์วิวนะ o18
หัวข้อ: Re: **{3.4.61-ตอนที่ ๑๕--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 04-04-2018 07:37:49
วิว หายเมาแล้วจะรู้ตัวไหมเนี่ยว่า พูดอะไรไว้
 :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: **{6.4.61-ตอนที่ ๑๖--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 06-04-2018 00:26:39

ตอนที่ ๑๖

“อาเชษฐ์ ไอ้คนหน้าม่อ...”

เสียงพึมพำต่อว่าของวิริยะดังขึ้นอยู่เนือง ๆ แม้ว่าจะหลับไปแล้ว เชษฐ์ไชยยังคงไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร ในขณะที่ทุกคนยังคงเงียบกริบกับความตกใจ อึ้ง มองผู้มาใหม่เดินตรงไปหาวิริยะตั้งใจจะหิ้วพากลับไปพัก อาจเป็นเพราะเห็นว่าอาการไม่ค่อยดีแล้ว แต่ทว่าหมอกคิดได้ รีบขยับเข้ามาขัดขวาง ยังไม่อาจปล่อยให้เด็กหนุ่มไปกับเชษฐ์ไชย

“นายเชษฐ์จะทำอะไรครับ”

นายใหญ่ของไร่ชะงักมือ เหลือบมองทั้งหมดด้วยความแปลกใจ “กูจะมาพามันกลับไปที่ห้อง”

“ให้วิวค้างที่นี่แหละครับ” ไทยิ้มแห้ง

เชษฐ์ไชยกวาดสายตาไปทั่วทั้งวงเหล้า เห็นท่าทีต่างจากเดิมของพวกมันแล้วมุ่นคิ้ว ไหนจะไอ้สีหน้าเจื่อน ๆ ของดำยามมองเขาอีก ลางสังหรณ์ของชายหนุ่มบอกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ บางอย่างที่ว่า คงเรื่องใหญ่พอที่จะทำให้ไอ้ลิงทโมนกลุ่มนี้หน้าเหวอได้ ชายหนุ่มถอนใจ ไว้คุยกันทีหลัง ยามนี้เขาควรเอาวิริยะไปเก็บเข้าที่ก่อน

“ไอ้ดำ เอาตัววิวมา”

“ไม่ได้ วิวมันบอกจะนอนนี่ครับ ใช่ไหมพวกมึง” เหนือรีบพูด แล้วก็หันไปหาแนวร่วม ซึ่งเพื่อนคนอื่นก็พากันอือออตามด้วย เห็นแล้วเชษฐ์ไชยก็นิ่ง เริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเมื่อเห็นไอ้ไทขยับมาพยุงวิริยะตั้งใจจะพาเดินหนีเขาเข้าไปในห้อง แทนที่จะปล่อยให้ชายหนุ่มพาตัวออกไป

“ไอ้ดำ! กูบอกให้เอาตัววิวมา!” ชายหนุ่มขึ้นเสียงอย่างนึกโมโหเมื่อไม่ได้อย่างใจ “พวกมึงกล้าอวดดีกับกูอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไร หา!”

ทั้งหมดชะงักกึก หน้าเริ่มถอดสี โดยเฉพาะคนที่ตั้งใจพาวิริยะหลบเข้าไปในห้อง เมื่อถูกสายตาคมดุจราชสีห์ของเจ้านายจับจ้อง ทำให้จู่ ๆ ตัวก็แข็งขึ้นมาราวโดนสาป หันไปยิ้มเจื่อนให้เจ้านายแจงด้วยความหวังดีว่า “เดี๋ยวนายเชษฐ์เอามันไปทิ้งไว้ที่ห้อง ตอนนี้วิวมันเมามาก เดี๋ยวไม่มีคนดูแล ให้มันนอนในห้องกับพวกเรานี่แหละครับ”

เชษฐ์ไชยยังคงใช้หน้าโหดเข้าสู้ เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของดำ

“กูบอกพวกมึงแล้วว่าห้ามนอนอัดกันในห้อง อยู่ห้องใครห้องมันไป”

เห็นแล้วดำก็อึกอัก มองตาเจ้านายด้วยสายตาปรามเล็กน้อย เพราะยังไม่หาญกล้าขนาดนั้น “นายเซษฐ์ ดำว่าให้วิวมันนอนกับดำอยู่นี่แหละ”

คนฟังมุ่นคิ้ว “จะให้มันนอนด้วยแล้วตามกูมาทำไม!”

“อ้าว ไอ้ห่าดำ มึงรู้เห็นเป็นใจกับนายเชษฐ์เหรอ!” เพื่อนทั้งกลุ่มเบนสายตาจากเจ้านายมาที่ดำ

“รู้เห็นเป็นใจอะไร” เชษฐ์ไชยรู้สึกเหมือนตัวเองตกข่าว เมื่อทุกคนได้ยินที่สิ่งที่ชายหนุ่มถามก็ยิ่งออกอาการไปกันใหญ่ แต่ก็ยังไม่ยอมตอบอะไรให้เขาหายแคลงใจ นั่นทำให้หน้าของเชษฐ์ไชยร้อนขึ้นมาอีกระดับด้วยความโกรธ “กูถามพวกมึงไม่ได้ยินรึไง!”

“หนวกหูโว้ย!”

ทั้งหมดเงียบกริบ มองไปยังไอ้ตัวเล็กต้นเรื่องที่ลุกขึ้นมาร้องโหวกเหวก แล้วก็เอนหลังซบบ่าของดำหลับต่อ แม้กระทั่งผู้มีอำนาจที่สุดก็ตกใจไปกับเขาด้วย หากทว่าเชษฐ์ไชยตั้งสติได้ทัน ชายหนุ่มกระแอมแก้ขัดเขิน ไม่สนว่ามันเกิดอะไรขึ้น เดินตรงไปยังร่างวิริยะแล้วจับยกขึ้นอุ้ม ท่ามกลางสีหน้าแตกตื่นราวกับเห็นผีของพวกลิงทั้งหมดนี้

ขณะหมุนตัวจะพาวิริยะเดินออกมา ก็มีใครสักคนกล้าพอที่จะเอ่ยถาม

“นายเชษฐ์กับวิวเป็นอะไรกัน”

เจ้าของร่างใหญ่ชะงักเท้า ใจที่อยู่ดีก็เต้นตึกขึ้นมา หันไปมองด้านหลังอีกครั้งเพราะรู้สึกว่าคำถามนี้บอกเขาได้หลายอย่าง และอย่างแรกก็คือ พวกมันทั้งหมดรู้ความลับของชายหนุ่มเข้าให้แล้ว “กูเป็นอะไรกับเด็กนี่ แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกมึง”

ไทรีบส่ายหน้าแย้ง “จะไม่เกี่ยวได้ไงครับ วิวมันยังเด็ก”

“แล้วไง”

“ก็คุกไงครับนายเชษฐ์ ตอนนี้เห็นเงาตารางลิบ ๆ แล้วด้วย”

คนฟังเบิกตา เริ่มทำหน้าไม่ถูก “กูว่าพวกมึงระแวงผิดประเด็นแล้ว”

แทนที่จะตกใจที่เขากับวิริยะมีความสัมพันธ์อย่างไรต่อกัน แต่ไอ้พวกลิงนั่นดันคิดไปไกลว่าเขาจะเป็นไอ้แก่ที่ชอบล่อลวงเด็กทำเรื่องลามกเสียได้ พวกมันตกใจกันผิดประเด็นไปหมด คิดแล้วเชษฐ์ไชยก็ถอนใจ เก็บความอับอายพับใส่กระเป๋าแล้วอุ้มพาวิริยะเดินหนีออกมา ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ตอนแรกจะพาวิริยะไปที่ห้องพักอีกฝั่ง ในเมื่อรู้แล้วว่าเขากับเด็กนี่เป็นมากกว่าเจ้านายกับลูกน้อง เชษฐ์ไชยจะไม่เก็บไว้เป็นความลับอีก

“นายเชษฐ์ จะพาวิวไปไหนวะ!”

เสียงใครสักคนร้องตะโกนตามหลัง

“เมียกู ก็ต้องไปอยู่ที่บ้านกับกูสิ”

เชษฐ์ไชยผู้ยิ่งใหญ่ของไร่ตอบกลับมาไม่ดังนัก ในขณะที่กำลังง่วนอยู่กับการยกวิริยะขึ้นไว้บนเบาะ ชายหนุ่มทั้งหมดที่นั่งอยู่ตรงนี้เหงื่อตก มองหน้ากันเพราะไม่รู้จะปรามเจ้านายอย่างไรถึงจะยอมเชื่อ

“เมื่อกี้นายเชษฐ์พูดว่าไรนะ กูได้ยินไม่ชัด” หมอกทำหน้าไม่สบายใจ ถามเพื่อน

“เมียกู ก็ต้องไปอยู่ที่บ้านกับกู”

“ไอ้เชี่ยดำ ถ้าตำรวจมาลากคอนายเชษฐ์เข้าคุก กูจะบอกว่ามึงรู้เห็นเป็นใจ!” หมอกชี้หน้าเพื่อนผู้ยังคงพูดไม่ออก เมื่อได้ฟัง หนุ่มอีสานก็รีบโคลงศีรษะไม่ยอมรับความผิดนี้ “กูบ่ฮู้เรื่องโว้ย กูก็เพิ่งฮู้ก่อนหน้าพวกมึงบ่กี่มื้อ ไผสิไปฮู้ว่าเขาไปเป็นผัวเป็นเมียกันตอนใด๋”

“แล้วจะเอาไง พวกเรา”

ไทถามแล้วกวาดมองมองเพื่อนร่วมกลุ่ม

เห็นสีหน้าหมองลงแต่ละคนแล้วดำก็ถอนใจ “พวกมึงบ่ต้องคิดหนักขนาดนั้นก็ได้ นายเซษฐ์บ่เฮ็ดหยังวิวดอก อีกบ่กี่เดือนมันก็สิบแปดแล้ว นายเซษฐ์ถ่าได้”

“รอได้พ่อมึงสิ ถ้ารอได้นายเชษฐ์จะเรียกวิวได้เต็มปากเต็มคำว่าเมียอย่างนี้เหรอ” ไทตบกระโหลกหนา ๆ ของดำมาที แล้วส่ายหน้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ กระเดือกเหล้าไม่ลง ก่อนเดินไปทรุดนั่งบนเก้าอี้ขบคิดว่า “เอาจริง ๆ ถ้านายเชษฐ์กับวิวตกลงปลงใจกัน แบบเป็นแฟนเลยนะ กูยังหาทางไม่ได้เลยว่าทั้งสองจะไปกันรอด แล้วใครจะไปรับได้วะ”

“กูรับได้” ดำยกมือ

“กูหมายถึงคนอื่นไอ้ควาย! นายเชษฐ์มีหน้ามีตาในสังคมจะตาย”

“ไผสิรับได้รึบ่ได้ กูบ่สน กูจะซ่อยนายเซษฐ์เอง พวกมึงกะเห็นกันอยู่ ว่าวิวเฮ็ดให้นายเซษฐ์มีความสุขจั่งใด๋ คั่นเมียนายเซษฐ์เป็นวิวอีหลี กูว่าคนในไร่นี้บ่มีไผขัดใจนายเซษฐ์แท้ ๆ” ดำพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง ในขณะที่เพื่อนคนอื่นแสดงความผิดหวังออกจากสีหน้า ไม่อาจยอมรับได้ เห็นเช่นนั้นดำจึงทำได้แค่เพียงพูดออกไปให้พวกมันฉุกคิดตามว่า “พวกมึงกะเห็น ว่านายเซษฐ์เสียใจมาโดนแล้ว กูว่ามันถึงเวลานายเซษฐ์จะมีความสุขสักที คั่นพวกมึงสิเบิ่ดความนับถือกะเชิญ นายเซษฐ์กะแค่มีความฮัก เพิ่นบ่ได้ผิดอีหยัง”

พูดจบ ดำก็เดินจากไปด้วยใบหน้าจริงจังนั้น ท่ามกลางสายตาของเพื่อนที่เหลือ ทุกคนหันมองหน้ากันอยู่พักหนึ่ง เหนือคนแรกที่ยักไหล่แล้วแยกตัวเดินออกจากกลุ่มไม่ออกความเห็นใดใด จากนั้น ก็ไม่มีคำพูดไหนดังขึ้นมาอีก นอกจากร่างสูงใหญ่ทั้งหลาย ต่างแยกออกจากกันไปที่พักเพื่ออยู่กับตัวเอง และนอนขบคิดตามในสิ่งที่ดำพูด

แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องยอมรับกันได้ง่าย ๆ

นายใหญ่ของไร่ คงโดนเมียทิ้งแล้วเสียสติไปแน่ ๆ ถึงได้หันมาชอบไม้ป่าเดียวกันแบบนี้

 

เชษฐ์ไชยพาวิริยะเดินขึ้นไปยังห้องพักของชายหนุ่มเอง ท่ามกลางสายตาของเด็กในบ้าน ส่วนคนเมาก็เอาแต่พึมพำต่อว่าเขา ได้ยินแล้ว ชายหนุ่มก็เพียงคลี่ยิ้ม บรรจงวางตัวผอมโปร่งลงบนที่นอนด้วยความเบามือ

ขณะที่กำลังจะผละออก นัยน์ตาคมกวาดเห็นใบหน้าของคนหลับนั้น แดงก่ำเป็นเลือดฝาด เพราะฤทธิ์เหล้าหรือร้องไห้ก็ไม่อาจแยกแยะได้ แต่มันดูน่ารักน่ามองไปหมด

นิ้วมือเรียวเคลื่อนแตะบนจมูกสีแดงที่บวมเป่งเพราะผ่านการร้องไห้ บริเวณขนตายังมีก้อนน้ำเกาะอยู่ และเมื่อถูกสัมผัสแตะต้อง คนหลับก็ตอบสนองด้วยการขยิบเปลือกตา ครางอือออไม่ได้ศัพท์ เห็นแล้วผู้มองก็เพียงยิ้ม สางผมยุ่ง ๆ ให้แล้วลุกขึ้นนั่งจับจ้องอยู่เช่นนั้น

“อาเชษฐ์ ไอ้ลิงใจร้าย...” คนหลับบ่นเสียงเบา

เชษฐ์ไชยเคลื่อนมือ แตะที่ริมฝีปากสีเชอรี่เบื้องหน้า “บอกมาซิว่าฉันใจร้ายอะไร”

“อาเชษฐ์จูบผมทำไม ฮือ...”

จู่ ๆ ก็ร้องไห้ขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เห็นแล้วเชษฐ์ไชยก็หัวเราะ “แล้วจะร้องไห้ทำไม”

“ก็ผมเสียใจไง ไม่เห็นต้องอธิบาย!” ดูเหมือนจะอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ด้วย เชษฐ์ไชยมองคนหลับร้องโหวกเหวกก็เช็ดน้ำตาที่อาบแก้มให้ อาจเป็นเพราะปลายนิ้วร้อนนี้กระมังที่ปลุกอีกฝ่าย ทำให้วิริยะลืมตาขึ้นมา สบมองชายหนุ่มในขณะที่เจ้าตัวนอนอยู่บนเตียงทั้งน้ำตา เมื่อเห็น ยิ่งทำให้เชษฐ์ไชยยิ้มออกมาด้วยความนึกเอ็นดู

“น้ำตาเปื้อนหมอนฉันหมดแล้ว” ชายหนุ่มแกล้งคนร้อง อีกฝ่ายหันไปนอนตะแคงหนี

“ก็ช่าง”

“แล้วนี่สรุปโกรธอะไร ฉันไม่เข้าใจ หืม...” คนตัวโตเขยิบเข้าไปใกล้เพื่อสอบถาม มือก็จับไหล่แคบให้พลิกกลับมามองหน้ากันอย่างเดิม นอกจากจะไม่ยอมตอบแล้ว กำปั้นไม่มีเรี่ยวแรงยังเหวี่ยงมาซัดที่ตัวเขาอยู่หลายครั้ง พร้อมทั้งร้องไห้สะอึกสะอื้น ราวกับต้องการลงโทษที่ทำให้เจ้าตัวเสียใจ เชษฐ์ไชยไม่ได้รู้สึกโกรธที่ถูกทำร้าย แต่รู้สึกโกรธตัวเองที่ไม่รู้อะไรเลยต่างหาก

ที่วิริยะร้องไห้ ที่ต่อว่าเขาอย่างนี้ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อีก ทั้งที่มันก็แน่อยู่แล้วว่าเป็นเพราะเสียใจ

เด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ผิดสักหน่อยที่ไม่รู้ใจตัวเอง ก็เขาไม่เคยบอกเจ้าตัวเลยนี่ว่าคิดยังไง

ชายหนุ่มกุมจับข้อมือคนร้องไห้กดแนบลงกับเตียง พิศใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาแล้วใจหาย

“อยากรู้ไหมว่าฉันจูบเธอทำไม”

คนเมาทำเสียงอู้อี้เอาแต่ใจ หากทว่าเชยดวงตาที่เปื้อนด้วยน้ำสบกับเขา กำลังบอกว่ารับฟัง ซึ่งเห็นแล้วเชษฐ์ไชยก็เพียงแค่เคลื่อนมือเช็ดน้ำหูน้ำตาให้อย่างอ่อนมือ โน้มขยับเข้ามาใกล้กว่าเก่าให้ได้รับไออุ่นจากตัว แล้วกระตุกยิ้ม บอกเด็กหนุ่มไปตามความรู้สึกจริงไปว่า

“เพราะฉันคิดว่าจูบเมียตัวเอง มันไม่ใช่เรื่องแปลกยังไงเล่า”

หลังพูดจบ คนตัวใหญ่โน้มใบหน้าสะอ้านเข้ามาแนบจูบอย่างแผ่วอ่อน ไม่ได้บังคับจาบจ้วงเหมือนเมื่อครั้งก่อนหน้า ในขณะที่มือหนึ่งประคองที่คางของเด็กหนุ่ม ให้อ้ารับสัมผัสนุ่มหยุ่นจากริมฝีปาก และลิ้นสากของคนนำ สิ่งที่คนเมาทำได้ก็เพียงระงับลมหายใจติดขัดของตัวเองในระหว่างนั้น

“อืม...” น้ำเสียงของคนทำบอกว่าพึงพอใจ

ใบหน้าวิริยะร้อนรุมขึ้นอีกระดับ ยามเชษฐ์ไชยรุกไล่ทั่วทั้งโพรงปากตามลิ้นของเขา แล้วดูดดุนมันราวกับเป็นขนมเยลลี่ชิ้นโปรดอยู่เช่นนั้น

เด็กหนุ่มกำเสื้อของคนด้านบนแน่น ราวสติกำลังกลับมาและบอกตัวเองว่าควรทำอะไร แต่ความหอมหวานของรสชาติที่สัมผัสอยู่ทำให้วิริยะรู้สึกแปลกไป ทำได้เพียงแค่พริ้มตา รับจูบของอีกฝ่ายเท่านั้น

เนิ่นนานเท่าไรมิทราบ หัวสมองของเด็กหนุ่มมึนเบลอ ราวมันเพิ่งผ่านมาเพียงชั่ววินาทีสั้น ๆ

นิ้วหัวแม่มือของคนอยู่เหนือกาย สัมผัสบนริมฝีปากบวมเจ่อสีหวานคล้ายติดอกติดใจหลังจากผละออก ก่อนผู้ตัวโตกว่าจะเคลื่อนใบหน้ามาอยู่ในระดับดวงตาประสานกันได้ หากทว่าตอนนี้ เชษฐ์ไชยไม่ได้ทำหน้าดุดันอย่างเคย อีกฝ่ายกำลังมองเขาด้วยแววตาที่เต็มตื้นไปด้วยความเอ็นดูรักใคร่

“เข้าใจซะใหม่นะวิว เมียคนใหม่ของฉัน คือเธอ”

ค่อยโล่งใจหน่อย

“ฮะ...” วิริยะเบิกตา คิดว่าตัวเองเห็นภาพหลอน หรือไม่ก็เป็นเพียงฝันเท่านั้น เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เม้มริมฝีปากบวมเจ่อของตัวเองด้วยความรู้สึกขัดเขินแปลก ๆ กุมที่หน้าอกไว้แน่น ไม่ให้มันเต้นรุนแรงอยู่เช่นนั้น ไม่เข้าใจเลย ว่าทำไมต้องดีใจถึงขนาดนี้ด้วย

ตากลมมองตามร่างใหญ่ของเชษฐ์ไชยที่ขึ้นมานอนบนเตียงด้วย แล้วขยับมาจูบเขาอีกครั้ง

เป็นสัมผัสที่อ่อนโยน ละมุนละไมเกินจะนึกถึง

วิริยะหน้าแดง รู้สึกร้อนไปทั้งตัว แม้ภายในห้องเย็นเยียบด้วยเครื่องปรับอากาศ แต่เมื่อเชษฐ์ไชยขยับมาจูบและกอดเขาทีไร เหมือนมีกระแสไฟแล่นปราดผ่านลำตัวทุกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้น เด็กหนุ่มก็ไม่ขืนความพึงพอใจของตัวเอง ทำได้เพียงหลับตารับจูบอันแผ่วอ่อนของเชษฐ์ไชยโดยไม่ปริปากบ่นหรือปรามอะไรเลย ลำแขนของเขาเผลอไผลเคลื่อนไปคล้องบนลำคอของคนตัวใหญ่ ตอบสนองจูบนั้นอย่างติดใจในรสชาติ

“อาเชษฐ์...”

วิริยะคงชอบเชษฐ์ไชยจริง ๆ

เด็กหนุ่มคิดเช่นนั้น บดเบียดตัวเข้าสู่ร่างใหญ่กว่า กอดอีกฝ่ายแล้วพริ้มตาลงหลับด้วยรอยยิ้ม

เขารู้ใจตัวเองแล้ว พอ ๆ กันกับความรู้สึกของอีกฝ่าย

ทำให้คืนนี้ วิริยะได้หลับลงด้วยความเป็นสุขอย่างน่าประหลาด

“เดี๋ยวสิ จะมานอนอ่อยแบบนี้ได้ไง เฮ้ย...วิว...”

ผู้ที่เครื่องติดชะงัก เมื่อกำลังพลิกตัวขึ้นคร่อมทับ เคลื่อนมือสัมผัสไปทั่วตัวแล้วพบว่าวิริยะเองก็กำลังมีอารมณ์ร่วม ไอ้ที่ว่าอ่อนก็แข็งสู้แล้ว แล้วทำไมถึงได้หลับทิ้งเขาให้ค้างเต่ออยู่เช่นนี้ นายใหญ่ก้มลงมองบางอย่างที่ถูกปลุกในกางเกงตัวเอง ไม่สงสารเสือตัวใหญ่ที่นอนหลับอยู่ในถ้ำมาหลายปีหรือยังไง เหตุใดจึงรังแกปลุกมันแล้วไม่รับผิดชอบ

คิดแล้วเชษฐ์ไชยก็ทิ้งตัวลงนอนด้วยความหงุดหงิด มองไอ้ตัวดีที่นอนหลับปุ๋ยอยู่ข้างกันอย่างโกรธไม่ลง  ถ้ายังไม่หลับน่ะหรือ เชษฐ์ไชยไม่ปล่อยให้หลุดรอดมือถึงพรุ่งนี้เช้าแน่

ใครจะคิดว่าเขาเป็นคนดีก็ช่าง แต่มีเมียมานอนยั่วอยู่ตรงหน้า ไอ้บ้าที่ไหนจะไม่เอา และเขาไม่เคยบอกใครเลยว่าตัวเองเป็นคนดีมีคุณธรรม อยากได้คุณธรรม ไปหาเอากับคนอื่นโน่น อย่ามาถามหากับนายเชษฐ์คนป่าเถื่อนแห่งไร่รุ่งอรุณีเสียให้ยาก!

--๒๕--
หัวข้อ: Re: **{6.4.61-ตอนที่ ๑๖--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 06-04-2018 00:29:01
(ต่อ)

วิริยะรู้สึกตัวขึ้นมาก็รู้ว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่ห้องของตัวเอง เด็กหนุ่มพลิกตัวนอนหงาย ยกมือกุมหัวด้วยความปวดราวกับมันกำลังจะระเบิด เมื่อเห็นว่าบนเตียงไม่มีใคร วิริยะเดินสะโหลสะเหลลงจากเตียงมาสำรวจรอบตัว นี่คือห้องพักของเชษฐ์ไชยไม่ผิดแน่ แต่เขาเข้ามานอนในนี้ได้ยังไง จำได้ว่าเมื่อวานนั่งดื่มอยู่กับพวกกลุ่มพี่ชายบอยแบนด์ภูธรอยู่เลย

จู่ ๆ ภาพตัวเองทำอะไรกับเชษฐ์ไชยเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมา วิริยะเปลี่ยนมาสำรวจความเรียบร้อยของตัวเอง เบิกตาตกใจเท่าไข่ห่านแล้วรีบกุมหัววิ่งลงบ้านไป ความอับอายประดังประเดเข้ามาในสมองไม่ยอมหยุดหย่อน มากมายจนคิดว่าไม่อาจสู้หน้าอีตาเจ้าของบ้านหลังนี้ได้

ไม่น่าเลย ไม่น่าเมาเลย

วิริยะกลับมาที่ห้องพัก อาบน้ำอาบท่าให้ตัวเองสดชื่น ดูนาฬิกาบอกว่าเที่ยงกว่าแล้ว บวกกับความหิวทำให้วิริยะเวียนหัว วิ่งออกจากห้องไปอาเจียนที่กระถางต้นไม้แถวนั้น รู้สึกถึงขนลุกเกรียวกราวไปหมดจนหนาว กระทั่งมีมือของใครสักคนมาลูบหลังให้ เป็นหมอกที่กำลังยิ้ม มือก็ยื่นขวดน้ำให้วิริยะบ้วนปากไปด้วย

“ขอบคุณครับ” วิริยะรับมาถือ แล้วยกน้ำขึ้นเทใส่ปาก

 “ไปนอนกับนายเชษฐ์มาคืนเดียว แพ้ท้องซะแล้ว”

พรวด!

เด็กหนุ่มสำลักน้ำเฉียบพลัน หันหน้าแดงไปหาคนพูด “อะ อะไรนะพี่!”

ไม่รู้เป็นอะไร พอได้ยินเรื่องน่าตกใจทีไรวิริยะจะเด้งตัวลุกขึ้นยืนอย่างนี้ตลอด พลอยให้คนมองรู้สึกตกใจต้องลุกขึ้นยืนตามไปด้วย หมอกยักไหล่เมื่อเห็นว่าวิริยะหน้าเสีย มองไปที่อื่นราวไม่กล้าสู้หน้า “เรื่องวิวกับนายเชษฐ์ พวกพี่รู้หมดแล้ว”

“รู้ รู้ได้ยังไง ละ...แล้วใครรู้บ้าง!” วิริยะรีบหันมาถามหน้าตกใจ

หมอกยักไหล่ “ก็รู้กันหมด เมื่อวาน ตอนนายเชษฐ์มาพาวิวไป”

คนตัวใหญ่กว่ามองวิริยะที่ยกมือกุมหน้าของตัวเอง ทำตัวไม่ถูกอยู่สักพัก ก่อนเจ้าตัวจะผละหน้าออกเมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้ แล้วเดินตรงไปยังบ้านหลังใหญ่ของเชษฐ์ไชย อาจจะไปคุยอะไรสักอย่างกับเจ้านายของหมอกก็เป็นได้

ตายแน่ แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน วิริยะคิดทั้งยกมือกุมใบหน้าร้อนผ่าวของตัวเอง เดินตรงไปที่บ้านพักของเจ้านายที่เพิ่งออกมาเมื่อช่วงสาย เห็นแม่ต้อยยืนคุมคนสวนทำความสะอาดหน้าบ้านอยู่ก็ตรงเข้าไปสอบถามทันที ตอนนี้เด็กหนุ่มอยากคุยกับเชษฐ์ไชย “อาเชษฐ์ไปไหนครับ”

แม่ต้อยยกยิ้ม “ให้อาหารปลาอยู่ที่สระหลังบ้านค่ะ น้องวิวมี...”

ไม่ทันได้ฟังแม่ต้อย วิริยะเดินอ้อมไปที่สวนหลังบ้านอย่างไม่สนว่าใครจะทักจะถาม ผ่านแปลงผักสวนครัวข้างหลังไม่กี่ก้าวก็เห็นแผ่นหลังกว้างใหญ่ของเชษฐ์ไชย ยืนอยู่ริมตลิ่ง กำลังโยนอาหารให้ปลาในสระอยู่อย่างเงียบสงบ แต่ดูเหมือนจะได้ยินเสียงฝีเท้าคนมา เจ้าตัวจึงเบนสายตามาทิศนี้ราวกับเป็นสัญชาตญาณ ซึ่งเมื่อเห็นเขาเดินหน้ายุ่งมาแต่ไกล เจ้าตัวก็วางกระป๋องอาหารลงแล้วก้มลงล้างมือจากน้ำในสระ

เห็นแล้ววิริยะก็ฉุน เดินไปถีบไอ้ก้นหนา ๆ นั่นบันดาลโทสะ จนคนตัวใหญ่หัวทิ่มคะมำลงไปในน้ำตูมใหญ่ ข้อหาฉวยโอกาสตอนที่เขาเมาแล้วทำตามอำเภอใจ!

“ทำบ้าอะไรน่ะวิว!” คนตัวเปียกเสยผม ลอยตุบป่องในน้ำ ร้องถามอย่างนึกโมโห

“อาเชษฐ์ยังไม่รู้อีกเหรอว่าโดนเรื่องอะไร!”

สีหน้าของวิริยะดูไม่ชอบใจเอาเสียมาก และดูท่าแล้ว เด็กหนุ่มยังคงโกรธเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนได้ เจ้าตัวพูดจบก็จะเดินกลับไป ซึ่งเชษฐ์ไชยไม่อาจยอมให้เป็นเช่นนี้ได้

“วิว วิว!” ชายหนุ่มรีบตะเกียกตะกายขึ้นจากสระ สางผมที่ปรกหน้าสิ้นท่าเสือใหญ่ของไร่ วิ่งทุลักทุเลตามวิริยะจนทัน แล้วดึงให้หันมาพูดจากันดี ๆ “ฟังก่อน เรื่องเมื่อวานไม่ได้ตั้งใจให้คนอื่นรู้นะ แต่ถึงคนอื่นรู้ก็ช่างมันสิ ฉันไม่สน”

เด็กหนุ่มส่ายหน้า “ก็บอกแล้วไงว่าให้คนอื่นรู้ไม่ได้”

“ทำไม เป็นเมียพี่มันน่าอายขนาดนั้นรึไง” เชษฐ์ไชยชักเริ่มเคืองใจ

เด็กหนุ่มเบิกตา ความรุมร้อนแล่นเข้ามาที่ใบหน้าอีกครั้งเมื่อได้ยินที่เชษฐ์ไชยกล่าว ภาพเมื่อคืนแล่นเข้ามาจนสามารถจำทุกอย่างได้ครบถ้วนเสียเอง โดยไม่ต้องให้เชษฐ์ไชยอธิบายอะไรอีก ซึ่งเป็นคำตอบที่บอกเด็กหนุ่มว่าไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่ายเลย เขาต่างหากที่ปากพล่อยพูดออกมาเอง

ทราบแล้ววิริยะก็ปรับสีหน้า ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่ากำลังเขิน

“ตะ แต่อาเชษฐ์ก็ไม่น่าทำแบบนั้นป้ะ” โบ้ยความผิดให้ฝ่ายตรงข้าม

คนตัวเปียกตรงหน้าเลิกคิ้ว “แบบไหน”

“ก็ พาผมไปนอนที่ห้อง...แบบนั้นอะ” เด็กหนุ่มบุ้ยปาก

“ไม่พาไปที่ห้องแล้วใครจะดูแล หืม...”

เชษฐ์ไชยเดินเข้าหาอีก

“อ๊ากกก ตัวเปียก!” วิริยะร้องโหวกเหวก ทำหน้ายุ่งดิ้นขลุกขลักเมื่อเชษฐ์ไชยขยับเข้าใกล้ บังคับกอดให้ความเย็นของน้ำซึมซับใส่ตัวเด็กหนุ่ม ครั้นเห็นหน้าแดงของวิริยะยามหลบหลีกสายตาไปที่อื่นก็รู้ ว่าที่จริงแล้วกำลังเขินอาย คนมองเพียงแค่คลี่ยิ้ม สะบัดผมให้หยดน้ำกระเด็นใส่อีกทีเพราะต้องการเอาคืน ข้อหาจู่โจมข้างหลังนายใหญ่ของไร่จนหมดสภาพเช่นนี้

“อื้อ อาเชษฐ์!” วิริยะเสียงดังสู้

“ไหนบอกมาซิ ไปทำสเน่ห์ที่ไหนมา”

“ทำบ้าทำบออะไร ปล่อย เปียกหมดแล้ว!”

“จะทำให้เปียกกว่านี้อีก สงกรานต์น่ะ รู้จักไหม”

พูดจบ ตัววิริยะลอยละลิ่วเหนือพื้นด้วยลำแขนข้างเดียวของคนอายุมากกว่า หน้าเด็กหนุ่มเหวอ เมื่อรู้ทันว่าเชษฐ์ไชยกำลังจะทำอะไร ลำแขนยาวคว้าคอเชษฐ์ไชยไว้แน่นไม่ยอมให้ชายหนุ่มโยนลงน้ำ ท้ายที่สุดเชษฐ์ไชยก็ใช้ไม้ตาย คว้าหมับไปที่กางเกงเด็กหนุ่มจนวิริยะอ้าปากค้าง เหลือกตาร้องโวยวายอย่างที่เคยทำ “อาเชษฐ์ ไอ้บ้า!”

แล้วเด็กหนุ่มก็กุมจับของหวงตัวเอง ในขณะที่ตัวลอยละลิ่วลงไป

ตูม!

“อั่ก ไอ้บ้า...”

วิริยะโผล่ขึ้นมาสางผมในขณะที่ลอยตัวอยู่ในน้ำ ไม่ทันได้เห็นรอบข้างก็พ่นคำด่าก่อนอันดับแรก

ไม่รู้ว่าเชษฐ์ไชยลงน้ำมาตอนไหน กระตุกดึงวิริยะเข้าไปหา เด็กหนุ่มเบิกตาเหลือกตกใจเป็นที่เท่าไรมิทราบ เมื่อถูกผลักให้แผ่นหลังไปแนบกับตลิ่งน้ำแสนชันสูงเลยหัว ในขณะที่คนตัวโตขยับเข้ามากุมขังด้วยลำแขนทั้งสองข้าง ไม่ยอมให้หลุดรอดไปไหนได้ และแม้รอบกายจะเย็นไปด้วยน้ำ ใบหน้าของวิริยะกลับรุมร้อนขึ้นไปอีก ยามนัยน์ตาคมของเชษฐ์ไชยสบประสาน

เป็นแบบเดียวกันในความฝันอันเลือนรางเมื่อคืน

“รู้รึยังว่าจูบทำไม” คนตรงหน้าถามเบาแผ่ว ผ่านเสียงหอบของวิริยะ ในระยะที่ลมหายใจรดใบหน้ากัน เด็กหนุ่มหลุบมองหน้าอกแกร่งที่โผล่พ้นน้ำของอีกฝ่าย รู้สึกอายขึ้นมา

“ระ...รู้ รู้แล้วครับ”

มือใหญ่เชยใบหน้าของเด็กหนุ่มขึ้น ให้สบตา

“รู้แล้ว แล้วให้จีบได้ไหม”

คนฟังย่นหน้า

“ยังจะมาถามอีก”

เชษฐ์ไชยกระตุกยิ้มอย่างทนไม่ไหวกับความน่าเอ็นดู ขยับเข้าใกล้ แนบริมฝีปากจูบลงแผ่วเบาถนอม ไม่ได้ดูดดื่มเหมือนเมื่อคืนแต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความโหยหา แล้วกระซาบแผ่วเบากว่าเดิม ด้วยน้ำเสียงชวนสยิวแปลก ๆ ในระยะที่ริมฝีปากสัมผัสคลอเคลียกัน “ตอบแบบนี้ ให้ข้ามขั้นไปได้เลยใช่ไหม”

“บ้า...” วิริยะตีบ่าคนตัวสูงกว่า ทั้งอยากเอ็ดและแก้ขัดเขินของตัวเองไปด้วย

“เมื่อวานหึงใช่ไหม”

เด็กหนุ่มชะงัก ยกมือกุมที่หน้าตัวเองไม่อยากยอมรับ

“ทำให้หึงแทบตาย มาหึงอะไรกับแค่เพื่อน หืม...” คนถามกัดฟันอดทนกับความน่ามันเขี้ยวของเด็กหนุ่มตรงหน้า

วิริยะหน้าเหวอ ทุบอกคนกำลังกอดปึก ๆ เมื่อเชษฐ์ไชยขยับตัวเข้ามาแนบชิดราวกับกำลังคิดการณ์ใหญ่ ด้วยสถานการณ์ตอนนี้วิริยะเป็นรองก็มาก บริเวณหลังบ้านมีต้นไม้พืชผักอยู่หนาใบ ไหนจะมีตลิ่งน้ำบดบังคนจากที่บ้าน และเลยสระไปก็เป็นสวนกล้วยที่ปลูกไว้ ไม่มีคนงานคนไหนเดินผ่านแน่

“ฮื่อ...” เด็กหนุ่มครวญ  ยามมือใหญ่แตะต้องอะไรที่อยู่ในน้ำผ่านเนื้อกางเกง

วิริยะรู้สึกเหมือนจะจมน้ำ เอื้อมกอดคอคนตัวใหญ่กว่าแล้วส่ายหน้า ทว่าเชษฐ์ไชยไม่เห็นใจเขาเลย โน้มลงมาแนบจูบแบบดูดดื่ม ฟอนเฟ้นด้วยริมฝีปากจนเกิดเสียงน่าอาย แล้วเลยมาที่ติ่งหู กกกอดวิริยะไม่ยอมให้ถอยห่างออกจากร่างที่บดเบียดกัน อยากจะขัดขืน อยากจะบอกให้หยุด แต่ติดตรงที่ริมฝีปากที่ถูกจองจำอยู่ตลอดไม่มีโอกาสได้พูดสักที

มือใหญ่เคลื่อนสัมผัสตัววิริยะใต้กางเกง เด็กหนุ่มสะดุ้ง

“อื้อ...”

เสียงครวญอันหวานหู ยิ่งไปกระตุ้นความอยากคนทำอีกเท่าตัว

“ไหน เมื่อวานใครทิ้งให้อารมณ์ค้างกัน หืม...”

วิริยะส่ายหน้าด้วยความอับอาย ใครจะไปรู้กันเล่า

เชษฐ์ไชยลากลิ้นเลียลำคออย่างย่ามใจ ไม่สนว่าบนเนื้อกายวิริยะเปื้อนน้ำในสระหรือไม่ ฝังริมฝีปากลงบนผิวเนื้อของเด็กหนุ่มราวกับต้องการตีตราจอง ให้ใครต่อใครรู้ว่าวิริยะเป็นของเจ้าตัว สิ่งที่เด็กหนุ่มทำได้คือส่งเสียงปรามเบา ๆ เท่านั้น ไม่คิดไม่ฝันว่าเชษฐ์ไชยจะลามกกล้าทำอะไรอย่างนี้กับเขาในที่ไม่ลับสายตา

หน้าไม่อายเสียจริง

“พอเถอะนะอาเชษฐ์” เด็กหนุ่มกระซิบเสียงเบา ในขณะที่ริมฝีปากหยักของเชษฐ์ไชยยังคงคลอเคลียอยู่ชิดใกล้ ไม่เอ่ยอะไรในเวลานี้ นอกจากแนบจูบซ้ำแทนการตอบคำถาม มือไม้ข้างหนึ่งก็ลูบสำรวจจนทั่ว วิริยะกลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะไม่ฟังความแล้วเอาแต่ใจทำไปจนถึงขั้นสุดท้าย ตรงนี้

เชษ์ไชยทำเสียงฮึ่มฮั่มในลำคอ ดึงมือวิริยะให้เอื้อมมาแตะของชายหนุ่มบ้าง นัยหนึ่งคงต้องการบอกว่ามันแข็งและขยายใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว วิริยะยังจะใจร้ายให้หยุดกลางคันอีกหรือ

คนตรงหน้าใช้เสียงพอใจ สูดลมหายใจลึกขึ้นกว่าเก่ามือจับมือวิริยะนำพาความสุขให้ตัวเองไปพลาง ดุนดันตัววิริยะพิงที่ดินตลิ่งชันไปพลาง อีกข้างก็มอบความสุขให้เด็กหนุ่มบ้าง

วิริยะเม้มปากแน่น เก็บกักเสียงเพราะกำลังจะถึงงฝั่งฝันในไม่ช้า

“อาเชษฐ์ ฮือ...” เด็กหนุ่มร้อง ความหอมหวานของรสกามในมือของเชษฐ์ไชยทำให้แทบบ้า ภายในสมองมึนเบลอไปชั่วขณะหนึ่ง รู้เพียงว่าเขาทำทุกทางที่จะให้ถึงที่หมายโดยเร็วที่สุด โดยไม่คิดเลยว่าการขยับเอวตอบสนองอย่างนี้มันจะน่าอายขนาดไหน

“...ผมจะ ผมจะ...” วิริยะตัวสะบั้น กระตุกกึกอยู่สองสามที ครวญหงุงหงิงราวลูกแมวกำลังออดอ้อน ซุกกอดพ่นลมหายใจฟืดฟาดอยู่ในอกกว้าง ขณะที่คนตัวใหญ่ยังคงสนใจลากลิ้นเลียที่ต้นคอ ไหล่ที่โผล่พ่นเสื้อยืด ดูดเฟ้นเร่งเร้าอารมณ์ให้จนวินาทีสุดท้าย

ช่วงวินาทีความสุขกำลังครอบงำเด็กหนุ่ม วิริยะกลืนน้ำลายแก้คอแห้งผากของตัวเองหลังได้สติ แหงนมองคนตรงหน้ากำลังพริ้มตาหลับ ง่วนอยู่กับการใช้มือวิริยะบำเรอให้ เห็นแล้วใจวิริยะเต้น แล้วรู้สึกถึงความขัดเขินเมื่ออีกฝ่ายลืมตา เห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังจับจ้องอยู่ก็ไม่รู้จักอาย ขยับเข้ากอดวิริยะ กระซาบกระซิบเสียงแผ่ว “วันนี้พี่ขอเถอะนะ”

ตรงนี้น่ะหรือ!

หน้าเด็กหนุ่มร้อนฉ่า ส่ายหัวระรัวบอกว่าไม่พร้อม ซึ่งดูเหมือนเชษฐ์ไชยจะไม่สนใจเลย

วิริยะถูกกระหน่ำจูบ มือใหญ่ที่กุมจับก็ผละออก มาบีบขยำเนื้อบั้นท้ายด้านหลังของวิริยะราวกำลังมันเขี้ยว ไม่รู้อะไรเป็นอะไร ใจเต้นตึก ร่างกายปั่นป่วนแล้วแข็งขึงตอบอีกรอบ โดยที่วิริยะบังคับตัวเองไม่ได้เลยแม้แต่นิด

นิ้วหัวแม่มือใหญ่ของเชษฐ์ไชย เขี่ยสำรวจราวต้องการรู้ว่ารูปร่างด้านใต้ของวิริยะเป็นอย่างไร เด็กหนุ่มสะดุ้งเมื่อโดนจุดอ่อนไหว จนหลุดปล่อยเสียงครางออกไปให้คนตัวใหญ่ได้ยิน ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดถึงได้เป็นคนทะลึ่งได้ขนาดนี้ เอาเสียวิริยะเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา หากห้ามปรามเชษฐ์ไชยไม่ได้คงต้องเป็นเหมือนคืนนั้น

รุนแรง และป่าเถื่อน

“ผมมะ...ไม่พร้อมนะอาเชษฐ์” เด็กหนุ่มโอดเสียงสั่น มองคนตัวใหญ่กำลังสาละวนกับการนำพาตัวเองและวิริยะไปให้ถึงฝั่งฝัน จนน้ำในสระด้านบนกระเซ็นเปื้อนไปทั่วหน้าทั้งสอง กระทั่งทนไม่ไหว มือใหญ่ร่นกางเกงวิริยะลงแล้วจับตัวเด็กหนุ่มหันหลังให้

เมื่อถูกทำเช่นนี้วิริยะร้องปราม “ไม่ ไม่เอา...”

วิริยะกำลังกลัวเขา

เชษฐ์ไชยส่ายหน้า พยายามอย่างสุดชีวิตที่จะระงับความอยากของตัวเอง ในขณะที่มือกำลังง่วนอยู่กับการสอดแทรกลองเชิงดูก่อนว่าได้หรือไม่ แต่ครั้นได้ยินเสียงของวิริยะ ชายหนุ่มก็นึกขึ้นมาว่าไม่ควรให้ความหน้ามืดตามัวทำร้ายคนตรงหน้า ชายหนุ่มจูบแก้มเด็กที่กำลังกลัวอ่อนแผ่ว แล้วกระซิบเสียงเว้าวอนว่า

“วิว หนีบขาเร็วเข้า”

ได้ยินที่เชษฐ์ไชยบอก เด็กหนุ่มรู้สึกอาย แต่วางใจว่าจะไม่ถูกบังคับแล้ว

วิริยะพยักหน้าเล็กน้อย ก้มลงเพราะไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร จำต้องทำตามความต้องการของตัวเองและคนข้างหลังให้มันผ่านไป ความร้อนจากของแข็งขึงสอดแทรกมาเบียดต้นขาเด็กหนุ่ม เสียดสีกับลูกชายทั้งสองของวิริยะจนรู้สึกสยิวมากขึ้นไปอีก วิริยะตัวกระตุก ยามคนด้านหลังขยับตัวให้ร่างกายของทั้งสองอยู่ใกล้กัน ดีหน่อยที่เชษฐ์ไชยไม่เห็นบริเวณที่อยู่ใต้น้ำชัดนัก

“วิว...” เสียงทุ้มกระเส่าพร่า ขานชื่อเด็กหนุ่มราวต้องการเน้นย้ำว่าไม่ผิดตัวแน่

วิริยะกลืนน้ำลาย รู้สึกตัวรุมร้อน ยามหน้าอกของเชษฐ์ไชยบดเบียดอยู่ข้างหลัง แผ่นน้ำกระซอนกระเซ็นไปทั่วยามมือยาวเคลื่อนมาช่วยวิริยะด้านหน้า อีกข้างก็โอบกอดไม่ยอมให้สะเทิ้นไหวหนีไปไหน

นานเท่าไรไม่รู้ แต่ดูเหมือนเชษฐ์ไชยอยากจะแกล้งวิริยะ ไม่ยอมเสร็จเสียที จะถึงที่หมายเมื่อไรก็ลดทอนกำลังลงแล้วขยับเชื่องช้ากว่าเก่า หรือไม่ก็กำลังเพลิดเพลินและอยากยื้อเวลาให้นานที่สุด แต่วิริยะน่ะซี อายจนจะบ้าอยู่แล้ว

“อย่าทำแบบนี้...” วิริยะทุบหน้าอกเชษฐ์ไชยปึก ๆ

คนด้านหลังงับหูวิริยะเบา ๆ “แบบไหน หืม...”

คนโดนแกล้งส่ายหน้าไม่ไหว ไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น รู้สึกดียามลมร้อนรดอยู่ข้างแก้มและใบหูจนขนลุก แล้วหันเบี่ยงใบหน้าไปตามแรงของเชษฐ์ไชย ให้ร่างใหญ่โน้มลงมาแนบริมฝีปากจูบกันอยู่เช่นนั้น เพราะรู้ตัวกันอย่างดีว่าความหอมหวานของรสกามกำลังเดินทางมาถึงจุดหมายในไม่ช้า

“อื้อ...อา...อาเช...” เสียงวิริยะขาดหาย ร่างกายกระตุกวูบในขณะที่ถูกปิดปากจูบ เดาว่าคงเสร็จไปอีกรอบแล้ว

หากเชษฐ์ไชยปล่อยให้ริมฝีปากบางนุ่มนิ่มว่าง เจ้าตัวคงร้องเสียงหลงเรียกคนทั้งไร่มาดูแล้ว ชายหนุ่มผละออกเมื่อท่าทีของเด็กในอ้อมกอดอ่อนลง แล้ววางหน้าซบที่ซอกคอหอม สูดดม พรมจูบไปจนทั่ว  “คราวหน้าพี่ไม่ปล่อยวิวแน่ พี่จะ...จะเสร็จในตัวเธอ...”

ถ้อยคำหยาบโลนที่พูดนั้น กระตุ้นความกระสันของเชษฐ์ไชยจนอดทนไม่ไหว กระทั้นเอวบดเบียดแนบแน่น ปลดปล่อยความสุขออกมาจนหมดในขณะที่ชายหนุ่มกอดวิริยะแน่นไม่ยอมให้หนี ให้ตัวเองได้รำลึกว่านานเหลือเกินที่ไม่ได้ทำเรื่องลามกอย่างนี้ หนำซ้ำ ยังเกือบบังคับทำอะไรบ้า ๆ ลงไป

เขาเชื่อเลย ว่าหากเผลอรุนแรงและเอาแต่ใจครั้งนี้ไป วิริยะคงโกรธมากแน่

เพียงแค่เห็นเด็กหนุ่มน้ำตาไหล ซบหน้าอยู่กับดินตลิ่งแถวนั้นไม่พูดไม่จาหลังเสร็จกิจ เชษฐ์ไชยก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ เกรงว่าจะถูกเมียโกรธเหลือเกิน

อยากจะรู้เหลือเกิน ว่าวิริยะไปทำสเน่ห์ที่หมอไหน เขาจะไปเผาสำนักมันทิ้งเสีย

เด็กตัวเล็กแค่นี้ เหตุใดจึงมีอิทธิพลต่อเขามากมายนัก ทำให้เสืออย่างเขาขันติแตกได้ จากที่กลายเป็นคนร้าย ป่าเถื่อน ได้พ่วงตำแหน่งไอ้หื่นผู้ล่อลวงเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดตามหลังมาอีกหนึ่งอย่าง อย่างที่ไอ้ลิงทโมนกลุ่มนั้นนึกหวาดระแวงจนได้ คิดแล้ว ชายหนุ่มก็พรมจูบลงบนใบหน้าแดงก่ำของวิริยะอย่างนึกหวง และโกรธตัวเองที่ทำอะไรไม่รู้จักยั้งคิด

ยังดี ที่ไม่เผลอไผลทำอะไรลึกซึ้งมากกว่านี้

ยังดี ที่มีความเป็นคนอยู่บ้าง

เด็กอย่างวิริยะไม่มีทางต่อต้านเขาได้ สิ่งที่ต่อต้านและหยุดห้ามความป่าเถื่อนของเชษฐ์ไชยได้ คือใจของชายหนุ่มเอง มือหนายกขึ้นปาดน้ำตาของเด็กหนุ่มเบื้องหน้า กระซาบสัญญาว่าจะไม่ทำเรื่องเอาแต่ใจแบบนี้อีก

ถ้าวิริยะไม่อนุญาต

ซึ่งเขาก็มีหนทางทำให้วิริยะอนุญาตได้ คิดแล้วคนตัวโตก็กระตุกยิ้มร้าย

ก็บอกแล้วไง เขาไม่ใช่คนดีขนาดนั้น...


--๕๐--


------------------------------------------------------



จริง ๆ ว่าจะเขียน NC ที่น้ำตก เลยคิดว่ามันไกลไป มาเขียนที่สระแทน 55555

ที่นานนี่เพราะฉากนี้เลยนะคะ นี่ขนาดจีบนะ ยังจู่โจมขนาดนี้

ถ้าน้องยอมเป็นเมียนี่ คงฟ้าเหลือง 55555

อันที่จริงไม่ได้มีอะไรกันนะคะ แต่ว่าทำเรื่องทะลึ่งแล้วเสร็จกันทั้งคู่ เลยป้องกันไว้ดีดว่าแก้

กะว่าช่วงได้กัน จะให้ไปได้ไกลๆ เช่นในกระท่อมท้ายไร่ เป็นต้น กร๊ากกกกกก

เดียววิวจะไม่ยอมให้ตัวเองถูกแกล้งคนเดียวแน่ ถึงจะยอมรับความรู้สึกว่าชอบกันแล้ว แต่เรื่องไม่ยอมใครทั้งสองสู้สุกชีวิต ดูจากการที่น้องวิวกระโดดถีบอาเชษฐ์ตกน้ำเป็นการล้างแค้นได้ 55555

อย่าลืมทิ้งคอมเม้นให้หนูนาอ่านด้วยนะคะ จะได้มีกำลังใจปั่น

เดี๋ยวตอนหน้าน้องก็ได้กลับบ้านแล้ว มีเรื่องให้ลุ้นอีกมากมาย

บายเด้ออออออออ



หัวข้อ: Re: **{6.4.61-ตอนที่ ๑๖--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-04-2018 00:35:50
ตื่นมาอย่ามึนจนลืมล่ะวิว
หัวข้อ: Re: **{6.4.61-ตอนที่ ๑๖--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: T_TARS ที่ 06-04-2018 00:55:58
สมชื่อเจ้าชายอสูรจริงๆ เถื่อน ดิบ หื่น
ส่วนน้องวิวนี่อย่าไปยอมอีตาลิงยักษ์ง่ายๆนะ
 :oo1:
หัวข้อ: Re: **{6.4.61-ตอนที่ ๑๖--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 06-04-2018 01:15:02
 :-[
หัวข้อ: Re: **{6.4.61-ตอนที่ ๑๖--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 06-04-2018 01:24:23
แหม อาเชษฐ์
หื่นจริงๆใฟ้ตายสิ 555
พอรู้ใจกันแล้ว พี่เลยน้าา
 :hao3:
หัวข้อ: Re: **{6.4.61-ตอนที่ ๑๖--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 06-04-2018 03:08:02
ในที่สุดคนหล่อทั้ง 7 ก็ช่ยสโนว์วิวจากนายหัวหื่นไม่ได้  :hao6:
หัวข้อ: Re: **{6.4.61-ตอนที่ ๑๖--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 06-04-2018 08:13:17
ไม่ค่อยเลยนะอาเชษฐ์ แต่เมื่อรู้ใจกันแล้ว อย่ากระนั้นเลยขึ้นไปต่อที่ห้องเลยนะ
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: **{6.4.61-ตอนที่ ๑๖--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 06-04-2018 09:48:34
ดีจังเข้าใจกันแลัว ^^
หัวข้อ: Re: **{6.4.61-ตอนที่ ๑๖--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 07-04-2018 09:04:55
โอ้ยยยยย อาเชษฐ์ นี่คือพอไม่ต้องปิดบังแล้วก็ต้องเปิดเผยเบอร์นี้เลยหรือ? ถ้ามีคนมาเห็นน้องต้องงอนอีกยาวแน่ๆ หมั่นไส้อ่ะ!!!
หัวข้อ: Re: **{8.4.61-ตอนที่ ๑๖--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 08-04-2018 12:49:48

(ต่อ)

เชษฐ์ไชยพาวิริยะอ้อมเดินจากหลังบ้านไปยังหอพักเลย เพราะขี้เกียจตอบคำถามของทั้งแม่ต้อยและรตรีว่าไปทำอะไรกันมา เมื่อไปถึงหน้าห้อง เห็นเด็กหนุ่มก้มหน้าก้มตาควานหากุญแจในกระเป๋า บนแก้มยังคงไม่หายแดงแม้ว่าบนตัวจะเปียกไปด้วยน้ำทั้งคู่ ชายหนุ่มไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายกำลังร้อน เพราะเจ้าตัวไม่กล้าแม้กระทั่งสบตาเขาด้วยซ้ำ

สงสัยยังอาย เห็นแล้วคนตัวโตกว่าก็เพียงยิ้ม ยกมือสางผมเปียกยุ่ง ๆ ของเด็กหนุ่มให้

ผู้ถูกกระทำเงยมามองแวบหนึ่ง แล้วหลุบมองมือของตัวเองที่กำลังตั้งใจไขกุญแจ

“ไม่รู้เลยนะว่าจะขี้อายได้ขนาดนี้” ชายหนุ่มพูด

คนฟังย่นคิ้ว

“ใครจะไปหน้าด้านหน้าทนอย่างอาเชษฐ์ล่ะ ไม่รู้จักอาย เกิดใครมาเห็นเข้าจะทำยังไง”

“ก็...ขอโทษ บอกแล้วไงว่าจะไม่ทำอีก สัญญาเลย” ว่าพลางจะฉวยโอกาสจับมือ หากทว่าเด็กหนุ่มรู้ทัน รีบสะบัดออกแล้วหันมาโวยวาย “ไม่ต้องมาเนียนเลย แล้วอย่างนี้ใครมันจะไปเชื่อวะ นี่ขนาดกำลังพูดอยู่แท้ ๆ ยังจะตีหน้ามึนไม่รู้ร้อนรู้หนาวอีก”

“ย้ายไปอยู่ด้วยกันที่บ้านสิ”

เมื่อได้ยินเชษฐ์ไชยเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาเสียดื้อ ๆ วิริยะถอนหายใจเหนื่อย “อาเชษฐ์...”

“ทำไม รึว่าไม่อยากอยู่กับพี่”

“อย่าแทนตัวเองว่าพี่สิ เดี๋ยวคนอื่นมาได้ยินเข้า”

“ไม่ต้องมาเฉไฉเลยนะ” เชษฐ์ไชยยังคงไม่ยอม ขยับเข้าหาเด็กหนุ่มที่ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ “ก็คุยกันเข้าใจตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนี่ เราใจตรงกันไม่ใช่เหรอวิว ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องยากด้วยล่ะ”

“ก็เพราะอาเชษฐ์ใจร้อนเกินไปไง ทุกอย่างไม่ต้องให้มันง่ายไปซะหมดก็ได้นี่นา”

“ก็เพราะรู้ไง ต่อจากนี้มันจะไม่มีอะไรง่ายอีกต่อไปแล้ววิว เธอมาอยู่ข้างพี่ แล้วเป็นกำลังใจให้พี่ผจญเรื่องยากข้างหน้าเสียตอนนี้ไม่ได้เหรอ บอกมาซิ...อะไรทำให้เธอกังวลใจ พี่จะแก้ไขให้” ได้ฟังน้ำเสียงทุ้มนุ่มของเชษฐ์ไชยแล้ว เด็กหนุ่มทำได้เพียงสบตา ปล่อยให้มือหนาของอีกฝ่ายเคลื่อนมากุมจับประสานในความเงียบ สื่อความหมายของประโยคที่ผ่านมา

พูดไม่ออกเลย

“ที่พูดมาเวิ่นเว้อทั้งหมดเนี่ย คือพี่อยากจะครอบครองเธอ ป่าวประกาศว่าเธอเป็นของของพี่ให้ใครต่อใครรู้ เรื่องเมื่อคืนพี่ไม่ได้พูดเล่น ๆ นะวิว เธอคือคนของไร่รุ่งอรุณีไปแล้ว แล้วใครต่อใครก็ต้องได้รู้ในเร็ววันนี้ว่าวิวเป็นอะไรกับพี่”

ไม่ได้! วิริยะส่ายหน้าระรัวแต่ก็พูดไม่ออก เขาจะให้เชษฐ์ไชยทำอย่างนั้นไม่ได้ เท่ากับว่าตั้งระเบิดเวลาทำลายตัวเองเพื่อเขา แต่เมื่อเห็นความตั้งใจของอีกฝ่ายแล้ว วิริยะก็ไม่อาจหาญพอที่จะเอ่ยปฏิเสธไปในทันที

ในขณะที่ทั้งสองเถียงกันด้วยสายตา ก้อนน้ำภายในลูกโป่งสีสันสดใสหลายลูกก็ถูกปามาทิศนี้ โดนตัวใหญ่ของเชษฐ์ไชยแล้วแตกกระจายจนวิริยะสะดุ้งโหยงตกใจ

“อะไรอีกวะเนี่ย!” เชษฐ์ไชยบ่น ทั้งสองหันไปตามที่มาของมัน เป็นกลุ่มชายหนุ่มทั้งเจ็ดที่ยืนอยู่หลังรถกระบะของไร่ กำลังถอดเสื้อ สวมใส่เพียงกางเกงขาสั้น บ้างก็ถือปืนฉีดน้ำอันใหญ่ บ้างก็ถือขันพลาสติกยืนยิ้มเเฉ่งให้อยู่

เจ็ดหนุ่มบอยแบนด์

“แอบไปเล่นน้ำไม่ชวนพวกเราเหรอครับนายเชษฐ์!” ไทตะโกน

วิริยะหน้าเริ่มแดง มองเชษฐ์ไชยสลับกับพวกพี่ ๆ เพราะรู้สึกว่ามีบางอย่างค้างคาอยู่ในใจ หากทว่าดำกระโดดลงจากรถ สภาพแขนเดียวอย่างนี้ยังไม่สน แถมเอาอะไรไม่รู้พันแขนไว้ราวกับเป็นมัมมี่ วิ่งมาหาพวกเขาด้วยใบหน้าอย่างเดิม ไม่ได้มีทีท่าแปลกไปจากเมื่อก่อน “นายเซษฐ์ วิว ไปเล่นน้ำที่เขื่อนกันครับ มื้อนี้คนเล่นหลาย ไปเถอะ ไหน ๆ กะเปียกกันมาแล้ว”

“ไม่ไป” เชษฐ์ไชยหน้าบึ้ง อารมณ์เสียที่คุยกันยังไม่จบ

“ผมไป รอแป๊บนะ ไปเอาหมวกกับเสื้อแขนยาวก่อน” พูดจบ วิริยะก็รีบหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องพัก ไม่ถงไม่ถามสุขภาพของคนพี่สักคำ ปล่อยให้เชษฐ์ไชยอึ้ง อดจะหันไปมองหน้าของดำที่กำลังกลั้นขำไม่ได้ มันคงรู้ว่าเขาอยากจะเปลี่ยนใจตามวิริยะไปแน่

“ไปบ่ครับ เปลี่ยนใจยังทันเด้” ดำล้อ

“เออ!” เชษฐ์ไชยมุ่นคิ้ว ผละไปมองไอ้พวกลิงที่กำลังสนุกสนานแกล้งกันบนรถแล้วทอดถอนใจ “แล้วยกโขยงไปกันเนี่ย ขออนุญาตกูกันรึยัง รถกูก็พาขโมยกันมาเสร็จสรรพ ไอ้พวกโจรห้าร้อย”

ดำยิ้มเผล่ “พวกมันว่าบ่ต้องขอ จั่งใด๋นายเซษฐ์กะให้ไปอยู่แล้ว”

“หน็อย ไอ้พวกเวร ได้คืบแล้วจะเอาศอก” เชษฐ์ไชยบ่น

“แต่นายเชษฐ์บ่ต้องห่วงเรื่องพวกเฮาสิเอาเรื่องของนายเซษฐ์ไปเว้าเด้อ พวกดำอยู่ข้างนายเซษฐ์ ฮู้ว่านายเซษฐ์สิบ่เก็บไว้เป็นความลับแน่นอน” หนุ่มอีสานบอกด้วยความยินดีที่จะเล่า เมื่อพวกเขาเจอกันอีกครั้งตอนเช้า หลังได้นอนขบคิดไตร่ตรอง ทั้งหมดก็ได้ปรึกษาหารือกันแล้วว่าเชษฐ์ไชยไม่ผิดที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ พวกเขาเต็มใจที่จะสนับสนุนให้เชษฐ์ไชยมีความรัก แม้ว่าใครจะไม่เห็นด้วยก็ตาม

“ขอบใจ...” มือหนาของเจ้านายตบเปาะบนบ่าของดำ แล้วเดินออกไปรอที่รถโดยไม่พูดอะไรต่อให้มากความ ปล่อยให้ลูกน้องที่อายุน้อยกว่าอยู่มุมนี้ยิ้มด้วยความดีใจ แม้จะไม่เอ่ยอะไรมาก แต่ดำรู้ว่าเชษฐ์ไชยรู้สึกดีที่ตัวเองไม่ได้เดียวดายอย่างที่คิด

“คั่นพ่อแม่วิวเอาเรื่องมื้อใด๋ เดี๋ยวดำสิเอาโอเลี้ยงไปฝากที่คุกเด้อ!”

คนฟังหันมาชูนิ้วกลางให้ พร้อมกับดำที่หัวเราะคิกหลังจากแซวเสร็จ เชษฐ์ไชยยังคงเป็นเชษฐ์ไชย แม้จะมีความรัก แม้จะแพ้ให้กับเด็กอายุแค่สิบเจ็ดหน้าตาน่าเอ็นดู ก็ยังคงดิบเถื่อนเหมือนเดิม เป็นเจ้านายคนเดิม แค่แสดงออกต่อเขาเท่านี้มันก็ดูเลี่ยนเกินไปแล้ว สำหรับผู้ชายด้วยกัน

เมื่อวิริยะเสร็จธุระแล้วก็ตามมาขึ้นรถ เจ้าตัวหน้างอเล็กน้อยเมื่อเชษฐ์ไชยบังคับให้มานั่งข้างหน้าด้วยกัน คงอยากจะไปสนุกอยู่กับพวกพี่ด้านหลังมากกว่า นายใหญ่ของไร่ลงจอดที่หน้าบ้านตัวเองเพื่อหยิบของใช้ส่วนตัว และอะไรจิปาถะด้วยเช่นกัน เพราะเห็นว่าวิริยะไม่รอบคอบนักก็เลยหยิบผ้าขนหนู และเสื้อผ้ามาเผื่อ เผื่อว่าอีกฝ่ายจะเล่นน้ำจนหนาวแล้วอยากเปลี่ยนผ้าขึ้นมา

เดินกลับมาที่รถ เห็นวิริยะไปอยู่ข้างหลังรวมกับพวกลิงรุ่นพี่เรียบร้อยแล้ว เชษฐ์ไชยถอนหายใจ สรุปชวนให้เขาไปเป็นคนขับรถให้พวกมันหรอกหรือ นี่ถ้าวิริยะไม่อยู่ด้วย เขาจะแกล้งขับเร็ว ๆ แล้วเทกระจาดพวกมันให้สมกับความหมั่นไส้ แต่ความเป็นจริงน่ะหรือ เสียงบ่นด้านหลังได้ยินแว่ว ๆ ว่าขับรถหรือขับเต่า ช้าเหลือเกิน เมื่อไรจะไปถึงที่หมายกัน

ผิดด้วยหรือไงที่เขาเป็นห่วงเมีย กลัววิริยะเป็นอันตราย

ตลอดทางเชษฐ์ไชยเหลือบมองวิริยะตลอด ครั้นเห็นเด็กหนุ่มสนุกสนานยามอยู่ร่วมกับเจ็ดหนุ่มบอยแบนด์แล้วก็พลอยทำให้คนในรถยิ้มตามไปด้วย สองข้างทางมีเด็กและกลุ่มคนตั้งถังน้ำรออยู่หน้าบ้าน ชายหนุ่มชะลอให้ได้เล่นน้ำกัน แต่เมื่อไรถึงบริเวณที่มีกลุ่มวัยรุ่น ไม่ว่าจะชายหรือหญิง เชษฐ์ไชยเหยียบขับผ่านฉิวโดยไม่สนว่าคนด้านหลังรถจะโวยวายกันขนาดไหน เป็นคนขับมันก็ดีอย่างนี้

มาถึงอ่างเก็บน้ำสมใจอยากของเจ็ดหนุ่ม วิริยะอ้าปากหวอกับบรรยากาศเบื้องหน้าที่มีเขาลูกใหญ่ บริเวณสันเขื่อนที่ใช้เป็นตำแหน่งกักเก็บน้ำเป็นถนนลาดยางผ่านยาวเป็นกิโลเมตร น้ำในเขื่อนไม่ได้แห้ง มีคนกำลังเล่นกันอยู่ ด้านบนสันมีรถจอดกันอยู่หลายคัน บริเวณถนนนั้นเริ่มมีผู้คนเดินเล่นน้ำกันบ้างแล้ว เชษฐ์ไชยพาทุกคนขับขึ้นสันเขื่อนไปจอดที่ริมถนนแถวนั้นบ้าง จะได้ปล่อยพวกลิง ๆ ลงไปเล่นน้ำกัน

ขอบถนนจะมีเสาขาวดำขนาดเอวตั้งเรียงกันไปจนสุด ข้างล่างจะเป็นทางเบี่ยง ต่ำกว่าสันเขื่อนราวสิบห้าเมตรได้ สำหรับคนที่ต้องการไปยังอีกฝั่งของเขื่อน เพราะด้านบนมีกิจกรรมสำหรับเล่นน้ำกัน จะเดินทางผ่านคงไม่สะดวกเท่าด้านล่าง ด้านฝั่งที่มีน้ำ จะเป็นหินก้อนใหญ่เรียงกันสวยงามไปจนสุดทาง เป็นที่สำหรับคนแวะมาตกปลา และให้ใครนั่งพักผ่อนหย่อนใจ

ดูเหมือนเจ็ดหนุ่มจะฮอตเป็นพิเศษ เมื่อรถจอดก็มีสาว ๆ มารุมขอปะแป้งกันยกใหญ่ เป็นใครก็คงชอบ ขนาดวิริยะเองยังรู้สึกเลยว่าพวกพี่ ๆ ของเขาดูหล่อเหลาเป็นพิเศษเมื่อถอดเสื้อ ไม่แปลกเมื่อใครเห็นแล้วพากันกรี๊ด พลอยให้นึกถึงพี่สาวทั้งสามที่กลับบ้านเกิดกัน

ทั้งหมดไม่ได้ไปไหน นอกจากวิ่งเล่นแถว ๆ รถจอด ยิ่งนานไปคนยิ่งเยอะมากขึ้นจนถนนแน่นขนัดไปด้วยผู้คนผู้ปอนเปียกไปด้วยน้ำ ไม่ต่างจากตรอกใดตรอกหนึ่งในเมืองใหญ่นัก เห็นแล้ววิริยะรู้สึกตื่นตาตื่นใจ

“ขอปะแป้งหน่อยได้ไหมครับ” หนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า ยิ้มแป้นแล้นให้วิริยะ

“ได้ครับพี่”

วิริยะเตรียมแป้งในมือจะทาให้อีกฝ่ายคืนบ้าง หากทว่าผู้มาขอปะแป้งที่ยิ้มอยู่นั้น หน้าเจื่อนลง เมื่อเหลือบไปเจอะอะไรอยู่ด้านหลัง เด็กหนุ่มมองตามสายตานั้น เห็นคนตัวยักษ์ยืนพิงรถยนต์หน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับต้องการกินเลือดกินเนื้อ แถมสวมแว่นดำอย่างกับพวกมาเฟียจ้องพวกเขาเขม็งคล้ายว่าทำอะไรผิดไป “พะ พี่ว่าพี่ไปดีกว่า”

“เอ้า...” วิริยะเกาหัว หน้ายุ่ง เดินไปหาเชษฐ์ไชยที่ยังคงไม่เลิกวางท่าเป็นคนดุ “อาเชษฐ์ ยิ้มหน่อยสิ”

เชษฐ์ไชยส่ายหน้า “เกี่ยวอะไรละ จะเล่นน้ำก็เล่นไปสิ”

“ก็อาเชษฐ์ทำหน้าดุ คนเขากลัวกันหมดแล้ว” วิริยะอธิบาย เมื่อเห็นพ่อคนหน้าโหดยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้ เด็กหนุ่มก็ดึงให้มาหยุดยืนข้าง แล้วยื่นปืนฉีดน้ำให้ “เอ้า มาเล่นด้วยกันนี่แหละ”

“อะไร ไม่เล่น พี่ไม่ใช่เด็กแล้วนะ” เชษฐ์ไชยส่ายหน้า

“งั้นก็ทำหน้าดี ๆ สิ”

“ก็มันดีได้แค่นี้นี่ จะเอาอะไรอีก” เชษฐ์ไชยยังคงเถียง เห็นแล้ววิริยะก็เพียงแค่มุ่นคิ้วเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตามใจ หน้าจ๋อยลงไปพักหนึ่งเท่านั้นก็ผุดยิ้มกวน วิ่งไปขอขันดินสอพองของพี่ ๆ มา แล้วทำท่าจะป้ายหน้าให้ เชษฐ์ไชยรู้ทันรีบเบี่ยงหน้าหลบ ไม่ยอมให้วิริยะทำตามใจ แต่พอเห็นเด็กหนุ่มหน้างออีกรอบ ก็จำต้องยอมหยุดยืนนิ่ง ๆ ปล่อยให้เจ้าตัวละเลงหน้าจนกว่าจะพอใจ

ให้ตายซี สงสัยได้เข้าอีหรอบเดิมแน่ รักใครก็หลงตามใจตลอด

“เสร็จแล้ว” เสียงของวิริยะสดใสขึ้น “คราวนี้คนจะได้ไม่กลัว”

เชษฐ์ไชยเข้าใจผิดไปว่าอีกฝ่ายจะละเลงหน้า แต่ไม่เลย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวิริยะทำอะไรลงไปบ้าง กระทั่งไอ้พวกลิงทั้งเจ็ดหันมาเห็น พากันสะกิดดูแล้วหัวเราะกันก๊ากใหญ่ เขาถึงรำลึกได้ว่ามันคงน่าอายมากแน่ ไม่น่าไปยอมตามใจไอ้เด็กตรงหน้าเลย คิดแล้วชายหนุ่มก็หมุนตัวกลับมาส่องที่กระจกรถ ชะงักกึกไปพักหนึ่งเมื่อเห็นสภาพตัวเอง

วิระยะวาดตายิ้มเป็นสระอิใส่บนแว่นตาดำทั้งสองข้างให้ เพื่อภาพลักษณ์ที่ดูเป็นมิตรขึ้น แถมหนวดสามเส้นเป็นแมวเหมียวให้ด้วยทั้งสองข้าง กับจุกกลมที่ปลายจมูกอีกหนึ่งที่ เปลี่ยนจากเสือตัวใหญ่กลายเป็นโหมดมุ้งมิ้งได้ฉับพลันจนไอ้ลิงทั้งเจ็ดนอนกลิ้งขำกันยกใหญ่ เชษฐ์ไชยส่ายหน้า จะลบก็เห็นวิริยะยืนกอดอกมองอยู่ แม้ไม่ได้พูด ชายหนุ่มก็รู้ว่าเขาไม่ควรลบมันออก

เออ ให้พวกมันขำกันได้ตามสบายใจ เขาไม่สนแล้ว

เล่นน้ำกันพักใหญ่ เชษฐ์ไชยเห็นท่าทางของวิริยะแปลกไป กระทั่งตัวผอมโปร่งเริ่มซวนเซจะล้ม ดีหน่อยที่ชายหนุ่มรีบไปรับตัวได้ทัน ถึงแม้วิริยะจะบอกว่าไม่เป็นไรแล้วยิ้มให้ แต่รอยยิ้มก็แห้งเหือดเหลือเกิน ดูไม่มีแรงเอาเสียเลย

“นายเชษฐ์ พาวิวไปนั่งหลบแดดอยู่ฝั่งโน้นกันเถอะครับ หลังรถแดดไปไม่ถึง” หมอกบอกพลางช่วยพยุงตัววิริยะ พาเดินอ้อมรถมาทรุดตัวนั่งที่ขอบถนน มองลงไปเป็นเนินหินที่เรียงตัวกัน และผืนน้ำของเขื่อนที่กว้างขวางไปจนถึงตีนเขา ลมเย็นก็พัดเข้ามาช่วยให้หายใจได้สะดวกมากขึ้น

หมอกเห็นเสื่อในรถก็เอื้อมไปหยิบมาปูให้

“อย่าบอกพี่นะว่าวิวไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า นี่จะเย็นแล้วนะ”

ได้ฟังเชษฐ์ไชยที่พยุงให้นั่งก็หันขวับมองหน้าซีด ๆ ของเด็กหนุ่ม “จริงเหรอวิว ยังไม่ได้กินอะไรเลยเหรอ”

“ครับ ยังไม่ได้กิน” วิริยะยอมรับ

“ทำไมไม่บอกกันเล่า!”

“ก็ไม่เห็นต้องดุขนาดนี้เลยนี่” วิริยะบุ้ยปาก

เชษฐ์ไชยส่ายหน้าระอา “งั้นรออยู่นี่ เดี๋ยวไปซื้ออะไรมาให้กิน”

“พวกมึง เอาอะไรกันไหม นายเชษฐ์จะออกไปซื้อของ!”

“ไอ้หมอก กูไม่ใช่เบ๊พวกมึงนะเว้ย!” เชษฐ์ไชยเสียงดัง

“เอาน่า ทางผ่านไม่ใช่เหรอครับ นายเชษฐ์จะสองมาตรฐานซื้อให้วิวคนเดียวได้ไง เดี๋ยวผมอยู่ดูวิวมันให้” หมอกทำเสียงอ้อน

วิริยะหัวเราะเมื่อเห็นคนตัวโตทำหน้าไม่ค่อยชอบใจ แต่ก็ไม่เถียง เสียงของพี่ ๆ ตะโกนบอกว่าอยากได้อะไรระนาวแทบฟังไม่ได้ศัพท์ เชษฐ์ไชยก็ไม่สนว่าใครต้องการสิ่งไหน ก้มหยิบกระเป๋าสตางค์ในรถแล้วเดินหน้ายักษ์แหวกผู้คนไปอีกฝั่ง ไกลจากบริเวณนี้ราวห้าร้อยเมตร เพราะรู้ว่าตรงนั้นมีร้านค้าและร้านสะดวกซื้อตั้งอยู่

หมอกคลี่ยิ้ม ทรุดตัวลงนั่งข้างเด็กหนุ่มมองทอดออกไปยังวิวสวย ๆ เบื้องหน้า “แล้วได้คุยอะไรกับนายเชษฐ์บ้างไหม”

วิริยะที่นั่งกอดตัวเองบนเสื่อผละมามองพี่ชายข้างกาย “เรื่องอะไร”

“ก็เรื่องทั้งคู่นั่นแหละ ที่นายเชษฐ์ออกตัวแรงขนาดนี้คงไม่สนอะไรแล้วจริง ๆ”

“ผมไม่อยากให้อาเชษฐ์ทำแบบนี้ อาเชษฐ์ไม่ควรทำลายชื่อเสียงตัวเอง” เด็กหนุ่มก้มลงมองพื้น

“อย่าพูดแบบนี้ให้นายเชษฐ์ได้ยินเด็ดขาดเลยรู้ไหม ไม่ได้ชอบนายเชษฐ์รึไง”

“ก็...ก็ชอบ” วิริยะพูดเสียงเบา รู้สึกกระดากอายที่จะกล่าวให้ใครฟัง “อาเชษฐ์ก็มีมุมน่ารักอยู่เยอะเหมือนกัน แต่ แค่ชอบ กับความน่าจะเป็นไปได้มันไม่ค่อยเข้ากันเลย ก็เลยคิดว่าควรหยุดซะตั้งแต่ตอนนี้ไหม หยุดตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มมันคงดีกว่า”

“เอาอะไรมาคิดว่ามันดีกว่า” หมอกทำเสียงดุ ทำให้เด็กหนุ่มหน้าหงอยลงเหลือสองนิ้ว “จากผู้ชายที่เคยแต่งงานมีลูกมีเมีย แถมมีชื่อเสียง วิวคิดว่ามันง่ายนักเหรอที่จะยอมรับตัวเองได้อย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ ไม่คิดบ้างเหรอ ว่าคนอย่างนายเชษฐ์ยอมสละทุกอย่างให้ขนาดนี้เพราะอะไร เพราะนายเชษฐ์เลือกวิวไง ถ้านายเชษฐ์มาได้ยินพูดแบบนี้คงเสียศูนย์แน่” หมอกส่ายหน้า

“ผม...” ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดี “ผมควรเชื่อในตัวอาเชษฐ์มากกว่านี้ใช่ไหม”

คนฟังยกยิ้ม “พวกพี่เชื่อกันเต็มร้อยเลย”

ถึงจะพูดกันอย่างนั้น ไม่เป็นวิริยะก็ไม่มีใครเข้าใจ

“ครับ”

การรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะทำลายทั้งชีวิตของคนอื่น มันไม่ได้ทำให้จิตใจของเขารู้สึกสงบลงได้เลย ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจ จะให้มองผ่านแล้วเมินเฉยไป นั่นไม่ใช่นิสัยของวิริยะเลยสิพับผ่า คิดแล้วเด็กหนุ่มก็มองทอดออกไปยังเบื้องหน้า ดวงอาทิตย์ลูกกลมโตสีแดงฉานกำลังจะตกลงจากฟากฟ้า เผาไหม้ความรู้สึกภายในใจของเด็กหนุ่มจนร้อนรุมไปหมด

โดยเฉพาะชีวิตของคนคนนั้น คือคนที่สำคัญต่อเขา

ทั้งสองเงียบไปพักใหญ่ ไม่ทันได้พูดอะไรกันต่อ เชษฐ์ไชยก็หอบหิ้วถุงขนาดเบิ้มกลับมาสองใบ สภาพสะบักสะบอมไม่เหลือเค้านายใหญ่ของไร่รุ่งอรุณีให้เห็นสักนิด ตัวขาวโพลนไปด้วยแป้ง ผมเผ้ารุงรัง บนใบหน้าไม่มีที่ว่างให้เห็นผิวจริงได้เลย คงเป็นเพราะภาพลักษณ์อันเป็นมิตรที่เด็กหนุ่มแกล้งเชษฐ์ไชยไว้ เลยมีคนกล้าเข้ามาขอปะแป้งมากขึ้นกระมัง เห็นแล้ววิริยะยิ้มหน้าบานปนขำ ไม่สนว่าเชษฐ์ไชยจะอารมณ์ไม่ดี

“โอ้โห นายเชษฐ์ซื้อของมาได้เป๊ะทุกอย่างเลย!” หมอกร้อง

“ไหน ๆ เออ! จริงด้วย แถมมีแต่ของที่ผมชอบติดมาด้วย” ไทวิ่งมาดูของในถุง

“น่ารักอะ!”

“น่ารักพ่อมึงสิ เอาไปแบ่งกัน” เชษฐ์ไชยยื่นถุงใบหนึ่งให้พวกมัน ท่ามกลางรอยยิ้มของเพื่อนคนอื่น แล้วเสร็จคนตัวใหญ่ก็เดินอ้อมมาด้านหลังหาเด็กหนุ่มอีกที วางถุงไว้ให้แล้วก็เปิดประตูรถกั้นทางเดินไม่ให้ไอ้พวกลิงวิ่งมาก่อกวน เมื่อเห็นแล้ววิริยะก็ค้นของในถุง ทำเป็นเบิกตาตื่นเต้น เลียนแบบพวกพี่ ๆ

“โอ้โห้ มีแซนด์วิชทูน่าของโปรดผมด้วย อาเชษฐ์นี่รู้ใจผมจริง ๆ เลย”

คนฟังยังคงทำเป็นเก๊กท่า ปล่อยให้วิริยะทาน ตัวเองก็ลุกขึ้นถอดเสื้อ ควานหาข้าวของที่ตระเตรียมไว้ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้หายเปียกแล้วจึงทรุดตัวนั่งข้างเด็กหนุ่ม มองดูคนเจริญอาหารท่าทางชอบของที่ซื้อมาให้ ไม่ได้รู้สึกดีใจปลื้มปริ่มสักนิดเล๊ย

“ดูสิ แถมซื้อชาที่ผมชอบมาอีกต่างหาก” วิริยะทำเสียงตื่นเต้น

คนฟังส่ายหน้า เก็บงำรอยยิ้มของตัวเอง รู้อยู่ว่าเด็กหนุ่มต้องการพูดล้อเลียน

“ไม่เห็นดีใจเลย”

วิริยะยิ้ม “อ้อ เหรอ ไม่ดีใจเลยเหรอ กิ๊ว ๆ” นิ้วชี้เรียวยกมาจิ้มแก้มล้ออีกที เชษฐ์ไชยถึงขั้นอดทนไม่ไหวหลุดยิ้มออกมาในที่สุด ชายหนุ่มหันไปอีกฝั่งแล้วส่ายหน้าให้กับความน่าเอ็นดูของเด็กข้างกาย แพ้ทางอย่างนี้ตลอด เสียภาพพจน์นายใหญ่ของไร่รุ่งอรุณีหมด

เริ่มค่ำแล้ว คนที่เล่นน้ำในเขื่อนต่างพากันกลับบ้าน ต่างจากบริเวณสันเขื่อนที่ยังมีผู้คนเดินฉีดน้ำเล่นหนาตา แม้จะลดลงจากช่วงกลางวันไปเยอะพอสมควร เชษฐ์ไชยให้วิริยะเปลี่ยนผ้า สวมเสื้อแขนยาวตัวโคร่งที่เขาหยิบติดรถมา ไม่ต้องเปลี่ยนกางเกง เพราะดูท่าใกล้จะแห้งคาตัวแล้ว ระหว่างนั้นก็นั่งรอให้สมุนตัวใหญ่ทั้งเจ็ดกลับมาที่รถ ก็พากันดูพระอาทิตย์ตกไปพลาง

“ขอบคุณนะครับ”

วิริยะที่นั่งอยู่ข้างกายพูดขึ้น ฝ่าเสียงดังด้านหลัง ยังหยิบของกินเล่นเข้าปากไปพลาง ก่อนจะเอื้อมมากุมจับมือของชายหนุ่ม เชษฐ์ไชยหันมามองคนกระทำด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำ ผุดรอยยิ้มขึ้นมาประดับบนใบหน้าโหดอย่างไม่อาจทานไหว มือใหญ่ผละขึ้นมาลูบผมของเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดูจับใจ รำลึกได้ว่าความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อวิริยะนั้น เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนล้นออกมาจากอก ต่อให้ใจแข็งขนาดไหนก็ละลายได้

วิริยะฉีกยิ้มกว้าง

แทนที่จะคิดว่าตัวเองกำลังทำลายชีวิตของเชษฐ์ไชย

เขาควรมองทุกอย่างในมุมใหม่ วิริยะควรมองว่าเขาทำอะไรเพื่อคนข้างกายได้บ้าง ดูอย่างตอนนี้ซี เมื่อก่อนเชษฐ์ไชยไม่เคยยิ้มอย่างนี้ได้ ฉะนั้นแล้ว วิริยะควรจะเชื่อใจ ควรวางใจว่าอีกฝ่ายจะสามารถทำให้ทั้งสองรักกันได้โดยไม่มีใครกล้าห้าม อย่างน้อยเชษฐ์ไชยก็ได้มีความสุขเมื่ออยู่กับเขา

ต่อให้ต้องฟันฝ่ากับอะไรแย่ ๆ ก็ตาม เชษฐ์ไชยอาจมีความสุขกว่าเมื่อก่อนก็ได้

วิริยะก็เช่นกัน

 

เพราะรถติดมาก กว่าจะค่อย ๆ ขยับเขยื้อนออกจากตรงนั้นก็กินเวลานานเหลือเกิน และครั้นกลับมาถึงบ้านได้ เล่นเอาวิริยะหลับคอพับเพราะความเหนื่อย เชษฐ์ไชยถือโอกาสแวะพาวิริยะเข้าไปพักด้วยเลย โดยไม่ถามความเต็มใจของคนหลับ แล้วให้หนุ่ม ๆ บอยแบนด์จัดการที่เหลือกันเอาเอง

กว่าจะหิ้วเด็กหนุ่มเข้ามาในบ้านได้ เขาฝ่ามรสุมคำแซวของไอ้พวกนั้นจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เชษฐ์ไชยถอนหายใจ พาวิริยะเดินผ่านหน้ารตรีและแม่บ้านคนอื่นไป แวบหนึ่งที่หล่อนเห็นวิริยะก็ลุกขึ้นยืน มองตามชายหนุ่มเขม็งคล้ายมีคำถาม แต่เมื่อเห็นสายตาของเขา ก็เก็บทุกอย่างไว้ในใจ แล้วหน้างอ ทรุดนั่งลงดูทีวีเช่นเดิม

จะหน้าด้านหน้าทนอยู่ก็อยู่ไป แต่อย่าหวังว่าเขาจะใจอ่อน

“อาเชษฐ์ ปล่อย ผมตื่นแล้ว” วิริยะดิ้น ซึ่งเขาก็ยอมตามใจ วางวิริยะลงให้ยืนบนพื้น เด็กหนุ่มยังงัวเงียเมาขี้ตา มองซ้ายแลขวาเห็นว่าเป็นบ้านพักของเขาแต่ก็ไม่โวยวายขอกลับ ไม่ปฏิเสธ แถมเดินนำเขาไปที่ห้องอีกด้วย เห็นแล้วคนพี่ก็ยิ่งหลงไปกันใหญ่

ไปถึงวิริยะก็อยู่ในสภาวะทิ้งตัว หงายเงิบลงนอนบนเตียงไปเลย

“เดี๋ยว เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” เชษฐ์ไชยคลี่ยิ้ม ดึงแขนยาว ๆ ให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วหยิบผ้าคลุมตัวอีกมุมโยนให้ใส่ คนขี้เซาทำเสียงอู้อี้อิดออดแต่ก็ยอมทำตามโดยง่าย เห็นแล้วคนมองก็นึกอยากจับฟัดให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ต้องห้ามใจทำตามสัญญาที่ให้ไว้

คิดแล้วก็เดินดุ่มเข้าไปอาบน้ำผลัดผ้า ออกมาอีกทีก็เห็นวิริยะนอนตะแคงหลับปุ๋ยไม่เกรงใจเจ้าของห้องและชุดที่ตัวเองสวม ผ้าคลุมแหวกจนเห็นไปถึงไหนต่อไหน

เชษฐ์ไชยส่ายหน้า “วิว ไข่ออกแล้วเว้ย”

ดูเหมือนวิริยะจะหลับลึกเพราะเหน็ดเหนื่อยจริง ๆ เห็นแล้วเชษฐ์ไชยไม่ได้ตั้งใจจะปลุกให้เด็กหนุ่มตื่นหรือรบกวนอะไร ก้มลงไปจัดชายผ้าคลุมให้ดี ๆ แล้วเลิกผ้าห่มนวมขึ้นทับบนตัว คนหลับพลิกตัวเปลี่ยนท่า หันมายังทิศนี้เพื่อรับความอบอุ่นให้มากขึ้น เชษฐ์ไชยยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าบนใบหน้าใสยังมีเศษแป้งติดอยู่เลย

แสบก็แสบ กวนประสาทก็ที่หนึ่ง ไม่รู้รักลงได้ยังไง

คิดแล้วชายหนุ่มก็โน้มลง แนบริมฝีปากมอบจูบให้เพราะหาคำตอบแก่ตนเองไม่ได้ เขาพ่ายแพ้ให้เด็กคนนี้ราบคาบไม่ว่าเรื่องไหน แต่ คำตอบส่วนหนึ่งที่รู้มาแต่ต้น คือวิริยะทำให้เขาเป็นตัวของตัวเองเสมอเมื่ออยู่ด้วยกัน เขาไม่ต้องเหนื่อยสวมหน้ากากทำเป็นคนเก่งเหมือนอยู่กับใคร และสบายใจยามอยู่ด้วยอย่างน่าประหลาด

อย่างที่อัฐษไชยบอกไว้เลย

ในขณะที่จมอยู่กับความอิ่มเอมใจแม้เพียงแค่ได้นั่งมองวิริยะยามหลับ เสียงใครสักคนเคาะประตูเรียก แล้วเฉลยว่าเป็นแม่ต้อย เชษฐ์ไชยจัดแจงผ้าคลุมบนตัววิริยะอยู่เพียงครู่เดียวก็ลุกขึ้นไปเปิดประตู เห็นนางถือโทรศัพท์บ้านไว้ในมือ บอกเขาว่า “มีคนต้องการคุยกับนายเชษฐ์ค่ะ เรื่องด่วน บอกว่าพยายามโทรเข้ามือถือแต่นายเชษฐ์ไม่รับเลย น้ำเสียงดูเหมือนกำลังโกรธมาก”

เชษฐ์ไชยมุ่นคิ้ว “ใคร”

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ กำชับว่าต้องเรียกให้นายเชษฐ์มาคุยสายให้ได้ ไม่ยอมรอถึงพรุ่งนี้” นางเอามือปิดโทรศัพท์ แล้วพูดกับเจ้านายเสียงเบา สีหน้าเป็นกังวล เห็นเช่นนั้นเชษฐ์ไชยก็พยักหน้าเข้าใจ รับมาแนบกับหูแล้วให้นางไปพักผ่อนได้

“ฮัลโหล ผมเชษฐ์ไชยพูดอยู่”

มือใหญ่ปิดประตูห้องพักแล้วหมุนตัวเดินไปทรุดนั่งลงบนเตียง ข้างวิริยะ

“กว่าผมจะติดต่อคุณได้นี่ยากเย็นเหลือเกินนะ ผมเกือบจะบุกไปที่รังของคุณอยู่แล้วเชียว” เสียงทุ้มนุ่มของปลายสายห้วนและเต็มไปด้วยอารมณ์กล่าวกลับมา เมื่อได้ยิน ใบหน้าสุขุมของเชษฐ์ไชยเปลี่ยนสี จากที่จะทิ้งตัวลงนอนกอดไอ้ตัวเล็กข้างกาย กลับต้องกระเด้งตัวนั่งหลังตรงด้วยความแปลกใจ “คุณเป็นใคร!”

ปลายสายเงียบไปพักหนึ่ง แล้วตอบกลับมาว่า

“พ่อของวิว”

--๑๐๐--

------------------------------------------------------------

เฮือกกกก คุณพ่อมาจัดการนายเชษฐ์แล้ว เกือบจะบุกมาที่ไร่แล้วด้วย

จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ใกล้จะถึงบทสรุปความรักของทั้งสองแล้วค่ะ ตอนหน้าวิวก็กลับบ้านไปเจอะพ่อกับแม่เลี้ยง น้องจะโดนอะไรบ้าง แล้วอาเชษฐ์จะโดนอะไรบ้าง ระยะห่างของทั้งคู่ก็พิสูจน์ความรักของทั้งคู่ไปด้วยว่าจะจบแบบไหน ต่อจากนี้ก็อัพให้อ่านถี่ขึ้นนะคะ

เจอกันตอนหน้านะคะ

หัวข้อ: Re: **{8.4.61-ตอนที่ ๑๖--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-04-2018 13:23:52
 :fire: ไฟจากคุณพ่อมาแล้ว
หัวข้อ: Re: **{8.4.61-ตอนที่ ๑๖--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 08-04-2018 13:56:27
งานเข้าแล้วพี่เชษฐ์ของน้องวิว
 o18
หัวข้อ: Re: **{8.4.61-ตอนที่ ๑๖--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: T_TARS ที่ 08-04-2018 14:53:12
 :katai1: :katai1:
ระเบิดลูกใหญ่กำลังจะมา
หัวข้อ: Re: **{8.4.61-ตอนที่ ๑๖--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 08-04-2018 15:21:34
เดี๋ยวๆ พ่อของวิวจะมาเกรี้ยวกราดใส่เชษฐ์ไชยทำไม เมียกับลูกเลี้ยงตัวเองทำอะไรลูกตัวจริงของตัวเองไม่เห็นจะรู้ จะจัดการอะไร ตามืดตาบอดขนาดนั้นจะมาเกรี้ยวกราดอะไร ไม่เข้าใจ
หัวข้อ: Re: **{8.4.61-ตอนที่ ๑๖--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 08-04-2018 15:30:07
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **{8.4.61-ตอนที่ ๑๖--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 08-04-2018 16:56:43
คุณพ่อมาแล้ววววว

อาเชษฐ์ฟ้องคุณพ่อเรื่องคุณแม่เลี้ยงด้วยนะคะ (นี่อินมาก) เราต้องรีบเบี่ยงประเด็นก่อนดราม่ามาถึงตัวค่ะ ฮาาาา
หัวข้อ: Re: **{8.4.61-ตอนที่ ๑๖--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-04-2018 19:59:59
เปรตแม่ลูกไปใส่ไฟเรื่องวิวให้พ่ิอวิวหรือเปล่า  o12
หัวข้อ: Re: **{8.4.61-ตอนที่ ๑๖--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 09-04-2018 03:40:12
คุณพ่อโดนอิแม่เลี้ยงเป่าหูอะไรมาป่าวคะ
หัวข้อ: Re: **{8.4.61-ตอนที่ ๑๖--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 10-04-2018 11:01:10
พ่อวิวควรรู้ความจริงซักทีนะ
หัวข้อ: Re: **{8.4.61-ตอนที่ ๑๖--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 10-04-2018 21:47:00
เมื่อไหร่พ่อวิวจะรู้ซักทีว่า แม่เลี้ยงทำอะไรวิวบ้าง
หัวข้อ: Re: **{17.4.61-ตอนที่ ๑๗--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 17-04-2018 22:00:42


ตอนที่ ๑๗

หน้าของเชษฐ์ไชยชาวาบ เมื่อทราบว่ากำลังคุยอยู่กับใคร ฉุกคิดขึ้นมาชั่ววินาทีหนึ่ง เขาไม่รู้เลยว่าทำไมวิริยะถึงมาไกลขนาดนี้เพียงเพื่อทำงาน ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาถามเด็กหนุ่มทั้งที่สงสัยมานานแล้ว

ชายหนุ่มนิ่ง เหลือบมองคนนอนหลับข้างกายแล้วได้แต่ยกมือสางผมอย่างทำอะไรไม่ได้ แม้จะเร็วไปหน่อย หากทว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องปล่อยให้วิริยะไปจริง ๆ แต่เขาจะไปส่งเด็กหนุ่มด้วยตัวเอง ไปรับรู้ว่าชีวิตของวิริยะเจออะไรบ้าง มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แล้วเป็นฮีโร่ยื่นมือ มอบความอบอุ่นให้ ให้เจ้าตัวคิดไม่ผิดที่เปิดใจรับเขา

“คุณพ่อของวิว มีธุระอะไรกับผมงั้นเหรอ” ชายหนุ่มพูดเสียงเบา ลดทอนความแข็งกระด้างลง

“ผมติดต่อลูกชายไม่ได้เลย โทรหาก็ไม่ติด นี่สืบเสาะเอากับเพื่อนก็เพิ่งได้รู้ว่าเขาไปต่างจังหวัด ไปทำงาน ผมต้องการให้เขากลับบ้านให้เร็วที่สุด เราสองพ่อลูกมีเรื่องต้องคุยกัน เรื่องใหญ่มาก ซึ่งคุณก็ไม่ยอมรับสายสักทีจนผมร้อนใจแทบจะบุกไปที่ไร่อะไรนั่นแล้ว”

เมื่อได้ฟัง ถึงจะคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ดังว่า แต่โผล่มาเอาตอนนี้แล้วเชษฐ์ไชยอดที่จะแขวะไม่ได้ว่า “วิวหายมาเป็นเดือนแล้ว ทำไมคุณเพิ่งจะติดต่อมากันละครับ”

ปลายสายเงียบไป คงไม่คิดว่าเชษฐ์ไชยจะย้อนถาม แล้วตอบกลับมาเสียงห้วนตามอารมณ์ “นั่นมันเรื่องของผม ผมไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของคุณ ไม่รู้หรอกว่าคุณเป็นใคร แต่วิวเพิ่งอายุแค่สิบเจ็ด คุณรับเขาเข้าทำงานในที่แบบนั้นได้ยังไง มันลำบากเกินกว่าเด็กคนหนึ่งรับไหว”

“เดี๋ยวนะครับ ก่อนที่คุณพ่อจะโทษผม คุณพ่อน่าจะคิดว่าสาเหตุมันเกิดจากอะไร ทำไมวิวถึงได้หนีมาไกลขนาดนี้ แทนที่จะมาโบ้ยความผิดให้คนอื่น แบบนั้นน่าจะดีกว่าไหมครับ” เชษฐ์ไชยกัดฟันกรอดเก็บความขุ่นมัวอยู่ในใจ กวาดสายตามองคนหลับข้างกันไปพลาง อยากรู้จริงเชียวว่าพ่อของเด็กคนนี้แก่กว่าเขาสักกี่ปี เหตุใดความคิดถึงยังดูเด็กนัก

อีกฝ่ายได้ฟังก็เงียบอีกครั้ง

“อา นั่นเป็นความผิดของผมเอง” น้ำเสียงบอกว่าสำนึกผิดจริงอย่างที่พูด ให้ความคลางแคลงใจของเชษฐ์ไชยลดทอนลงตามไปด้วย “ในเมื่อผมติดต่อคุณได้แล้ว ฝากบอกวิวให้รีบกลับบ้านด้วยก็แล้วกัน ถ้าเป็นไปได้พรุ่งนี้เลยยิ่งดี ผมไม่อยากให้เขาทำงานที่นั่นต่อแล้ว บอกวิวไปว่าพ่อของเขารออยู่ เขาคงจะรีบมา”

แม้จะรู้ว่ามันกำลังเกิดขึ้นในไม่ช้า แต่ใจของเชษฐ์ไชยก็ปวดหนึบแปลก ๆ อยู่ดี

“ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะบอกเขา”

“ไม่ พรุ่งนี้เขาจะต้องถึงบ้าน”

เชษฐ์ไชยกดวางสายแล้วเอนหลังลงพิงที่หัวเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน มิใช่เหนื่อยกาย แต่มันรู้สึกเหนื่อยที่ใจ เมื่อฝ่ายตรงข้ามไม่ให้เวลาเขาได้เตรียมใจเลยแม้แต่นิด ยื่นคำขาดแบบนี้เขาก็แย่น่ะซี คิดแล้วก็รู้สึกปวดหัว เหลือบไปเห็นไอ้ตัวดีที่นอนหลับไม่รู้ร้อนรู้หนาวแล้วอยากเป็นเจ้าตัวเสียจริง ไม่ต้องรู้อะไร ไม่ต้องคิดมาก ทำหน้าตาน่ารักแล้วทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี

แต่เป็นวิริยะก็ไม่ได้ง่ายนักหรอก เขารู้ดี

 

เช้าแล้ว วิริยะรู้สึกตัวตื่นเพราะแสงจากหน้าต่างสาดมาโดนดวงตา เด็กหนุ่มบิดขี้เกียจอยู่สองสามที หมุนตัวพลิกท่ามกลางความสบายที่น้อยนักจะได้สัมผัสเมื่อมาอยู่ที่นี่ หากทว่าเมื่อเหลือบตามองไปอีกฝั่ง เห็นคนตัวใหญ่นั่งกอดอกพิงหัวเตียงมองเขาอยู่ สภาพราวกับอดนอนมาได้สามคืนสี่วัน “เฮ้ย!”

วิริยะตกใจรีบลุกขึ้นนั่ง เกาหัวชี้ฟูของตัวเองมองสภาพเชษฐ์ไชยที่กำลังเซื่องซึม หน้าซังกะตาย รอบดวงตาดำคล้ำราวกับหมีแพนด้า เพียงแต่ว่าขนาดตัวและหนังหน้าไม่น่ารักเท่าเท่านั้นเอง เด็กหนุ่มถอนใจ คิดว่าเป็นแค่สภาพตื่นนอนใหม่ ๆ ของอีกฝ่ายมากกว่า “อาเชษฐ์ ตื่นแล้วมานั่งทำหน้าปวดขี้อะไรแบบนี้เล่า ตกใจหมด”

เด็กหนุ่มขยับจับนวมห่ม แล้วเอนหลังหนุนหมอนนอนเอื่อยอีกรอบ

“ยังไม่ได้นอน”

คนนอนบนเตียงแหงนมองเชษฐ์ไชยอีกครั้ง “ทำไมไม่นอนเล่า เตียงก็ตั้งกว้าง”

“มีเรื่องให้คิดมากมายไปหมดน่ะสิ”

“เรื่องอะไรครับ”

เชษฐ์ไชยนิ่ง แล้วพูดไปตามความจริงว่า “เมื่อคืน พ่อเธอโทรมา บอกว่าติดต่อเธอไม่ได้”

วิริยะเบิกตาโตเท่าไข่ห่าน กุลีกุจอลุกขึ้นนั่งมองเชษฐ์ไชยด้วยต้องการย้อนถามว่าจริงหรือหลอก หากทว่าเมื่อเห็นแววตาของคนกล่าว เด็กหนุ่มก็เชื่ออย่างสนิทใจว่าเป็นความจริง “พ่อโกรธไหมครับ พูดกับอาเชษฐ์ว่าไงบ้าง”

“ก็ไม่ยังไง แค่ฝากบอกว่าให้กลับบ้านวันนี้” พูดแล้วเชษฐ์ไชยก็ทำหน้าเซ็ง เอนหลังพิงหัวเตียง ยกมือขึ้นสางผมตัวเองจนยุ่งแทนที่จะเข้าทรง ทั้งสองเงียบไปพักหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรนักเพราะมัวแต่คิดว่าจะพูดอะไรกันดี ท้ายที่สุดคนอายุมากกว่าก็ล้มตัวลงมากอด บ่นเสียงท้อ “เฮ้อ...คนก็อุตส่าห์ตามกลับมา กลัวจะไม่ได้เจอบ่อย ๆ ที่ไหนได้พ่อตามกลับบ้านซะอย่างงั้น”

วิริยะยิ้มเล็กน้อย “ก็ใครล่ะ มัวแต่ทำหน้ายักษ์ใส่คนอื่น เล่นตัวดีนัก”

“เออ ผิดเอง พอใจรึยังฮะ” เชษฐ์ไชยยิ้มตามเล็กน้อยหลังกล่าวจบ เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่ได้มีทีท่าทุกข์ร้อนเหมือนตัวเขาก็ถอนใจ รู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นไอ้ขี้แพ้เหลือเกิน “ใช่ซี๊ ไอ้เรามันรักข้างเดียว จะคิดมากจะกังวลก็เป็นไปคนเดียวอย่างนี้ตลอดนั่นแหละ ไป...ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว เดี๋ยวจะไปส่ง”

วิริยะละรอยยิ้ม ก็รู้สึกอยู่เหมือนกันว่าเชษฐ์ไชยไม่ได้พูดเล่น ถ้อยคำที่ใช้มีแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจ แต่เด็กหนุ่มกลับคิดว่าควรเมินเฉยไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คิดเสียว่าเชษฐ์ไชยแค่แกล้งกระเซ้าไปเท่านั้น “อาเชษฐ์อนุญาตให้ไปแล้วเหรอ ถ้าผมไปแล้วจะมาแจ้งตำรวจจับทีหลังไม่ได้น้า”

คนฟังส่ายหน้า “ไม่อยากให้ไปก็ต้องให้ไป พ่อตาตามกลับขนาดนี้”

“เฮอะ! พ่อตาบ้าอะไรเล่า” เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วหัวเราะ

“ลุกเร็วเข้า เดี๋ยวสาย” แม้จะบอกแบบนั้น เชษฐ์ไชยที่ใช้เวลาทั้งคืนเพื่อมองวิริยะยามหลับใหลก็เพิ่งได้รู้ว่าการสัมผัสมันมีความสุขถึงขนาดนี้ ชายหนุ่มพรบจูบบนแก้มของคนนอนอยู่ในอก กอดไว้ ทุกอย่างตรงกันข้ามกับคำพูดเร่งเร้าเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง กระทั่งคนถูกกระทำดิ้นบอกให้ปล่อยก็ยังไม่ยอม

“งั้นยังไม่ลุก” วิริยะพูดเสียงเบา

คนพี่ยกยิ้มเมื่อได้ฟัง ยามวิริยะสบตาคนกอด บนแก้มผุดเลือดฝาดขึ้นมาเป็นปื้นสีแดงจนแลดูน่ามองสำหรับเชษฐ์ไชย อีกฝ่ายอาจร้อน หรือไม่ก็กำลังรู้สึกเขินอาย ซึ่งน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่าเมื่อชายหนุ่มพยายามจ้องไปที่นัยน์ตาของเจ้าตัว วิริยะกลับหลบไปที่อื่นไม่กล้าสู้ เห็นแล้วอดจะประทับจูบแสดงความเป็นเจ้าของไม่ได้

“เขินอะไรขนาดนี้ ไปเถอะ ลุกไปอาบน้ำ” คนพี่กระซิบ

เด็กหนุ่มส่ายหน้า “อาเชษฐ์ไปก่อนเลย ผมรอได้” แล้วสายตาอันมีพิรุธก็ก้มลง มองที่ลำตัวใต้ผ้าห่มนวมของตนเอง เชษฐ์ไชยพอมองออกแล้วว่าที่วิริยะกำลังอายเป็นเพราะอะไร ชายหนุ่มยิ้มมีเลศนัย เอื้อมมือจะเปิดผ้าที่คลุมตัวออกเพื่อให้เห็นกับตาตนเอง ทว่าวิริยะก็ไหวตัวทัน หมุนติ้วเอานวมม้วนเป็นเค้กโรลหน้าตาน่าเอ็นดูจนคนมองรู้ทันว่ากำลังมีความลับอะไรซ่อนอยู่

“อาเชษฐ์จะทำอะไร!” เด็กหนุ่มร้องเสียงดัง

“ไหน ขอดูหน่อย”

“ขอดูอะไร!” หน้าวิริยะแดงขึ้นไปกว่าเก่ารู้ว่าเชษฐ์ไชยกำลังขอดูอะไร

“ก็ซ่อนอะไรไว้ล่ะ” พูดจบพ่อกอริลล่าตัวใหญ่ก็กระโจนเข้าหา

“อ๊ากกกก ไม่เอาโว้ย!” วิริยะกระดึ้บตัวเป็นหนอนหลบและจับผ้านวมของตัวเองเป็นบ้องข้าวหลามเพื่อความปลอดภัยสุดชีวิต หนีเชษฐ์ไชยที่หัวเราะหึเดินตามมาจับตัว พยายามดึงสิ่งที่ปกป้องให้หลุดออกไป “ไม่! ของตัวเองก็มีก็ดูไปซี จะขอดูของคนอื่นอย่างหน้าด้าน ๆ แบบนี้ได้ไง อาเชษฐ์ หยุด อย่า!” พูดไม่ทันขาดคำ วิริยะลื่นลงกระแทกที่เตียงนอนในสภาพหนอนตัวกลม แล้วก็กลิ้งหลุน ๆ เมื่อถูกกระตุกดึงผ้านวมออกไป

“อ๊าก ไอ้บ้าอาเชษฐ์!”

วิริยะเวียนหัว ทุบบ่าคนตัวใหญ่ที่โน้มลงมาด้วยรอยยิ้มร้ายหวังจะเปิดผ้าคลุมที่ใช้ปกปิดร่างกาย และอะไรที่ตื่นขึ้นมาเคารพธงชาติตั้งแต่เช้า ด้วยวิชาที่เคยเรียนมาตั้งแต่สมัยเด็กกับบิดา เด็กหนุ่มฮึดลุกขึ้น เอื้อมดึงบ่าของคนด้านบนแล้วถีบส่งไปแรงที่หน้าอกแกร่งของเชษฐ์ไชยจนตัวยักษ์ ๆ ลอยขึ้นเหนืออากาศ ก่อนจะเหวี่ยงให้หล่นกระแทกลงบนพื้นอีกฝั่งเสียงดังผลัก

“โอ๊ยยย!”

“กลับบ้านไปผมไม่คิดถึงอาเชษฐ์แน่!” เด็กหนุ่มร้องเสียงโมโหที่กวนกันตั้งแต่เช้า เดินไปนั่งทับบนหลังแล้วดึงขาเชษฐ์ไชยขึ้นมา หลังของนายใหญ่ของไร่ผู้ไม่เคยผ่านการยืดหยุ่นแต่อย่างใดแอ่นจนผิดรูป ชายหนุ่มร้องโหวกเหวกโวยวายทุรนทุรายขอชีวิตจนท้ายที่สุดต้องตบพื้นเสียงดัง

“วิว วิว! ยอมแล้ว เจ็บ ๆ ๆ!”

ได้ยินคำยอมแพ้ วิริยะวิ่งเข้าไปเข้าห้องน้ำท่ามกลางเสียงโอดโอยของคนเจ็บ อาบน้ำอาบท่า รอจนกว่าร่างกายจะเป็นปกติจึงเปิดประตูออกไปด้านนอก รู้สึกโล่งใจที่ไม่เห็นเชษฐ์ไชยตีหน้ายักษ์เอาเรื่องอย่างที่คิด เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจอย่างนึกโล่ง เดินออกไปเห็นพี่เสือกำลังนอนเล่นอยู่บนเตียงก็ตรงรี่เข้าไปหา ซุกกอด ลูบขนของมันด้วยความคิดถึง สองวันแล้วที่ทิ้งให้มันรอเก้ออยู่ที่ห้อง

น่าเสียดายที่หลังจากนี้จะไม่ค่อยได้เจอกันแล้ว เด็กหนุ่มเอนหลังลงนอนบนเตียงมองพี่เสือ แล้วก็ครุ่นคิดเรื่องของเชษฐ์ไชยไปพลาง เขาต้องทำตามที่เชษฐ์ไชยบอก ต้องไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบอีก หากไปถึงที่บ้าน วิริยะจะไม่ยอมให้ตัวเองเป็นฝ่ายผิดแน่นอน

เชษฐ์ไชยลงไปเก็บเสื้อผ้าให้วิริยะ สัมภาระของเด็กหนุ่มที่หอบหิ้วมาตั้งแต่วันแรกมีเพียงเสื้อผ้าเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรมากมายเยอะแยะ คนตัวโตทำหน้างอนเพราะถูกดัดหลังจนแอ่น ปล่อยให้วิริยะยิ้มเก้อในขณะที่แต่งตัว อีกฝ่ายก็เดินไปอีกฝั่งเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้าง กว่าจะเสร็จก็สายแล้ว แต่เชษฐ์ไชยบอกว่าวันนี้รถคงไม่เยอะ เพราะคนเขากลับบ้านเกิดตั้งแต่สองสามวันก่อนแล้ว ถนนคงโล่งและไปถึงที่หมายไวกว่ากำหนด

วิริยะไม่รู้ว่าเชษฐ์ไชยกำลังคิดอะไรอยู่ สถานะของทั้งสองก็ยังคงคลุมเครือ ไม่ได้ถูกเชษฐ์ไชยเปิดเผยอย่างที่วิริยะนึกกลัวไว้ เด็กหนุ่มเหลือบมองคนขับรถที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาพาเขาไปสู่จุดหมาย ไม่ได้แสดงท่าทีอาลัยอาวรณ์เขานักอย่างที่ควร ทั้งที่ก็บ่นว่าเป็นกังวล ใจหาย และไม่อยากให้มันเกิดขึ้น

เชษฐ์ไชยคงเป็นผู้ใหญ่ ตอนนี้คงกำลังคิดอย่างผู้ใหญ่อยู่กระมัง

 

ตั้งแต่เมื่อวานที่ธเนศกลับมาอย่างฉุกละหุกโดยไม่บอกกล่าวที่บ้าน ตอนนี้เจ้าตัวยังไม่นอน มัวแต่เดินไปมาทั่วทั้งบ้านรอให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกลับมา เมื่อวานเห็นคุยโทรศัพท์กับใครสักคนสีหน้าเคร่งเครียด อิงอรเหลือบมองไปที่ร่างสูงใหญ่ของสามีแล้วได้แต่ถอนหายใจ กังวลว่าอีกฝ่ายจะรู้ความจริงว่านางทำอะไรกับวิริยะไปบ้าง

“ไปนอนก่อนเถอะค่ะคุณ ผ่านมาครึ่งวันแล้ว ฉันว่าวันนี้วิวยังไม่กลับหรอก” ว่าพลางวางแก้วเครื่องดื่มให้ด้วยความเป็นห่วง ถึงจะไม่ชอบหน้าวิริยะ แต่นางก็รักธเนศและเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ

“จะให้ฉันหลับลงได้ยังไง ลูกฉันหายไปทั้งคนนะอร” ธเนศส่ายหน้า

“ก็วิวไปเองนี่คะ อรรั้งแล้วก็ไม่ยอมเชื่อ”

“ใช่ แต่วิวไม่ใช่ลูกเธอไง เธอก็เลยไม่กังวล” ชายตรงหน้าย้อนกลับมาหน้าตึงเคร่ง

ที่วิริยะพูดก่อนไปมันถูกทุกอย่าง ต่อให้นางเรียกร้องความสนใจอย่างไรธเนศก็ไม่อาจยกให้นางพิเศษกว่าลูกชายตัวเองได้ ซึ่งนั่นแหละทำให้อิงอรรู้สึกเกลียดเด็กคนนั้นอย่างจับจิตจับใจ กำมือของนางแน่นจนสั่นไหว มองแผ่นหลังใหญ่กว่าของสามีที่ตั้งหน้าตั้งตาหันไปมองหน้าบ้าน รอให้ลูกชายสุดที่รักกลับมา “คุณพูดแบบนี้มันไม่ถูกนะคะ อรก็เมียคุณ อรเห็นวิวเป็นลูกของอรเหมือนกัน แต่ในเมื่อเขาไม่เคยเห็นอรเป็นแม่ คุณจะให้อรทำยังไงดีคะ”

ธเนศหันมาสบตา ใช้เสียงเรียบตอบกลับ

“ก็อรไม่ใช่แม่เขาจริง ๆ นี่”

หน้าของนางซีดเผือดราวโดนตอกหน้า แล้วพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง หากยังอยู่ตรงนี้ต่อคาดว่าจะได้ระเบิดแน่ คิดแล้วอิงอรก็กระแทกเท้าเดินขึ้นไปยังชั้นสอง เปิดที่พักของลูกสาวคนโต หยิบแย่งหมอนที่วางอยู่บนตักคนที่นั่งดูทีวีขึ้นมาอุดหน้า แล้วกรีดร้องสุดเสียงด้วยความโมโห ชนิดที่ว่าคนที่นั่งดูทีวีอยู่รู้สึกแปลกใจ

“ไปโดนตัวไหนมาเนี่ยแม่” ทรายทำเสียงรำคาญ

“จะอะไรซะอีกละ ก็ลุงแกน่ะสิ เข้าข้างไอ้เด็กเปรตนั่น นี่ก็นั่งชะเง้อคอรอให้มันกลับมาอยู่”

“แม่ว่าวิวมันจะกลับมาไหม” ลูกสาวย้อนถาม

“ไม่รู้โว้ย! สาธุ...ถ้ามันกำลังมาก็ขอให้รถคว่ำตายไปจากชีวิตฉันเถอะเพี้ยง!”

อิงอรประนมมือสาธุดังว่า ไม่ทันได้ละออกก็ได้ยินเสียงแตรอยู่หน้าบ้าน ลูกสาวหัวเราะผู้เป็นแม่ แล้วลุกขึ้นไปเปิดม่านหน้าต่างดูว่าใครมา เห็นรถปิ๊กอัพคันหนึ่งจอดอยู่ สภาพเหมือนเพิ่งลุยออกจากป่ามาได้ ด้านล่างเห็นธเนศเดินไปเปิดประตู แล้วเจ้าของรถผู้มาเยือนก็ลงจากรถไปคุยด้วย เป็นผู้ชายตัวใหญ่หน้าโหดเหมือนพวกทวงหนี้อะไรทำนองนั้น

แต่ภาพหลังจากนั้นทำให้ทรายอยู่ไม่ติด เห็นวิริยะสะพายกระเป๋าเป้เดินไปหยุดยืนคู่คนแปลกหน้า แล้วธเนศก็จับจูงเด็กหนุ่มเดินตรงเข้าบ้านมาเป็นเชิงบังคับ “แม่ แม่”

“อะไรของแกอีก แค่นี้ก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว” อิงอรทำเสียงรำคาญ

“ไอ้วิวมาแล้ว ไปเร็ว”

“ไปไหน”

“ก็ลงไปข้างล่างไง จะให้มันฟ้องลุงเนศเหรอว่าเราแกล้งมัน” เมื่อได้ฟัง อิงอรก็เห็นด้วย สองแม่ลูกรีบลงไปด้านล่าง ประจวบเหมาะกับช่วงที่ธเนศพาวิริยะเดินเข้าไปถึงข้างในพอดี จึงได้ดูลาดเลาว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วอีตาตัวโตหน้าไม่เป็นมิตรที่ตามหลังมาเป็นใคร เห็นแล้วรู้สึกกลัวและไม่ชอบขี้หน้าเลยสิพับผ่า

ธเนศคลายมือวิริยะให้หยุดยืนอยู่ในบ้าน หน้าเข้มดุ ท่าทางโกรธขึ้งเป็นอย่างมาก ในขณะเด็กหนุ่มผู้มีความผิดที่หนีออกจากบ้านยังคงยอมรับผิดแต่โดยดี ยอมก้มหน้าก้มตารับฟังคำต่อว่าของบิดา “ทำไมถึงต้องหนีออกจากบ้าน ไม่พอใจอะไรทำไมไม่บอกป้าอรดี ๆ ฮะวิว หายไปได้ยังไงเป็นเดือน ๆ ไม่ห่วงคนที่เขารออยู่เหรอ!”

ธเนศเหลือบมองสองแม่ลูกด้านหลังเด็กหนุ่ม แล้วกระตุกดึงวิริยะให้เดินเข้าไปหา “ไปขอโทษป้าอรที่พูดจาไม่ดีใส่เขาซะ เขาดูแล เขาเลี้ยงลูกมาตั้งแต่เด็ก ทำไมถึงทำแบบนั้น!”

วิริยะเงยขึ้นมองบิดา แล้วผละสายตาไปมองคนที่ถูกพาดพิงถึง

“แต่ป้าอรไม่เคยดูแลผมเลย ผมดูแลตัวเองมาตลอด!”

“อย่าทำแบบนี้นะวิว! พ่อไม่เคยสอนให้ลูกอกตัญญู!” ธเนศใช้เสียงดังขึ้นกว่าเก่า มองสองแม่ลูกที่หน้าถอดสีไม่เคยเห็นเขาต่อว่าวิริยะอย่างนี้มาก่อน วิริยะน้ำตาไหลเพราะคิดว่าพ่อจะฟังคำของเขาบ้าง แต่ไม่เลย ธเนศคงไม่ผูกพันกับเขาเพราะเอาเวลาทำแต่งานเท่านั้นกระมัง

เด็กหนุ่มมองอิงอรและลูกอยู่พักหนึ่งแล้วกล่าว “พ่ออยากรู้ไม่ใช่รึไงว่าผมหนีไปทำไม ถ้าป้าอรดีกับผม ดูแลผมเป็นอย่างดีจริง ๆ แล้วผมจะหนีไปที่อื่นอีกทำไม ผมจะบอกความจริงให้ ผมไม่เคยได้ใช้เงินที่พ่อส่งมาให้เลย ต้องออกไปทำงานพิเศษเป็นบ้าเป็นหลัง แล้วก็ต้องกลับมาทำงานบ้าน รับใช้สองแม่ลูกนี่อีก ช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดก็แค่ตอนที่พ่อกลับมา ซึ่งมันก็นับครั้งได้ อย่าว่าแต่เป็นเพราะป้าอรเลย พ่อก็ด้วย ความผิดของพ่อนั่นแหละ!”

“วิว!” อิงอรเสียงดัง “ทำไมพูดกับพ่อแบบนั้น”

“เรื่องของผมกับพ่อ ป้าอรไม่ต้องยุ่ง แล้วก็เลิกใส่หน้ากากเป็นคนดีได้แล้ว!”

“วิว ทำไมลูกก้าวร้าวแบบนี้ละฮะ!” ธเนศกระตุกแขนเรียกสติลูกชาย

“ก็เพราะผมเป็นเด็กดีมาตลอดแล้วกลายเป็นว่าถูกทำร้ายไง จากนี้ผมแม่งจะเอาแต่ใจ จะพูดอะไรก็ได้ ต่อให้ตัวเองต้องกลายเป็นเด็กก้าวร้าวผมก็ยอม!” วิริยะเสียงดังทั้งน้ำตา มองพ่อ มองแม่เลี้ยงแล้วยกหลังมือเช็ดคราบน้ำบนใบหน้า ไม่สนมือใหญ่ของเชษฐ์ไชยที่เทียวลูบปลอบให้คลายความรู้สึกอะไรต่าง ๆ ลง

“พ่อบอกให้ขอโทษป้าอรไง” ธเนศใช้น้ำเสียงเย็นลง ออกคำสั่ง

วิริยะสะอื้นฮึกใหญ่ “พ่อ...”

“บอกให้ขอโทษป้าอร!”

“คุณพ่อใจเย็น ๆ ก่อน” เชษฐ์ไชยปรามเมื่อเห็นบรรยากาศเริ่มคุกรุ่น

“ต่อให้ป้าอรผิดจริง ลูกก็ไม่ควรทำตัวแบบนี้ใส่เขา มีทางออกตั้งเยอะแยะไม่ใช่ให้ปิดปากเงียบ อย่าไปโทษคนอื่นให้มากความเลยวิว โทษตัววิวเองบ้างเถอะที่มีส่วนผิดด้วย ทำไมลูกไม่ยอมเอ่ยปากทั้งที่มันง่ายนิดเดียว” ธเนศพูดตามตรง แล้วหันไปหาสองแม่ลูกที่ยังคงพูดไม่ออก ทำได้เพียงยืนนิ่งมองสถานการณ์ไปก่อนเท่านั้น

หรืออาจจะจริงอย่างที่พ่อพูด ถ้าวิริยะไม่เก็บทุกอย่างเงียบไว้กับตัว ทุกอย่างมันคงไม่เป็นแบบนี้ หากวิริยะเชื่อใจบิดากว่านี้ คงไม่ทำให้สองแม่ลูกย่ามใจจนปานปลายมาถึงตอนนี้ได้ เด็กหนุ่มมองบิดาแล้วยอมรับว่าเป็นเพราะตัวเองด้วยส่วนหนึ่ง หากจะทำให้ทุกอย่างสงบลงไปก็จะยอมไปก่อน แต่หลังจากนี้วิริยะจะไม่ยอมถูกรังแกอีกต่อไปแล้ว เขาให้คำสัตย์แก่ตนเอง

วิริยะหันไปหาอิงอร ยกมือประนมไหว้เป็นการแสดงความรู้สึกผิด

“ขอโทษครับป้าอร”

ซึ่งดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่อยากรับ อิงอรหลับตาชังใส่แล้วเมินคำขอโทษของเด็กหนุ่มไปยังทิศอื่นเพราะความโมโหที่ถูกต่อว่า จนลืมตัวที่จะเป็นแม่เลี้ยงที่ดีต่อหน้าของธเนศ วิริยะหันกลับไปมองบิดาที่รู้สึกเหมือนใจเย็นลงแล้ว ท่านกำลังส่ายหน้าให้ แล้วเดินมากอดบ่าวิริยะให้คลายความเสียใจลงไป บอกเด็กหนุ่มว่าทำดีแล้ว

“ส่วนเธอ อิงอร” ธเนศเปรย

เรียกให้นางที่กำลังเชิดคอหันไปสบตา ประมุขของบ้านขบฟันพยายามปรับอารมณ์ตัวเองพักหนึ่ง ก้มมองลูกชายในอ้อมแขนแล้วพูดต่อ “ถ้าฉันไม่ฉุกคิดแล้วลากลับมาโดยไม่บอกก่อน ป่านนี้ฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายตัวเอง ทั้งที่ฉันวางใจ เชื่อใจเธอมาโดยตลอด ไม่คิดเลยว่าเธอจะใจร้ายได้ขนาดนี้”

อิงอรเบิกตา ใจหายลงตาตุ่ม “คุณคะ ไม่จริงนะคะ วิวแค่ไม่ชอบฉัน...”

“ใช่ค่ะลุงเนศ วิวต่อต้านแม่มาโดยตลอด” ทรายรีบพูด เพราะเรื่องเริ่มพลิกมาทางนี้แทนเสียได้

ธเนศขบฟันจนกรามปูด “ฉันเชื่อวิว แล้วก็เชื่อแพรวาด้วย”

“อะไรนะคะ” อิงอรเหลือกตาโตกว่าเดิมสองเท่า

“คิดว่าฉันจะไม่ได้ยินอะไรมาเลยงั้นเหรอ น้องวาบอกฉันตลอดว่าพี่ชายเขาโดนอะไร ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อ แต่พักหลังวิวก็ดูผอมลงไป แถมจากที่เป็นเด็กสดใสก็หมองลง ไม่กล้าพูดกล้าคุย ฉันเป็นพ่อของเขา คิดว่าฉันไม่สนใจเลยงั้นเหรอ แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่อยากให้ลูกเป็นเด็กก้าวร้าว ต่อให้พวกเธอผิดก็ไม่ควรทำแบบนั้น พวกเธอต้องรับผิดจากฉันเท่านั้น!”

“คุณคะ ฉัน...”

“เก็บข้าวของออกไปจากบ้านซะอร ฉันคิดว่าเธอจะเปลี่ยนตัวเอง แต่ไม่เลย” วิริยะกลืนน้ำลายลงอึกใหญ่ ตกใจ ไม่คิดว่าบิดาจะตัดสินใจทำแบบนี้ เด็กหนุ่มแหงนมองใบหน้าจริงจังเคร่งเครียดของธเนศอยู่พักหนึ่ง แล้วผละไปอีกมุม เห็นอิงอรหน้าซีดเผือดพูดไม่ออก คงเพราะรู้สึกเช่นเดียวกันว่าธเนศกำลังโกรธเกินไป

“พ่อครับ” วิริยะพูดเสียงเบา รั้งสติของบิดา

“ฉันสั่งให้พวกเธอเก็บของออกจากบ้านฉันไป”

ทรายนิ่ง มองมารดาและธเนศด้วยความกลัว กลัวว่าจะได้กลับไปอยู่จุดเดิม จุดที่พยายามหนีจากมา “ลุงเนศคะ หนูขอโทษ หนูผิดไปแล้ว อย่าโกรธเลยนะคะ”

“สายไปแล้ว ฉันพยายามปล่อยผ่านมาตลอด แต่ถ้าเลี้ยงไม่เชื่องก็ออกจากบ้านฉันไปซะ!”

“พ่อครับ พ่อ...” วิริยะไม่อยากให้พ่อเสียใจที่ทำแบบนี้ เขารู้ว่าพ่อรักสองคนนี้ไม่น้อยเลย

และที่โกรธมาก ก็เพราะรักนั่นแหละ เลยผิดหวังมากขนาดนี้

“ถ้ามาอยู่บ้านฉันแล้วไม่ดีกับลูกฉัน ฉันไม่รู้จะเลี้ยงพวกเธอต่อทำไม ออกไป...” สุ้มเสียงของธเนศอ่อนลงพร้อมกับสองแม่ลูกหวีดร้องตกใจ หัวหน้าครอบครัวเข่าทรุดไม่มีแรงไปเสียเฉย ๆ เมื่อเห็นบิดาหมดสติไป วิริยะพยายามปลุกให้ตื่น น้ำตาไหลร้องไห้ เชษฐ์ไชยพุ่งเข้ามาช่วยรับไม่ให้หัวฟาดพื้น บอกเขาว่าให้ไปเปิดประตูบ้าน ต้องรีบพาไปส่งโรงพยาบาล กลัวจะอาการหนักแล้วไม่ทันการณ์

ท่ามกลางสีหน้าตกใจของอิงอรและทราย วิริยะตามเชษฐ์ไชยไปยังรถเพื่อนำพาธเนศไปโรงพยาบาล ทั้งสองจะตามเด็กหนุ่มไป คราวแรกทำทีแขยงรถที่เปื้อนและเก่า แถมได้นั่งกระบะหลัง แต่ได้ยินเชษฐ์ไชยเร่งบอกว่าตอนนี้ควรห่วงอาการคนป่วย อิงอรกับทรายจึงรีบกระโดดตามกันมาด้วย

ถึงมือหมอแล้ว เชษฐ์ไชยเดินไปตบบ่าเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งไม่ไหวติงอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน เรียกเจ้าของใบหน้าแดงเงยขึ้นมาสบตา แล้วก้มลงมองพื้นยอมรับว่าส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะเขา ไม่น่าทำให้พ่อโกรธถึงขนาดนั้นเลย นิ้วมือเรียวกุมจับมือใหญ่ที่วางบนบ่าของตัวเอง นึกขอบคุณที่เชษฐ์ไชยอยู่ตรงนี้อย่างเงียบเชียบ ซึ่งคนพี่คงรู้ ยังคงอยู่ตรงนั้นเพื่อซาบซึมและแบ่งเบาความรู้สึกของเด็กหนุ่มไม่เดินไปไหน

วิริยะมีทีท่าโล่งอกเมื่อรู้ว่าบิดาไม่เป็นอะไรมาก เด็กหนุ่มกอดเชษฐ์ไชยแน่นหลังทราบข่าวว่าธเนศเพียงแค่ไม่ได้หลับพักผ่อนเท่านั้น เลยวูบไป อิงอรบอกว่าจะกลับไปเอาเสื้อผ้ามาเฝ้า เพราะอยากแอดมิทแล้วตรวจดูว่าธเนศมีโรคอะไรหรือไม่ จะได้รักษาได้ทัน เพราะท่านอยู่แต่แท่นไม่ค่อยได้ตรวจร่างกายอย่างดีนัก

          เรื่องระหว่างของวิริยะกับสองแม่ลูกยังไม่ชัดเจนนัก แต่เด็กหนุ่มเชื่อว่าทั้งสองคนไม่กล้าอวดเบ่งใส่เขาอย่างเคย แม้ความสัมพันธ์ของสองฝ่ายยังไม่ดี แต่วิริยะรู้สึกว่าตัวเองมีตัวตนมากขึ้น ต้องขอบคุณน้องแพรวาของเขา ขอบคุณเชษฐ์ไชยที่อยู่เคียงข้าง ให้วันนี้ดำเนินผ่านไปได้


----------------------------------------------------------------------
มาอัพแล้วจ้า ช่วงนี้ก็จะเคลียร์ปมครอบครัวหน่อย เพราะจะชุดใหญ่เรื่องสถานะของอาเชษฐ์กับน้องวิว
อีกห้าสิบที่เหลือ ก็จะได้รู้แล้วว่าทั้งสองอยู่ในความสัมพันธ์ไหน อาเชษฐ์จะถามวิวแล้ว
แล้วจะเป็นไง วิวจะปฏิเสธ รึจะยอมคบกับอาเชษฐ์น้อ
เดี๋ยวอาเชษฐ์จะได้มาทำงานใกล้กับน้องด้วย ต้องรอลุ้นว่ายังไงต่อ แต่รับรองว่าสองคนนี้เป็นคู่กัดคู่ฟัดกันตลอด ต่อให้รักกันแล้วก็เถอะ อิอิ

เจอกันอีกห้าสิบเปอร์เซ็นที่เหลือค่ะ
หัวข้อ: Re: **{17.4.61-ตอนที่ ๑๗--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-04-2018 22:44:56
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **{17.4.61-ตอนที่ ๑๗--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 17-04-2018 22:55:38
ขอให้ผ่านไปด้วยดีนะ ทั้งคุณพ่อ และลูกเขย หุหุหุ
หัวข้อ: Re: **{17.4.61-ตอนที่ ๑๗--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 17-04-2018 23:13:29
ขอโทษที่ผ่านมาด่าพ่อวิวไปซะเยอะนะคะ สุดท้าย่อก็รักลูกใส่ใจลูกมากกว่ทีคิดอยู่ดี
หัวข้อ: Re: **{17.4.61-ตอนที่ ๑๗--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 18-04-2018 00:48:40
ดีใจมากๆที่พ่อเชื่อวิว แต่นี่ก็ยังเชียร์ไม่ให้คุณพ่อเอาอิงอรไว้ในบ้านนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: **{17.4.61-ตอนที่ ๑๗--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-04-2018 01:09:11
เอามันออกไป เอามันออกไป ไปแล้วให้ไปลับเลยไม่ต้องกลับมา  :laugh:
หัวข้อ: Re: **{17.4.61-ตอนที่ ๑๗--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 18-04-2018 10:37:20
พอจะดี ก็มีเรื่องมาเพิ่มอีกแล้ว แบบนี้น้องวิวจะได้กลับไปไร่อีกหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: **{17.4.61-ตอนที่ ๑๗--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: T_TARS ที่ 18-04-2018 12:57:08
ถ้ารู้่องความสัมพันธ์ของเด็กวิวกับนายลิงยักษ์นี่ จะไม่เป็นลมหนักกว่าเดิมไหมเนี่ยคุณพ่อ
หัวข้อ: Re: **{17.4.61-ตอนที่ ๑๗--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 24-04-2018 00:18:32
อยากรู้ตอนต่อไปแล้ววววววววววๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: **{25.4.61-ตอนที่ ๑๗--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 25-04-2018 18:35:14

(ต่อ)

เชษฐ์ไชยมาส่งเด็กหนุ่มที่บ้านเพราะวิริยะต้องไปรับน้องสาว แพรวาถูกส่งไปเรียนโดยที่เธอไม่ได้อยากไปนัก ทั้งว่ายน้ำ ร้องเพลง เต้นบัลเล่ต์ ถึงจะเคยโกรธแม่เลี้ยงที่ไม่ดีกับเขานัก แต่เงินค่าใช้จ่ายที่ถูกหักไปส่วนหนึ่งก็คงมาจ่ายค่าเล่าเรียนพวกนี้ของน้อง มาคิดอีกทีแล้ววิริยะโกรธแม่เลี้ยงไม่ลง ไม่ขนาดอยากขับไล่ออกจากบ้านเพียงนั้น

เชษฐ์ไชยขอตัวกลับก่อน แต่บอกเด็กหนุ่มว่ายังไม่ได้ไปที่ไร่ หากวิริยะต้องการให้ช่วยเหลืออะไรติดต่อไปที่บ้านได้เลย แต่จนแล้วจนรอดวิริยะก็ไม่ได้รบกวนอะไรอีกฝ่าย ตั้งแต่บิดาออกจากโรงพยาบาล เรื่องของเด็กหนุ่มกับเชษฐ์ไชยก็เงียบหายไปจากกัน วิริยะใช้เวลาอยู่กับธเนศเท่านั้น พูดจา ใช้ชีวิตด้วยกันเพื่อชดเชยในวันที่สูญเสียไป

เด็กหนุ่มได้เป็นคนดูแลจัดสรรเรื่องเงินภายในบ้านทั้งหมด แพรวาไม่ได้ถูกบังคับให้ไปเรียน ส่วนสองแม่ลูกที่ถูกไล่ไปนั้น วิริยะเกลี้ยกล่อมให้บิดาใจอ่อนลงแล้ว คงเหลือแค่พี่สาวที่คอยทำตัวไม่ดีใส่ หล่อนมีทีท่าเคืองเด็กหนุ่มที่พูดจาต่อว่าอิงอรวันนั้น วิริยะไม่ได้สนใจว่าทรายจะรู้สึกอย่างไร แค่เมินไป และหวังว่าหล่อนจะคิดได้ว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้

เสียงโทรศัพท์หวีดร้องกลางดึกของวันขัดการนอนหลับ วิริยะงัวเงียหยิบขึ้นมาดู ปลายสายเป็นมาร์ค เพื่อนร่วมกลุ่มที่กำลังติดต่อมา วิริยะมุ่นคิ้วกดรับสายทั้งที่หงุดหงิดเพราะถูกรบกวนการพักผ่อน “ว่าไงไอ้มาร์ค โทรมาทำไมตอนนี้”

“ไอ้ห่า กูนึกว่าจะโทรไม่ติด”

“เออ กูทำงานซื้อโทรศัพท์ใหม่แล้ว มึงมีไรเนี่ย โทรมาทำไมตอนนี้” วิริยะทำเสียงฉุน

“เออ จริงสิ มึงออกมาเดี๋ยวนี้เลย พี่สาวมึงอะ กำลังจะแย่แล้ว” เสียงของเพื่อนกระซิบกระซาบเหมือนแอบดูอะไรอยู่สักอย่าง วิริยะรู้สึกตื่นเต็มตาเมื่อมันพูดถึงพี่สาว ทรายน่ะหรือ คิดแล้วก็มองไปยังนาฬิกาบอกเวลาตีหนึ่งของวัน แล้วอย่างนี้เขาจะออกไปได้ยังไง ไอ้มาร์คเอาส่วนไหนมาคิดกันถึงได้เรียกออกไปยามนี้

เอาวะ สงสัยคงต้องเสี่ยงแล้ว

วิริยะย่องไปขโมยกุญแจรถของบิดาที่ห้อยทิ้งไว้ แล้ววิ่งออกจากบ้านไป สถานที่ที่นัดคือหน้าแหล่งบันเทิงแห่งหนึ่ง ไปถึงเห็นมาร์คกวักมือเรียกให้จอดแล้วชี้นิ้วไปยังคนที่อยู่ในสถานะพี่สาวของวิริยะ เจ้าหล่อนกำลังมีเรื่องกับผู้ชายสองคน ดูเหมือนพวกมันพยายามบังคับให้ขึ้นรถไปด้วยในสภาพที่ทรายเมามาย ทว่ายังคงมีสติไม่ยอมไปโดยง่าย

“ไอ้มาร์ค” วิริยะลงรถไปหา “มากินข้าวต้มพ่อมึงสิแถวนี้”

“เออ ช่างหัวกูเถอะ มึงจะช่วยพี่มึงยังไง กำลังจะโดนหิ้วไปแล้วนั่น”

วิริยะมองไปยังผู้ชายตัวใหญ่สองคนแล้วถอนใจ “ช่างแม่ง กูลุยเอง”

“เฮ้ยไอ้วิว มันตัวใหญ่กว่า แถมมีอาวุธรึเปล่าก็ไม่รู้”

“กูไม่สน ไม่ได้ปอดแหกเหมือนมึงเว้ย!” ว่าจบวิริยะก็วิ่งไปหาวัยรุ่นสองคนที่กำลังฉุดกระชากพี่สาวเขาขึ้นรถ แล้วผลักพวกมันออกไป หนึ่งในนั้นไม่ล้มลงเพราะยังไม่ได้เมามาก มันมองเด็กหนุ่มตาขวางและเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “มึงมาเสือกอะไรด้วยฮะ!”

วิริยะยืนขวางไม่ให้มันเข้าถึงตัวคนด้านหลัง “พี่สาวกู!”

ไม่ใช่แค่ไอ้สองตัวตกใจ หญิงสาวที่กำลังเมาเองก็เช่นกัน

“แต่กูเป็นเพื่อนมัน มึงมาเสือกอะไรด้วย พวกกูแค่จะไปต่อกันเท่านั้นเอง!” มันเถียง

“ก็กูบอกว่ากูไม่ไปไง!”

วิริยะหันไปหาทรายเมื่อได้ยินดังนั้น เด็กหนุ่มจ้องไอ้ตรงหน้า “ได้ยินชัดแล้วใช่ไหมว่าผู้หญิงไม่ไปด้วยอะ ถ้าไม่มีปัญญาหาเงินไปซื้อกิน ก็หาเสาแล้วเอาให้หายคันสิวะ ไม่ใช่มามอมเหล้าผู้หญิง ใช้วิธีแบบนี้เขาเรียกว่าหน้าตัวเมียเว้ย!”

“ไอ้เวรเอ๊ย!” มันโกรธแล้วกระโดดพุ่งเข้าใส่ วิริยะถูกต่อยจนเซ

แต่ก็เหมือนเคย แม้จะตัวเล็กกว่าแต่เด็กหนุ่มก็สู้สุดชีวิต ยังดีหน่อยที่มันมีอาการเมาบ้างจึงทำให้พลิกสถานการณ์ได้ บวกกับมาร์คร้องตะโกนบอกคนรอบข้างว่าคู่กรณีเป็นพวกเลว พวกมันจึงหน้าบาง ตะเกียกตะกายวิ่งขึ้นรถแล้วบึ่งขับหนีไปท่ามกลางคำครหาต่อว่าของผู้คนรอบข้าง

“โดนลุงเนศด่าแน่ แอบขโมยรถมา” คนเมาที่นั่งอยู่เบาะข้างบ่นพึมพำ

วิริยะผละจากทางเบื้องหน้า เพียงแค่ยกยิ้มเท่านั้น แม้สภาพตอนนี้ยังไม่ได้ดูร้ายแรง คาดว่าพรุ่งนี้หน้าคงเขียวช้ำไปหมด แล้วก็คงได้ฟังคำต่อว่าของบิดายาวเหยียดอีกรอบ เมื่อท่านเห็นเด็กหนุ่มในสภาพถูกหมาฟัด “ก็อย่าบอกพ่อซีพี่ เรื่องนี้เป็นความลับของเรานะ”

ทรายไม่ได้ตอบอะไรกลับมานอกจากยิ้มเท่านั้น มองทอดออกไปข้างนอก ปล่อยให้วิริยะนำพากลับไปยังที่บ้านอย่างวางใจว่าปลอดภัยแล้ว พร้อมกับความรู้สึกแปลกแยกภายในใจได้รับการสมานดูแลอย่างเชื่องช้า ในขณะที่ถ้อยคำยามวิริยะตะโกนบอกว่าหล่อนคือพี่สาวนั้น ยังคงก้องสะท้อนอยู่ในโสตประสาทไม่ยอมจางหายไป

 

ตั้งแต่กลับมาจากไร่รุ่งอรุณี วันนี้ก็ครบอาทิตย์แล้ว วิริยะลืมตานอนมองเพดานห้องพักของตนเอง คิดไปด้วยว่าคนที่ไร่กำลังทำอะไรอยู่ ป่านนี้คงกลับจากการพักผ่อนในวันหยุดกันหมดแล้ว จะมีใครคิดถึงเด็กหนุ่มบ้างไหม เขามาโดยที่ยังไม่ทันได้เอ่ยลาใครสักคำ แม้กระทั่งเชษฐ์ไชยก็ด้วย วิริยะปลีกตัวหายไปจากชีวิตอีกฝ่ายทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน

วันนี้เด็กหนุ่มตื่นตั้งแต่ตีห้า อาจเป็นเพราะความเคยชินที่ทำมาตลอดทั้งเดือนก็เป็นได้ ทำให้เขาไม่อาจข่มตานอนหลับต่อ ต้องลงไปทำความสะอาด ทำงานบ้านทั้งที่ตอนแรกก็กะว่าจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอิงอรกับทราย แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ช่วยแบ่งเบาภาระของพวกหล่อนคงไม่เป็นไร ที่สำคัญ หากเด็กหนุ่มไม่ได้ทำอะไรเลย คงวุ่นวายใจน่าดู

กว่าแม่เลี้ยงและพ่อจะตื่นวิริยะก็ทำงานทุกอย่างเสร็จแล้ว เด็กหนุ่มยิ้มให้ธเนศ แล้วขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว ไม่มีอะไรทำก็เดิน ๆ เล่น ๆ วนเวียนภายในห้อง หรือไม่ลงมาด้านล่าง หยิบจับโน่นนี่ทำแก้เครียด เอาเสียบ้านใหม่เอี่ยมไม่มีฝุ่นเกาะแม้แต่นิด ท่าทางคงแปลกในสายตาของแม่เลี้ยงและพี่สาวอยู่มาก พวกหล่อนทำได้เพียงมองตามแล้วครุ่นคิดว่าวิริยะคงมีเรื่องอะไรอยู่ในใจ กระทั่งเด็กหนุ่มขึ้นมาบนห้องพักของตัวเองอีกครั้ง แล้วหลับไป

วิริยะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาช่วงเย็นของวัน เป็นทรายเคาะประตูเรียกบอกว่ามีคนมาหา วินาทีแรกวิริยะคิดว่าเป็นเชษฐ์ไชย เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มกว้างแล้วรีบวิ่งลงไปด้านล่าง หากทว่ารอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าเจือจางลง เมื่อเห็นใครนั่งอยู่ในห้องรับแขก คนที่คิดว่าจะไม่ได้เจอกันอีก เหตุใดนั่งยิ้มหน้าแป้นแล้นรออยู่อย่างนี้ได้

“ไอ้อิก นี่มึงยังอยู่อีกเหรอ”

คนถูกทักคลี่ยิ้ม “เอ่อ ยังไม่ตาย ทักกูซะรู้เลยว่ารักมาก”

วิริยะมุ่นคิ้ว เดินไปทรุดนั่งตรงกันข้ามเพื่อน “แล้วทำไมยังไม่ไปอีก”

“ก็ พ่อกูดันไม่ยอมให้ไปอีกน่ะสิ กูโทรหามึงตั้งหลายทีก็ไม่ติด” อัศวินบอกด้วยรอยยิ้มแหย ให้คนฟังอ้าปากค้างด้วยความโมโห วิริยะเอื้อมไปทุบบ่าของมันด้วยความหมั่นไส้ ที่หลอกให้ร้องไห้ร้องห่มเสียใจตั้งนาน คิดว่าจะไม่ได้เจอกันบ่อย ๆ เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว แถมหลอกให้เขา...สารภาพไปแล้วว่าคิดยังไงกับเจ้าตัว

“มึงนะมึง หลอกให้กูตกใจ” วิริยะบ่น

คนนั่งข้างยิ้มจนตาหยีกับท่าทางแสนตลก มองเด็กหนุ่มอยู่แวบหนึ่ง คล้ายกำลังสำรวจว่าวิริยะเปลี่ยนไปตรงไหนบ้าง “มึงคล้ำลงนะ แถมดูอ้วนขึ้นด้วย จากที่คิดว่าจะอยู่ไม่ได้ อากูเลี้ยงซะเป็นหมูเลยเนี่ย” อัศวินยิ้มแล้วจับตัววิริยะไปพลาง

เด็กหนุ่มส่ายหน้า “น้ำหนักขึ้น แต่ไม่อ้วนเว้ย”

“เออ กูหมายความแบบนี้แหละ แต่ดีกว่าเมื่อก่อนนะ” เพื่อนรักตบบ่าบอก

“แล้วนี่มาหา คือคิดถึงกูว่างั้น” วิริยะยิ้มล้อแล้วเอนหลังพิงพนักโซฟาของบ้านอย่างสบายตัว ไม่สนเพื่อนที่หันมองตามอยู่ครู่หนึ่ง เห็นแล้ววิริยะก็คลี่ยิ้ม กระตุกดึงคออัศวินมากอดให้เอนหลังอยู่ข้างกันอย่างสบาย ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยกล้าทำ แต่วันนี้วิริยะไม่คิดก่อนเสียด้วยซ้ำ พลอยให้อัศวินนึกตกใจตามไปด้วย

“เมื่อวานไอ้มาร์คบอกกูว่ามึงไปหมี่เหลืองมา ทันทีที่อาเชษฐ์ได้ยิน แทบจะบุกมาถึงที่บ้านเลย”

วิริยะละรอยยิ้ม ไม่เข้าใจความหมาย “ทำไมอะ”

“ก็อาเชษฐ์อยากรู้ไงว่ามึงเป็นยังไงบ้าง”

รอยยิ้มบนใบหน้าของวิริยะจางหายไป “กูคิดว่าอาเชษฐ์กลับไปแล้วซะอีก”

คนกล่าวหลุบตาลงมองพื้น ไม่ใช่เลย เมื่อกี้เด็กหนุ่มเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่าเชษฐ์ไชยแวะมาหา เขาดีใจและเสียใจที่ไม่ได้เป็นดังหวัง หรือเชษฐ์ไชยกำลังคิดถอยออกห่างไปเช่นกัน เมื่อกลับมาที่นี่ มารับรู้ว่าตัวเองมีหน้าที่อะไรที่ต้องแบกรับ มีใครตั้งความหวังไว้รออยู่ อีกฝ่ายอาจตัดสินใจใหม่เรื่องของเขาก็ได้ อาจล้มเลิกความตั้งใจที่จะมีเขาในชีวิตต่อไปแล้วก็ได้

ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี วิริยะไม่อยากให้ตัวเองรู้สึกผิดที่เชษฐ์ไชยเลือก

“ยังไม่กลับ แต่ว่าใกล้แล้วแหละ เห็นว่ามาเคลียร์อะไรสักอย่าง” อัศวินเล่า

“เที่ยวนี้อยู่นานเนอะ”

คนฟังจ้องตาวิริยะ “มึงไม่สนใจเลยเหรอว่าอาเชษฐ์รออะไร มึงงอนอยู่รึเปล่าเนี่ย”

“งอนบ้างอนบออะไร๊” วิริยะทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“ไม่คิดถึงเหรอ”

“คิดถึงอะไรคนหน้าโหดใจร้ายพรรค์นั้น ออกมาจากไร่ได้กูนี่โคตรโล่งใจ” คนพูดยิ้ม

“อ๊อ...เหรอ” อัศวินทำหน้าไม่เชื่อเมื่อได้ฟัง พร้อมเคลื่อนมือมายีผมหยอกล้ออยู่ในที ขณะที่ฝ่ายวิริยะทำได้เพียงคลี่ยิ้มกว้าง ต่อสู้แรงของเพื่อนรัก ไม่ยอมให้ผมเสียทรงฝ่ายเดียวได้ ท่ามกลางสายตาของทรายที่ลอบยืนดูอยู่ห่าง ๆ

อัศวินถามไถ่ความเป็นอยู่ของเด็กหนุ่มอยู่สักพักแล้วขอตัวกลับ นัดกันไว้ว่าอีกสองสามวันจะไปเจอกลุ่มเพื่อนที่ห้างเพื่อเที่ยวเล่นตามประสา วิริยะตอบรับเพราะตัวเองไม่ได้ทำงานพิเศษแล้ว ก่อนที่จะเดินกลับขึ้นไปห้องพัก ขณะก้าวเท้าไปที่ชั้นสอง เขาสวนทางกับทรายที่ดูเหมือนจะแอบฟังเรื่องของเชษฐ์ไชย เมื่อหล่อนเห็นสีหน้าอันผิดไปจากเมื่อครู่ของวิริยะก็รู้ดีว่าที่เด็กหนุ่มซังกะตายขนาดนี้เป็นเพราะใคร

“ชอบเขาเหรอ” พี่สาวถาม ยามลำขาวิริยะเดินไปถึงชั้นสอง

เด็กหนุ่มชะงักเท้า หันกลับไปหาเธอ “อะไรพี่ทราย...”

หล่อนเดินฉับตามมาหยุดตรงกันข้าม “ก็ตาหน้าโหด ๆ คนนั้นน่ะ”

“บ้า มะ ไม่ได้ชอบ”

“จะชอบก็ไม่ได้ว่าไรนี่”

เด็กหนุ่มหลุบตามองพื้นเมื่อได้ยินหล่อนว่า แสดงความมีพิรุธจนคนอายุมากกว่ารู้ทัน หากทว่าทรายไม่ได้พูดอะไรมาก นอกจากแสร้งพยักหน้ายอมเชื่อไปก่อน แล้วปล่อยให้วิริยะเดินเป็นร่างไร้วิญญาณเข้าไปที่ห้องพัก หล่อนส่ายหน้าหลังจากประตูปิดลง ไม่บอกก็รู้ว่าท่าทางเบื่อโลกอย่างนี้เป็นเพราะกำลังอกหักช้ำรักอยู่

ก็น่าช้ำอยู่หรอก ตาคนนั้นไม่น่าจะชอบเด็กผู้ชายได้...มั้ง แถมดูดี ๆ ก็หล่อด้วย

หล่อนยังมองไม่เห็นทางเลยว่าจะรักจะชอบกันได้ยังไง

 

ที่จริงก็คิดว่ามันดีแล้ว ที่เชษฐ์ไชยปล่อยให้เรื่องของทั้งสองคลุมเครือคาราคาซังอย่างนี้ ไม่ต้องโพนทะนาบอกใครว่าเป็นอะไรกัน แต่เอาเข้าจริงวิริยะกลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอกหัก ก็แหงแหละ เด็กหนุ่มยอมรับกับตัวเองไปแล้วนี่ว่าชอบอีกฝ่าย จะให้ไม่รู้สึกอะไรเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

เด็กหนุ่มนอนกลิ้งไปกลิ้งมาด้วยความหงุดหงิด เสียงโทรศัพท์ของวิริยะหวีดร้องบอกว่ามีใครต้องการคุยสายด้วย ซึ่งตั้งแต่ซื้อมาก็นับครั้งได้ เด็กหนุ่มเอื้อมมือยกมันขึ้นมาดู นึกแปลกใจที่เบอร์นี้ไม่คุ้นเอาเสียเลย แต่ถึงอย่างนั้นวิริยะก็ยังคงกดรับสาย “ฮัลโหล...”

ปลายสายเงียบไปพักหนึ่ง

“โทรติดด้วยแฮะ”

เสียงของเชษฐ์ไชยนี่!

“อาเชษฐ์!” วิริยะเหลือกตาแล้วลุกขึ้นยืนเหมือนทุกครั้งที่ตกใจ รู้สึกเหมือนใจหายวาบเพราะความตื่นเต้น ลำขาของเด็กหนุ่มพาให้เขาเดินวนไปมาภายในห้องพักนั้น โดยไม่ได้พูดอะไรอยู่เป็นนาที ไม่รู้จะตอบกลับไปว่าอะไรดี ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าปลายสายกำลังรออยู่ “ฮะ ฮัลโหล...”

“จู่ ๆ ก็เงียบ ไม่ดีใจเลยเหรอที่โทรไป” เชษฐ์ไชยถาม

วิริยะเดินไปทรุดตัวลงบนเตียง ผุดยิ้ม “ไม่เห็นดีใจเลย”

“ก็ว่าอยู่”

“ก็ว่าอะไรครับ” เด็กหนุ่มย้อน

“ถ้าคิดถึงคงไม่ปล่อยให้รอขนาดนี้หรอก” เสียงของอีกฝ่ายเรียบเสมือนไม่ได้คิดอะไรนัก หากทว่าถ้อยคำกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความน้อยใจอย่างเคยพูดก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มลอบถอนใจอยู่พักหนึ่งจึงกรอกเสียงพูดกลับไปว่า “แล้วจะให้ติดต่อไปยังไง แต่อาเชษฐ์ก็รู้ว่าบ้านผมอยู่ไหนนี่”

“เธอก็รู้ว่าบ้านพี่อยู่ไหนเหมือนกัน” ปลายสายย้อน

“จะโทรมาเถียงกันเหรอฮะอาเชษฐ์” เด็กหนุ่มคลี่ยิ้ม เอนตัวลงนอนบนเตียง ภาพบนเพดานปรากฏใบหน้าครึ้มไปด้วยหนวดเคราของคนคุยสายด้วย แต่เป็นเวอร์ชั่นกำลังส่งยิ้มหวาน สบตา แล้วเอ่ยปากบอกมาตรง ๆ กับวิริยะว่า “ซะที่ไหนละ ก็คิดถึงไงถึงได้โทรไป แต่ไม่คิดว่าจะติดหรอก ทำใจไว้แล้วว่าจะไม่ได้คุย”

“แล้ว...”

“แล้วก็ถูกลอตเตอรี่ไง” น้ำเสียงของเชษฐ์ไชยอบอุ่นจนวิริยะหลุดยิ้มอีกครั้ง

“เมื่อไรจะเลิกทำตัวเว่อร์อย่างนี้น่ะครับ”

“วิว พี่กำลังจะกลับไร่ ขอไปเจอก่อนได้ไหม” เชษฐ์ไชยพูดถึงเรื่องที่ต้องการขึ้น วิริยะละรอยยิ้มลงเมื่อคิดว่ากำลังจะได้เจอหน้า แล้วหวนคิดถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็รู้สึกกลัว กลัวสายตาของใครต่อใคร กลัวสิ่งที่เชษฐ์ไชยมีอยู่นั้น พังทลายลงไปครืนเดียวเพียงเพราะเขาเป็นตัวต้นเหตุ และสุดท้าย วิริยะกลัวว่าตัวเองจะรับไม่ไหวกับผลกระทบตามมา

ถึงแม้เชษฐ์ไชยจะเข้มแข็ง แต่วิริยะรู้ดีว่าการเป็นเชษฐ์ไชยไม่ง่ายเลย เขาไม่อาจทนปล่อยให้อีกฝ่ายรับแรงกดดันอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว

การตัดสินใจแบบนี้แหละถูกที่สุด เด็กหนุ่มสูดลมหายใจ ตอบกลับไป

“อาเชษฐ์ไม่ต้องมาหรอก ถ้าจะกลับก็กลับไปเลย”

“หมายความว่าไงน่ะวิว” เสียงของอีกฝ่ายแปลกใจ

หัวใจวิริยะเต้นเป็นระส่ำ กลัวเชษฐ์ไชยไม่เชื่อ

“ที่ผมไม่ติดต่อกลับไป อาเชษฐ์ก็น่าจะรู้แล้วนี่ว่าคำตอบผมหมายความว่าไง ผมไม่ได้ชอบอาเชษฐ์...ความรู้สึกของผมในตอนนั้นก็แค่สับสน เมื่อผมกลับมาที่นี่ ผมก็ได้รู้ว่าผมตัดใจจากคนที่ตัวเองเคยชอบไม่ได้จริง ๆ”

“วิว...”

เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจ ไม่อยากฟังเสียงของเชษฐ์ไชยเลย “แค่นี้นะครับ”

“วิว!”

“อาเชษฐ์ไม่ได้เป็นเกย์ อาเชษฐ์แค่หลงผิดไป โอเคนะครับ”

“วิว วิว!” เชษฐ์ไชยเสียงดัง

วิริยะกดปุ่มวางสายแล้วซุกหน้าลงกับหมอนเพื่อตั้งสติให้ตัวเอง เขาทำถูกแล้ว ให้เสียใจกันตอนนี้ดีกว่าต้องทนนั่งมองเชษฐ์ไชยเจ็บปวดกับการฝ่าฟันเรื่องยากข้างหน้าอย่างเห็นแก่ตัว มันไม่ใช่นิสัยของเด็กหนุ่มอย่างที่คิดไว้ตั้งแต่แรก ต่อให้ออกคำสั่งตัวเองเท่าใดวิริยะก็ทำไม่ได้ ต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลมอย่างนี้น่ะถูกแล้ว

พอกันที ให้มันจบลงแค่นี้พอ

แต่นอนอยู่บนเตียงบอกตัวเองให้ไม่ฟุ้งซ่านได้ไม่เท่าไร เสียงออดบ้านวิริยะดังระรัวถี่ราวกับที่ไหนกำลังไฟไหม้ เด็กหนุ่มยกหน้าแดง ๆ ออกจากหมอนแล้วรู้สึกถึงความร้อนแล่นเข้ามาสู่ใบหน้า อย่าบอกเลยว่าคนที่มาพังกริ่งที่นี่เขาคือเชษฐ์ไชยที่บึ่งรถมา คิดแล้วลำขายาวก็พาเด็กหนุ่มกระโดดลงจากเตียงแอบดูอยู่หลังหน้าต่าง เห็นตากอริลล่าหน้าโหดกำลังเอาเป็นเอาตายกับการกดเรียก กระทั่งเห็นทรายวิ่งออกไป

เดี๋ยวซี เกิดเชษฐ์ไชยบอกพี่สาวเขาว่าเป็นอะไรกันกับวิริยะ มันก็แย่น่ะซี!

เด็กหนุ่มเหลือกตา วิ่งกุลีกุจอออกไปหาเชษฐ์ไชยโดยไม่กลัวตัวเองจะล้มหัวคะมำ ขณะที่ทรายกำลังจะไปถึงประตู ด้วยความที่ซ้อมวิ่งมาตั้งแต่หนีเชษฐ์ไชยตอนอยู่ไร่ วิริยะรักษาความเร็วของตัวเองแซงพี่สาวไปดักหน้า กั้นไม่ให้ไปรับแขก บอกหล่อนว่าจะต้อนรับเชษฐ์ไชยด้วยตัวเอง ตอนแรกทรายทำทีจับพิรุธ แต่ก็ยอมเดินกลับเข้าบ้านไปในท้ายที่สุดเมื่อเหลือบเห็นเชษฐ์ไชย

“วิว ออกมาคุยกันเดี๋ยวนี้เลย” เชษฐ์ไชยเรียก

เด็กหนุ่มหันกลับไปเปิดประตูบานเล็ก ไม่ได้ให้เชษฐ์ไชยเข้ามาข้างใน พยายามปรับสีหน้าให้เรียบนิ่ง เชษฐ์ไชยจะได้รู้ว่าสิ่งที่พูดไปเมื่อครู่นั่นเอาจริง ไม่ได้พูดติดตลกแต่อย่างใด ซึ่งอีกฝ่ายก็คงไม่สนุกด้วยเช่นกัน เจ้าของตัวใหญ่เองก็มีทีท่าเคร่งเครียดไม่ต่างจากวิริยะนัก

“พูดอะไรออกมา ทำไมไม่เคลียร์กันให้เข้าใจ”

เด็กหนุ่มถอนใจ มุ่นคิ้วเงยขึ้นสบตา “ขอโทษนะ แต่ผมว่าผมพูดเคลียร์แล้ว”

“เคลียร์บ้าอะไร ที่แป็นแบบนี้ก็เพราะห่วงพี่ไม่ใช่เหรอ พี่รู้หรอกน่า!”

“เปล่า ผมห่วงตัวเองต่างหาก ผมไม่อยากให้พ่ออายเขาที่มีลูกเป็นเกย์ ส่วนอาเชษฐ์ก็มีลูกมีเมียดีอยู่แล้ว ลองคิดดูสิว่าถ้ามีใครรู้เรื่องของเรา เราได้จบเห่แน่” เด็กหนุ่มตอบตามความจริง

“ไม่มีใครจบทั้งนั้นแหละวิว ทำไมไม่เชื่อใจกันบ้าง”

“ที่สำคัญ อาเชษฐ์ครับ ผมยังรักคน ๆ นั้นอยู่...” เด็กหนุ่มตอบเสียงเบาแล้วเงยขึ้นจ้องตาให้คำสัตย์จริง “ที่จริงอาเชษฐ์ก็ดี และผมชอบอาเชษฐ์ แต่เผอิญว่ามันไม่มากพอที่จะต้องอดทนเจอเรื่องราวมากมายในอนาคตได้ อาเชษฐ์เข้าใจความรู้สึกผมไหมครับ”

คนตรงหน้าพูดไม่ออก ทำได้เพียงขบฟันจ้องตาเด็กหนุ่มเขม็ง จะเพราะความโกรธเคืองหรือเสียใจวิริยะไม่อาจเดาได้ เด็กหนุ่มรู้เพียงว่าตอนนี้หัวใจของตัวเองก็แหลกสลายพอ ๆ กัน กล่าวต่ออีกว่า “อาเชษฐ์จะโกรธจะเกลียดผมยังไงก็ได้ แต่ผมไม่เลือกอาเชษฐ์ ผมเลือกตัวเอง กับอีกคนที่ผมชอบมากกว่า”

คนตรงหน้าโคลงศีรษะ “ทำไมทำแบบนี้น่ะวิว”

วิริยะไม่รู้ว่าเชษฐ์ไชยหมายความว่าอะไร เด็กหนุ่มยังคงยักไหล่

“แล้วจะให้ผมทำแบบไหน”

“ก็บอกแล้วไง ถ้ากังวลใจอะไรก็บอกกันตรง ๆ”

“พอทีเถอะอาเชษฐ์”

“เธอไม่ใช่คนแบบนี้หรอก พี่รู้”

“สิ่งที่อาเชษฐ์รู้อาจไม่ใช่ความจริงก็ได้ เรารู้จักกันนานแค่ไหนเชียว” วิริยะเถียง สีหน้าเพิ่มความจริงจังมากขึ้นไปอีกระดับเมื่อเห็นว่าเชษฐ์ไชยไม่พูดอะไรสวนกลับ เพราะกำลังคิดว่าเด็กหนุ่มพูดถูก “ผมจะบอกความจริงให้ก็ได้ว่าทำไมถึงทำแบบนี้ อาเชษฐ์คิดถูกตั้งแต่แรกแล้วว่าผมบ้าเงิน ผมบ้าความสบาย ที่ทนอยู่นั่นต่อก็เพราะแค่อยากเอาชนะอาเชษฐ์แค่นั้นแหละ ไม่ได้ดีเด่อะไรไปกว่าใครหรอก แล้วรู้อะไรไหม ผมโคตรดีใจเลยที่รู้ว่าอาเชษฐ์คิดยังไงกับผม”

คนตรงหน้านิ่งไป

“ผมสนุกมาก ที่ทำให้อาเชษฐ์เป็นบ้าเป็นหลังวิ่งไล่ตาม...”

“วิว!” น้ำเสียงของเชษฐ์ไชยเย็นเยียบ “เธอไม่ได้อยากพูดเรื่องนี้หรอก”

“ฮะ ๆ ๆ ๆ” วิริยะหัวเราะ “ก็คงใช่ แต่มาคิดอีกทีแล้วผมยังใจดีนะ ที่บอกอาเชษฐ์ตรง ๆ ไม่หนีหายไปอย่างคุณรตรีอะไรนั่น ผมไม่อยากซ้ำเติมให้อาเชษฐ์เป็นทุกข์ไปกว่าเก่า แค่สภาพตอนนี้ก็ไม่มีใครจะเอาแล้ว”

เชษฐ์ไชยมองใบหน้าแดงก่ำของคนตรงหน้าขณะเอ่ยพูด ความรู้สึกเหมือนโดนกำมือเล็กนั่นบีบหัวใจจนนึกหาคำตอบโต้ไม่ได้ นอกจากนิ่งฟัง ให้วิริยะพล่ามเสียให้พอใจ ให้เผยความรู้สึกจริง ๆ ออกมา เขาจะได้ตาสว่างแล้วหันหลังให้เจ้าตัวอย่างเต็มภาคภูมิสักที หลังจากแอบคิดมาอย่างน้อยใจตลอดว่าความรักนี้เป็นเขาฝ่ายเดียวเท่านั้นที่มีใจ

“ผมรู้ดี คนที่ผมชอบเขาไม่ชายตามองผมหรอก” วิริยะเงยดวงตากลมมาสบ แล้วยกยิ้มเพียงน้อยนิดให้ มองเชษฐ์ไชยตั้งแต่หัวจรดเท้าให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าถูกดูถูก “แต่ผมก็ไม่เอาอาเชษฐ์เหมือนกัน ผมอาย อายที่จะเป็นอะไรกับอาเชษฐ์ อายที่จะให้ใครรู้ว่าเราเป็นอะไรกัน”

ใบหน้าของผู้ฟังร้อนรุม ภายในใจชาดิกไปหมดเมื่อได้ยินถ้อยคำที่วิริยะกล่าว

“พอแล้ว...” เชษฐ์ไชยพยักหน้ารับเล็กน้อยเท่านั้น บอกไปว่าตอนนี้เข้าใจแล้ว นัยน์ตาคมสบที่วิริยะไม่ผละไปที่ไหน แต่แทบไม่มีแรงกล่าว “ถ้าจุดประสงค์เพียงเพราะอยากให้ถอยออกจากชีวิต แค่นี้ก็พอแล้วแหละ”

วิริยะนิ่ง ใจเต้นตึกเมื่อท่าทีที่เคยแสดงความขึ้งโกรธนั้นผ่อนลง

เหมือนตอนนั้นเลย ตอนที่เขาโกรธเชษฐ์ไชย โกรธและคิดขึ้นมาได้ว่ามันช่างเสียเวลาเหลือเกิน หากจะต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย อยากหนีไปให้พ้น ๆ แล้วไม่ต้องมาเจอะเจอกันอีก

หรือเชษฐ์ไชยกำลังคิดแบบนั้นอยู่เหมือนกันหนอ

“ขอโทษก็แล้วกัน ที่ทำให้ลำบากใจ ขอโทษจริง ๆ นะวิว”

สีหน้าของคนกล่าวราวไม่มีชีวิตชีวา แหบพร่าสั่นไหว นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่เชษฐ์ไชยพูดด้วย จากนั้นร่างสูงใหญ่ก็เดินอ้อมไปขึ้นรถแล้วบังคับขับเคลื่อนออกไปโดยไม่มีแม้แต่คำลา เด็กหนุ่มมองตามจนสุดสายตา เห็นว่าหลังจากพูดคำเหล่านั้นแล้วอีกฝ่ายก็ไม่หันกลับมาหาวิริยะอีกเลย ยอมล่าถอยไปจากชีวิตของเด็กหนุ่มอย่างไม่ดื้อรั้น ทั้งที่เชษฐ์ไชยควรโมโหและเป็นเดือดเป็นร้อนมากกว่านี้

หรือเจ้าตัวไม่ได้เอ็นดูเขามากมายขนาดนั้น

หรือไม่

เชษฐ์ไชยคงรู้อยู่แก่ใจแล้วกระมัง จากท่าทีที่เด็กหนุ่มแสดงออกมาโดยตลอด

ใจร้ายจัง

วิริยะลากเท้าเดินเอื่อยกลับเข้ามาในรั้วของบ้าน รู้สึกเหมือนตัวเองหนักราวแบกโลกไว้ทั้งใบ จากที่คิดและทำใจไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เด็กหนุ่มกลับรู้สึกเหมือนจะขาดใจ เมื่อภาพสีหน้าอันผิดหวังของเชษฐ์ไชยขณะหมุนตัวเดินกลับไปขึ้นรถนั้น ยังคงตราตรึงอยู่ในใจจนไม่อาจลบออกไปได้

ลำขาของวิริยะชะงัก เมื่อพ้นประตูรั้วเข้าไปแล้วพบทรายยืนกอดอกรออยู่ เมื่อเห็นสีหน้าของพี่สาว หล่อนกำลังโคลงศีรษะให้คล้ายว่าระอากับสิ่งที่วิริยะทำ ความรุมร้อนและอะไรที่พยายามปกปิดไว้กลับล้นทะลักออกมาจนไม่อาจห้ามปรามได้ น้ำตาวิริยะไหลราวเขื่อนแตก โผกอดทรายปล่อยน้ำตาร้องไห้อยู่ตรงนั้น ผ่านมาไม่กี่นาทีแท้ ๆ รู้สึกผิดจนไม่สามารถอดทนได้แล้ว

“ทำอะไรลงไปเนี่ย ไอ้โง่เอ๊ย...”

ใช่ ทำไมเขาถึงได้โง่ขนาดนี้

ในหูของวิริยะได้ยินเพียงเสียงสะอื้นร้องไห้ของตัวเอง คำกล่าวสุดท้ายของเชษฐ์ไชย ยังคงหวนกลับมาเสียดแทงอกอยู่ซ้ำ ๆ และคำปลอบของทราย ไม่ได้ลดทอนความเจ็บปวดในใจวิริยะลงไปได้เลย

--๑๐๐--

----------------------------------------------------------

แง้ๆๆ ก็จะมีความดราม่าหน่อยๆ

เดี๋ยวตอนหน้าก็ดีขึ้น กลับมาเจอกันแล้วเด้อ บวกกับฝ่ายน้องวิวเป็นคนตามง้อสามีบ้าง

แล้วความรักของทั้งสองจะจบลงยังไง ติดตามจ้าาาา
หัวข้อ: Re: **{25.4.61-ตอนที่ ๑๗--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 25-04-2018 20:36:05
เลิกสับสนได้แล้ววิว
หัวข้อ: Re: **{25.4.61-ตอนที่ ๑๗--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 25-04-2018 21:01:44
มีสามีหล่อล่ำปล้ำง่ายขนาดนั้น ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ ตามป้ายรถเมล์ ยังมาเรื่องมากอีกนะวิว
เดี๊ยวปั๊ด  :beat: :beat:
หัวข้อ: Re: **{25.4.61-ตอนที่ ๑๗--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-04-2018 21:22:17
 :z6: ไม่มีอะไร แค่ถีบเรียกสตินะวิว
หัวข้อ: Re: **{25.4.61-ตอนที่ ๑๗--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 25-04-2018 22:34:34
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: **{25.4.61-ตอนที่ ๑๗--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 25-04-2018 22:47:41
ฮืออออ น้องวิว ทำไมทำแบบนี้อ่ะลูกกก
สงสารทั้งคู่เลยเนี่ย
หัวข้อ: Re: **{25.4.61-ตอนที่ ๑๗--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 26-04-2018 02:36:06
วิวววววว  คิดอะไร​มาก​ไป​
หัวข้อ: Re: **{25.4.61-ตอนที่ ๑๗--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: T_TARS ที่ 26-04-2018 09:23:53
หนูวิว กลับไปง้อเจ้าชายอสูรเดี๋ยวนี่เลย
หัวข้อ: Re: **{28.4.61-ตอนที่ ๑๘--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 28-04-2018 20:01:02

ตอนที่ ๑๘

2 เดือนต่อมา

“ฮัลโหล ไอ้อิก พวกมึงอยู่ไหนกันแล้ว”

วิริยะในชุดลำลองยืนอยู่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งภายในห้าง ก้มลงดูนาฬิกาด้วยสีหน้าหงุดหงิด เพราะตอนนี้มารอกลุ่มเพื่อนนานกว่าสิบนาที จนทนไม่ไหวต้องต่อสายตรงไปหาเพื่อนรักถามไถ่ว่าพวกมันขี่เกวียนกันมาหรืออย่างไร ถึงได้ช้าขนาดนี้ นัดแล้วดันไม่มาตรงเวลา เดี๋ยวได้หมดเวลาติวหนังสือพอดี

เมื่อได้ยินคำตอบของเพื่อนรักที่กำลังจะกลายเป็นเพื่อนเลว วิริยะร้องเสียงดัง “ฮะ! พวกมึงไปทำห่าอะไรกันอยู่ที่ฟิตเนส จำไม่ได้เหรอว่านัดจะมาอ่านหนังสือ”

“มึงไม่ได้อ่านไลน์กลุ่มอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย” อัศวินถามจากปลายสาย

วิริยะเหลือกตาโต “อะไรวะ ไลน์กลุ่มนี่มีกี่กลุ่ม กูเข้าไม่ครบรึยังไง”

“สรุปมึงไม่ได้อ่าน กูเลื่อนนัดแล้ว ไอ้บ้า!”

เด็กหนุ่มยกมือเกาหัว “แล้วทำไมมึงไม่โทรมาบอกละ มึง! เดี๋ยวกูจะออกจากกลุ่มไลน์เดี๋ยวนี้แหละ ไอ้เวร แม่งมาเสียเที่ยว!”

เสียงอัศวินหัวเราะสะใจขนาดหนัก พูดกลับมาว่า “เออ มึงก็อย่าให้มันเสียเที่ยวสิ หาอะไรสนุก ๆ แถวนั้นทำไป”

“ก็มันมะ...” ทำท่าจะเถียงว่าไม่มีอะไรน่าสนุกทั้งนั้น หากแต่ว่าดวงตากลมเหลือบไปสบเห็นอะไรอีกฝั่ง จนลืมว่ากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ อะไรสักอย่างที่ดึงความสนใจวิริยะไปหมดสิ้นแล้ว เด็กหนุ่มเห็นชายตัวใหญ่สูงกำลังเดินหน้าเคร่งมาพร้อมกับเลขาและคู่ค้าอีกสองสามคน บนตัวสวมสูทผูกไทเป็นทางการ ใบหน้าที่เคยมีหนวดเครายาวครึ้มสะอาดสะอ้านจนเปลี่ยนไป หากทว่าวิริยะจำได้ว่าเป็นใคร

ผิดจากภาพนายใหญ่ของไร่รุ่งอรุณีลิบลับ

“ไอ้อิก!” วิริยะกรอกสายเสียงกระซาบ วิ่งหลบไปยังหัวมุมเมื่อเห็นว่าเชษฐ์ไชยกำลังเดินตรงมาทิศนี้ จุดมุ่งหมายอีกฝ่ายคงเป็นร้านอาหารเพื่อคุยธุรกิจ

ครั้นหลบร่างบริเวณหัวมุมของร้านได้อย่างปลอดภัยแล้ว วิริยะอดคิดไม่ได้ว่านี่มันบังเอิญเกินไป “อย่าบอกกูนะ ว่านี่ฝีมือมึง!” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มฉุนเล็กน้อย แล้วลอบชะโงกออกไปดูลาดเลาว่าถูกเห็นรึไม่ พบเชษฐ์ไชยกำลังพาคู่ค้าเดินเข้าไปด้านในพอดิบพอดี ด้วยรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นนานแล้ว รอยยิ้มที่วิริยะพรากไป

“พูดอะไรวะวิว” อัศวินย้อน

“มึงไม่ต้องมาไขสือ มึงหลอกกูมาเจออาเชษฐ์ใช่ไหม”

อัศวินหัวเราะ “ว้า พลาดแล้วเรา”

“ไม่ต้องมาขำเลย กูไม่สนุกด้วย”

“ก็ไม่ได้จะให้สนุกนี่หว่า กูอยากให้มึงกับอาเชษฐ์คุยกัน งอนกันยาวเกินไปแล้วเนี่ย” เพื่อนรักใช้เสียงจริงใจ ได้ฟังแล้ววิริยะมุ่ยหน้าด้วยความโมโห กรอกสายกลับไปว่า “ถ้าขืนอาเชษฐ์เจอกูคงไม่คุยอะไรสักคำหรอก คงวิ่งไล่ฟาดงวงฟาดงา จับกูหักเป็นสองท่อนให้สมกับความแย่ที่กูทำใส่วันนั้น”

“อาเชษฐ์ไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า มีแต่มึงนั่นแหละคิดเองเออเอง” อัศวินตอบ

“ไม่เอา ยังไงก็ไม่อยากเจอ”

“กูรู้นะว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างมึงกับอาเชษฐ์”

วิริยะเบิกตา “แต่มึงควรรู้คนสุดท้ายนะเว้ย เพราะคนที่กูชอบคือมึงอะ”

“แค่เคยชอบไหม แต่อาเชษฐ์ดันคิดว่าคนที่มึงชอบคืออาอัฐษ์ แล้วตอนนี้อาเชษฐ์ก็งอนอาอัฐษ์มากด้วย ตั้งแต่ไปหามึงวันนั้นก็นับครั้งที่คุยกันได้เลย” อัศวินเล่าเรื่องที่ผ่านมาให้วิริยะฟังตามความจริง พร้อมกับเด็กหนุ่มฝั่งนี้ที่หน้าร้อนฉ่าเพราะความงุนงง ไม่เข้าใจ “อาอัฐษ์เกี่ยวอะไรด้วยวะ!”

“ก็นี่ไง ถึงได้อยากให้คุยกัน”

“ไม่เอา ไม่คุยอะไรทั้งนั้น” วิริยะส่ายหน้าราวกับกลัวเพื่อนรักจะเห็น

“แน่ใจ๊ แล้วห้ามมาทำมิวสิควิดีโอเป็นหมาถูกทิ้งให้กูเห็นอีกนะ”

“กูไม่ใช่หมา แล้วก็ไม่ได้ถูกทิ้งด้วย ฝ่ายกูเป็นคนทิ้งอาเชษฐ์ต่างหาก จำใส่สมองใหม่ซะนะ” วิริยะกดวางสายพร้อมหัวใจเต้นตึกเพราะเรื่องที่เถียงด้วย เมื่อพูดถึงทีไรก็รู้สึกเหมือนถูกเข็มแทงลงบนหน้าอก เพราะเขาไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใจเลยที่ทำเช่นนั้น มันเจ็บจี้ดจนแทบหายใจไม่ออก

วิริยะผ่อนปรนอารมณ์ตัวเองอยู่ครู่หนึ่งแล้วทำใจ ค่อย ๆ ย่องเดินผ่านหน้าร้าน มองเข้าไปในกระจกอีกครั้งเพราะยังอยากเห็นหน้า สองเดือนแล้วที่ไม่ได้เจอ อยากเห็นว่าเชษฐ์ไชยเป็นอย่างไรบ้าง

ปรากฏร่างของเชษฐ์ไชยที่นั่งตรงกันข้ามกับลูกค้า กำลังพูดจาสีหน้าจริงจังอยู่ไม่หยุด สายตาของเด็กหนุ่มชะงักอยู่บริเวณใบหน้าหล่อเหลานั้นเพื่อเก็บงำภาพนี้ไว้ในความทรงจำ หายจากกันไปสองเดือน เชษฐ์ไชยดูหล่อและเนี๊ยบมากขึ้นแทบจะเหมือนกับอัฐษไชย แต่ด้วยความรู้สึก วิริยะสามารถแยกออกได้ภายในพริบตาเดียวว่าใครพี่ใครน้อง และใครที่ทำให้หัวใจเต้นแรงได้อย่างนี้

แต่...แม้จะดูดีขึ้นเพียงไหน เด็กหนุ่มกลับกำลังคิดว่าอีกฝ่ายดูฝืนทนเหลือเกิน ไม่เป็นตัวของตัวเองเลย ไม่เหมือนตอนที่อยู่ในไร่สักนิด

วินาทีหนึ่ง ใจของวิริยะชาวาบเมื่อนัยน์ตาคมนั้น จากสบกับคู่สนทนาก็ผละมามองทิศนี้ราวกำลังรู้ว่าถูกแอบมอง วิริยะหลบร่างไม่ทัน ทำได้เพียงยืนขาแข็งอยู่ตรงนี้เมื่อถูกจับได้ แต่ยิ่งไปกว่าสายตาคมเฉียบของเชษฐ์ไชยที่ทำให้ใจสั่นไหว คือท่าทีเมินเฉยของอีกฝ่ายนั้นกระมังที่ทำให้วิริยะแพ้พ่าย

เขาเพิ่งรู้ ว่าตัวเองกลายเป็นอากาศไปแล้ว เชษฐ์ไชยมองผ่านเขาไปอย่างไม่ใยดี

เจ็บที่หัวใจจัง

วิริยะหันมากุมหน้าอกตัวเองแล้วเดินหลบเลี่ยงออกมา ภายในสมองพร่ำบอกว่าอีกฝ่ายยังคงโกรธอยู่เท่านั้น แต่อีกความคิดหนึ่งก็บอกเด็กหนุ่มว่าเชษฐ์ไชยอาจหมดรักไปแล้ว

ทิ้งเขาเอง แล้วจะมาเสียใจแบบนี้ไม่ได้นะวิว ไม่ได้...

 

หลังจากเปิดเทอม ช่วงวันหยุด วิริยะจะใช้เวลาอยู่กับการนอนเอื่อยเฉื่อยอยู่บนโซฟา หรือไม่ก็ลุกไปหยิบทำโน่นทำนี่จนกลายเป็นนิสัย งานบ้านงานเรือนไม่เคยได้ตกถึงมือแม่เลี้ยงกับพี่สาวสักที แต่วันนี้เมื่อกลับมาถึงบ้าน วิริยะไม่เป็นอันทำอะไร นอกจากหยิบขนมในตู้มานั่งกินไปพลาง ดูทีวีไปพลาง

ผู้เป็นพี่สาวที่จับตามอง เห็นแล้วก็เพียงแค่ถอนใจ

กระทั่งเย็นแล้ว รายการข่าวมาแทนที่ช่วงบันเทิง ปรากฏร่างของคนที่กัดกินความคิดวิริยะขึ้นมาบนหน้าจอ กำลังจับมือกับใครสักคนที่น่าจะอยู่ในวงการธุรกิจเดียวกัน เสียงผู้ประกาศข่าวพูดเล่ารายละเอียดอะไรให้ฟัง วิริยะไม่ได้ให้ความสนใจมากเท่ากับการมองใบหน้าหล่อคมคายนั้นอย่างไม่วางตา

“เก่งเนอะ ธุรกิจกำลังไปได้สวยเลย” ทรายพูดขึ้น เมื่อเห็นเด็กหนุ่มยังไม่หยุดจ้อง

“ฮะ อะไรนะ” วิริยะย้อน

“ก็อีตาหน้าโหดนั่นไง นี่แกไม่ได้ดูอยู่หรอกเหรอ”

เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบกลับ เพราะกลัวทรายล้อเรื่องที่ผ่านมา หล่อนได้ยินทุกคำที่เด็กหนุ่มคุยกับเชษฐ์ไชยวันนั้น อีกนัยหนึ่งก็คือรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองและไม่อยากพูดให้เจ็บใจ แค่นี้ก็จะบ้าอยู่แล้ว วิริยะถอนใจเฮือกใหญ่แล้วเอนหลังพิงพนักโซฟา เคี้ยวขนมอย่างไม่รู้จะหาหนทางให้ตัวเองไม่รู้สึกคาราคาซังอย่างนี้ได้อย่างไร

คนง่วนอยู่กับการทำงานด้านหลังเหลือบมอง ยิ่งได้ยินเสียงถอนหายใจก็ยิ่งคิดว่าควรพูดอะไรบ้าง เพราะตั้งแต่ที่วิริยะร้องไห้วันนั้นก็เป็นคนไม่มีชีวิตชีวาเอาเสียเลย แม้จะทำเป็นบ้า ๆ บ๊อง ๆ กลบเกลื่อนก็ตามที สำหรับทรายที่โตมาด้วยกันยังไงก็กลบไม่มีทางมิด “แกจะอยู่อย่างงี้อีกนานไหมวิว”

วิริยะโผล่หัวจากพนักพิงมองไปด้านหลัง ในปากเต็มไปด้วยขนม “ก็มันไม่มีอะไรทำเลยซักอย่าง พ่อไม่ยอมให้ทำงานพิเศษแล้วอะพี่” มุ่นคิ้วทำหน้าเซ็ง ตอบหล่อนตามที่คิดและเข้าใจความหมายของคำถาม

คนฟังส่ายหน้า “ฉันหมายถึงเรื่องของแกกับเขา”

เด็กหนุ่มชะงัก

“ผมไม่อยากคุยเรื่องอาเชษฐ์” แล้วก็หันหลังกลับมาที่เดิม บอกว่าไม่อยากคุยเรื่องนี้จริง ๆ

“แล้วถ้ามีหมาตัวไหนคาบไป แกจะไม่หวงก้างใช่ไหม” ถ้อยคำที่พี่สาวใช้นั้นช่างแสบสัน และแทงที่หัวใจของวิริยะจนแทบจะพรุนราวรู้ว่าจะพูดยังไงให้เจ็บที่สุด เด็กหนุ่มหน้างอ หันกลับมาหาทราย

“เอาไปเลย ใครอยากได้ก็เอาไป”

“แน่นอน คอยดูก็แล้วกัน พี่แกขยันออกสื่อขนาดนี้เดี๋ยวได้มีมือดีมาฉกไปแน่ ทั้งหล่อทั้งรวยทั้งโสด มีใครไม่อยากได้เป็นผัวบ้างยะ” ก็จริงอย่างที่ทรายพูด เด็กหนุ่มหน้าบึ้งแล้วฉุกคิดตามว่าตอนนี้เชษฐ์ไชยก็ดูหล่อเหลาเหมือนพระเอกฮอลลีวู้ด ไม่แปลกที่ใคร ๆ จะชอบและเข้าหา ไหนจะคุณสมบัติรูปหล่อพ่อรวย กระบวยอันใหญ่นั่นอีก ไม่นานคงได้มีสาวแห่ขอดูกระบวยกันเป็นพรวนแน่

ไม่ได้ ต้องให้เขาดูคนเดียว!

เรื่องของรตรีหรือผู้คนไม่ยอมรับไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เชษฐ์ไชยก็เมินเขา นั่นสามารถบอกวิริยะได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าตัวใกล้พร้อมที่จะมีใหม่แล้ว

แต่ก็ไม่ได้อีกนั่นแหละ เขาจะหน้าด้านกลับไปหาเชษฐ์ไชยได้ยังไง ในเมื่อทรยศและทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายตั้งขนาดนั้น

“คนบางคนก็โง๊โง่ ทิ้งเขาได้ไม่ถึงห้านาทีก็ร้องไห้ขี้มูกโป่ง” เสียงนกเสียงกาแถวนี้ดังเข้ามาแทรกความคิด และดูเหมือนทรายจะไม่ยอมหยุดแต่โดยง่าย ทำอย่างกับวิริยะไม่รู้ว่ากำลังถูกหล่อนเกลี้ยกล่อมให้เป็นฝ่ายไปง้อเชษฐ์ไชย ไม่ต้องบอกให้ทำ วิริยะก็เผลอคิดอยากทำอยู่ทุกวัน แต่ติดอยู่ที่ว่าเขาหน้าด้านไม่พอ

“เฮ้อ กลัวเหลือเกินว่าจะคิดได้ก็ตอนที่สาย คราวนี้ได้ร้องไห้ข้ามปีแน่”

เด็กหนุ่มยกมือกุมขมับ “ไม่ต้องมาบ่น พี่ไม่เข้าใจผมหรอก”

“ที่กลัวอะไรไม่เข้าเรื่องน่ะเหรอ แบบนี้เขาเรียกพวกปอดแหกต่างหาก”

“ไม่รู้เว้ย ไม่เอา ไม่อยากฟัง...” เด็กหนุ่มส่ายหน้าแล้วล้มตัวลงนอนบนโซฟา เอาหมอนอุดหูไม่อยากพูดหรือคุยอะไรอีกต่อไป เพราะแค่เสียงในความคิดก็เพียงพอแล้วที่จะด่าว่าตัวเองให้เจ็บแสบ ภายในสมองมีแต่คำต่อว่าที่เขาตัดสินใจผิด เขารักเชษฐ์ไชย และเขาต้องเป็นบ้าแน่หากไม่ทำอะไรสักอย่างให้เสียงพวกนี้มลายหายไป

โทรศัพท์ในกระเป๋าวิริยะสั่นครืดชวนให้อารมณ์เสีย ใครกันที่โทรมาเอายามนี้ ไม่รู้หรือไรว่าเจ้าของของมันกำลังจะเป็นบ้าแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์อัศวินเพื่อนรักจอมวางแผน เด็กหนุ่มเบิกตาตกใจและชะงักหยุดคิดว่า หรืออีกฝ่ายจะโทรมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับเชษฐ์ไชยให้ฟังอีก ซึ่งเมื่อได้คำตอบแล้ว วิริยะก็รีบกดรับสาย “มีไร ไอ้เลว”

“อาเชษฐ์กำลังจะกลับไร่ แล้วก็จะไม่กลับมาที่นี่อีกต่อไปแล้ว”

วิริยะถลึงตาจนเหลือกเท่าไข่ห่านรีบลุกขึ้นยืน เรียกให้ทรายหันมองตาม พอเดาก็รู้ว่ามีเรื่องน่าตกใจเกิดขึ้น แม้ว่าไอ้น้องนอกไส้ทำทีเหมือนไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายก็ตามที หล่อนมองตามวิริยะที่ผ่อนลมหายใจ สั่งตัวเองให้นั่งลงคุยโทรศัพท์ต่อ “แล้วมึงมาบอกกูทำไม กูไม่เห็นอยากรู้เลย”

ทั้งที่ความจริงเหงื่อผุดเป็นเม็ดข้าวโพดแล้ว ยังจะท่าเยอะอีก

“อย่าลีลาไอ้วิว คราวนี้กูไม่ได้พูดเล่น มึงจะไม่ได้เจออาเชษฐ์ได้ง่าย ๆ แล้วนะ”

เด็กหนุ่มนิ่ง พูดไม่ออก “ละ แล้วทำไมอาเชษฐ์ถึงตัดสินใจแบบนั้น ก็ไหนบอกว่ารับหน้าที่เป็นผู้บริหารแล้ว แล้วจะรีบกลับไร่ไปทำไม”

“กูไม่รู้เว้ย นี่กูกลับมาแล้วอาเชษฐ์เพิ่งบอกว่าจะไป กูเลยรีบแอบโทรหามึงเนี่ย ตอนนี้อาเชษฐ์กำลังเก็บผ้าอยู่ อีกสักพักคงจะออกไปแล้ว”

“จะออกไปแล้ว!” วิริยะร้องด้วยความตกใจ เริ่มอยู่ไม่ติดที่

“จะเดินอะไรนักหนา เวียนหัว!” ทรายแสร้งบ่นเมื่อเห็นวิริยะหน้าเปลี่ยนสี

คนทำเป็นวางท่าเริ่มเก๊กไม่อยู่ หน้าแดง เหงื่อแตกทั้งเดินวนไปมาราวคนขาดสติ กระทั่งเลือกที่จะตัดสายแล้ววิ่งเข้าไปในห้องนอนของบิดา ขโมยกุญแจอย่างอุกอาจ ไม่สนอิงอรที่กำลังง่วนอยู่กับการทำความสะอาดแม้แต่นิด ตั้งแต่ธเนศกลับไปทำงานที่แท่น นางก็เริ่มชาชินกับการเห็นลูกเลี้ยงผุดตรงโน้นทีตรงนี้ทีแล้ว แต่คราวนี้ไหงกุญแจรถถึงหายไปได้

มารู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงสตาร์ทจากข้างล่าง “ว้าย! ทราย ไอ้วิวมันขโมยรถอีกแล้ว”

“ช่างมันเหอะแม่ เดี๋ยวมันก็กลับ” หญิงสาวผู้ง่วนอยู่กับโครงงานแอบคลี่ยิ้ม ยามได้ยินสุ้มเสียงร้อนใจของมารดา แต่ตอนนี้ใครที่ไหนเล่า จะใจร้อนเท่าไอ้น้องที่กำลังขับรถออกไป

นานเท่าไรไม่รู้ที่วิริยะไม่ได้ไปเหยียบบ้านหลังใหญ่ของเพื่อนรัก เด็กหนุ่มพอจำทางได้ บังคับขับเคลื่อนยานพาหนะที่พ่อทิ้งจอดไว้บ้าน ดำเนินไปตามความคาดหวัง แม้จะใจร้อน แต่วิริยะไม่ได้ขับเร็วกว่ากำหนดเพราะรู้ถึงอันตรายดี จริงอยู่ว่าอีกไม่นานจะสิบแปดแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็อาจโดนตำรวจจับอยู่ดีเพราะเขาไม่ทำตามกฎหมาย

ไม่รู้ว่าเร็วหรือช้า วิริยะมาถึงบ้านของเชษฐ์ไชย เห็นประตูรั้วใหญ่เปิดทิ้งไว้ก็รีบขับรถเข้าไป ใจที่ว่าตื่นเต้นก็พลันชื้นขึ้นเมื่อเห็นรถปิ๊กอัพของไร่จอดอยู่ แต่จู่ ๆ ไฟท้ายก็ติด บอกได้ว่าเครื่องยนต์ถูกสตาร์ทแล้วและเชษฐ์ไชยคงกำลังจะเดินทางกลับ วิริยะขับไปจอดขวางอยู่ที่ท้ายรถคันนั้นแล้ววิ่งลงไปอย่างสุดชีวิต ยังดีหน่อยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันปิดกระจกด้านคนขับ เด็กหนุ่มจึงได้ที วิ่งไปเปิดประตูแล้วหมุนดับเครื่อง ดึงกุญแจรถมาเสียดื้อ ๆ

“เฮ้ย!” เชษฐ์ไชยเงยขึ้นมองผู้ที่โผล่มา วิริยะถอยกรูดออกจากตัวรถ แอบซ่อนของกลางไว้ข้างหลังไม่ให้เชษฐ์ไชยที่ลุกขึ้นยืน ทำหน้าเรียบย่างสามขุมตามมาแย่งกุญแจรถคืนไปได้

“เอากุญแจคืนมา”

เด็กหนุ่มพยายามทำหน้าให้เป็นปรกติ ลืมเรื่องที่เคยพูดจาทำร้ายอีกฝ่ายไป “ไม่เอา”

คนตรงหน้าเริ่มมีท่าทางโมโห “บอกให้เอามา”

“อย่าเพิ่งไปได้ไหมครับ คุยกันก่อน”

“ฉันไม่คุย เอากุญแจรถมาแล้วแยกย้ายกันซะ”

น้ำเสียง ถ้อยคำที่เชษฐ์ไชยใช้นั้นดูห่างเหินเหลือเกิน

“วันนั้นผมโกหก ทุกคำที่ผมพูดผมโกหก!” เด็กหนุ่มร้องบอก ในขณะที่พยายามถอยออกห่างเมื่อเจ้าของใบหน้าดุก้าวเข้ามาใกล้ โดยมุ่งหวังจะยื้อแย่งของในมือวิริยะคืนไปแล้วกลับไปที่ไร่ แต่ก่อนจะจาก วิริยะอยากให้อีกฝ่ายมองเขาเสียใหม่ เพียงแค่ถูกมองด้วยสายตาเย็นยะเยือกเฉยชาเช่นนี้ก็เหมือนโดนบีบหัวใจ รู้สึกเจ็บไปถึงขั้วหัวใจ

“เธอโกหกก็จริง แต่มันถูกทุกอย่าง” เชษฐ์ไชยจ้องนัยน์ตากลมเบื้องหน้า ซึ่งมันก็เริ่มซีดลงหลังได้ฟัง “ฉันมาคิดทบทวนได้ทีหลัง ว่าถ้าเราไม่รักกันอะไรมันก็คงจะดีกว่านี้ ขอบใจ ที่ชี้ทางสว่างให้ ขอบใจที่อุตส่าห์สงสารบอกกันตรง ๆ ฉันเองก็จะบอกเธอตรง ๆ เหมือนกัน”

ภายในนัยน์ตาของเชษฐ์ไชยไม่เหลือวิริยะอยู่ในนั้นแล้ว

ความรุมร้อนแล่นเข้ามาที่เบ้าตาของวิริยะเมื่อได้ฟัง และได้เห็นทีท่ายามชายเบื้องหน้าพูด ไม่ทันได้มองด้านหลังว่าสุดทางเดินแล้ว ลำขาสะดุดกับขอบคอนกรีตของโรงรถแล้วร่างของเด็กหนุ่มร่วงล้มลงไปกระแทกบนพื้นสนามหญ้า หากทว่าไม่ได้ตกใจและรู้สึกเจ็บเลย เพราะนัยน์ตาคมแสนเฉยชาของเชษฐ์ไชยกำลังสะกดวิริยะอยู่

“เธอรู้จักฉันดีนี่ ว่าไม่มีทางกลับไปหาอดีตแน่”

เชษฐ์ไชยพูดเสียงเบา พลางเอื้อมมือยื่นมาให้

เด็กหนุ่มกะพริบตาไล่อะไรต่าง ๆ นานาออกไป แล้วยกแขนรับความช่วยเหลือ

“เพราะงั้นเลิกคิดได้แล้ว ว่าเราจะเป็นเหมือนเดิมได้”

คนกล่าวผละไปหยิบพวงกุญแจที่หล่นอยู่แถวนั้นแล้วจากไป ปล่อยให้มือของวิริยะส่งไปเก้อ

ก็ไม่คิดว่ามันจะง่ายนักหรอก เขาเตรียมใจมาแล้ว

เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว มองตามแผ่นหลังกว้างนั้นเดินตรงดิ่งไปยังรถของไร่แล้วขับออกไป ไม่ได้สนใจหันมองว่าตอนนี้วิริยะเป็นอย่างไร เฉกเช่นวันที่เด็กหนุ่มพูดจาทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย วิริยะลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นดังนั้น มองตามรถของเชษฐ์ไชยไปจนสุดสายตา พยายามไล่น้ำไม่ให้รื้นชื้นเต็มเบ้า พร่ำบอกว่าเป็นเพราะทำตัวเองมันถึงได้เป็นอย่างนี้ จะมาร้องไห้เหมือนเมื่อก่อนไม่ได้อีกแล้ว

สมแล้ว ที่ทำกับเชษฐ์ไชยมันยังไม่พอเลย

แต่แค่นี้ วิริยะไม่ยอมหรอก

หนักว่านี้เด็กหนุ่มก็เคยเจอมาแล้ว คอยดูเถอะว่าจะเป็นเหมือนเดิมได้ไหม

 

3 เดือนต่อมา

ดูเหมือนทุกอย่างกำลังดำเนินผ่านไปโดยไม่รอท่า หลังเลิกงานแล้วเจ้าของไร่ก็เดินขึ้นมาบนห้องพัก ถอดผ้าผ่อนโยนใส่ตะกร้าแล้วเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำชำระร่างกาย หลังโกนหนวดโนเคราแล้วเสร็จคนตัวใหญ่ก็หันมาเช็ดผมสั้น ๆ ให้พอหมาดแล้วปล่อยให้มันแห้งตามธรรมชาติ ง่ายกว่าช่วงผมยาวตั้งเยอะ รู้อย่างนี้ตัดตั้งนานก็ดี

ดูหล่อกว่าเป็นลิงตั้งเยอะ

มือใหญ่ชะงัก เมื่อเสียงของใครสักคนที่บังคับให้ทำดังผุดขึ้นมาในหัว พร้อมด้วยหน้าใส ๆ และแววตาล้อเลียนนั้น เชษฐ์ไชยสะบัดทิ้งไป บอกว่าเขาควรอยู่กับปัจจุบันแล้วลืมอดีตแย่ ๆ พวกนั้นทิ้งไปเสีย

ชายหนุ่มโยนผ้าเช็ดผมลงในตะกร้าที่ใช้แล้ว แล้วถอนใจ เปิดประตูกะว่าจะหาเสื้อผ้าสวมใส่แล้วลงไปทานมื้อเย็น หากทว่าต้องชะงัก เมื่อเหลือบไปเห็นใครยืนยิ้มทำหน้าแป้นอยู่ ราวกับรู้ว่าชายหนุ่มกำลังอยู่ในห้องน้ำ ซึ่งใครคนนั้น คือคนเดียวกันที่เชษฐ์ไชยกำลังนึกถึงตอนนี้

ไม่จริง เขากำลังเพ้ออยู่

เด็กตรงหน้าคลี่ยิ้มกว้าง “อาเชษฐ์ครับ ปิดเทอมเล็กแล้ว ขอผมอยู่ด้วยคนนะ”

วิริยะจะมายืนยิ้มอะไรที่นี่!

ชายหนุ่มนิ่ง จ้องคนตรงหน้าราวกับไม่เชื่อ คิดว่าตัวเองไม่ได้แค่แพ้อ เขายังเห็นภาพหลอนว่าวิริยะพูดคุยด้วยอย่างเป็นตุเป็นตะ นี่คงเป็นเพราะผลพวงจากการทำงานหนักแล้วให้ฮอร์โมนทำงานผิดปกติแน่ ๆ !

--๕๐--

----------------------------------------------------------

กลับมาสายฮาเหมือนเดิมแล้ว รู้สึกดราม่าไม่ขึ้น แฮ่!

มารอดูกันว่าน้องวิวจะตามง้อคุณอายังไง รับรองแต่ละวิธีจะฮาและน่ารักมากกกกก

แล้วจะขยันอัพและตั้งใจเขียนนิยายสนุก ๆ ให้อ่านกันนะคะ

อย่าลืมทิ้งคอมเม้นเป็นกำลังใจให้หนูนาเด้อ พากลับมาหาหนุ่ม ๆ บอยแบนด์แล้ว

ใครคิดถึงดำบอกได้ อิอิ
หัวข้อ: Re: **{28.4.61-ตอนที่ ๑๘--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-04-2018 21:03:49
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **{28.4.61-ตอนที่ ๑๘--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 28-04-2018 21:29:09
ดีกันเร็วๆน้าา
หัวข้อ: Re: **{28.4.61-ตอนที่ ๑๘--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 28-04-2018 21:31:43
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **{28.4.61-ตอนที่ ๑๘--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 28-04-2018 22:40:01
เราสงสารอาเชษฐ์มากเลยนะ
คำพูดวันนั้นของวิวมันแรงและทำร้ายจิตใจของอาเชษฐ์มากจริงๆ
คนเคยมีปมอยู่แล้ว ยังมาถูกคนที่รักพูดจาร้ายๆใส่อีก
ช่วงที่ผ่านมาคงได้แต่ทำใจอย่างเจ็บปวด เฮัอออ

ส่วนวิว เด็กนัอยเอ๋ย ไม่รู้จะพูดยังไงดี รอดูต่อไปล่ะกัน
ถ้ามันไม่ดีขึ้น ก็คงได้แต่โทษอาเชษฐ์ว่าไม่น่ามารักเด็กเลย...
หัวข้อ: Re: **{28.4.61-ตอนที่ ๑๘--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 28-04-2018 23:48:14
สมน้ำหน้าดีมั้ยเนี่ย
คิดช้าจังน้าวิว สองเดือนกว่าจะคิดได้
สามเดือนกว่าจะกลับไปง้อที่ไร่
สงสารต้องง้ออาเชษฐ์เยอะๆหน่อยแล้วหล่ะมั้ง
หัวข้อ: Re: **{28.4.61-ตอนที่ ๑๘--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 29-04-2018 01:32:47
ตัวจริง ไม่จริง ก็เข้าไปกอดซิ จะได้รู้ว่าเพ้อ หรือ ไม่เพ้อ  :katai3:
หัวข้อ: Re: **{28.4.61-ตอนที่ ๑๘--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 29-04-2018 01:37:17
ยั่วอย่างเดียว เดี๋ยวอาเชษฐ์ก็ทนไม่ได้เอง 555
หัวข้อ: Re: **{28.4.61-ตอนที่ ๑๘--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 29-04-2018 15:11:32
อุ้ย น้องวิวตามไปง้อแล้ว สู้ๆนะทั้งคู่เลย
หัวข้อ: Re: **{1.5.61-ตอนที่ ๑๘--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 01-05-2018 00:33:00

(ต่อ)

“เดี๋ยวสิครับอาเชษฐ์ เดี๋ยว...”

เสียงฝีเท้าสองคู่ประสานกันด้วยความรวดเร็วเพราะความใจร้อนของคนนำ วิริยะทำหน้ามุ่ยเดินตามหลังเชษฐ์ไชย ทันทีที่เห็นเขายืนรออยู่ในห้อง เจ้าตัวก็หยิบเสื้อผ้าสวมใส่ แล้วคว้ากระเป๋ากับแขนของวิริยะพาเดินออกมา จุดมุ่งหมายคงจะเป็นด้านล่าง นี่จิตใจจะไม่สงสารกันบ้างเลยเหรอ เด็กหนุ่มอุตส่าห์บากหน้ามาหาถึงที่แล้วแท้ ๆ

แต่เชษฐ์ไชยไม่รู้อะไรหรอก

วิริยะยิ้มเผล่ เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าเชษฐ์ไชยต้องต้อนรับด้วยวิธีนี้ ซึ่งเด็กหนุ่มก็วางแผนไว้อย่างรอบคอบแน่นหนา เชษฐ์ไชยไม่มีทางกล้าไล่เขากลับบ้านได้อย่างแน่นอน วิริยะก้มลงมองมือใหญ่ที่กุมจับแขน ก่อนที่เชษฐ์ไชยจะชะงักเท้ากึกเมื่อพาเขามาด้านล่าง แล้วเห็นครอบครัวของวิริยะกำลังยืนสำรวจรอบบ้านรออยู่ ซึ่งเมื่อเห็นเจ้าของสถานที่ลงมาแล้วธเนศก็ยกยิ้ม เดินตรงมาหาทันที

“คุณเชษฐ์ บ้านสวยจังเลยนะครับ”

“ใช่ค่ะ น่าอยู่มากเลย” อิงอรสมทบ ไม่พ้นทำสายตาวาววับยามมองรอบกาย ในขณะที่ทรายกับแพรวายืนส่งยิ้มให้อยู่ด้านหลัง

เชษฐ์ไชยนิ่งไปพักหนึ่ง ไม่รู้จะเล่นงานวิริยะวิธีไหน ในเมื่อเจ้าตัวเลือกใช้ครอบครัวมาต่อรองอย่างนี้ ชายหนุ่มกระตุกให้เด็กด้านหลังมายืนข้างกาย แล้วมองบิดาของวิริยะที่พูดต่อ “ขอโทษด้วยที่พวกเรามาโดยไม่บอกก่อน แต่วิวคาดคั้นว่าอยากมาหาคุณให้ได้ บอกว่าคิดถึง”

เจ้าของนัยน์ตาคมหน้าบูดเหลือบไปสบไอ้จอมวางแผน มุ่นคิ้ว

“เจ้าตัวจะอยากมาที่นี่ทำไม ที่นี่มีแต่ลำบาก”

“ต๊าย ลำบากอะไรละคะ น่าอยู่จะตาย ว่าแต่ไร่ที่ขับรถผ่านมานี่ของคุณเชษฐ์หมดเลยรึเปล่าคะ”

“แม่!” ทรายสะกิด

“อะไร แม่ก็แค่ถามดู”

“ของอาเชษฐ์หมดเลยครับ” วิริยะรีบตอบด้วยสีหน้าสดใส ไม่สนใจท่าทางเบื่อหน่ายของคนข้างกาย “นอกจากจะบริหารเก่งแล้ว อาเชษฐ์ยังดูแลไร่เก่งมาก ๆ ทำงานทุกอย่างในไร่เลย แถมคนงานก็รักอาเชษฐ์มากด้วยนะครับ เพราะว่าอาเชษฐ์ใจดี ตอนผมมาอยู่น้ำหนักก็ขึ้นตั้งห้ากิโลแหนะ”

คนหน้าดุยังคงไม่ยินดีที่ถูกชม ถึงแม้สถานการณ์จะดูเหมือนลูกสาวกำลังยกยอแฟนให้ว่าที่พ่อตาเอ็นดูก็ตามที เชษฐ์ไชยไม่รู้สึกดีใจ พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

“ทานอะไรกันมารึยังครับ มื้อเย็นกำลังจัด” ตัดบทสนทนาไปเสียดื้อ ๆ

วิริยะหันมองหน้าคนกล่าว แล้วกระซาบเสียงแผ่ว “ผมอุตส่าห์ทำคะแนนให้เลยนะ”

“ไม่ต้อง”

“แล้วอาเชษฐ์ไม่อยากให้พ่อชอบรึไง”

“ไม่ชอบก็ไม่ต้องชอบ” เชษฐ์ไชยตอบ ทำหน้ารำคาญ ประหนึ่งเหมือนช่วงรตรีมาตามตื๊อเจ้าตัวใหม่ ๆ เห็นแล้ววิริยะย่นหน้า แต่ไม่ยอมแพ้หรอก คิดแล้วก็ต้อนครอบครัวทั้งหมดเดินตามร่างสูงใหญ่ของเจ้าของบ้านเดินไปยังโต๊ะอาหาร

พูดถึงรตรีแล้ว เด็กหนุ่มถามไถ่ป้าต้อยตั้งแต่มาถึงว่าหล่อนกลับไปหรือยัง ได้ความว่ากลับไปได้หลายเดือนแล้ว จะมีก็แต่แวะมานอนค้างคืนบ้างเป็นครั้งคราว หรือไม่ก็แวะเข้ามา เอาขนมกับกับข้าวที่อ้างว่าตัวเองเป็นคนทำมาให้เชษฐ์ไชย วิริยะภาวนาว่าตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่มาเที่ยวและง้อเชษฐ์ไชย ก้างชิ้นใหญ่จะไม่มารบกวนพวกเขา เพราะดูเหมือนเจ้าหล่อนจะจริงจังและไม่ยอมถอยทัพแต่โดยง่าย

ตั้งแต่รู้ตัวคราวนั้น วิริยะก็คิดได้ว่าต่อจากนี้ไปจะทำตามความต้องการของตัวเอง ไม่เอาแต่ห่วงความรู้สึกของคนอื่นอีกต่อไปแล้ว และเมื่อเห็นว่าบิดาไม่มัวเอาแต่ยุ่งกับงาน กลับบ้านมาพักทุกครั้งที่มีโอกาส วิริยะก็ออดอ้อน ชมเชษฐ์ไชย และเล่าให้ธเนศฟังว่าอีกฝ่ายดีขนาดไหน จนคนเป็นพ่ออยากทำความรู้จัก

วิริยะคิดว่าอยากจะบอกบิดา ว่าคิดยังไงกับเชษฐ์ไชย แต่เด็กหนุ่มอยากพยายามให้ได้มากที่สุด และเข้าใจกับอีกฝ่ายก่อน ซึ่งหากเชษฐ์ไชยเห็นว่าครอบครัวของเขาชอบเจ้าตัว อาจจะรู้สึกวางใจและหันกลับมาคิดได้อีกทีว่าเรื่องของทั้งสองมันเป็นไปได้

แม้จะบอกพ่อว่าอยากมาเที่ยว แต่เอาเข้าจริงวิริยะไม่ได้ได้ตามทุกคนออกไปข้างนอกเลย ที่เด็กหนุ่มไปคือบริเวณเชษฐ์ไชยทำงานต่างหาก ท่ามกลางเสียงทักทายของชาวไร่ที่ยังคงเอ็นดูเขาไม่เปลี่ยน แถมตื่นเต้นกันยกให้ญ่ที่เห็นว่าวิริยะกลับมา แต่ในฐานะแขกของเชษฐ์ไชยเท่านั้น

วิริยะนั่งอยู่ท้ายรถอีแต๋นของคนงาน มองคนตัวใหญ่สวมหมวกทรงคาวบอย ภายในสวมเสื้อกล้ามแล้วทับด้วยแขนยาวลายตารางที่มักใส่ วันนี้เขาเองก็สวมของเชษฐ์ไชยด้วยเหมือนกัน เนื้อผ้ามันโปร่งสบาย ใส่แล้วไม่รู้สึกร้อน สีหน้าของเชษฐ์ไชยตอนกำลังเคร่งเครียดหรือจดจ่ออยู่กับงานนั้น แลดูมีสเน่ห์มากขึ้นอีกเท่าหนึ่ง เห็นแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าแฟนใคร ทำไมเท่เหลือเกิน

ยังไม่ใช่แฟนสักหน่อย วิริยะมุ่ยหน้าคิดน้อยใจ

“ผลไม้ขาดส่งอีกแล้วเหรอ ทำไมช่วงสี่ห้าเดือนนี้ได้ผลผลิตน้อยกว่าที่ควรล่ะ” เชษฐ์ไชยมองยอดสรุปของจำนวนที่ส่งออกแล้วมุ่นคิ้ว มองลุงแสวงที่ยืนส่ายหน้างุนงง

“ชาวบ้านไม่อยากส่งให้เราด้วย เพราะมีคนไปโน้มน้าวบอกว่าไร่เรากดราคา เพราะจะได้เอามาขายแพงได้ครับ” แกบอกพลางทำสีหน้ากลุ้มใจ แล้วหันกลับมาหาเชษฐ์ไชยเหมือนคิดอะไรบางอย่างออก “รึว่าจะเป็นไอ้ชาติกันครับ ไร่เราเริ่มมีปัญหากับชาวบ้านก็ตั้งแต่มันโดนไล่ออกไป”

เชษฐ์ไชยคิดตาม แล้วผละไปมองไอ้ตัวดีที่นั่งไม่รู้ไม่ชี้อยู่อีกมุม

“อย่าเพิ่งไปเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ฉันกำลังจะจับหนอนบ่อนไส้ ถึงผลไม้จะหายไปคันละไม่กี่กิโล แต่ถ้ามันหายไปทุกคันก็คงได้ไม่น้อยเลย วัน ๆ นึงเราขนออกไปกันกี่เที่ยว ลุงก็รู้”

อีกฝ่ายเบิกตาตกใจ “มีคนขโมยเหรอครับ”

“ฉันคิดไว้แบบนั้น นี่เป็นหน้าผลไม้แท้ ๆ ทำไมจะส่งออกไม่พอ แต่ยังจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน คิดว่าในไร่ของเรามีคนร่วมมือกับไอ้ชาติ หรือไม่มันก็ทำกันเป็นกระบวนการ ถ้าฉันรู้เมื่อไร รับรองฉันเล่นงานมันจนไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดแน่ ตอนนี้กำลังตามสืบอยู่ อีกไม่นานก็คงรู้ตัวคนร้าย ลุงอย่าเพิ่งเอาไปบอกใครจนกว่าฉันจะจับมันได้”

ได้ฟังแล้วลุงแสวงก็เหงื่อแตก หน้าถอดสี รีบพยักหน้าหงึกรับทราบในสิ่งที่เจ้านายขอ ก่อนผละเดินออกไป ท่าทางเป็นกังวลและรีบเร่งจนผิดวิสัยคนอายุมาก หากทว่ามีเพียงวิริยะเท่านั้นที่ได้เห็นมัน เชษฐ์ไชยกำลังง่วนอยู่กับการทำงานตรงหน้า ไม่ได้มอง กระทั่งวิริยะรีบลุกจากอีกมุมเดินตรงมาหาคนที่ง่วนอยู่กับการอ่านรายละเอียดในบัญชี ใต้ร่มไม้ใหญ่ภายในไร่ ซึ่งยังคงมีคนงานเดินเก็บผลไม้ผ่านไปมา

“อาเชษฐ์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเปล่า ทำไมลุงแหวงทำท่าตกใจขนาดนั้น”

“ไม่ใช่เรื่องของเธอ” คนตอบไม่ได้ผละมามองเด็กหนุ่ม ง่วนอยู่กับเอกสาร ยกน้ำดื่มไปพลาง

วิริยะมุ่นคิ้ว อันที่จริงก็เห็นลุงแสวงมีทีท่าร้อนอกร้อนใจตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ทั้งที่งานในไร่ก็ไม่น่ามีอะไรให้เครียดถึงขนาดนั้น เด็กหนุ่มหยิบขวดน้ำในมือคนตรงหน้ามายกดื่มบ้าง แล้วพูดว่า “ลุงแหวงแกสนิทกับคนขับรถทุกคันเลยนะครับ บางวันก็เห็นตั้งวงกินเหล้าอยู่หน้าบ้าน ครบชุดเลย”

เชษฐ์ไชยชะงัก คิดตามในสิ่งที่วิริยะบอก “แล้วพูดเพื่อ”

เด็กหนุ่มมองมือใหญ่ที่เอื้อมมาแย่งขวดน้ำไปดื่มอีกที อดที่จะยิ้มเขินไม่ได้

“ก็ผมได้ยินอาเชษฐ์พูดเรื่องส่งผลไม้อะไรนั่นไง ทำไมครับ มีปัญหาอะไรเหรอ”

“ไม่ใช่เรื่องของเธอ นี่จะมาเที่ยวกับครอบครัวไม่ใช่รึไง แถวนี้ไม่มีพ่อแม่ของเธออยู่หรอก ไปให้พ้นเลยไป” เชษฐ์ไชยตอบเสียงห้วนพลางโยนขวดน้ำอันเป็นสิ่งที่ทำให้เด็กตรงหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทิ้งไป แล้วลุกขึ้นเดินหนีไปอีกฝั่งของไร่ ไม่ได้มีท่าทางใจอ่อนขึ้นมาสักนิด เวลาเห็นเขาทำตาแป๋วใส่

พูดอยู่ได้ว่าไม่ใช่เรื่องของเธอ ๆ เรื่องของแฟนก็เหมือนเรื่องของเขานั่นแหละ

ใจแข็งฉิบหาย!

“มาทำอะไรแถวนี้น้องวิว” คุณป้าคนหนึ่งเดินถือลังผลไม้ผ่านมา

เด็กหนุ่มคลี่ยิ้ม ตอบกลับไปตามความจริงว่า “มาง้ออาเชษฐ์ครับ อาเชษฐ์โกรธผมอยู่”

“จริงเหรอจ๊ะ คงง้อยากหน่อยนะ เพราะเห็นคุณรตรีง้อมาหลายเดือนแล้วยังไม่ได้แตะแม้แต่ขี้เล็บ”

“ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวเราก็คืนดีกัน”

“ต๊าย พูดอย่างกะเป็นแฟนกันแหนะ ลูกใครทำไมช่างอำจัง” นางหัวเราะร่วนแล้วสะกิดเพื่อนร่วมงานคนอื่นให้หันมาสนใจด้วย วิริยะคลี่ยิ้มกว้าง ไม่ได้เอ่ยคำปฏิเสธ วิ่งตามหลังเชษฐ์ไชยไปโดยไม่สนว่าคนตัวใหญ่จะแสดงออกว่าไม่อยากอยู่ใกล้ด้วยเท่าไร จนกลายเป็นภาพชาชินปนเอ็นดูของคนทั้งไร่ไปแล้ว

เมื่อเห็นเชษฐ์ไชยอยู่ที่ไหน ก็จะมีเด็กกรุงตัวขาว ๆ วิ่งทำหน้าทะเล้นอยู่รอบข้างเสมอ ถามวิริยะทีไร เจ้าตัวก็ยังตอบอย่างเดิมว่าง้อเชษฐ์ไชย นอกจากจะไม่นึกแขยงขยาดกับถ้อยคำที่วิริยะพูดแล้ว ดูเหมือนลุง ๆ ป้า ๆ จะชื่นชอบแล้วแซวว่าเป็นแฟนกันเสียด้วยซ้ำ แทนที่วิริยะจะเอ่ยปฏิเสธ เจ้าตัวยังคงยิ้มหน้าบานชอบอกชอบใจไปกว่าเก่า ในสายตาคนรอบข้างดูเหมือนเด็กหนุ่มจะสนุกที่แกล้งให้เชษฐ์ไชยอยู่ไม่ติด ไม่พอใจได้ แต่เอาเข้าจริงคนมองดูอยู่ตลอดอย่างดำก็พอรู้อยู่ว่าหมายความอย่างไร

“คนในไร่โคตรลำเอียงเลย คั่นลองให้นายเซษฐ์เว้าเบิ่งตี๊ ว่าตามง้อวิว มีหวังคงโดนด่าว่าเป็นกะเทยควายหัวโปกแท้ ๆ ซ่างมาสองมาตรฐานคัก เห็นแล้วหมั่นไส้วิวหลาย”

พูดพลางตักข้าวเข้าปากเคี้ยวตุ้ย มองไปยังไอ้ตัวเล็กยิ้มหน้าบานเท่ากระด้งเข้าหาเชษฐ์ไชยอยู่ที่โต๊ะตรงกันข้าม ในเวลาพักเที่ยง “โตส่ำลูกหมา วางแผนเก่งคัก คิดว่าเฮาบ่ฮู้ว่าตั้งใจบอกคนอื่นว่าเจ้าของเป็นอีหยังกับนายเซษฐ์ นี่มันยิงปืนเถื่อเดียวได้นกสองโตคัก ๆ”

“ให้มันน้อย ๆ หน่อยไอ้ห่า สรุปมึงเข้าข้างนายเชษฐ์ใช่ไหม” หมอกแขวะ

“บ่แม่นเว้ย”

ไทพนักหน้าคิดตามในสิ่งที่เพื่อนพูด “แบบนี้มันก็ดีแล้วนี่หว่า ถ้าคนในไร่รับเรื่องของนายเชษฐ์กับวิวได้ก็ไม่มีปัญหา ก็อย่างที่มึงพูดน่ะไอ้ดำ ถ้าคนที่จะมาเป็นนายใหญ่ของไร่อีกคนคือวิว คงไม่มีใครไม่อยากยอมรับ เด็กมันตีซี๊กับทุกคน ไม่ถือตัวซักนิด ใคร ๆ ก็รักก็หลง จะเหลือก็แต่บางคนเท่านั้นแหละ เต๊ะท่าอยู่นั่น ทั้งที่มาชวนเรากินเหล้าย้อมใจทุกวัน”

บางคนที่ว่า ก็ยังคงทำหน้าไม่ชอบอกชอบใจ ท่าเยอะอยู่กับวิริยะตรงนั้น

“วิวมันต้องทำอะไรให้นายเชษฐ์โกรธแน่ ๆ ช่วงที่ไปอยู่โน่น”

“แม่นอยู่แล้ว แล้วตอนไปกะบ่บอกหมู่เฮาซักคำ หลอกให้คิดฮอดตั้งโดน”

“อ๋อ ที่มึงพูด ๆ อยู่เนี่ย งอนน้องมันเรื่องนี้ใช่มะ” เหนือยิ้ม

“บ่แม่นเว้ย!” ดำหน้างอ หันไปไม่ยอมพูดยอมจากันต่อ เห็นแล้วเพื่อนร่วมกลุ่มก็พอจะเดาทางได้ว่าเหตุใดจึงพูดจาว่าวิริยะอย่างกับโกรธอะไร เพราะเรื่องนี้เอง หากช่วยกันเคลียร์ปัญหาเรื่องเจ้านายได้เมื่อไร เดี๋ยวจะช่วยบอกให้วิริยะมาง้อไอ้เพื่อนตัวใหญ่ใจมุ้งมิ้งคนนี้ทีหลังก็แล้วกัน

--๗๕--

หัวข้อ: Re: **{1.5.61-ตอนที่ ๑๘--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 01-05-2018 00:35:10


(ต่อ)

เลิกงานแล้ว ความจริงเชษฐ์ไชยคิดว่าจะหลบวิริยะไปทานมื้อเย็นที่โรงครัวเพราะขี้เกียจต่อปากต่อคำด้วย แต่มาคิดอีกทีก็คงจะไม่เหมาะเพราะครอบครัวของเด็กหนุ่มรออยู่ เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าเสียมารยาทเอาได้ คิดแล้วชายหนุ่มก็ขับรถกลับไปยังบ้านพัก ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วเขาไม่เคยนึกถึงจิตใจคนอื่นมาก่อน ไม่สนด้วยว่าใครจะมาจะไป แต่พอเป็นครอบครัวของวิริยะ กลับกลายเป็นว่าต้องคิดเยอะทุกที

ไปถึงห้องพักก็เห็นไอ้ตัวดีนอนจองเตียงไว้ก่อนแล้วด้วยชุดใหม่ หลังวิ่งตากแดดไล่ตามเขาทั้งวี่ทั้งวัน กำลังกดมือถือนอนสบายใจเฉิบ เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูก็รีบนั่ง คลี่ยิ้มแล้วกระเด้งตัวกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหา “อาเชษฐ์ กลับมาแล้วเหรอ”

“ยังไม่มามั้ง” ชายหนุ่มตอบแล้วถอดเสื้อ เตรียมตัวอาบน้ำ

“อุ๊ย ตลกฝืดนะเราเนี่ย”

ชายหนุ่มถอนใจ “ไม่ใช่เพื่อนเล่น”

คนฟังยู่หน้าเมื่ออีกฝ่ายไม่รับมุก ทิ้งก้นลงนั่งบนเตียงแล้วปล่อยให้คนตัวใหญ่เข้าไปอาบน้ำ หากทว่าบังเอิญที่เชษฐ์ไชยไม่ใช่คนขี้อาย อีกฝ่ายถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมดโดยไม่สนว่าเด็กหนุ่มอยู่ด้วย หรือไม่ก็กำลังจงใจอ่อยให้วิริยะใจแตกกลาย ๆ เพราะรู้ว่าเขาอายุถึงสิบแปดแล้วแน่

เด็กหนุ่มกลืนน้ำลาย มองแผ่นหลังกว้างที่เต็มไปด้วยรอยสักลายมังกรตัวใหญ่ ไหนจะมัดกล้ามบนหลังและเอวที่เล็กคอดเป็นสัดส่วนชัดเจนนั่นอีก เห็นแล้วนึกถึงสมัยที่เขามาไร่ใหม่ ๆ ตอนนั้นเผลอไปแอบดูเชษฐ์ไชยอาบน้ำที่น้ำตก ซึ่งความรู้สึกตอนมองอีกฝ่ายไม่ได้เป็นแบบนี้เลย

แชะ!

“โอ๊ะ”

เชษฐ์ไชยหันไปมองตามเสียงอุทานของวิริยะ เห็นไอ้ตัวแสบถือโทรศัพท์แอบถ่ายก้นงาม ๆ ของเขาแล้วถอนใจ ชายหนุ่มยกผ้าขนหนูพันเอว แล้วเดินมาแย่งของในมือวิริยะ ดูรูปในนั้น เห็นเพียงแค่แผ่นหลังเปล่าเปลือยของตนเองที่มีลวดลายของรอยสักเท่านั้น ครั้นเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่ได้ตั้งใจถ่ายแนวอนาจารก็ยอมคืนโทรศัพท์ให้แต่โดยดี

วิริยะทำหน้างง รับไปถือ “ไม่ว่าเหรอครับ”

“เก็บข้าวของลงไปนอนห้องข้างล่างได้แล้ว บอกกี่ทีว่าอย่าขึ้นมา” อันที่จริงห้องก็พอพักอยู่ แต่วิริยะหน้ามึนไม่ยอมนอนตรงนั้น ดื้อดึงถือวิสาสะขึ้นมานอนบนเตียงของเชษฐ์ไชย จนเจ้าของห้องต้องระเห็จหนีไปนอนที่อื่นเสียเอง ซึ่งเมื่อได้ยินบอกแบบนั้นแล้ว ววิริยะก็หน้างอ ไม่อยากให้เชษฐ์ไชยหลบไปนอนที่อื่นเหมือนคืนก่อน ๆ อีก “ไม่เอาอะ ก็อาเชษฐ์ไม่ยอมให้พี่เสือลงไปนอนด้วยนี่”

“นอนตั้งหลายเดือนโดยไม่มีไอ้เสือได้แล้วนี่!”

“ในเมื่อมาอยู่ใกล้กันแล้วก็ขอนอนด้วยไม่ได้เหรอ” วิริยะย้อน

คนฟังมุ่นคิ้วระอา “เออ เอามันลงไปนอนด้วยเลยจะได้จบ”

“ผมหมายถึงอาเชษฐ์ต่างหาก ไม่รู้เหรอว่าที่ตามขึ้นมานี่เนี่ยเพราะอยากนอนกับใคร”

“ไม่รู้เว้ย!” เชษฐ์ไชยตัดบทแล้วเดินหนีเข้าไปในห้องน้ำเสียเฉย ๆ ไม่รู้ว่าโกรธหรืออะไร ทำหน้าดำหน้าแดงราวกับยักษ์ ปล่อยให้วิริยะยืนหงอยเป็นหมาโดนทิ้งอยู่มุมนี้อย่างเดียวดาย แต่ดีหน่อยที่ไม่โดนถ้อยคำเจ็บแสบอะไรอื่น นอกจากทำท่าทางรำคาญและไล่ให้ถอยห่างออกไปก็เท่านั้น นั่นทำให้เด็กหนุ่มมีกำลังใจ ไหนจะความเกรงใจที่เชษฐ์ไชยแสดงออกต่อครอบครัวของเขา บอกวิริยะได้อยู่ว่ามีลุ้น

เพราะจริง ๆ แล้วเจ้าตัวไม่ใช่คนสนหน้าอินทร์หน้าพรหมอย่างนี้นัก

ขนาดพ่อตัวเองยังฉะกันมาแล้ว

วิริยะได้ยินจากอัศวินว่าเหตุใดทำไมเชษฐ์ไชยจึงวางมือจากงานในเมืองอย่างกะทันหัน เพราะผิดใจกับพ่อที่ห่วงเรื่องสมบัตินัก เชษฐ์ไชยเลยโมโหยกหน้าที่ให้รองผู้บริหารอย่างอัฐษไชยทำแทน แล้วกลับมาทำงานที่ไร่ต่อ พร้อมทิ้งท้ายไว้ด้วยว่าพ่อไม่มีทางได้อำนาจพวกนั้นแน่ ตราบใดที่เชษฐ์ไชยยังอยู่

ซึ่งนั่นก็ทำให้พี่ชาย พ่อของอัศวินโกรธมากด้วย เพราะเป็นพี่ใหญ่แต่ไม่ได้รับอะไรเลย

เขาเพิ่งรู้ ว่าเชษฐ์ไชยเป็นหลานรักของคุณไกรเลิศ เจ้าของสมบัติที่แท้จริง ซึ่งวันเผาที่เห็นเชษฐ์ไชยร้องไห้นั้นไม่ได้ตาฝาด เจ้าตัวไม่ได้หลบไปตดอย่างที่คิด

เชษฐ์ไชยออกจากห้องน้ำช่วงที่วิริยะสลึมสลือกำลังจะหลับ เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังสวมเสื้อผ้าอย่างรีบเร่งแล้วก็รู้ทันทีว่าเชษฐ์ไชยกำลังจะหนีแอบไปนอนที่อื่น แต่เพราะช่วงกลางวันคงสนุกกับการวิ่งตากแดดตามอีกฝ่ายไปหน่อย คราวนี้เลยลุกไม่ขึ้น วิริยะครางด้วยความปวดเมื่อยร่างกาย พลิกตัวนอนตะแคง “อาเชษฐ์ พยุงผมหน่อย”

คนกำลังสวมเสื้อชะงัก “เป็นอะไรอีก อย่ามาเจ้าเล่ห์นะ”

“ผมเปล่า ปวดตัวลุกไม่ขึ้นอะ”

ดูเหมือนจะรู้ทันแต่เชษฐ์ไชยก็ไม่ปฏิเสธ เดินมาดึงแขนยาว ๆ ของเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นนั่ง แต่แทนที่เจ้าตัวจะลุกตามแรงดึง ไม่รู้เอาแรงมาจากไหนกระตุกรั้งให้เชษฐ์ไชยล้มตัวลงไปคร่อมทับ อยู่ในท่าล่อแหลม คงเพราะคิดว่าไม่มีอะไรเลยไม่นึกว่าวิริยะมันเด็กแสบแผนสูง ซึ่งตอนนี้ก็กำลังทำตาหวาน ยกแขนที่ว่าไม่มีแรงขึ้นมาคล้องคอราวกำลังพอใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามคาด

เชษฐ์ไชยเบิกตา มองใบหน้าขาวสะอ้านของวิริยะยามสบตาแล้วนิ่งไป

“อาเชษฐ์รู้รึเปล่า ตอนนี้...ผมสิบแปดแล้วนะ” วิริยะกระซิบเสียงหวาน

คนฟังปรับสีหน้าไม่ให้แก้มร้อน ยามเด็กตัวเล็กใต้ร่างเม้มริมฝีปากสีเชอรี่จนบอบช้ำแลดูน่าเสียดาย แต่ช่างมัน ช่างปากของวิริยะซี เขาควรถอนตัวออกจากเกมบ้า ๆ นี่เสียก่อนจะพ่ายแพ้ “สิบแปดแล้วยังไง ใครเขาสนใจกัน”

เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว เมื่อยังเห็นว่าเชษฐ์ไชยไม่ยอมเสียท่า ผละไปคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสบตา พูดว่า “เราก็จะได้...ทำอะไรที่อยากทำไง”

คนฟังกลืนน้ำลาย ผละไปมองทิศอื่นเมื่อดวงตากลมของวิริยะยังคงจ้องไม่เลิก หากอยู่ในท่านี้ต่อไปคงมีหวังได้จับเด็กขี้อ่อยมาปู้ยี่ปู้ยำสมความอยากแน่ คิดแล้วเชษฐ์ไชยก็ผละสายตาไปที่อื่นเอาตัวรอด พยายามจะดึงมือวิริยะออกจากคอ แต่มันเหนียวยิ่งกว่าหนวดปลาหมึก แถมสู้ด้วยการดึงตัวชายหนุ่มเข้าไปกอด แล้วพลิกขึ้นมานั่งบนตัวได้สำเร็จ

มือใหญ่ประคองเอวคนอยู่ด้านบนหน้าเหวอ เสียท่านายใหญ่ผู้เคร่งขรึมอีกจนได้ “ลงไปนะวิว!”

“ก็หายงอนผมก่อนสิ”

“เราคุยกันจบไปแล้ว ลงไปจากตัวฉัน!” วิริยะส่ายหน้าหลังได้ฟัง โน้มขยับมาบังคับ กดมือใหญ่ของคนนอนหงายใต้ร่างลงกับพื้นเตียง “อาเชษฐ์ไม่รักผมแล้วเหรอ ตัดใจง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ”

คนฟังชะงักเมื่อได้ยินเสียงพ้อ อันที่จริงแค่นี้เชษฐ์ไชยมีแรงสู้ขัดขืน แต่ไม่ทำ อาจเพราะกลัววิริยะเจ็บตัว นัยน์ตาคมมองวิริยะด้วยสายตาดังเดิม “เห็นฉันง่ายขนาดนั้นเลยใช่ไหม คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป”

วิริยะส่ายหน้า ซุกกอดลงในอก “ผมขอโทษ จะไม่ไปไหนอีกแล้ว”

นายใหญ่ของไร่ขบฟัน แม้ลึก ๆ จะใจหาย

“อย่าคิดว่าทำหน้าใส ๆ ไร้เดียงสาแล้วใครจะหลงไปซะหมดนะ ฉันคนหนึ่งแหละที่ไม่” มือใหญ่ดันไหล่วิริยะออกไป ให้เห็นว่าเด็กบนตัวหน้าเริ่มแดงก่ำเพราะกำลังจะร้องไห้ เจ้าตัวพยายามสุดชีวิตที่จะกลั้นน้ำตาเพื่อไม่ให้เชษฐ์ไชยนึกสงสาร พลอยให้คนตัวใหญ่ที่กำลังโกรธใจแป้วไป จากที่กำลังโมโหก็รู้สึกหวิวโหวงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

ใครบอกเล่าว่าไม่หลงไอ้หน้าตาซื่อ ๆ นี่ เห็นที่ไรใจจะอ่อนระทวยใส่ทุกที

ดูเหมือนวิริยะกำลังจะถอดใจ แต่ก็ไม่ เด็กหนุ่มงุดลงจ้องตาเชษฐ์ไชยทั้งกะพริบตาไล่น้ำออก

“ถ้าอาเช...ถ้าพี่เชษฐ์ยอมหายโกรธ ผมจะกลับมาเรียกพี่เหมือนเดิมนะ”

เชษฐ์ไชยมุ่นคิ้ว ชายหนุ่มกุลีกุจอลุกขึ้นแล้วผลักวิริยะออกไม่อยากจะเถียงต่อด้วย “จะเรียกแบบไหนก็เชิญ ไม่สนใจ” พูดจบก็ปรับสีหน้า พาตัวเองเดินดุ่ม ๆ ออกมา ไม่สนวิริยะที่ร้องเรียก ‘พี่เชษฐ์ ๆ’ ตามอยู่หลายครั้ง

ครั้นปิดประตูลงได้แล้วเชษฐ์ไชยก็ผ่อนปรนลมหายใจ ยกมือขึ้นสางไรผมที่ชื้นไปด้วยเหงื่อเพื่อปัดภาพใบหน้าน่ารักนั้นกำลังจ้องตา แล้วร้องเรียก ‘พี่เชษฐ์’ ด้วยเสียงเครือไหว คิดว่าเพียงแค่เรียกเขาว่าพี่แล้วจะเปลี่ยนทุกอย่างได้งั้นเหรอ ใครมันจะไปดีใจกันเล่า

ซะที่ไหน โคตรดีใจเลย!

นึกขึ้นมาทีไรต่อมโคแก่ในใจก็เต้นตุบ ๆ จนอดที่จะรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ ไม่เป็นเขาไม่รู้หรอก อายุห่างกันขนาดนี้แล้ว มารู้ตัวอีกทีก็กระโดดโลดเต้นอยู่หน้าประตูเป็นบ้าเป็นหลัง เพียงเพราะวิริยะยอมเรียกเขาว่าพี่เหมือนเดิมแล้ว

กระทั่งเห็นทรายจูงน้องสาวตัวเล็กเดินมา คนหน้าโหดก็แทบจะปรับโหมดตัวเองไม่ทัน เมื่อเห็นหล่อนยกมือปิดตาแพรวาแล้วบอกน้องว่า “อย่าไปมองคนบ้านะน้องวา เดี๋ยวติดเชื้อ”

ชายหนุ่มทำท่ากระแอมวางมาด เปลี่ยนมาเป็นโยกตัวไปมาเหมือนกำลังออกกำลังกายแเก้เก้อเขินให้ตัวเองไป จนกระทั่งพวกหล่อนลงไปด้านล่างกันแล้วจึงทอดถอนใจ เปลี่ยนมาคลี่ยิ้มอย่างอดไม่ไหว

เดี๋ยวเถอะ แค่ดีใจที่เมียเรียกว่าพี่ ผิดตรงไหน!

 

“อาเชษฐ์ รอผมด้วยสิ”

วิริยะยังคงวิ่งตามเชษฐ์ไชยในขณะคนอายุมากกว่าทำงานเสมอ เมื่อวานยังทำหน้าเหมือนกำลังแพ้อยู่เลย แล้วไหงตื่นขึ้นมาถึงได้เปลี่ยนโหมดเป็นเด็กดื้อวิ่งเข้าใส่อีกจนได้ เห็นแล้วนายใหญ่ของไร่ผู้กลายเป็นคนรักของวิริยะในสายตาของคนงานก็ส่ายหน้า อันที่จริงวันนั้นก็ไม่ได้โกรธวิริยะเพราะรู้ว่าเด็กหนุ่มเป็นคนยังไง แค่แอบจุกที่เด็กนั่นพูดความจริงเท่านั้นเอง

พูดมาได้ว่าอาย แล้วตอนนี้เล่นโพนทะนาไปทั่วว่าตัวเองกำลังคบหาดูใจกับเขา

พวกคนงานนี่ก็ลำเอียงนัก นึกไม่ออกเลยว่าถ้าเป็นคนอื่นทำแบบนี้ พวกนี้จะตอบสนองอย่างไร

“จะตามมาทำไม วิ่งกวนหน้ากวนหลัง รำคาญ” ชายหนุ่มพูดเสียงเหนื่อย

“มาเป็นกำลังใจให้แฟน!”

เชษฐ์ไชยอ้าปากเหวอ เมื่อทุกคนพร้อมใจหันมามองที่เขาหลังได้ยินวิริยะตะโกน เหลือบไปเห็นกลุ่มไอ้ลิงทั้งเจ็ดจ้องมาราวกับว่าคาดโทษเขาแล้วล่วงหน้า เชษฐ์ไชยอึกอักไม่รู้จะต่อว่าเด็กหนุ่มด้วยวิธีไหนพวกมันถึงจะไม่โกรธ ทำได้เพียงถอนใจ แล้วเดินหนีวิริยะฉับ ๆ ไปอีกฝั่งเสียเฉย ๆ

“อ้าวแฟน ไปไหนครับ”

วิริยะหัวเราะเพราะรู้ว่าเชษฐ์ไชยกำลังขัดเขิน ร้องไล่หลังไป ดีใจที่อีกไม่นานเชษฐ์ไชยกำลังจะใจอ่อน ตั้งใจจะวิ่งตามเจ้าของไร่รุ่งอรุณีอีก แต่ก็หยุดยืนส่งซิกให้พวกพี่ ๆ อีกฝั่งบอกว่าไม่ต้องห่วง ไม่นานเชษฐ์ไชยก็กลับมาใจดีกับเขาเหมือนเดิม

หันมาอีกทีเชษฐ์ไชยหายไปแล้ว รู้แต่ว่าวิ่งไปอีกฝั่งของไร่ วิริยะรีบเดินไปตามเส้นทางหวังจะเอาให้ทัน หากทว่าไปจนสุดทางก็ยังไม่เห็นอีกฝ่ายเลย ถึงได้รู้ว่าคลาดกันเสียแล้ว เด็กหนุ่มถอนใจเพราะความเหนื่อยและร้อน ก่อนจะขึ้นเนินไปยังบ้านพักหรือแยกไปอีกฝั่งที่มีป่าผลไม้ชนิดอื่น

ลำขาวิริยะชะงักกึกเพราะรู้สึกเหมือนมีคนตามมาจากด้านหลัง หันไปเห็นใครสักคนกำลังยืนอยู่ ถึงจะมีผ้าคลุมบนหัวแต่วิริยะกลับจำได้ และเมื่อมันเห็นว่าเขารู้ตัวก็ตรงดิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า

ไอ้ชาติ!

วิริยะเบิกตาตกใจ มองรอบกายแล้วหาใครสักคนที่พอจะช่วยเหลือได้ แต่ไม่มีเลย ซึ่งดูเหมือนมันจะรู้ว่าวิริยะกำลังรู้สึกกลัว ย่างเดินตรงมาใกล้ด้วยสีหน้าน่ากลัว กระทั่งมือหนาหยุดจับต้นแขน ไม่ยอมให้วิริยะถอยออกห่าง “อ๊ากกกกก!”

ฝ่ามือสากของมันปิดปากไม่ยอมให้วิริยะร้อง หรือจะโกรธที่เขาเป็นตัวปัญหาทำให้ตกงาน แล้วจะตามมาฆ่าหมกป่าผลไม้เป็นการล้างแค้น เด็กหนุ่มพยายามดิ้น หากทว่ามันทำหน้าโกรธแล้วขยับเข้ามาใกล้ “จะร้องทำห่าอะไร เงียบ!”

ก็ตัวเองมาอย่างนี้เป็นใครจะมองดี ๆ ได้เล่า วิริยะตาแข็ง หอบหายใจฟังในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะบอก ไอ้ชาติมองซ้ายเเลขวาหาลู่ทาง ก่อนจะผละมาสบตาวิริยะแล้วพูดเสียงเบา “ฉันมานานไม่ได้ ไม่งั้นไอ้ลุงแหวงมันให้คนมาเล่นงานฉันแน่”

หมายความว่าไง วิริยะมุ่นคิ้ว ดึงมืออีกฝ่ายออก “ทำไม”

มันจ้องตา “ที่ฉันพูดเป็นความจริงทุกอย่าง ไม่ได้กุเรื่องสร้างความวุ่นวายให้ไร่อย่างที่ไอ้แหวงมันกล่าวหา แกรีบไปบอกไอ้เชษฐ์ก่อนที่มันจะตลบหลังเข้า เหมือนที่มันทำกับน้องของฉัน”

“ไม่เข้าใจอะ” วิริยะส่ายหน้า

“ก็มันทรยศไอ้เชษฐ์อยู่ยังไงเล่า!”

ได้ฟังแล้ววิริยะเบิกตา นึกถึงลุงแก่หน้าตาซื่ออย่างลุงแสวงแล้วก็คิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็ไม่อยากเถียงไอ้ชาติเช่นเดียวกัน เพราะจะเป็นอันตรายต่อตัวเองเปล่า ๆ ฟังมันพูดพล่ามต่ออีกว่า “ตั้งแต่ฉันออกมา ไม่ได้อยู่เป็นก้างมันก็ย่ามใจ แอบขนของกันเป็นว่าเล่น แกต้องไปบอกให้นายเชษฐ์จับตาระวังพวกมัน”

วิริยะพยักหน้าหงึก เมื่อพูดแล้วไอ้ชาติก็แลซ้ายขวา ยกผ้าขาวม้าขึ้นปิดใบหน้าให้ดูกลมกลืนกับคนงานคนอื่นแล้วเดินจากไปอีกฝั่ง พร้อมกับความโล่งอกที่ตัวเองไม่ถูกทำร้าย เมื่อเห็นดังนั้นแล้ววิริยะรีบหาทางให้ตัวเองปลอดภัย เดินไปอีกฝั่งของไร่ซึ่งน่าจะมีคนงานกำลังขนผลไม้ขึ้นรถเตรียมส่งกันอยู่ เห็นลุงแสวงกำลังพูดคุยกับคนขับหน้าตาเคร่งเครียดพอดี ด้วยความหวังดี วิริยะจึงรีบตรงไปหา

“ลุงแหวงครับ ผมมีเรื่องจะบอก” วิริยะรีบพูด

“เดี๋ยวก่อนนะ ลุงมีเรื่องสำคัญต้องทำ”

“แต่เรื่องนี้เรื่องใหญ่นะครับ ลุงแหวงต้องระวังตัว” เด็กหนุ่มไม่เชื่อเด็ดขาดว่าลุงคนนี้จะเป็นพวกคนร้ายหรือโลภมากขนาดทรยศเจ้านายได้ ในเมื่อเชษฐ์ไชยรักและดูแลแกกับครอบครัวเสมือนเป็นบ้านเดียวกัน ต้องเป็นแผนของไอ้ชาติ มันอยากปั่นหัวให้คนในไร่ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

“น้องวิวไปเล่นที่อื่นก่อนเถอะ ลุงยังไม่ว่าง!” แกทำเสียงเอ็ด

เด็กหนุ่มถอนใจ “งั้นผมไปบอกอาเชษฐ์เองก็ได้ว่าเจอไอ้ชาติที่นี่”

คนที่กำลังสนใจพูดคุยกับคนงานอีกฝั่งชะงัก หน้าถอดสี หันมาหาวิริยะสีหน้าตกใจ

“ไอ้ชาติเหรอ!”

วิริยะรู้สึกเจ็บ เมื่อมือหยาบกร้านของลุงแกกุมจับต้นแขนเขารุนแรงเกินไป “คะ ครับ แถมมาบอกผมด้วยว่าลุงแหวงเป็นคนทรยศอาเชษฐ์ แอบโกงอาเชษฐ์ แต่ผมไม่เชื่อหรอก ลุงแหวงใจดีแล้วก็รักอาเชษฐ์จะตาย ไม่มีทางทำแบบนั้นแน่”

คนฟังนิ่งไป “อ๋อ ใช่...ไอ้ชาตินี่มันเลวจริง ๆ ขนาดโดนไล่ออกไปแล้วยังจะก่อเรื่องไม่เลิก” แกคลายมือออกไปบ่นกับตัวเองสีหน้ากังวล แต่ก็ยังหันมาหาวิริยะแล้วตบบ่า ส่งยิ้มเอ็นดูให้อย่างเคย “ขอบใจนะที่มาบอกลุง แต่น้องวิวอย่าไปบอกนายเชษฐ์เด็ดขาดเลยนะว่าไอ้ชาติมา จะทำให้นายเชษฐ์เป็นกังวลเปล่า ๆ  เดี๋ยวพวกลุงจะจัดการเรื่องนี้เอง โอเคนะครับ”

“อ๋อ ครับ” วิริยะยกยิ้ม

“กลับบ้านไปเถอะครับ เดี๋ยวนายเชษฐ์ก็จะกลับแล้ว ใกล้ถึงเวลาเลิกงานแล้วนี่นา”

ได้ฟังแล้ววิริยะก็ยิ้มรับด้วยความดีใจเมื่อแกรับฟัง แล้วเดินแยกจากไปอีกฝั่งเพราะคนงานเยอะกว่า จะได้มีคนเห็นและคอยช่วยเหลือหากมีเรื่องฉุกเฉิน ท่ามกลางสายตาลูกน้องคู่สนทนาของลุงแสวงที่ฉายแววไม่พอใจ มันสบตาแกแล้วส่ายหน้า พูดว่า “ปล่อยไปอย่างนี้จะดีเหรอ”

แสวงขบฟัน แล้วกอดอกตัวเองหน้าเคร่ง

“เด็กมันไม่มีพิษมีภัย แต่ถ้าถึงคราวจริง ๆ คงต้องทำ”

“อย่างที่ทำกับไอ้โชค” อีกคนต่อบทสนทนา แล้วหันไปทิศอื่นครุ่นคิดหาทางออก หลังจากได้ฟังจากแสวงว่านายใหญ่ของไร่เริ่มระแคะระคายเรื่องของพวกมันแล้ว แล้วไหนจะไอ้ชาติ ก้างชิ้นใหญ่ที่โดนไล่ออกกลับมาสร้างปัญหาให้อีก คงต้องรีบแก้ไขสถานการณ์เพื่อเอาตัวรอดกันยกใหญ่

แต่ตาแสวงแกใจอ่อนเกินไป จะทำงานใหญ่ ใจต้องนิ่ง

มันคิดว่าจะจัดการเรื่องของวิริยะเอง โดยไม่ต้องรอให้แสวงอนุมัติอะไรทั้งสิ้น เพราะขืนใจดีไปแล้วเกิดเด็กนั่นมีพิษสงขึ้นมา พวกมันทั้งหมดจะแย่แพราะความมีเมตตาโง่ ๆ เอาได้!

--๑๐๐--

----------------------------------------------------------------

ตราบใดที่วิ่งไล่ตามอาเชษฐ์ก็คงปลอดภัยนะลูก

สำหรับใครที่ไม่รู้จักโชค นั่นคือน้องชายของชาติ ที่เป็นคนแย่งรตรีจากอาเชษฐ์ไปนะคะ

ซึ่งยังไม่มีคำตอบว่าโชคหายไปไหน ทำไมเหลือแต่รตรีที่วิ่งกลับมาหาสามีเก่าเท่านั้น

ไม่รู้มีใครชอบที่น้องตามง้อสามีมั้ย แต่ไรต์ชอบ สนองนี๊ดตัวเอง 5555

ที่จริงเรื่องยังไม่จบ ถ้าตัวละครไม่ไม่จุดขัดแย้งกันไปพร้อมกับพลอต มันจะดูเฉื่อย ๆ ไป แล้วมาคอยลุ้นกันว่าเชษฐ์ไชยจะไล่ตามคนร้าย ก่อนที่จะเกิดเรื่องกับวิวได้ไหม เจอกันตอนหน้าค่า

อย่าลืมทิ้งคอมเม้นไว้ให้หนูนาอ่านเด้อออ
หัวข้อ: Re: **{1.5.61-ตอนที่ ๑๘--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 01-05-2018 01:16:06
แย่แล้วน้องวิว เกาะติดอาเชษฐ์ไว้นะจะได้ปลอดภัย

ขำอาเชษฐ์ไปแอบดีใจอ่ะ 55555

และทราย ผู้รู้เห็นทุกอย่างที่แท้จริง!
หัวข้อ: Re: **{1.5.61-ตอนที่ ๑๘--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 01-05-2018 01:28:46
วิวนี่บางครั้งก็ดูชอบตัดสินใจทำอะไรโง่ๆเนาะ
ตอนอาเชษฐ์ ก็ทีละ แล้วนี่ก็อีกเรื่อง
แทนที่จะไปบอกอาเชษฐ์ แล้วช่วยๆกันคอยจับตาดู
รู้ว่าเชื่อใจไว้ใจลุงแก กับไม่ชอบชาติ แต่เรื่องแบบนี้
จริงหรือไม่จริงก็ยังไม่รุ้ ดันไปบอกเจ้าตัวเลยนี่มัน
ปรึกษาพี่ๆหน่อยก็ดี ทีนี้เหมือนเอาภัยใส่ตัวชัดๆ
ไม่รุ้ตอนหน้าจะเปนไงเนี่ย
หัวข้อ: Re: **{1.5.61-ตอนที่ ๑๘--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-05-2018 02:10:18
 :a5:
หัวข้อ: Re: **{1.5.61-ตอนที่ ๑๘--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 01-05-2018 09:32:31
อาเชษฐ์คะ อาเชษฐ์ขัดขืนไม่จริงจังนี่คะ 555
หัวข้อ: Re: **{4.5.61-ตอนที่ ๑๙--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 04-05-2018 15:00:43

ตอนที่ ๑๙

วิริยะยังคงวุ่นวายอยู่กับเชษฐ์ไชยในไร่ เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มกว้างเมื่อเห็นลุงแสวงยกเครื่องดื่มชูกำลังและน้ำเกลือแร่อยู่เต็มไม้เต็มมือมาแจกจ่ายคนงาน ด้วยความที่ตนเองไม่ได้ทำงานหนักเท่าผู้อื่น วิริยะจึงวิ่งไปช่วยแกขนของมาแบ่งให้พี่ ๆ น้อง ๆ ดื่มแก้เหนื่อย เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มไปช่วย แกยิ้มให้แล้วยินดียื่นของหนักสู่มือวิริยะอย่างไม่ดื้อดึง

“ว่าแต่ช่วงนี้ไม่เห็นน้องหน่อยเลยนะครับลุงแหวง”

แกยิ้มให้เล็กน้อยพลางเดินคู่กัน “เห็นว่ามีสอบใหญ่เลยอยู่อ่านหนังสือที่บ้านครับ”

“ถ้าน้องสงสัยตรงไหนมาถามผมก็ได้นะครับ แต่...ผมก็ไม่ค่อยฉลาดนะ”

ได้ฟังแล้วแสวงหัวเราะ “จะบอกมันให้นะครับ”

“ลุงแหวงไปนั่งพักกับคนงานคนอื่นก็ได้นะครับ เดี๋ยวที่เหลือผมยกมาให้เอง”

แกนิ่งไปพักหนึ่ง “จะดีเหรอครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ยกกระป๋องปุ๋ยตอนทำงานหนักกว่านี้เยอะเลยครับ ลุงแหวงไม่ต้องห่วงนะ ห่วงตัวเองดีกว่า ตอนนี้เหงื่อเต็มหน้าไปหมดแล้ว ไปนั่งพักเถอะเดี๋ยวผมรับช่วงต่อให้เอง” วิริยะยืดอกทำตัวเท่ในขณะพูด เรียกรอยยิ้มผู้ฟังและคนรอบข้างที่เดินสวนไปมา เมื่อเห็นลุงแสวงทำตามคำขอแล้วเด็กหนุ่มก็แยกเดินมาคนเดียวเพื่อยกเครื่องดื่มชุดสุดท้าย ท้ายรถกระบะที่จอดอยู่ริมถนน

อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณและความกลัว เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนใครมองอยู่ตลอดเวลา ทว่าเมื่อหันกลับไปดันไม่เจออะไรอย่างที่คิด ความรู้สึกบอกให้วิริยะรีบเดินเร็วกว่าเดิมเพราะเริ่มจะอันตรายแล้ว แถวนี้ไม่มีคนงานสักคน อาจไปรวมกลุ่มพักกันที่อื่น

“แฮ่!”

“อ๊ากกกก!” วิริยะร้องเสียงหลง ยกมือกุมหน้าอกตัวเองทรุดตัวนั่งยองย่อเพราะเข่าอ่อน และโล่งใจที่คนตรงหน้าไม่ใช่ใครที่ไหน คือกลุ่มของส้มนั่นเอง ตั้งแต่เจอไอ้ชาติที่ไร่ก็ทำให้เขาระแวงไปเสียหมด คิดว่าที่นี่ไม่ปลอดภัยอีกแล้ว “โธ่ อย่าแกล้งวิวแบบนี้อีกนะ หัวใจจะวาย”

พวกพี่ ๆ หัวเราะกันยกใหญ่ “ขอโทษ แต่เวลาวิวเหลือกตาร้องนี่ตลกจังเลยนะ”

“ไม่ขำนะ ตกใจหมดเลย คิดว่าเป็น...” ไอ้ชาติ

“เป็นใครจ๊ะ เป็นนายเชษฐ์สุดหล่อรึไง” กุ้งแซว

“เป็นอาเชษฐ์ไม่ร้องแบบนี้หรอก จะกระโดดใส่เลยด้วยซ้ำ”

“แหม ๆ ๆ หมั่นไส้จริง แล้วนี่จะไปไหนจ๊ะ” ตาถามเสียงสดใสแล้วช่วยพยุงวิริยะยืนขึ้น พากันเดินต่อเป็นเพื่อนวิริยะ เด็กหนุ่มเช็ดเหงื่อบนหน้าตัวเอง ทำปากยื่นปากยาวไปยังรถกระบะที่จอดอยู่ริมถนนลูกรังของไร่ “ไปเอาเครื่องดื่มมาให้คนงานน่ะครับ”

“แล้วลุงแหวงล่ะ” ส้มถาม

“ก็แกทำท่าเหมือนจะไม่ไหว แดดก็ร้อน ผมเลยอาสามาเอง”

“เด็กดี” พี่สาวยิ้มพลางเดินรวมกลุ่มไปยังที่หมาย ครั้นไปถึงก็ช่วยกันยกคนละนิดละน้อย พลอยให้วิริยะรู้สึกโล่งใจที่มีเพื่อนอยู่ในเวลาเช่นนี้ คิดว่าไอ้ชาติมันจะย้อนกลับมาเล่นงานอีก ทว่าเมื่อคิดถึงไอ้ชาติแล้วประโยคที่มันกล่าวถึงน้องชายก็ผุดขึ้นมาในความคิด พร้อมกับความสงสัยของวิริยะ

“ว่าแต่พวกพี่รู้จักน้องของไอ้ชาติบ้างไหม”

ทั้งหมดชะงัก แล้วหันมามองหน้าเด็กหนุ่ม “นายเชษฐ์ไม่เคยเล่าให้ฟังเหรอ”

วิริยะรีบโคลงศีรษะ เริ่มสงสัยขึ้นมากกว่าเก่า “เกี่ยวอะไรกับอาเชษฐ์อะ”

“จะไม่เกี่ยวได้ยังไง เกี่ยวเต็ม ๆ เลยจะบอกให้ ก็คนที่แย่งเมียนายเชษฐ์ไปก็คือไอ้โชค น้องชายของไอ้ชาติยังไงเล่า พูดแล้วขนลุกขึ้นมาเลย” ตาทำท่าลูบแขนของตัวเอง พร้อมกับความฉงนของวิริยะที่ยังไม่กระจ่างแจ้ง แต่พอจะเดาได้ลาง ๆ แล้ว ว่าเหตุใดเชษฐ์ไชยถึงดูไม่ชอบขี้หน้ากับไอ้ชาตินัก คงมีเรื่องนี้มาเกี่ยวด้วยแน่

“ตอนนี้เขาไปไหนแล้วละพี่” เด็กหนุ่มถาม

ทั้งสามมองหน้ากันแล้วเกี่ยงที่จะพูด สุดท้ายส้มก็เป็นคนตอบในสิ่งที่วิริยะสงสัย “มีคนเจอศพมันที่กระท่อมท้ายไร่ ตั้งแต่ได้ข่าวว่าพาคุณรตรีหนีไปใหม่ ๆ เขาว่ากันว่า มันโดนปืนยิงกลางแสกหน้าแล้วเอาไปทิ้งไว้จนเน่าส่งกลิ่นเหม็น คนไปเจอนี่ฝันร้ายจนต้องหนีเข้าวัดเลย”

วิริยะขนลุกตามไปด้วย “น่ากลัวจัง”

“แต่ที่น่ากลัวกว่านั้น มีข่าวลือว่าคนที่ฆ่ามันก็คือนายเชษฐ์นั่นแหละ เพราะความโกรธที่ถูกไอ้โชคแย่งเมียไป แถมตอนเกิดเรื่องนายเชษฐ์ก็ไม่ได้ตกใจ แล้วบอกคนงานว่าให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ห้ามให้ใครรู้ว่ามีคนตายที่ไร่ด้วย ที่มาของนายเชษฐ์จอมโหดไม่ได้มาลอย ๆ นะวิว” กุ้งกุมอกพูดเป็นตุเป็นตะ

ในขณะที่ตาส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “ฉันว่าไม่ใช่ฝีมือนายเชษฐ์หรอก นายเชษฐ์แค่ไม่อยากให้คนแตกตื่นก็เท่านั้น”

“ใช่ นายเชษฐ์ไม่ได้ใจร้ายถึงขนาดฆ่าคนได้สักหน่อย” ส้มสมทบ

“ใครจะไปรู้ล่ะ ความรักทำให้คนตาบอด พวกแกเคยได้ยินคำนี้ไหม” กุ้งเถียง

วิริยะนิ่งไป แล้วหวนนึกถึงสีหน้าของไอ้ชาติ ตอนที่พยายามบอกให้เขานำเรื่องนี้ไปบอกเชษฐ์ไชยแล้วชั่งใจ ว่าความน่าเชื่อถือของลุงแสวง ลุงแก่หน้าตาซื่อ กับผู้ชายหน้าโจรที่เคยมีเรื่องกันมาก่อน ซึ่งสูญเสียน้องชายไปโดยไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของใครแน่ชัด ใครมันน่าเชื่อถือกว่ากัน

“วิว ว่าแต่นอนอยู่ในห้องนั้นไม่ได้เลขเด็ดอะไรเลยเหรอ”

“ฮะ” เด็กหนุ่มย้อน

“ก็แต่ก่อนยังไม่ได้สร้างหอพักอีกฝั่ง ห้องพักก็เลยต้องรวมทั้งชายกับหญิงไปก่อน แล้วห้องที่วิวนอนอยู่น่ะเป็นห้องของไอ้โชคไง”

วิริยะอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าเรื่องที่เชษฐ์ไชยพูดคราวนั้นจะเป็นเรื่องจริง เขานึกว่าที่อีกฝ่ายบอกมาเป็นเรื่องอำให้เด็กหนุ่มกลัวก็เท่านั้น มาคิดอีกทีเชษฐ์ไชยก็ใจร้ายเหลือเกิน ให้คนกลัวผีอย่างเขานอนอยู่ในห้องของคนตายแล้วมาตลอดหนึ่งเดือน โดยไม่บอกอะไรสักคำ ถึงคนชื่อโชคจะหนีไปก่อนและไม่ได้เสียชีวิตในนั้น แต่คิดแล้ววิริยะก็ขนลุกขึ้นมา เขาว่ากันว่าวิญญาณจะไปเฉพาะที่ที่ตัวเองเคยไปเท่านั้น

วิริยะเดินหน้ามุ่ยกลับไปที่โรงครัวพร้อมพี่ ๆ หลังเลิกงาน เห็นหลังเชษฐ์ไชยเดินนำไปอยู่ลิบ ๆ ครั้นไปถึงเห็นลุงแสวงแกนั่งอยู่ กำลังทายาแก้ปวดข้อขาให้คลายเมื่อย เห็นแล้วเด็กหนุ่มก็เดินไปทรุดนั่งข้าง “ลุงแหวงปวดขาเหรอครับ”

“โรคคนแก่น่ะครับน้องวิว” แสวงหัวเราะ แล้วโน้มลงไปทาครีมที่ข้อเท้า

“เดี๋ยวผมช่วยครับ”

“ไม่เป็นไรครับ น้องวิวไปกินข้าวเถอะ”

เด็กหนุ่มส่ายหน้า “เถอะน่าลุงแหวง ก้มต่ำ ๆ เดี๋ยวความดันขึ้นพอดี”

วิริยะคลี่ยิ้มทำหน้าเอาอกเอาใจแล้วแย่งยามาบีบใส่มือ ก้มลงไปนวดให้แกด้วยความตั้งอกตั้งใจ พลอยเรียกรอยยิ้มเอ็นดูของลุงที่นั่งบนเก้าอี้ได้ “ลุงแหวงทำให้ผมนึกถึงปู่เลย แกเป็นโรคเกาต์ แต่ชอบแอบไปสั่งไก่ทอดกินคนเดียวประจำ พ่อนี่ตามไปดุตลอด แกก็เอาแต่งอนบอกว่าอีกไม่กี่ปีกูก็ตายแล้ว ตามใจหน่อยไม่ได้เลยรึไง”

คนฟังคลี่ยิ้ม “ก็จริงของปู่แกนะครับ แต่ลูกหลานทำเพราะเป็นห่วงนี่นะ”

“นี่คงกินไก่อยู่บนสวรรค์สบายใจเฉิบแล้ว” วิริยะยิ้มหลังทายาและนวดให้แล้วเสร็จ ก่อนจะเงยมาสบตาคนฟัง “ลุงแหวงเองก็เชื่อลูกหลานบ้างนะครับ ที่บอกที่ปรามเพราะว่าเป็นห่วงและรัก จะได้อยู่กันไปนาน ๆ น้องหน่อยคงอยากให้พ่ออยู่ทันถึงตอนเรียนจบปริญญา ผมก็ด้วย ผมอยากให้ลุงแหวงอยู่ทันวันรับปริญญาของผมเหมือนกัน”

คนฟังคลายรอยยิ้มลง มองใบหน้าใสของคนกล่าวอยู่ครู่หนึ่งด้วยความเอ็นดูอย่างอดไม่ได้

“ขอบใจนะครับ ตัวมีแต่เหงื่อ เหม็นก็เหม็น ยังให้น้องวิวมานวดให้อีก เดี๋ยวลุงไปอาบน้ำก่อน”

วิริยะลุกขึ้นแล้วมองคนแก่เดินไปยังบ้านพักที่ห่างไปจากตรงนี้ไม่ไกลนัก เพียงแต่ต้องผ่านโค้งไปก่อน หันกลับมาอีกทีก็เห็นหลอดยาของแกที่ลืมทิ้งไว้ คราวแรกเด็กหนุ่มกะว่าจะร้องเรียกให้กลับมารับ แต่เห็นว่าลุงแสวงปวดขาอยู่เลยเอามาเก็บไว้ก่อน หากทานข้าวเสร็จแล้วค่อยเอาไปให้ ยาตัวนี้คงสำคัญสำหรับคนทำงานหนักอย่างลุงแสวงน่าดู

คิดแล้ววิริยะก็หมุนตัวเดินไปล้างมือ ตักอาหารแล้วเดินไปหาที่นั่ง เห็นนายใหญ่ของไร่กำลังทานอยู่ก็รีบตรงดิ่งเข้าไปทรุดอยู่ข้างกาย เชษฐ์ไชยมองวิริยะ แล้วถอนใจ “หลบไม่พ้นจริง ๆ”

“ยาก!” วิริยะทำหน้างอ

“รีบกินข้าวแล้วรีบกลับบ้าน เดี๋ยวจะมืดเสียก่อน”

“ก็รอกลับพร้อมอาเชษฐ์ไง”

“ไม่เอาโว้ย”

คนฟังตักข้าวเข้าปาก “ใจร้ายว่ะ นี่ยังไม่นับเรื่องที่ให้ผมไปนอนห้องคนตายแล้วนะ”

เชษฐ์ไชยแอบยิ้ม “เพิ่งรู้เหรอ ก็คิดว่ารู้แล้ว ตั้งแต่ตามไปขอพระวันนั้นซะอีก” คนกล่าวยกน้ำขึ้นดื่มไปพลาง กลัววิริยะจับได้ว่ากำลังนึกตลกในสิ่งที่เจ้าตัวบ่นให้ฟัง “แล้วสรุปเห็นอะไรไหมละ”

“ไม่ต้องมาถามเลย! นี่ถ้าไอ้ชาติไม่มาบอก...” วิริยะเบิกตา แล้วยกมือปิดปากที่เผลอลั่นออกไป เด็กหนุ่มเหลือกตาวาว เมื่อเหลือบไปเห็นว่าคนกำลังยิ้มได้คลายสีหน้าสบายลงไป แล้วหันมาจ้องตาเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกันให้ได้

“ไปเจอไอ้ชาติมาเหรอ!” เชษฐ์ไชยไม่ได้เสียงดัง แต่ถ้อยคำที่กล่าวฟังดูน่ากลัว

วิริยะพูดไม่ออก เหงื่อตกไปพักหนึ่งเพราะไม่อยากโกหก

“ถามอยู่ไม่ได้ยินเหรอ!” คนอายุมากกว่ายังคงทำเสียงดุ ท้ายที่สุดเด็กหนุ่มก็ยอมพยักหน้ารับด้วยสีหน้าหงอยลงเมื่อยังคงเห็นแววตาเอ็ดของเชษฐ์ไชย “อย่าไปไหนมาไหนคนเดียวอีกเด็ดขาด เข้าใจไหม เกิดไม่โชคดีเหมือนคราวนี้จะทำยังไง รู้รึเปล่าว่าตอนนี้ไร่ไม่ใช่ที่ปลอดภัยแล้ว”

“ผมจะระวังตัวครับอาเชษฐ์” เด็กหนุ่มยอมรับผิด

“รีบกิน เดี๋ยวจะไปส่งที่บ้าน แล้วห้ามออกมาอีกเข้าใจไหม” เมื่อได้ยินเสียงกำชับด้วยความเป็นห่วงของเชษฐ์ไชยแล้ววิริยะอดจะยิ้มดีใจไม่ได้ พยักหน้ารับอย่างเร็วไวราวต้องการเอาอกเอาใจคนตรงหน้า เห็นแล้วจากที่ดุ เชษฐ์ไชยก็คลายความกังวล เหลือเพียงแค่ส่ายหน้าให้อย่างระอาที่เด็กหนุ่มเอาแต่ทำให้เป็นห่วงอยู่เสมอ แล้วอย่างนี้จะปล่อยให้คลาดสายตาได้ยังไง

ค่ำจนได้ หลังทานข้าวเสร็จวิริยะก็ขออนุญาตชายหนุ่มเอายาไปคืนลุงแสวง บอกด้วยสีหน้าสดใสว่าจะรีบไปรีบกลับ คนหน้าโหดก็พยักหน้ารับเพราะเห็นว่าใกล้กันแค่นี้คงไม่เป็นไร ที่สำคัญเป็นบ้านของแสวงด้วย จึงเดินไปหยุดยืนรออยู่ที่รถ มองตามร่างของเด็กหนุ่มจนหายไปในความมืด

ขาดยาหลอดนี้ลุงแสวงคงนอนปวดขาทั้งคืนแน่

วิริยะยกมือที่ถือยาขึ้นดูด้วยรอยยิ้ม เห็นหน้าบ้านแกเปิดไฟทิ้งไว้ ประตูบานหนึ่งไม่ได้งับบอกว่ามีคนอยู่ข้างใน วิริยะตั้งใจจะเข้าไปเรียกหาน้องหน่อยเพราะคิดว่าแสวงอาจกำลังอาบน้ำ หากทว่าเห็นแกยืนหน้าเคร่งอยู่ต่อหน้าน้องหน่อยราวกับว่ามีปัญหากันอยู่ เธอหันหลังให้เขา ในมือถือสมุดบันทึกเล่มเล็กสีเหลืองเล่มหนึ่งอยู่ข้างหลัง ซึ่งมันคุ้นตาเขาว่าเคยเห็นแวบ ๆ ที่ไหนมาก่อน

น้องหน่อยร้องไห้ “พ่อหยุดเถอะนะ อย่าทำแบบนี้กับนายเชษฐ์เลย”

“เอามาให้พ่อนะหน่อย ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายพ่อสัญญา”

หน่อยส่ายหน้าระรัวไม่ยอม “นายเชษฐ์รักเรามากนะ เขาดูแลเราดีมาโดยตลอด หนูไม่กล้ามองหน้านายเชษฐ์แล้วพ่อรู้ไหม เพราะพ่อทำแบบนี้ไง”

“แกคิดว่าที่ได้เรียนโรงเรียนดี ๆ นี่เพราะนายเชษฐ์เหรอ เพราะพ่อทำแบบนี้ต่างหากถึงได้มีปัญญาส่งแกไปเรียนได้ เอาสมุดมาให้พ่อเดี๋ยวนี้!”

“ไม่ หนูว่าจะบอกแม่ตั้งนานแล้ว แต่พ่อรับปากหนูว่าจะเลิกหนูเลยยังไม่ได้บอก แต่นี่พ่อผิดสัญญา หนูจะไปบอกแม่กับนายเชษฐ์!”

ลุงแสวงตัวสั่นจ้องหน้าลูกสาว “ห้ามบอกแม่กับนายเชษฐ์เรื่องนี้เด็ดขาด คราวที่แล้วก็เกือบถูกไอ้ชาติจับได้แล้วไง! คราวนี้ถ้านายเชษฐ์รู้ว่าเราทรยศมีหวังได้ฆ่าพ่อแน่ อยากให้พ่อตาย อยากให้พ่อติดคุกใช่ไหม แบบนี้ใช่ไหมลูกถึงจะว่าดี!”

วิริยะเบิกตาโต หลังได้ฟังในสิ่งที่แกพูดก็ถึงบางอ้อ เขาจำได้แล้วว่าเคยเห็นสมุดเล่มนี้ที่ไหน

ตอนนั้นที่เขากำลังเดินเล่นแล้วเห็นไอ้ชาติทำท่าจะกอดน้องหน่อย เด็กหนุ่มจึงเข้าไปห้ามแล้วได้ลงมือทำร้ายกัน เขาเห็นหน่อยหยิบสมุดเล่มนั้นใส่กระเป๋า หรือที่เธอยอมโกหกเชษฐ์ไชยว่าไม่ได้ถูกลวนลามนั้น อันที่จริงแล้วหน่อยไม่ได้โกหก ที่ร้องขอความช่วยเหลือก็เพราะไอ้ชาติกำลังตามมาแย่งเอาสมุด เมื่อวิริยะมาเห็นเลยบอกว่าถูกลวนลาม แต่เมื่อเชษฐ์ไชยรับรู้เลยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เพราะไม่อยากให้พ่อถูกลงโทษเลยต้องยอมตามไอ้ชาติไปก่อน

ยังไงเสียไอ้ชาติก็ไม่กล้าปรักปรำลุงแสวงโดยไม่มีหลักฐานอยู่แล้ว

งั้นที่ไอ้ชาติมาบอกก็ไม่ได้โกหกน่ะซี วิริยะคิดแล้วมือไม้อ่อน หลอดยาในมือหล่นตุบจนทั้งสองที่กำลังคุยกันหันมา เมื่อลุงแสวงเห็นเด็กหนุ่มแล้วก็ตกใจ เดินตรงมาทิศนี้ด้วยดวงตากร้าว ภาพโชคที่ถูกยิงตายในจินตนาการแล่นเข้ามาที่หัวเด็กหนุ่มอย่างฉับพลันจนทำให้วิริยะกลัว

ไอ้ชาติบอกว่าโชคตายเพราะลุงแสวง

“น้องวิว...” แกใช้เสียงเบา

วิริยะถอยหลังมองสองพ่อลูกตรงหน้า ไม่ได้ เขาต้องรีบไปบอกเรื่องนี้กับเชษฐ์ไชยเดี๋ยวนี้!

ไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่ามีใครยืนอยู่ข้างหลัง กว่าจะไหวตัวทันก็ตอนที่มีคนล็อกคอวิริยะด้วยลำแขนแล้ว เด็กหนุ่มพยายามส่งเสียงร้องทว่าทำไม่ได้เลย คนข้างหลังใช้ผ้าอะไรสักอย่างปิดจมูกและปากเขาไว้แน่นหนาจนเหม็นหืน พละกำลังก็มหาศาล

วิริยะพยายามดิ้นสุดชีวิตแต่สู้แรงไม่ได้เลย เขาเห็นสีหน้าหวาดกลัวของน้องหน่อยในขณะที่สติสัมปชัญญะค่อย ๆ หายไป ภาพสุดท้ายคือมือยาว ๆ ของตัวเองเอื้อมเรียกขอความช่วยเหลือจากเด็กสาว และใบหน้าของหน่อยที่หลบอยู่หลังลุงแสวงทั้งน้ำตา ก่อนทุกอย่างจะหายไป

น้ำตาเด็กหนุ่มไหลอาบ ภาพของครอบครัวและเชษฐ์ไชยผุดขึ้นมาในชั่ววินาทีหนึ่ง

คิดว่าไม่น่าเลย รู้อย่างนี้ทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ ก่อนจะเป็นแบบนี้เสียก็ดี...

 

เชษฐ์ไชยยังคงยืนรออยู่ที่รถแม้จะผ่านมากว่าห้านาทีแล้ว ด้วยความเป็นห่วงชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินไปตาม หากทว่าเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาขัดเสียก่อน และยิ่งเห็นเป็นเบอร์น้องชาย ชายหนุ่มจึงตัดสินใจกดรับสายเพราะรู้ว่าหากไม่สำคัญอัฐษไชยคงไม่รีบโทรมา

“ว่าไงอัฐษ์” ชายหนุ่มตอบรับ น้ำเสียงบอกอยู่เป็นนัยว่ากำลังใจร้อน

“วันนี้ฉันติดต่อชาติไม่ได้เลย”

นึกว่าจะโทรมาบอกเรื่องอะไร “ถ้าจะมาคุยเรื่องไอ้ชาติหมานี่ก็วางสายซะ ฉันมีธุระ”

“ไม่นะเชษฐ์ แกอคติกับชาติมันเกินไป” เสียงของอัฐษไชยเป็นกังวลอย่างหนัก

“ถ้าจะมาสรรเสริญมันให้ฉันฟังก็แค่นี้นะ”

“ฉันรู้ว่าแค่พูดแกคงไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ที่ไร่ของแกไม่ปลอดภัยแล้ว ระวังคนข้างกายของแกไว้ให้ดีเถอะ ไม่ต้องไประวังชาติมัน คอยจับตามองคนที่คอยยิ้มเข้าหาแกจะดีกว่า” อัษฐ์ไชยพูดเสียงเป็นห่วง พลอยให้คนทางนี้รู้สึกแปลกใจ

“แกหมายความว่าไง”

อัษฐไชยเงียบไปพักหนึ่ง “ก็เรื่องที่ฉันบอกแกนั่นไงว่ามีคนกำลังทรยศแกอยู่ ตั้งแต่ชาติบอกฉันว่าจะเข้าไปที่ไร่เพื่อบอกแก ตอนนี้มันยังไม่ติดต่อมาเลย ฉันเลยคิดว่ามันอาจถูกปิดปากอย่างโชคแล้วก็ได้ บอกฉันหน่อยว่าแกพอได้ยินข่าวชาติบ้างไหม”

เขาได้ยิน ได้ยินจากปากของวิริยะ

“แค่นี้ก่อนนะ”

อย่าบอกเลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับวิริยะ เชษฐ์ไชยกดวางสายแล้วรีบวิ่งไปที่บ้านพักของลุงแสวงทันทีเมื่อน้องชายถามถึงข่าวของชาติ ซึ่งวิริยะเพิ่งบอกว่าเจอกัน มันอาจเล่าความจริงให้เด็กหนุ่มฟังแล้วคนร้ายอาจตามปิดปากวิริยะด้วยอีกคนก็ได้ เมื่อตอนเย็นเขาก็ลืมคาดคั้นวิริยะว่าไอ้ชาติพูดอะไรด้วยบ้าง

ชายหนุ่มรู้สึกถึงใบหน้าที่ร้อนผ่าว ภาวนาว่าอย่าให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย คิดแล้วเชษฐ์ไชยก็สาวเท้าเข้าไปเปิดประตูบ้านคนงานเก่าแก่ของไร่เพื่อถามหาวิริยะ เห็นหน่อยที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะอ่านหนังสือ เด็กสาวสะดุ้ง หันมาทางทิศนี้ด้วยท่าทางตกใจ ชายหนุ่มถามหาวิริยะและลุงแสวงพร้อมกัน ได้ฟังเด็กสาวอึกอักพักหนึ่งดูเหมือนตกใจที่เห็นท่าทางรีบร้อนของชายหนุ่ม ตอบกลับมาว่าวิริยะเดินกลับบ้านไปแล้ว ส่วนพ่อก็ออกไปดื่มเหล้ากับกลุ่มเพื่อน

ชายหนุ่มแปลกใจ รู้ว่าหน่อยกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่างและมีพิรุธ

เขาไม่ได้บังคับถาม ด้วยความที่อยากรู้ว่าวิริยะไปบ้านแล้วจริงหรือไม่ จึงกลับไปที่รถแล้วบึ่งไปบ้านพักทันที ครั้นไปถึงก็เห็นแม่ต้อยยกยิ้มทักทายและจัดมื้อเย็นอยู่ “วิวกลับมารึยังต้อย”

นางแปลกใจ “ยังไม่เห็นนะคะ เอ...แต่ต้อยก็มัววุ่นอยู่ในครัว ไม่รู้ว่ามารึยังนะคะ”

เชษฐ์ไชยถอนใจหน้าเคร่งเครียด เดินขึ้นไปชั้นสองเพื่อหาในห้องพักของตนเอง ไร้ร่างของวิริยะนอนรอด้วยสีหน้าสดใสอย่างเคย ใจชายหนุ่มสั่นไหว รีบเร่งไปเคาะประตูพี่สาวของเด็กหนุ่มถามหา ทรายบอกว่าไม่เห็น ทั้งสองจึงเดินตรงไปยังห้องพักของธเนศกับอิงอรด้วยความหวังว่าวิริยะจะอยู่ในนั้น แต่ธเนศบอกว่าไม่อยู่ จากนั้นทุกคนก็เริ่มแสดงถึงความหวาดวิตกเมื่อสุดท้ายไม่มีใครรู้ว่าวิริยะอยู่ที่ไหน

ธเนศสั่งให้ทุกคนรออยู่ในบ้าน แล้วตามเชษฐ์ไชยออกมาที่หอพักสอบถามทุกห้องว่ามีใครเห็นวิริยะหรือเปล่า ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เจอ และเห็นครั้งสุดท้ายก็ตอนที่อยู่กับเชษฐ์ไชย

เมื่อเห็นสายตาบิดาของเด็กหนุ่มมองมา เชษฐ์ไชยอยากฆ่าตัวเองเสียให้ตายที่สะเพร่าปล่อยเด็กหนุ่มเดินไปคนเดียว ทั้งที่ปากบอกว่าเป็นห่วงแท้ ๆ

กว่าจะสอบถามครบทุกคนก็ผ่านมาชั่วโมงกว่าแล้ว ใจนายใหญ่ของไร่ร้อนราวกับไฟ และเมื่อลุง ๆ ป้า ๆ ทั้งหมดรู้ข่าวว่าวิริยะหายไปต่างรู้สึกเป็นกังวลตามด้วย หลังเดินรอบไร่แล้วเชษฐ์ไชยและธเนศก็กลับมาที่หอ ทั้งสองชะงักเท่ากึกเมื่อเห็นคนงานเกือบครึ่งร้อยชีวิตอยู่รอกันอยู่กลางลานเพื่อฟังข่าวด้วยความเป็นห่วงเป็นใยวิริยะ ในมือถือไฟฉายคนละอันเตรียมตัวรอเชษฐ์ไชย

น้ำเสียงของเชษฐ์ไชยเจ็บปวดเมื่อบอกว่าไม่เจอวิริยะ เจ็ดหนุ่มเห็นแล้วก็ใจหวิว ออกปากว่าจะช่วยหาทั้งคืนจนกว่าจะเจอ เมื่อได้ยินแล้วคนงานคนอื่นก็เออออ บอกว่าจะช่วยด้วยอีกแรง “น้องวิวหายไปทั้งคน ไม่มีใครทนรอฟังข่าวอย่างเดียวได้จริง ๆ นายเชษฐ์ให้พวกเราไปช่วยหานะคะ”

“ใช่ครับ เราเอ็นดูแกเหมือนลูกเหมือนหลาน”

เชษฐ์ไชยขบฟัน หวังว่าวิริยะแค่เดินเล่นจนหลงทางเท่านั้น “ได้สิ ไปหาวิวกัน”

น้ำตาของธเนศไหลด้วยความเป็นห่วงวิริยะ เขารู้ว่าลูกชายเป็นพวกขี้กลัวขนาดไหน ป่านนี้คงนั่งตัวสั่นร้องไห้อยู่ที่ไหนสักที่ ทั้งไร่ได้ยินเสียงคนงานร้องเรียกวิริยะให้ขานรับ แต่ไร้เสียงตอบกลับของเด็กหนุ่ม ความมืดมิดมีแสงไฟฉายกวาดไปทั่วราวหิ่งห้อยตัวใหญ่มาเป็นฝูง ทุกตารางที่เดินผ่านมีแต่ความหวังว่าจะเจอเด็กหนุ่ม แต่จนแล้วจนรอด ผ่านไปอีกสามชั่วโมงก็ไร่ร่างของวิริยะโผล่ออกมา

จะเที่ยงคืนแล้ว คนงานทุกคนเริ่มเหนื่อยอ่อนเพราะทำงานมาทั้งวัน แต่ก็ยังไม่ถอดใจ

กระทั่งได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด เท้าของทุกคนชาวาบและมองหน้ากัน

“นายเซษฐ์! ดำว่าเสียงปืนแท้ ๆ แต่บ่ฮู้ว่ามาจากทางใด๋ เสียงมันสะท้อนไปเบิ่ดเลย!”

“นายเชษฐ์ เสียงมาจากน้ำตก มองลงเนินไปเห็นแสงไฟกะพริบอยู่ครับ!” อีกหนุ่มหนึ่งทันมองเห็นรีบร้องบอก ธเนศเข่าอ่อน พร้อมทั้งใจของเชษฐ์ไชยหายวาบ

“ผู้ชายไปเอาอาวุธ ส่วนผู้หญิงกลับไปรออยู่ที่ห้อง” ออกคำสั่งแล้วชายหนุ่มเองก็วิ่งไปหยิบปืนที่วางทิ้งไว้ในรถ กลับไปอีกทีเห็นคนงานผู้หญิงหลายคนถือจอบและเสียมยืนรวมกลุ่มรอท่า จะไปด้วยกัน ไม่มีใครคิดจะอยู่ที่นี่

“ผู้ชายนำไปก่อนแล้ว ส่วนเราพร้อมจะช่วยน้องวิวแล้วค่ะ!”

เชษฐ์ไชยปล่อยเลยตามเลย สั่งให้พวกนางขึ้นหลังรถกระบะแล้วรีบขับรถลงเนินไปยังน้ำตก หวังว่ากลุ่มดำที่นำไปก่อนจะช่วยไว้ได้ทัน หวังว่ามันจะไม่สายไป แม้เสียงปืนนั่นจะยังคงลั่นอยู่ภายในใจของเชษฐ์ไชยอย่างไม่จบสิ้นอยู่ก็ตาม

“อย่าเป็นอะไรไปนะวิว พี่ขอร้อง...”


--๕๐--


-----------------------------------------------------

แงงงงงงง ซวยแล้วนายเชษฐ์เอ๊ย แล้วปืนนี่ยิงใคร

แล้วตอนหน้าจะเป็นไง นายเชษฐ์จะไปช่วยน้องได้ทันรึไม่ ต้องรอติดตาม

นิยายใกล้จะจบเต็มที่แล้ว มาช่วยกันลุ้นหน่อย รู้ว่าเซ็งที่น้องไม่ทันคน รู้ว่ามีอะไรไม่ได้ดังใจ มาอินกันต่อเถอะ แล้วมาเดินจูงมือนายเชษฐ์กับวิวไปพบเจอความสุขในตอนสุดท้ายที่ใกล้จะถึงเต็มทีกัน

บายเด้ออออ เจอกันตอนหน้า อย่าลืมทิ้งคอมเม้นไว้ให้เค้าอ่านน้า จุ๊บ...
หัวข้อ: Re: **{4.5.61-ตอนที่ ๑๙--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-05-2018 16:48:03
ทำตัวเองแท้ๆ เลยวิว  :hao5:
หัวข้อ: Re: **{4.5.61-ตอนที่ ๑๙--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-05-2018 17:09:47
 :ling3:
หัวข้อ: Re: **{4.5.61-ตอนที่ ๑๙--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 04-05-2018 17:35:11
ยังไงตัวเอกไม่เป็นอะไรหรอก คนเขียนไม่ได้ใจร้าย แต่ก็เป็นห่วงวิวเหมือนกัน
ขอให้ปลอดภัย
หัวข้อ: Re: **{4.5.61-ตอนที่ ๑๙--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 04-05-2018 20:55:08
โอยยยย อย่าเป็นอะไรนะน้องวิว
หัวข้อ: Re: **{4.5.61-ตอนที่ ๑๙--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 04-05-2018 21:42:42
คนใกล้ชิด​มาทำร้ายกันแบบนี้
หัวข้อ: Re: **{4.5.61-ตอนที่ ๑๙--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 05-05-2018 01:40:09
โอ๊ยๆ น้องวิวอย่าเป็นอะไรนะครับ :o12:
หัวข้อ: Re: **{4.5.61-ตอนที่ ๑๙--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 05-05-2018 02:50:49
กำจัดคนชั่วให้ได้!!!
หัวข้อ: Re: **{9.5.61-ตอนที่ ๑๙--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 09-05-2018 22:53:02

(ต่อ)

30 นาทีก่อนหน้านี้

วิริยะรู้สึกตัวตื่นท่ามกลางความมืดมิดเพราะแรงสะกิดเรียกที่ขา แวบแรกคิดว่าตัวเองเพียงแค่ฝันไปเท่านั้น ความน่ากลัวที่ผ่านมามันยังไม่ได้เกิดขึ้น แต่ไม่เลย เมื่อลืมตาตื่นเขาก็ยังคงพบความจริงที่กำลังเผชิญหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาถูกจับตัวมา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่ที่ไหน ได้ยินเพียงเสียงนกกลางคืนและสายน้ำกระทบไหลเท่านั้น

เมื่อตื่นแล้ว แสงจากดวงจันทร์สาดลอดใบไม้ลงมาให้เห็นลาง ๆ เด็กหนุ่มเบิกตาหอบหายใจ เมื่อเหลือบไปเห็นใครสักคนนอนเลือดอาบอยู่ตรงหน้า “ชู่...” ทว่าไม่ได้หมดสติอย่างที่คิด มันส่งเสียงปรามไม่ให้วิริยะแตกตื่นแล้วเหลือบไปด้านหลัง เห็นผู้ชายตัวใหญ่สองคนยืนเฝ้าอยู่

ถ้ามองไม่ผิด นี่คือไอ้ชาติ เพียงแต่มันถูกทำร้ายสภาพสะบักสะบอมแทบจะไม่เหลือเค้า

ทั้งสองถูกทิ้งไว้ที่พื้นหิน ริมตลิ่งของน้ำตก ข้าง ๆ ทั้งสองมียางรถยนต์วางเรียงกันอยู่ ไอ้ชาติใช้โอกาสที่คนร้ายสองคนตั้งตาปรึกษากัน ควานหยิบหาหินแหลมที่พอจะใช้ได้ ตัดเชือกที่มัดมือตัวเองออกไปได้แล้ว แต่ยังคงแสร้งสลบเพื่อหาโอกาสช่วยวิริยะอยู่ ดีหน่อยที่ช่วงนี้น้ำตกมีเยอะ เสียงของมันกระแทกกับก้อนหินดังสนั่น พอให้พวกมันไม่หันมาสังเกตได้

“พวกมันรอน้ำมัน” ชาติกระซิบเสียงเบาที่สุด “มันพูดว่าจะเผาเราตอนตีหนึ่ง ช่วงที่คนอื่นในไร่นอนหลับกันหมดแล้ว แล้วจะไม่ได้เห็นควันหรือแสงไฟ อยู่ใกล้น้ำตก จะได้ดับไฟแล้วก็ทำลายหลักฐานได้สะดวก”

วิริยะน้ำตาไหลเพราะความกลัว ตัวสั่นไปหมด “ทำยังไงดี”

ทั้งสองมองหน้ากันในความมืด ชาติใช้ทีเผลอคู้เข่าขึ้นแก้มัดที่เท้าให้ตัวเองแล้วพันไว้หลวม ๆ หลอกตา จากนั้นรีบเอื้อมไปแก้มัดให้วิริยะที่ยังคงนอนอยู่ตรงกันข้าม แล้วทำอย่างเดิมไว้เพื่อรอโอกาส จะได้พากันวิ่งหนีเข้าไปในป่า ดีหน่อยที่คนร้ายไม่กล้าใช้ไฟฉายหรือก่อไฟใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะกลัวมีคนรู้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ หากทว่าดูเหมือนพวกมันจะเริ่มแตกคอกันเพราะลุงแสวงเดินเข้ามา

“พวกมึงทำบ้าอะไรกัน! กูบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่า”

วิริยะน้ำตาไหลเมื่อได้ฟัง

“อย่าไม่ได้แล้วลุง เด็กมันรู้หมดแล้วว่าลุงทำอะไร ถ้าไม่ฆ่ามันตอนนี้ก็ไม่รู้จะทำตอนไหน”

“กูตั้งใจจะพอแล้ว ยังไงกูก็จะสารภาพกับนายเชษฐ์อยู่ดี”

“เป็นลุง ลุงก็พูดง่ายสิ แต่พวกฉันยังไงก็ต้องติดคุกหัวโตอยู่ดี เรื่องของไอ้โชคยังไม่หมดอายุความ ขืนลุงไปสารภาพกับนายเชษฐ์ ยังไงก็ต้องโดนสาวมาถึงพวกฉัน ทำแบบนี้น่ะดีที่สุดแล้ว!” ได้ฟังไอ้ชาติก็ขบฟันจนปูดเมื่อรู้สักทีว่าใครฆ่าน้องชาย วันนั้นถ้าเขาเชื่อโชคว่าในไร่มีพวกหนอนบ่อนไส้ตั้งแต่แรก คงไม่เสียน้องชายไปอย่างนี้

ลุงแสวงถอนใจเพราะไม่รู้จะปรามอย่างไร อย่างไรพวกมันย่อมทำทุกทางเพื่อปกปิดความผิดของตัวเอง ไม่มีทางเชื่อคำห้ามของแกแน่ ผละไปมองร่างคนสลบทั้งสองที่ถูกมัดมือมัดเท้าไร้สติอยู่ก็นึกเวทนา ได้แต่พร่ำบอกว่าอโหสิกรรมให้เสียเถิด แกกระแอมเมื่อเห็นพวกมันจะหันไปหาวิริยะกับชาติ ชวนคุยเพื่อเบี่ยงความสนใจ เมื่อเห็นไอ้ชาติกำลังช่วยวิริยะอยู่

“แล้วไอ้เฉิดมันจะเอาน้ำมันมาให้ตอนไหน”

“อีกสักพัก รอให้คนที่ไร่หลับก่อน”

ชาติเหลือบมองหาลาดเลา เท่าที่สังเกตได้ คนร้ายมีอยู่สามคนเท่านั้น หากตัดลุงแสวงด้วยก็เท่ากัน เพียงแต่ว่าวิริยะกำลังหวาดกลัวจนไม่เป็นอันทำอะไร จะให้สู้กันโดยไม่รู้ว่าพวกมันมีอาวุธติดมือมาหรือไม่เป็นเรื่องที่ยาก โอกาสรอดน้อยมากเหลือเกิน แต่ครั้นจะให้หนี โอกาสรอดก็คงมีน้อยเช่นเดียวกัน นอกจากเข้าป่า

ไม่รู้ว่านานเท่าไร ที่ทั้งสองนอนอยู่บนก้อนหินแหลมคม วิริยะเจ็บปวดตัวไปหมด แต่ก็ไม่กล้าแม้จะหายใจแรงเพราะกลัวพวกมันจะได้ยิน แล้วเสียแผนไป แต่จู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา เป็นของคนร้าย มันรีบกดรับสายในขณะที่มองคนสลบฝั่งนี้ ดูเหมือนจะเป็นพวกที่ไปเอาน้ำมันติดต่อมา

“ว่าไงนะ นายเชษฐ์รู้แล้วเหรอ!” มันร้องเสียงดัง

ใจวิริยะเต้นตึก ร่ำร้องเรียกหาเชษฐ์ไชยและเริ่มมีความหวังขึ้นมาอีกนิด

“เกิดอะไรขึ้น” แสวงถามหน้ากังวล

“ก็นายเชษฐ์น่ะสิ รู้แล้วว่าเด็กนั่นหายไป ตอนนี้ระดมคนตามหากันทั้งไร่แล้ว พวกเราต้องรีบจัดการพวกมันก่อนที่จะโดนจับตัวได้ แล้วแยกย้ายหนีกบดานกันให้เร็วที่สุด” มันบอกเล่าพลางยกมือขึ้นเท้าสะเอว ยกปืนขึ้นมาถือตั้งใจจะเดินไปฆ่าวิริยะแล้วจะได้แยกย้าย หากทว่าแสวงไม่ยอม บอกให้เก็บอาวุธแล้วเตือนสติมัน

“มึงจะยิงไม่ได้ เกิดคนที่ไร่ได้ยินเสียงปืนรู้แน่ว่าเราอยู่นี่”

คนฟังขบฟันกรอด “โธ่เว้ย! โน้นก็ไม่ได้นี่ก็ไม่ได้!”

ได้ยินเสียงโวยวายของคนร้ายชาติก็กลืนน้ำลาย กระซาบเสียงเบาให้วิริยะถือหินอันเหมาะมือที่สุดไว้ เพราะอีกไม่นานแล้วที่ความตายจะมาเยือนทั้งสอง ท้ายที่สุด ดูเหมือนคนจนตรอกจะค้นหาวิธีฆ่าพวกเขาได้ มันเหลือบไปเห็นเชือกที่วางทิ้งไว้อยู่ โยนไปให้เพื่อนอีกคนแล้วเดินหน้าเหี้ยมมาทิศนี้ ในขณะที่ทั้งสองคนนอนสบตากันด้วยใจเต้นระทึกไหว

“รัดคอมันจนกว่าจะไม่หายใจ แบบนี้ใครก็ไม่ได้ยินแล้ว” มันใช้เสียงเย็นเยียบ

แสวงเหงื่อตก มองตามลูกน้องทั้งสองอย่างระอาและรู้สึกว่าจุดจบของทุกคนคงกำลังจะมาถึงในไม่ช้า หวังว่าวิริยะจะหนีไปได้

“มึงทำไอ้เด็กนั่น เดี๋ยวกูฆ่าไอ้ชาติเอง มันจะได้ไปเยี่ยมน้องมันถูก ถ้าคนส่งมันไปนรกเป็นคนเดียวกัน” พูดจบมันก็ขึงเชือก ตั้งใจก้มลงไปจัดการคนสลบบนพื้น ไม่ทันได้สังเกตในความมืดว่าตื่นหรือไม่

วิริยะตัวสั่นกำหินในมือแน่น เมื่อเห็นชาติโกรธมาก กระทั่งคนร้ายเข้าคู่แล้วจับพลิกให้ทั้งสองนอนหงาย ก็เป็นช่วงเวลาที่จะหนี “เอาเลย!”

วิริยะกลั้นใจเหวี่ยงหินก้อนใหญ่ในมือ ทุบเข้าบริเวณเบ้าตาของคนที่คร่อมทับหวังฆ่าตัวเองสุดแรงเกิด มันร้องว๊ากเสียงดัง กุมดวงตาของตัวเองแล้วนอนดิ้นทุรนทุราย ด้วยความกลัวมันจะลุกขึ้นมาทำร้ายเพราะยังมีแรง เด็กหนุ่มซ้ำไปอีกที ในขณะที่ฝ่ายชาติเองก็จัดการคนที่ฆ่าน้องชายตัวเองได้แล้ว “ถ้าไม่ทำเราก็ต้องตาย!”

ชาติเห็นวิริยะร้องไห้ตกใจ ลุกกะเผลกมาดึงแขนพาวิริยะวิ่งหนีท่ามกลางเสียงร้อง

“อ๊าก! จะตายแล้วยังฤทธิ์เยอะนะมึง!” คนล้มนอนกับพื้นคว้าปืนที่เหน็บเอวไว้ด้วยความโกรธไปกว่าเก่า จากที่ลังเลไม่อยากฆ่า ก็เหลืออด เล็งไปยังทั้งสองที่วิ่งทุลักทุเลผ่านธารน้ำตกเข้าไปในป่าแล้วลั่นไก กราดยิงตามด้วยความโมโหอย่างไม่สนว่าใครหน้าไหนจะได้ยิน ท้ายที่สุดเห็นไอ้ชาติล้มฟุบลงเพราะโดนยิง

“ชาติ! ชาติ!” วิริยะร้องเสียงดัง ประคองจะพาหนีไปด้วยกัน

“ไป ไปเลย!” มันผลักเด็กหนุ่มออก

“ฮือ ไปด้วยกัน!”

“ไม่ได้ เดี๋ยวจะตายกันหมด โดนแค่ขาเดี๋ยวกูหลบอยู่แถวนี้ มึงไปเรียกคนมาช่วย”

วิริยะสะอื้นฮึกแล้วมองหาลู่ทาง ตอนกลางคืนเขาไม่รู้จะไปทางไหนดี สุดท้ายตาเหลือกโพลงเมื่อเห็นคนถือปืนวิ่งโซเซลุยน้ำเล็งมาทางนี้ คิดว่าคงหนีไม่ทันแน่ แต่เมื่อลั่นไกก็ไม่ถูกเป้า เสียงกระสุนกระทบกับก้อนหินหรือต้นไม้แถวนี้จนเด็กหนุ่มสะดุ้ง วิริยะกับชาติแตกกระเจิงหลบไปคนละทาง เมื่อเห็นว่าลุงแสวงวิ่งตามมาปัดมือของคนร้ายออก

“พอที ยังไงพวกเราก็จบแล้ว!”

“ไม่พอเว้ย!” มันกุมหัวที่เลือดอาบของตัวเอง ถึงจะได้รับบาดเจ็บอยู่แต่ก็เป็นคนหนุ่มกว่าแสวงมาก ทั้งสองสู้แรงกัน ยื้อแย่งปืนในขณะที่วิริยะตัวสั่นในความมืด ล้มลุกคลุกคลานหาทางออกไปยังถนนให้ได้ กระทั่งเห็นแสงไฟหลายดวงสาดแทรกผ่านใบไม้ใบหญ้า บอกเด็กหนุ่มว่าทุกคนกำลังมุ่งหน้ามาช่วยเขา

“นี่ลุงจะช่วยมันใช่ไหม ถ้าขวางทางฉันก็ลงนรกไปด้วยกันเลยไป!”

“ไม่... ไม่...” วิริยะส่ายหน้า น้ำตาไหลพราก ได้ยินชัดทุกคำว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแสวง ยกมือปิดปากตัวเองไม่ให้สะอึกสะอื้นเสียงดังจนมันได้ยินเข้า แต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะก้าวเท้าออกไปปรามมัน

“ไป น้องวิว ไป!”

ทั้งสองสู้กันอยู่พักใหญ่ เหมือนแกจะรู้ว่ามีคนกำลังตามมาช่วยเลยใช้ตัวเองรั้งเวลา

เสียงปืนลั่นขึ้นไปบนฟ้า สะท้อนก้องในโสตประสาทเด็กหนุ่มที่ตัวสั่นหลบซ่อนอยู่ในความมืดมุมนี้ ดินปืนสะท้อนแสงวาบให้เห็นอยู่คราวหนึ่งว่าวิริยะอยู่ตรงไหน คนร้ายกัดฟันกรอดแล้วกดแรงรั้งดึงปลายกระบอกลงต่ำกว่าเดิม หวังว่าจะฆ่าให้วิริยะตายไปสมใจ ท้ายที่สุดไกก็ลั่นขึ้นมาอีกครั้ง ไปยังร่างของลุงแสวงที่กำลังช่วยชีวิตเด็กหนุ่มอย่างสุดความสามารถ

“ลุงแหวง ลุงแหวง!” วิริยะร้องไห้ มองไปยังร่างของแกที่ซวนเซ ล้มลงนอนหลังจากนั้น

ซึ่งในเวลาต่อมา คนยิงก็ยื่นปลายกระบอกปืนมาที่วิริยะสีหน้าโหดร้าย

หากทว่าไม่ทันได้ยิง ร่างของมันพรุนไปด้วยลูกกระสุนโดยไม่ทราบที่มาจนหงายท้องลงไปในธารน้ำ นอนแน่นิ่งเพราะโดนจุดสำคัญหลายที พร้อมทั้งสุ้มเสียงของผู้คนและฝีเท้าวิ่งเข้ามาร้องเรียกหาวิริยะอย่างไม่ขาดสาย เด็กหนุ่มวิ่งกะเผลกออกไปหาลุงแสวงที่ยังคงนอนอยู่บนพื้น ใจเต้นเป็นระส่ำที่ยังเห็นแกนอนลืมตา หายใจระโหยโรยแรงอยู่

น้ำตาวิริยะไหลไม่หยุด ก้มลงช่วยประคองแกขึ้นมา

“ลุงแหวง ลุงแหวงครับ...”

ดูเหมือนลูกปืนจะโดนจุดสำคัญ เลือดไหลออกจากปากของแกอาบไปจนถึงใบหู แต่ถึงอย่างนั้นคนแก่ก็ยังยกยิ้มให้ พูดติดตลกอีกว่า “เสียดายจัง ไม่ได้ไปงานรับปริญญาน้องวิวซะแล้ว ได้ไปกินไก่เป็นเพื่อนปู่น้องวิวแทนซะอย่างงั้น”

วิริยะส่ายหน้า น้ำตาหยดแหมะ “ไม่เอา ไม่เอา”

แกยังคงยิ้ม มองวิริยะที่เอาแต่ส่ายหน้าไม่ยอมหยุด

“ลุงแหวง ทำใจดี ๆ ก่อน เร็วเข้า พาแกไปส่งโรงพยาบาล!” หมอกรีบบอกคนแก่ แล้วเรียกคนงานชายคนอื่นมาช่วยกันยกแกลงไป ท่ามกลางเสียงสะอื้นตกใจของวิริยะที่มองตามแสวงไม่ละด้วยความห่วง

หมอกลูบบ่าปลอบน้องอยู่พักหนึ่งบอกว่าเดี๋ยวแกก็หาย ก่อนจะเดินไปสำรวจคนร้ายเมื่อเห็นธเนศวิ่งตรงมาหาวิริยะรับช่วงต่อแล้ว คนร้ายตายคาที่ หมอกจึงยืนเฝ้าอยู่ตรงนี้ รอให้ตำรวจและเชษฐ์ไชยมาถึงเพื่อจัดการต่อ ทั้งมองธเนศสวมกอดลูกชายไปด้วยความสงสารวิริยะ เด็กอายุเท่านี้ไม่น่ามาเจอเรื่องร้ายถึงเพียงนี้เลย

“ทางโน้นมีคนเจ็บอีกหนึ่ง มันยอมให้จับตัวแล้ว!” ไทตะโกนบอก

หลายคนช่วยกันสำรวจหาคนเจ็บและตรวจตรากันให้ทั่ว แสงไฟฉายสาดไปเห็นเลือดเปื้อนบนโขดหิน เป็นทางยาวไปจนถึงต้นไม้ใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่หลบซ่อนของใครอีกคน “เฮ้ยไอ้ชาตินี่หว่า แต่มันสลบไปแล้ว!”

“พามันไปส่งโรงพยาบาลด้วย แล้วมีใครเจอวิวรึยัง” เชษฐ์ไชยรีบเดินไต่ก้อนหินเข้ามาที่ธารน้ำแหล่งเกิดเหตุ หัวใจที่หวิวไหวยังคงไม่ลดทอนลงไป แม้ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลงไปแล้ว และตัวเองมาช้าเกินไปก็ตาม ชายหนุ่มไม่สนว่ายามนี้ใครจะเป็นฮีโร่ในสายตาวิริยะ แค่ขอให้ได้รู้ว่าเด็กหนุ่มยังอยู่ดีก็เพียงพอแล้ว

“น้องวิวปลอดภัยดี อยู่กับพ่อทางโน้นครับนายเชษฐ์”

ได้ฟังเชษฐ์ไชยก็โล่งอก กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาเด็กแสบที่ทำหัวใจเขาแทบวายหวังจะปลอบใจ จนลืมไปเสียสนิทว่าตอนนี้เจ้าตัวมีคนปลอบอยู่แล้ว

ลำขายาวชะงัก เมื่อเหลืบไปเห็นธเนศกำลังกอดลูกชายไว้อย่างแนบแน่น ประโลมใจด้วยถ้อยคำต่าง ๆ นานาอยู่ข้างหูเด็กหนุ่มให้คลายความกลัว ใจที่ระทึกตื่นเต้นของชายหนุ่มก็คลายลงไป ดีใจที่เห็นว่ามีคนทำหน้าที่นี้ได้อย่างดีเยี่ยมอยู่แล้ว

ไม่มีเขาคงไม่เป็นไรกระมัง กำลังใจจากธเนศดีกว่าเขาตั้งหลายเท่า

คิดแล้ว ชายหนุ่มก็วางใจ เดินไปอีกฝั่งเพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้เสร็จสิ้น

 

เสียงฝีเท้าของแม่ต้อยและหน่อยระรัวมาหยุดหอบหายใจต่อหน้าเชษฐ์ไชย ที่ยังคงยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องผ่าตัดมากว่าชั่วโมงแล้ว ชายหนุ่มให้เจ็ดลิงรอรับหน้ากับตำรวจอยู่ที่น้ำตก ส่วนเขาพาคนเจ็บทั้งหมดมาที่โรงพยาบาลเพราะกลัวจะไม่ทันการณ์ ส่วนวิริยะถูกสั่งไปนอนพักอยู่อีกฝั่งเพื่อรอดูอาการอีกที

แม่ต้อยกุมหน้าอกร้องไห้ ในขณะที่หน่อยยังคงอึ้งเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบิดา พูดไม่ออก ยืนน้ำตาไหลอยู่เงียบ ๆ ไม่พูดจา เธอหลบตาของเชษฐ์ไชยไปทรุดนั่งลงอยู่บนเก้าอี้ ตามร่างกายสั่นไปหมดราวกับกำลังถกเถียงกับตัวเอง ท้ายที่สุดก็ล้วงกระเป๋ากระโปรงนักเรียนยกสมุดตัวการทั้งหมดขึ้นมาถือ ชั่งใจถามตัวเองว่าควรกล้าตัดสินใจทำอะไรสักอย่างหรือยัง

เด็กสาวร้องไห้ หากเธอบอกเชษฐ์ไชยตั้งแต่แรกว่าวิริยะไปไหนคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

ไม่น่าโกหกเลย

ไม่น่าเมินเฉยคำขอร้องของวิริยะตอนนั้นแล้วปล่อยให้ถูกพาตัวไปเลย

น้ำตาคลอเต็มเบ้าของหน่อยในขณะที่ก้มมองของในมือ กระทั่งได้ยินเสียงหมอเปิดประตูออกมา เด็กสาวรีบลุกขึ้นไปยืนอยู่ด้านหลังเชษฐ์ไชย เพื่อรับฟังอาการของผู้เป็นพ่อด้วยความหวัง หากทว่าสีหน้าของชายผู้สวมเสื้อกาวน์ตรงกันข้ามไม่ดีเลย หนำซ้ำยังบอกข่าวร้ายกับพวกเธออีกต่างหาก

“หมอเสียใจด้วยนะครับ...”

คุณหมอพูดอะไรต่อ ผู้ฟังกลับไม่ได้ศัพท์อะไรเข้าสมอง น้ำตาของหน่อยไหล หูอื้อไปพักหนึ่ง แล้วจึงค่อยได้ยินเสียงร้องไห้โฮจนแทบจะเป็นลมของมารดา รับรู้แล้วว่าผลกรรมของพวกคิดเลวอย่างเธอเป็นเช่นไร เด็กสาวตัวสั่นไหว ร้องเรียกมารดาที่เป็นลมอยู่ในอกนายใหญ่ของไร่รุ่งอรุณีทั้งน้ำตา

ถ้าเธอไม่เข้าข้างพ่อแล้วปล่อยวิริยะไปคงไม่เป็นแบบนี้

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเธอ!

หลังจากให้พยาบาลหิ้วหามมารดาไปแล้ว หน่อยร้องไห้และกอดเชษฐ์ไชยแน่น พร่ำโทษว่าเป็นเพราะตัวเธอเองอยู่เช่นนั้นถึงได้เป็นแบบนี้ เชษฐ์ไชยฟังแล้วใจหาย ทำได้เพียงแค่ปฏิเสธ ปลอบประโลมใจเด็กสาวว่าอย่าโทษตัวเองเลย ทุกคนก็ผิดด้วยกันทั้งหมด แม้แต่เขาก็ผิดที่สะเพร่าไม่ดูแลวิริยะให้ดี จนเกิดเรื่องใหญ่จนถึงขั้นมีคนตายขนาดนี้

“นายเชษฐ์ หนูขอโทษนะคะ”

หน่อยบอกทั้งน้ำตา ยื่นสมุดบันทึกสีเหลืองเล่มเล็กให้

เชษฐ์ไชยรับมาถือแล้วเปิดดูอยู่ครู่หนึ่ง มีรายละเอียดการโกงและชื่อของผู้ร่วมขบวนการทั้งหมดอยู่ในนั้น ชายหนุ่มพยักหน้ารับ คิดว่าเห็นทีจะต้องถอนรากถอนโคนเจ้าพวกนี้สักที แล้วเชษฐ์ไชยจึงเก็บใส่กระเป๋า ก้มลงบอกหน่อยว่า “เข้าไปเฝ้าแม่นะหน่อย ฉันต้องไปจัดการอีกหลายเรื่อง ไม่ต้องคิดมาก ฉันไม่โกรธเธอกับลุงแหวงเลย ฉันโทษตัวเองด้วยซ้ำที่ดูแลพวกเธอไม่ดี ถึงได้ต้องทำแบบนี้”

“ไม่นะคะ นายเชษฐ์ดูแลเราอย่างดี” เด็กสาวส่ายหน้า

มือใหญ่วางบนศีรษะของเธอด้วยรอยยิ้ม “งั้น เรามาเริ่มต้นใหม่กันเถอะนะ”

เด็กสาวร้องไห้ ยอมพยักหน้ารับในท้ายที่สุด ก่อนที่เชษฐ์ไชยจะเดินผละออกมา จุดมุ่งหมายคือห้องพักของคนไข้ที่เขาเป็นห่วงเหลือเกินว่าอาการจะเป็นอย่างไร ไปถึงก็เห็นจากข้างนอกว่าธเนศกำลังเฝ้าไข้ลูกชายอยู่ ซึ่งดูเหมือนคนที่เพิ่งเจอเรื่องน่ากลัวจะหลับไปแล้ว ดังนั้นเชษฐ์ไชยจึงเปิดประตูเข้าไปด้วยเสียงเบาที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นธเนศก็ยังได้ยิน

“อ้าว คุณเชษฐ์” อีกฝ่ายยกยิ้มเล็กน้อย

“วิวเป็นไงบ้างครับ”

“ก็ดีขึ้นแล้ว เมื่อกี้ก็เพิ่งถามหาคุณอยู่เหมือนกัน บอกว่าเป็นห่วง”

“ตัวเองน่าห่วงกว่าอีก” ชายหนุ่มกอดอกพูด เรียกรอยยิ้มของผู้ฟัง

เชษฐ์ไชยใช้สายตาสำรวจไปจนถ้วนทั่วว่าวิริยะได้บาดเจ็บบริเวณไหนบ้าง เห็นว่าหัวโน ตามแขนขามีรอยหนามขีดข่วนอยู่หลายที่ ภายนอกอาจไม่มากนัก แต่การได้เห็นลุงแสวงถูกฆ่าต่อหน้าต่อตาและต้องผ่านอะไรเลวร้ายมานั้น คงเป็นเรื่องยากที่จะลืมได้ คิดแล้วชายหนุ่มก็รู้สึกผิดจนอัดอั้นไปหมด

“ผมขอโทษด้วยนะครับคุณพ่อ ที่ลูกชายของคุณต้องมาเจอเรื่องร้ายที่นี่”

คนฟังส่ายหน้า “ไม่ใช่ความผิดของคุณเชษฐ์สักหน่อย ไม่ต้องกลัวว่าผมจะโกรธหรอก ยังไงลูกผมก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”

ยิ่งธเนศพูดอย่างนี้ เชษฐ์ไชยก็ยิ่งรู้สึกผิด ชายหนุ่มมองไปยังคนเจ็บด้วยสายตาห่วงใย อยากพุ่งเข้าไปกอดเสียให้รู้แล้วรู้รอด หากไม่เกรงใจพ่อตาที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงนี้ และยังมีเรื่องใหญ่อยู่หลายอย่างที่รอเขาไปจัดการให้มันจบไป คิดได้ดังนั้นนายใหญ่ของไร่ก็ทอดถอนใจ ยกมือขึ้นสางผมแล้วพูดกับธเนศเสียงเบาหลังจากตัดสินใจแน่วแน่แล้ว

“คุณพ่อครับ ผมมีเรื่องจะขอร้อง...”

นี่คือสิ่งที่เขาจะทำเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจะไม่หนีปัญหาอีก

เชษฐ์ไชยให้คำสัตย์กับตนเอง ต่อหน้าวิริยะตรงนี้!

 

วิริยะรู้สึกตัวอีกทีตอนเช้า เห็นบิดา และครอบครัวรออยู่ในห้องพักอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เมื่อเห็นเขาฟื้น ทุกคนต่างกรูเข้ามาถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง วิริยะยิ้มรับบอกว่าดีขึ้นแล้ว แต่แม้จะถูกใครรุมล้อมให้ความอบอุ่น หากทว่าเด็กหนุ่มกลับคิดว่าคนที่เขารักยังมาไม่ครบ

ใจของเด็กหนุ่มสั่นไหวอยากเจอใครคนนั้น นัยน์ตากลมกวาดหาไปจนทั่วในขณะที่ให้พยาบาลตรวจเชคร่างกาย หากทว่าไร้ร่างสูงใหญ่ของคนที่เขากำลังมองหาอยู่ในห้องนี้ เชษฐ์ไชยไม่ได้มาเยี่ยมเขา “ไม่เป็นอะไรแล้ว คุณหมออนุญาตให้กลับบ้านได้เลยนะคะ” พยาบาลสาวบอก

“งั้นเดี๋ยวป้าไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายก่อน”

“ไม่ต้องคุณ คุณเชษฐ์เขาจัดการให้หมดแล้ว”

ใจวิริยะเต้นตึกเมื่อได้ยินชื่อนั้น รู้สึกอยากเห็นหน้า “แล้วอาเชษฐ์ไปไหนครับ”

บิดายกยิ้มเล็กน้อย “กลับไปแล้ว เห็นว่ามีธุระเร่งด่วน ไปลูก ลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะได้ไป”

วิริยะคลี่ยิ้มอย่างใจชื้น อย่างน้อยจะได้เจอเชษฐ์ไชยและรับรู้ว่าอีกฝ่ายห่วงเขาขนาดไหน เด็กหนุ่มรีบกุลีกุจอ ลงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตามคำขอของบิดาแต่โดยง่าย ท่ามกลางสายตาอันวางใจของผู้มองอยู่ตลอดอย่างธเนศ ครั้นเด็กหนุ่มทำธุระแล้วเสร็จ ทั้งหมดก็พากันขึ้นรถเพื่อเดินทาง โดยที่บิดาก็เทียวลอบมองลูกชายอยู่ตลอดด้วยความเป็นห่วง และรู้อยู่ วิริยะกำลังคิดว่าทั้งหมดจะกลับไปที่ไร่

เมื่อเห็นเด็กหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีตอนที่เขาขับมาอีกทาง ธเนศก็ส่ายหน้า

วิริยะตกใจแล้วหันมองพ่อด้วยความไม่เข้าใจ น้ำตารื้นขึ้นมาแล้วรีบถามธเนศว่า “ทำไมไปทางนี้ละพ่อ ไม่ได้ไปที่ไร่หรอกเหรอ!”

ธเนศเจ็บใจ และรู้ดีว่าเป็นเพราะอะไรวิริยะจึงมีอาการแบบนี้

“กลับบ้านเราเถอะนะ”

“ไม่ได้ แล้วอาเชษฐ์ล่ะ!” วิริยะเสียงดัง

“คุณเชษฐ์นั่นแหละขอพ่อให้ทำแบบนี้ ถ้าวิวกลับไปที่ไร่ก็จะเป็นอันตรายอีก แล้วเขาก็จะเอาแต่พะวงห่วงลูกจนไม่เป็นอันทำอะไร เข้าใจที่พ่อบอกลูกไหม” น้ำเสียงของธเนศยามเล่านั้น ยิ่งทำให้วิริยะปวดใจ เด็กหนุ่มยกมือเช็ดน้ำตา ในขณะที่บิดาเอื้อมมาโยกศีรษะเป็นการปลอบใจไปพลาง บอกว่ารับรู้ถึงความรู้สึกของเด็กหนุ่มดี

วิริยะกลั้นเสียงสะอื้น ไม่ให้ตัวเองเสียใจหลังได้ฟัง อย่างน้อยอีกฝ่ายทำไปเพราะเป็นห่วงเขา

“แล้วเมื่อไรจะได้เจออาเชษฐ์ครับ”

เด็กหนุ่มเหม่อมองออกไปยังสองข้างทางขณะที่เอ่ยถาม ปล่อยให้น้ำตาเหือดเพราะรู้ดีว่าหากเป็นความต้องการของเชษฐ์ไชย ตัวเองไม่สามารถทัดทานได้ เพียงแต่เขาอยากรู้ว่าเมื่อไรที่ทุกอย่างจบแล้วได้กลับมาพบกันอีกที แค่รู้ว่าจะไม่ได้เจอกันอีกครั้งก็รู้สึกเหมือนจะขาดใจแล้ว เขาคิดถึงเชษฐ์ไชยเหลือเกิน

“ไม่มีกำหนด”

วิริยะพยักหน้าเล็กน้อยหลังได้ฟัง ตอบกลับไปว่าเข้าใจเพื่อให้บิดาไม่กังวล แล้วปล่อยให้น้ำตาไหล เหลือบมองวิวข้างทางต่อไปราวไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่ภายในพังไปหมดแล้ว

รู้อยู่แล้วแหละ ว่าเชษฐ์ไชยต้องบอกบิดาเขาแบบนี้

วิริยะหวังว่ากำหนดที่ไม่มีนั้น จะเร็วพอที่อีกฝ่ายไม่ลืมเขาไปเสียก่อน

อยากเจอเหลือเกิน...

--๑๐๐--

-----------------------------------------------------

มาอัพแล้วจ้า ปวดหัวตุ้บ ๆ เลยทีเดียว

น้องวิวอย่าร้อง นายเชษฐ์ทำไปเพราะเป็นห่วงและรักมาก

แล้วสุดท้ายความรักของทั้งสองจะจบลงอย่างไร รอติดตาม

และจะมีตอนพิเศษมาให้อ่านกันด้วยนะคะ และจะเล่าถึงพวกพี่ดำ ชาติ อาอัษฐ์ด้วย

เหมือนเดิม ทิ้งคอมเม้นไว้ให้หนูนาอ่านด้วยเด้อออออออ


หัวข้อ: Re: **{9.5.61-ตอนที่ ๑๙--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-05-2018 23:31:41
 :ling3:
หัวข้อ: Re: **{9.5.61-ตอนที่ ๑๙--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 10-05-2018 00:23:36
โอยยย ดีใจที่น้องวิวไม่เป็นอะไรมาก แล้วก็สงสารไปด้วยพร้อมๆกันเลย ฮือออออ
เอาใจช่วยทุกคนเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: **{9.5.61-ตอนที่ ๑๙--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-05-2018 00:59:51
อาเชษฏร์รีบ ๆ จัดการเรื่องให้เสร็จไว ๆ แล้วรีบมารับวิวกลับไร่เด้อ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: **{9.5.61-ตอนที่ ๑๙--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 10-05-2018 07:23:34
อาเชษฐ์เคลียร์เรื่องให้เสร็จเร็วๆน๊าาาาา
หัวข้อ: Re: **{9.5.61-ตอนที่ ๑๙--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 10-05-2018 08:46:58
ปลอดภัย ก็ดีแล้วนะ
หัวข้อ: Re: **{9.5.61-ตอนที่ ๑๙--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 10-05-2018 12:08:30
จะร้องตามแล้วนะ น้องวิวร้องนำไปก่อนละกำลังตามไปติดๆ แง้งงงงง
หัวข้อ: Re: **{12.5.61-ตอนที่ ๒๐--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 12-05-2018 19:21:22

ตอนที่ ๒๐

1 ปีผ่านไป

ชีวิตเฟรชชี่ปีหนึ่งในมหาวิทยาลัยเริ่มได้สักพักแล้ว ซึ่งก็วุ่นวายมากด้วย ย้อนไปช่วงมัธยมปลาย วิริยะเคร่งเครียดกับการสอบโน่นนี่จนลืมคิดถึงบางสิ่งที่ขาดหายไป แรก ๆ ก็รู้สึกปวดใจ ห่วง เป็นกังวลอยู่หลายอย่าง แต่เมื่อเหลียวหลังกลับไปเห็นพ่อที่คอยให้กำลังใจและคาดหวังอยู่ เด็กหนุ่มก็คิดว่าต้องตั้งใจทำสิ่งตรงหน้าให้สำเร็จก่อน ไม่ควรจมอยู่กับเรื่องข้างหลัง

วิริยะสอบติดที่เดียวกันกับทรายในคณะวิศวะอย่างที่ตัวเองหวัง เขาบอกว่าอยากเก่งเหมือนพ่อ เด็กหนุ่มมีโอกาสได้ออกไปทานข้าวนอกบ้านกับธเนศและเพื่อนอยู่บ่อยครั้ง ทุกครั้งท่านจะยิ้มหน้าบาน อวดลูกชายกับเพื่อนรุ่นเดียวกันว่าเรียนติดที่เดียวกันกับตัวเอง พลอยให้วิริยะรู้สึกมีความสุขไปด้วย

วิริยะรู้ว่าการใช้ชีวิตแบบมีจุดหมายมันคุ้มค่า และเขารอให้ถึงวันนั้นไม่ไหว

แต่ในอีกส่วนที่ยังไม่รู้เลยว่าจะจบยังไง เด็กหนุ่มก็เหมือนคนงมทางในความมืดเช่นกัน

เชษฐ์ไชยลืมเขาไปแล้วหรือ เหตุใดจึงไม่ติดต่อมาบ้างเลย วิริยะเอาแต่ร่ำร้องถามตัวเองอยู่ในใจ

ดูเหมือนสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวจิตใจได้ คือการนอนมองรูปในมือถือของตัวเอง ดูภาพนายใหญ่แห่งไร่รุ่งอรุณีในอิริยาบถต่าง ๆ ที่ตัวเองแอบถ่ายเก็บไว้เพื่อคลายความคิดถึง ภาพที่เชษฐ์ไชยจดจ่อเคร่งเครียดอยู่กับงานยังดูมีเสน่ห์ต่อวิริยะ ไม่เว้นแม้แต่ตอนที่เจ้าตัวกำลังขมวดคิ้วมุ่นครุ่นคิด เห็นแล้วความรู้สึกอบอุ่นก็ผุดขึ้นมาอยู่ในใจ

แต่ติดตรงที่ว่ามันแย่ยิ่งกว่าเก่าน่ะซี ยิ่งเห็น ยิ่งคิดถึง

ตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตโดยปราศจากเชษฐ์ไชยในหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ดูเหมือนบิดาของเขาจะไม่ต้องรอให้ลูกชายเล่าอะไรให้ฟัง คงรู้ไปหมดแล้วว่าวิริยะรักเชษฐ์ไชยขนาดไหน เมื่อถึงข่าวธุรกิจทีไร จากที่กำลังง่วนอยู่กับสิ่งอื่น วิริยะก็วิ่งโร่มานั่งดู แถมเปิดเสียงดังแทบบ้านจะแตก ทั้งที่ภายในข่าวไม่ได้กล่าวถึงครอบครัวของเชษฐ์ไชย หรือจะมี ส่วนมากก็เห็นพูดถึงอัฐษไชยที่รักษาการแทนเท่านั้น

“หนวกหูโว้ย หรี่เสียงลงได้แล้ว ดูยังไงเขาก็ไม่มาหาหรอก”

“แม่!” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร มารู้ตัวอีกทีทรายก็ทำหน้าที่ปรามมารดาตัวเองยามปากไม่ดีเข้าแล้ว

“ก็พูดจริงนี่นา นี่ที่ป้าบอกเพราะหวังดีหรอก” อิงอรพูด

วิริยะถอนใจ “ก็อาเชษฐ์เขายุ่งอยู่นี่”

“ยุ่งอะไร จะบอกให้ คนเราถ้ามีใจ ต่อให้ยุ่งขนาดไหนก็ปลีกตัวมาหาได้”

“แม่!”

“เอ๊ะนั่งนี่ แกน่ะเข้าข้างน้องแก ระวังมันจะน้ำตาเช็ดหัวเข่าเอาเถอะ ถ้ากลับไปอีกทีเขามีลูกมีเมียแล้วน่ะ วิว...ที่ป้าพูดตรง ๆ น่ะ พูดในเชิงความเป็นไปได้นะ เขาทั้งหล่อทั้งรวย ตอนนี้ผู้หญิงเข้าแถวถวายตัวให้ทั้งจังหวัดแล้วมั้ง” นางล้างถ้วยล้างชาม จีบปากจีบคอพูดไปด้วย พลอยให้หน้าของวิริยะเหลือสองนิ้วเพราะขบคิดตาม

“ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าไปลูก”

ธเนศมองลูกชายแล้วก็เอาแต่ส่ายหน้า นึกถึงวันที่เกิดเหตุร้ายกับวิริยะขึ้นมา ที่โรงพยาบาลในวันที่เชษฐ์ไชยไปพบวิริยะนั้น เจ้าตัวได้สารภาพเรื่องสถานะของตนกับวิริยะออกมาแล้วหมดสิ้น อันเป็นต้นเหตุให้ธเนศต้องรีบพาลูกชายกลับบ้านมาก่อน ทั้งที่วิริยะไม่เต็มใจ

เขายังมีบางอย่างที่ยังไม่ได้บอกลูกชาย เพราะรอเวลาอยู่ รอว่าเมื่อไรเชษฐ์ไชยจะพร้อมเดินกลับมา เพราะฝ่ายลูกชายของเขายังคงยึดมั่นในสิ่งที่เชษฐ์ไชยขอร้องโดยไม่ปริปากบ่น ไม่จู้จี้ถามหา และทำหน้าที่ลูกอย่างดีจนธเนศภาคภูมิใจได้ คนเป็นพ่ออย่างเขา เห็นทีต้องตอบแทนในสิ่งที่ลูกชายทำให้บ้าง

คิดแล้วผู้เป็นพ่อก็ทอดถอนใจ มองวิริยะที่เดินลากเท้าขึ้นไปพักด้านบนเพียงลำพัง

แต่ก็รู้ ว่าเจ้าตัวไม่ได้ลืมเชษฐ์ไชยเลยสักวินาที

 จะมีก็แต่ฝ่ายนั้นนั่นแหละ ลืมลูกชายของเขาไปแล้วหรือไร ถึงไม่ได้ติดต่อมาเลย...

 

ภายในห้องพักของวิริยะมืดมิด มีเพียงแสงของโทรศัพท์เท่านั้นที่แผ่กระจายไปทั่ว วิริยะมุ่นคิ้วจ้องภาพชายหนุ่มในความทรงจำของตัวเองเขม็งอย่างไม่เชื่อสายตา คิดถึงใบหน้าของอัฐษไชยเมื่อครู่แล้วเกาศีรษะ ต่อว่าตัวเองว่าอาจบ้าเพราะความคิดถึงไปแล้วก็ได้ เหตุใดช่วงนี้ตาฝาดเฝื่อน มองใครต่อใครว่าเป็นเชษฐ์ไชยไปหมด ถึงจะไม่ได้เจออีกฝ่ายเป็นปี เขาก็แยกออกอยู่ดีว่าคนไหนพี่ คนไหนน้อง ไม่มีทางจำผิดแน่

แล้วไหงวันนี้ใบหน้าของอัฐษไชยถึงได้คล้ายเชษฐ์ไชยนัก เขาบ้าไปแล้วแน่ ๆ บ้าจนต้องแอบมาเปิดดูรูปของเชษฐ์ไชยในโทรศัพท์อีกทีเพื่อความแน่ใจ นี่สรุปตัวเขาเองก็ค่อย ๆ ลืมภาพใบหน้าของอีกฝ่ายไปเหมือนกันหรือ

แล้วเชษฐ์ไชยเล่า ป่านนี้จะลืมหน้าของเขาไปหรือยัง

“อาเชษฐ์...”

คิดถึงแทบเป็นบ้า

ถึงจะโดนพ่อไล่ให้ขึ้นมาอาบน้ำ แต่วิริยะฟุบหลับไปทั้งอย่างนั้น มารู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้ว และวันนี้เป็นวันสำคัญต่อเขามาก ต้องรีบอาบน้ำลงไปตักบาตรกับครอบครัว เพราะเป็นวันแรกที่ใช้ชีวิตการเป็นชายหนุ่มอย่างเต็มตัว ครั้นแล้วธุระก็รีบลงไปด้านล่าง ไปถึงเห็นธเนศยิ้มกว้างทักทายในขณะป้าและพี่สาวกำลังทำงานบ้าน “ไง ไอ้หนุ่ม”

วิริยะคลี่ยิ้มเขิน เดินไปหยุดยืนตรงหน้า “ฮึ ผมสูงกว่าพ่อแล้ว”

“เออ ชนะไปเลย” พูดจบ เสียงหัวเราะของสองพ่อลูกก็ประสานกัน

“เอ้อ เดี๋ยววันนี้ผมต้องออกไปเจอไอ้อิกกับพี่รหัสนะครับ เขาบอกจะเลี้ยงข้าว” วิริยะพูดขึ้น

“ให้พ่อออกไปส่งไหม”

“โหย ไม่ต้องหรอกครับพ่อ ผมโตเป็นหนุ่มแล้วนะ”

“โตเป็นหนุ่มรึโตเป็นสาว” อิงอรแซว

ได้ฟังวิริยะก็ยู่หน้า “ถามแบบนี้ เห็นหน้าผมสวยกว่าลูกสาวป้าอรเหรอครับ”

คนอีกฝั่งหันขวับ “เฮอะ! ฉันอยู่ดี ๆ นะเนี่ย จะทะเลาะกันไม่ต้องมาพาดพิงถึงกันจะได้มะ” ทรายทำเสียงงอน แล้วทุกคนก็หัวเราะขึ้นมา เห็นแล้ววิริยะก็คลายความรู้สึกค้างคาใจของตัวเองเมื่อคืนไปนิดหน่อย เมื่อเห็นว่าสมาชิกในบ้านสนิทสนมกลมเกลียวกันมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน

หลังรับพรจากพระและกรวดน้ำแล้ว ทุกคนก็กลับมาทานมื้อเช้ากันก่อน วิริยะนัดกับรุ่นพี่ว่าจะทานมื้อเที่ยงกัน จึงคิดว่าควรออกไปสาย ๆ หน่อย เพราะถึงอย่างไรต้องพาแกไปเลือกของขวัญให้แฟนอยู่แล้ว ครั้นแล้วเสร็จธุระ เขาก็หยิบกระเป๋าขึ้นสะพายบนบ่า โทรศัพท์ แล้วหยิบของเล็ก ๆ น้อย ๆ ใส่ตามไปด้วย ก่อนจะจ้ำลงบันไดไปยืนรอแท็กซี่อยู่ข้างนอก จุดมุ่งหมายคือห้างสรรพสินค้าที่เดิม

ไปถึง ยังไม่ทันลงจากรถดีเสียด้วยซ้ำ พี่รหัสคู่ซี้ก็โทรตามเขาแล้ว เด็กหนุ่มส่ายหัวด้วยรอยยิ้มแล้วกดรับสายในขณะที่จ่ายเงินค่ารถไปด้วย “ว่าไงพี่กันย์ ถึงแล้วพี่ เจอกันข้างใน แล้วไอ้อิกละมายัง” ว่าพลางปิดประตูรถแล้ววิ่งเข้าไปด้านใน จากที่ตากแดดร้อน พอเข้าไปเจอไอเย็นของเครื่องปรับอากาศก็ทำวิริยะชะงักได้เหมือนกัน

“มึงอยู่ตรงไหน”

“เพิ่งเข้ามาเองพี่”

“กูก็เพิ่งมาเหมือนกัน นั่น! กูเจอมึงแล้ว” หลังรุ่นพี่พูดจบก็วางสาย วิริยะกวาดสายตาไปเห็นพี่ชายตัวใหญ่กว่ายกมือกวักเรียกอยู่แต่ไกลก็รีบคลี่ยิ้ม เดินตรงไปหา ยังไม่ทันได้คำตอบว่าเพื่อนรักมาหรือยังก็พอรู้ว่าไม่ เพราะตอนนี้เห็นอีกฝ่ายยืนรอเขาอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น “ไอ้อิกยังไม่มาเลยเนี่ย เราไปเดินเลือกของกันก่อนไหม จะได้ใช้เวลาคิดนานกว่าเก่า”

วิริยะพยักหน้ารับเห็นด้วย แล้วก็พากันหมุนตัวเดินไปที่ลิฟท์ ด้วยความคุ้นชินที่ถูกคนตัวสูงกว่าใช้เป็นที่พักลำแขน ตั้งแต่สมัยอัศวินและกลุ่มบอยแบนด์ภูธรแล้ว วิริยะเลยเมินเฉยเวลาที่ถูกใครกอดคอไป นอกเสียจากตอนที่มีใครมองตามด้วยสายตาแปลก ๆ เช่นนี้ เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดี เพราะคนที่กอดคอเขาอยู่เป็นถึงเดือนมหาวิทยาลัย ความหล่อเหลามองเห็นไกลตั้งแต่ร้อยเมตรโน่น

น่า...แค่เพื่อนกอดคอกัน ใครเขาก็ทำ

“มึงว่ากูควรซื้ออะไรดีวะ” กันย์ถามขึ้น ขณะยืนรอกันอยู่หน้าลิฟท์

“ไม่ได้คิดไว้แล้วหรอกเหรอ ช่วงนี้พี่เขาไม่บ่นว่าอยากได้อะไรเป็นพิเศษเลยรึไง”

“โหย! มันไม่บ่นอะ มันบอกตรง ๆ เลยว่าอยากได้โทรศัพท์ใหม่ แพง!”

“ขี้งก” เด็กหนุ่มย่นหน้า ถ้าเป็นเขาขอเชษฐ์ไชยคงได้ตั้งแต่เดี๋ยวนั้นเลย

“เออ เห็นหล่อ ๆ อย่างนี้แต่จนนะเว้ย” ไม่พูดเปล่า รุ่นพี่ล็อกคอวิริยะเข้ามาใกล้ทำท่าจะเขกมะเหงกที่กล้าว่า ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเด็กหนุ่มที่ดิ้นหนี ทั้งสองหยอกล้อกันอยู่เช่นนั้น กระทั่งประตูลิฟต์เปิดออกเผยให้เห็นผู้ที่ยืนอยู่ด้านในสามสี่คน ซึ่งเป็นผู้ชายที่เด็กหนุ่มคุ้นหน้าคุ้นตาดี ดีเสียจนคิดว่าตัวเองอาจตาฝาดไปแล้วก็ได้

“อาเชษฐ์!”

เห็นแล้วกันย์ก็ดึงวิริยะหลบให้เดินออกมา ในขณะที่เด็กหนุ่มเบิกตาตกใจราวกับเห็นผี จ้องชายตัวใหญ่สวมสูทผูกเนคไทเดินออกมาพร้อมกับคู่ค้า อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจที่เห็นวิริยะและผู้ชายคนอื่น ยืนหัวเราะสนุกสนานกันอยู่ตรงนี้ ชายหนุ่มยกยิ้มเล็กน้อยเท่านั้นเป็นการตอบ “อะไรกันวิว ไม่ได้เจอหน้าพักเดียวก็ทักกันผิดซะแล้ว”

วิริยะนิ่งไปเมื่อเห็นสายตาสุขุมใจดีของอีกฝ่าย “อะ อาอัฐษ์เหรอ”

“ก็ใช่น่ะซี ถึงอาจะหล่อ แต่ก็หล่อสู้อาเชษฐ์ของวิวไม่ได้หรอก” อีกฝ่ายตอบสุขุม

ได้ฟังแล้วเด็กหนุ่มยังนิ่ง จ้องตาชายอาวุโสกว่าตรงหน้าด้วยต้องการทราบว่าจริงหรือไม่ ถึงแม้อีกฝ่ายจะดูผิวสะอาดสะอ้านมากขึ้น ปล่อยผมลงมาปิดหน้าผาก และดูผอมลงไปมากจนหุ่นใกล้เคียงกับอัฐษไชยแล้วก็จริง แต่มีความรู้สึกบางอย่างบอกเด็กหนุ่มว่าคนตรงหน้าไม่ใช่อัฐษไชยอย่างที่เห็น

“คุณอัฐษ์จะไปไหนต่อรึเปล่าครับ” เลขาพูดแทรก

ตกลงวิริยะลืมเชษฐ์ไชยไปแล้วจริง ๆ หรือเนี่ย

แม้กระทั่งความรู้สึกตอนอยู่ด้วยกันก็ยังลืมไป สับสนไปหมด

“อ้อ กะว่าจะเลี้ยงข้าวหลานหน่อยน่ะ คุณกลับไปก่อนได้เลย เดี๋ยวผมไปส่งลูกค้าเอง วิวรออาอยู่ตรงนี้ก่อนนะ” อัฐษไชยยิ้มให้วิริยะ วางมือลงบนศีรษะเด็กหนุ่มเหมือนที่เคย เป็นรอยยิ้มสุขุมใจดีอย่างที่มักทำบ่อย ๆ หากทว่าความรู้สึกของวิริยะตอนนี้มันแปรปรวนไปหมดจนพูดไม่ออก ทำได้เพียงพยักหน้ารับผู้อาวุโสกว่าเท่านั้น และมองตามแผ่นหลังกว้างใหญ่ของอีกฝ่ายโดยไม่วางตา

“มีเจ้ามือแล้วโว้ย” กันย์คลี่ยิ้ม เลียปากอย่างได้ใจ

“ไอ้วิว!” เสียงของอัศวินร้องเรียกเด็กหนุ่มแต่ไกล แล้ววิ่งมาหยุดหอบเหนื่อยตรงหน้า มองตามหลังอาของตัวเองแล้วเอ่ยถาม “เมื่อกี้อาอัฐษ์เหรอ กูบอกให้รับกูมาด้วย ทิ้งเฉยเลย!” อัศวินบ่นให้หลัง

วิริยะรู้สึกหน้าชาไปนิดหน่อย “อาอัฐษ์จริง ๆ เหรอ”

“อะไรของมึงเนี่ย ก็อาอัฐษ์ไง”

วิริยะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่ขึ้นมา เขามั่นใจว่าคนที่เดินออกไปเมื่อกี้คือเชษฐ์ไชยไม่ผิดแน่

“อย่ามารวมหัวหลอกกันนะเว้ย!” พูดจบ วิริยะก็หมุนตัววิ่งตามผู้ชายคนนั้นไป หวังจะเค้นให้ยอมรับให้ได้ หากเป็นเชษฐ์ไชยคงหลอกตบตาเด็กหนุ่มได้ไม่นานหรอก

ไปถึงที่โรงจอดรถ เห็นเจ้าของร่างสูงใหญ่กำลังเดินกลับมาทางนี้ด้วยสีหน้าเรียบขรึม ลำขาของเด็กหนุ่มชะงักกึกอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายทั้งหอบหายใจเพราะการวิ่ง แล้วจับจ้อง พยายามที่สุดที่จะแยกแยะให้ออกว่าใครเป็นใคร

คนตรงหน้าเลิกคิ้วฉงนเมื่อเห็นวิริยะอยู่ที่นี่ สุดท้ายก็คลี่ยิ้มให้อย่างใจดี พูดกับวิริยะเสียงโทนอบอุ่นว่า “อาไม่หนีไปไหนหรอกน่า ไปเถอะ เดี๋ยวเพื่อนจะรอ”

“อาเชษฐ์!”

คนตรงหน้าชะงักไปชั่วอึดใจ ท่าทีแลดูแปลกไปเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น

อาจเป็นเพราะแปลกใจที่จู่ ๆ วิริยะก็โพล่งขึ้นมาก็เป็นได้ แต่สุดท้ายอัฐษไชยกลับผุดยิ้มให้ พร้อมทั้งยกมือขึ้นโยกศีรษะเด็กหนุ่มด้วยความนึกเอ็นดูปนสงสาร “โถวิว ตอนนี้เชษฐ์กำลังตั้งใจจัดการเรื่องที่ไร่อยู่ อีกไม่นานหรอกนะ เดี๋ยวจะได้เจอกันแล้ว ทนรออีกนิดเถอะนะ”

มือใหญ่จูงวิริยะให้เดินตามหลังกลับไปด้านใน ในขณะที่หัวใจวิริยะรู้สึกเหมือนกำลังจะสลาย

แม้แต่มือก็ยังเหมือน

เด็กหนุ่มกลืนน้ำลาย เงยมองแผ่นหลังกว้างใหญ่ของคนตรงหน้า ถามตัวเองอยู่หลายครั้งว่าเชษฐ์ไชยมีเหตุผลอะไรที่ต้องโกหกเขา แล้วหายไปจากชีวิตนานถึงหนึ่งปี คำตอบที่ได้คือไม่มีเลย

“อาอัฐษ์ ทำไมทิ้งผมอย่างนี้ล่ะ!” อัศวินโวยวายเมื่อทั้งสองมาถึง ทั้งสีหน้า ทั้งแววตาของเพื่อนรักพูดได้อย่างธรรมชาติ ราวกับมองว่าคนคนนี้คืออัฐษไชยอย่างแท้จริง หรือความรู้สึกที่เป็นอยู่คือวิริยะคิดเองเออเอง เขาลืมภาพของเชษฐ์ไชยไปแล้วจริง ๆ

หรือทั้งสองกำลังโกหกวิริยะ

โกหกทำไม เพื่ออะไร

อัฐษไชยพาทั้งสามไปที่ร้านชาบู คนตัวใหญ่ถอดสูทวางไว้ข้างกายให้ลดความเป็นทางการลง ปล่อยคนอายุน้อยกว่าเป็นผู้สั่งเมนู ดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้ว่าถูกวิริยะลอบมองอยู่บ่อยครั้งเพื่อจับสังเกต อัฐษไชยเพียงหันมายกยิ้มสุขุมให้อย่างเคย แล้วขยับมาสอบถามอยู่ตลอดว่าอาหารอร่อยหรือไม่ คอยคีบมาใส่จานอย่างคนอัธยาศัยใจดีเหมือนเคย เพียงแต่ทุกครั้งที่สบมองกัน ใจวิริยะกลับไหวสั่น ซึ่งไม่ใช่ความรู้สึกที่เคยมีต่ออัฐษไชยเลย

หลังทานอาหาร กันย์ชวนวิริยะออกไปเลือกของขวัญให้แฟน ทั้งหมดยกมือไหว้ขอบคุณอัฐษไชยยกใหญ่ หากทว่าวิริยะยังไม่ได้เดินตามรุ่นพี่ไป เด็กหนุ่มดึงแขนคนตัวใหญ่ให้ยังหยุดอยู่มุมนี้ก่อน พร้อมทั้งสีหน้าของผู้ถูกกระทำที่กำลังฉงนมองอยู่

“วิว ไปเร็ว เดี๋ยวไม่มีเวลาเลือกของ”

เด็กหนุ่มมองไปยังรุ่นพี่หลังถูกเรียก แล้วถอนใจ “พี่ไปกับไอ้อิกก่อนเลย”

“เฮ้ย! ไปกับไอ้นี่น่ะเหรอ”

“เออ ไปกับผมนี่แหละพี่” อัศวินชอบนักที่เห็นคนเกลียดขี้หน้าตัวเองทำทีแขยงขยาดยามอยู่ด้วยกัน ชายหนุ่มกอดคอรุ่นพี่ บังคับพาเดินแยกออกไปก่อน หลังเห็นว่าวิริยะต้องการความเป็นส่วนตัว

อีกนิดเดียว แล้ววิริยะจะยอมล่าถอยไป ขอแค่ให้แน่ใจ

มือเรียวยาวกุมจับมือใหญ่ของคนตรงหน้าอย่างแนบแน่น อย่างที่เคยกุมจับกับเชษฐ์ไชยเมื่อก่อน ในขณะที่เงยจ้องตาจับหาอาความจริงในแววตาของชายตรงหน้า ว่ากำลังโกหกเขาอยู่หรือไม่

ในแววตาของอีกฝ่ายนั้นว่างเปล่า ขณะที่ไม่หลบเลี่ยงไปไหนสักวินาที

เชษฐ์ไชยไม่ใช่คนโกหกเก่งนัก วิริยะรู้ดี

“ผมคิดถึงอาเชษฐ์มาก...”

คนตรงหน้านิ่งไปราวกำลังอึ้ง แต่ก็ไม่นาน ใบหน้าหล่อเหลาคมคายก็คลี่ยิ้มรับในสิ่งที่วิริยะต้องการบอก บีบมือของเด็กหนุ่มเป็นการตอบรับ นัยหนึ่งก็คิดว่าอาจกำลังจะเฉลยบอกว่าแท้จริงแล้วตัวเองเป็นใคร พลอยให้หัวใจที่เหี่ยวเฉาของวิริยะลิงโลดขึ้นมา หากทว่าเมื่อเห็นมือใหญ่ผละมาโยกศีรษะอีกครั้งอย่างอ่อนแผ่ว พร้อมโน้มขยับลงมาจ้องตาอย่างไม่ปกปิดนั้น

วิริยะกลับรู้สึกใจหาย

“ไม่ต้องบอกอาก็รู้หรอก” อัฐษไชยบอกเสียงเบา ท้ายที่สุดแล้ววิริยะก็ไม่ได้ความจริงจากปากของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มรู้สึกสับสน มึนงงไปหมด คิดว่าหากทำเช่นนี้แล้วความจริงจะถูกเปิดเผยได้ แต่ไม่เลย

สีหน้าของคนอายุมากกว่าตรงหน้าเปลี่ยนไป เมื่อเห็นน้ำตาของวิริยะไหล

“ขอโทษที่งี่เง่าครับ อาอัฐษ์ แต่ผมคิดถึงอาเชษฐ์มากจริง ๆ”

น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเครือสั่นแทบไม่มีแรงเพราะหัวใจเต้นตุบตับแทบทะลุออกจากอก พูดจบ วิริยะก็เดินกลับไปอีกฝั่งเสียอย่างนั้น แทนที่จะตามอัศวินและรุ่นพี่ไป ปล่อยให้อัฐษไชยมุ่นคิ้วมองตามด้วยความไม่เข้าใจความรู้สึกนึกคิด

แต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ยกยิ้ม ส่ายหน้าให้อีกทีด้วยความเอ็นดูและไม่ถือสาที่วิริยะทำแบบนี้ ก็เพราะไม่ได้เจอกันเป็นปี ไม่แปลกที่วิริยะจะพะวงถึงอย่างนี้ เขาเข้าใจดีและไม่โกรธเลย...

 

กันย์เลือกของด้วยความเบื่อ ในขณะที่เพื่อนของรุ่นน้องทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องตามหลังอยู่ตลอด พอจะหยิบของน่าสนใจ อัศวินก็ติบอกว่าไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่เหมือนตอนอยู่กับวิริยะเลย น้องของเขามีเหตุผลกว่าตั้งเยอะ คิดแล้วความรู้สึกของชายหนุ่มก็แสดงออกมาถึงสีหน้า ให้อัศวินรู้ว่าตัวเองไม่อยากอยู่ด้วย

แล้วเมื่อไรวิริยะจะตามมากันหนอ นี่ผ่านมาจะสองชั่วโมงแล้ว คุยธุระกันถึงไหน เขาเบื่อจะอยู่กับไอ้โย่งที่คอยแต่พูดจากวนประสาทนี่เต็มทีแล้ว เมื่อคิดได้ กันย์ล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาน้องรหัส ไม่นานวิริยะก็กดรับ น้ำเสียงเครือไหวคล้ายกำลังร้องไห้อยู่ในที

“ฮัลโหล เมื่อไรจะมาซักทีวะวิว รอนานแล้วเนี่ย” คนพี่บ่นอย่างหงุดหงิดพลางเหลือบไปมองอัศวินที่ยืนเลือกของอยู่ข้างหลัง

“พี่เลือกแล้วกลับไปก่อนเลย ผมไม่ว่าง” เสียงปลายสายตอบเบามาก

ได้ยินแล้วกันย์ก็หงุดหงิดกว่าเก่า “ไม่ว่างบ้าอะไร นี่แกอยู่ไหน”

“อยู่บนรถตู้”

“ฮะ!” กันย์ย้อนถามเสียงดังลั่นร้าน เรียกให้อัศวินเดินมาหาด้วยความใคร่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่เว้นแม้แต่คนอื่นที่อยู่รอบข้าง “ไปทำอะไรบนรถตู้ ถูกจับตัวไปเหรอ!”

“เปล่า กำลังไปไร่รุ่งอรุณี”

“ไร่รุ่งอรุณี ที่ไหน! ไปทะ...” ยังไม่ได้พูดจบ อัศวินก็เหลือกตาแย่งโทรศัพท์ไปคุยเสียเอง

“ไปที่ไร่ทำไม ก็อาเชษฐ์บอกแล้วว่าอย่าไป”

วิริยะถอนใจ หน้าบูดหน้างอตอบกลับปลายสาย

“ก็มึงกับอาเชษฐ์รวมหัวกันหลอกกู กูก็จะไปพิสูจน์น่ะสิว่าอาเชษฐ์อยู่ที่ไร่จริงรึเปล่า ห้ามโทรไปบอกอาเชษฐ์ด้วย ไม่งั้นกูโกรธมึงมากกว่าเดิมแน่ แค่นี้นะ” พูดจบ วิริยะก็กดวางสายแล้วมองทอดออกไปยังสองข้างทาง แม้จะยอมล่าถอยจากอีกฝ่ายเมื่อครู่ใหญ่ แต่วิริยะเชื่อความรู้สึกตัวเองว่าคนตรงหน้านั้น คือเชษฐ์ไชยไม่ผิดแน่

อีกฝ่ายโกหกทำไมไม่รู้ รู้เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาเสียความรู้สึกจนอดทนรอให้ได้ยินคำอธิบายจากปากเจ้าตัวไม่ไหว จนต้องตามหาความจริงด้วยตัวเอง แม้ว่าจะเป็นการผิดสัญญาก็ตาม คอยดูเถอะเชษฐ์ไชย เขาจะจับให้ได้คาหนังคาเขาเลย!

--๕๐--

---------------------------------------------------------

บางคนคิดว่านิยายจบแล้ว ที่จริงยังไม่จบเด้อ ยังไม่มีฉากวาบหวิวเซอร์วิสแฟน ๆ เลย ยังจบไม่ได้ อิอิ ว่าจะให้จบซักตอนที่ 22 เพิ่มฉากหวาน ๆ ในตอนท้าย ๆ ด้วย แล้วก็มีตอนพิเศษคู่รองค่ะ พวกชาติ อัฐษ์ ดำ หมอก

อย่าเพิ่งเลิกติดตามน้า ถึงเรื่องจะคลี่คลายลงไปแล้ว แต่ความสนุกยังไม่จบเด้อออออ

ทิ้งคอมเม้นไว้ให้เค้าอ่านหน่อยน้า ตอนหน้ามีเซอร์วิสด้วย

สรุปตอนนี้วิวคุยกะอาอัฐษ์หรืออาเชษฐ์ ให้ทาย อิอิ
หัวข้อ: Re: **{12.5.61-ตอนที่ ๒๐--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-05-2018 20:02:21
เอาใจช่วยนะวิว.  :กอด1:
หัวข้อ: Re: **{12.5.61-ตอนที่ ๒๐--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 12-05-2018 20:10:35
คิดว่าอาเชษฐ์นะ เพราะวิวน่าจะจำไม่ผิด
หัวข้อ: Re: **{12.5.61-ตอนที่ ๒๐--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-05-2018 20:21:00
สู้ๆ
หัวข้อ: Re: **{12.5.61-ตอนที่ ๒๐--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 12-05-2018 20:38:50
หืออออ วิวไม่น่าจะจำผิดนะ
หัวข้อ: Re: **{12.5.61-ตอนที่ ๒๐--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 12-05-2018 21:19:36
 :hao5:
หัวข้อ: Re: **{12.5.61-ตอนที่ ๒๐--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 13-05-2018 01:46:49
ฮือ เครียดแทนวิวเลย เฮ้อ อาเชษฐ์ทำอะไรนะ
หัวข้อ: Re: **{12.5.61-ตอนที่ ๒๐--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 13-05-2018 01:54:53
อา​เชษฐ์ชัวร์​ แต่ต้องมีเหตุผล​ที่ให้ไว้กับพ่อของวิวหรือป่าว
หัวข้อ: Re: **{12.5.61-ตอนที่ ๒๐--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 15-05-2018 22:17:43
ความคิดถึงนี่ช่างโหดร้าย สงสารวิวจัง
แต่เราก็เชื่อว่าอาเชษฐ์กำลังพยายามอยู่เหมือนกัน
หัวข้อ: Re: **{15.5.61-ตอนที่ ๒๐--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 15-05-2018 22:38:44

(ต่อ)


เพราะนั่งรถตู้ประจำทาง ทำให้วิริยะมาถึงจังหวัดในช่วงบ่ายแก่ของวัน เด็กหนุ่มเดินไปยังท่ารถที่เคยเห็นสมัยช่วงออกมาเที่ยวเล่นกับดำ เพื่อต่อสองแถวเข้าไปในไร่ ซึ่งระยะห่างจากตัวเมืองราวยี่สิบกิโลเมตรได้ หากทว่าทั้งลานว่างเปล่าไม่มีสักคันจอดอยู่ มีแต่วินมอเตอร์ไซค์และรถตุ๊กตุ๊กเรียงกันแถวนั้น

ถามลุงป้าคนละแวกใกล้เคียง ได้ความว่ารถสองแถววิ่งแค่ครึ่งวัน ถ้าจะกลับคงต้องนั่งวินและเสียเงินราคาเหมา ซึ่งมันก็แพงกว่าการนั่งสองแถวหลายเท่า

“พี่ ไปไร่รุ่งอรุณีเท่าไรครับ” วิริยะหยุดยืนอยู่ตรงหน้าวินมอเตอร์ไซค์

“สองร้อย”

วิริยะมุ่ยหน้า ก้มลงเปิดกระเป๋าสตางค์ที่เหลือเพียงสองร้อยสุดท้ายแล้วถอนใจ แล้วจะเอาที่ไหนจ่ายตอนกลับล่ะนี่ แต่...หากได้รับความจริงแล้ว เมื่ออยากกลับบ้านก็ค่อยหยิบยืมคนที่ไร่ก็ได้ คงมีใครใจดีช่วยอยู่กระมัง คิดแล้วเด็กหนุ่มก็พยักหน้ารับ “ไปครับพี่”

กว่าจะไปถึงก็สี่โมงครึ่งแล้ว วิริยะจ่ายเงินค่ารถอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่อันคุ้นตา คืนหมวกกันน็อกให้คนขับ ก่อนจะหมุนตัวกลับมาสูดเอาอากาศบริสุทธิ์ที่ห่างหายนับปีเข้าปอด แล้วเดินดุ่มไปข้างในโดยไม่ต้องรอให้ใครต้อนรับ

บริเวณหน้าบ้านแปลกตาเพราะต้นกุหลาบสีขาวหายไปทั้งหมด แทนด้วยไม้ดอกชนิดอื่นที่บัดนี้บานสะพรั่งหลากสีสัน แปลกตาวิริยะดีเหลือเกิน

เด็กหนุ่มหยุดยืนเก็บภาพตรงหน้าในความทรงจำอยู่เพียงครู่เดียว ก่อนจะเดินเข้าไปข้างในอย่างถือวิสาสะ ในขณะที่กวาดมองหาเจ้าของสถานที่ ก็ได้เห็นว่าเชษฐ์ไชยจัดสัดส่วนของห้องโถงใหม่หมดเสียน่าค้นหา ทันสมัยกว่าเก่ามากทีเดียว

ขณะที่เสพสมความแปลกใหม่ต่อหน้า วิริยะได้ยินเสียงคนโวยวายอยู่ที่ห้องครัว แต่แหลมจนแสบแก้วหูเช่นนี้ไม่ใช่แม่ต้อยอย่างแน่นอน คิดแล้วผู้มาเยือนก็เดินมุ่งตรงไปทิศนั้นด้วยความใคร่ทราบ แต่แทนที่จะรู้สึกดีใจ วิริยะมุ่ยหน้าเมื่อเห็นว่านกกระจอกที่ร้องเมื่อครู่คือใคร

รตรี ผ่านมานานขนาดนี้แล้วยังไม่กลับไปอีก

“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าทำเผ็ด ไปทำมาใหม่ให้หมดเลย!”

หล่อนเหวี่ยงชามอาหารตรงหน้าทิ้ง

“แต่ นายเชษฐ์บอกว่ารสชาติประมาณนี้พอดีแล้วนะคะ”

“ฉันพูดอะไรก็ให้ทำอย่างนั้น ฉันเป็นเมีย ยังไงพี่เชษฐ์ก็ต้องตามใจอย่างที่ฉันต้องการอยู่ดี!”

วิริยะส่ายหน้า ถึงขนาดนี้แล้วเจ้าตัวยังโมเมอยู่อีกหรือว่าเป็นอะไรกับเชษฐ์ไชย ในระหว่างที่คิดและลอบมองอยู่บริเวณขอบประตู แม่ต้อยก็ผละมาเห็นเด็กหนุ่มมุมนี้ “น้องวิว! น้องวิวจริง ๆ ด้วย มาได้ยังไง มาหานายเชษฐ์เหรอคะ”

นางคลี่ยิ้มกว้าง ราวเห็นนางฟ้ามาโปรด กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามากุมจับมือของเด็กหนุ่มด้วยความดีใจ

ความสนใจของแม่บ้านใหญ่เทมายังวิริยะตั้งแต่วินาทีนั้น แม้แต่เด็กคนอื่นก็ด้วย จนสร้างความไม่พอใจแก่คนที่ยังนั่งหน้าบูดอยู่บนโต๊ะอาหาร “ใครจะมาจะไปมันสำคัญกว่าปากท้องฉันรึไง ถ้ายังไม่ได้ดังใจ พวกเธอโดนดีแน่”

วิริยะมุ่นคิ้ว มองตาแม่ต้อยเป็นเชิงถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดรตรีจึงได้กลับมาทำตัวยิ่งใหญ่ อวดเบ่งใส่ทุกคน ราวกับว่าได้อภิสิทธิ์เมียนายใหญ่แห่งไร่อรุณีกลับมาแล้วเสียอย่างนั้น เมื่อเห็น คนแก่ไม่กล้าเล่าตอนนี้ รีบส่ายหน้าด้วยความลำบากใจแล้วเดินกลับเข้าไปในครัว เพื่อทำตามความประสงค์ของหล่อน

“ป้าต้อย ไม่ต้องทำหรอกครับ ถ้ากินไม่ได้ก็ไม่ต้องกิน” เด็กหนุ่มกอดอก

สิ่งที่วิริยะพูดได้สร้างความไม่พอใจแก่รตรีนัก

“พูดอะไรของเธอน่ะหา!”

เด็กหนุ่มยักไหล่ “หูตึงรึยังไงครับ ผมบอกว่าถ้ากินไม่ได้ก็ไม่ต้องกิน” อย่าให้เขาต้องมีน้ำโห ตลอดเวลาที่อยู่ใกล้ชิดกับป้าอรและทราย มีหรือวิริยะจะไม่ซึมซับความเป็นแม่ค้าปากตลาดของแม่เลี้ยงมาบ้าง

อีกฝ่ายลุกขึ้นยืน หันมาจ้องตาวิริยะสีหน้าหยันเยาะ “เธอ ไอ้เด็กคนนั่นนี่นา”

วิริยะเลิกคิ้วแปลกใจ ที่อีกฝ่ายจำได้

“คนที่โมเมเรียกผัวฉันว่าอา”

เด็กหนุ่มหน้าเปลี่ยนสี ชักเริ่มขุ่นใจกับสายตาของผู้หญิงร้ายตรงหน้า หากเขาใช้คำเจ็บแสบย้อนกลับไปจะกลายเป็นพวกหน้าตัวเมียอีกรึเปล่าหนอ คิดแล้ววิริยะก็ส่ายหน้าระอา ใครจะสนเล่า “ใครกันแน่ที่โมเม ทำตัวเป็นชะนีร้องหาผัว ๆ อยู่เป็นปี แต่ไม่ยักถูกคนเขายอมรับซักที ไม่รู้เหรอครับ ว่าคนแถวนี้เขาสาปส่งให้ลงนรกกันหมดแล้ว”

คนฟังเบิกตา ชี้นิ้วใส่หน้าวิริยะร้องเสียงดัง “หน็อย ไอ้เด็กเมื่อวานซืน!”

“ผู้หญิงหน้าไม่อาย!”

ได้ฟังแล้วรตรียิ่งหน้าร้อนฉ่า “กรี๊ดดดดด!”

ท่ามกลางสีหน้าสะใจของแม่บ้านเด็กที่ยืนมองอยู่ไม่ไกล รตรีกระทืบเท้าเหยง ๆ ร้องด้วยความโมโห ไม่เคยเห็นใครด่ากลับได้เร็วและแสบสันเท่านี้มาก่อน อันที่จริง ตั้งแต่เกิดมาก็มีเด็กนี่คนแรกเลยนั่นแหละ คิดแล้วความรู้สึกที่ถูกหยามต่อหน้าพวกคนใช้นั้น ทำให้หล่อนต้องหาที่ระบายให้สมกับความอับอายที่ถูกฉีกหน้า รตรีเอื้อมไปหยิบจานถ้วยแกงเผ็ดร้อนมาถือ แล้วตั้งใจจะสาดใส่วิริยะ

เด็กหนุ่มเบิกตาด้วยความตกใจ ก้มหน้าหลบซ่อนให้ปลอดภัย หากทว่าตัวถูกดึงไปจากด้านหลังให้น้ำแกงร้อนราดมาโดนที่หลังมือเล็กน้อยเท่านั้น ในขณะที่ใจเต้นตึกตักคิดว่าตัวเองจะเสียโฉมเข้าแล้ว จากเดิมยิ่งขี้เหร่อยู่ด้วย

นี่กะจะไม่ให้เขาหาแฟนได้เลยหรือไง!

เสียงถ้วยใบนั้นตกลงพื้นแตก พร้อมกับการหวีดร้องตกใจของเหล่าแม่บ้าน วิริยะตัวชา เมื่อหลังพิงอยู่บนหน้าอกของใครสักคนที่เข้ามาช่วยชีวิตไว้ได้ทัน เด็กหนุ่มแหงนขึ้นมองเจ้าของร่างใหญ่ที่กำลังช่วยประคอง พร้อมกับความร้อนที่แล่นเข้าสู่ใบหน้าและดวงตาฉับพลัน คนคนนี้ ชายร่างใหญ่ผู้มักสวมใส่เสื้อลายตาราง ผิวสีเข้ม หนวดเคราครึ้ม กำลังจ้องตารตรีเขม็งสีหน้าบ่งบอกว่ากำลังไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“อาเชษฐ์!”

คนที่เขาต้องการพบ

เมื่อเห็นว่าเป็นใคร เด็กหนุ่มหันกลับไปกอดอีกฝ่ายแนบแน่น ลืมความเจ็บบนหลังมือไปฉับพลัน

คิดถึง คิดถึงมาก!

เชษฐ์ไชยนิ่งไป เมื่อถูกวิริยะทักทายเช่นนี้ จากที่กำลังเคืองโกรธรตรีจนแทบจะพุ่งเข้าไปทำร้าย ชายหนุ่มคลายหมัดของตัวเองลง ลูบบ่าของคนที่กำลังซุกกอดด้วยความแผ่วเบา มีเพียงดวงตาที่กำลังแผ่จิตสังหารมองคนก่อเหตุอย่างเงียบเชียบเท่านั้น

ดีที่เขารีบเข้ามาเพราะได้ยินเสียงกรี๊ด ไม่อย่างนั้นวิริยะคงได้รับบาดเจ็บมากแน่

รตรีหน้าถอดสี ถอยกรูดออกห่างเมื่อเห็นเชษฐ์ไชยขบฟันจนกรามปูด เพียงแต่ยังไม่ระเบิดอารมณ์เพราะมีวิริยะอยู่ในอกก็เท่านั้นเอง “เป็นบ้าอะไร ทำไมถึงปกป้องมันด้วยน่ะพี่เชษฐ์ ปล่อยมันออกมาเดี๋ยวนี้เลย เมียพี่อยู่ตรงนี้”

ชายหนุ่มยังคงไม่โวยวาย พูดเสียงเย็นเยียบว่า

“ไสหัวไปให้พ้น”

รตรีชะงัก “อะไรนะ...”

“ไปให้พ้นสายตาพี่ รตรี ในตอนที่พี่ยังใจเย็นอยู่”

“ไม่!” หล่อนเสียงดัง

“ถ้างั้นก็อย่าหาว่าไม่เตือนนะ” เสียงของเชษฐ์ไชยเย็นยะเยือกเพิ่มอีกเท่าหนึ่งในขณะที่นัยน์ตาคมจ้องราวกับสัตว์ป่าบ้าคลั่ง ทำท่าจะขยับเข้าใกล้ ไม่ทันไรรตรีก็หวีดร้องแล้ววิ่งหนีไปอย่างคนถูกขัดใจ ท่ามกลางสีหน้าสะอกสะใจของคนมองตามทั้งหมด เพราะที่จริงเชษฐ์ไชยยังไม่ได้ทำอะไรเลยแท้ ๆ

วิริยะถูกพาตัวไปนั่งอยู่ที่โซฟากลางบ้านพัก หลังคนตัวใหญ่ผละมาสำรวจว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ เมื่อเห็นว่าบริเวณมือของเด็กหนุ่มเป็นแผล เชษฐ์ไชยหันไปบอกเหล่าแม่บ้านให้หยิบกล่องปฐมพยาบาลและนำน้ำเปล่าสะอาดมาให้ เมื่อได้ คนตัวใหญ่ช่วยจับมือวิริยะลงไปแช่ในกะละมังน้ำด้วยความเบามือ

“แผลไม่ลึกมาก เอาไว้สักประมาณสิบนาที จนกว่าจะหายแสบร้อนนะวิว”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับเล็กน้อย

“ไม่เอายาสีฟันทาเหรอคะนายเชษฐ์” ต้อยถามด้วยความเป็นห่วง

“อย่าเชียวนะ นั่นเป็นการรักษาที่ผิดวิธี เกิดแผลติดเชื้อขึ้นมาจะทำไง”

ได้ฟัง แม่ต้อยก็พยักหน้าเข้าใจหลังได้รับความรู้ใหม่ แล้วก็หันไปสั่งให้แม่บ้านคนอื่นทำความสะอาดครัวเพราะเห็นเจ้านายมาแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงเวลามื้อเย็นของเชษฐ์ไชย ครั้นออกคำสั่งเสร็จนางก็เหลือบมองไปด้านหลัง เห็นสองคนกำลังนั่งไหล่ชนกันแล้วอดที่จะยิ้มไม่ได้ ท่าทีของนายใหญ่ดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อจับต้องวิริยะ หลังจากทำตัวเป็นคนโหดร้ายตั้งแต่คืนนั้น เล่นงานคนทรยศตัวเองไปเสียราบคาบอย่างไม่มีความปราณี

เชษฐ์ไชยหันไปสนใจโทรศัพท์ในกระเป๋าที่กำลังสั่นครืดบอกว่ามีคนโทรหา มือหนาผละจากมือวิริยะ แล้วเช็ดลวก ๆ ที่ขากางเกงตัวเอง กำลังจะลุกออกไป วิริยะก็แหงนมองตาม รีบเอื้อมมืออีกข้างดึงแขนเมื่อเห็นเชษฐ์ไชยจะลุกไปไหน

“อยู่กับผมก่อนนะอาเชษฐ์” เด็กหนุ่มทำตาอ้อน

คนเห็นยกยิ้ม “เดี๋ยวมานะ ไปคุยธุระ”

แม้ไม่อยากให้ไป วิริยะก็จำต้องยอมพยักหน้ารับอีกครั้ง ปล่อยให้เชษฐ์ไชยกดรับสายแล้วเดินออกไปนอกบ้านโดยที่ยังไม่พูดอะไรกันสักคำ แม้แต่คำทักทายเมื่อกลับมาพบกันอีก คิดแล้วเด็กหนุ่มก็ผ่อนลมหายใจ ตัวเองเป็นคนแส่หาเรื่องใส่ตัวแล้วยังมีหน้ามาน้อยใจอาเชษฐ์อีก

วิริยะมองนาฬิกาบอกว่าสิบกว่านาที แต่เชษฐ์ไชยยังไม่กลับเข้ามาในบ้าน เด็กหนุ่มรู้สึกว่าความร้อนที่เต้นตุบบนหลังมือคลายลงไปแล้วจึงยกขึ้นมา ใช้ผ้าขนหนูสะอาดที่แม่บ้านยกมาวางไว้ให้ซับบริเวณรอบแผล แล้วเดินตามคนตัวใหญ่ออกไปที่หน้าบ้าน เห็นเชษฐ์ไชยกำลังคุยอยู่กับใครสักคนที่โต๊ะนั่ง เขาก็คิดว่าอีกฝ่ายยังคุยสายไม่เสร็จเสียอีก

ทีท่าของทั้งสองดูเคร่งเครียดคล้ายกำลังปรึกษาเรื่องใหญ่ ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าของวิริยะก้าวไป คู่สนทนาของเชษฐ์ก็เงยขึ้นมองเด็กหนุ่ม บอกให้วิริยะทราบว่าเป็นใคร ผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือเขาเมื่อปีที่แล้วอย่างไรเล่า เด็กหนุ่มเบิกตาโตหยุดอยู่ตรงหน้าของทั้งสองด้วยความดีใจที่ได้พบอีก

“ชาติ...”

เจ้าของบ้านส่ายหน้า “ชาติเฉย ๆ ได้ยังไง ต้องเรียกอาชาติสิ เขาแก่กว่าพี่ตั้งสองปี”

“พี่เหรอ” ชาติย้อนพลางเบ้ปาก “ห่างกันแค่สองปี แล้วให้เรียกกูว่าอาเนี่ยนะ”

เชษฐ์ไชยคลี่ยิ้ม แล้วแหงนมองวิริยะ “พอใจเรียกแบบไหน หืม”

วิริยะอึกอัก มองทั้งสองแล้วยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก็ไหนบอกว่าตัวเองไม่ค่อยถูกกับชาติกัน ไหงตอนนี้นั่งร่วมโต๊ะพูดคุยหยอกล้อกันราวกับไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใจ “เรียกอา...ทั้งคู่เลย” วิริยะตอบตามความรู้สึกจริง แล้วทรุดลงนั่งร่วมวงเมื่อเชษฐ์ไชยเชื้อเชิญด้วยการตบลงบนเก้าอี้ข้างกัน แม้เด็กหนุ่มจะคิดว่าทั้งสองยังคุยธุระกันยังไม่ทันเสร็จเสียด้วยซ้ำ

ยังไม่ทันได้เริ่มคุยอะไร ทั้งสามได้ยินฝีเท้าระรัวมาแต่ไกล “วิว วิวมาได้จั่งใด๋!”

ดำหยุดหอบหายใจอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่ม พร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าวิริยะ สิ่งที่เป็นไปโดยอัตโนมัติคือร่างกายที่ไปก่อนสมอง มารู้ตัวอีกทีเด็กหนุ่มก็กระโดดกอดคอพี่ชายต่างบ้านคนนี้เข้าแล้ว

คิดถึง

คิดถึงดำ คิดถึงทุกอย่างที่อยู่ที่นี่

ไม่เคยมีตอนไหนที่วิริยะไม่มีความสุข ในไร่รุ่งอรุณีแห่งนี้!

“ไปแต่ละเถื่อบ่เคยบอกอ้ายเลย” ดำมองตาเด็กหนุ่มพ้อ

วิริยะเองก็เสียใจ “ขอโทษพี่ดำ มันฉุกละหุกเกินไป”

“บ่เป็นหยัง อ้ายเข้าใจเบิ่ดทุกอย่างแล้ว นายเซษฐ์อธิบายให้ฟังเบิ่ดแล้ว” ดำลูบหัวเด็กหนุ่มเป็นการปลอบ ในขณะที่วิริยะคลี่ยิ้มรับราวลูกแมวน้อย คิดแล้วอยากไปที่หอและทักทายพี่ ๆ คนอื่นเช่นเดียวกัน แต่ทุกอย่างมันรวดเร็วและต้องรีบไปหมดจนไม่มีเวลาทำอะไรสักอย่าง อีกซ้ำ วิริยะอยากอยู่กับเชษฐ์ไชยตลอดเวลา ก่อนที่พรุ่งนี้จะได้กลับเพื่อรอให้ถึงเวลาต่อไป

เด็กหนุ่มยังคงรอให้เชษฐ์ไชยเสร็จธุระ แล้วจะได้คุยเรื่องระหว่างทั้งสองเสียที

การได้พบกันในครั้งนี้ทำให้วิริยะรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ได้นึกถึงเรื่องราวปีก่อน ความรู้สึกที่อยู่ในไร่รุ่งอรุณียังคงทำให้วิริยะมีความสุขเสมอ ในขณะที่อิ่มอกอิ่มเอมใจกับการนั่งมองคนรอบข้างในความทรงจำเมื่อก่อน ขณะที่พูดคุยกัน ทุกคนก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของรถคันหนึ่งแล่นขึ้นเนินมา พร้อมกับฝุ่นสีแดงลอยขโมงโฉงเฉง จนสปอร์ตคันสีดำกลายเป็นสีแดงอยู่รอมร่อ

ถ้าเข้าใจไม่ผิด วิริยะพอรู้ว่ารถคันนี้เป็นของใคร

เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนไปหลบหลังเชษฐ์ไชย นึกโกรธไอ้เพื่อนตัวดีที่เข้าข้างอาตัวเองอีกแล้ว

“อัฐษ์ แกมาได้ยังไง” เชษฐ์ไชยลุกขึ้นยืน เหลือบมองไอ้ตัวดีที่ยืนหน้ายุ่งอยู่ข้างหลังแล้วก็พอจะรู้ นี่คงตามกันมาน่ะซีนะ

แต่ยังไม่ทันได้เคลียร์ดี ตัวก่อความวุ่นวายก็วิ่งลงมาข้างล่างอีกคน พร้อมเหวี่ยงข้าวของกระจัดกระจาย ทำลายแจกันของแพงที่คุณไกรเลิศเก็บสะสมไว้เสียจนแตกยับ แล้วชี้หน้าด่าเชษฐ์ไชยเสียงดัง “พี่นี่มันบ้าชัด ๆ เป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอว่าให้รตรีกลับมาอยู่ด้วย แล้วจะทำแบบนี้เหรอ!”

วิริยะมุ่นคิ้ว “อาเชษฐ์พูดแบบนั้นเหรอ”

“เปล่า พี่พูดว่าอยากทำอะไรก็เชิญ” ชายหนุ่มยักไหล่

“ก็นั่นแหละ มันก็หมายความแบบนั้นไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ใช่ เมื่อไรจะเข้าใจสักทีว่าอาเชษฐ์ไม่เอาแล้ว” วิริยะส่ายหน้า

“ว่าไงนะ!”

“อาเชษฐ์มีคนใหม่แล้ว เลิกหวังเสียเถอะว่าจะได้ผัวคืน” เด็กหนุ่มรีบบอกเพราะอยากตัดความรำคาญใจของตัวเองออกให้เร็วที่สุด หากไล่รตรีออกไปได้ วิริยะจะรู้สึกวางใจมากขึ้นกว่านี้เยอะเลย ในขณะที่คนตัวใหญ่ด้านหลังเบิกตา รู้ว่าวิริยะกำลังจะพูดอะไรต่อ “คุณคงไม่อยากถูกหยามไปมากกว่านี้หรอกนะ ถ้าได้รู้ว่าอาเชษฐ์น่ะ...”

“แยกย้ายกันดีกว่า” นายใหญ่ของไร่รีบแทรก แล้วกุมปากของวิริยะให้เงียบด้วยฝ่ามือใหญ่ ท่ามกลางสีหน้าฉงนของคนรอบข้างทั้งหมด ชายหนุ่มเหลือบมองขอความช่วยเหลือของใครก็ได้ ให้ต้อนรตรีออกไปที ก่อนจะมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้น ซึ่งไม่มีใครทำตามความประสงค์เพราะมัวแต่อยากรู้ว่าเด็กหนุ่มกำลังจะพูดอะไร

“อ๊า ปล่อยนะ ผมจะพูดความจริง!” วิริยะดิ้นขืน “อาเชษฐ์เป็นตุ๊ด ชอบข้างหลังมากกว่า เคยได้ยินไหมว่าได้หลังแล้วลืมหน้าอะ!” เด็กหนุ่มร้องเสียงดัง ปัดมือของคนปรามออกราวลูกแมวกำลังเล่นของเล่น

ท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคน ยกเว้นรตรีที่หน้าแดงก่ำเพราะคิดว่าถูกล้อ

“ไม่ตลกนะ!”

“ใช่ ไม่เห็นตลกเลย” อัฐษไชยมุ่นคิ้วเห็นด้วย

“ไม่ตลกก็เรื่องของอาอัฐษ์สิครับ ขนาดอาเชษฐ์เองยังไม่เห็นโวยวายเลย” วิริยะหันมาพูดแล้วคลี่ยิ้ม ขณะที่คนถูกพาดพิงพูดไม่ออกไปพักหนึ่งเพราะไม่รู้จะแก้ตัวยังไง กลับเป็นอัฐษไชยที่ร้อนรนใจอยู่ไม่ติดเสียเอง

เห็นแล้ววิริยะก็ยังไม่ยอมจบ กอดแขนเชษฐ์ไชยแล้วพูดกับรตรีต่ออีกว่า “จะบอกให้เอาบุญนะครับคุณป้า อาเชษฐ์เขาไม่กลับไปเอาคุณให้เสียเวลาหรอก อย่าคิดว่าที่เขาปล่อยผมยาวน่ะเป็นเพราะหลงคุณจนไม่ดูแลตัวเองนะ ที่จริงเขาชอบเป็นคุณแม่ที่ไว้ผมยาวมากกว่า จะได้เอามาถักเปียได้ เวลาแต่งหญิงต่างหาก”

พูดจบชาติก็หัวเราะก๊าก สร้างความไม่พอใจให้รตรีมาก “ไม่จริง ผัวฉันไม่ได้เป็น”

“แล้วผมจะบอกให้ ถึงเขาจะเป็นผัวคุณ แต่เขาเป็นเมียคนอื่น”

อัฐษไชยสำลักน้ำลายตัวเองเมื่อได้ฟัง หันมองวิริยะที่แหงนขึ้นไปยิ้มหวานสบตากับเชษฐ์ไชยผู้ที่หน้าเหวออยู่ ซึ่งตอนนี้กำลังพูดไม่ออกบอกไม่ถูกกับมุกแถของวิริยะ ทำได้เพียงแค่จ้องเด็กตรงหน้าเท่านั้นโดยที่ไม่แก้ตัวอะไรเลย

กลับเป็นผู้น้องที่ทำใจรับฟังต่อไปไม่ไหว รีบพูดขัด ก่อนที่จะมันจะน่าอายไปมากกว่านี้ “เมียเมอที่ไหนเล่า! หยุดเล่นได้แล้ว มันไม่จริงสักหน่อยนะวิว”

วิริยะหันมายกนิ้วชี้ปราม ทำหน้าเจ้าชู้ “ จุ๊ ๆ ๆ ๆ อาอัฐษ์จะไปรู้อะไร อยู่แต่ในเมืองทำงานงก ๆ ไม่รู้หรอกว่าจริงแล้วพี่ชายน่ะ ที่แท้เป็นพี่สาวต่างหาก เนอะ ที่รัก ต่อไปนี้ไม่ต้องปิดใครแล้วนะ สบายใจขึ้นไหม...”

ชายตัวใหญ่สวมสูทเริ่มจะหงุดหงิดงุ่นง่าน ยามเห็นวิริยะแสร้งทำเป็นเชยคางเชษฐ์ไชยส่ายไปมาราวกับกำลังเอ็นดูเด็กน้อยคนหนึ่ง ท่ามกลางสายตาไอ้ชาติที่กำลังยืนมอง แล้วหัวเราะจนท้องขดท้องแข็งไปหมด พูดแทรกทุกคนกับตนขึ้นมาทั้งที่ยังหัวเราะว่า “ฉันหวังว่าแกจะรับพี่ชายของแกได้นะ ที่จะไปเป็นเมียของใครเขา”

อัฐษไชยกอดอกทำหน้าไม่พอใจ เหนื่อยที่จะพูด

“ฉันไม่เชื่อ! ดูก็รู้ว่าพูดเล่น” รตรีเถียงพลางส่ายหน้า “สภาพอย่างแกน่ะเหรอจะไปเป็นผัวใครได้ ไอ้เด็กบ้า!”

วิริยะกระตุกยิ้มเมื่อได้ฟัง

“ขนาดตัวมันไม่เป็นอุปสรรคในที่ราบหรอก เดี๋ยวพิสูจน์ให้ดู มานี่ที่รัก...”

พูดจบ วิริยะก็ดึงคนหน้าหนวดตรงหน้าเข้ามาจูบแต่เดี๋ยวนั้น สร้างความตกใจแก่คนทั้งวงสนทนา แม้แต่แม่ต้อยที่ถือน้ำมาจากในครัว ตั้งใจจะบริการอัฐษไชยก็สะดุดกึกราวกับเจอผี ที่วิริยะทำนั้นไม่ใช่แค่จูบธรรมดา เป็นจูบที่ดูดดื่มราวจะสูบวิญญาณของคนตัวใหญ่กว่าไป มือแสบ ๆ ซน ๆ ก็เอื้อมขยี้ขยำก้นคนตัวใหญ่ทำราวกับตัวเป็นผัวที่เก่งเรื่องบนเตียงนัก ให้คนมองทำได้เพียงแค่อ้าปากค้างเท่านั้น

แต่ก็ทำได้ไม่นาน ตัววิริยะถูกกระตุกดึงออกห่างตามอารมณ์คนกระทำ ในขณะที่คนที่ถูกฉวยจูบยังคงหน้าเหวอทำอะไรไม่ถูก ตาฉ่ำหวานไปกับรสจูบของวิริยะราวกับติดลมบน เห็นแล้วน้องชายทุเรศลูกตา!

“ทำบ้าอะไรน่ะวิว!” อัฐษไชยเสียงดัง สีหน้าบอกว่ากำลังเคร่งเครียดแต่ก็พยายามเก็บอารมณ์

“ก็จูบอาเชษฐ์ไง”

“จูบทำไม ห้ามจูบ แกก็เหมือนกัน ยอมให้วิวจูบง่าย ๆ ได้ไง แกเป็นลูกมีพ่อมีแม่นะเว้ย” คนเคืองหันไปต่อว่าผู้ที่ยังยืนงง ทั้งที่ไอ้ประโยคเมื่อครู่ควรเป็นฝ่ายวิริยะพูดเสียมากกว่า เด็กหนุ่มส่ายหน้า ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย คิดแล้วหลบมือใหญ่ของชายสวมสูทตรงหน้า ที่เอื้อมจะมาแตะที่ริมฝีปากเพื่อตรวจเช็กว่าบวมช้ำหรือไม่กับจูบเมื่อครู่

เมื่อเห็นเด็กหนุ่มไม่ยอม คนดุก็จิ๊ปากอย่างโมโห “อยู่เฉย ๆ นะวิว อย่าให้ฉันต้องโกรธ!”

“ผมจูบแฟนผมผิดตรงไหนเล่า”

“ก็ตรงที่...” ชายหนุ่มทำเสียงเหลืออด อยากจะโพล่งบอกเสียเต็มประดา แต่ทำได้เพียงแค่ยืนทึ้งหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิดเท่านั้น นึกโกรธไอ้หนวดตรงหน้าที่ยอมให้วิริยะทำตามใจชอบเสียจริง “ไม่กงเก็บเป็นความลับละโว้ย โมโห!”

วิริยะเบิกตา เมื่อเห็นคนสวมชุดสูทตัวเดียวกันกับเมื่อตอนกลางวันนั้น ถอดออกตามอารมณ์แล้วเหวี่ยงลงบนพื้น หันใบหน้าโกรธมาหาเด็กหนุ่มราวกำลังคาดโทษที่ทำอะไรไม่รู้จักคิด เด็กหนุ่มสะดุ้ง ยามนิ้วชี้เรียวจ่อหน้าตักเตือน แล้วพูดเสียงเยียบเย็นจนวิริยะรู้สึกได้ว่ากำลังถูกโกรธจริง ๆ

“ถ้ามั่นใจว่าฉันคือเชษฐ์ไชยขนาดนั้น แล้วไปจูบผู้ชายคนอื่นทำไม”

เด็กหนุ่มอึกอัก แล้วส่ายหน้า “ก็อาเชษฐ์ไม่ยอมรับกับผมตรง ๆ...”

“มันไม่ใช่เหตุผล! ไอ้ดำ มึงโทรสั่งเตียงมาใหม่ซะคืนนี้ กูจะสั่งสอนน้องมึงให้จำได้ว่าใครตัวจริง ใครตัวปลอม” เชษฐ์ไชยพูดจบ ก็กระตุกแขนวิริยะให้เดินตาม เด็กหนุ่มรั้งแขนกลับเพราะคิดว่าอีกฝ่ายไม่ถูกต้อง เจ้าตัวต่างหากที่สมควรโดนเขาโกรธมากกว่าที่ไม่ยอมรับตั้งแต่แรก จนวิริยะต้องถ่อสังขารมาถึงที่นี่

ซึ่งเมื่อเห็นเด็กหนุ่มรั้น คนตัวใหญ่ตรงหน้าก็ยิ่งเพิ่มระดับความฉุนเฉียว

“อย่าให้พี่ต้องบังคับนะ”

วิริยะไม่ยอม “ก็ผมไม่ผิด อาเชษฐ์นั่นแหละที่โกหก ที่ไม่รักษาสัญญา ผมละอยากเริ่มต้นใหม่แต่ก็ทำไม่ได้เพราะมัวแต่รอเรื่องของอาเชษฐ์ เจอกันก็ดีจะเคลียร์กันให้จบ!”

“คิดดีแล้วเหรอที่พูด ในเมื่อยังไม่รู้เหตุผลเลยว่าคนเขาทำไปทำไมก็โกรธแล้ว เมื่อไรจะโตสักที” เชษฐ์ไชยย้อน ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดพวกนี้

“คิดดีแล้ว คิดว่าปีหนึ่งมันผ่านไปไวนักรึไง ผมคิดอยู่ทุกคืนนั่นแหละ แล้วทีตัวเองเล่นสลับตัวกันเป็นเด็ก นี่เรียกโตแล้วเหรอ!”

เชษฐ์ไชยกัดฟันจนกรอด เมื่อได้ฟังแล้วดีกรีความโกรธทะลุปรอทจนคนแถวนี้เริ่มหวั่น ชายหนุ่มพุ่งเข้ายกตัววิริยะขึ้นพาดบ่า ไม่สนว่าเด็กหนุ่มจะเต็มใจรึไม่ เพราะวิริยะเองก็เลือกที่จะโกรธ โดยไม่ถามด้วยซ้ำว่าที่เขาทำเพราะอะไร

“ถ้าเตียงไม่หักคืนนี้ อย่าเรียกกูว่านายเชษฐ์!”

“อาอัฐษ์! อาอัฐษ์” เด็กหนุ่มร้องลั่นบ้าน

“อย่าเรียกชื่อมันให้ได้ยินอีกครั้งเชียว!” พูดจบ เชษฐ์ไชยก็พาวิริยะเดินตึงตังเข้าไปในบ้าน ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่ยังคงนิ่งอึ้ง ไม่เว้นแม้แต่รตรีด้วย

ท้ายที่สุดผู้ถูกขานเรียกชื่ออย่างดำได้สติก่อนใคร เดินไปหาคนหน้าหนวดที่เข้าใจว่าเป็นเจ้านายมาตลอดหลายเดือนอย่างตกตะลึง ไม่คิดว่าอัฐษไชยจะลงทุนถึงขนาดไว้หนวดเครา ปล่อยตัวเองให้ตากแดดจนผิวดำคร้าม มิน่าเล่าช่วงแรก ๆ เขาก็คิดว่าเชษฐ์ไชยใจดีเป็นพิเศษ ไหนจะชอบไปไหนมาไหนกับไอ้ชาติอีก คนที่ร้อยวันพันปีเชษฐ์ไชยไม่เคยอยากญาติดีด้วย

แหงนมองขึ้นไป เห็นห้องพักของเชษฐ์ไชยปิดไฟพรึ่บ มือของพี่ชายอย่างดำก็อ่อนเปลี้ยขึ้นมาเสียเฉย ๆ เมื่อรู้ว่าไม่ช้าจะเกิดอะไรขึ้นกับน้อง หากเจ้านายบ้าอำนาจจะเจาะไข่แดงวิริยะน่ะดำไม่ว่า เหตุใดต้องป่าวประกาศขนาดนี้ด้วยเล่า คนเขาอายแทนกันหมดแล้ว!

“ไปแอบฟังกันเถอะ อยากรู้ว่าไอ้เชษฐ์มันเป็นเมียจริงรึเปล่า”

ชาติโพล่งขึ้น หลังจากเห็นไฟชั้นสองดับไปพร้อมกับทุกคน สีหน้าลุ้นระทึก ราวกับมองพลุบนท้องฟ้ากันในวันขึ้นปีใหม่ พูดจบก็เหลือบมองรตรีแล้วยิ้มเย้ย

เมื่อรู้ว่าถูกแขวะ หล่อนหลับตาชังใส่แล้ววิ่งกุมหน้าตาหนีออกจากบ้านไปด้วยความอับอายแทนอดีตสามี ในขณะที่ทุกคนกำลังมองหน้ากันเพราะไม่รู้จะใช้คำไหนต่อบทสนทนา นอกจากยืนมองหน้าต่างนั้นกันอย่างเงียบเชียบ...

--๑๐๐--

-------------------------------------------------------

อึ้ง ทึ่ง เสียว กันทั้งบ้าน 555555 อาเชษฐ์เนียนตั้งนาน มาหลุดก็ตอนหวงเมีย

ชอบความจะเอาให้เตียงพัง มีความโหดฉบับนายเชษฐ์ 55555

หัวข้อ: Re: **{12.5.61-ตอนที่ ๒๐--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 15-05-2018 22:53:02
เตียงพังเลยเหรอออออ
หัวข้อ: Re: **{15.5.61-ตอนที่ ๒๐--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 15-05-2018 23:09:15
เหตุผลไรน๊ออออออ
หัวข้อ: Re: **{15.5.61-ตอนที่ ๒๐--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 15-05-2018 23:14:52
อย่างนี้วิวจะเดินได้เป็นปกติไหมนะ
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: **{15.5.61-ตอนที่ ๒๐--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 16-05-2018 00:07:36
555555 น้องวิวลูกกกก กระตุกหนวดเสือไปอีกแล้วสินะ
หัวข้อ: Re: **{15.5.61-ตอนที่ ๒๐--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-05-2018 00:29:24
 :hao7:
หัวข้อ: Re: **{15.5.61-ตอนที่ ๒๐--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-05-2018 00:36:15
เอ่อ..... มีใครสนใจอาอัษบ้างไหม เคลิ้มกับจุ๊บของวิวไปแล้วมัง  o22
หัวข้อ: Re: **{15.5.61-ตอนที่ ๒๐--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 16-05-2018 03:17:22
มีเหตุผลอะไรที่ทำแบบนี้เนี่ย ไงล่ะ วิวเลยไปจูบอาอัฐษ์เลยเนี่ย
หัวข้อ: Re: **{15.5.61-ตอนที่ ๒๐--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 16-05-2018 16:50:08
แน่ใจเหรออาว่าจะชนะน้องวิว เชษฐ์ไชยก็เชษฐ์ไชยเถอะ 555
หัวข้อ: Re: **{15.5.61-ตอนที่ ๒๐--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 16-05-2018 18:59:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **{15.5.61-ตอนที่ ๒๐--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 18-05-2018 00:43:47
น้องวิวอยากจะพูดว่าไม่เนียนไปเรียนมาใหม่ :katai2-1: แต่พูดไม่ทันโดนขึงซะก่อน55555 อยากรู้เหตุผลที่ลุงทุนเปลี่ยนตัวกัน พี่ชาติกับพี่อัษฐ์มีซัมติงกันใช่ป่ะ รอตอนพิเศษคู่นี้กับของอ้ายดำนะคะ เพิ่งอ่านสนุกมาก :pig4:
หัวข้อ: Re: **{18.5.61-ตอนที่ ๒๑--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 18-05-2018 21:14:26

ตอนที่ ๒๑

วิริยะถูกเชษฐ์ไชยพาตัวขึ้นมายังห้องพักท่ามกลางสายตาของเหล่าแม่บ้าน เด็กหนุ่มดิ้นสุดชีวิตเพราะยังเห็นว่าครั้งนี้ตัวเองไม่ผิด เชษฐ์ไชยต่างหากที่ไม่มีเหตุผล แล้วยังมาตีหน้ายักษ์โวยวายว่าตัวเสียหาย คิดแล้วเด็กหนุ่มก็งับแผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยความหมั่นไส้

ในขณะที่คนตัวใหญ่เดินมุ่งเข้าไปเปิดประตู เพราะเจ็บที่ถูกทำร้าย เชษฐ์ไชยทิ้งวิริยะลงบนเตียง เริ่มมีน้ำโห ไม่ทันที่คนตัวเล็กกว่าจะลุกขึ้นนั่งก็ถูกร่างหนักคร่อมทับซ้ำ ซึ่งพละกำลังของคนด้านบนมหาศาลเหลือเกิน แค่มือข้างเดียวก็เอาชนะวิริยะได้แล้ว แล้วอย่างนี้จะเอาอะไรไปสู้กัน

เด็กหนุ่มหอบหายใจเพราะการขืนแรง มาได้สติอีกที ก็ตอนถูกรวบข้อมือทั้งสองไว้บนเหนือหัวเป็นที่เรียบร้อย น้ำหนักแรงกดจนยุบยวบลงไปกับเตียง จากที่ดื้อดึงก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ ว่าหากเชษฐ์ไชยเอาจริงขึ้นมาเด็กหนุ่มก็แพ้ราบคาบ

“อาเช...” พูดไม่ทันจบดี ริมฝีปากเด็กหนุ่มถูกบดจูบตามอารมณ์คนนำเป็นการสั่งสอน

นอกจากฟอนเฟ้นดูดดุน เชษฐ์ไชยยังงับริมฝีปากของเด็กหนุ่มมาที จนวิริยะต้องส่งเสียงปราม ความรุนแรงของมันไม่มากมายพอให้เจ็บปวดเท่าไรนัก แต่วิริยะคิดว่าไม่ควรทำให้เชษฐ์ไชยโมโหไปมากกว่านี้แล้ว ทั้งสองต้องคุยกันเพื่อปรับความเข้าใจ และต้องคุยแบบไม่ใช้อารมณ์ด้วย ซึ่งเด็กหนุ่มก็มีวิธี

จากรั้นขัดขืนพลันเปลี่ยนมายินยอมแต่โดยง่าย คิดว่าฝ่ายเชษฐ์ไชยคงมีเหตุผลและใจเย็นลง เมื่อเด็กหนุ่มไม่ดื้ออีกต่อไป ซึ่งก็จริง ครั้นคนตัวใหญ่ด้านบนชิมจูบของเขาจนพอใจแล้ว ก็มอบอิสระให้คืน เป็นเวลาเดียวกันที่เด็กหนุ่มสูดลมเข้าปอดราวกำลังขาดอากาศหายใจ ตอนนี้ ใบหน้าวิริยะคงแดงเพราะเลือดกำลังวิ่งพล่านอยู่เป็นแน่

ลมหายใจของเชษฐ์ไชยอยู่ในระยะรดบนแก้ม ควันหลงความขุ่นมัวยังคงมีอยู่ไม่หายไปแต่โดยง่าย เด็กหนุ่มสูดลมอีกที เมื่อคนโกรธขยับมาฝังริมฝีปากจูบซ้ำ แต่คราวนี้ดีหน่อยที่ไม่รุนแรงเท่าเมื่อครู่ ทว่ายังคงดูดดื่ม ไม่ทิ้งลายเสือดุที่กำลังบ้าดีเดือดไปมากนัก

“พี่จะจูบให้ปากเธอเปื่อยติดมาด้วยเลย คอยดู” น้ำเสียงของเชษฐ์ไชยยังคงโกรธ

ได้ยินแล้วเด็กหนุ่มก็พริ้มตารับ คิดว่าคนตรงหน้าช่างเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง

แล้ววิระยะทำอะไรได้ นอกจากนอนให้คนงอนจูบจนกว่าจะพอใจ หรือไม่ก็จนกว่าปากจะเปื่อยยุ่ยติดไปกับเจ้าตัวอย่างที่พูดไว้ คิดแล้ว ก็ขยับมือขึ้นไปแตะบนอกของอีกฝ่าย เมื่อเจ้าตัวเปลี่ยนใจผละกำมือแข็งแรงออก ไม่บังคับเด็กหนุ่มแล้ว แล้วเปลี่ยนมาเคลื่อนลูบไล่ตามลำตัวแทน

“ฮื่อ...”

เด็กหนุ่มอดครวญไม่ได้ คิ้วมุ่นจนหน้าผากยับ ยามถูกจับต้องส่วนที่ไม่อยากให้เชษฐ์ไชยแตะ

วิริยะคิดว่าเชษฐ์ไชยควรพอได้แล้ว ปากเขาจะเปื่อยยุ่ยติดออกไปจริง ๆ

เด็กหนุ่มดิ้นหลบมือของอีกฝ่ายที่เคลื่อนขยับซุกซน แล้วดันใบหน้าคมคายให้ผละออกไปเสียที ตอนนี้เลือดแล่นพล่านบนริมฝีปากของเขาราวมีมดเป็นพันตัวไต่ไปมา วิริยะทำได้เพียงเม้มติดกัน ให้มันคลายลง ซึ่งแทนที่ไอ้คนตัวใหญ่จะใจเย็นลงกลับเป็นหนักกว่าเดิม จนเด็กหนุ่มต้องหาทางหนีที่ไล่ เคลื่อนขยับมือไปที่กางเกงของอีกฝ่ายแล้วบีบไข่ไปที

“อั่ก! ทำอะไรวะวิว!” เชษฐ์ไชยร้องเสียงดังไม่ได้ เพราะความจุก มือหนากุมที่กางเกงของตัวเองทิ้งตัวลงนอนหงายอยู่บนเตียง เป็นเวลาที่วิริยะจะเอาตัวรอด เด็กหนุ่มเหลือกตาวิ่งสี่คูณร้อยไปยังประตู ซึ่งเมื่อคนพี่เห็นก็ลืมความเจ็บจุกไปฉับพลัน ใช้สิทธิ์ความขายาวกว่าเอาชนะเขา “อย่าหนีนะโว้ย!”

ใครบอกว่าจะหนีกันล่ะ วิริยะคิดอยู่ในใจแล้ววิ่งไปล็อกประตูให้แน่นหนา เพื่อไม่ให้เจ้าตัวนั่นแหละหนีออกไปได้ จากนั้นก็ปิดไฟห้องให้คู่ต่อสู้ตาพร่า แล้ววนกลับมาหาเชษฐ์ไชยเพื่อจัดการให้อยู่หมัด ด้วยการกระโดดล็อกคอ

เพราะน้ำหนักตัวจึงสามารถรั้งตัวใหญ่ยักษ์หงายท้องลงบนเตียงได้ ซึ่งก็เป็นไปตามแผนที่คาดไว้ จะต่อกรกับวิริยะมันเร็วไป เชษฐ์ไชยคงไม่รู้อะไรเสียแล้ว ตั้งแต่ถูกลักพาตัวไปเจอเรื่องร้ายวันนั้น พ่อของเด็กหนุ่มก็ส่งเขาเข้าเรียนวิชาป้องกันตัวมาโดยตลอด!

เมื่อนั่งทับบนตัวของเชษฐ์ไชยได้ก็ถึงเวลาสั่งสอน เด็กหนุ่มก้มลงกัดหูอีกฝ่ายจนจมเขี้ยว

“โอ๊ยยยยยย เจ็บ ๆ ๆ ๆ วิว!” เชษฐ์ไชยดิ้นพล่านอยู่ใต้ร่างราวหมูกำลังถูกเชือด กอดตัววิริยะไว้แน่นและรู้แล้วว่าฝ่ายตัวเองแพ้เด็กคนนี้ราบคาบ สิ้นท่าเสือดุที่เก่งแต่ขู่คำราม “ยอมแล้ววิว พี่ยอมแล้ว ปล่อย!”

“จะใช้กำลังกับผมอีกไหม!” วิริยะผละมาถาม

“ยังไม่ได้ใช้เลย มีแต่ตัวเองนั่นแหละ โอ๊ย!” เมื่ออยู่ใต้อาณัติเขาแล้วอย่าแม้แต่จะคิดเถียง เด็กหนุ่มก้มลงงับซ้ำที่รอยเดิมเป็นการสั่งสอนอีกที ส่วนเชษฐ์ไชยก็ร้องขอชีวิตก่อนที่จะมีหูข้างเดียวไว้ใช้ ขอยอมแพ้ให้แก่คนบนตัวแต่โดยดี ได้ยินแล้ววิริยะก็ผละออกมาจ้องตา สอบถามว่าตอนนี้พร้อมที่จะคุยกันหรือยัง เห็นเชษฐ์ไชยทำหน้ายุ่งไม่พอใจในเงาสลัว ยกมือขึ้นเช็ดน้ำลายเยิ้มอยู่บนเสื้อตัวเองพักหนึ่งแล้วจึงถอนใจ ดูเหมือนจะใจเย็นลงบ้างแล้ว

ลองไม่ใจเย็นซี เจอหนักกว่านี้แน่

ทั้งสองปล่อยให้ความเงียบเข้ามาทดแทนครู่หนึ่ง ราวกับว่ารอให้ต่างฝ่ายต่างมีสติมากขึ้นก่อนเริ่มคุยกัน ระหว่างนั้นเด็กหนุ่มลูบจับบริเวณที่คนด้านใต้ถูกกัด เพื่อแสดงให้เห็นว่ากำลังปลอบ ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้าย แค่ห้ามปรามคนใจร้อนฉบับมนุษย์เมียก็เท่านั้นเอง

แต่ดูเหมือนเชษฐ์ไชยจะไม่รู้สึกเช่นนั้น เจ้าตัวทำหน้ายุ่งแล้วผละไปมองที่อื่นราวกับกำลังงอน หรือกำลังคิดว่าถูกตบหัวแล้วลูบหลังหว่า

วิริยะส่ายหน้าพลางยกยิ้ม เอื้อมหยิบหมอนบนหัวเตียงให้คนงอนหนุนนอนสบายขึ้น ซึ่งคนถูกกระทำก็ยกศีรษะขึ้น ให้สอดแทรกวางหมอนตามที่วิริยะต้องการ ในขณะที่ร่างเด็กหนุ่มยังคงนั่งอยู่บนตัวใหญ่ของอีกฝ่าย น้ำหนักเท่านี้คงไม่อาจทำให้เชษฐ์ไชยปวดเมื่อยตัวได้ง่ายกระมัง

ใบหน้าคมคายของเชษฐ์ไชยในเงาสลัวแลดูน่ามองไปอีกแบบ เรียกให้วิริยะขยับโน้มลงเข้าไปใกล้ ค้ำศอกไว้กับเตียงเพื่อร่นระยะห่างของทั้งคู่ลงเหลือเพียงแค่ลมหายใจคั่น คนตรงหน้าจับจ้องวิริยะ แล้วพริ้มตารับจูบจากเด็กหนุ่มโดยไม่คิดที่จะปฏิเสธ ยอมอย่างนี้แล้วคงหายเคืองใจเด็กหนุ่มแล้วกระมัง

คิดว่าทำแบบนี้แล้ว คนเขาไม่รู้หรือว่ากำลังทำดีกลบความผิด

เชษฐ์ไชยคิด สนองรับริมฝีปากนุ่มนิ่มด้านบนอย่างนึกติดใจกับรสชาติของมัน มือก็เคลื่อนกอด ลูบไล่ไปตามลำตัวของคนด้านบนด้วยความรักใคร่ นานเท่าไรแล้วชายหนุ่มไม่ได้สัมผัสความรู้สึกนี้ ทั้งที่โหยหา คิดถึงแทบบ้า แต่กลับมาเจอคนของตัวเองกำลังจูบกับคนอื่นทั้งที่ควรมอบมันให้เขา เชษฐ์ไชยก็โกรธจนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ แทบจะกลายร่างเป็นปีศาจอยู่แล้ว

คนด้านบนยังคงเอาใจเขา พรมจูบไปทั่วใบหน้าหลังจากผละออกจากกัน

เจ้าแผนการนัก

แล้วยังไง แล้วเขาก็ใจอ่อนน่ะซี!

“ผมขอโทษที่เอาแต่ใจ”

แววตาคนกล่าวบอกว่ารู้สึกอย่างที่พูด

ได้ฟังแล้วเชษฐ์ไชยก็ถอนใจ อันที่จริง ครั้นใจเย็นลงแล้วชายหนุ่มก็คิดอะไรได้หลายอย่างเมื่อมีสติ มือใหญ่เคลื่อนกอดเอวคนที่นั่งอยู่บนตัว จ้องนัยน์ตากลมในความสลัว บอกอีกฝ่ายไปว่า “เข้าใจอยู่ว่าที่โกรธเพราะพี่ไม่ยอมรับเรื่องเปลี่ยนตัวกันตั้งแต่แรก แต่ไอ้วิธีปั่นประสาทให้หึงนี่ไม่โอเคเลย”

เด็กหนุ่มทำหน้ารู้สึกผิด ก้มลงเข้าไปใกล้กว่าเก่า “จะไม่ทำอีกแล้ว”

“แหงแหละ! ลองทำดูอีกสิ” พูดแล้วก็อารมณ์ขึ้น

“แล้วตัวเองน่ะ ยังไม่อธิบายอีกว่าทำไปทำไม” หน้าวิริยะจ๋อย

เชษฐ์ไชยเงียบไปพักหนึ่ง ขยับตัวเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายอยู่ข้างบนบ้าง แล้วประคองให้วิริยะทิ้งหัวลงบนหมอนที่ตนเองหนุนเมื่อครู่ ยอมเล่าให้ฟังในท้ายที่สุดอย่างคนใจอ่อนว่า “หลังจากถอนรากถอนโคนไอ้พวกทรยศได้ สืบไปสืบมากลายเป็นว่าคนอยู่เบื้องหลังเป็นคนในครอบครัว จ้องจะทำร้ายพี่อยู่เงียบ ๆ พี่เลยขอให้อัฐษ์มาดูแลไร่ แล้วจะไปหาข้อมูลเอาคืนมันให้สาสม เลยให้ใครรู้ไม่ได้ว่าพี่เป็นใคร ตบตาได้ทุกคนยกเว้นวิวนี่แหละ”

เชษฐ์ไชยใช้เสียงเรียบปกติอธิบาย แต่เหตุใดใจวิริยะถึงได้สั่นก็ไม่ทราบ

คงเป็นเพราะคำว่าครอบครัว ที่กำลังปองร้ายเชษฐ์ไชยอยู่กระมัง

หากไม่รู้จักกันดีเหมือนช่วงก่อนหน้า วิริยะคงไม่รู้เลยว่ากำลังหมั่นไส้ผู้ชายคนหนึ่งที่เจอเรื่องร้ายมาขนาดนี้ เชษฐ์ไชยเข้มแข็งถึงเพียงไหนที่เก็บความเจ็บปวดเสียใจไว้เพียงคนเดียว เด็กหนุ่มมองตาคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า แล้วครุ่นคิดถึงเรื่องทั้งหมดอย่างรู้สึกผิด “แล้วอย่างนี้ จะไม่ทำให้แผนอาเชษฐ์เสียใช่ไหม”

“ซะที่ไหนล่ะ พังหมดแล้วเนี่ย”

เด็กหนุ่มมุ่ยหน้า “เอ้า ขอโทษ ก็ใครจะไปรู้กันล่ะ”

“ถึงได้โมโหไงที่ไม่ยอมฟังกันบ้าง” คนอายุมากกว่าบอก

ได้ยินแล้ววิริยะอึกอัก หลบตาไปหลังรู้ว่าฝ่ายตัวเองเป็นคนผิด ซึ่งเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มยอมรับกลาย ๆ เช่นนี้ เจ้าของห้องก็โกรธไม่ลง จิ้มนิ้วลงบนปลายจมูกรั้นของวิริยะอย่างนึกมันเขี้ยวและหมั่นไส้ไปพร้อมกัน “คราวหน้าคราวหลังอย่ากวนโมโหกันแบบนี้อีก จะไม่ยอมหายโกรธง่าย ๆ แล้วก็จะไม่ใจเย็นเหมือนวันนี้”

นี่เย็นแล้วเหรอ ถ้ากระโดดบีบคออาอัฐษ์ได้คงทำไปแล้ว

วิริยะมุ่ยหน้าแสร้งหูทวนลม ถ้ายอมรับง่าย ๆ ก็หมายความว่าเขากลัวคำขู่น่ะซี

คนนั่งบนเตียงกอบกำแก้มด้วยมือเดียว บังคับให้หันมาสบตา “ได้ยินไหม”

วิริยะเบี่ยงตาไปที่อื่น “ดะ ได้ยินครับ...”

ไม่ได้กลัวหรอก ก็แค่ตอบไปให้เรื่องมันจบก็เท่านั้นเอง

นายใหญ่จอมโหดของไร่นิ่งมองวิริยะ เมื่อสายตาคุ้นชินกับแสงเพียงเท่านี้ที่สาดเข้ามาจากหน้าต่าง ให้เห็นเด็กใต้อาณัติกำลังนอนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เมื่อหมดเรื่องคุย ก็พลอยให้ยิ้มตามเพราะความน่าเอ็นดูของเด็กหนุ่ม ถึงจะจูบจนหนำใจแล้ว แต่พอมาคิดอีกทีเชษฐ์ไชยควรทำอย่างที่พูดโต้ง ๆ จนชาวบ้านชาวช่องเขาได้ยินไปให้เสียรู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ผิดคำของนายใหญ่แห่งไร่รุ่งอรุณี

หากทว่าครั้นเห็นหน้าจ๋อย ๆ ของวิริยะตอนนี้แล้วก็ทำไม่ลง ได้เพียงแค่แอบสำรวจว่าไอ้ตัวดีโตขนาดไหนแล้ว เปลี่ยนไปมากเพียงใด รู้เพียงว่าสูงขึ้นเล็กน้อย ผิวที่คล้ำลงกลับมากระจ่างใสแต่ดูสุขภาพดีกว่าเมื่อก่อน

ตอนกลางวัน ที่เจ้าตัวเงยขึ้นมาบอกว่าคิดถึงเขามาก หัวใจเชษฐ์ไชยลิงโลดดีใจ แต่แสดงออกอะไรไม่ได้เลย เขาคิดถึง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากคิดถึง

หลังจากปรับความเข้าใจกันแล้ว เชษฐ์ไชยสอบถามว่าวิริยะจะกลับวันไหน เด็กหนุ่มเหลือกตาจนแทบจะถลนออกจากเบ้า ลุกขึ้นนั่งแล้วนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ทันได้โทรรายงานทางบ้านว่าตอนนี้อยู่ไหน อาจจัดงาน จุดเทียนรอให้เด็กหนุ่มกลับไปเป่าเค้กเก้อแล้วก็เป็นได้ แต่ด้วยความที่กลัวถูกดุ วิริยะให้เชษฐ์ไชยเป็นคนไกล่เกลี่ยกับบิดาแทน ทั้งที่ความเป็นจริงเด็กหนุ่มไม่ใช่พวกไร้ความรับผิดชอบอย่างนั้น

เขาแค่อยากรู้ว่าเชษฐ์ไชยจะพูดอย่างไรกับธเนศก็เท่านั้นเอง

“ครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมไปส่งนะครับ”

แล้วไหงพ่อถึงได้ยอมง่ายขนาดนี้เล่า วิริยะอ้าปากค้างมองเชษฐ์ไชยด้วยความไม่เข้าใจ ส่วนอีกฝ่ายก็ยิ้มอย่างคนเหนือกว่ามาให้แล้วคืนโทรศัพท์แก่เด็กหนุ่มหน้าตาเฉย เล่าให้ฟังด้วยเสียงเรียบว่า “ตอนนี้เขาจัดงานวันเกิดให้ เพื่อนทุกคนก็มากันหมด ขาดแต่เจ้าของวันเกิดคนเดียวที่เป็นบ้าหนีตามผู้ชายมาที่นี่” ตามด้วยการหลอกด่าวิริยะกลาย ๆ

ไม่ใช่สักหน่อย วิริยะมุ่นคิ้วอยากจะเถียง แต่ถ้าทำอย่างนั้นก็เข้าทางเชษฐ์ไชยน่ะซี

“ใช่ ผมหนีตามอาอัฐษ์มา”

คนฟังพ่นลมหายใจ “อย่าพูดถึงชื่อมันนะวิว”

นี่เชษฐ์ไชยยังโง่คิดว่าเขาชอบอัฐษไชยอยู่อีกหรือ

“ไม่อยากคุยด้วยแล้ว” วิริยะส่ายหน้าแล้วลุกขึ้นยืนเพื่อไปอาบน้ำชำระร่างกาย เดินทางมาทั้งวัน เนื้อตัวเหนียวเหนอะหนะไปหมด หากทว่าเดินไปยังไม่ทันถึงหน้าห้องน้ำเสียด้วยซ้ำ ลำขาของเด็กหนุ่มก็ชะงักหยุดเพราะแรงฉุด ความอบอุ่นก็แผ่ซ่านไปทั่วแผ่นหลังของเขา พร้อมสัมผัสของอ้อมกอดที่ถูกมอบให้จากด้านหลัง

วิริยะแปลกใจ หันกลับไปมองเชษฐ์ไชยที่จู่ ๆ ก็ทำเช่นนี้ “อาเชษฐ์”

“เผื่อวิวจะยังไม่รู้ พี่คิดถึงมากเลย” สุ้มเสียงของเชษฐ์ไชยอธิบายได้เป็นอย่างดี ดูเหมือนเด็กน้อยที่กำลังหวาดกลัวอยู่ในที กลัวว่าจะไม่ได้รับความรักของพ่อแม่อีกต่อไป ทำเหมือนเจ้าตัวจะเสียวิริยะไปเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มเพราะความเขิน กุมสัมผัสมือใหญ่ที่กำลังมอบกอดให้อย่างเงียบเชียบ ใช้เพียงความรู้สึกเท่านั้นสื่อสารต่อกัน

ดีใจเหลือเกิน ที่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม...

“รอพี่ได้ไหม อีกนิดเดียว ถ้าสะสางปัญหาทั้งหมดได้พี่จะไปรับวิวให้มาอยู่ด้วยกัน”

วิริยะหันกลับไปมองคนข้างหลัง แม้จะรู้สึกดีใจ ตื้นตันอยู่ในอก แต่ก็ยังคงสงสัย

“พี่...แน่ใจแล้วใช่ไหม”

คนตรงหน้ารีบตอบ “แน่ซะยิ่งกว่าแน่ แล้วก็บอกไว้ก่อนเลยว่าที่พี่รักวิวไม่ใช่เพราะประชดชีวิตบัดซบของตัวเอง พี่รักเพราะอะไรรู้ไหม” คนตรงหน้าถามด้วยน้ำเสียงใจดี น้ำเสียงที่วิริยะเคยสับสนว่านี่ใครกันแน่ อัฐษไชยหรือเชษฐ์ไชย ทำให้ใจเด็กหนุ่มเต้นเป็นระส่ำ อยากถามเหลือเกินว่าในเมื่อมีมุมแบบนี้ตั้งแต่แรกทำไมไม่แสดงออกมา เพราะเขาจะไม่เสียเวลาสับสนและหลอกตัวเองเลยว่าไม่ชอบเชษฐ์ไชย

เด็กหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อยบอกว่าไม่รู้ ในขณะที่จ้องตากัน

เชษฐ์ไชยยกยิ้ม “เพราะเธอเป็นคนเดียวที่ทำให้พี่มีความสุขไง” มือใหญ่เคลื่อนมาสางผมให้ด้วยความอ่อนแผ่วขณะพูด “ขอโทษนะ ถ้าคำตอบของพี่ออกจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่ถ้าพี่มีความสุขแล้ว พี่จะรักษาสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของพี่ไปตลอดชีวิต”

วิริยะพยักหน้ารับฟัง อยากจะร้องไห้แต่ก็อายเหลือเกิน ทำได้เพียงกลอกตาและสูดลมหายใจให้อะไรต่าง ๆ มันคลายลง แล้วหันกลับมาสบตาเชษฐ์ไชยอีกครั้ง เพราะเห็นเชษฐ์ไชยทำหน้าลุ้นเหลือเกิน ทั้งที่คำตอบก็ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วนี่ไง “ครับ ผมจะรอ จะรอจนกว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันอีก”

ว่าจบ เด็กหนุ่มก็คลี่ยิ้มจนหน้าบานเท่ากระด้ง ไม่ค่อยแสดงออกให้อีกฝ่ายเท่าไรเลยว่ากำลังดีใจ เห็นแล้วเชษฐ์ไชยหลุดหัวเราะ โยกศีรษะคนตัวเตี้ยกว่าเล่นแล้วดึงเข้ามากอดจูบอยู่เช่นนั้น ให้สมกับความรักที่มีให้

วิริยะแหงนขึ้นมอง บนใบหน้ายังไม่คลายรอยยิ้มแห่งความสุข

“ว่าแต่...จะไม่ทำอย่างที่พูดข้างล่างเหรอ”

คนฟังชะงัก “ทำอะไร” โกรธจนเผลอพ่นอะไรไม่คิดไปหลายอย่าง ชายหนุ่มจำไม่ได้

เด็กหนุ่มทำท่ากวนประสาท “พังเตียงไง อาเชษฐ์พูดเองนะ”


--๒๕--
-----------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: **{185.5.61-ตอนที่ ๒๑--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 18-05-2018 21:15:35

--ต่อ--


ได้ฟังแล้วเชษฐ์ไชยร้องอ้อ เปลี่ยนโหมดจากโรแมนติกมาทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องพอใจที่วิริยะถามขึ้นอย่างนี้ ดูเหมือนจะมีแววว่าจะได้เมียเป็นตัวเป็นตนแล้ว “ให้เหรอ”

“บ้า! แค่อำเล่นไหม” พูดจบก็เบี่ยงหน้าแดง ๆ หลบ “ไปอาบน้ำดีกว่า”

เชษฐ์ไชยยิ้ม ไม่ได้รั้งให้วิริยะอยู่ ชายหนุ่มวิ่งลงไปด้านล่างกะว่าจะยกของกินขึ้นไปให้ เพราะตั้งแต่ที่แยกกันช่วงเที่ยงแล้วเด็กหนุ่มก็เดินทาง คงไม่มีอะไรตกถึงท้อง ครั้นจะเอาแต่ใจจับวิริยะปู้ยี่ปู้ยำก็คงเห็นแก่ตัวเกินไปแล้ว แถมวิริยะก็น่ารัก เขาไม่อยากบังคับเจ้าตัวแม้แต่นิด เพราะภาพของคืนนั้นยังคงฝังใจชายหนุ่ม และเชษฐ์ไชยก็สาบานกับตัวเองไปแล้วว่าจะไม่เอาแต่ใจหรือเอาเปรียบวิริยะ

เพราะเขามีวิธีทำให้เด็กหนุ่มใจอ่อนอยู่อย่างไรเล่า

ลงไปด้านใต้ ชายหนุ่มก็มุ่งตรงไปยังห้องครัวที่ยังคงมีเสียงแม่บ้านล้างจานชามทำความสะอาด แต่บริเวณห้องโถงเงียบพิกล ทว่าชายหนุ่มไม่ได้สนใจ กะว่าจะรีบหยิบข้าวของที่ต้องการแล้วขึ้นไปกกเมียต่อ

ไปถึงชายหนุ่มชะงักเท้า เมื่อเห็นพวกที่ไม่อยากต้อนรับ กำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่บนโต๊ะหน้าสลอน ไม่เว้นแม้แต่ไอ้ดำ เมื่อเห็นเขาแล้วไอ้ตัวดีมืออ่อนเปลี้ยจนช้อนส้อมร่วงลงบนจาน เรียกให้คนอื่นหันมองตามสายตามันมาทางทิศนี้

ชายหนุ่มมุ่นคิ้วบอกพวกมันว่าไม่ชอบใจ ขณะที่เดินไปเปิดประตูตู้เย็น หยิบขวดน้ำเปล่ามาถือ แล้วหันไปสั่งแม่ต้อยให้จัดมื้อเย็นเผื่อเขาและวิริยะ

“เร็วด้วย ฉันรีบ” เชษฐ์ไชยบอก

ไอ้ชาติยกน้ำขึ้นดื่มแล้วลอบยิ้มขันเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ ก้มลงมองนาฬิกาบนข้อมือของตัวเอง ก่อนจะพูดกลางวงว่า “ก็คงจะรีบจริง ๆ นั่นแหละ ดูซิยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แบบนี้ไม่เรียกว่ารีบธรรมดา เขาเรียกว่านกกระจอกไม่ทันกินน้ำ”

อัฐษไชยสำลักอาหารเมื่อได้ฟัง แล้วหันมองพี่ชายพลางทุบหน้าอกของตัวเอง “พูดบ้าอะไรน่ะชาติ” เห็นเชษฐ์ไชยทำหน้ายักษ์รออยู่ เดี๋ยวเขาก็ถูกไอ้พี่นี่พาลอีก

“ก็มันจริงนี่หว่า ว่าแล้วทำไมถึงถูกเมียเก่าทิ้ง ก็เพราะเป็นพวกรีบร้อนแบบนี้ไง”

“หุบปากหมา ๆ ของมึงไปเลย ไม่มีปัญญาหาเมียจนแก่หงำเหงือก ก่อนคิดจะหาน้ำกิน มึงหัดบินให้เป็นก่อนเถอะไอ้นก กระจอก...” จะเถียงว่าตัวเองยังไม่ได้เจอแอ่งน้ำ นกกระจอกยังไม่ทันได้บินขึ้นที่สูงก็รู้สึกขายขี้หน้า เชษฐ์ไชยไม่พูดอะไรอื่นนอกจากยืนกอดอกรอให้แม่ต้อยจัดเตรียมมื้อเย็นให้

“โอ้โห...ไอ้คนเก่ง กูแก่กว่ามึงแค่สองปี อย่าว่าแต่เตะปี๊บเลย เตะก้านคอเจ้าของไร่ก็ยังไหว”

“ไอ้ห่านี่!” เชษฐ์ไชยจะพุ่งเข้าใส่ ในขณะที่อัฐษไชยลุกขึ้นไปปราม สถานการณ์กลับมาสู่สภาวะเดิมแล้ว จากไม่ถูกกันอย่างไรสองคนนี้ก็ยังคงเส้นคงวาไม่เปลี่ยน พลอยให้ไอ้ดำที่นั่งมองสถานการณ์รู้สึกโล่งใจ จะมีก็แต่ห่วงน้องชายต่างบ้านเท่านั้น ตอนนี้คงไม่บอบช้ำคามือนายใหญ่ของไร่หรอกนะ

ชาติยังคงสนุกกับการกวนน้ำให้ขุ่น มันยิ้มเย้ยเมื่อเห็นเชษฐ์ไชยถูกน้องห้ามปราม “มึงระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ ตอนนี้ผัวมึงน่ะทำให้ไอ้อัฐษ์ค้นพบตัวเองแล้ว เนี่ย...มันก็นั่งเพ้อใจลอยหาแต่ผัวมึงอยู่ เฝ้าให้ดีแล้วกัน ถ้าน้องฉกผัวไปต่อหน้าต่อตากูไม่รู้ด้วยนะ” มันทำเสียงยียวนแล้วตักข้าวทาน คิดแล้วเชษฐ์ไชยอยากเตะปากให้ข้าวพุ่ง

“ไอ้เวรนี่...” เชษฐ์ไชยสบถ แล้วผลักมืออัฐษไชยออก “แกก็ด้วย ห้ามยุ่งกับเมียฉัน”

ผู้น้องทอดถอนใจ “แกก็บ้าจี้ตามชาติมันไปได้ ฉันไม่ได้คิดอะไรกับวิวสักหน่อย”

“แต่วิวคิด” ชายหนุ่มย้อนด้วยความหงุดหงิด เมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจของน้องแล้วเชษฐ์ไชยก็อยากจะบ้า ไปบอกมันแบบนี้เดี๋ยวอัฐษไชยก็เปลี่ยนใจเพราะเห็นว่าตัวเองมีหวังพอดี หากทว่าดูเหมือนชายหนุ่มกำลังคิดผิด น้องชายร่วมท้องหัวเราะแล้วส่ายหน้า ย้อนกลับมาว่า “นี่แกไม่รู้เหรอว่าวิวชอบอิก”

ผู้เพิ่งฟังชะงัก เหลือกตาถลนมองอัฐษไชยด้วยความตกใจ

ให้ตายซี อันที่จริงเขาไม่เคยถามวิริยะตรง ๆ เลยด้วยซ้ำว่าสรุปแล้วเจ้าตัวชอบใครกันแน่ ไอ้เขาก็คิดเองเออเองมาโดยตลอดว่าเด็กหนุ่มชอบอัฐษไชย แล้วมาทำตัวเป็นเด็ก พาลใส่น้องชายที่ทั้งที่ไม่ผิดอย่างนี้ เจ้าตัวคงงงอยู่ไม่น้อยที่จู่ ๆ เชษฐ์ไชยก็ทำตัวเป็นหมาหวงก้างใส่อยู่ตลอดเวลา

เชษฐ์ไชยยกมือกุมหน้าพูดไม่ออก แก้เขินด้วยการหยิบถาดชามอาหารเดินหนีขึ้นไปข้างบนเสียดื้อ ๆ ท่ามกลางรอยยิ้มรู้ทันของน้องชาย

แม่ต้อยพูดถูกว่าสเป็กเขาน่ะคล้ายกับเชษฐ์ไชยมาก ชายหนุ่มชอบคนสดใส อยู่ด้วยแล้วทำให้หัวเราะและมีความสุข ซึ่งในชีวิตของอัฐษไชยมีไม่มากนัก แต่เขาก็เจอแล้ว ก็มีไอ้คนปากหมาที่คอยพูดจากวนประสาท กับไอ้เด็กตัวคล้ำนิสัยซื่อบื้อที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองไปขโมยหัวใจใครต่อใครเข้า

คนที่ว่า ก็กำลังทำหน้ามึนร่วมโต๊ะอาหารกับเขาทั้งสองนี่ไง

“บอกแล้ว ไอ้เชษฐ์มันไร้น้ำยา” ไอ้ชาติทำเสียงเย้ย

“เดี๋ยวนายเซษฐ์กะเซาเคียด คุณอัฐษ์ของดำนั่งลงก่อนเด้อ” ดำวิ่งมาเกาะบ่า ดันให้ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งด้วยรอยยิ้มระยับ ในแววตามีแต่ความจริงใจ

ใครบอกว่าเขาเพิ่งค้นพบตัวเอง เขาพบว่าตัวเองชอบอะไรไม่ชอบอะไรก่อนเชษฐ์ไชยเสียด้วยซ้ำ คิดแล้วอัฐษไชยก็ยกยิ้มและส่ายหน้า ขณะที่เอื้อมมือหยิบช้อนส้อมตักอาหารทานตามความต้องการของดำ คิดว่าการทำตัวบ้าดีเดือด ใช้ชีวิตแบบไม่สนโลกแบบนี้มันก็ไม่เลว เหมือนได้ปลดปล่อยความอัดอั้นในใจตลอดหลายปีที่ผ่าน

มิน่าเล่าเชษฐ์ไชยถึงได้มีความสุขนัก มาอยู่ไม่ถึงปี อัฐษไชยกลับคิดว่าอยากอยู่ที่นี่ตลอดไป

 

วิริยะขึ้นมือสางผมขณะแหงนหน้าให้น้ำชำระล้างฟองออกไป แต่แค่เพียงหลับตา ภาพยามเชษฐ์ไชยทำหน้าหวงราววัวกระทิงแสนดุก็โผล่ขึ้นมา เรียกรอยยิ้มของเด็กหนุ่มขึ้นมาจนกระชุ่มกระชวยใจ เสียงน้ำกำลังไหลพาดผ่านร่างกาย ไม่ทันได้ยินว่าใครถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาด้านใน รู้ตัวก็ตอนถูกโอบกอดเข้าให้แล้ว

วิริยะสะดุ้งโหยง หันหน้าไปด้านหลังด้วยความตกใจ “อะ อาเชษฐ์!”

ก็ไหนว่าพูดกันจบแล้วไง แล้วเหตุใดอีกฝ่ายถึงได้ทำหน้าตึงอยู่อย่างนี้ วิริยะเหลือกตามองคนเอาแต่ใจด้านหลังเพราะตามอารมณ์ไม่ทัน รู้เพียงว่าตอนนี้หน้าร้อนฉ่าเมื่อเห็นว่าเชษฐ์ไชยเองก็เปลือยด้วย เด็กหนุ่มจ้องใบหน้าคมคายไม่ละเพราะไม่กล้าหลุบมองลงไปข้างล่าง ยังไม่พร้อมเจอกระบวยของอีกฝ่ายตอนนี้

“อื้อ ทำอะไรน่ะ...” คนตัวเล็กกว่าย่นคอ เมื่อริมฝีปากอุ่นฝังลงจูบ มือก็ซุกซนเคลื่อนไล้ตามร่างกายที่ยังคงเปื้อนฟองสบู่ราวกับทำความสะอาดให้ แต่เป็นการทำความสะอาดที่สยิวและทะลึ่งตึงตังจนเกินไป เมื่อมือใหญ่หยุดบริเวณบั้นท้าย ขยี้ขยำและขยับนิ้วที่ที่หนึ่งหวังให้สะอาดหมดจด จนวิริยะต้องปรามให้หยุดถูไถบริเวณเดิมซ้ำ ๆ เสียที อย่างนี้มันใจร้ายเกินไปแล้ว

“งอนอะไรอีกเนี่ย” วิริยะบ่น ทำเสียงอู้อี้ขณะที่มืออีกฝ่ายยังไม่ยอมละไปไหน

ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ช่างหัวความน่าอายมันซี

เด็กหนุ่มหมุนตัวไปหาคนตัวใหญ่ด้านหลัง แล้วได้เห็นเต็มตาว่าอะไรเป็นอะไร จากที่เคยคิดว่าเชษฐ์ไชยผอมลงมากก็รู้แล้วว่าไม่ ดูเหมือนน้ำหนักลดอยู่ก็จริง แต่อีกฝ่ายยังคงมีกล้ามเนื้อชัดเจน เพียงแค่ไม่ตัวล่ำเป็นกอริลล่าตัวผู้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว

ครั้นเห็นว่าวิริยะกำลังใช้สายตาสำรวจอยู่ เชษฐ์ไชยไม่รู้สึกกระดากอายเลยแม้แต่นิด ขยับเข้ามาดึงมือวิริยะให้แตะตามลำตัว แล้วกระซาบเสียงแผ่วทว่าก้องอยู่ในโสตประสาทของเด็กหนุ่มว่า...

“ถูตัวให้พี่บ้างซี”

ลมหายใจอุ่นร้อนรดแก้มวิริยะ แต่ที่ทำให้มันแดงปลั่งคงเป็นคำพูดต่อจากนั้นของเชษฐ์ไชยเสียมากกว่า “หรือจะใช้ตัวของวิวถูให้พี่ก็ได้...”

เด็กหนุ่มเบิกตา ทำท่าจะตีให้หายทะลึ่ง หากทว่ามือใหญ่กลับกระตุกรั้งให้ขยับเข้าไปหา รับจูบของเจ้าตัวในตอนนั้น บวกกับสัมผัสของฟองสบู่ในขณะที่ร่างกายบดเบียดเสียดสีกัน สร้างอารมณ์แปลก ๆ แก่วิริยะมากมายเหลือเกิน พาลให้เรี่ยวแรงจมหายไปกับริมฝีปากนุ่มหยุ่นของเชษฐ์ไชยเสียดื้อ ๆ

“ผิดนะ รู้รึเปล่า” เชษฐ์ไชยถาม ทั้งที่ง่วนอยู่กับการใช้ลิ้นลามเลียใบหูวิริยะจนขนลุกซู่ ต้องย่นคอหลบเพื่อปกป้องตัวเอง ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าไปทำอะไรให้อีกฝ่ายงอน เด็กหนุ่มดุนดันไหล่กว้างของคนกอดให้เขยิบถอยออกห่าง ฟังเสียงเบาพร่าอยู่ข้างหูไปด้วย “วิวผิดที่ไปทำตัวน่ารักให้ใครต่อใครเขาหลง เพราะงั้นต้องรับผิดชอบ”

เด็กหนุ่มย่นคิ้ว ตัวสะเทิ้นไปกับรสสัมผัสแต่ละที่ที่ลิ้นร้อนลากลงไปแตะ

“หาเรื่องกันนี่นา”

เชษฐ์ไชยส่ายหน้า “ต้องโดนสั่งสอนให้หลาบจำซะบ้างว่าตัวเองเป็นของใคร”

แผ่นหลังของวิริยะแนบติดกับผนังจนรู้สึกเย็นวาบ ต่างจากแก้มที่ร้อนผ่าว เมื่อเงยขึ้นสบนัยน์ตาคมดุของชายตรงหน้า ที่นอกจากจะบ้าดีเดือด เอาแต่ใจแล้ว ยังเป็นคนรักของเขาอีกด้วย ไม่แปลกที่วิริยะจะรู้สึกหวั่นไหวปวกเปียก ยามถูกสายตาร้อนแรงของชายตรงหน้าลามเลียไปทั่วลำตัวเช่นนี้

แค่เพียงสายตา วิริยะก็อยู่ไม่ติด ทำได้เพียงแค่เบี่ยงหลบไปมองทิศอื่น

เชษฐ์ไชยก้มโน้มลงมาจูบ ดึงมือวิริยะเอื้อมกอดเจ้าตัวให้ไว้วางใจว่าจะไม่ถูกทำร้าย เด็กหนุ่มเชื่ออย่างสนิทใจว่าหากเป็นเชษฐ์ไชย ทุกอย่างมันจะต้องโอเค แม้หัวใจกำลังเต้นตึกแทบจะทะลุออกจากอกด้วยความตื่นเต้นก็ตาม

นานเท่าไรไม่รู้ที่เชษฐ์ไชยจูบวิริยะ ในหูของทั้งสองได้ยินเพียงเสียงสายน้ำ และริมฝีปากที่สัมผัสดูดดุนกัน ผละออกมาอีกทีชายหนุ่มก็เห็นริมฝีปากของวิริยะแดงระเรื่อ บวมเจ่อเพราะถูกฟอนเฟ้น ทว่ากลับไม่ได้แย่เพียงนิด มันยิ่งแลดูเย้ายวน ให้เชษฐ์ไชยอยากหวนกลับไปเชยชิมความหวานอีกครั้งซ้ำ ๆ ไม่รู้จักหน่าย

นอกจากริมฝีปากที่น่ามองแล้ว แก้มของวิริยะสุกปลั่งราวผลไม้ ไหนจะดวงตาหวานเยิ้มยามสบตานี่อีก บอกชายหนุ่มว่าเจ้าตัวก็กำลังเครื่องติดไม่ต่างกัน เชษฐ์ไชยทนไม่ไหวเมื่อได้เห็น ชายหนุ่มเคลื่อนขยับกอดวิริยะให้แนบชิด กอบกำ นำพาให้วิริยะและตนเองมีความสุขไปพร้อมกัน ซึ่งเมื่อถูกกระทำเช่นนี้วิริยะตัวโยนอยู่ไม่ติด ครวญครางอือออไม่เป็นศัพท์อยู่ในอกชายหนุ่ม

ความลื่นของสบู่ทำให้ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี ไม่เว้นแม้แต่ยามที่ชายหนุ่มเอื้อมไปด้านหลังของคนรักตัวน้อย สอดแทรกนิ้วเพื่อเบิกทางให้ตัวเองทำอย่างใจหวังได้สะดวก ถึงเขาจะมีเมียมาก่อน แต่เรื่องอย่างนี้พึ่งเพียงแค่สัญชาตญาณอย่างเดียวไม่พอ ต้องเรียนรู้ด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะความรู้ที่จะทำให้อีกคนมีความสุขไปพร้อมกันได้

ใจเชษฐ์ไชยเต้นตึกตัก เสียงวิริยะครวญร้องในอกไม่อาจบอกว่าเจ็บหรือกำลังสุขสม แต่มันปลุกเร้าสัญชาติญาณดิบของเชษฐ์ไชยเข้าให้แล้ว อีกไม่นานชายหนุ่มอาจอดทนไม่ไหว ทำอะไรลงไปโดยไม่ทันคิด ไอ้ที่ว่าควรแข็งก็แข็งเสียจนปวดหนึบอยากจะระบายอยู่เต็มแก่

“อาเชษฐ์...” วิริยะกอดคนตัวโตแน่น เพราะรู้สึกยืนไม่อยู่เอาเสียเลย

เพียงแค่ถูกนิ้วมือยาวรุกล้ำนำทางไปก่อนเท่านั้น ราวกับเป็นเด็กอายุเพียงสิบสี่สิบห้า ไม่ประสีประสาแทบจะล้มลงพื้นเพราะความสุขที่นับค่าไม่ได้ จะไม่เป็นอะไรเลย หากเชษฐ์ไชยไม่ลากลิ้นไปโดนแต่ละที่ที่ทำให้เขามีความสุขทั้งนั้น จนวิริยะเริ่มจะถึงปลายทางอยู่รอมร่อ

“จะเสร็จ จะเสร็จ อื้ม...”

พูดยังไม่ทันขาดคำ วิริยะเม้มริมฝีปากตัวเองแน่นเกรงกลัวว่าใครจะมาได้ยิน ปลดปล่อยความพึงพอใจออกมาเต็มไม้เต็มมือของคนที่กำลังทำให้ ตัวก็หอบโยนแทบจะล้ม และคิดขึ้นมาได้ว่าไม่ไหวแน่ หากเชษฐ์ไชยจะต่อกิจกรรมนี้ทั้งที่ให้เด็กหนุ่มยืนอยู่

“อาเชษฐ์ ผมยอมแล้ว แต่...บะ บนเตียงได้ไหมครับ”

วิริยะทำเสียงครวญ เงยขึ้นมองด้วยดวงตาเว้าวอน

คนฟังกระตุกยิ้มร้าย แล้วส่ายหน้าไม่ยอม จับวิริยะให้หันไปหาผนังแล้วซุกคอสูดดมฟีโรโมนของเด็กหนุ่ม ฝังเขี้ยวงับด้วยความเอ็นดู เด็กหนุ่มหอบหายใจยังไม่รู้สึกโล่งดีก็สะดุ้งโหยง ยามความร้อนของอะไรที่น่าจะรู้ดีสอดแทรกเข้ามาในกายทีละเล็กน้อย แต่กลับทำเอาแทบยืนไม่อยู่ จนต้องเอื้อมยกมือขึ้นไปเกาะราวตากผ้าด้านบนเพื่อหาหลักยึด

“เจ็บไหมวิว”

น้ำเสียงหอบสั่นของคนด้านหลังสอบถาม เด็กหนุ่มไม่รู้อะไรเลย ทำได้เพียงแค่สั่นหัวหงึก ๆ ตอบรับเท่านั้น จากที่พยายามเก็บกลั้นเสียง ตอนนี้ครวญอือออไม่มีแม้แต่สติ รู้ตัวอีกทีหัวเหน่าของเชษฐ์ไชยก็แนบอยู่ที่บั้นท้ายแล้ว

อีกฝ่ายปล่อยให้วิริยะทำใจอยู่ครู่ก็เคลื่อนขยับ ทุกครั้งที่กดเอวบดเบียดจนเนื้อแนบเนื้อ วิริยะก็ทำได้เพียงแค่ยกมือกุมปากไม่ให้ส่งเสียงออกไปเท่านั้น เขารู้สึกกระดากอายเหลือเกินที่ต้องส่งเสียงอย่างนี้ให้ใครได้ยิน

ตัวเด็กหนุ่มร้อนราวกลับเป็นไข้ ภายในช่องท้องรู้สึกเหมือนมีตัวอะไรบินว่อนไปมา ในขณะที่เชษฐ์ไชยกอดรั้ง มอบความหอมหวานของรสชาติความรักให้อย่างไม่ยอมลดทอนความเร่าร้อน ทั้งที่ยังคงซุกกอด ปล่อยเสียงกระเส่าพร่าอยู่ข้างหูให้ได้ยิน ทุกอย่างประสมประสานกันมั่วไปหมด ทว่าวิริยะสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่ามันรู้สึกดี

“อื้อ อะ อาเชษฐ์...”

ในตัววิริยะราวกำลังจะแตกเป็นเสี่ยง

คนด้านหลังกอดรัดวิริยะราวกลัวว่าจะหนีหายไป เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังจะไม่ไหวก็ลดทอนความรุนแรงลงไป หลงเหลือเพียงแรงบดเบา ๆ เท่านั้น แล้วกระซาบ “เรียกอีกซี เรียกชื่อพี่อีก...”

น้ำเสียงราวกับชายร่างใหญ่ด้านหลังกำลังเพ้อจากพิษไข้ นี่เป็นเพราะตัวของเขาอย่างนั้นหรือ ที่ทำให้เชษฐ์ไชยกระสับกระส่าย จมดิ่งไปกับความสุขเช่นนี้

“อาเชษฐ์ อาเชษฐ์รักผมไหม...”

น้ำตาของเด็กหนุ่มไหลโดยที่ไม่รู้ตัว แต่รู้แค่ว่าไม่ได้กำลังเศร้า

“รักซีคนดี รักจนจะบ้าอยู่แล้ว...” มือใหญ่ตระกองกอดเอววิริยะไม่ยอมให้สะเทิ้นไหวหนีไปให้เสียเวลา เด็กหนุ่มทำได้เพียงแค่กุมหน้าท้องของตัวเองเพราะกำลังจะทนไม่ไหว เสียงเนื้อกายกระทบกันดังก้องสะท้อนทั่วภายในห้องน้ำ ฟังดูน่าอายแต่ก็ไม่มีกะจิตกะใจรู้สึก

วิริยะสะบัดหน้าไปมา ร้องไม่เป็นศัพท์ ภาพของเซ็กส์ที่มีกับเชษฐ์ไชยต่างจากในจินตนาการอย่างสิ้นเชิง คิดว่ามันจะเจ็บ คิดว่ามันจะน่ากลัวจนต้องหลบหลีกบ่ายหนีเพราะภาพลักษณ์น่ากลัว ๆ ของอีกฝ่าย

ใครจะไปรู้ว่าเชษฐ์จะนุ่มนวลถึงขนาดนี้ รู้วิธีทำให้เขาคลายความกลัวได้ พร่ำบอกว่ารักและจูบทั่วแผ่นหลัง ให้เขาสนองตอบกลับไปได้อย่างง่ายดาย ไหนจะเสียงเซ็กซี่ ๆ ที่กำลังดังอยู่ข้างหูนี่อีก

แย่แล้ว เขากำลังถูกเชษฐ์ไชยมอมเมาให้หลงใหลไปกว่าเก่า

มารู้ตัวอีกที ความสุขของวิริยะก็พวยพุ่งออกมาเสียเต็มผนังอย่างไม่อาจทานไหวอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือกใหญ่ เมื่อลาวาร้อนมากมายไหลทะลักเข้ามาในท้องจนเข่าอ่อน ขณะที่เชษฐ์ไชยประคองกอดไม่ยอมให้ล้มลงพื้น กัดฟันกรอดเพราะความสุขสมยามถึงที่หมายในร่างของวิริยะตามหลังมาติด ๆ

น้ำร้อน ๆ ไหลอาบลงมาถึงเข่าให้วิริยะที่ไม่มีเรี่ยวแรงเหลือบไปเห็น ทว่าคนตัวใหญ่เหมือนจะยังไม่พอใจ กกกอดวิริยะแล้วคล้องลำขาหนึ่งข้างให้ยกขึ้น เด็กหนุ่มร้องเสียงหลงเพราะเริ่มเจ็บขัด ๆ ขนาดยืนสองข้างยังจะไม่ไหว เชษฐ์ไชยยังคิดที่จะให้เขายืนด้วยขาข้างเดียว ไหนจะอะไรที่มันคับแน่นภายในช่องท้องที่กำลังกระตุกกึก ครูดกับส่วนที่อ่อนไหวของวิริยะอยู่เนือง ๆ นี่อีก

แต่มันดันให้เด็กหนุ่มตอบสนองขึ้นมาอีกครั้ง จนต้องยอมให้อีกฝ่ายทำตามใจในครั้งต่อไปจนได้ ก็รสชาติของมัน...ชวนให้เสพติดนี่

สรุปแล้ววิริยะเสร็จเชษฐ์ไชยไปถึงสองยกสมความอยาก เอาเสียเด็กหนุ่มขาอ่อนเปลี้ยไม่มีแรง ซึ่งดูยังไงเชษฐ์ไชยก็ไม่มีวี่แววว่าอยากจะพอเสียด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มถูกยกไปวางอยู่บนเตียงหลังจากเชษฐ์ไชยทำความสะอาดตัวใหม่ให้อย่างเอี่ยมอ่อง ตั้งใจสวมชุดคลุมให้เพียงลวก ๆ เท่านั้นแล้วก็ขึ้นมาคร่อมทับ จูบวิริยะออดอ้อนอยู่สองสามที ก่อนจะบอกว่า “ตัวเองผิดนะ รู้รึเปล่า”

วิริยะเม้มปากเพราะบวมเจ่อ ถึงเชษฐ์ไชยจะไม่ร้าย

แต่ถ้ายังขอถี่ ๆ แบบนี้ อีกไม่นานร่างวิริยะอาจจะพังเอาได้

“โธ่ ผมรู้อยู่แล้วน่า ปล่อยเลย” เด็กหนุ่มขยับหนี

“รู้ แต่ไม่เคยจำ มานี่เลย” เชษฐ์ไชยกระตุกดึงให้ขยับเข้าใกล้ ลำตัวทั้งสองแนบชิด ให้วิริยะรำลึกได้ว่าทั้งสองกำลังโป๊กันอยู่ ไหนจะไอ้เรื่องทะลึ่งที่เชษฐ์ไชยทำเมื่อครู่อีก แม้ว่าจะผ่านสมรภูมิมาก่อนหน้านี้แล้วก็ยังสามารถปลุกเสือตัวใหญ่ให้ตื่นขึ้นมาข่มขู่เขาอีกครั้งได้ แล้วอย่างไร แล้วเขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากตามใจอย่างนี้ไงเล่า

“เดี๋ยวจะตอก ย้ำให้รู้เลยว่าอย่าไปบริหารเสน่ห์กับใครหน้าไหน”

“บ้า...” เว้นวรรคบ้าอะไรของเชษฐ์ไชยกัน วิริยะยกมือดันไหลหนาออกห่างด้วยความเขินอาย ยามคนตัวใหญ่ยกยิ้มเจ้าเล่ห์จ้องเขาอยู่ ราวเสือหิวโหยมานาน ก็คงใช่ ถูกเมียทิ้งมานานแรมปี อีกฝ่ายคงคิดว่าได้ทั้งทีก็ทบต้นทบดอกทีเดียวเสียให้ลุกไม่ไหวเลยกระมัง

เด็กหนุ่มชำเลืองมองไปยังประตูห้องยามถูกกกกอด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเชษฐ์ไชยล็อกอย่างดีหรือไม่ เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าในขณะที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มแล้วแม่ต้อยขึ้นมา มันจะน่าอายขนาดไหน

แค่เชษฐ์ไชยร้องบอกชาวบ้านชาวช่อง เด็กหนุ่มก็อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไว้ที่ไหนแล้ว

ลงไป มีหวังเขาถูกแซวแน่!

--๕๐--

--------------------------------------------------------

มาส่งความสยิวให้อ่านกันสิ้นปี มันก็จะหึง ๆ หื่น ๆ ละมุน ๆ หน่อย อิอิ

แล้วมาเม้ามอยกัน ว่าอาเชษฐ์แซ่บประมาณไหน

มีใครแอบคิดเรื่องของอาอัษฐ์ไหมคะ ว่าเฮียแกชอบใคร ระหว่างชาติกับดำ รึว่าจะ3P อุต๊ะ!! แต่ละคนก็ตัวล่ำ ๆ ทั้งนั้น ใครผัวใครเมียน้ออออ
หัวข้อ: Re: **{18.5.61-ตอนที่ ๒๑--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 18-05-2018 22:01:09
โห วิวโดนทำโทษซะหลายครั้ง แต่ก็ยอมจำนนใช่ม้าา
ว่าแต่อยากรู้เรื่องของอัฐไชยมากกว่าแล้วตอนนี้ อิอิอิ
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: **{18.5.61-ตอนที่ ๒๑--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 18-05-2018 23:06:37
พรุ่งนี้อาเชษฐ์จะพาลูกชายไปคืนพ่อเค้าสภาพไหนล่ะเนี่ย

ส่วนอาอัษฐ์หรือจะสามพี อุ๊ปส์.......
หัวข้อ: Re: **{18.5.61-ตอนที่ ๒๑--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 18-05-2018 23:14:43
ถึงว่าเคมีอาอัษฐ์กับชาตินี่แปลกๆ แต่พี่ดำนี่ ด้วยหรอ
 o22
หัวข้อ: Re: **{18.5.61-ตอนที่ ๒๑--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 18-05-2018 23:38:10
อาเชษฐ์ รบกวนถนอมน้องวิวด้วยค่ะ

ส่วนอาอัษฐ์นี่ตอนแรกเราคิดว่าชาติแน่ๆ เพราะเห็นสนิทแล้วก็ติดต่อกันมาตั้งนาน แต่ตอนนี้เริ่มไม่มั่นใจแล้วสิเนี่ย
หัวข้อ: Re: **{18.5.61-ตอนที่ ๒๑--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-05-2018 23:50:09
 :haun4:
หัวข้อ: Re: **{18.5.61-ตอนที่ ๒๑--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-05-2018 01:57:51
มีความสงสัยในตัวของอัษฐ์กับชาติ เป็นอะไรกันหรือเปล่านะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: **{21.5.61-ตอนที่ ๒๑--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 21-05-2018 23:40:19

--ต่อ--

เชษฐ์ไชยรู้สึกตัวตื่นในช่วงเช้ามืดหลังจากนอนพักได้ไม่กี่ชั่วโมง เหลือบไปเห็นวิริยะนอนหันหลังให้อยู่เงียบเชียบก็ผุดรอยยิ้มขึ้น ขยับไปดึงรั้งให้เด็กหนุ่มหันมากกกอดสมความคิดถึง แม้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ เขาถอนทุนความคิดถึงมากพอจนอิ่มหนำสำราญแล้วก็ตามที อย่างไรเสียก็หยุดความอยากที่จะสัมผัสไม่ได้

ลำแขนยาวของวิริยะยกกอดเขาสนองบอกว่ารับรู้ ขณะพลิกกลับมาหาเพราะรู้สึกตัว ชายหนุ่มกระซิบเสียงเบาให้นอนต่อเพราะว่ายังไม่เช้าดี ซึ่งคนหลับก็ทำตามอย่างว่าง่าย หรือไม่ก็เพลียเสียจนลืมตาไม่ขึ้นเพราะกิจกรรมเมื่อคืน นึกขึ้นมาทีไรก็รู้สึกจั๊กจี้หัวใจจนอยากจะทำอีก

ไม่รู้เลยว่าตอนแยกกันจะรู้สึกยังไง แต่เขาอยากเสพความสุขตอนอยู่ด้วยกันอย่างนี้ให้มากพอ จนมีแรงสู้ปัญหา แล้วกลับมาพบเจอกันอีก คิดแล้วชายหนุ่มก็นอนไม่หลับเพราะความสุข ยามได้มองวิริยะจมดิ่งไปกับความฝันและอ้อมอกของเขา

เขาว่ากันว่าเวลาแห่งความสุขย่อมผ่านไปไว โดยที่คนเราไม่ทันได้เตรียมใจนัก วันนี้เชษฐ์ไชยเชื่ออย่างสนิทใจ เมื่อบังคับขับเคลื่อนยานพาหนะมาจอดหน้าบ้านของวิริยะ ชายหนุ่มเอื้อมไปกุมจับประสานกับอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนเขาไม่ใช่คนเดียวที่กำลังรู้สึกใจหาย เมื่อเห็นวิริยะน้ำตาคลอ เคลื่อนขยับมากอดแนบแน่นแล้วกระซาบอยู่กันสองคนว่าจะรอ

เชษฐ์ไชยยิ้มรับ ยกมือสางผมจัดทรงให้คนงอแง “เดี๋ยวพี่ก็มาแล้ว มานี่มา...”

ลำแขนยาวเอื้อมดึงวิริยะให้ขยับเข้าใกล้ แล้วจูบลงบนแก้มเป็นการปลอบหนึ่งที เรียกรอยยิ้มของเด็กหนุ่มได้น้อยนิดเท่านั้น ก่อนเจ้าตัวจะลุกออกไปยืนอยู่ริมฟุตบาธด้วยสีหน้าไม่ค่อยเต็มใจอยากจะแยกนัก โบกมือให้เป็นการบอกลา แต่ครั้นเชษฐ์ไชยกำลังจะไป วิริยะกลับวิ่งมาดักหน้ารถจนต้องหยุดชะงักเพราะกลัวเหยียบเด็กดื้อเข้า

ชายหนุ่มมุ่นคิ้ว อยากดุที่ทำอะไรไม่คิด แต่เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าของวิริยะวิ่งวนมาเคาะกระจกราวอยากพูดอะไรด้วย เชษฐ์ไชยก็ลืมความรู้สึกเมื่อกี้เพราะความอยากรู้ “อะไร เกือบเหยียบแล้วเนี่ย”

เด็กหนุ่มย่นหน้า ก้มลงจับมือเชษฐ์ไชยขอร้อง

“ถ้ามีเวลา โทรหาผมหน่อยนะ อย่าหายเงียบไปเลย”

คนฟังชะงัก แล้วผุดยิ้มให้ “ได้ พี่ก็อยากคุยกับเธอเหมือนกัน จะได้มีกำลังใจสะสางงานไว ๆ”

ได้ยินวิริยะก็ใจชื้นขึ้น ยิ้มกว้างสดใสขึ้นเป็นกอง เอื้อมขยับเปิดประตูแล้วโน้มไปจูบแก้มเชษฐ์ไชยเป็นการลา โดยไม่อายว่าตอนนี้อยู่หน้าบ้านตัวเองแล้วใครจะเห็นหรือไม่ เชษฐ์ไชยรู้สึกอึ้งที่เด็กหนุ่มกล้าทำ แล้วอดที่จะยิ้มด้วยความดีใจไม่ได้ ที่วิริยะกล้าแสดงออกว่ารักเขามากกว่าเมื่อก่อน

จะทำให้รักให้หลงถึงไหนกัน

ชายหนุ่มยิ้ม ความร้อนของริมฝีปากนุ่มยังไม่จางหายไปจากแก้ม และจูบนั้นเป็นครั้งสุดท้าย ฝังใจเชษฐ์ไชยให้นึกถึงอยู่ตลอด เป็นเชื้อเพลิงให้เขามีกำลังใจรีบทำงานและรีบกลับไปหาเจ้าตัวไว ๆ อย่างที่สัญญากันไว้



ก่อนปิดเทอมเล็กทุกปีเป็นวันแม่ ทุกครั้งที่วิริยะเลิกเรียนกลับมาจะเห็นน้องแพรวากำลังมอบพวงมาลัยหรือก้มกราบอิงอรอยู่เสมอ บางครั้งจะเห็นพี่สาวกับน้องสาวอยู่ครบ เหลือก็แต่เด็กหนุ่มเท่านั้นที่ไม่มีแม่ วิริยะเลือกที่จะเดินขึ้นไปอยู่ด้านบน ไม่อยากเป็นก้างขวางคอ เขาไม่ได้ร้องไห้เสียใจที่ตัวเองอาภัพมารดา แค่รู้สึกโหวง ๆ ในใจเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเห็นคนอื่นมีแต่ตัวเองไม่

ตั้งแต่แยกกับเชษฐ์ไชยคราวนั้น ผ่านมาหลายเดือนจนถึงวันสำคัญของอิงอรอีกครั้งแล้ว

หลังจากแต่งตัวในชุดนักศึกษาเสร็จ วิริยะก็ถือกระเป๋าลงไปนั่งบนโต๊ะอาหาร เดี๋ยวนี้แม่เลี้ยงกับพี่สาวทำงานบ้านคล่องกว่าวิริยะ อิงอรออกไปเปิดร้านเล็ก ๆ หน้าปากซอย ส่วนทรายเรียนจบแล้วและกำลังทำงานอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มกับทรายต้องออกจากบ้านพร้อมกัน เธอจะไปส่งวิริยะเข้าเรียนทุกเช้า ช่วงไหนต้องเรียนสายก็ต้องโบกแท็กซี่

แพรวาอายุสิบเอ็ดขวบ กำลังจะโตเป็นสาว ช่างพูดช่างจ้อขึ้นทุกวัน

“พี่วิว วันนี้วันแม่ หนูจะซื้อพวงมาลัยให้แหละ” เธอเล่าเสียงใส เรียกรอยยิ้มคนที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดอาหารที่ครัวอย่างดี อิงอรหยิบจานชามมาวางไว้ตรงหน้าวิริยะ เอ่ยถามว่า “แกอยากกินอะไรพิเศษรึเปล่าวิว วันนี้ป้าเลี้ยง”

เด็กหนุ่มเงยมองคนถาม “ได้หมดเลยเหรอ”

“อื้ม” นางพยักหน้า

“แล้วคนอื่นอยากกินอะไรครับ”

“คนอื่นเขาบอกหมดแล้ว นี่ป้าถามแกอยู่ บอกมาเลย อะไรก็ได้” นางบอก ได้ยินแล้วนั้นวิริยะก็ยิ้มเผล่ รู้อยู่ว่าอิงอรขี้งกขนาดไหน “อยากกินอาหารทะเล แล้วก็...ล็อบสเตอร์ตัวใหญ่ ๆ”

“โอ้โห โลภมากเหลือเกิน ขออย่างนี้แม่ไม่ให้แกหรอกไอ้วิว!” ทรายเอ่ยแทรก ซึ่งวิริยะก็มุ่ยหน้าคิดอยู่แล้วว่าคงไม่ได้ อย่างน้อยก็ขออาหารทะเลมาก่อนก็ได้ คิดแล้วเด็กหนุ่มก็ก้มหน้าก้มตาทานก่อนที่จะสาย แล้วโดนทรายต่อว่าเหมือนทุกวัน

กิจวัตรของวิริยะดำเนินไปอย่างไม่หวือหวานัก เชษฐ์ไชยติดต่อมาหาเขาอยู่เรื่อย ๆ บอกว่าคิดถึงและทุกอย่างใกล้เรียบร้อยแล้ว อีกฝ่ายไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังมากมายนักว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทั้งที่เด็กหนุ่มกลัวและห่วงใยเหลือเกินที่เชษฐ์ไชยเอาตัวเองไปเสี่ยงเช่นนั้น

แต่เป็นเรื่องของครอบครัวอีกฝ่าย เดี๋ยวเชษฐ์ไชยคงเล่าให้ฟังเองนั่นแหละ เมื่อพร้อม

เด็กหนุ่มรู้ว่าหากถาม ต้องสะกิดแผลใจของเชษฐ์ไชยแน่

วิริยะนั่งแท็กซี่กลับมาถึงบ้านตามเวลาหลังจากเรียนเสร็จแล้ว ช้าหน่อยเพราะรถติด เมื่อลงมาได้ เด็กหนุ่มกระชับกระเป๋าสะพาย ทำใจแล้วว่าเมื่อก้าวเข้าไปจะต้องเจอภาพเดิมตั้งแต่เด็ก เหลือบไปเห็นธเนศยืนยิ้มภูมิใจมองลูกสาวทั้งสองคนกำลังกอดหอมมารดาหลังจากกราบไหว้ เมื่อได้ยินเสียงเด็กหนุ่มเปิดประตูบ้าน ผู้เป็นพ่อหันมายิ้มให้วิริยะแล้วรีบพูดด้วย

“วิว มานี่ซีลูก ป้าอรแจกตังค์ด้วยล่ะ” พูดจบทุกคนก็ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข

ใจวิริยะเจ็บหนึบเมื่อมองทั้งหมดยามอยู่ด้วยกัน รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินยังไงยังงั้น

“ไม่ละครับ ผมเหนื่อย”

พูดจบ วิริยะก็วิ่งขึ้นไปด้านบนโดยไม่เอ่ยอะไรต่อ เมื่อเห็นท่าทางเปลี่ยนไปของลูกชายแล้วธเนศก็ถอนใจ รู้อยู่ว่าเมื่อถึงวันนี้ทีไรวิริยะจะรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้ง ซึ่งตัวภรรยาก็รู้ดีว่าตัวเองเป็นตัวแปรสำคัญ อิงอรลุกขึ้นไปแตะต้นแขนบอกสามีว่าจะขึ้นไปหาวิริยะเอง หลังจากจัดแจงโต๊ะอาหารมื้อสำคัญของครอบครัวอย่างดีแล้ว นางจึงตัดสินใจเดินขึ้นไปหาลูกเลี้ยงผู้เป็นไม้เบื่อไม้เมากันตั้งแต่ก่อน

อิงอรหยุดอยู่หน้าห้องพักของวิริยะครู่หนึ่ง แล้วเคาะเรียก “วิว ลงไปกินข้าว”

คนด้านในไม่ได้ตอบทันที แต่ก็ยอมในท้ายที่สุด “ป้าอรลงไปกินเลยครับ ผมอยากนอนพักก่อน”

“แต่ทุกคนรออยู่นะ”

“ไม่ต้องรอ กินกันไปก่อนเลยครับ วันนี้ไม่ใช่วันของผม เป็นวันของป้าอรต่างหาก” ได้ฟังแล้วอิงอรถอนใจ เพราะความปากหนักทำให้หล่อนไม่กล้าเอ่ยอะไรออกไปในตอนนั้น นางยอมพ่ายแพ้แล้วลงไปด้านล่าง ทานอาหารอย่างที่วิริยะต้องการ แม้จะยังพะวงถึงว่าเด็กหนุ่มจะเป็นอย่างไรจนธเนศจับสังเกตได้

หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จแล้ว ใช้เวลาครอบครัวด้วยกันโดยปราศจากวิริยะ อิงอรก็ขึ้นมาที่ห้องพัก หวังจะชำระร่างกายแล้วนอน เมื่อเปิดประตูเข้าไป นางชะงักเข้ากับกลิ่นหอมของดอกไม้ กวาดหาอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นพวงมาลัยสีขาว วางอยู่ที่หมอนของนางราวตั้งใจบอกว่ามอบให้ใคร

เมื่อได้เห็น ใจของอิงอรเคว้ง ทรุดตัวนั่งแล้วหยิบมันขึ้นมามองทั้งน้ำตา

เด็กบ้า ทำไมต้องทำอย่างนี้

ธเนศที่เพิ่งเดินตามมาถึงห้องพัก เห็นภรรยานั่งหันหลัง ตัวสั่นสะอื้นอยู่เงียบ ๆ คนเดียวก็แปลกใจ เดินไปเห็นกำลังกุมจับพวงมาลัยพวงหนึ่งอยู่ก็พอเข้าใจ ทรุดตัวนั่งลงข้างกายแล้วลูบบ่าปลอบให้คลายน้ำตาไหล ถามนางเสียงแผ่วว่า “รู้ใช่ไหมว่ามาลัยพวงนี้ของใคร”

อิงอรสะอื้นฮึก “รู้ค่ะ...” รู้สึกผิดต่อผู้ให้อย่างจับใจ

“สักวันวิวจะเอาเข้ามาให้ด้วยตัวเอง พี่รู้”

อิงอรพยักหน้ารับพลางก้มลงสูดดมของในมือทั้งน้ำตา  หวังว่าสักวันเด็กคนนั้นจะยกโทษให้นาง

วิริยะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ลงมาด้านล่างเพื่อทานอาหารหลังตื่นจากงีบ ดูเหมือนทุกคนแยกย้ายขึ้นไปพักผ่อนกันหมด แล้วเปิดเพียงไฟครัวรอให้วิริยะทานส่วนที่แบ่งไว้เท่านั้น ไปถึงโต๊ะอาหาร เห็นฝาชีครอบกับข้าวไว้อย่างเรียบง่าย

วิริยะเปิดมันออกพร้อมที่จะกิน หากทว่าใจเด็กหนุ่มสะเทือนไหว เมื่อเห็นว่าของตรงหน้าเป็นสิ่งที่ตัวเองขอไปเมื่อเช้า เมื่อวิริยะไม่ลงมาทาน อิงอรก็จัดการห่อหุ้มพลาสติกไว้ให้อย่างเรียบร้อย แล้วติดโน้ตบอกว่าให้อุ่นก่อนทานด้วย

วิริยะมือสั่น มองกุ้งตัวใหญ่โตตรงหน้าทั้งน้ำตา แล้วเคลื่อนมือสั่นเปิดออกกินทั้งอย่างนั้นเงียบ ๆ คนเดียว ลิ้นของเด็กหนุ่มไม่รับรสชาติเพราะกำลังร้องไห้ รู้สึกไม่อร่อยเลย แต่รู้ว่าต้องทานให้หมด เพราะอิงอรอุตส่าห์หามาให้จนได้

อิงอรกำลังพยายามเข้าหา แต่เขาก็เอาแต่ปิดกั้น...

อยากขอโทษ



ความสัมพันธ์เรื่องครอบครัวของวิริยะดีมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ เด็กหนุ่มยังคงตั้งใจเรียนไม่ต่างจากเฝ้ารอให้เชษฐ์ไชยติดต่อมากเท่าใดนัก จนกระทั่งวันนี้ วิริยะแปลกใจที่เห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่หน้าบ้าน เมื่อลงจากแท็กซี่ได้เด็กหนุ่มก็รีบสาวเท้าเข้าไปด้านใน หวังว่าจะเป็นคนที่กำลังนึกถึงอยู่ ซึ่งครั้นเปิดประตูและเห็นว่าใครกำลังนั่งคุยกับบิดา วิริยะก็คลี่ยิ้มกว้างแล้ววิ่งไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้า

“อาอัฐษ์!”

ได้ยิน ชายสวมสูทเรียบร้อยตรงหน้าละรอยยิ้มความดีใจที่เจอกัน คิดว่าวิริยะจะเข้ามาทักทายดี ๆ เสียอีก “ก็ได้ งั้นกลับล่ะ”

“โอ๋ ๆ ๆ อย่างอนสิ แกล้งแค่นิดเดียวเอง”

วิริยะหัวเราะเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้าเคืองของคนตัวใหญ่ต่อหน้า แล้วขยับเข้าไปทรุดนั่งข้างเชษฐ์ไชยไม่สนว่าธเนศกำลังมองอยู่ ครั้นได้กลับมาพบอีกที ผ่านมาหลายเดือน เชษฐ์ไชยแลดูเปลี่ยนไปมาก ผิวขาวสะอ้านขึ้น คงเพราะไม่ได้ทำงานตากแดดอย่างเมื่อก่อน ผิดไปจากไอ้พี่หนวดผมยาวหน้าลิงที่มักสวมเสื้อยืดและคอมแบทที่เจอกันครั้งแรก

ผู้เป็นพ่อกระแอมเมื่อเห็นสายตาลูกชายมองเชษฐ์ไชย ให้มันลดท่าทางกระดี๊กระด๊าลงหน่อย เดี๋ยวเสียราคา “คุณเชษฐ์เขามาคุยธุระเรื่องวิว ว่าจะชวนไปอยู่ไร่ช่วงปิดเทอม”

ได้ฟังวิริยะก็อ้าปากเหวอ “จริงเหรอ แล้วพ่อให้ไปไหมครับ!”

เมื่อเห็นสายตาราวลูกแมวของวิริยะ นี่มั่นใจแล้วใช่ไหมว่ากำลังถาม ไม่ใช่ว่ากำลังอ้อนขอไป

“ให้ พ่อให้อยู่แล้ว แต่...” วิริยะกำลังจะดีใจอยู่แล้วเชียว เด็กหนุ่มมุ่ยหน้าเมื่อเห็นสายตาดุของธเนศ ขณะที่เจ้าตัวยกนิ้วชี้ออกคำสั่ง แล้วหมุนไปหาเชษฐ์ไชยเป็นการตักเตือนว่า “ถ้าวิวทำอะไรผิดไปก็ต้องสอนด้วยเหตุผล อย่าให้ผมได้ยินข่าวว่าคุณทำร้ายลูกชายผมเด็ดขาด”

“พ่อ...” วิริยะส่ายหน้า เชษฐ์ไชยกล้าทำเขาเสียที่ไหนเล่า

“ครับคุณพ่อ ผมจะทำตามสัญญาที่บอกไว้ตั้งแต่วันนั้น”

วิริยะมองทั้งสองด้วยความไม่เข้าใจว่าไปให้คำสัญญาอะไรกันตั้งแต่เมื่อไร แต่เมื่อเด็กหนุ่มเห็นแววตาพึงพอใจของบิดาแล้วทำให้รู้สึกถึงเค้าลางที่ดี ว่าหากวันใดวันหนึ่งเชษฐ์ไชยอยากขอเขาไปอยู่ที่ไร่ด้วย อาจได้คำอนุมัติจากพ่อตาง่ายกว่าที่คิด

วิริยะคลี่ยิ้ม เชษฐ์ไชยควรขอบคุณเขาที่โม้เรื่องเจ้าตัวให้ธเนศฟังอยู่บ่อย ๆ และทำคะแนนให้อยู่ตลอด ไม่อย่างนั้นอย่าฝันว่าจะผ่านด่านพ่อตาคนนี้ไปได้ง่าย ๆ เห็นดี ๆ เงียบ ๆ เช่นนี้ พ่อของเขาก็ดุไม่เบา อย่าให้คนใจดีกลายร่างเป็นยักษ์ก็แล้วกัน เพราะอย่างนั้นห้ามผิดคำพูดเด็ดขาด

เชษฐ์ไชยยังไม่ได้เล่าว่าจัดการเรื่องทุกอย่างแล้วเสร็จดีหรือไม่ เมื่อเห็นคนตัวใหญ่อารมณ์ดีในขณะพาเขามุ่งตรงไปยังไร่รุ่งอรุณีที่คิดถึง วิริยะก็พลอยยิ้มตามไปด้วย พอให้เดาได้ลาง ๆ ว่าทุกอย่างคงจบไปแล้ว และเมื่อพร้อม เชษฐ์ไชยคงยอมเล่าให้ฟังทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เกี่ยวกับช่วงที่ไม่ได้เจอกัน

ดูเหมือนทุกคนที่ไร่จะรู้ว่าวิริยะกับเชษฐ์ไชยกำลังเดินทางกลับ เมื่อไปถึง เด็กหนุ่มเห็นเหล่าแม่บ้านและอัษฐไชยยืนรออยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา พ่วงด้วยชาติและดำที่ยืนอยู่ไม่ห่าง หลัง ๆ มานี้วิริยะเห็นทั้งสามอยู่ด้วยกันบ่อย คงเพราะช่วงที่เชษฐ์ไชยไม่อยู่เลยสนิทกันกระมัง แต่กลับมาคราวนี้อัฐษไชยแลดูแข็งแรงและตัวโตขึ้นมาก ราวกับสองพี่น้องคู่นี้ยังคงสลับสถานะกันอยู่

เมื่อได้พบกันอีกครั้ง ทั้งหมดก็อยู่ทักทายตามประสาคนไม่ได้เจอกันนาน แต่ครั้นเห็นวิริยะพูดคุยกับน้องตัวเองทีไร เชษฐ์ไชยก็แยกเขี้ยวใส่อัฐษไชยราวกับเป็นเสือหวงเหยื่อ แล้ววิริยะก็เพียงแค่ส่ายหน้าขำ ทำได้แค่เพียงหันกลับไปยิ้มให้เท่านั้น เมื่อถูกเจ้าของบ้านตัวจริงบังคับพาหนีขึ้นไปด้านบน “อาเชษฐ์ ผมกำลังคุยกับอาอัฐษ์อยู่นะ”

คนเดินนำลากวิริยะมุ่งตรงไปที่ห้องพัก “พี่ไม่ชอบให้วิวมองมันด้วยสายตาแบบนั้น”

“ก็อาอัฐษ์หล่อนี่นา ขนาดลองปล่อยหนวดปล่อยเครายังกลบความหล่อไม่ได้ ทำแบบไหนก็ดูเข้าไปหมด”

“จะยั่วโมโหพี่ใช่ไหม” เชษฐ์ไชยถามพลางเปิดประตูพาวิริยะเข้าไป

เด็กหนุ่มหลุดยิ้ม

“ผมพูดความจริงนะครับ แต่ถึงอาอัฐษ์จะหล่อยังไง ผมก็รักอาเชษฐ์คนเดียวนั่นแหละ”

ค่อยโล่งอกหน่อย

ซะที่ไหนเล่า!

เชษฐ์ไชยถอนใจ มองวิริยะที่ทำหน้าลิงค่างล้อเลียนแล้วอดที่จะจับฟัดไม่ได้ ชอบกวนประสาทกันดีนัก คิดแล้วเจ้าของร่างใหญ่ก็กระโจนเข้าหาเด็กหนุ่มโดยวิริยะไม่ทันรู้ตัว เห็นไอ้แสบหน้าเหวอ ตาเหลือกราวไข่ห่านล้มทั้งยืนลงบนเตียง จากนั้นก็หัวเราะคิกเมื่อถูกเขาแกล้งด้วยการจั๊กจี้ ทีแรกก็นึกสนุกใช้มือ แต่หลัง ๆ เริ่มใช้ปากแทนจนวิริยะร้องปรามเสียงลั่น

ทั้งสองใช้เวลามองตา ขณะที่ต่อสู้แกล้งกันไปมาบนเตียง แล้วระบายยิ้ม ความรู้สึกยามอยู่ด้วยกันยังคงอบอวลด้วยรักเหมือนเดิม แม้จะห่างหายไปหลายเดือนและได้ยินเพียงเสียงของกันและกันเท่านั้น

วิริยะหอบเหนื่อยในท้ายที่สุด เด็กหนุ่มพริ้มตารับจูบเชษฐ์ไชย ร่างใหญ่ขยับมาอยู่บนตัว เพื่อบอกว่าคิดถึงเพียงไหนได้อย่างถนัดถนี่กว่าเดิม แม้เวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันจะนาน แต่ทุกอย่างมันพิสูจน์ให้ทั้งคู่เชื่อมั่นต่อกันว่าต่างฝ่ายต่างไม่ได้ตัดสินใจผิด และยังคงยึดมั่นในปณิธานของตัวเอง ราวกับว่าทุกอย่างเพิ่งจะผ่านไปเหมือนเป็นเพียงแค่ เมื่อวาน...

 
---------------------------------------------


หัวข้อ: Re: **{21.5.61-ตอนที่ ๒๑--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 21-05-2018 23:41:45

--ต่อ--

5 ปีผ่านไป

ทุกอย่างในไร่รุ่งอรุณีไม่ได้เปลี่ยนไปนัก นอกจากความร่ำรวยและยิ่งใหญ่ของเชษฐ์ไชย หอพักที่คิดว่าพอกลับต้องสร้างเพิ่มมาใหม่ ฝั่งละสองชั้นเพื่อรองรับคนงาน อาณาเขตปกครองของเชษฐ์ไชยขยายกว้างเพิ่มขึ้น แต่เจ้าของไร่ไม่ได้หนักใจที่จะดูแลผู้คนใต้คำสั่ง เพราะมีคนงานที่ไว้วางใจได้ช่วยเหลืออยู่ตลอดหลังจากสะสางปัญหา

ตลอดสองข้างทางที่เข้ามาในไร่ มีบ้านผุดขึ้นมาใหม่สองหลัง หลังหนึ่งของดำที่เก็บเงินสร้าง ส่วนที่ดินแถวนั้น เชษฐ์ไชยยกให้แปลงหนึ่งเพราะนึกถึงความซื่อสัตย์ที่ดำมีให้หลายปี ทุกวันนี้หนุ่มอีสานมีบ้านและรถ เป็นหัวหน้าคนงานหนุ่มโสด ที่ยังคงขยันขันแข็งและเป็นที่หมายปองของสาว ๆ ในไร่

ส่วนชาติ เชษฐ์ไชยไม่ชอบขี้หน้าเลยไม่ให้ฟรี ๆ แต่มันก็เก็บเงินแล้วบังคับขอซื้อที่และสร้างบ้านแถวนั้นด้วย เวลาอัฐษไชยมาเยี่ยมทีไร ชอบไปนอนค้างที่นั่นเป็นประจำ

เพื่อนร่วมกลุ่มของดำบ้างก็ออกไปทำงานที่อื่น บ้างก็มีครอบครัว เหลือเพียงแค่ไท หมอก และเหนือที่ยังคงทำงานในหน้าที่หัวหน้าแทนรุ่นก่อน ๆ ไทกับเหนือมีเมียแล้ว กำลังตั้งท้องแก่ใกล้คลอด ก็ตา พี่สาวตัวอวบของวิริยะนั่นแหละ

ตอนแรกตาคิดว่าจะลงรอยกับดำเพราะฝีมือวิริยะ แต่ไป ๆ มา ๆ โดนไทจับทำเมียเพราะสเป็กเป็นผู้หญิงอวบ ส่วนส้มกำลังท้องลูกคนที่สองกับเหนือ สองคนนี้เคยเห็นแอบมองกันบ่อย ๆ เป็นคู่ที่น่ารักไม่หยอก จะเหลือก็แต่หมอกและดำนี่แหละที่สาว ๆ เห็นว่าดีและอยากได้ทำพ่อของลูก

เสียงเจื้อยแจ้วของเด็ก ๆ ราวสี่ห้าชีวิตกำลังจับกลุ่มเล่นกัน ขณะที่พ่อแม่ทำงานในไร่ในช่วงบ่ายแก่ของวัน หลังจากเพื่อนออกความเห็นว่าให้เล่นพ่อแม่ลูก หนุ่มน้อยคนหนึ่งเอาแต่ใจหวังจะจับคู่กับเพื่อนชายคนสนิท ในขณะที่คนอื่นออกความเห็นว่าไม่ได้ แต่หนุ่มน้อยก็เถียงจนคอขึ้นเอ็นว่าได้

“ไนน์เป็นผู้ชายจะไปเป็นเมียไอ้บอยได้ยังไง” เพื่อนคนอื่นว่า

เด็กน้อยพองแก้ม “ทำไมจะไม่ได้ ทีคุณวิวยังเป็นเมียลุงเชษฐ์ได้เลย”

เพื่อน ๆ คนอื่นพูดไม่ออก เพราะเห็นกันอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร นายเชษฐ์เป็นผู้ชายน่ากลัว แต่มีเมียใจดีจนพวกเด็ก ๆ รักและหลงกันมาก ถึงจะกลัวคนหน้ายักษ์ แต่พวกเด็กน้อยทั้งหลายต่างพากันวิ่งฝ่าความกลัวไปหาเมียของเจ้านายกันบ่อย ไปช่วยจับโน่นหยิบนี่ หรือไม่ก็นวดให้ แล้วมักจะได้ขนมรึไม่ก็เงินกลับมาอวดกัน

“บอยบอกมาว่าอยากได้เราเป็นเมียไหม มีเมียแบบคุณวิวดีจะตาย ใจดีด้วย ถ้าไม่อยากได้เราจะไปเป็นเมียของต้นแทนแล้วนะ” คนกอดอกทำหน้างอ เมื่อเห็นตัวอย่างที่ยกขึ้นมาแล้ว ดูเหมือนทุกคนอยากได้หนุ่มน้อยคนนี้ อยากมีเมียเหมือนคุณวิวกันยกแกงค์  “เรา เราอยาก!”

“ไม่ได้! เราอิ๊บแล้ว” บอยรีบพูด

เมื่อเห็นว่าเพื่อนยอมรับแล้ว เด็กน้อยผิวขาวสะอ้าน แต่งตัวดีและสะอาดกว่าคนอื่นก็ทำเป็นกอดอก ยื่นหน้าหน้าตาน่ารักเข้าไปให้บอย ซึ่งคนถูกกระทำงง ทำหน้าไม่รู้เรื่องมองด้วยความไม่เข้าใจ คนกอดอกจึงยู่หน้าจนแก้มใหญ่พองกว่าเก่าบอกว่า “ก็ทำแบบที่ลุงเชษฐ์ทำทุกวันไง จุ๊บอะ”

“ใช่ นายเชษฐ์ทำทุกวันเลย” เพื่อนคนอื่นเออออ

เพื่อนหนุ่มได้ยินก็เขินหน้าแดงเมื่อนึกถึงตอนเจ้านายทำกับเมีย ไม่กล้าเลียนแบบ แต่เมื่อเห็นว่าทุกสายตาจับจ้อง ก็จำต้องยอมทำตาม ทั้งที่ตัวเองไม่อยากเป็นเชษฐ์ไชยเลย ไม่หล่อ แถมใจร้าย เจอกันทีไรก็ทำเสียงดุ คอยใช้สายตาพิฆาตมองมาอยู่เรื่อยจนพวกเขาตัวสั่นไปหมด เวลาเห็นเชษฐ์ไชยทีไรเด็ก ๆ มักจะเลี่ยงกันประจำ

ที่สำคัญ บอยเคยเดินผ่านกระท่อมท้ายไร่ที่เชษฐ์ไชยห้ามคนเข้าไปในช่วงหัวค่ำ แล้วรู้ความลับเข้าว่านายใหญ่ชอบทำร้ายร่างกายเมีย จนได้ยินเสียงของคุณวิวร้องออกมาตั้งนานสองนาน

แต่ที่แปลกคือเมื่อกลับไปถึงห้องพัก บอยฟ้องพ่อกับแม่ว่าเจออะไรที่นั่น แต่เด็กน้อยกลับถูกพ่อแม่หัวเราะใส่กันยกใหญ่ จากนั้นก็โดนห้ามไม่ให้เดินผ่านตรงนั้นอีก ไม่อย่างนั้นจะโดนนายเชษฐ์ตีอย่างที่ทำกับเมียเข้าสักวัน บอยรู้สึกกลัวคำขู่ของพ่อกับแม่ เพราะเสียงของคุณวิวดูทุรนทุรายเหลือเกิน ตั้งแต่วันนั้น เด็กหนุ่มจึงไม่กล้าเดินไปใกล้กระท่อมหลังนั้นของนายเชษฐ์อีกเลย

“ไนน์! คุณวิวเรียกให้กลับบ้านแล้ว” เด็กน้อยคนหนึ่งวิ่งมาบอก แล้วอวดเพื่อน “นี่! คุณวิวให้ตังค์เราด้วย”

“ไหน ได้แบงค์สีอะไร” ทุกคนตื่นเต้น

“สีแดง” หนุ่มน้อยทำหน้าภาคภูมิใจ

“โอโห้ แบงค์สีแดงซื้อได้เยอะด้วย ไปเถอะ ไปหาคุณวิวกัน ไนน์”

“ไปด้วย” เด็ก ๆ คนอื่นกำลังจะวิ่งไป เหลือแต่บอยที่รู้ว่า อีกไม่นานจะเลิกงานแล้วเชษฐ์ไชยจะกลับมาพอดี เขากลัวที่จะเจอคนดุจนไม่กล้าไปหาคุณวิว หนุ่มน้อยนามว่าไนน์ชะงัก แล้วหมุนตัวกลับไปมองเพื่อนตาแป๋ว วิ่งดุ๊กดิ๊กไปจูงแขนบังคับให้บอยตามมาด้วย

บอยส่ายหน้า “เราไม่ไป เราไม่อยากโดนนายเชษฐ์ดุ”

“ลุงเชษฐ์ไม่ดุหรอกน่า” ไนน์บอก

“ก็ไนน์เป็นหลานนายเชษฐ์นี่นา”

คนเดินนำหน้าคลี่ยิ้มจนแก้มตึง “เดี๋ยวเราช่วยบอยเอง”

ด้วยความที่อยากเจอคุณวิวมาก บอยยอมเชื่อว่าไนน์จะสามารถทำให้ลุงไม่โกรธได้ ทั้งหมดจึงพากันยกโขยงไปยังบ้านหลังใหญ่ที่ปลูกดอกไม้สีขาวกลิ่นหอมไว้ทั่ว เห็นคุณวิวกำลังนั่งรอไนน์ที่โต๊ะเหล็กตัวสีขาวอยู่หน้าบ้าน ซึ่งเมื่อเห็นเด็ก ๆ วิ่งตามหลานชายมาทั้งหมด คนรอก็รู้ดีว่าเจ้าตัวดีที่ได้เงินเพราะช่วยงานเมื่อครู่วิ่งไปอวด

ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม เมื่อเห็นเด็กห้าขวบแก้มยุ้ยวิ่งเป็นหัวโจกมาหา ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยเหงื่อและปอนเปื้อนไปด้วยดินทราย “คุณวิว เมื่อกี้คุณวิวให้เงินพี่สกายเหรอครับ ไนน์ขอบ้างสิ” เด็กน้อยทำเสียงแจ้ว หากทว่าคนตัวโตที่สุดยกมือเช็ดเหงื่อให้ไอ้ตัวแสบตรงหน้า

“ไปอาบน้ำก่อนแล้วพี่จะให้ จะถึงเวลามื้อเย็นแล้ว ถ้าลุงเชษฐ์กลับมาแล้วเห็นว่าเราตัวเลอะเทอะสกปรกแบบนี้ มีดุนะ” วิริยะมองเด็กตัวน้อยตรงหน้าอย่างนึกมันเขี้ยว จำได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ยังเห็นตัวแดง ๆ ผู้เป็นแม่หอบมาทั้งน้ำตาแล้วขอร้องให้รับเลี้ยงลูกไว้อยู่เลย เวลาผ่านไปไวเหลือเกิน

จำได้ว่าตอนนั้น แม่ต้อยร้องไห้เสียใจที่หน่อยเกเรและทำตัวเหลวแหลก ส่งไปเรียนในเมืองกลับท้องไม่มีพ่อเสียได้ ผู้ชายก็ไม่ยอมรับเด็กคนนี้จนต้องหอบกลับบ้านมาให้แม่และคนอื่นเลี้ยง

เชษฐ์ไชยโกรธมาก วันนั้นถือไม้เรียวตีหน่อยไปหลายทีที่ไม่รักดี จนวิริยะต้องห้ามเพราะสงสาร และขอรับไนน์มาเลี้ยงเอง ยังไงเด็กก็เกิดมาแล้วและน่ารักมาด้วย ทั้งหมดจึงช่วยกันถู ๆ ไถ ๆ เลี้ยงมาได้จนโตเท่านี้

วิริยะต้องไปเรียนและกลับมาทุกครั้งจะเห็นว่าไนน์โตขึ้นมาก ตอนนี้แม่ของเจ้าตัวก็ยังเรียนไม่จบ แวะมาหาบ้างเป็นบางครั้งจนเด็กน้อยชาชินกับการถูกมองว่าไม่มีพ่อแม่แล้ว

ไนน์ดื้อตามประสาเด็ก แต่ติดวิริยะแจ เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเชษฐ์ไชยรองลงมาจากชาติ คุณลุงนี่ก็ขี้หวงแม้กระทั่งกับเด็ก ชอบมาบ่นให้วิริยะฟังว่าไนน์แย่งความรักจากเขาไปหมดแล้ว คิดแล้ววิริยะก็คลี่ยิ้ม

ทุกอย่างผ่านไปไวเหลือเกิน ตั้งแต่เชษฐ์ไชยมารับวิริยะคราวนั้น ทุกครั้งที่ปิดเทอมหรือมีวันหยุดยาวก็จะมาอยู่ที่นี่ เมื่อหมดวันหยุดก็ต้องกลับไปเรียนจนจบ ตอนนี้วิริยะอายุยี่สิบสี่ปี เชษฐ์ไชยย่างสามสิบแปด หลังเรียนจบนายใหญ่ของไร่รุ่งอรุณีก็ไปขอรับวิริยะมาอยู่ด้วย พูดง่าย ๆ ว่าอยู่กันฉันผัวเมียในสายตาคนทั้งไร่

ตอนนี้วิริยะอยู่กับเชษฐ์ไชยได้ปีกว่าแล้ว ความรักของทั้งสองกำลังหวานชื่น เพียงแค่ไม่ค่อยมีเวลาเท่านั้นเอง ทางเชษฐ์ไชยก็ทำงานหนัก ส่วนวิริยะก็ยุ่งอยู่กับการเลี้ยงหลาน แต่เจ้าตัวก็ส่งเงินให้ครอบครัววิริยะอยู่ทุกเดือน พูดเพียงว่าเอาลูกชายเขามาอยู่ด้วย ถึงจะเป็นฝ่ายหาเลี้ยงวิริยะก็จริง แต่ชายหนุ่มก็เรียนจบแล้วและหากทำงาน ก็เป็นที่พึ่งของครอบครัวคนหนึ่งเลยเหมือนกัน ฉะนั้นขอลูกเขามาแล้ว เชษฐ์ไชยต้องรับผิดชอบส่วนนี้แทนวิริยะด้วย

ถึงจะงานเยอะ แต่เชษฐ์ไชยก็ไม่หักโหมเพราะกลัวถูกเมียทิ้ง ถึงวันหยุดทีไรจะพาวิริยะไปหาครอบครัว รับไปเที่ยวกันทั้งหมด แม้แต่พากันยกโขยงไปเที่ยวต่างประเทศก็หลายรอบแล้ว แม้ที่ไร่จะไม่มีแสงสีหรืออะไรหวือหวา แต่วิริยะกลับรู้สึกว่ามีความสุขเหลือเกิน

เสียงรถยนต์คันใหญ่แล่นมาจอดที่สวน บอกเด็ก ๆ ทั้งหลายว่าเสือใหญ่น่ากลัวของไร่มาแล้ว วิริยะรู้ว่าเด็ก ๆ ไม่ชอบเชษฐ์ไชยเลย เพราะหน้าดุ ๆ และชอบทำเสียงห้วนเวลาพูด ทั้งที่ความจริงยามอยู่กับเขาก็เสียงอ่อนเสียงหวานเป็นคนละคน ยังดีที่ไนน์ยอมตามแม่บ้านไปอาบน้ำแล้วเพราะถูกดุ ทิ้งให้เหล่าลิงทั้งหลายวิ่งเล่นอยู่แถวนี้เพราะชายหนุ่มบอกให้รอไนน์ด้วย

เสียงฝีเท้าและกุญแจรถกระทบกันดังมาตามทาง เผยร่างสูงใหญ่ผิวคร้ามแดดเดินตรงมายังมุมนี้ วิริยะฉีกยิ้มเมื่อเห็นเชษฐ์ไชยถอดหมวก เสยผมสั้นเปียกเหงื่อของตัวเองไปพลางและถอดเสื้อแขนยาวไปพลางเมื่อถึงบ้าน

“มาแล้วเหรอครับ” วิริยะเงยมองคนตรงหน้า

มาถึงก็โน้มลงจุ๊บปากเมียเป็นการทักทาย

“มาแล้ว ร้อนเป็นบ้า” ไม่อายสายตาเด็ก ๆ ที่มองอยู่สักนิด

มือหนาวางเงินฟ่อนใหญ่ที่เหลือจากการแจกจ่ายให้คนงานไว้ในมือวิริยะ ให้เอาไปเก็บหรือใช้ตามต้องการ เชษฐ์ไชยไม่เคยถามว่าเงินในตู้เซฟหายไปไหน ยกหน้าที่ให้วิริยะจัดการหมดทุกอย่าง แม้แต่ค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ ในบ้านก็ยกให้วิริยะทำหมด หลังจากทักทายเมียตัวเองแล้ว นายใหญ่ของไร่ก็มองรอบกายอยู่พักหนึ่ง ถามหาไอ้ตัวดี “ไนน์ไปไหน”

วิริยะพยักพเยิดเข้าไปในบ้าน “อาบน้ำครับ นั่นไง ออกมาพอดี”

“จะหกโมงแล้วเพิ่งหาทางกลับบ้านเจอเหรอไนน์” คนโหดทำเสียงดัง

วิริยะส่ายหน้าให้คนรัก ชอบทำเป็นดุอย่างนี้อยู่เรื่อย

“จะถึงเวลากินข้าวแล้วนะ” วิริยะจับมือเด็กน้อยตรงหน้าบอก

“ไนน์ไม่อยากกิน ยายทำกับข้าวไม่อร่อยเลย ผักเยอะมาก”

“ก็ตัวเองไม่ยอมกินผักเองนี่ เพื่อนคนอื่นเขากินได้หมด ไหนใครกินผักเก่งบ้าง” วิริยะหันไปถามเด็ก ๆ ที่เหลือ ทุกคนกระโดดยกมือบอกว่าตัวเองกินได้ทั้งหมด เห็นแล้วเด็กน้อยก็หน้าจ๋อย ถึงไม่อยากกินแต่อยากเก่งเหมือนเพื่อนบ้าง เห็นแล้ววิริยะก็ยกยิ้ม “งั้นให้กินข้าวกับเพื่อน ๆ อยู่หน้าบ้านนี่แหละ ใครกินหมดก่อนพี่จะให้รางวัล อิน เอาเสื่อมาปูแล้วเอากับข้าวมาวางตรงนี้”

“ตรงนี้เลยเหรอคะคุณวิว” เด็กสาวย้อน แล้วมองเชษฐ์ไชย

“ตามใจเมียฉันซี” ชายหนุ่มกอดอก “อ้อ ถ้าใครไม่ทำงานแลกอย่าให้เงินมันสักบาทนะวิว”

แล้วเดินแยกขึ้นไปข้างบนเพราะความร้อนอบอ้าว อยากไปอาบน้ำแล้วจะได้กอดวิริยะสะดวกขึ้นหน่อย หากไม่สะอาดมีหรือเจ้าตัวจะให้กอดให้หอม

ดูเหมือนหลานชายตัวดีจะบ้ายอ เมื่อให้นั่งร่วมวงทานข้าวกันอยู่หน้าบ้านกับเพื่อน ทุกคนก็แข่งกันยกใหญ่ วิริยะทิ้งเงินไว้กับพี่เลี้ยงให้แจกจ่ายเด็ก ๆ หลังจากที่ทานเสร็จ แล้วบอกว่าให้เล่นกันอยู่แถวนั้นก็พอเพราะใกล้ค่ำแล้ว อีกไม่นานไนน์จะต้องเข้าบ้าน ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินขึ้นไปด้านบน

เข้าไปในห้องพัก เห็นเชษฐ์ไชยกำลังสวมเสื้อผ้าหลังอาบน้ำเสร็จ วิริยะง่วนอยู่กับการเก็บเงินเข้าตู้เซฟข้างเตียง ครั้นลุกขึ้นยืน ขยับถอยหลังหวังจะหมุนตัวไปอีกทิศก็สะดุด ล้มลงไปนั่งบนตักของเชษฐ์ไชยที่มาทรุดอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ ชายหนุ่มหันไปหาคนด้านหลังเพราะความตกใจนิด ๆ แล้วเปลี่ยนมายิ้ม เมื่อเห็นใบหน้าเจ้าเล่ห์ของเจ้าของตัก

“ยิ้มอะไรครับ พี่เชษฐ์”

ลำแขนยาวกอดเอววิริยะแน่น “ยิ้มให้เมียมันแปลกรึไง”

“ไม่แปลกหรอก ถ้ามือไม่ล้วงขนาดนี้” วิริยะก้มลงมองร่างกายตัวเอง ยามถูกมือใหญ่ก่อกวน

“วันนี้จะไปนอนเฝ้าไร่ ไปนอนเป็นเพื่อนพี่ไหม”

คนฟังหลับตาชังให้ “ไปทีไรไม่เห็นได้นอนซักที”

“สรุปไม่ไป”

วิริยะอึกอัก เป็นห่วง ไม่อยากให้เชษฐ์ไชยอยู่คนเดียวที่ไร่ “ปะ ไปครับ”

คนฟังแหงนขึ้นมามองแล้วคลี่ยิ้ม “พี่ซ่อมแคร่ตรงนั้นแล้ว รับรองไม่มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดแน่ จะมีก็แต่เสียงร้องใครบางคนนั่นแหละ อายนักก็เก็บให้ดีล่ะ” พูดจบก็จูบบนหลังสองสามที ไม่อยากออกอาการว่าหลงเมียให้ได้ใจนัก แต่ก็หักห้ามตัวเองไม่เคยได้

ก็มันหลงจริง ๆ นี่...

เห็นว่าได้เมียมานอนกอดอย่างนี้เป็นปี แต่นาน ๆ ทีจะได้ทำการบ้านเหมือนกัน ไหนตัวเองจะกลับมานอนสลบปางตาย ไหนบางวันจะมีก้างตัวเล็ก ๆ นอนกอดเมียเขาอีก หาโอกาสได้เชษฐ์ไชยก็ต้องไขว่คว้าสุดชีวิต เพราะค่าตัววิริยะมันแพง

คนถูกฝังริมฝีปากทั่วหลังมุ่นคิ้วเล็กน้อย ก็เชษฐ์ไชยน่ะซี เอาแต่คิดวิธีทำเรื่องทะลึ่งกับวิริยะ คราวที่แล้วไอ้เขาก็เชื่อที่เจ้าตัวบอกว่านอนคนเดียวแล้วรู้สึกกลัว เลยไปอยู่เป็นเพื่อน ที่ไหนได้ เชษฐ์ไชยก็แค่หาโอกาสจู๋จี๋กับเขานอกสถานที่เท่านั้นเอง คิดแล้ววิริยะก็ถอนใจ เปลี่ยนมาคิดในแง่ดีว่าอีกฝ่ายคงรักเขามาก และไม่อยากให้ความรู้สึกมันจืดชืดลงไป เลยหาอะไรที่มันตื่นเต้นทำอยู่เรื่อย

เพียงแค่วิธีการของเชษฐ์ไชยมันออกจะ...แปลกไปสักหน่อยเท่านั้นเอง

วิริยะก้มมองเจ้าของนัยน์ตาคมที่กำลังกกกอดแล้วผุดยิ้มขึ้นมา เมื่อเห็นว่าภายในนั้นยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและเอ็นดูยามสบกัน นิ้วมือเรียวยาวยกขึ้นแตะบนใบหน้าคมคาย จูบไปจนถ้วนทั่วให้เปื้อนน้ำลายสมกับความรักที่มีให้ ดูเหมือนเขาจะไม่ถูกอีกฝ่ายต่อว่า หนำซ้ำคนถูกกระทำยังแสดงออกว่าชอบนักหนา แหงนเงยให้จูบด้วยสีหน้าราวกับคนทำบุญมาดี

ยิ้มแป้นแล้นจนคนเป็นเมียหมั่นไส้ กัดแก้มไปที

เชษฐ์ไชยทำเป็นโกรธทีเล่นทีจริง จับเมียรักเบี่ยงลงที่นอนแล้วเอาคืนด้วยจูบบ้าง ให้ภายในห้องอันเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่เจ็บปวดของทั้งสองนั้น ทดแทนไปด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุข...



จบ

(มีตอนพิเศษ)

--๑๐๐--
-------------------------------
จบลงแล้ว แต่มีตอนพิเศษอยู่นะคะ จะใส่เรื่องของอาอัฐษ์ติดมาด้วย
อาเชษฐ์ก็จะมีความหลงเมียหน่อย ๆ แถมน้องบอยแกไปได้ยินน้องวิวโดนรังแกด้วย โดนนายเชษฐ์ทำร้ายอะไรน้อ ร้องอยู่นานสองนาน 5555

คอมเม้นกันเยอะ ๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: **{21.5.61-ตอนที่ ๒๑--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 22-05-2018 01:01:49
อาเชษฐ์นี่ไม่ได้หลงเมียธรรมดานะคะ หวงเว่อออออ อีกตังหาก
หัวข้อ: Re: **{21.5.61-ตอนที่ ๒๑--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-05-2018 01:59:21
ดี ๆ ต่อเลยตอนพิเศษเพิ่มทุกอย่างเลยนะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: **{21.5.61-ตอนที่ ๒๑--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-05-2018 03:35:25
มีความสุขกันถ้วนหน้า
หัวข้อ: Re: **{21.5.61-ตอนที่ ๒๑--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 22-05-2018 07:01:22
……

Happy Ending   

รักกันจนแก่เฒ่าเป็นตายายนะ พี่เชษฐ์น้องวิว

……

 :bye2:   :bye2:   :bye2:   :bye2:   :bye2:   :bye2:
หัวข้อ: Re: **{21.5.61-ตอนที่ ๒๑--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 22-05-2018 09:45:51
จบได้น่ารักมากเลย คนอ่านอมยิ้มอย่างมีความสุข
ว่าแต่ตอนพิเศษนั้น ขอให้อาอัฐซัมติงกับชาติก็พอนะ
อย่าเอาดำไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลย ปล่อยให้ดำมีครอบครัวปกติไปเหอะ
ขอบคุณคนเขียนมากกกมาย
 :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: **{21.5.61-ตอนที่ ๒๑--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: T_TARS ที่ 22-05-2018 09:50:30
ขอเรื่องใหม่หรือไม่ก็ตอนพิเศษที่พี่ดำคนซื่อเป็นพระเอกบ้างอะไรบ้างท่าจะดีนะฮะไรท์เตอร์ ท่าทางจะสนุกพิลึก
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: **{21.5.61-ตอนที่ ๒๑--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 22-05-2018 11:27:04
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ รอตอนพิเศษจ้าาา
หัวข้อ: Re: **{21.5.61-ตอนที่ ๒๑--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 22-05-2018 21:16:55
Happy ending o13 แรกๆก็แกล้งสารพัด พอได้เป็นเมียเท่านั้นแหละ ทั้งรักทั้งหลงทั้งหื่นมากกกกก รอตอนพิเศษค่ะ  :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: **{24.5.61-ตอนที่ ๒๒--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 24-05-2018 20:52:59
ตอนที่ ๒๒

หลังจากใช้เวลาแกล้งกันจนพอใจ เชษฐ์ไชยกับวิริยะเดินลงมาด้านล่างเพราะถึงเวลามื้อเย็นแล้ว ได้ยินเสียงเด็ก ๆ เล่นกันแว่วอยู่ที่หน้าบ้าน ส่วนคุณยายต้อยของไนน์ก็จัดสำรับอยู่ในครัว เมื่อเห็นทั้งสองยิ้มหน้าบานเดินลงมาก็อดที่จะทำสายตาแซวไม่ได้ “แหม ถ้าน้องวิวมีมดลูก ป่านนี้มีเป็นโหลแล้วมั้งคะ คุณพ่อขยันสุดฤทธิ์”

วิริยะมองตากับเชษฐ์ไชยแล้วหัวเราะกับคำกระเซ้านั้น “อะไรกันครับป้าต้อย มั่วแล้ว”

“จะว่าไป ถ้าไม่มีหลาน ลูกฉันอาจมีครึ่งร้อยแล้วก็ได้ แต่พอดีมีก้างขวางคอเลยต้องอดไง เพราะแม่มันมาไข่ทิ้งไว้ให้เลี้ยง” นายใหญ่ของไร่ทรุดตัวนั่ง แล้วสะดุ้งโหยงเพราะแรงหยิกที่ต้นขา หันไปเห็นไอ้ตัวดีทำตาดุปรามที่ชายหนุ่มพูดตรงเถรเกินไป จนไปแทงใจของใครเข้า หลานที่เชษฐ์ไชยหมายถึงก็คือหลานของแม่ต้อยด้วยเช่นกัน

เมื่อเห็นสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ของเชษฐ์ไชย วิริยะอดที่จะพูดไม่ได้

“ตัวเองอ่อนปวกเปียกเองก็บอกเขาไป”

“อะไร ใครอ่อน พี่ไม่ได้อ่อน แค่ทำงานเหนื่อยเอง” คนพูดทำเสียงดังแก้ตัวสุดความสามารถ

“ก็ไม่เห็นต้องทำจมูกบานป้ะ ทำไม...รึว่าร้อนตัวเหรอครับ” วิริยะแซวปนขำ ไอ้นิสัยชอบทำจมูกบานเวลาตื่นเต้นตกใจของเชษฐ์ไชยยังไม่หายไปสักที นี่แหละ เวลาโกหกหรือทำผิดอะไรมา วิริยะก็รู้ทันหมดทุกอย่าง คิดแล้วชายหนุ่มก็คลี่ยิ้มมองคนโดนรู้ทันตรงหน้า ที่กำลังงอนตักข้าวทานเมื่อถูกแซว “เอ้อ เรื่องที่คุยกันไว้อาทิตย์ที่แล้ว คือผมต้องออกจากบ้านมะรืนนี้นะครับ”

เรื่องที่คุยกัน เชษฐ์ไชยมุ่นคิ้วนึกอยู่ครู่หนึ่ง กลัวถูกต่อว่าที่ลืม “ไอ้ที่ว่าเพื่อนนัดเลี้ยงรุ่นน่ะเหรอ ไม่เอาหรอก ไม่ให้ไป”

“เอ้า พี่เชษฐ์ ได้ไงอะ ผมตกลงกับเพื่อนไว้ตั้งเป็นเดือนแล้วว่าจะไป” วิริยะทำตาโตเถียง

“นี่ตกลงก่อนจะขอพี่อีกเหรอ” เชษฐ์ไชยถามน้ำเสียงไม่จริงจังนัก

“ไม่ได้ขอ เพราะผมตั้งใจจะไปอยู่แล้ว แค่บอกให้รู้ว่าไปไหนแค่นั้นแหละ แล้วถ้าพี่ไม่ไปส่งที่นั่น ผมก็จะนั่งรถบขส. ไปเองก็ได้ ไม่เห็นต้องง้อเลย” วิริยะหันไปกล่าวระรัว แล้วเผลอทำหน้างอโดยไม่ตั้งใจ

“งอนรึเปล่าน่ะ”

คนฟังเบิกตา “งอนอะไร ไม่ได้งอน เรื่องไร้สาระจะงอนทำไม”

“แล้วแต่นะ” คนพี่ยิ้มแล้วแสร้งไม่สนใจ ตักอาหารตรงหน้าทาน

คนถูกเมินย่นหน้า “งอนก็ได้ แล้วจะไม่ง้อหน่อยเหรอ”

“ไม่อะ ก็บอกเองนี่ว่าเรื่องไร้สาระ งอนเองก็หายเองไป”

วิริยะอ้าปากกว้างเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินเชษฐ์ไชยพูดแบบนี้ เดี๋ยวนี้ชักเก่งขึ้นทุกวันแล้ว ชายหนุ่มคิดแล้วทำเป็นเบ้ปากกล่าวตอบกลับไปว่า “อ๋อ ใช่ละซี...ก็ผมยอมมาอยู่ด้วยแล้วไง คราวนี้จะทิ้งขว้างยังไงก็ได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนน่ะเหรอ พูดอะไรก็ยอมไปหมด พองอนนะ โน่น...ขับรถไล่ตาม ใช้ให้จับลูกเจี๊ยบเป็นร้อย ๆ ตัวก็ยังไหว”

“ชู่...” เชษฐ์ไชยหันมาเอ็ด “เรื่องนี้ไม่มีใครรู้...”

หลังทราบ วิริยะก็คลี่ยิ้มกว้างอยากจะแกล้ง หันไปหาแม่ต้อยที่กำลังง่วนอยู่กับงาน “ป้าต้อยครับ จำได้ไหมตอนที่พี่เชษฐ์รถคว่ำ เขาขับรถไปตามง้อผมด้วยแหละ แล้วกลัวโดนผมทิ้งมากขนาดสั่งให้ไปไล่จับลูกเจี๊ยบ...” มือใหญ่กุมปากวิริยะแล้วดึงใบหน้าของชายหนุ่มเข้าไปให้ประจันหน้า ดูเหมือนจะโกรธ แต่เชษฐ์ไชยกลับยิ้มขันเมื่อเห็นวิริยะไม่รีรอที่จะแกล้งสักวินาทีเมื่อมีโอกาส

“ถ้าพูดอีกพี่จูบนะ ต่อหน้าทุกคนนี่แหละ” คนดุกระซาบ เมื่อเห็นวิริยะนิ่งแล้วก็ยอมผละมือออก ยังคงมีความสุขกับการแกล้งกันไปมาราวกับทั้งสองไม่ได้โตขึ้นเลย ครั้นริมฝีปากวิริยะเป็นอิสระแล้ว ไอ้ตัวดีก็ทำปากจู๋เชื้อเชิญให้จูบอย่างท้าทาย สิ้นลายหนุ่มน้อยขี้อายเมื่อก่อนไปแล้ว กลับเป็นฝ่ายเชษฐ์ไชยเสียเองที่รู้สึกแก้มร้อนขึ้นมาเมื่อเห็น

“กินนี่ไปเลยไป” มือใหญ่หยิบผักแถวนั้นยัดปากอีกฝ่ายแทน

“สรุปไปนะครับ เดี๋ยวผมจัดกระเป๋าให้พี่เอง” วิริยะหันมายิ้ม เคี้ยวของในปากไปพลาง แลดูเหมือนแฮมสเตอร์ตัวอวบอ้วนกำลังกินอาหาร เห็นแล้วผู้พี่ก็นึกเอ็นดู เอื้อมไปยีผมให้เสียทรงพลางพยักหน้าตอบรับ

ช่วงเช้า เชษฐ์ไชยตื่นตามเวลาอย่างทุกวัน ชายหนุ่มพลิกตัวมาดึงคนนอนข้าง ให้ซุกกอดอยู่ในอกรับความอบอุ่น ท่ามกลางความหนาวเย็นจากเครื่องปรับอากาศ วิริยะขยับหนุนต้นแขนใหญ่ให้ตัวเองหลับสนิทกว่าเก่า กลิ่นหอมกรุ่นจากร่างกายของเชษฐ์ไชยทำให้เพลินไปกับการนอน และแทนที่คนตื่นก่อนจะลุกหรือปลุก กลับใช้เวลาสนุกสนานกับการจูบเรือนผมวิริยะซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่มีวันอิ่มหนำ

เดี๋ยวนี้วิริยะไม่หวงตัว จะจับตรงไหนก็ให้จับไปหมด ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ไม่เคยเบื่อ

ทุก ๆ วัน เชษฐ์ไชยไม่มีเวลาเอื่อยเฉื่อยอย่างนี้นัก ต้องลุกตื่นออกไปทำงานตั้งแต่เช้ามืด หวนนึกถึงช่วงที่วิริยะเข้ามาอยู่ด้วยใหม่ ๆ แล้วรู้สึกมีความสุข ตอนนั้นเชษฐ์ไชยหลงเมียจนเสียการเสียงาน กลางคืนขยันทำการบ้าน ตอนเช้าก็ไม่อยากลุกเพราะเสียกำลังมาทั้งคืน วิริยะบังคับให้ออกไปทำงานช่วงแรก ชายหนุ่มก็ใช้ลูกแถว่าปวดนั่น เมื่อยนี่ ถึงได้อยู่ด้วยจนหนำใจ พักหลังหนึ่งอาทิตย์ที่อยู่นอนเฝ้าเมียทั้งวันทั้งคืน ดูเหมือนวิริยะจะรู้ทันลูกแถจนได้

จากนั้น เชษฐ์ไชยก็โดนลงโทษให้อด ๆ อยาก ๆ มาตลอดจนถึงตอนนี้

ไม่น่าจัดไปอย่างละโมบโลภมากเลย

“พี่เชษฐ์รักผมไหม” วิริยะอู้อี้ถามตั้งแต่ยังไม่ลืมตาตื่น

เห็นแล้วคนมองก็คลี่ยิ้ม “รักสิ รักที่สุด”

“ผมก็รักพี่” คนกล่าวขยับตัวกอดแล้วยกขาขึ้นมาก่ายบนตัวราวกับยังไม่ตื่นดี เห็นแล้วเชษฐ์ไชยก็มุ่นคิ้ว คงไม่ใช่ว่ากำลังละเมออยู่หรอกนะ ชายหนุ่มขยับตัวจะจับผ้าห่มคลุมตัวให้คลายความหนาวก็ชะงัก เมื่ออะไรแข็ง ๆ กำลังดุนดันขาเขาอยู่ ยังไม่กระจ่างใจดีจึงล้วงเข้าไปจับดูถึงได้รู้

“เฮ้ย! ห้ามฝัน ตื่นมาเดี๋ยวนี้เลยนะวิว” มือใหญ่เขย่าตัววิริยะให้ตื่น “ห้ามเสร็จ จะเสร็จก็เสร็จตอนมีอะไรกันจริง ๆ สิวะ”

“หือ...” วิริยะลืมตางง ๆ

“ไม่ต้องมาหือ ก็ว่าอยู่ ร้อยวันพันปีไม่เคยถาม” นอกจากตอนจะเสร็จ คิดแล้วชายหนุ่มมุ่นคิ้ว

ผู้เพิ่งตื่นนิ่วหน้า เกาหัวแกรกกับคนจอมหาเรื่อง “พี่บ้ารึเปล่าเนี่ย หึงตัวเองในฝันเหรอ”

“แล้วจะเอาไปฝันทำไม ตัวจริงก็นอนกอดอยู่ตรงนี้ พี่น้อยใจนะ” เชษฐ์ไชยทำหน้าละห้อย ที่ถูกแซวเมื่อวาน ใช่ว่าจะได้ทำสมอยากอย่างที่แม่ต้อยเห็น ถึงจะหวานให้ใครอิจฉาแต่ความจริงเชษฐ์ไชยรู้อยู่ว่าเป็นยังไง เพราะความโลภของตัวเองแท้ ๆ เชียว

ครั้นเห็นว่าเชษฐ์ไชยเคืองเพราะอะไร วิริยะก็คลี่ยิ้มแล้วลุกขึ้นนั่งส่ายหน้าให้

“เดี๋ยววันนี้ กลับจากเจอเพื่อนแล้ว...จะตามใจนะครับ”

แก้มของเชษฐ์ไชยชื้นด้วยจูบหลังวิริยะกล่าวจบ ชายหนุ่มติดไอ้นิสัยยิ้มเผล่นี้มาจากวิริยะ แต่เจ้าตัวไม่ทันได้เห็นเพราะเดินไปเข้าห้องน้ำแล้ว หลังประตูปิดลง นายใหญ่ของไร่ก็ร้องเยส กลิ้งไปมาอยู่บนเตียงราวกับเด็กร้องอยากได้ของ เมื่อจะได้ทำอะไร ‘ตามใจ’ สักที คิดขึ้นมากี่ทีก็รู้สึกกระชุ่มกระชวยใจเหลือเกิน

 

ดำขับรถเข้ามาที่ไร่ในช่วงเที่ยงของวัน กะจะบอกเชษฐ์ไชยว่าเมื่อคืนที่ไร่เกิดโกลาหลเพราะมีคนปวดท้องคลอดลูกกลางดึก เหนือได้ลูกชายและให้วิริยะไปรับขวัญหลาน ไปถึงบ้านพัก พบคนตัวใหญ่กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้เหล็กตัวสีขาวหน้าบ้าน ไม่ได้ไปทำงานที่ไร่ เห็นแล้วดำก็รู้สึกแปลกใจ เดินตรงไปหาอีกฝ่ายทักทาย “นายเซษฐ์ ดำมีเรื่องสิบอก”

คนฟังเงยขึ้นมาสบตา แล้วยิ้ม “มีอะไร”

ดำนิ่งไปเมื่อได้สบตา แล้วลอบสำรวจเจ้านายอีกที

“คุณอัฐษ์...” เขารู้หรอกว่าเป็นใคร ถึงอีกฝ่ายจะใส่เสื้อผ้าของเชษฐ์ไชยอยู่ราวตั้งใจสวมรอยนายใหญ่ของไร่ แต่ผิวตัวและใบหน้าสะอ้านสะอาด และรอยยิ้มสุขุมตรงหน้านั้นยากที่เชษฐ์ไชยจะเลียนแบบได้ คราวที่แล้วอัฐษไชยหลอกเขาเสียอยู่หมัดเลย เล่นใหญ่อย่างกับเป็นเชษฐ์ไชยจริง ๆ ทั้งที่ดำเองก็ทำงานกับเชษฐ์ไชยมาตั้งหลายปี

ครั้นอีกฝ่ายถูกทักก็หัวเราะ ยกนิ้วชี้ชี้หน้าดำด้วยรอยยิ้ม “จำได้ขึ้นใจขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าแอบชอบฉันหรอกนะ”

“กะมักอยู่ครับ คุณอัฐษ์ใจดีหลายกั่วนายเซษฐ์” ดำทรุดนั่งอยู่ตรงกันข้าม

“แต่ทำไมรู้สึกว่าเธอชอบเชษฐ์มากกว่าฉันล่ะ” คนถามยกกาแฟขึ้นดื่ม

ดำอึกอักไม่รู้จะตอบอะไร ดูเหมือนจะถูกแกล้งเสียจนไปไม่เป็น หากทว่าชายหนุ่มนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีธุระต้องคุยกับเจ้านาย “นายเซษฐ์ไปไสครับ” เปลี่ยนเรื่องไปเสียดื้อ ๆ ซึ่งหลังได้ฟังแล้วอัฐษไชยจะเข้าใจว่าตอนนี้ดำรู้สึกอย่างไร ตอบกลับดำไปอย่างปกติ “ป้าต้อยบอกว่าพาวิวออกไปตั้งแต่เช้าโน่น เอาหลานไปด้วย สงสัยคงพาไปเยี่ยมครอบครัวละมั้ง”

ดำร้องอ้อ “อ้าว แล้วคุณอัฐษ์มาได้จั่งใด๋ครับ”

“คิดถึงคนที่นี่ไง” คนกล่าวระบายยิ้ม ทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปไหน ดำรู้สึกแปลกเมื่อถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้ ราวกับว่าคนที่นี่ ที่อัฐษไชยกำลังหมายถึงคือตัวเขาเองเสียอย่างนั้น ทั้งสองเงียบไปพักหนึ่ง มีเพียงเสียงลมและใบไม้ปลิวตามพื้นดังแกรก ๆ คั่นกลาง และหากต้องเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ มีหวังดำอกแตกตายแน่

ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง รีบบอกอีกฝ่ายว่า “ดำไปก่อนดีกั่ว ยังบ่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืน ไปก่อนเด้อครับ” กำลังจะหมุนตัวเดินไปอีกฝั่ง ชายหนุ่มชะงักเท้ากึกเมื่อเห็นตัวใหญ่ของชาติเดินกะเผลกมาทางนี้ นึกขึ้นมาว่าก็คงใช่ หากคนที่นี่ที่อัฐษไชยหมายถึงคือหัวหน้าใหญ่ของไร่อย่างชาติ ผู้เป็นเพื่อนเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก

ชาติเหลือบเห็นทั้งสองที่อยู่ด้วยกัน แล้วกระตุกยิ้มร้าย ทักทายคนอายุน้อยที่สุดว่า “ทำไมต้องเห็นมึงอยู่กับอัฐษ์ตลอดเลย ชักแปลก ๆ แล้วนะ”

“บังเอิญครับ” ดำบอก

“บังเอิญบ่อย ๆ ไม่ดีหรอก คราวหลังอย่าบังเอิญมาให้กูเห็น”

“ชาติ!” อัฐษไชยเอ็ดความปากไม่ดีขี้หาเรื่องของเพื่อน

“แล้วอ้ายซาติกะบังเอิญคือกันบ่ครับ” ดำย้อน ใครจะไปยอมให้ถูกเล่นฝ่ายเดียวกันเล่า

คนถูกถามหัวเราะหึ “ซะที่ไหน อัฐษ์มันบอกว่ามาถึงแล้ว ก็เลยจะเอากุญแจบ้านมาให้นี่ไง”

“เป็นหยังต้องเอามาให้ครับ” ดำถามสีหน้าไม่รู้

ชาติกระตุกยิ้มราวกับเหนือกว่า “ไม่รู้รึไง ทุกทีที่มันมาก็จะไปค้าง...ที่บ้านกู” คนตัวสูงใหญ่ตรงหน้าทำเป็นเว้นวรรคให้คิดเองเออเอง ว่าส่วนที่หายไปนั้นหมายความว่ายังไง

ดำทำหน้าขึงขัง “อ้ายชาติคงบ่ฮู้คือกัน ว่าวันนี้คุณอัฐษ์สิค้างอยู่บ้านดำ”

“ฮะ...” อัฐษไชยย้อนด้วยความงง ท่ามกลางสีหน้าแปลกใจของชาติที่ได้ฟัง

“ไปครับคุณอัฐษ์ ดำง่วงแล้ว ฝากโทรลานายเซษฐ์ให้ดำนำเด้อ อ้ายซาติ”

“ดะ เดี๋ยวก่อนดำ ไปเอากระเป๋าที่รถก่อน” ผู้ถูกจูงมือทำหน้างงร้องบอก ไม่อาจเอ่ยทักท้วงให้คนอายุน้อยกว่าเสียหน้าได้ ทั้งที่ความเป็นจริงชายหนุ่มตั้งใจจะไปค้างที่บ้านของชาติอย่างที่เพื่อนพูด จึงได้โทรเรียกให้ออกจากไร่มาหา คิดแล้วอัฐษไชยก็หันไปทางด้านหลัง เห็นชาติทำสายตาเคืองโกรธราวกับเสือที่จ้องจะตะครุบเหยื่อตามมา แต่ใครจะไปสนกันเล่า ในเมื่อดำออกตัวเสียขนาดนี้ อัฐษไชยก็ต้องคว้าโอกาสไว้ซีถึงจะถูก

ไปถึงบ้านพักซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับบ้านของชาติ ดำลงไปเปิดประตูรั้วครู่เดียวก็ขึ้นมาขับรถเข้าไปจอดด้านใน ทุกครั้งที่มาเยี่ยมเชษฐ์ไชย อัฐษไชยมีโอกาสแค่ได้มองจากภายนอกเท่านั้น เมื่อได้เข้ามาจึงได้รู้ว่าดูดีกว่าที่คิด สะอาดสะอ้านและจัดสวนสวยงามแปลกตา ขนาดของตัวบ้านไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่ดูรวม ๆ แล้วอบอุ่นน่าอยู่

ดูเหมือนคนแถวนี้ชอบบ้านไม้ สมัยนี้ไม้ราคาสูงเหลือเกิน คงต้องจ่ายเงินไม่น้อยเลยเหมือนกัน คิดแล้วอัฐษไชยก็เดินสำรวจภายในบ้านอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานดำก็ถือกระเป๋าของชายหนุ่มเดินตามเข้ามา เมื่อได้ยินฝีเท้าของเจ้าบ้าน ชายหนุ่มจึงหันไปส่งยิ้มให้อีกฝ่ายที่เดินตรงมาทิศนี้ สีหน้าเหมือนกำลังวิตกอะไร “คุณอัฐษ์คงสิงงว่าเป็นหยังดำคือเฮ็ดแบบนี้”

ชายหนุ่มยกยิ้ม “ใช่ งงนิดหน่อย”

“ดำกะงงคือกัน” คนกล่าวพูดตามตรงพลางยื่นของในมือมาให้ อัฐษไชยยิ้มพลางเอื้อมไปรับ มองคนตรงหน้ากล่าวขัดความเงียบในขณะสบตากันว่า “ซั่นไปห้องคุณอัฐษ์กันครับ”

“ทำห้องให้ฉันด้วยเหรอ” ชายหนุ่มแซว

คนฟังหน้าขึ้นสี

“บะ บ่แม่นแบบนั้นครับ” ดำแก้ตัวพลางส่ายหน้า “ดำหมายถึงห้องที่คุณอัฐษ์สินอนคืนนี้”

อัฐษไชยเบ้ปากเล็กน้อยเมื่อเห็นเด็กตรงหน้ารีบแก้ไขความเข้าใจผิดของเขา ทั้งที่ความเป็นจริงชายหนุ่มก็เข้าใจถูกตั้งแต่แรกแล้ว แต่ที่พูดแบบนั้นเพราะต้องการยียวน 'กวนใจ' เด็กคนนี้มากกว่า

“ขอมานอนบ่อย ๆ ได้ไหม” อัฐษไชยพูดทีเล่นทีจริงพลางยกยิ้ม คนเดินนำยังไม่ได้ตอบ พาไปหยุดอยู่ตรงหน้าห้องพักแล้วเปิดออก ให้อัฐษไชยเดินเข้าสู่ด้านใน ชายหนุ่มสำรวจด้วยสายตา เห็นว่าจัดแจงดูดีและสะอาดสะอ้านเหมือนห้องใหม่ น่าจะใช่...ชายหนุ่มคิดแล้วผุดรอยยิ้มขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเป็นคนแรกที่ได้เข้ามาพัก ก่อนที่เจ้าของบ้านจะตามเข้าไป

เสียงปิดประตูสะท้อนก้องภายในใจของอัฐษไชยอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มหันไปมองคนด้านหลังที่ทำหน้าแปลกใจเมื่อถูกจับจ้อง แล้วยกยิ้มกับท่าทางเงอะงะของดำ รู้ตัวว่าอีกฝ่ายเริ่มทำตัวไม่ถูกเมื่ออยู่กันสองคนอีกครั้ง เห็นเช่นนั้นอัฐษไชยก็ทรุดนั่งลงบนเตียง แล้วนึกอะไรขึ้นมาได้

“เอ้อ รูปสาวที่ตั้งอยู่กลางบ้าน เมียเหรอ”

ดำเบิกตา “บ่แม่นครับ น้องสาวหล่า”

“แปลว่า” อัฐษไชยย้อน

“น้องคนเล็กครับ” ดำตอบภาษาไทยด้วยสีหน้าอาย ๆ

“ก็พูดได้นี่นา ทำไมไม่พูดไทยกลางล่ะ”

คนฟังยู่หน้า โคลงศีรษะ “บ่เอาครับ ดำเว้าแล้วตก คนฟังแล้วหัวเราะกัน ดำบ่มัก”

“ฉันไม่หัวเราะหรอก เวลาดำพูดไทยน่ารักจะตาย” อัฐษไชยเอื้อมไปดึงให้คนยืนตรงหน้ามาทรุดนั่งข้าง ดูเหมือนดำจะทำตัวไม่ถูกแต่ก็ยอม รู้สึกเหมือนยักษ์สองตัวนั่งเรียงกันอยู่ แถมติดกันจนรู้สึกถึงผิวกายร้อนผ่าวของอัฐษไชยอีกต่างหาก เห็นดังนั้นดำจึงกระเถิบออกเพื่อเว้นระยะห่างสักเล็กน้อย หากทว่าเมื่ออัฐษไชยรู้ตัวก็คลี่ยิ้มอยากแกล้ง ขยับเข้ามาเบียดอีกรอบหนึ่ง แล้วดำก็กระเถิบหนีอีกที เป็นเช่นนั้นจนสิ้นสุดที่บริเวณขอบเตียง

“คุณอัฐษ์ ดำบ่มีม่องนั่งแล้ว” ชายหนุ่มหันไปบอกพลางเกาศีรษะแกรก ทำหน้าไม่ถูก

คนฟังยักไหล่ หันมาพูดว่า “มานั่งบนตักฉันก็ได้”

ดำถอนใจกับนิสัยเจ้านาย “อย่าท้าดำ คั่นดำเฮ็ดอีหลีอย่ามาเคียดกันเด้”

“ว่าไงนะ” คนฟังย้อน ไม่รู้ว่าอัฐษไชยแสร้งไม่เข้าใจ หรือกำลังเป็นอย่างที่ตอบกลับมาจริง ๆ แต่แววตาและสีหน้านั้นยียวนจนดำรู้สึกรำคาญ ชายหนุ่มขยับไปนั่งบนตักเจ้านายให้รู้แล้วรู้รอดไป ซึ่งเมื่อเห็นเด็กอายุน้อยกว่าตอบสนองกลับมาเช่นนี้แล้วอัฐษไชยก็อึ้งไป “เห็นบ่ บอกแล้วว่าสิเคียด”

“แปลหน่อยสิดำ” อัฐษไชยเงยขึ้นมองชายหนุ่ม มือวางอยู่บนตักของดำอย่างถือวิสาสะ

คนด้านบนถอนใจ ทำท่าจะลุกแต่ลุกไม่ขึ้น อัฐษไชยไม่ยอม

“คุณอัฐษ์ ดำล้อเล่น” ชายหนุ่มบอก

“เวลาคุยกับฉัน พูดภาษากลาง”

“บ่...” ดำตอบ เริ่มรู้สึกรำคาญมือที่เริ่มไต่บนตัว

“ตอนที่เข้าใจว่าฉันเป็นเชษฐ์ทำไมดูน่ารักว่านี้นะ” อัฐษไชยทำเสียงน้อยใจ ซึ่งดำก็รู้ว่าอีกฝ่ายแค่แสร้งเท่านั้น

“กะดำย่านนายเซษฐ์ แต่คุณอัฐษ์บ่น่าย่าน ใจดีกั่ว” ที่สำคัญความรู้สึกระหว่างเชษฐ์ไชยกับอัฐษไชย ตอนอยู่ด้วยกันแล้วมันแตกต่าง วางตัวคนละแบบอย่างสิ้นเชิง อยู่กับเชษฐ์ไชยถึงจะห่างเหินแต่รู้สึกสบายใจกว่า แต่กับอัฐษไชย แม้สายตาที่อีกฝ่ายใช้มองจะมีความใจดีและเอ็นดูประสมอยู่ แต่มันดูร้ายกาจอย่างไรพิกล

ดำไม่เข้าใจตัวเอง

“พอเห็นว่าเป็นฉัน เลยอยากดื้อยังไงก็ได้งั้นเหรอ หืม...” เสียงของคนกล่าวล้อเลียน

ดำปัดมือซุกซนออกจากหน้าขา “รอให้คุณอัฐษ์เป็นคนจ่ายค่าแฮงดำก่อน จั่งสิเซื่อ”

อัฐษไชยคลี่ยิ้มหลังได้ฟัง “งั้น...ขอจ้างให้มาเป็นคนรู้ใจหน่อยสิ”

อดจะใช้คำพูดน้ำเน่าพวกนี้ไม่ได้เลยสิพับผ่า

ได้ฟังแล้วดำหน้าชาไปพักหนึ่ง รู้สึกเหมือนตัวเองหูฝาดเฝื่อนฟังผิดเพี้ยนไป อัฐษไชยคิดอะไรอยู่ถึงได้ใช้คำพูดกับเขาเช่นนี้ ชายหนุ่มกระเด้งตัวลุกขึ้นยืน หันกลับไปเห็นเจ้าของตักที่กำลังใช้มือค้ำพื้นเตียงข้างหลัง เงยมองเขาอยู่เช่นกัน หากทว่าสายตาแลดูพราวระยับราวกับว่าคิดอะไรอยู่ ซึ่งดูลึกลับ และแปลกจากสายตาของอัฐษไชยที่เคยเห็นมาก่อน

“ดูทำหน้าเข้า ตลกจัง” อัฐษไชยระบายยิ้มใจดี ดูเหมือนกำลังอยากแกล้งดำอยู่ พลอยให้ชายหนุ่มอดที่จะยิ้มตามอย่างโล่งอกไม่ได้ที่มันไม่เป็นความจริง “แต่ฉันเอาจริงนะ”

รอยยิ้มดำผลุบหายไป ความวางใจทั้งหมดพังครืนลงกับคำเดียว อยากจะบ้า!

“บ่เว้ากับคุณอัฐษ์แล้ว มักแกล้งดำ” เจ้าของบ้านทำหน้าขึงขังเดินหนีออกไปจากห้อง พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเจ้านายที่มองตามจนร่างของดำหายไปจากสายตา แกล้งงั้นหรือ อัฐษไชยยกมือสางผมตัวเองเพราะความรุมร้อนบนใบหน้าแปลก ๆ ตัวเขารู้สึกอายที่หน้าด้านพุ่งชนไปตรง ๆ แทบตาย แต่ไอ้เด็กซื่อบื้อเจ้าของบ้านยังคิดว่าเขาแกล้งอยู่อีก

ก็อุตส่าห์รู้สึกมีความหวังขึ้นมานิด ๆ แล้วแท้ ๆ ที่เจ้าตัวทำท่าหวงกับชาติ

สงสัยต้องให้ถึงเนื้อถึงตัว จับเอามาเป็นของเขาทางพฤตินัยก่อนกระมัง คนโง่ข้างนอกถึงจะเข้าใจว่าที่อัฐษไชยเป็นอยู่ตอนนี้ โคตรจะเอาจริงเลย คิดแล้ว รอยยิ้มสุขุมก็ผุดขึ้นมาเมื่อมองลงบนตักของตัวเอง ความอุ่นของร่างกายอีกฝ่ายยังไม่จางหายไปไหนเลย

หนำซ้ำ ป่านนี้ชาติคงนั่งแช่งเขาให้โดนดำกระทืบตายอยู่กระมัง

--๓๕--

หัวข้อ: Re: **{24.5.61-ตอนที่ ๒๒--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 24-05-2018 20:55:10

--ต่อ--

เชษฐ์ไชยกับวิริยะไปถึงบ้านพักก็ตอนเที่ยงแล้ว ชายหนุ่มบังคับให้วิริยะเอาไนน์มาด้วย ที่จริงไม่อยากให้มาเป็นก้างขวางคอเท่าใดนัก แต่หากเด็กน้อยไปด้วย วิริยะจะได้ไม่อยากอยู่สังสรรค์กับเพื่อนต่อแล้วกลับบ้านเร็วกว่ากำหนด จะส่งผลให้เขามีเวลาอยู่กับวิริยะมากขึ้นกว่าเก่า ชายหนุ่มลอบยิ้มเมื่อเห็นไอ้ตัวดีหน้ามุ่ยรู้ทันว่าคิดอะไร แต่ทัดทานความต้องการไม่ได้ ทำได้เพียงเดินถือข้าวของนำเข้าบ้าน ให้เชษฐ์ไชยอุ้มหลานที่หลับตามหลังไป

“มาแล้วเหรอ ต๊าย น้องไนน์...”

เชษฐ์ไชยยกมือไหว้ทักทายอิงอรอย่างทุลักทุเล โชคดีอีกต่อหนึ่งที่ธเนศไม่อยู่ อิงอรคงอยากได้หลานตัวน้อยไปนอนเป็นเพื่อนแน่ มาถึงนางก็รับตัวไนน์ขึ้นไปอุ้มอย่างนึกเอ็นดู พาขึ้นไปบนบ้านท่ามกลางสายตางอนของวิริยะ “ผมบอกแล้วว่าเรานัดแค่กินข้าวกันที่ร้านอาหารธรรมดาพี่ก็ไม่ยอมเชื่อ”

เชษฐ์ไชยยักไหล่ “พี่เชื่อ”

“เชื่อแล้วให้ไนน์มาด้วยทำไม หลานมานั่งรอเบื่อ ๆ มันดีที่ไหนเล่า”

“ถ้าเห็นหลานเบื่อวิวก็พากลับซี” เชษฐ์ไชยยิ้ม

“เออ เดี๋ยวจะรีบกลับ” ชายหนุ่มตอบแล้วขนกระเป๋าเสื้อผ้าเข้าไปเก็บในห้อง เป็นจังหวะเดียวกันที่อิงอรเดินออกมาจากที่พักหลังจากพาไนน์ขึ้นมานอนบนเตียง นางเดินตรงมาบอกว่าทำมื้อเที่ยงไว้รอแล้ว ลงไปทานกันได้เลย เชษฐ์ไชยยิ้มรับแล้วขอบคุณอยู่หลายครั้ง

“เอ้อ คืนนี้ให้ไนน์นอนกับฉันนะคะ” นางหันมาบอก

“ครับ แต่ว่าต้องปลุกลุกมาฉี่กลางดึกด้วยนะ ไม่อย่างนั้นที่นอนนองน้ำแน่”

“ค่ะ ไม่เป็นไรหรอก” นางสะบัดมือหย็อยทำหน้าทำตายินดี เท่านี้แผนของชายหนุ่มก็เสร็จสมบูรณ์ เชษฐ์ไชยผุดยิ้มขึ้นมาด้วยความย่ามใจอยู่เพียงคนเดียว แต่ครั้นเห็นวิริยะเปิดประตูออกมาก็ตกใจ เปลี่ยนสีหน้ามาเป็นปกติเช่นเดิม ไม่อยากให้รู้ว่ากำลังคิดการณ์ใหญ่อยู่

วิริยะนัดกับเพื่อนช่วงหัวค่ำ แต่ไปก่อนเวลาหน่อยเพราะรถคงติดน่าดู ชายหนุ่มยิ้มร่าเมื่อเห็นว่าไนน์ตื่นเต้นกับตึกรามบ้านช่อง สีสัน และอาคารทรวดทรงแปลกตาอยู่ด้านหลัง ส่วนคนขับรถออกปากว่าจะดูแลหลานให้แล้วเสนอหน้าตามมาด้วย ทั้งที่ตอนแรกบอกว่าให้ตายยังไงก็ไม่ยอมมา

เมื่อมาถึง เชษฐ์ไชยพาทั้งสองคนจอดบริเวณลานกว้างในช่วงที่มืดพอดี หน้าร้านมีแสงไฟหลากสีจัดแต่งคู่กับธรรมชาติ มีนักดนตรีกลางคืนกำลังร้องเพลงสบาย ๆ ให้ฟังอยู่ แต่ไม่ใช่ร้านนั่งดื่ม เชษฐ์ไชยคิดว่าน่าจะพาเด็กต่ำกว่าสิบแปดปีเข้าได้ ซึ่งก็จริง ชายหนุ่มให้วิริยะพาไนน์ไปก่อน เพราะเหลือบเห็นฝั่งตรงข้ามมีร้านของขวัญตั้งอยู่ เขารำลึกได้ว่าอีกไม่กี่วันก็ถึงวันเกิดครบห้าขวบเต็มของหลานชาย

วิริยะเข้าไปด้านใน เห็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมปลายนั่งอยู่ก่อนแล้วสี่ห้าคน ล้วนแต่เป็นผู้หญิง ดีหน่อยที่มีคนหนึ่งพกลูกสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับไนน์มาด้วย ได้ข่าวแว่ว ๆ เธอพลาดท้องช่วงเรียนมหาวิทยาลัยเหมือนกันกับหน่อย แต่ก็กลับไปเรียนจนจบได้ เมื่อเห็นเขาไป หล่อนทั้งหลายพากันวี๊ดว้ายร้องทักทาย “วิว วิวมาแล้ว!”

ชายหนุ่มทรุดร่วมโต๊ะกับเพื่อนแล้วยิ้มทักทายทุกคน มองรอบกายยังไม่เห็นเพื่อนผู้ชายมา “เรามาเร็วเกินไปรึเปล่า”

“ไม่หรอก พวกเราก็เพิ่งมา แต่เอ๊ะ พ่อรูปหล่อคนนั้นใคร ลูกวิวเหรอ” คนทักชะโงกไปหาหนุ่มน้อยแก้มยุ้ยที่ยังอายคนแปลกหน้าอยู่ ยืนเกาะหลังหลบวิริยะแจ ไม่กล้าออกมาให้ทั้งหมดเห็น แม้แต่สาวน้อยคนสวยผมยาวแต่งตัวน่ารักที่นั่งอยู่กับแม่ก็ด้วย

วิริยะยิ้ม “เปล่า หลานน่ะ ไนน์ ออกมาเล่นกับเพื่อนสิ”

“แกก็พูดไป จะเป็นลูกวิวได้ยังไง วิวมันไม่ได้มีเมีย มันมีผัว”

“พูดให้มันดี ๆ หน่อย ต่อหน้าเด็ก” แม่ของเด็กน้อยปรามด้วยสีหน้าจริงจัง เธอชื่อพลอย วิริยะเพียงยกยิ้มและรู้สึกอึดอัดขึ้นมา ไม่ต่างจากอีกฝ่ายที่คงโดนมาตลอดเช่นกัน อย่างที่คนเขาว่ากันว่าเรียนจบสูงก็ไม่ได้ช่วยให้ความคิดของคนสูงส่งมากขึ้นเลย

“ว่าแต่แกหายไปตั้งนาน ทำงานอะไรเหรอ” เพื่อนสาวหันมาเปลี่ยนเรื่อง

“ก็...ไม่ได้ทำนะ อยู่บ้านเลี้ยงหลาน” ได้ยินที่วิริยะบอกเล่า ทุกคนทำหน้าแปลกใจ แล้วพากันให้ความสนใจซักไซ้ผู้มาใหม่ต่อ “ทำไมไม่ทำล่ะ แกจบตั้งวิศวะมานี่ ไม่เสียเวลาฟรีเหรอ แล้วแฟนไม่บ่นสักคำรึไง”

“ก็พี่เขาไม่ให้ทำนี่”

วิริยะยักไหล่แล้วอุ้มไนน์ขึ้นนั่งบนตัก เมื่อยังเห็นสีหน้าของเพื่อนสาวทั้งกลุ่มหันไปมองกันพลางส่ายหน้าไม่อยากเชื่อ มีเพียงชายหนุ่มกับคุณแม่ลูกติดที่สบตากัน หล่อนพูดเสียงเบากับเขาว่าก่อนหน้านี้ก็โดนผู้หญิงกลุ่มนี้เล่นมาแล้วเรื่องท้องตอนเรียน เลยทำได้เพียงนั่งหน้าเจื่อน ๆ เท่านั้น เห็นแล้ววิริยะก็เพียงแค่ถอนใจแล้วส่ายหน้าระอา “ทำไมไม่สั่งอะไรทานกันหน่อยล่ะ พลอย ลูกสาวหิวรึยัง”

เพื่อนสาวยกยิ้ม “น้องพิ้งค์หิวรึยังคะ”

“หิวแล้วค่ะ” สาวน้อยตอบตาแป๋ว

“กี่ขวบแล้วนั่น”

“จะสี่ขวบแล้วจ้า” เพื่อนสาวนามว่าพลอยตอบ

“น้อยกว่าไนน์ ไนน์ใกล้จะห้าขวบแล้วครับ” เด็กแก้มยุ้ยแหงนมาบอกวิริยะ

“แล้วน้องเป็นลูกใครเหรอ ลูกเมียเก่าแฟนแกใช่ป้ะ” เพื่อนสาวอีกคนเริ่มเปิดประเด็นใหม่

วิริยะมุ่นคิ้วปฏิเสธ เริ่มรู้สึกถึงความละลาบละล้วงเกินเหตุ “เปล่า บอกว่าหลานไง”

“แล้วที่บอกว่าเขาไม่ยอมให้แกทำงาน พี่เขาทำอะไรอยู่เหรอ”

วิริยะยกยิ้มอย่างสุดทน รีบตอบกลับ “ทำไร่...”

“ทำไร่! ต๊าย ก็ว่าแล้วเชียวทำไม่แกดูผิวคล้ำ ๆ ลง แล้วใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นยังไง พี่เขาทำงานคนเดียวจะมีเงินพอใช้เหรอ รึว่าอยู่บ้านนอกเก็บผักกินตามรั้วตามไร่ได้ เลยประหยัดหน่อย” คนพูดคลี่ยิ้ม แล้วเสียงหัวเราะคิกคักจากสาวคนอื่นก็ดังขึ้นมา ถึงจะเป็นแค่คำแซว แต่มีความดูถูกเหยียดหยามในอาชีพของแฟนเขาเต็มไปหมด นึกแล้ววิริยะก็ส่ายหน้า ถามกลับไปว่า “แล้วพวกเธอล่ะทำงานอะไร”

“ฉันทำงานบริษัท เงินเดือนก็ดีนะ สองหมื่นกว่า ๆ”

วิริยะคลี่ยิ้ม แล้วพยักหน้ารับ “ดีจริงด้วย”

“ใช่ไหมล่ะ ไม่ต้องไปตากแดดตากลมให้ผิวคล้ำด้วย” หล่อนทำหน้าทำตาภูมิใจนักหนา ได้ยินแล้ววิริยะก็ส่ายหน้า ชายหนุ่มหันไปขอเมนูกับเด็กเสิร์ฟอีกฝั่งเพราะเริ่มรู้สึกหิว และคิดว่าเชษฐ์ไชยคงกลับมาแล้วต้องการทานมื้อเย็นเช่นเดียวกัน สายตาหลายคู่หันมาจับจ้องว่าวิริยะจะสั่งอะไรบ้าง และมากน้อยขนาดไหน ชายหนุ่มกระตุกยิ้ม แล้วรัวเมนูออกมาเสียจนเด็กเสิร์ฟแทบฟังไม่ทัน

“เอ...จะพอกินไหมนะ พี่เชษฐ์ตัวโต กินเยอะเสียด้วยซี”

วิริยะบ่นอุบกับตัวเอง ในขณะที่พลอยยิ้มมอง

“เยอะขนาดนี้จ่ายไหวเหรอ เมนูร้านนี้มีแต่ของแพง ๆ ทั้งนั้น” สาวคนหนึ่งรีบทัก

“พลอยเอาอะไรอีกไหม เราเลี้ยง” วิริยะหันไปถามคุณแม่ลูกติด เธอเพียงแค่สั่นศีรษะเล็กน้อยเพราะเกรงใจ “ตามใจวิวเลย เรากินง่าย”

“งั้นเราสั่งเผื่อน้องพิ้งค์ด้วยก็แล้วกัน” ชายหนุ่มใช้เสียงเรียบขณะที่มองเมนูอาหาร แล้วเริ่มสั่งอีกครั้ง ในขณะที่เพื่อนคนอื่นเริ่มเดินทางมาถึง เหล่าอาหารฝั่งของวิริยะก็เรียงรายจนเต็มโต๊ะ นั่นแหละเชษฐ์ไชยถึงได้เดินเข้ามาในร้าน ชายหนุ่มยกมือเรียกให้คนรักเห็น ท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมชั้นที่พากันหันมอง แล้วซุบซิบกันยกใหญ่ เมื่อเห็นว่าเชษฐ์ไชยดูไม่เหมือนคนทำไร่ทำสวน แต่งตัวสะอาดสะอ้านและดูมีราคา เดินมาทรุดตัวนั่งข้างชายหนุ่มด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“สวัสดีค่ะ” พลอยยกมือไหว้คนแรก เชษฐ์ไชยยิ้มรับ

“กินอะไรกันรึยัง”

“ยังเลยค่ะ รอให้เพื่อนมากันครบทีเดียว แต่ดูเหมือนเด็ก ๆ จะหิวเลยสั่งให้ทานก่อน ดูสิ วิวสั่งมาตั้งเยอะ” เพื่อนสาวคนหนึ่งรีบออกตัวบอก เธอคนนี้หน้าตาสะสวยและเป็นสาวกิจกรรมตั้งแต่สมัยมัธยม ตอนนี้กำลังยกยิ้มหวานให้เชษฐ์ไชย วิริยะกระแอมเสียงดัง ชำเลืองตามองคนตัวใหญ่ที่เพิ่งมาถึงว่าอย่าแม้แต่จะคิดมองไปทางนั้น ดูเหมือนเชษฐ์ไชยจะรู้ตัว แต่ก็ปั้นหน้าเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปก่อน

“พี่หน้าคุ้น ๆ นะคะ เหมือนเคยเห็นเลย” สาวคนหนึ่งทัก

“เอ้า พวกเธอไม่รู้เหรอ พี่เขาออกข่าวธุรกิจบ่อยจะตาย” พลอยทำเสียงไม่ตื่นเต้น

สาว ๆ ที่เหลือมองหน้ากันไม่เข้าใจ “ธุรกิจอะไรเหรอ ไม่เคยเห็นเลย”

เมื่อได้ฟังแล้วก็เข้าทาง พลอยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอะไรสักอย่างแล้วยิ้มราวกับว่าตัวเองเป็นแฟนเชษฐ์ไชยเสียเองอย่างสะใจ ส่งไปให้พวกปากดีกลุ่มนี้ดูแล้วเลิกทำตัวเหยียดหยามคนอื่นเสียที หลังจากมุงดูกันจนรู้แล้วว่าเชษฐ์ไชยเป็นใคร พวกหล่อนหน้าเจื่อนลงไปเล็กน้อยหันไปมองวิริยะ “ทำไร่ ที่แท้ก็เป็นเจ้าของไร่นี่เองนะวิว”

วิริยะยิ้มเล็กน้อย ไม่แสดงออกว่ารู้สึกยังไง เมื่อเห็นว่าเพื่อนผู้ชายมาแล้วชายหนุ่มก็กวักมือเรียกให้มาร่วมโต๊ะ แล้วสาว ๆ กลุ่มนั้นก็ค่อย ๆ เลือนหายออกไปจากรัศมีสายตาของชายหนุ่ม คงเหลือไว้แต่พลอยที่ยังคงร่วมทานมื้อเย็นด้วย แม้จะรู้ว่าพวกหล่อนจะแอบชะเง้อมองมาจากไกล ๆ วิริยะก็ไม่สน ไม่จำเป็นต้องเก็บเอาคำพูดของคนไร้ความสำคัญต่อชีวิตมาใส่ใจ

เขาโตแล้ว และเขาก็เบื่อกับการใช้ชีวิตแบบพวกหล่อนเหลือเกิน

ถึงได้มีความสุขกับการอยู่เงียบ ๆ ในไร่รุ่งอรุณีมากกว่าที่จะออกมายังไงเล่า

--๕๐--

----------------------------------------------

เอาตอนพิเศษมาให้อ่านกันแล้วจ้า น้องวิวก็จะมีความอวดแฟนหน่อย ๆ เปย์นิด ๆ ตามประสาเมียนายใหญ่ของไร่ผู้มีเงินเป็นฟ่อนอะนะ 5555555

สำหรับคนที่อยากอ่านตอนของอาอัฐษ์ ดำ ชาติ หนูนาตัดสินใจจะอัพให้อ่านเป็นเรื่องสั้นซักห้าตอนนะคะ(ต่อจากตอนพิเศษ) แยกเป็นตอนย่อยคือจะได้อ่านกันสิบตอนเลย ซึ่งมันก็ยาวมากด้วย มาลุ้นเอา NC ทีหลังเด้อ

มาลุ้นกันค่ะว่าความรักจะจบลงยังไง 3P มั้ย แล้วที่ชาติทำหน้าโกรธ ๆ นี่หึงรึเปล่า อิอิ

แล้วเจอกันจ้า

หัวข้อ: Re: **{24.5.61-ตอนที่ ๒๒--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-05-2018 21:44:33
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **{24.5.61-ตอนที่ ๒๒--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 24-05-2018 22:45:59
มีแฟนรวยก็ต้องอวดใช่มั้ยวิว 5555
หัวข้อ: Re: **{24.5.61-ตอนที่ ๒๒--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-05-2018 23:52:13
เป็นไงล่ะ ชะนีหน้าแหก  :laugh:
หัวข้อ: Re: **{24.5.61-ตอนที่ ๒๒--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 25-05-2018 00:15:46
ไม่ใช่แค่ชาวไร่ธรรมดาที่ไหน นี่เจ้าของไร่ดังเลยนะ 55555

ชอบคุณอัษฐ์ตอนกะลิ้มกะเหลี่ยน้องดำจัง ผิดคาดเลย   :hao7:
หัวข้อ: Re: **{24.5.61-ตอนที่ ๒๒--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 25-05-2018 00:25:37
คนที่ชอบดูถูกคน ก็ยังมีความคิดแบบเดิมนะ ดีแล้วที่วิวโตขึ้นมากถึงไม่ได้แสดงอาการไม่พอใจออกไป
ส่วนเรื่อง 3p นั้น เรายังเป็น Fc ดำเหมือนเดิม ว่าแต่คนเขียนอย่าให้ดำเป็นนายเอกนะ โกรธจริงด้วย
 :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: **{24.5.61-ตอนที่ ๒๒--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 25-05-2018 01:24:56
นึกออกเลย เวลาเจอคนแบบนี้แล้วอึดอัดมากกกก พูดอะไรต่อหน้าเด็กกันเนี่ย! เฮ้อออ

แต่น้องวิวมีความผู้ใหญ่อยู่แล้ว ก็อยู่อย่างที่เราสบายใจแบบนี้ล่ะเนอะ
หัวข้อ: Re: **{24.5.61-ตอนที่ ๒๒--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 02-06-2018 19:39:44
อิคนอ่านหายไปนาน มาอ่านอีกทึก็จบล่ะ
รออ่านตอนพิเศษจ้าา ^^
หัวข้อ: Re: **{24.5.61-ตอนที่ ๒๒--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 02-06-2018 19:53:39
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **{6.6.61-ตอนที่ ๒๒--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 06-06-2018 10:15:33

--ต่อ--

หลังจากพบปะเพื่อนฝูงสมัยมัธยมปลายแล้ว วิริยะก็กลับบ้านในเวลาเกือบสี่ทุ่มของวัน แน่นอนว่าไนน์หลับตั้งแต่ตัวโดนความเย็นของเครื่องปรับอากาศในรถ ดังนั้นบรรยากาศย่อมต่างจากขามาแน่ ๆ หันไปเห็นเชษฐ์ไชยอารมณ์ดีผิดปกติ วิริยะอดที่จะถามไม่ได้จริง ๆ ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่

“เป็นอะไรฮะ นั่งยิ้มคนเดียว”

คนฟังผละสายตามามองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกระตุกมุมปากขึ้น “ไม่บอก”

เมื่อเห็นสายตาอันมีเลศนัยของคนรักแล้ววิริยะก็ส่ายหน้า ขี้เกียจบังคับถาม ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ “ว่าแต่เมื่อตอนเย็นหายไปไหนตั้งนานครับ”

เชษฐ์ไชยยกยิ้มเล็กน้อย “ความลับ”

“ความลับอะไร เดี๋ยวนี้มีความลับกับผมเหรอ”

“ไม่ใช่แบบนั้น เดี๋ยวมันจะไม่เซอไพรส์ไง” คนตัวใหญ่กล่าวพลางส่งสายตาไปด้านหลัง เห็นแล้ววิริยะก็ร้องอ้อขึ้นมาเสียงเบา คลี่ยิ้ม จากที่ว่าเป็นคู่กัดและมีปัญหากันตลอด เหตุใดถึงได้ตระเตรียมของขวัญให้หลานก่อนผู้อื่น คงเป็นความรู้สึกที่ผูกพันกันกระมัง วิริยะรู้ว่าเชษฐ์ไชยรักไนน์เสมือนลูกตัวเอง รักในแบบของเชษฐ์ไชย

ถึงบ้านพักแล้ว อิงอรวิ่งโร่มาอุ้มไนน์ด้วยความรักและเอ็นดู นำพาไปพักห้องเดียวกันอย่างที่พูดไว้ก่อนหน้า วิริยะถึงได้เข้าใจว่าไอ้รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่อีกฝ่ายเป็นทั้งวันนี้ เพราะอะไร เห็นแล้วชายหนุ่มก็ส่ายหน้าให้พ่อคนดีใจเกินเหตุ ครั้นเข้าไปในห้องได้วิริยะก็ถูกกอดจูบอยู่สองสามที ราวกับว่ารออีกกี่วินาทีก็ไม่ไหวแล้ว ชายหนุ่มเบิกตาโตเมื่อถูกยกตัวขึ้นไปวางลงบนเตียง ในขณะที่สายตาคมกวาดทั่วร่างเขา บอกว่ากำลังหลงใหลวิริยะเหลือเกิน

“ขอผมอาบน้ำก่อนนะ” วิริยะใช้เสียงเบา

“ไม่ได้ ไม่ให้อาบ ยังหอม ๆ อยู่เลย เนี่ย...” พูดจบเชษฐ์ไชยก็พิสูจน์ด้วยการดมไปทั่วตัวของวิริยะให้เชื่อ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มพลางดันจมูกโด่งอีกฝ่ายออกเพราะเริ่มจั๊กจี้ แต่คนด้านบนก็ไม่ยอมร่นถอยออกห่าง ผละสายตามาทำท่าแมวเหมียวออดอ้อนอยู่เช่นนั้น

ท้ายที่สุด วิริยะพยักหน้าเล็กน้อยบอกว่ายอมแล้ว ก็เล่นใช้ลูกตื๊อขนาดนี้ไม่ยอมยังไงไหว

น้ำหนักของเชษฐ์ไชยไม่ใช่ธรรมดา ขึ้นมาคร่อมทับแต่ละทีก็แทบจะหายใจไม่ออก ไหนจะชอบจูบวิริยะอีก แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ไม่เคยรู้สึกว่ารับไม่ได้ กลับหวั่นไหวและมีความสุขไปพร้อมกับอีกฝ่ายเสียอย่างนั้น ทุกที่ที่เชษฐ์ไชยสัมผัสราวกับเป็นไฟร้อน ลนให้ตัววิริยะละลายปวกเปียกอยู่ในอ้อมแขน ทำได้เพียงส่งเสียงอือออเท่านั้น

ภายในห้องพักที่มีเพียงความเงียบงันของยามดึก ทดแทนด้วยเสียงลมหายใจขาดห้วงของทั้งสอง และริมฝีปากที่สัมผัสดูดดุนกัน ในขณะที่มือไม้สองคู่พันรัวนัวเนียนั้น ไม่ต่างจากลิ้นภายในช่องปากที่เคล้าคลึงกันอยู่

เชษฐ์ไชยกำลังเครื่องติด ขึ้นมาอยู่บนร่างของวิริยะแล้วกระซาบบอกว่ารัก ก่อนจะจับข้อมือชายหนุ่มขึงอยู่เหนือหัวคล้ายกลัววิริยะเปลี่ยนใจ

วิริยะพริ้มตารับจูบแสนหวานนี้อีกครั้ง ในหัวมึนเบลอไปหมด ตามร่างกายรู้สึกวูบวาบยามมือใหญ่ลากไล้จนถ้วนทั่ว แต่ทว่ากำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็ม เสียงเคาะประตูจากข้างนอกก็ดังขึ้นมาคั่นกลางทั้งคู่เสียก่อน เชษฐ์ไชยชะงัก มองตาวิริยะแววรำคาญใจเมื่อไม่ได้ดังหวัง

“คุณวิว ไนน์จะนอนกับคุณวิว!” เด็กน้อยร้องไห้กระจองอแง

รู้อยู่แล้วว่ามันต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อย่างนี้ไงเล่าที่เชษฐ์ไชยรีบนักหนา เพราะชายหนุ่มรู้ดีว่าเมื่อจะได้กอดวิริยะทีไร จะมีไอ้ตัวเล็กเดินงอแงบังคับขอนอนกับเมียเขาทุกครั้งไป เหลือบเห็นผู้เป็นเมียหัวเราะคิกอย่างสะใจ ก่อนที่จะละความสนใจเชษฐ์ไชยไปเปิดประตูต้อนรับเด็กน้อยเหมือนทุกที

มานอนด้วยกันไม่พอ จะให้เชษฐ์ไชยได้กอดวิริยะหน่อยก็ไม่ได้

เชษฐ์ไชยพลิกตัวหันหนีอย่างหงุดหงิด บริเวณที่ชายหนุ่มได้รับน้อยนิดจนแทบจะตกลงพื้นแล้ว เพราะไอ้เจ้าตัวแสบนอนกินพื้นที่เหลือเกิน ทั้งมือทั้งขากางราวกับกลัวว่าเชษฐ์ไชยจะเข้าใกล้คุณวิวของมัน กลางดึกของคืน ชายหนุ่มก็หลับไม่ลง ทำได้เพียงแค่นอนถอนหายใจภายในความสลัวเพราะความอัดอั้น

วิริยะยกยิ้มเมื่อเห็นคนงอแงกว่าไนน์ ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่ง จัดแจงผ้าห่มให้หลานที่นอนคั่นกลางก่อนจะลุกขึ้น เดินวนไปอีกฝั่งปลอบใจพ่อคนโดนผิดนัดด้วยจูบ แล้วกระซาบเสียงแผ่วเบาไปว่า “ในห้องน้ำก็ได้นะ”

เชษฐ์ไชยหูผึ่งแล้วหันมองวิริยะที่ยังคงทำสีหน้าเรียบนิ่ง รีบกระเด้งตัวนั่งเพราะคิดว่าตัวเองหูฝาดไป มือใหญ่เอื้อมแตะลำคอ แก้ม และหน้าผากของวิริยะอยู่ครู่หนึ่งด้วยความสงสัย ก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกตินี่ “คิดว่าไม่สบายนะเนี่ย”

“อย่ามาล้อกันนะ เดี๋ยวก็อดหรอก” วิริยะใช้เสียงเบา

เชษฐ์ไชยทำตาพราวแล้วรีบคว้ากอดเอววิริยะอุ้มขึ้น มุ่งตรงไปยังห้องน้ำอย่างที่ว่า ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกชอบใจของชายหนุ่มผู้ถูกกระทำ ครั้นประตูปิดลงได้ สายน้ำอุ่น ๆ ไหลลงสาดกระทบพื้นเสียงดังอย่างไร กลับไม่อาจปิดเสียงของวิริยะมิดได้ เชษฐ์ไชยหวังเหลือเกินว่าไนน์จะไม่ตื่นขึ้นมาในระหว่างที่ทั้งสองกำลังได้ที่อย่างนี้ แต่มาคิดอีกทีก็ตื่นเต้นดีเหลือเกิน ที่ได้ลุ้นว่าตัวเองจะทำภารกิจเสร็จก่อนหลานตื่นหรือไม่

“คนดี เดี๋ยวไนน์ก็ตื่นหรอก”

ชายหนุ่มกระซาบเสียงแผ่ว แต่พละกำลังที่ส่งไปยังร่างของวิริยะไม่ได้ลดทอนอย่างคำพูดเลย วิริยะทำได้เพียงแค่ส่ายหน้า เม้มริมฝีปากเก็บกลั้นแน่นสุดเท่าที่ทำได้ แต่ก็ไม่พอ เชษฐ์ไชยอาจจะแกล้งที่วิริยะปล่อยให้หิวโหยมานาน เลยทำแบบนี้ แต่วิริยะก็ไม่มีแรงพอที่จะทัดทาน เพราะตัวเองก็รู้สึกดีไม่ต่างจากคนพี่เท่าไรนัก

เชษฐ์ไชยคงไม่รู้ นอกจากเจ้าตัวจะลุ่มหลงวิริยะ ฝ่ายชายหนุ่มเองก็หลงเชษฐ์ไชยไม่ต่างกันนักหรอก “พี่เชษฐ์ พี่รักผมไหมครับ...”

คำตอบของคำถามนี้คือสิ่งเดียวที่วิริยะอยากได้ยินที่สุด ซึ่งเชษฐ์ไชยก็ไม่เคยไม่บอกวิริยะเลย

“รักซี รักวิวคนเดียวเท่านั้น”

แค่ได้ยิน วิริยะก็มีความสุขจนล่องลอยไปไกลแสนไกล...

 

ดำรู้สึกตัวตื่นในช่วงกลางดึกของวัน ชายหนุ่มลุกขึ้นอาบน้ำแล้วตั้งใจจะเดินลงไปหาอะไรกินที่ครัว ครั้นเปิดประตูออกไปได้ก็พบอัฐษไชยนั่งอยู่ที่ห้องโถงของบ้าน อีกฝ่ายกำลังตะลึงเมื่อเห็นเขา ดำรู้สึกแปลกและไม่เข้าใจความหมายของแววตานั้น ก่อนจะสัมผัสได้ถึงลมเย็นพัดมาที่ร่าง แล้วรู้สึกโล่งจนต้องก้มลงมอง

“เฮ้ย!” ชายหนุ่มอุทานเสียงหลง กุมส่วนล่างของตัวเองวิ่งกลับเข้าไปในห้อง หยิบกางเกงนอนมาสวมด้วยความขายขี้หน้าอย่างที่สุด หลังจากทำสมาธิลบความอายทิ้งแล้ว ดำก็ตีหน้านิ่งเดินออกไปอีกครั้ง ท่ามกลางสายตากรุ้มกริ่มของอัฐษไชยที่มองอยู่

“ดำขอโทษคุณอัฐษ์ที่ปล่อยให้เห็นภาพอุบาทว์สายตาเด้อ ดำชินว่าตัวเองอยู่ผู้เดียว” ชายหนุ่มทรุดตัวนั่งตรงกันข้าม ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับเจ้านายเพราะรู้สึกทำตัวไม่ถูก และไม่ชอบเลย ยามอัฐษไชยยิ้มและจ้องมองอยู่อย่างนี้ นึกแล้วชายหนุ่มก็อึกอัก พูดออกไปว่า “คุณอัฐษ์คิดอีหยังอยู่ครับ”

คนฟังส่ายหน้า “คิดถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวัน”

ดำเบิกตาด้วยความไม่เข้าใจ “ตอนกลางเว็น”

“ไม่มีคำไหนที่ฉันล้อเล่นเลยนะดำ ฉันชอบเธอ” อัฐษไชยยกขาขึ้นไขว่ห้าง เห็นแล้วดำรู้สึกได้ถึงความมีเสน่ห์อันน่าหลงใหลนั้น ชายหนุ่มพูดไม่ออก ไม่รู้จะตอบกลับไปอย่างไรดี ทำได้เพียงแค่กลืนน้ำลายลงอึกใหญ่ เมื่อสายตาคมเบื้องหน้าลาดไล่ตามลำตัวของเขา ที่มิได้สวมเสื้อปกปิดอยู่ในตอนนี้

ดำไม่อาจปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ จึงตัดสินใจทำลายความเงียบอีกครั้ง

“คุณอัฐษ์ ดำว่าอย่ามักดำเลยดีกั่ว”

“ทำไม” อัฐษไชยย้อน

“เฮามันบ่สมกัน คุณอัฐษ์เหมือนเทวดาส่วนดำเป็นแค่หมาวัดขี้ขโมย” คนกล่าวมองทอดออกไปที่ไหนสักแห่งราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ แม้ว่ากำลังสนทนาอยู่กับอัฐษไชยก็ตาม เจ้านายรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นเด็กสดใสกำลังหมองหม่นไม่เหมือนก่อน

“ฉันทำให้ดำรู้สึกแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” ชายหนุ่มพูดขึ้น

“บ่แม่นครับ ดำบ่เคยฮู้สึกจังซั่น” หัวหน้าคนงานหนุ่มโคลงศีรษะปฏิเสธ ในระหว่างสถานการณ์เคร่งเครียด อัฐษไชยกลับยกยิ้มเอ็นดูขึ้นมา ได้ยินเสียงท้องโวยวายแสดงความหิวโหยจากเด็กตรงหน้า ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เอื้อมไปจูงเจ้าของบ้านให้เดินตามลงไปที่ครัว ดำเลิกคิ้วแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร เมื่อเห็นเจ้านายกำลังเปิดตู้เย็นหาวัตถุดิบอยู่ครู่หนึ่ง

“โอ้โห ของกินเต็มตู้เลย”

ดำยกยิ้มเล็กน้อย “มีไว้แค่นั้นแหละครับ บ่เคยเฮ็ดกินจนต้องเอาไปทิ้งซื่อ ๆ”

ได้ยินแล้วอัฐษไชยก็ทำสายตาเจ้าเล่ห์ ขยับมาพูดเสียงเบาว่า

“หาเมียได้แล้วนะ”

ดำเบิกตา ลมร้อนรดที่แก้มยามอัฐษไชยเขยิบเข้ามากระซิบกระซาบ ไหนจะไอ้คำพูดคำจาที่แฝงเร้นไปด้วยนัยยะอะไรต่าง ๆ เต็มไปหมด ประกอบกับสายตาเจ้าชู้ลึกของอีกฝ่ายทำให้ชายหนุ่มรู้สึกใจเต้นตึกขึ้นมา จนต้องถอยออกห่างเพื่อรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ “ครับ เดี๋ยวดำสิฟ้าวหา”

อัฐษไชยยกยิ้มเมื่อได้ยินชายหนุ่มตอบ แล้วหันมาสนใจของตรงหน้า “ช่วยเป็นลูกมือหน่อยสิ”

ดำกลืนน้ำลายลงคอพลางพยักหน้ารับแต่โดยง่าย ทั้งที่ความจริงแล้วอยากจะอยู่ให้ห่างคนร้ายลึกอย่างอัฐษไชยเหลือเกิน เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะเจ้าตัวชอบหันมาส่งยิ้มใจดี เจ้าตัวมักใช้สายตาเจ้าชู้มาก่อกวนให้เขาอยู่ไม่สุข ไหนจะมือไม้ทีเทียวมาแตะโน่น จับนี่อีก “หั่นผิดแล้ว ต้องทำแบบนี้”

อัฐษไชยใช้ความสูงกว่าเล่นงานดำด้วยการโน้มลงมาเกยคางบนบ่าเปล่าเปลือยของเขา มือทั้งสองข้างก็แตะ จับสอนให้ใช้มีดอย่างถูกวิธี ทำให้คนยืนอยู่ข้างหน้าเงอะงะไปกว่าเก่าเพราะหน้าอกที่กำลังเสียดสีอยู่ข้างหลัง และกลิ่นน้ำหอมราคาแพงที่ยังคงกระจายเข้ามาที่จมูกอยู่เนือง ๆ “คุณอัฐษ์ กระทะจะไหม้”

“โอ้จริงสิ จับเอ๊ย! สอนเพลินไปหน่อย”

ดำถอนใจ หั่นวัตถุดิบตรงหน้าจนครบแล้วจึงเดินไปหยุดยืนข้างเจ้านาย มองดูอยู่ห่าง ๆ ว่ามันจะรุ่งหรือจะร่วง แต่ครั้นอัฐษไชยทำเสร็จแล้วหน้าตามันดูดีกว่าที่คิด ชายหนุ่มจึงเดินไปหยิบช้อนตักชิมหลังเห็นอัฐษไชยปิดแก๊ส ซึ่งนอกจากหน้าตาจะเข้าท่าแล้ว รสชาติมันอร่อยเกินคาด ดำเหลือกตาตื่นเต้นแล้วตักเข้าปากอีกทีเพราะความหิว ไม่สนสายตาของคนทำที่มองอยู่ด้วยรอยยิ้มสุขุมใจดีเช่นเคย

“จะกินให้หมดตรงนี้เลยเหรอ” คนอายุมากกว่าถาม

ดำยิ้มแล้วหันไปหยิบจานชาม ตักของตัวเองและเผื่ออัฐษไชยด้วย “กะมันหิวนี่ครับ ไปเร็ว ๆ ดำอยากกินต่อแล้ว” ผู้กล่าวดุนดันให้อัฐษไชยเดินนำไป ท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนถูกกระทำ ท้ายที่สุดทั้งสองก็หยุดอยู่ที่โต๊ะบริเวณห้องโถงกลางบ้าน ทานข้าวยามดึกไปด้วย และเปิดทีวีดูกันด้วย

ขณะที่อัฐษไชยสนุกกับการมองดำเพลิดเพลินกับอาหาร ชายหนุ่มก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงถามคนอายุน้อยกว่าไปว่า “ดำมาอยู่ที่ไร่ตั้งแต่เมื่อไรนะ ฉันจำไม่ได้ รู้ว่ากลับมาเยี่ยมเชษฐ์อีกทีก็เห็นเด็กตัวดำ ๆ ผอม ๆ อยู่ในไร่แล้ว”

คนฟังนึกถึงสิ่งที่เจ้านายถาม “ตั้งแต่ยี่สิบครับ ตอนนั้นผมกับนายเซษฐ์มีปัญหากัน แล้วเขากะฮับผมมาเป็นคนงาน” คนกล่าวรำลึกไปเมื่อแปดปีก่อน ตอนที่หนีออกจากบ้านมาใหม่ ๆ แล้วเงินที่หยิบติดตัวมาก็หายไปเพราะความซื่อ ทำให้ตัวเองต้องมาขโมยกระเป๋าสตางค์ของเชษฐ์ไชย แต่เขาโชคร้ายที่มาขโมยของนายใหญ่แห่งไร่รุ่งอรุณี ตอนนั้นจำได้ว่าเมื่อถูกจับตัวได้ เขาร้องไห้ ประนมมือขอร้องไม่ให้เชษฐ์ไชยเอาความ บอกเจ้านายไปว่าสำนึกผิดและจะไม่ทำมันอีก

ภายนอกดูเหมือนเชษฐ์ไชยจะเป็นคนดุร้าย แต่ใครจะรู้ว่าเจ้านายที่ดำรักและนับถือนั้นคือคนที่มอบชีวิตใหม่ให้ ดำได้ทำงาน ได้มีที่พัก ในตอนนั้นเขาก็สาบานกับตัวเองว่าจะซื่อสัตย์ต่อเจ้านายคนนี้ไปตลอด

หลังจากนั้นห้าปีเขาก็ติดต่อที่บ้าน ดูเหมือนพ่อกับแม่จะหายเคืองและโล่งใจที่ดำยังมีชีวิตอยู่ เขาได้มีโอกาสกลับไปขอโทษพวกท่านที่ตัดสินใจหนีออกมา แต่ก็ไม่คิดที่จะกลับไปอยู่ที่นั่นถาวร จึงเลือกที่จะสร้างบ้านพักอยู่ที่นี่ และมีครอบครัวอยู่ที่นี่เช่นกัน

“ตอนนี้ดำยี่สิบแปด ก็แปดปีแล้วงั้นซี” อัฐษไชยคิด

ดำพยักหน้าและยิ้ม “ครับ ไวอีหลี”

“แล้ว...อะไรทำให้ดำไม่คิดมีแฟนสักที” เจ้านายอยากรู้

คนฟังหันไปหาอัฐษไชยทันทีเมื่อได้ยินคำถาม ชายหนุ่มคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้คำตอบนั้น เพราะตัวเขาเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้เช่นกัน “บ่ฮู้คือกันครับ อาจสิเป็นเพราะว่ายังบ่เจอคนที่ใช่กะได้”

อัฐษไชยพยักหน้ารับ “แล้วคนที่ใช่ของดำเป็นยังไง”

“กะ...คนที่เฮ็ดให้หัวใจดำเต้นแฮง จนทนบ่ไหว...”

“แบบนี้ไหม” อัฐษไชยขยับเข้าไปใกล้จนดำต้องเบิกตากว้าง แต่ที่ตกใจไม่ใช่เพราะใบหน้าหล่อเหลาคมคายในระยะใกล้ เป็นเพราะริมฝีปากนุ่มหยุ่นของอีกฝ่ายที่เข้ามาแนบจูบนี่มากกว่า

ตัวดำแข็งทื่อเพราะไม่รู้จะทำอย่างไร รู้เพียงว่าตอนนี้หัวใจจะกระดอนออกจากอกให้ได้ ยามมือใหญ่เคลื่อนมากุมจับ ขณะที่คนนำจูบรุกลามรุกไล่ตามลิ้นของเขาจนเอาชนะได้ ใช้เวลานานเท่าไรไม่รู้ รู้แต่ว่าชายหนุ่มหอบหายใจ เมื่อในที่สุดอัฐษไชยก็ยอมผละออกไปเสียที

บนใบหน้านั้นเต็มไปด้วยแววตาที่ดำไม่ชอบใจ ถามมาอีกว่า

“ตอบหน่อยสิ ฉันทำให้ดำใจเต้นแรงรึเปล่า”

ดำนิ่งไปพักหนึ่ง รู้สึกว่าขายขี้หน้าเหลือเกิน

“บ่โว้ย! บ่ต้องมาใกล้ดำอีกเลยคุณอัฐษ์!” คนกล่าวหน้าแดงจนไม่อาจอยู่ในระยะสายตาของอีกฝ่ายได้ ครั้นพูดจบเจ้าของบ้านก็วิ่งหนีไปที่ห้องพักของตัวเองด้วยความรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาของอัฐษไชยที่มองอยู่ไม่ละ แล้วทอดถอนใจ ตั้งแต่รู้จักกันมา ชายหนุ่มไม่เคยเห็นดำโกรธใครจนพ่นคำอย่างนี้มาก่อนเลย

คงจะโดนรังเกียจคราวนี้แหละ

ผลีผลามเกินไปแล้ว ไอ้อัฐษ์

--๑๐๐--

------------------------------------------------------

อาอัฐษ์รุกหนักมากกกก แต่ไม่บอกว่าใครรุกใครรับ กี่คน รึสองคน อิอิ มาลุ้นกันเอาเด้ออ

เค้ามาเลทมากจริงๆ (กราบเบญจางคประดิษฐ์)

มันก็จะมีความป่วยแบบผู้หญิงอะคะ ปวดท้อง ปจด. ทรมานมาก

แต่ก็อดทน ปั่นให้ทุกคนอ่าน ต่อจากนี้จะไม่มีเรื่องราวของวิวกะอาเชษฐ์แล้วนะคะ

เป็นเรื่องของดำ อาอัฐษ์ และชาติล้วนๆ เลย



หัวข้อ: Re: **{6.6.61-ตอนที่ ๒๒--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 06-06-2018 11:33:19
จะรอจ๊ะ แต่ดำต้องไม่ใช่นายเอกนะ ไม่งั้นโป้งเลย FC ดำ
 :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: **{6.6.61-ตอนที่ ๒๒--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-06-2018 11:45:20
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **{6.6.61-ตอนที่ ๒๒--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 06-06-2018 15:59:03
ดำจะหาเมียได้ไหมนะ  o18
หัวข้อ: Re: **{6.6.61-ตอนที่ ๒๒--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 10-07-2018 15:11:30
รอจ้า  :z1:
หัวข้อ: Re: **{6.6.61-ตอนที่ ๒๒--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 11-07-2018 19:51:55
นึกว่าอัษฐ์ชอบชาติซะอีก ไหงมาเป็นดำ???
หัวข้อ: Re: **{6.6.61-ตอนที่ ๒๒--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 23-07-2018 23:15:43
นึกว่าคุณอัฐษ์กับชาติกิ๊กกันเสียอีก
เอ๊ะ?หรืว่าจะสามคน

มาอ่านรวดเดียวจบไม่วอกแวกไปเรื่องอื่นเลย
ชอบค่ะบรรยากาศเรื่องดี ภาษาสวย สนุก
ขอบคุณคุณคนเขียนจากใจ
หัวข้อ: Re: **{6.6.61-ตอนที่ ๒๒--๑๐๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 02-08-2018 12:23:47
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: **{28.8.61-ตอนพิเศษ คู่รอง๑} Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 28-08-2018 14:30:48

ตอนพิเศษ ๑

อัฐษไชยต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ!

ดำนอนเหลือกตาโพลงท่ามกลางความมืดเพราะรู้สึกเหมือนมีอะไรค้างคาใจอยู่ ซึ่งอย่างหนึ่งก็คือความรู้สึกบนริมฝีปาก แม้ว่ามันจะผ่านมาเป็นชั่วโมงแล้วก็ตาม ชายหนุ่มพลิกตัวนอนตะแคง เอาหมอนทุบหัวตัวเอง สั่งสอนแกมบังคับให้ข่มตาหลับลงไปเสีย พรุ่งนี้จะได้ตื่นไปทำงานอย่างมีเรียวมีแรงพร้อม แต่สมองเจ้ากรรมมันไม่ยอมทำตามใจอยาก ผุดแต่ภาพรอยยิ้มเจ้าชู้นั้นอยู่เต็มไปหมด

สรุปคนที่อยู่ข้างห้องก็ชอบผู้ชาย มีรสนิยมแบบเดียวกันกับเชษฐ์ไชย นี่เป็นสิ่งใหม่ที่เขาเพิ่งรู้

สิ่งที่สำคัญคือดำไม่รู้ว่าอัฐษไชยกำลังคิดอะไรอยู่ เห็นเขาเป็นคนบ้านนอก จะหลอกจะล่อจะทำตามใจยังไงก็ได้งั้นหรือ และถึงแม้ว่าเขายอมรับเรื่องของเชษฐ์ไชยกับวิริยะได้ ก็ใช่ว่าเขาอยากจะเป็นอย่างนั้นสักหน่อย หนุ่มอีสานคิดแล้วพ่นลมหายใจ สัญญากับตนว่าต่อไปนี้จะระวังตัว หากอัฐษไชยเข้าใกล้เมื่อไรจะต่อยให้หน้าหงายเลยทีเดียว

ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้ามืด เพื่อเลี่ยงการเผชิญหน้ากับอัฐษไชย อันที่จริงก็กลัวว่าตัวเองจะไม่หาญกล้าพอที่จะแสดงท่าทางปฏิเสธโดยตรง จึงตัดสินใจใช้วิธีหลบหน้าแทนการพูดไป เมื่อจัดการแต่งตัวตระเตรียมไปที่ไร่แล้วเสร็จ หัวหน้าคนงานหนุ่มก็โทรเรียกให้หมอกออกมารับ เพราะตั้งใจทิ้งกุญแจไว้ให้เจ้านายขับรถของตนเข้าไปที่ไร่ เผื่อว่าอยากไปทานอาหารกับเชษฐ์ไชยจะได้สะดวก

แต่เอาเข้าจริง ตลอดวันดำกลับจดจ่อกับงานตรงหน้าไม่ได้เลย ในหัวของเขาได้ยินเพียงคำถามจากเจ้าของสายตาเจ้าเล่ห์เมื่อคืนนั้นว่า ‘ฉันทำให้ดำใจเต้นแรงรึเปล่า’ แค่คิดขึ้นมา ก็รู้สึกวูบ ๆ หวิว ๆ อยู่กลางอกพิกล แต่ช่างมัน ตอนนั้นเขาก็แค่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกก็เท่านั้นเอง คิดแล้วดำก็สะบัดหน้า ไล่ลำเสียงนั้นออกไปจากความคิด

“เป็นอะไรพี่ดำ ทำหน้าอย่างกับปวดขี้” หนุ่มคนงานผู้มาใหม่แซว

ชายหนุ่มทำหน้ายุ่งยิ่งกว่าเก่า “เออ ปวดขี้ ขี้บ่ออกมาสองสามมื้อแล้ว พอใจบ่”

คนฟังรู้สึกงง ปกติเวลาดำโดนหยอกจะยิ้มหน้าบาน ตอกมุกกลับมาให้งานสนุกสนานขึ้น

“เป็นอะไรพี่ ขี้หงุดหงิดอย่างกับผู้หญิงเป็นเมนส์”

ดำถอนใจ “บ่บอกโว้ย ทำงานไป!”

“สงสัยโรคคนโสด บอกแล้วว่าให้รีบมีเมีย เห็นไหม พี่เหนือนำไปสองดอกแล้ว”

ดำรู้สึกรำคาญ “มึงฟ้าวย่างออกไปจากรัศมีสายตากูเดี๋ยวนี้เลย”

“น่าน! พูดแล้วโกรธแบบนี้ อิจฉาพี่เหนืออยู่ละสิ” มันยกนิ้วชี้ล้อด้วยใบหน้าแป้นแล้น

ชายหนุ่มก้มลงถอดรองเท้า หากมีคำพูดเล็ดรอดมากวนใจอีกที ไอ้ของในมือนี่ได้ลอยไปฟาดหัวกบาลมันแน่ ชายหนุ่มทำท่าจะปาใส่อยู่สองสามทีในขณะที่กัดฟันอดทน เพราะคนที่ต้องเหนื่อยเดินตามไปเก็บทีหลังก็ตัวเอง ทำได้เพียงแค่ส่ายหน้า มองตามเด็กคนงานวิ่งหนีไป เหลือเพียงหลังลิบ ๆ พร้อมเสียงหัวเราะชอบใจของคนอื่นลั่นไร่ หยอกใครตอนโมโหไม่หยอก มาหยอกไอ้ดำ

คิดแล้วหนุ่มตัวใหญ่กล้ามล่ำก็หมุนตัว ตั้งใจจะเดินไปยังรถกะบะที่ขนเครื่องดื่มชูกำลังและน้ำเกลือแร่ เตรียมแจกจ่ายให้คนง่านเพราะใกล้ถึงเวลาพัก หากทว่าเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นใครโผล่ออกมาจากพงหญ้า สีหน้าตื่นเต้นที่เห็นดำ แต่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มอยากหลีกเลี่ยง และต้องการเจอเป็นคนสุดท้ายของวัน “คะ คุณอัฐษ์!”

คนตรงหน้าคลี่ยิ้ม ยกอะไรสักอย่างขึ้นมา “ดำ คือว่า...”

ชายหนุ่มไม่อยากฝัง ใช้วิชาเสือเผ่นพาตัวเองหนีออกมาเสียเฉย ๆ เพราะไม่อยากพูด หรือรับฟังคำแปลก ๆ จากปากของอีกฝ่ายอีก ซึ่งหวังว่าอัฐษไชยก็น่าจะรู้ตัวว่าเขาลำบากใจที่ทำเช่นนี้ คิดแล้วดำก็หันหลังกลับไปในขณะที่ยังคงวิ่ง แต่กลับตกใจไปกว่าเก่า เมื่อเห็นว่าเจ้านายที่ถูกทิ้งยังคงไม่ยอมลดละความพยายาม ร้องเรียกดำแล้วตามหลังมาติด ๆ “อ๊ากกกก! คุณอัฐษ์ อย่าตามดำมา!”

คนด้านหลังส่ายหน้า ยกอะไรสักอย่างให้ดำดู “เดี๋ยวก่อนดำ เดี๋ย...”

“บ่ ดำบ่อยากคุยกับคุณอัฐษ์อีกแล้ว!”

“ดำ!” อัฐษไชยร้องสุดเสียง

ดำส่ายหน้า แล้วเหตุใดอัฐษไชยยังไม่ยอมเหนื่อยสักทีเล่า!

คิดแล้ววิ่งสุดชีวิต หนีเตลิดเลยรถกะบะที่จอดอยู่ เหลือบหันไปเห็นอีกฝ่ายยังไม่ยอม

คนงานได้ยินเสียงทั้งสองตะโกนสนทนากันลั่นไร่ ตั้งแต่หัวยันท้าย อัฐษไชยคงอยากรู้ว่าระหว่างตัวเองกับดำ ใครจะแข็งแกร่งกว่ากันกระมัง จึงไม่ยอมลดฝีเท้าลงไปเลย ส่วนคนทางนี้มีหรือจะยอม “คุณ...อัฐษ์ อย่า...ตาม...ดำมา...” แม้ว่าตัวเองกำลังจะตายแล้วก็ตาม

ภาพทั้งสองคนวิ่งไล่กันทั่วไร่ เป็นที่สนใจแก่คนงานคนอื่น ไม่เว้นแม้แต่ฝั่งที่ชาติรับผิดชอบ ชายหนุ่มมุ่นคิ้ว เมื่อเห็นเพื่อนตั้งแต่วัยเด็กและคนงานรุ่นน้องเล่นวิ่งไล่จับ ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีใครยอมใคร หากให้เดา อย่าบอกชาติเลยว่าวิ่งไล่กันมาตั้งแต่ฝั่งโน้น สภาพก็เหมือนพวกแข่งมาราธอนข้ามจังหวัดไม่มีผิดเพี้ยน อยากจะไปร่วมวิ่งด้วยอยู่หรอก แต่สภาพขาเขาหลังถูกยิงนั้นจะเดินดี ๆ ยังไม่ได้

จึงทำได้เพียงแค่มองตามสองยักษ์นั่นเท่านั้น

“เล่นอะไรกันเป็นเด็ก”

กล่าวจบ ชาติก็ส่ายหน้า แล้วก้มดูงานต่อไป

“ดำ หยุดก่อน...” อัฐษไชยหอบแฮ่ก มองออกไปไอ้เด็กดื้อข้างหน้าก็ไม่ต่างกัน เจ้าตัวคงกำลังดูถูกเขาอยู่กระมังว่าทำงานอยู่แต่บนโต๊ะ ไม่ได้มีโอกาสออกกำลัง คงจะวิ่งตามไม่ทันคนงานที่ต้องใช้พละกำลังทั้งวันอย่างดำ หารู้ไม่ว่าบ้านหลังที่สองของอัฐษไชยคือฟิตเนส นอกจากไปออกกำลัง เขายังแอบไปส่องเด็กวัยมหาวิทยาลัยที่มักแวะเวียนเข้าไปบ่อย ๆ

กำลังขาชายหนุ่มไม่เป็นสองรองใครแน่ “ดำ...”

คนวิ่งนำหันหลังกลับมา แล้วทำหน้าเหมือนเห็นผี “อย่าตามดำมา...”

“รอฉันก่อน”

“บ่ ดำบ่อยากคุยกับคุณอัฐษ์...”

“ฉันขอโทษ ฉันจะไม่ทำแบบเมื่อวานอีกแล้ว หยุดเถอะดำ...” อัฐษไชยพูดผ่านเสียงหอบ ใช้เฮือกสุดท้ายออกกำลังไปที่ขา ตามให้ดำหันมาพูดคุยกันดี ๆ แต่ครั้นตัวเขาแตะไปที่แขนของคนวิ่งตรงหน้าได้ มันก็ร้องว๊ากเสียงดัง สะบัดหนีราวเห็นเป็นกิ้งกือไส้เดือนน่าขยะแขง อัฐษไชยกลืนน้ำลายทั้งที่คอแห้งผาก ไม่คิดเลยว่าเพียงจูบเดียวทำให้ตัวเองกลายเป็นของน่าแขยงต่อดำได้

ชายหนุ่มตัดสินใจกระโดดตะครุบไอ้เด็กตรงหน้า ให้ล้มเกลือกกองอยู่ที่ป่าหญ้าข้างทางกันทั้งสอง ได้ยินเสียงร้องโหวกเหวกโวยวายไม่อยากถูกจับตัว แต่ครั้นจะพูดดี ๆ อัฐษไชยกลับรู้สึกชาและเจ็บแปลบขึ้นมาบริเวณกล้ามเนื้อน่อง ชายหนุ่มผละมือออกจากไอ้ตัวดีฉับพลัน แล้วหันมากุมที่ขาของตัวเองร้องโอดโอย “ดำ ตะคริว ตะคริว!”

คนถูกจับทำหน้าเหวอ “คุณอัฐษ์ คุณอัฐษ์...”

“ถอยไปไอ้ดำ”

ไม่รู้ชาติมาจากไหน ดันตัวให้ดำหลบ แล้วเดินกะเผลกมาทรุดตัวนั่งตรงกันข้ามกับอัฐษไชยที่ยังหน้ายู่ยับเพราะความเจ็บ เจ้าของมือใหญ่เอื้อมขยับถอดรองเท้าให้อัฐษไชย จับขาเกร็งของคนเจ็บเหยียดยาวให้คลายลง ดำที่ยืนมองอยู่ก็รู้สึกขนลุก เมื่อเหลือบไปเห็นกล้ามเนื้อน่องนั้น เหมือนมีตัวอะไรคืบคลานอยู่ข้างในจนเป็นรูปร่างกระเพื่อมไปมา

“ยืนบื้ออะไรล่ะ! มานวดกล้ามสิวะ”

ได้ยินชาติหันมาเรียกด้วยสายตาคมดุ ดำรีบพยักหน้าอือออเลิ่กลั่ก ทรุดลงไปช่วยนวดบริเวณเอ็นและกล้ามเนื้อที่กำลังจับก้อนอย่างกะทันหันนั้น ตาก็เหลือบไปเห็นเจ้านายที่กำลังทำหน้าเจ็บปวด เหงื่อกาฬไหลอาบไปทั่วตัวเพราะวิ่งไล่ตามกันมาตั้งนาน

“เบา ๆ สิดำ ฉันเจ็บ” มือหนาของอีกฝ่ายกุมจับมือของดำให้เพลาแรงลง ดำรีบสะบัดออกด้วยความตกใจ เป็นอาการของคนที่กำลังตื่นจนชาติจับสังเกตได้

“ไอ้ดำ ไปเอาน้ำมาให้อัฐษ์ แล้วก็เอาน้ำแข็งมาประคบขาด้วย จนกว่ามันจะหาย”

ได้ฟังดำก็ส่ายหน้า ทำไมเขาต้องทำด้วยเล่า “แต่ว่า...”

“หุบปากมึงไปเลย เพราะมึงนั่นแหละ เล่นกันเป็นเด็กจนต้องมีคนเจ็บ”

ดำอารมณ์เสีย แต่จำต้องทำตามคำสั่งของพ่อหัวหน้าใหญ่ของไร่ ทั้งที่ฝ่ายเขาก็เหนื่อยเหมือนกัน แค่ยังไม่แก่จนต้องมีอาการอย่างนี้ก็เท่านั้น คิดแล้วชายหนุ่มก็เดินขาเปลี้ยไปที่ฝั่งของชาติเพื่อรับผิดชอบ มานึกดูอีกทีพวกเขามาไกลขนาดนี้แล้วหรือ มันคงสมควรแล้วที่อัฐษไชยจะเป็นตะคริว ครั้นหยิบขวดเครื่องดื่มชูกำลังทั้งของตัวเองและเจ้านายแล้ว เหลือบไปเห็นคนงานฝั่งนี้กำลังพัก ดำถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองจะออกมาทำอะไร

ชายหนุ่มเบิกตา ล้วงกระเป๋าตั้งใจจะโทรบอกลูกน้อง หากทว่าไม่มีโทรศัพท์อยู่ภายใน สรุปเขาลืมทิ้งไว้อยู่บ้านหรอกหรือ ทำงานมาครึ่งวันแล้วเพิ่งจะรู้ตัว คนโสดก็แบบนี้ โทรศัพท์เงียบเสียจนเคยชิน

คิดแล้วดำรีบวิ่งกลับไปหาชาติ ต้องการยืมโทรศัพท์โทรไปบอกลูกน้องฝั่งนั้นให้จัดการเรื่องน้ำดื่มกันเองไปก่อน เพราะหากให้เขาเดินกลับไปแจกจ่ายคงไม่ทัน แต่ครั้นไปถึงก็ไม่เห็นชาติแล้ว คาดว่าคงขับมอเตอร์ไชค์ออกไปข้างนอก คิดแล้วชายหนุ่มก็ทรุดลงเปิดน้ำให้เจ้านาย “อ้ายซาติไปไสครับคุณอัฐษ์”

อัฐษไชยยกน้ำดื่มอยู่หลายอึก แล้วผละออกมาตอบปนเหนื่อย “เห็นว่ารถที่ออกไปส่งผลไม้เสียอยู่กลางทาง จะออกไปซ่อมข้างนอก พักใหญ่ ๆ โน่นแหละถึงได้กลับมา” พูดแล้วก็ยกดื่มอีกทีเพราะความกระหาย “แล้วดำมีอะไรรึเปล่า”

ดำถอนใจ “กะคุณอัฐษ์ไล่ตามดำมา ดำเลยลืมว่าต้องเอาน้ำไปให้คนงาน ตอนนี้กะว่าสิยืมโทรศัพท์อ้ายซาติโทรไปบอกลูกน้องว่าให้หาน้ำดื่มกันเอาเองก่อน เพราะตอนนี้สิให้กลับไปคงบ่ทัน ต้องเบิ่ง(ดูแล)คนเฒ่าก่อน” คนกล่าวใช้เสียงเบื่อหน่าย แต่สีหน้าของอัฐษไชยเบื่อหน่ายยิ่งกว่า มือใหญ่ยกของในมือที่ถือวิ่งตามดำมาตลอดทางยื่นให้

“อันนี้พอใช้ได้ไหม” เจ้านายถาม

ดำก้มลงมอง เห็นมือถือเครื่องหนึ่งก็แปลกใจ “คุณอัฐษ์มีโทรศัพท์คือ(เหมือน)ดำเลย!”

“ซะที่ไหนล่ะ ของดำนั่นแหละ”

“อ้าว...” ดำทำหน้างง

“ก็ฉันจะเอาโทรศัพท์มาให้ดำ เมื่อเช้ามีคนโทรมาบอกว่าให้ดำรีบโทรกลับเร็วที่สุด พอเจอดำ ฉันพยายามจะพูดด้วย แต่ดำก็เอาแต่วิ่งหนี...” คนเล่าทำหน้าเสียใจอยู่พักหนึ่ง ดูเหมือนจะเจ็บปวดที่ถูกกระทำเช่นนั้นด้วย เห็นแล้วผู้มองอยู่ก็รู้สึกใจเสียขึ้นมาที่ตัดสินใจทำเช่นนั้น แต่รู้สึกผิดได้ไม่นาน สายตาที่ดำเกลียดก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าอัฐษไชยอักครั้ง เมื่อชายหนุ่มก้มลงประคบกล้ามเนื้อให้

มือใหญ่เคลื่อนมาจับมือของดำ ให้เห็นว่าสีผิวคนละเฉดกัน “เพราะดำนั่นแหละ ฉันเลยเจ็บขนาดนี้ ต้องรับผิดชอบ”

รู้สึกเหมือนเลือดวิ่งพล่านขึ้นมาบนหน้าของดำอย่างอัตโนมัติ หลังได้ฟังอัฐษไชยพูด ประกอบสายตาเจ้าชู้นั่น จะโปรยเสน่ห์ทุกที่ทุกเวลาอย่างนี้ไม่ได้ คิดแล้วมือของดำก็กดลงที่กล้ามเนื้อต่อหน้าหนักขึ้นกว่าเดิมด้วยความหมั่นไส้! “โอ๊ย! ดำ...”

“ห้ามเฮ็ดจังซี่กับดำอีก ห้ามเว้า(พูด)สองแง่ ห้ามใซ้สายตา ห้ามถืกโต(โดนตัว) ห้ามเข้าใกล้ดำเกินหนึ่งเมตร!”

“ไม่ได้...” อัฐษไชยร้อง ไม่ยอมลดละแต่โดยง่าย

“ดำบ่ได้มักคุณอัฐษ์ ดำบ่ได้มักผู้ซาย!”

“ก็ช่างสิ แค่ฉันชอบดำก็พอ โอ๊ย...” อัฐษไชยทิ้งตัวลงนอนกับพื้นเพราะเห็นเด็กตรงหน้าเอาจริง บีบขาเขาแน่น ถึงจะเจ็บแต่จะไม่ยอมรับปากในสิ่งที่ดำขออย่างเด็ดขาด ชายหนุ่มชักดิ้นชักงออยู่ตรงนั้น ยกมือปิดปากร้องเพราะเจ็บแต่ไม่อยากยอมแพ้

กระทั่งฝ่ายดำเองที่จนใจ ยอมละมือออกเพราะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองโหดร้ายป่าเถื่อนกับเจ้านายไปหน่อย หนุ่มอีสานถอนใจอยากจะบ้า ลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์ไปติดต่อหาลูกน้อง นัยหนึ่งคืออยากระงับอารมณ์ตัวเองไม่ให้ทำอะไรบ้า ๆ ต่ออัฐษไชยลงไป

หลังสั่งการคนปลายสายแล้วหนุ่มอีสานก็ผละไปด้านหลัง เห็นอัฐษไชยกำลังนวดขาตัวเองรอให้คลายเส้นอยู่ ราวกับรู้ว่าถูกมอง คนอายุมากกว่าก็หันมาทำหน้าทำตาเจ็บปวดให้เห็นเสียยกใหญ่ ทำอย่างกับดำไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังสำออย แต่แล้วอย่างไร เขาก็ต้องรับผิดชอบไงเล่า คิดแล้วดำก็ทำหน้าเซ็ง เดินกลับไปประคบน้ำแข็งให้

ระหว่างทั้งสองเงียบไปพักหนึ่ง อัฐษไชยเองก็กลัวว่าหากอ้าปากพูดเมื่อไร ดำคงไล่ห้ามให้เขาเข้าใกล้อีกแน่

“แล้วขาคุณอัฐษ์สิหายตอนใด๋ คุณอัฐษ์ครับ ฮู้โตว่าเจ้าของเฒ่าแล้วยังสิมาแลน(วิ่ง)ตามเด็กน้อยอยู่ บ่ฮู้จักเจียมสังขารเจ้าของ(ตัวเอง)เลย...” คนอายุน้อยกว่าบ่นเสียยกใหญ่แล้วตั้งอกตั้งใจคลายเส้นให้ อันที่จริงคืออยากแยกกับคนตรงหน้าเสียแทบขาดใจ ถึงได้พยายามทำให้หายโดยไวที่สุดอย่างนี้

“เดี๋ยวเถอะ ห่างกันแค่สิบปีเอง” อัฐษไชยทำเสียงขุ่น

ดำเบ้ปาก “เว้ามาได้ว่าแค่ เฒ่าสิลงโลงอยู่แล้ว ดีบ่หัวใจวายตายกลางทางซะก่อน”

“กานต์...”

“เอิ้น(เรียก)เฮ็ดหยังฮะ!” คนง่วนอยู่กับสิ่งตรงหน้าตอบกลับมาทันควันอย่างรำคาญ จากสีหน้าที่ยุ่งอยู่แล้วก็ยุ่งยิ่งไปกว่าเก่า เมื่อรำลึกได้ว่าอัฐษไชยพูดอะไรออกไป หนุ่มจากอีสานเบิกตากว้างแล้วกระโจนขึ้นทับตัวอัฐษไชย ใช้มือทั้งสองข้างค้ำพื้นแล้วจ้องเจ้านายผู้รู้ชื่อจริง ๆ ของตัวเองด้วยความใคร่ทราบ “คุณอัฐษ์ เมื่อกี้คุณอัฐษ์ว่าอีหยัง”

อัฐษไชยตกใจกว่าดำเสียอีก ที่เห็นท่าทีตอบสนองอย่างนี้ “กานต์ไง ชื่อของเธอ คือกานต์...”

“ไผบอกคุณอัฐษ์!” ดำกดบ่าเจ้านายลงพื้น เค้นถามเพราะความอยากรู้

อัฐษไชยรู้สึกเหมือนถูกหินแทงจากข้างหลัง “ก็...แม่ของเธอไง เขาเรียกเธอแบบนั้น”

“อ๊ากกกกกก!” ดำเหลือกตาราวกับกำลังจะบ้า

“ระ ร้องทำไมเล่า!” อัฐษไชยหน้าเหวอ มองเด็กด้านบนทำหน้าราวโลกจะแตกให้ได้ ยกมือขึ้นยีหัวตัวเอง ทำหน้าทำตาครวญคร่ำราวกับใกล้สิ้นสติไปแล้วจริง ๆ “เป็นหยังต้องเป็นคุณอัฐษ์นำ เป็นหยังต้องเป็นคุณอัฐษ์ที่ฮู้ความลับของดำ!”

ได้ฟังแล้วคนอายุมากกว่าก็เบิกตา “ฉันรู้แล้วจะทำไมเล่า”

“กะคุณอัฐษ์สิแบล็กเมล์ดำ”

“บ้ารึไง ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า...”

“แต่ฉันทำ” สองหนุ่มทางนี้ชะงัก เพราะกำลังสนใจต่อปากต่อคำกับคู่สนทนา จึงไม่ทันได้รู้ว่ามีใครเดินมายืนฟังตั้งนานแล้ว ดำหันไปตามเสียงด้วยสีหน้าลุ้นสุดชีวิต แม้จะพอจำเสียงได้ว่าเป็นใคร แต่ชายหนุ่มภาวนาอย่างยิ่งว่าอย่าให้คนที่เขาไม่ชอบขี้หน้าที่สุดอย่างชาติ เป็นเจ้าของประโยคเมื่อครู่นี้เลย

แต่เพราะดำคงทำกรรมไว้มากไปหน่อย พระเจ้าจึงไม่สงสารเขาเลย แขนขาดำอ่อนเปลี้ยขึ้นมาเสียเฉย ๆ เมื่อเหลือบไปเห็นหัวหน้าคนงานวัยย่างสี่ยิบยืนหน้าถมึงทึงมองเขาอยู่ แม้ว่าอยากจะลืมไปเสียให้หมดว่าเมื่อครู่ได้ยินอะไร แต่ดำกลับจำได้สนิทใจ ว่าไอ้คนตรงนั้นมันพูดว่าอยากจะแบล็กเมล์เขา ชายหนุ่มอยากจะตะโกนถามจริง ๆ ว่าเขาไปขี้ใส่บ้านมันแล้วไม่ราดหรือไร ถึงได้จงใจแกล้งเขาขนาดนี้!

ชาติกระตุกยิ้มร้าย เมื่อเห็นหน้าดำเหวอมองมา

“อ้ายซาติ เว้าเล่นแม่นบ่” มันยิ้มแห้ง ๆ ให้

ชายหนุ่มไม่แสดงท่าทีอะไรอื่นนอกจากยิ้มเท่านั้น “มึงเห็นกูเป็นคนขี้เล่นมาตลอดงั้นสิ”

“ฮะ...” เด็กตรงหน้ามุ่นคิ้ว

“เดี๋ยวได้เล่นกันสนุกสนานแน่”

พูดจบ หัวหน้าใหญ่แห่งไร่รุ่งอรุณีก็เดินมาด้วยรอยยิ้มที่ดำเกลียด ไม่ต่างจากใบหน้าเจ้าชู้ของอัฐษไชยนัก ชายหนุ่มสะบัดหัวหลบเมื่อมือหนาใหญ่ของไอ้หน้าโจรโน้มลงมาแตะศีรษะ นัยหนึ่งดูเหมือนปลอบ ส่วนอีกนัยหนึ่งคือตั้งใจจะแกล้งให้รู้สึกว่าเป็นฝ่ายต่ำกว่า ดำมุ่นคิ้วด้วยความไม่ชอบใจ ปล่อยให้ชาติหัวเราะหึแล้วเดินจากไปโดยไม่บอกว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น

ดำยกมือขึ้นยีผมตัวเองจนยุ่งเหยิง หันไปมองตัวต้นเหตุที่ยังคงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่

“เพราะคุณอัฐษ์นั่นแหละ คนอื่นเลยฮู้เบิ่ดเลย!”

“อ้าว” อัฐษไชยพูดไม่ออก เพราะเป็นความจริงอย่างที่ดำต่อว่า ไม่สิ กานต์ต่างหาก อันที่จริงชื่อก็ไม่ได้แย่ขนาดที่จะต้องอายขนาดนั้น ชายหนุ่มไม่รู้ว่าทำไมเด็กตรงหน้าถึงได้กลัวใครรู้เพียงชื่อของตัวเองด้วย หรือมันจะมีอะไรมากกว่าแค่ชื่อ คิดแล้วอัฐษไชยก็ลุกขึ้นยืน เดินกะเผลกตามดำที่ทำหน้าไม่พอใจกลับไปที่ไร่

ชาติมันพวกชอบเอาชนะ พอเห็นดำที่กำลังล้มก็เลยอยากเอาคืนที่โดนเล่นเมื่อวาน แต่ใจจริงแล้วเพื่อนที่โตด้วยกันมาไม่ใช่พวกร้ายกาจขนาดนั้น อัฐษไชยรู้ดี ว่าหากชาติจะกลั่นแกล้งดำก็เพียงเพราะเรื่องไร้สาระเท่านั้น อย่างมันโหดก็แค่หน้าเท่านั้นแหละ พอลับตาคนก็เป็นลูกแมวไม่ต่างจากเชษฐ์ไชย พี่ชายของเขานักหรอก

 

เลิกงานแล้ว ดำไม่ยอมกลับบ้านหากยังมีอัฐษไชยเดินตามตูดต้อย ๆ อย่างนี้ ชายหนุ่มมุ่งไปยังห้องพักของหมอกเพื่อหลบเลี่ยงการอยู่กับอัฐษไชยเพียงลำพัง จะไม่ยอมให้เจ้านายจอมเจ้าเล่ห์ฉวยโอกาสเป็นครั้งที่สองแน่ คิดแล้วดำก็ตระเตรียมเหล้ายาปลาปิ้งให้ครบครัน ตั้งใจจะเลี้ยงเพื่อน หากทว่าชายหนุ่มต้องชะงักเท้าเมื่อหนีเสือมาปะจระเข้เสียได้

เหลือบไปเห็นหัวหน้าคนงานนั่งอยู่กับเพื่อนรัก หมอกกำลังผัดอะไรสักอย่างอยู่หน้าเตาอันเล็กกลิ่นหอมอยู่หน้าห้องพัก น่าจะเป็นกับแกล้มของดี ไอ้อยากกินก็อยาก แต่ไม่อยากเข้าร่วมวงกับชาติ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าหมอกได้สนิทชิดเชื้อกับมันตอนไหน

“ชาติ โอ้โห...เจอกันอีกแล้ว” อัฐษไชยร้องทัก ในขณะที่ดำตัดสินใจจะหมุนตัวกลับ ซึ่งเมื่อถูกทักแล้วไอ้คนตัวใหญ่ราวกับยักษ์เบื้องหน้าก็หันมากระตุกยิ้มทักทาย เป็นรอยยิ้มที่ดำเชื่อว่าน่าเกลียดที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา หนุ่มอีสานยกมือกุมขมับเมื่อถูกอีกฝ่ายเห็นจนได้ ให้มันได้อย่างนี้ซีอัฐษไชย

“ไอ้ดำ มา! กูมีของดีเว้ย คุณอัฐษ์ด้วยครับ” หมอกเรียก

อัฐษไชยคลี่ยิ้มกว้าง ไม่ปฏิเสธ ส่วนดำ อยากจะปฏิเสธเสียเต็มประดาแต่ทำไม่ได้ ทั้งสองจึงเดินเข้าไปร่วมวงในที่สุด

ด้วยความที่เก้าอี้หินอ่อนเป็นตัวยาว ตั้งอยู่สี่มุม เมื่อดำทรุดตัวนั่ง ไม่รู้อะไรดลใจให้ทั้งชาติและอัฐษไชยตัดสินใจที่จะขยับมานั่งประกบข้าง ราวกับตั้งใจบอกดำว่าคืนนี้ยังอีกยาวไกล อย่าหวังว่าจะลุกออกไปจากตรงนี้ได้

เห็นแล้ว หนุ่มอีสานก็เหลือกตาในความสลัวของค่ำคืน ในสภาพน้ำยังไม่ได้อาบ!



--------------------------------------------------------

มาแล้วจ้าาา มาอัพแล้ว เป็นเย็นที่เกือบวันใหม่อีกที 55555

ก็มาเวลานี้ทุกวัน คนอ่านน่าจะเดาถูกเนอะ

พี่ชาติจะแกล้งอะไรน้องดำน้อ เจอกันตอนหน้าเด้ออออ
หัวข้อ: Re: **{28.8.61-ตอนพิเศษ๑ คู่รอง} Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 28-08-2018 16:58:11
งานนี้ตายแน่ๆ เลยดำ ขอบคุณที่มาตอนพิเศษนะจ๊ะ
 :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: **{28.8.61-ตอนพิเศษ๑ คู่รอง} Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 28-08-2018 19:59:29
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **{28.8.61-ตอนพิเศษ๑ คู่รอง} Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 29-08-2018 02:10:40
ดำชื่อจริงวา "กานต์" หรอ เพราะดีนะ น่าเรียกบ่อย ๆ  :o8:
หัวข้อ: Re: **{31.8.61-ตอนพิเศษนอกเล่ม๒ คู่รอง} Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 31-08-2018 12:41:40

ตอนพิเศษ ๒

กลิ่นผัดเผ็ดที่หมอกตักมาวางไว้ตรงหน้าไม่ได้ทำให้ดำรู้สึกอยากอย่างเช่นทุกครั้ง ชายหนุ่มเหลือบมองทั้งสองฝั่งของตัวเองด้วยความนึกรำคาญ ฝั่งหนึ่งคือไอ้หัวหน้าปากร้ายที่มักแกล้งเขาด้วยคำพูดและการกระทำ เพราะเคยมีเรื่องถึงใช้กำลังกันมาก่อน แต่ดำคิดว่ามันจบลงไปแล้วและทำดีด้วย มาคิดได้ตอนนี้เขาว่าคงเสียเปล่า ต่อไปนี้จะเลิกเคารพมันแล้ว

ส่วนอีกคน เจ้านายที่เคยเคารพรัก แต่พักหลังทำตัวเป็นไม้เลื้อยจนดำเริ่มรู้สึกว่าน่าหงุดหงิด เขาล่ะอยากจะหายตัวออกไปจากตรงนี้ให้พ้น ๆ ไป ไม่รู้สึกสนุกเหมือนคนที่กำลังยกแก้วดื่มทั้งสอง ข้างกายตอนนี้เลย

“อื้อหืม ผัดเผ็ดฝีมือหมอกอร่อยจังเลย” อัฐษไชยพูดพลางตักเคี้ยวเต็มปาก แม้สีหน้าจะแสดงออกถึงความเผ็ดร้อนจนแดงไปถึงลำคอแล้ว แต่ก็ยังยกนิ้วโป้งชื่นชมลูกน้อง เห็นแล้วดำก็เพียงแค่เบ้ปาก “แล้วคุณอัฐษ์คิดว่าโตเองกำลังกินอีหยังอยู่ครับ แซ่บขนาดนี้”

อัฐษไชยกะพริบตาร้อน ๆ ของตัวเองเพราะความเผ็ด แล้วยกน้ำดื่ม “ผัดเผ็ดไก่นาไง”

“ไก่นา” ดำย้อนพลางหัวเราะ

“นี่แกไม่รู้เหรอว่ากำลังกินอะไร” ชาติกลั้นขำ

คนที่กำลังตักเข้าปากอีกครั้งชะงัก เมื่อเห็นแววตาของเพื่อนร่วมวง “อะไร...”

ใจอัฐษไชยเริ่มรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย เมื่อเห็นแววตาของดำยามตักผัดตรงหน้ากินราวไม่รู้ร้อนรู้หนาว เจ้าตัวรู้ว่าเป็นอะไรยกเว้นชายหนุ่มตรงนี้ มือใหญ่ปาดเหงื่อเพราะความเผ็ดที่ยังไม่จางหาย แต่เชื่อว่าที่มันกำลังไหลเยอะขนาดนี้ไม่ใช่เพราะรสชาติที่กำลังทาน เพราะความกลัวที่จะได้รู้ว่าตัวเองกินอะไรลงไปมากกว่า “มันคืออีเห็น”

พรวด! “เหี้ย!”

ชาติที่กำลังดื่มอยู่ถึงกับพุ่ง เกิดมาไม่เคยเห็นอัฐษไชยสบถอย่างนี้มาก่อน

“บ่แม่น อีเห็นบ่แม่นเหี้ย” ดำรีบบอก

“มันก็เหมือนกันนั่นแหละน่า” อัฐษไชยทำหน้าแขยงพลางยกน้ำขึ้นบ้วนปาก

“ของดี คุณอัฐษ์บ่ฮู้ซะแล้ว” ดำตักขึ้นกินอีกรอบหนึ่ง “เฮ็ดสำออยคือหลาย”

อัฐษไชยสั่นหน้าหงึก ๆ เมื่อชาติแกล้งตักมาให้อีกช้อนเป็นการกระเซ้า เขาไม่ได้เกรงกลัวหรือปอดแหกอะไร แต่คิดว่ามันอยู่ของมันดี ๆ ก็ไม่น่าไปจับมากิน ของดีบนโลกใบนี้กินได้ตั้งเยอะแยะก็ควรเลือกบ้าง แต่ครั้นเห็นดำตักเข้าเต็มปากเต็มคำทั้งที่รู้อยู่แก่ใจแล้ว อัฐษไชยก็รู้สึกนับถือ เพราะตอนนี้เริ่มพะอืดพะอมคลื่นไส้ขึ้นมาเมื่อได้รู้ว่าเป็นอะไร แถมเขาก็กินไปตั้งหลายคำแล้วด้วย

“ดำ พาฉันไปห้องน้ำที...” อัฐษไชยยกมือขึ้นนวดขมับตัวเอง ผละไปมองที่อื่น

“อีหยังอีกคุณอัฐษ์”

“ฉันอยากจะเอามันออก” มือใหญ่เขย่าไหล่เด็กนั่งข้างรัว เร่งเร้าให้รีบ “เร็วเข้า”

“จักอีหยังนักหนา มา ๆ! คราวหลังถ้ามีปากกะถามคนก่อนว่ากำลังจะกินอีหยัง” ดำบ่นแล้วลุกขึ้นจะช่วย หากทว่าอัฐษไชยบอกว่าลุกไหว ให้เดินนำพาไปเข้าห้องน้ำเลย ท่ามกลางสายตาของชาติและหมอกที่มองตามหลัง โดยเฉพาะหัวหน้าใหญ่ของไร่ที่เริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ก่อขึ้นระหว่างสองคนนั้น “ไอ้ดำมันเคยมีเมียไหม ไอ้หมอก”

ลูกน้องอีกคนมุ่ยหน้า หันไปมองเพื่อนรัก “ก็เท่าที่รู้จักกันมา มันเคยคุย ๆ กับกุ้งเพื่อนของตา เมียไอ้ไทพักหนึ่ง แต่มันก็บอกว่าเห็นเป็นเพื่อน เอ้อ...แล้วมันก็เคยถูกวิวจับคู่กับตาอีกรอบหนึ่งหลังกุ้งย้ายออก จนไอ้ไทมันต้องจับตาทำเมียก่อน เพราะมันเล็งไว้แล้ว ตอนนี้ไอ้ดำเลยโสดน่ะพี่”

ชาตินิ่ง หลังได้ฟัง ในขณะที่เห็นหมอกมองตามทั้งสองคนเดินไปยังห้องน้ำก็กล่าวขึ้นมาเสียงเรียบว่า “สงสัยจะได้ผัวก่อนซะละมั้ง”

พรวด! หมอกพ่นของในปากออกด้วยความตกใจ หน้าเหวอเมื่อมันกระเด็นไปใส่ในจานอาหาร

เห็นแล้วชาติก็ส่ายหน้า “เออ ไม่ต้องแดกกันแล้ว”

“ขะ ขอโทษพี่ แต่พี่ว่าอะไรนะ” หมอกเกาหัว

ชาติทอดถอนใจ แล้วยกลำแขนขึ้นมากอดอก “เพื่อนมึงน่ะ มีแววจะได้ผัวกว่าได้เมีย”

“บ้าเหรอ! อย่างไอ้ดำนี่นะ มัน...ทั้งถึก ทั้งใหญ่ ทั้งดำ ใครจะเอามันทำ...” คนพูดหน้าเหวอขึ้นมาอีกระดับเมื่อนึกถึงคนตัวใหญ่พอ ๆ กันที่ถูกพาเดินไปห้องน้ำ หมอกยกมือขึ้นกุมปากด้วยกลัวแมลงวันบินเข้าไป ตอนนี้มันหุบไม่ได้ เขาอึ้งเพราะห้ามความคิดที่ว่า คนที่อยากได้ดำทำเมียคือเจ้านายของเขา

อัฐษไชย! “บ้า มึงลบความคิดบ้า ๆ ออกไปเลยไอ้หมอก!” ชายหนุ่มสั่งตัวเอง

“ของจริงเลยแหละ” ชาติกอดอก จะตักกับแกล้มขึ้นกินก็ชะงัก นึกขึ้นมาได้ว่าโดนของดีจากไอ้เด็กตรงหน้าแล้ว ชายหนุ่มวางช้อนลงเสียงดังแล้วทอดถอนใจอย่างนึกเบื่อหน่าย “ไปทำมาให้กูใหม่เลย เล่นพ่นน้ำลายมาซะเต็มขนาดนี้ใครจะกินลงวะฮะ!”

“นี่พี่ยังอยากกินอีกเหรอ”

“ทำไมจะกินไม่ได้ เรื่องของพวกมันไม่เกี่ยวอะไรกับกูซักหน่อย” คนหน้าโจรทำเสียงหงุดหงิด

หมอกรู้สึกเซ็งที่ชาติชอบบังคับใช้อย่างนี้ตลอด “ไม่มีเครื่องทำให้แล้วพี่ กินอันนี้นี่แหละ ผมไม่มีพิษมีภัยหรอก”

ได้ยินแล้วหัวหน้าใหญ่วัยย่างสี่สิบก็ทำหน้าเบื่อโลก ยกเหล้าขึ้นดื่มด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่าน อันที่จริงก็ชอบทำหน้าเคร่งขรึมอย่างนี้ใส่หมอกตลอดนั่นแหละ ตั้งแต่ได้เป็นหัวหน้าของไร่ก็คอยกดขี่ข่มเหง ใช้โน่นนี่สารพัด ดูไม่เหมือนลูกน้องแต่เหมือนทาสมากกว่า แต่เพราะตัวเองเด็กและหน้าที่การงานต่ำกว่าก็จำต้องยอม ความรู้สึกเขากล้ำกลืนฝืนทนยามอยู่กับชาติ ไม่ต่างจากดำนักหรอก

“ว่าแต่เหลือแค่เราสองคนแบบนี้แล้ว...แปลก ๆ นะ” หมอกยกมือขึ้นเกาคอแก้เก้อ มองนัยน์ตาคมในความสลัวที่ผละมาสบตา แล้วรู้สึกขนลุกขึ้นมาเสียเฉย ๆ “หวังว่าถ้าผมเมาแล้ว คงไม่โดนพี่ตุ๋ยจับทำเมียนะ พี่...ไม่ได้ชอบแบบคุณอัฐษ์ใช่มะ”

เด็กตรงหน้าลากเสียงราวลังเล แต่กล้ากว่าที่ชาติคิด

ชายหนุ่มจิบเหล้า ความรู้สึกยังไม่เมาแม้แต่นิด แต่ในเมื่อกล้าถามเขาก็กล้าตอบ

“กูเอาได้หมด ยกเว้นเป็นตัวเป็นตน ขี้เกียจเอามาเป็นภาระ...”

สายตาของชายตรงหน้าละเลียดมองหมอก คนอายุน้อยกว่าคิดว่าตัวเองคงเมาแล้วถึงเห็นเช่นนั้น หมอกคลี่ยิ้มกวนเมื่อได้ยิน แล้วยกนิ้วชี้ชี้ล้อ “แหม...พูดแบบนี้อย่าบอกผมนะว่าผู้ชายก็เอาได้ ผู้หญิงก็เอาดี ไม่น่าพี่...พี่นี้มันพวกขี้แพ้นี่หว่า เก่งจริงเอาคนเดียวให้อยู่หมัดสิ แบบนี้เขาถึงเรียกว่าเสือของแท้...”

ชาติมุ่นคิ้วเมื่อได้ฟัง ตัวเองเก่งขนาดไหนถึงมาสอนคนอื่นกัน คิดแล้วชายหนุ่มก็ส่ายหน้า ลืมตัวตักผัดเผ็ดขึ้นมาเคี้ยวแล้วนึกขึ้นได้ว่ามีน้ำลายและเศษอาหารจากปากหมอก ชายหนุ่มสะบัดหน้าไล่ความคิดขยะแขยงออก ก็คงไม่มีพิษมีภัยอย่างที่มันว่า

“สรุปพี่ก็ชอบผู้ชาย...” หมอกย้ำ

“เรื่องของกู”

คนฟังสะบัดหน้าแล้วยกแก้วขึ้นดื่ม “ชอบอะไรก็ชอบไป แต่อย่ามายุ่งกับผม พอ!”

“พูดมากนะมึง แดกเงียบ ๆ ไป สองคนนั้นมันตกส้วมตายกันแล้วรึไง” ชาติถอนใจพลางชะเง้อไปอีกฝั่งเพราะหายกันไปพักหนึ่งแล้ว นึกรำคาญหมอกอยู่ในทีที่คอยพูดจาก้าวก่ายอยากรู้อยากเห็น

“เอ๊ะ! รึที่พี่ไม่เอาใครเป็นตัวเป็นตน เพราะรอบางคนหันมาสนใจอยู่...”

“หุบปากไปเลยไป!”

ใบหน้าของชาติรู้สึกว่ามีอะไรวิ่งพล่านเต็มไปหมด หลังเสียงดังไปเพราะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบแก้มตนเองอยู่พักหนึ่งโดยไม่ให้มันโจ่งแจ้งเกินไป เกรงว่าไอ้เด็กหมอกจะรู้ทันว่ากำลังปกปิดอะไรอยู่ ซึ่งคงไม่ทันเสียแล้ว เมื่อเหลือบไปเห็นมันกำลังจับจ้องอยู่อย่างเงียบเชียบ แต่ยามเขาเงยขึ้นไปสบ มันก็แสร้งผละไปที่อื่นไม่รู้ไม่เห็นไป หรือหมอกจะรู้ความลับของชาติเข้าเสียแล้ว

ชาตินิ่งไป ทำได้เพียงต่างฝ่ายต่างยกแก้วขึ้นดื่ม ไม่พูดจากันพักใหญ่ รอให้ดำกับอัฐษไชยกลับมา แต่ก็ไม่ยอมมาสักทีจนรู้สึกร้อนใจ

เมื่อเห็นท่าทีอีกฝ่าย หมอกชำเลืองมองหัวหน้าใหญ่ ในหัวมีแต่ความสงสัยเต็มไปหมด ด้วยความที่กำลังเมาได้ที่จึงถามออกไปด้วยความไม่เกรงใจ “พี่แอบชอบคุณอัฐษ์เหรอ”

ชาติชะงัก ความร้อนวิ่งเข้าสู่ใบหน้าอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ชายหนุ่มหันมองซ้ายแลขวาดูว่ามีใครอยู่แถวนี้หรือไม่ ก่อนที่จะพูดเสียงเบาลงว่า “หุบปากมึงไปซะ เลิกอยากรู้อยากเห็นเรื่องของกู แดกไปเงียบ ๆ”

ได้ยินแล้วหมอกก็เบิกตา “ทำไม ชอบก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่ คุณอัฐษ์ก็ดี...”

“กูบอกให้เงียบไง”

“โถพี่ ไว้ใจผมเถอะน่า ดีไม่ดีผมอาจช่วยพี่จีบคุณอะ...” หมอกเหลือกตาเมื่อตัวใหญ่ ๆ ของผู้ฟังกระโจนเข้าใส่ มือสากเอื้อมมากุมปิดปากให้หยุดพูด อีกข้างก็คล้องคอถูลากถูกังพาเดินเข้าไปในห้องพักที่เปิดประตูทิ้งไว้ของตัวเอง แล้วปิดงับราวกับต้องการจับฆ่ายัดศพอำพรางคดี อาจเป็นเพราะชาติได้ยินฝีเท้าของดำและอัฐษไชยกำลังเดินมาตรงนี้ แล้วกลัวว่าคนทางนั้นจะได้ยินเลยจัดการเขา

หมอกดิ้นสู้ แต่เมื่อเห็นหน้าโจรที่กำลังจ้องเขม็งก็จำยอม เพราะรู้ว่าฝ่ายตัวเองพูดมากจริง ๆ

“เอ้า บักหมอกกับอ้ายซาติแยกย้ายแล้ว เพราะคุณอัฐษ์นั่นแหละเฮ็ดวงเหล้ากร่อย” ดำโวย

“ช่างมันเถอะดำ กลับบ้านกันเถอะ ฉันอยากอ้วกอีกซักรอบ”

“ฮ่วย เบื่อกระเพาะผู้ดีโว้ย!”

อัฐษไชยและดำเดินไปแล้ว หมอกรู้สึกว่าควรรีบออกไปบอกทั้งสองว่าวงยังไม่แยก และชายหนุ่มยังอยากดื่มสังสรรค์กับเพื่อนต่อ แต่หากทว่าชาติไม่ยอม ด้วยความที่เมาและเริ่มเวียนหัวทำให้หมอกตัวโงนเงน พยายามสะบัดหน้าให้หลุดจากการกุมจับก็ไม่เป็นผล ซ้ำร้ายจะล้มกองอยู่กับพื้นด้วย ท้ายที่สุดก็ดึงมือของชาติออกจากปากได้ หรือไม่ อีกฝ่ายก็ยอมผละออกเองเพราะสองคนที่เหลือเดินห่างออกไปแล้ว

“พี่จะทำอะไรฮะ เกิดผมหายใจไม่ออกตายคามือพี่ขึ้นมาจะทำไง” หมอกโวย

“ก็เอาศพไปซ่อนสิวะ”

“กะอีแค่ผมรู้ว่าพี่ชอบคุณอัฐษ์ ถึงขั้นจะต้องฆ่าต้องแกงกันเลยรึไง” คนเมาส่ายหน้า

“หุบปากของมึงไปเลย แล้วจำซะใหม่ว่ากูไม่ได้ชอบ” ชาติทำหน้าดุ ยกนิ้วชี้ออกคำสั่ง

“เฮอะ คงเชื่อตายล่ะ ดูหน้าก็รู้แล้วว่าแอบชอบคุณอัฐษ์ ถ้าพี่ไม่อยากให้ผมเอาความลับพี่ไปเล่าให้ใครฟัง ก็เลิกมาใช้ผมเยี่ยงทาสแบบนี้สิ แล้วผมจะเก็บความลับของพี่ไว้อย่างดีเลย” หมอกกอดอกได้ใจ คิดว่าตอนนี้เหนือกว่า ซึ่งได้ยินแล้วชาติก็ทำหน้าขุ่น ขบฟันจนกรามปูดเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินอะไรทำนองนี้

“มึงคิดจะแบล็กเมล์กูเหรอ” ชายหนุ่มยกนิ้วชี้ชี้หน้าอีกครั้งอย่างสุดทน

“ผมก็แค่ต่อรอง แต่ถ้าพี่ยุ่งกับผมเมื่อไร เรื่องนี้ถึงหูนายเชษฐ์แน่...”

“ใครมันจะสนใจวะ”

หมอกอ้าปากเหวอ เมื่อตัวลอยเคว้งเหวี่ยงไปตามแรงผลักของหัวหน้าตัวใหญ่ยักษ์จนกระแทกกับเตียงด้านหลัง หัวสมองชายหนุ่มมึนเบลอไปชั่วขณะเพราะความรวดเร็ว มารู้ตัวอีกทีก็เห็นร่างใหญ่ของชาติขยับขึ้นมากดทับ ขึงลำแขนทั้งสองข้างกดลงจนจมยวบลงไปในเตียง พร้อมสีหน้าราวเสือตัวใหญ่ที่ถูกหนูตัวน้อยกำลังลูบคมล้อเลียน ใจหมอกเต้นระส่ำ เมื่อรู้ว่าตัวเองยื่นข้อเสนอให้เสือผิดตัวเข้าแล้ว!

“คนอย่างกู ไม่ยอมให้ตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบหรอก” ชาติพูดลอดไรฟันออกมา

คนอยู่ด้านใต้เบิกตา “พะ พี่ชาติ ผมฟ้องนายเชษฐ์แน่ที่พี่คิดอะไรกับคุณอัฐษ์ ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะโว้ย!”

“เอาซี คนเขาจะได้รู้ ว่ามึงเป็นอีหนูของกูเหมือนกัน!” กล่าวจบ เสือตัวใหญ่ก็ขย้ำหนูด้านใต้อย่างไม่รีรอหรือสนใจ แม้ว่าหมอกจะพยายามบอกว่ายอมแพ้และจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับก็ตาม ของอย่างนี้ใครจะไปวางใจได้ สู้หยิบเอาความชนะมาเก็บไว้ในกำมืออย่างอุ่นใจดีกว่า จะได้มั่นใจว่าไม่ถูกแว้งกัดเข้าทีหลัง

เด็กด้านใต้สะบัดหน้าไม่ยอมให้จูบ กระทั่งฟันของชายหนุ่มกระแทกที่ริมฝีปากเข้าให้อย่างไม่ได้ตั้งใจ จนรู้สึกได้ว่ามีความเค็มเฝื่อนลิ้นของเลือดคละเคล้ามาด้วย ชายหนุ่มสบถกับรสชาติห่วยแตกสมหน้าตาของมัน เปลี่ยนมาเอาชนะด้วยพละกำลัง ขนาดร่างกาย สั่งสอนให้มันรู้สำนึกว่ากำลังเล่นกับไฟ เข็มขัดบนเอวถูกถอดมารัดกุมข้อมือไม่ให้คนใต้ร่างหนีหลุดไป จะได้จัดการกับมันง่ายขึ้นกว่าเก่า

“ถ้าขืนมึงร้องดังกว่านี้ เขาได้รู้กันทั้งหอแน่...” ชาติกระซาบผ่านเสียงหอบของคนดิ้นขืน

แววตาของหมอกมีแต่ความโกรธและเป็นปฏิปักษ์ ไม่ได้มีความหวาดเกรงฉายอยู่เลย เห็นแล้วคนมองยิ่งอยากเอาชนะ อยากทำให้สีหน้าเมื่อครู่นั้นแปรเปลี่ยนมายินยอมแต่โดยง่าย แต่ติดอยู่ตรงที่ว่าตัวเองยังไม่มีอารมณ์พอที่จะจับมันทำเมียได้ เพราะรูปลักษณ์ เพราะสถานการณ์ตอนนี้ทำให้ชาติไม่มีอารมณ์เอาเสียเลย หน้าตาและรูปร่างของมันไม่น่าพิศวาสพอ ถึงจะไม่จำกัดว่าต้องนอนกับเพศไหน แต่เขาก็เลือก!

“ให้ตายสิ เอาไม่ลงจริง ๆ”

แต่รู้ว่าควรทำ มันจะได้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นกันได้ง่าย ๆ!



CUT (สามารถไปหาได้ที่แฟนเพจค่ะ)

 ชื่อเพจ writernoonaa



ครั้นถึงที่หมายแล้ว ชายหนุ่มผละออกมาทีเดียวจนคนนอนนิ่งสะดุ้งเฮือก ไม่แปลกใจ ที่จะเห็นเลือดคละเคล้าตามของเหลวแห่งความพอใจที่เอ่อล้นออกมาด้วย เพราะดูแล้วอย่างหมอก มันไม่น่าจะเคยนอนกับผู้ชายมาก่อน หรือเคย ก็ไม่เคยพบปะเจอะเจอกับยักษ์อย่างเขา คิดแล้วชาติก็ติดกระดุมเสื้อ สวมกางเกงที่เอาเปรียบด้วยการปลดเพียงตะขอและรูดซิปด้านหน้า แล้วหันมาล้วงกระเป๋าหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบเงียบ ๆ

กะว่าพักสักครู่ก็จะกลับบ้านไปเลย

ควันบุหรี่ลอยฉุยฉายทั่วห้องอย่างเอื่อยเฉื่อยไม่รีบร้อน มารู้ตัวอีกทีชายหนุ่มก็สูบเข้าไปสามสี่มวนแล้ว ชาติยกนาฬิกาขึ้นดู แล้วขมวดคิ้วมุ่นด้วยความแปลกใจว่าผ่านไปนานเท่านี้ได้อย่างไร เขาใช้เวลาเอาชนะหมอกเพียงแค่ครู่เดียว เหตุใดมาดูเวลา กลายเป็นว่าแทบจะถึงเวลาเริ่มงานใหม่ในวันถัดไปแล้ว

ชายหนุ่มหันกลับไปมองคนนอนนิ่งอยู่บนเตียง ยังไม่ขยับไหวติงก็ตกใจ

“หมอก หมอก...” มือใหญ่จับพลิกตัวให้นอนหงาย แก้เข็มขัดรัดมือออกและเห็นว่ามันเขียวช้ำ เมื่อกี้เขาผละออกมาอย่างไรเจ้าตัวยังอยู่อย่างนั้น เห็นใบหน้าแดงก่ำเรียบนิ่งคอพับ ไร้สติราวกับกำลังเหนื่อยอ่อน เนื้อตัวไม่มีเรี่ยวแรงและอ่อนปวกเปียกจนชาติตกใจ ชายหนุ่มจับปลายจมูกดูเพราะกลัวว่าจะตาย แต่ก็โล่งใจที่คนตรงหน้าก็แค่หลับไป

นี่กูทำอะไรลงไป!

เมื่อได้เห็นสภาพยับเยินของเด็กตรงหน้า และความเมาได้สร่างหายไปบ้าง ทำให้ชาติกลับมาฉุกคิดได้ตัวเองเป็นบ้าไปแล้ว ที่แก้ปัญหาด้วยการดึงใครอีกคนเข้ามาในวงจรอุบาทว์นี่ ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบใบหน้ามันแผล็บของตัวเอง พ่นคำก่นด่าที่ทำเรื่องสารเลวไปโดยไม่คิดอยู่เช่นนั้นเพราะหาทางออกกับปัญหานี้ไม่ได้

เพราะอย่างนี้ไง อัฐษไชยถึงไม่เคยเหลียวแลและสนใจดำมากกว่า

เพราะเป็นคนไม่มีเหตุผลอย่างนี้นี่ไง!



---------------------------------------------------------------

ที่มาส่งช้านี่ไม่ใช่อะไร ก็ NC มันเขียนยาก ที่อ่านได้เหรอ ในเพจไง ตามไปโลด

เย้...เปิดตัวครบสองคู่แล้ว ว่าแต่ใครคู่ใครอะ 55555

ขอเรียกรักครั้งนี้ว่าวงจรอุบาทว์จริง ๆ นะคะ อิพี่ชาติดึงน้องหมอกเข้ามาร่วมวงแล้ว กลายเป็นรักสี่เส้า จะเคล้าน้ำตามั้ย ไม่รู้...แต่พี่ชาติน่ะเป็นลูกเจี๊ยบ ไม่ต่างจากอาเชษฐ์อย่างที่อาอัฐษ์พูดจริง ๆ นะคะ เพียงแต่ว่าเป็นตอนอยู่กับอาอัฐษ์คนเดียวเท่านั้นเอง อิหิ ๆ

มาช่วยกันลุ้นว่า คุณน้องหมอกจะเปลี่ยนใจพี่ชาติ ให้ตัดใจจากอาอัฐษ์ได้ไหม

เอาจริง ๆ อยากให้ทุกคนรับความปากหมา และใจหมา(?) (หมายถึงความซื่อสัตย์นะคะ)ของพี่ชาติกันให้ได้ก่อน ก่อนจะอ่านตอนต่อไปเด้อออ พี่ชาติเขาสุดจริง ๆ ไม่งั้นไม่โสดมาจนถึงป่านนี้หรอก

เจอความน่ารักใส ๆ ของดำแล้ว มาตัดอารมณ์กับความร้ายของพี่ชาติดีกว่า

เจอกันตอนหน้าเด้อ
หัวข้อ: Re: **{31.8.61-ตอนพิเศษนอกเล่ม๒ คู่รอง} Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-09-2018 02:34:13
 :a5:
หัวข้อ: Re: **{31.8.61-ตอนพิเศษนอกเล่ม๒ คู่รอง} Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 02-09-2018 09:40:42
สนุกดีค่ะ  :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: **{31.8.61-ตอนพิเศษนอกเล่ม๒ คู่รอง} Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 02-09-2018 12:10:12
ไอ้พี่ชาติ (ชั่ว) ทำไมทำกับหมอกเยี่ยงนี้

ล้ำหน้าอีกคู่ไปอีก
หัวข้อ: Re: **{31.8.61-ตอนพิเศษนอกเล่ม๒ คู่รอง} Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: kitty ที่ 14-09-2018 06:29:47
มารอคู่รอง   สงสารหมอกจัง
หัวข้อ: Re: **{31.8.61-ตอนพิเศษนอกเล่ม๒ คู่รอง} Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 19-09-2018 08:33:52
สนุกมากเลย. รอตอนพิเศษที่เหลือจ้า
หัวข้อ: Re: **{31.8.61-ตอนพิเศษนอกเล่ม๒ คู่รอง} Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 29-10-2018 07:37:00
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **{31.8.61-ตอนพิเศษนอกเล่ม๒ คู่รอง} Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 03-11-2018 15:29:12
นิยายน่ารักมากค่ะ สนุกมาก
รักน้องวิว 5555

ขอบคุณคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: **{31.8.61-ตอนพิเศษนอกเล่ม๒ คู่รอง} Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 14:32:02
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **{31.8.61-ตอนพิเศษนอกเล่ม๒ คู่รอง} Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 03-10-2020 00:48:08
เอ้าาาาา ไหนนนน ขอต่อออคู่รองสองคู่หน่อยยยค่าาา ชาติหมอกๆ ชูป้าย 55555 สนุกกดีอยู่นะ อาเชษฐ์เจ้าเด็กวิวก็กว่าจะได้รักกันจริง อุปสรรคต่างวัยความไม่เข้าใจกัน ก็กว่าจะง้อกันได้อะนะ  :กอด1:  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: **{31.8.61-ตอนพิเศษนอกเล่ม๒ คู่รอง} Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 04-10-2020 19:28:14
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: **{31.8.61-ตอนพิเศษนอกเล่ม๒ คู่รอง} Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 05-10-2020 09:42:07
มันหยดทุกตอน สนุกมากค่ะ น้องวิวน่ารักเหมาะกับสายฮาร์คออย่างเชษฐ์ดี รออ่านตอนดำยอมรับรักอัษฐ์ซะ ขอบคุณมากค่ะสำหรับนิยายสนุกๆ :pig4:
หัวข้อ: Re: **{31.8.61-ตอนพิเศษนอกเล่ม๒ คู่รอง} Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 07-10-2020 23:12:51
สนุกดีค่ะ ชอบเรื่องนี้มาก
แต่มาอ่านตอนพิเศษไม่ชอบชาติเลย
ทำกับหมอกแบบนี้ แบบเชี่ยเกินอ่ะ
หัวข้อ: Re: **{31.8.61-ตอนพิเศษนอกเล่ม๒ คู่รอง} Cinderella man and the beast
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 08-10-2020 11:48:33
 :katai2-1: