BED CARE JOB
ตอนที่ 6 แล้วอีเมลมานะ
คืนวันอังคาร สามทุ่มสี่สิบห้าไม่ขาดไม่เกิน ผมนั่งสงบเสงี่ยมรอมิสเตอร์เคอยู่ในห้อง ครั้งนี้ผมใช้เวลาเตรียมตัวไม่นานนัก และไม่จำเป็นต้องใช้คู่มือแนะนำจากกระดาษเอสี่อีกแล้ว
เมื่อวานหลังจากที่กินชาบูกับโจเสร็จ ระหว่างทางที่มันไปส่งผมที่ห้อง โจยังบ่นผมต่อไม่หยุด ถึงจะฟังจนหูชาแค่ไหน ผมก็ไม่กล้าเถียงกลับ ไม่ใช่ว่ากลัว แต่โจเป็นคนพูดเร็วจนผมเถียงมันไม่ทันต่างหาก โจย้ำนักย้ำหนาให้ผมมาเจอมิสเตอร์เคเป็นครั้งสุดท้ายและให้บอกเลิกงานกับผู้ว่าจ้างให้เรียบร้อย ส่วนเงินที่ยังขาดอยู่เดี๋ยวโจจะโอนให้วันศุกร์ตอนที่เจอกันในคาบเรียน โจบอกแกมสั่งให้ผมกลับไปทำงานพิเศษเหมือนเดิม มันจะห่วงผมน้อยลงกว่านี้ถ้าผมไม่ไปทำงานลับหูลับตามันอีก
ผมรู้ว่าโจเป็นห่วง... คิดแล้วก็ถอนหายใจ
ทุกครั้งที่แม่โทรมาเรื่องเงิน ถ้าหากเงินที่ได้จากงานพิเศษยังไม่ออกหรือผมหมุนเงินไม่ทัน โจจะให้ยืมก่อนเสมอ ถูกต้องละว่าผมยืมเงินมันก็จริง แต่ผมรู้ตัวดีว่าถ้าเงินทำงานออกมาเมื่อไหร่ผมจะสามารถคืนมันหมดได้โดยทันที ไม่เคยค้างหนี้แบบไม่รู้ระยะเวลา ทว่าไม่ใช่ครั้งนี้ ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะทยอยคืนมันได้หมด
สุดท้ายผมยังเป็นหนี้อยู่ดี แค่เปลี่ยนเจ้าหนี้เท่านั้นเอง
ผมคิดแล้วถอนหายใจ ผมเกรงใจโจ ผมรู้ว่ามันมีเงิน ด้วยฐานะทางบ้านของมัน แต่เงินจำนวนหนึ่งหมื่นห้าพันบาทถือว่าเป็นเงินมากสำหรับผม ผมไม่กล้ายืมโดยไม่รู้กำหนดคืน อีกอย่างผมไม่อยากมีปัญหาแล้วต้องดึงเพื่อนเข้ามาเอี่ยวทุกครั้ง แม้โจจะพูดตลอดว่าเต็มใจช่วย โจใจดี ไม่เคยต่อว่า อาจจะมีบ่นบ้างนิดหน่อยที่ผมใจอ่อนกับที่บ้านมากเกินไป แต่ยินดีช่วยเหลือทุกครั้งที่ผมเอ่ยปาก คิดแล้วก็น่าละอายที่ผมไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้
เป็นอย่างที่ใครต่อใครเคยพูด เมื่อได้หยิบยืมหนึ่งครั้ง สุดท้ายก็จะยืมต่อไปไม่รู้จบ ผมไม่อยากอยู่ในวังวนนั้นอีกแล้ว ผมตั้งใจว่าถ้าหมดหนี้ก้อนนี้ ตอนที่กลับไปเลือกตั้งที่ลำปาง ผมจะรับปิงมาอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ ถึงแม้ว่าปิงอาจจะต้องเรียนซ้ำชั้นใหม่อีกปีก็ตาม ผมอาจจะเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ก็ได้แต่หวังว่าน้องชายผมจะเข้าใจว่าทำไมผมถึงทำอะไรกะทันหันแบบนี้
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เสียงนั้นดึงผมกลับสู่สถานการณ์ปัจจุบัน ผมเหลือบมองนาฬิกาดิจิตอลตรงโต๊ะที่หัวเตียง
สามทุ่มห้าสิบห้า ตรงเวลาเหลือเกิน
“มิสเตอร์เคครับ ผมยังไม่ได้ปิดไฟ คุณจะให้ผมใส่ผ้าปิดตาหรือเปล่า” ผมรีบส่งเสียงบอกคนที่อยู่ด้านนอก
“แล้วแต่คุณเลยครับ ผมแบบไหนก็ได้” ผมฟังแล้วไม่ค่อยพอใจ ทำไมต้องให้ผมเลือกด้วย เขาเป็นนายจ้าง ตัดสินใจให้เลยไม่ได้เหรอ
“ถ้างั้นผมเลือกเปิดไฟ ไม่ใส่ผ้าปิดตาครับ” ผมตั้งใจพูดกลับไป รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
“...” ไม่มีคำตอบจากมิสเตอร์เค ความเงียบทำให้ผมหวั่นใจ ผมคงข้ามเส้นเขาเกินไป
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นจริงๆ” ผมรีบขอโทษเขา เราจะเจอกันในความมืดเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ผมไม่อยากให้เราผิดข้องหมองใจต่อกัน
“คุณอยากเปิดไฟงั้นหรือ” เสียงทุ้มนุ่มชวนฝันของเขาถามผมเสียงเรียบ มันทำให้ผมตื่นเต้นที่ได้ยินคำถาม
“ผมล้อเล่นครับ ผมรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ งั้นผมขอปิดไฟนะครับ” ผมลุกขึ้นเดินไปใกล้ประตู ตรงนั้นมีสวิตช์ไฟอยู่
“ครับ”
ผมปิดไฟเสร็จแล้วเดินกลับมาที่เตียง ถึงภายในห้องจะตกอยู่ในความมืดสนิทแล้วแต่ผมยังพอจำได้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน จึงไม่ยากเย็นที่จะเดินไปปลายทางนัก
“เข้ามาได้เลยครับ ผมปิดไฟแล้ว” ผมให้สัญญาณมิสเตอร์เคอีกครั้ง ประมาณห้าวินาทีที่ผมนับอยู่ในใจ ประตูจึงถูกเปิดออกจากเขา
ด้านนอกมืดมิดเหมือนครั้งก่อน เงาดำตะคุ่มสูงใหญ่ เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับประตูที่ถูกปิดลงอย่างเบามือ ผมเห็นเงานั้นเดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ จนในที่สุดร่างนั้นก็มานั่งอยู่ข้างผม
“เมื่อสักครู่นี้ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น คุณโกรธหรือเปล่า ผมขอโทษอีกครั้งนะครับ” ผมใจเต้นตึกตัก รีบบอกเขาอีกครั้งอย่างเป็นทางการ ถึงแม้จะไม่เห็นสีหน้าและแววตาแต่อย่างน้อยก็พูดต่อหน้าเขา
“...”
“คุณโกรธผมเหรอ ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ขอโทษนะครับ” ไม่มีคำตอบจากมิสเตอร์เค ผมเริ่มไม่สบายใจ ย้ำคำขอโทษไปอีก
ผมไม่ได้ตั้งใจจะล้ำเส้นมิสเตอร์เค จึงยกมือไหว้เขา รู้สึกผิดที่พูดจาพล่อยๆ ยังไงเขาก็คือนายจ้างของผมและแก่กว่าผมมาก ผมไม่ควรเอากฎสำคัญมาล้อเล่นเขา
ผมไม่อยากถูกเขาโกรธ ให้ตายเถอะ
“เปล่า”
“แล้วทำไมคุณไม่ตอบผมล่ะครับ”
“ที่ผมไม่ตอบเพราะผมจำได้ว่าครั้งก่อนผมเคยสอนคุณไปแล้วว่าถ้าจะขอโทษต้องทำยังไง”
ความทรงจำนั้นผุดขึ้นมาในสมองผมอย่างรวดเร็ว หัวใจผมเต้นสะดุดก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นเต้นโครมคราม
“เอ่อ..คุณอยากได้คำขอโทษแบบนั้นจริงๆ เหรอ”
“ครับ ผมเลยรอ..รอคำขอโทษจริงๆ จากคุณ”
“ผม..คือ..ผม” ผมลังเล ไม่กล้าเริ่ม ไม่รู้ว่ามิสเตอร์เคใจเย็นได้แค่ไหน วูบหนึ่งผมคิดว่าถ้าเป็นผมที่ต้องเสียเงินจ้างคนมานอนด้วยแล้วยังถูกถ่วงเวลาไว้แบบนี้ ผมคงจะหงุดหงิด ไม่พอใจ
ผมตัดสินใจเอื้อมมือไปจับแขนเขากล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะรีบปล่อยเพราะแขนเขาเย็นมาก
“ตัวคุณเย็น” ผมบอกเขาตอนที่ละมือออกมา ไม่ได้ต้องการให้เขาเข้าใจผิดกับการกระทำของผม
มิสเตอร์เคหัวเราะเสียงเบาก่อนจะก้มหน้าเข้ามาใกล้ “ขอโทษที วันนี้ผมร้อนมาก ตอนที่อยู่ในรถเลยเร่งแอร์เสียแรงสุด”
“ครับ” ผมบอกเขา พยักหน้ารับคำแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เห็นก็ตาม
ผมขยับตัวแล้วคุกเข่าต่อหน้ามิสเตอร์เค มือทั้งสองข้างยึดบ่าเขาไว้ไม่ให้ล้ม จากท่านี้ผมเห็นมิสเตอร์เคเงยหน้าขึ้น ดวงตาสุกใสในความมืดของมิสเตอร์เคมองมาที่ผม ผมเม้มปากก่อนจะตัดสินใจก้มลงไปจูบเขา
สารภาพตามตรงว่าผมไม่เคยเริ่มเองเลยสักครั้ง ซ้ำยังจูบไม่เป็น ผมอาศัยความทรงจำที่เขาเคยจูบผมนั้นมาใช้ ผมพยายามจูบเขา สอดลิ้นเข้าไปในปากมิสเตอร์เค แต่มันช่างเงอะงะในความคิดผมเหลือเกิน
เขาอาจจะรำคาญผมก็เป็นได้ ตั้งใจจะเลิกจูบแล้วตั้งสติใหม่ โมโหที่ตัวเองไม่ได้เรื่อง แต่ท้ายทอยกลับถูกยึดเอาไว้จากมือเขา ตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมผมไม่รู้ตัวเลย
มิสเตอร์เคถอนริมฝีปากออกมานิดเดียว นิดเดียวจริงๆ จมูกของเรายังชนกัน ถึงจะมองไม่เห็นแต่ผมมั่นใจว่าริมฝีปากเขาจวนแตะกับปากผมอยู่รอมร่อแล้ว
“ผมรับคำขอโทษจากคุณแล้วนะครับ” เขากระซิบบอกผมก่อนจะย้ำจูบอีกที
“คุณไม่โกรธผมแล้วใช่ไหมครับ” ผมยังกังวลกับคำพูดที่ล้อเล่นเขาไปก่อนหน้า
“ผมไม่ได้โกรธคุณเลย”
“ต่อไปผมจะไม่พูดแบบนี้กับคุณอีก”
“ไม่เป็นไร ผมรู้ว่าคุณไม่ได้ตั้งใจพูด” เขาเม้มปากผมค่อนข้างแรง ผมเดาว่าเขาอยากจะกัดเพื่อลงโทษแต่เพราะผมเคยบอกว่าไม่ชอบ เขาจึงทำแบบนั้นแทน แต่อย่าคิดว่าไม่กัดแล้วจะไม่เจ็บนะ ลองดูไหมล่ะ
‘บอกว่าไม่โกรธ แต่จริงๆ ก็ไม่พอใจอยู่บ้างใช่ไหม’ “ขอบคุณครับ”
“ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ผมเหนียวตัวมาก ขอไปอาบน้ำก่อนได้ไหม”
“ได้ครับ ได้อยู่แล้ว คุณเป็นนายจ้างผมนะครับ” ผมยิ้มบอกเขาในความมืด
“เผื่อว่าคุณจะกลัวเสียเวลา” มิสเตอร์เคตอบมาด้วยน้ำเสียงเจือขบขันเล็กน้อย เขาคงแกล้งแหย่ผมเล่น ไม่ยักรู้ว่าเขาจะมีมุมแบบนี้ด้วยเหมือนกัน
“ผมรอได้” ผมเลือกไม่ต่อความ กลัวเถียงไปเถียงมาแล้วไม่ชนะ น่ากลัวว่าจะเดือดร้อนเข้าตัวเอง
“เดี๋ยวผมกลับมา” มิสเตอร์เคทิ้งท้ายสั้นๆ วางมือบนหัวผมไว้ครู่หนึ่งก่อนจะลุกไป
คล้อยหลังเสียงประตูปิดลง ผมนึกถึงคนที่เพิ่งออกไป หลังจากคืนนี้ผมจะไม่ได้ติดต่อกับมิสเตอร์เคอีกแล้ว รู้สึกเสียดาย ผมไม่ได้รู้สึกเสียดายงานที่ทำกับเขา แค่เสียดายว่าสุดท้ายแล้วผมก็ไม่รู้เลยว่าตัวตนที่แท้จริงแล้วเขาเป็นใครกันแน่ รับรู้ว่าเขาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ตัวสูงใหญ่ ไม่อ้วน มีอายุมากกว่าผมรวมกันสองคน เป็นคนใจเย็นที่ไม่ชอบพูดอะไรซ้ำๆ และรู้วิธีพูด พูดเป็น โน้มน้าวเก่ง ไม่บังคับความรู้สึกหรือฝืนใจ ไม่เอาเปรียบ ตรงเวลามาก ไม่ได้มีสาระตลอดเวลา มีอารมณ์ขันบ้างตามสถานการณ์
และที่สำคัญไม่ตระหนี่ถี่เหนียวเรื่องเงิน
เอาเถอะ ถึงจะไม่ได้เห็นใบหน้ามิสเตอร์เคก็ไม่เป็นไร ดีกว่าทำลายความไว้ใจที่ได้รับมาจากเขา
ผมคงคิดเพลินไปหน่อย มารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อได้กลิ่นครีมอาบน้ำกระทบเข้ากับจมูกพร้อมกับเตียงที่ยวบลง
“ผมเคาะประตูแต่คุณไม่ตอบ นึกว่าหลับไปแล้ว” น้ำเสียงทุ้มนุ่มชวนฝันบอกผมอย่างนั้น ไม่ได้แฝงความไม่พอใจมาในน้ำเสียง
“ถ้าผมหลับไปจริงๆ คุณจะทำยังไงครับ” ผมลองถามเขา
“ผมจะปล่อยให้คุณพัก”
“แล้วคุณล่ะ?”
“ผมก็จะกลับไปพักเช่นกัน”
“ไม่โกรธเหรอครับที่ผมทำคุณเสียเวลา”
“ผมอาจจะเสียเวลาก็จริงอยู่ แต่ถ้าคุณหลับก็จะไม่ได้เงินใช่ไหม” มิสเตอร์เคหัวเราะอีกแล้ว ใจผมสั่นทุกทีที่ได้ยิน
ผมขอคืนคำว่าไม่ตระหนี่เรื่องเงินได้ไหม โอเคๆ ผมอาจจะพูดผิดไปหน่อย มิสเตอร์เคอาจจะใช้เงินเก่ง แต่เชื่อเถอะว่าเขาใช้เงินเป็นแน่นอน
“ใช่ครับ” ผมหัวเราะบ้างแต่เป็นแบบขอไปที “ผมไม่หลับหรอก” ผมต้องการเงินและเป็นการทำงานครั้งสุดท้ายผมจะกล้าหลับได้ยังไง
“วันนี้คุณพูดแปลกๆ หลายครั้ง มีเรื่องไม่สบายใจหรือ”
“ครับ?”
“ผมรู้ว่าคุณได้ยินคำถามผมแล้ว” เขาไม่พูดซ้ำตามนิสัย
“ไม่มีอะไรครับ” ผมตั้งใจว่าจะพูดเรื่องยกเลิกกับมิสเตอร์เคหลังจากที่เรานอนด้วยกัน จึงยังไม่อยากพูดอะไรในตอนนี้
“ถึงห้องจะมืด แต่รู้ไหมเปล คุณเป็นคนที่ใช้คำพูดและน้ำเสียงซื่อตรงกับความคิดคุณมาก”
“ผม?” มิสเตอร์เคไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าผมเป็นอย่างที่เขาพูดจริง
“ถ้าให้ผมพูดตรงๆ คุณเป็นคนที่อ่านง่าย แล้วถ้าผมมองเห็น คุณคงเป็นคนแสดงสีหน้าชัดเจนด้วย แสดงว่าคุณจะโกหกใครไม่ได้”
ผมอยากจะเถียงกลับไป แต่มิสเตอร์เคพูดถูก ผมไม่เคยโกหกโจได้สำเร็จ ไม่เคยปิดบังน้ำเสียงเวลาคุยกับแม่ได้เลย แม่ถึงจับจุดผมได้ถูกทุกครั้ง
“คุณเดาถูกครับ”
“ผมไม่ได้เดาถูก แต่ผมพูดถูกต่างหาก” เขาแก้คำพูด ยิ่งทำให้ผมชักหมั่นไส้ความมั่นใจของเขา
“ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณครับมิสเตอร์เค แต่ผมขอคุยหลังจากที่เราทำงานเสร็จแล้วได้ไหม”
“ได้สิ” มิสเตอร์เคพูดแบบนั้นก่อนที่มือของเขาจะถอดเสื้อคลุมผมออกอย่างรวดเร็วจนผมตั้งตัวไม่ทัน
“คุณ!” ผมเรียกเขาเสียงหลงแต่ยังชะงักมือที่จะไม่ตะครุบเสื้อคลุมไว้ได้ทัน ปล่อยให้มันหลุดพ้นจากตัวไปตามความตั้งใจของมิสเตอร์เค
“เริ่มเร็ว จบเร็ว จะได้คุยกันเร็วไงครับ” เขาล้อเลียนตอนที่ดันให้ผมนอนราบไปกับเตียงแล้วมีมิสเตอร์เคทาบทับตามลงมา
ผมหลับตาเมื่อเขาจูบผม มิสเตอร์เคสอดลิ้นเข้ามาในปากผมเหมือนทุกที ผมเริ่มจำวิธีของเขาได้บ้าง เขาป่ายมือไปทั่วตัว ผมเริ่มหายใจติดขัด จับแขนมิสเตอร์เคไว้แน่นก่อนจะเลื่อนมือไปคล้องคอเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มิสเตอร์เคขยับใบหน้ามาที่ใบหูก่อนจะไล่ละลงจนถึงซอกคอ ผมขนลุกซู่ด้วยความวูบวาบ ทุกการลากผ่านจากริมฝีปากเขามันทำให้ช่วงล่างกำลังก่อตัวแปรเปลี่ยนสภาพ
ทั้งผมและเขา
มิสเตอร์เคดูแลใส่ใจผมดีเยี่ยมเหมือนเคย เขาระวังไม่ให้ผมต้องบาดเจ็บ ค่อยเป็นค่อยไปในขั้นตอนที่เขาบอกว่าเร่งรีบไม่ได้ และมันก็มีขั้นตอนที่เขาเร่งรีบและรุนแรงบ้างเมื่อผมบอกเขาว่าผมทนไม่ไหว ทรมานและบีบไหล่เขาแน่นขึ้น ผมไม่ได้พูดมากไปกว่านั้น แต่มิสเตอร์เคกลับเข้าใจเป็นอย่างดี
ถ้าเขาไม่ได้เป็นคนจ่ายเงิน ผมก็เริ่มคิดแล้วว่าจริงๆ แล้ว น่าจะเป็นผมมากกว่าที่เป็นฝ่ายซื้อเขามาเสียเอง
“พอแล้วเหรอครับ” ผมถามมิสเตอร์เคตอนที่เขาถอนตัวออกมาจากตัวผม ผมคิดว่าเขาคงจะถอดถุงยางทิ้งเหมือนกับที่ผมทำ แล้วสวมใส่อันใหม่ลงไป ซึ่งผมเองก็จะทำด้วยเช่นกัน
แต่คืนนี้กลับไม่ใช่
“อืม วันนี้ผมค่อนข้างเหนื่อย”
“ถ้าคุณเหนื่อย จริงๆ ยกเลิกนัดผมได้นะครับ” ถึงจะพูดตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว แต่ผมอยากให้เขารู้ไว้
“คุณจำเป็นต้องใช้หนี้ไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่ครับ แต่ถ้าคุณไม่สะดวกก็บอกผมได้ คุณทำแบบนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลย เหมือนเอาเปรียบคุณ”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก ขยับมาใกล้ๆ สิ” ถึงเขาจะเรียกผมให้เข้าไปแต่อันที่จริง ตอนที่เขาเอนตัวลงนอนข้างๆ เขากลับดึงตัวผมเข้าไปใกล้จนหัวผมเกยอยู่บนหัวไหล่เขา
มิสเตอร์เคกอดผมไว้ คอยลูบแขนเบาๆ
ผมคิดว่าผมชอบช่วงเวลานี้นะ ติดที่มิสเตอร์เคไม่ได้สูบบุหรี่ระหว่างที่กอดผม ผมเคยสงสัยตอนที่ดูหนังว่าทำไมพระเอกหรือนักแสดงในเรื่องถึงชอบสูบบุหรี่หลังเสร็จกิจหรือบางคนก็ชอบไปสูบที่ระเบียงห้อง
“คุณสูบบุหรี่ไหม” ผมจึงถามเขาตามความคิด
“ไม่ครับ ทำไมเหรอ”
“ผมดูหนังหลายเรื่องเห็นพระเอกชอบสูบบุหรี่บนเตียง”
“ดูหนังมากไปแล้ว” เขาเขกหัวผมเบาๆ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะจางๆ “ผมเคยสูบแต่เลิกไปนานแล้ว อีกอย่างผมไม่ใช่พระเอกด้วย ผมน่าจะเหมาะกับบทตัวร้ายมากกว่า”
“ทำไมถึงเลิกสูบครับ” ผมไม่กล้าถามเขาว่าทำไมถึงคิดว่าตัวเองเหมาะกับบทตัวร้ายกลัวจะเป็นการละลาบละล้วง เลยเลือกถามคำถามที่คิดว่าตอบไม่ยากแทน
“พออายุมากขึ้นก็เริ่มกลัวตายเร็ว”
“เหรอครับ” ผมคิดว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงของเขา ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น แต่จะให้ผมไปคาดคั้นเพื่อเอาคำตอบจริงก็กระไรอยู่ ผมไม่ได้อยากรู้จริงจังขนาดนั้น
“ไม่เชื่อเหรอ”
“เชื่อสิครับ มีเหตุผลอะไรที่ผมไม่เชื่อ”
“น้ำเสียงคุณซื่อตรงกับความคิดเสมอ แล้วตกลงว่าคุณมีอะไรอยากพูดกับผม” ในที่สุดมิสเตอร์เคก็รู้จุดอ่อนผมอีกคน
“เพื่อนผมรู้เรื่องที่ผมมาทำงานกับคุณแล้วครับ”
“คุณบอกเขา?” มิสเตอร์เคไม่ได้ทำเสียงว่าโกรธ แต่ถามด้วยความแปลกใจมากกว่า
“เปล่าครับ แต่อย่างที่คุณพูดผมโกหกไม่เก่ง”
“โอเค ผมไม่ประหลาดใจที่คุณโกหกใครไม่ได้ แล้วที่คุณอยากบอกผมคือ?” มิสเตอร์เคตอกย้ำจุดอ่อนของผมแล้วถามกลับ
“เพื่อนผมไม่สบายใจที่รู้ว่าทำงานนี้ เขาเลยออกปากจะช่วยใช้หนี้แทนให้”
“เพื่อนสนิทเหรอ”
“ก็สนิทมั้งครับ คือปกติผมไม่ค่อยได้คุยกับเพื่อนเพราะผมไปทำงานพิเศษตลอด แต่เวลามีปัญหาทีไร เพื่อนคนนี้ก็จะคอยช่วยเหลือผมเสมอ”
“แล้วเงินนั่น คุณต้องคืนให้เพื่อนคุณด้วยไหม”
“ต้องคืนสิครับ ผมไม่กล้าเอามาเฉยๆ หรอก”
“แค่เปลี่ยนเจ้าหนี้สินะ แล้ว?”
“ผมตั้งใจจะบอกคุณว่าขอยกเลิกสัญญาระหว่างเราครับ ผมคงทำงานกับคุณครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย”
พอมิสเตอร์เคฟังคำพูดของผมจบก็เงียบไปครู่ใหญ่ กระทั่งเขาพูดขึ้นมาระหว่างที่ผมกำลังคิดเตลิดไปต่างๆ นานา
“ตกลงครับ ตามสัญญาของเรา ไม่ว่าคุณหรือผม เราต่างมีสิทธิ์ยกเลิกสัญญาได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว”
“ขอโทษที่บอกกะทันหันนะครับ”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวลนะ มันเป็นสิทธิ์ของคุณอยู่แล้วครับ” มิสเตอร์เคว่าพลางกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นอีก เขาคงไม่อยากให้ผมไม่สบายใจ
“ขอบคุณครับ ผมขอถามอะไรคุณบ้างได้ไหมครับ” ในเมื่อเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ผมก็อยากจะรู้บางอย่างจากมิสเตอร์เคบ้าง
“ได้ครับ”
“ทำไมคุณถึงเลือกผมครับ”
“นึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก เพราะคุณน่าสนใจดี”
“ครับ?”
“ไม่มีใครเขาสมัครงานแบบนี้ด้วยรูปถ่ายสองนิ้ว หน้าตรง สวมชุดนักศึกษากันหรอกครับ”
“แล้วถ้าไม่ใช่รูปนักศึกษา จะใช้รูปอะไรล่ะครับ รูปถ่ายเล่นทั่วไปเหมือนที่คุณเคยขอผมเหรอครับ”
“เปลครับ อย่างแรกคุณต้องเข้าใจก่อนว่าถึงผมจะรับสมัครงานพนักงานดูแลเตียงก็จริง แต่ความหมายมันไม่ใช่อย่างนั้น คุณก็รู้ใช่ไหม ผมถึงถามคุณในอีเมลว่าคุณรู้ใช่ไหมงานนี้คืองานอะไร” มิสเตอร์เคอธิบายผมอย่างใจเย็น
“ครับ”
“คุณยังจำได้ไหมผมไม่ได้ระบุวุฒิการศึกษาเป็นคุณสมบัติของผู้ที่มาสมัคร”
“จำได้ครับ” ผมพยักหน้าไปด้วย
“แสดงว่างานนี้มันไม่ได้ใช้ความรู้เป็นสำคัญ วุฒิการศึกษาไม่ได้ตอบโจทย์ในอาชีพนี้”
“อ่อ..ครับ”
“ผมคิดว่าคุณคงพอจะเดาได้แล้วว่าถ้าไม่ใช้ความรู้แล้วต้องใช้อะไร” มิสเตอร์เคไม่ได้เฉลยจนหมดเปลือก เขาปล่อยให้ผมได้ใช้ความคิดเอง
“คิดว่ารู้ครับ”
“ดีครับ ผมเจอมาหลายแบบ ทั้งรูปภาพที่ผ่านการตกแต่งหรือคำพูดที่ผ่านการปรุงแต่ง แต่คุณไม่ใช่ คุณทำให้ผมแปลกใจตั้งแต่รูปถ่ายและคำตอบของคุณ”
“รูปถ่ายผมพอจะเดาได้ แต่คำตอบของผม มันทำไมเหรอครับ”
“คุณตอบตรงๆ ตามสิ่งที่คุณคิดไงครับ”
“ผมก็ตอบตามปกตินะครับ” ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ
“ผมถามคนที่ผมจ้างมาว่าเขามีแฟนไหม หรือเขาเคยนอนกับใครไหม คุณคิดว่าพวกเขาจะตอบว่าอย่างไร”
“ก็ตอบตามจริงสิครับ แต่เขาไม่ควรตอบว่ามีแฟนนะ เพราะมันผิดตั้งแต่ตอนสมัครงานแล้ว” ผมตอบไปตรงๆ
“สมเป็นคุณ นั่นแหละครับตามที่คุณว่าแต่น่าเสียดายที่พวกเขาเลือกโกหกผมตั้งแต่คำถามแรก”
“ทำไมพวกเขาต้องทำแบบนั้นด้วย”
“เขาอยากได้เงิน จนไม่สนวิธีการ”
“เหรอครับ” ผมพยักหน้างึกงักในความมืด
“เอาละ มีอะไรอยากถามผมอีกไหม” มิสเตอร์เคพูดเสียงอู้อี้เล็กน้อย น้ำเสียงเขาฟังดูเนือยๆ วันนี้เขาคงเหนื่อยมากจริงๆ
“ไม่แล้วครับ ขอบคุณนะครับ” ผมเลยไม่อยากไปถามอะไรเขาอีกก่อนจะพูดต่อ “คุณคงจะง่วงแล้ว ถ้างั้นเดี๋ยวผมกลับเลยนะครับ คุณจะได้พักผ่อนต่อที่นี่ ดูแลตัวเองด้วยนะครับ อย่าทำงานหนักเกินไป ส่วนคีย์การ์ดผมวางไว้ที่โต๊ะข้างๆ เตียงให้แล้วนะครับ”
“คุณก็เช่นกัน ดูแลตัวเองดีๆ นะครับ คุณเป็นเด็กดี กลับไปทำงานพิเศษอย่างที่เพื่อนคุณบอก แล้วถ้ามีเรื่องหนักหนา หาทางออกไม่ได้ ให้อีเมลมาหาผมนะ”
“ขอบคุณครับ”
“เดี๋ยวผมจะไปนอนอีกห้อง หลังจากผมไปแล้ว คุณเปิดไฟ อาบน้ำแต่งตัวได้เลยนะครับ” มิสเตอร์เคคลายอ้อมกอด ความอบอุ่นจากเขาหายไป เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ผมจึงทำตามเขาเหมือนกัน
“ครับ”
“อย่าลืมนะ ถ้ามีเรื่องอะไรให้บอกผม อย่าเกรงใจ”
“ครับ”
“โชคดีนะครับเปล” มิสเตอร์เคชะโงกหน้าจูบที่หน้าผากผมเบาๆ ก่อนจะออกไปจากห้อง
ไม่รู้ทำไม ผมเบาโหวงในใจเมื่อคิดว่าจะไม่ได้สัมผัสบรรยากาศและความรู้สึกแบบนี้ของเขาอีก
=====================
ไหนดูซิ.. ใครเดาไว้ว่ายังไงบ้างคะ
ใครเล่นทวิตไปทวง บ่น หรือชมก็ได้น้า ที่แทกนี้เลย #พนักงานดูแลเตียง