มาแว้ววววววววววววววว ^__^ Love Devil ^__^
รักร้ายเทพอสูร
ตอนที่ 8 สงคราม วูบบบบ.. สายลมบางเบาพัดผ่าน
แปลกๆ เบญรู้สึกอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก และเบญคงไม่รู้หรอกว่าสายลมที่พัดผ่านตัวเขาไปนั้นมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่สัมผัสถึงมัน
ฝึดดด...
สัมผัสเบาๆที่เหมือนถูกใครสักคนลูบผ่านเสื้อผ้า เบญขนลุกซู่แปลกๆเขาขมวดคิ้วบางๆ มองไปรอบบริเวณ ไม่มีใคร ไม่มีอะไร เพราะแม้จะดูเหมือนมืด แต่ก็ไม่ได้มืดสนิท ยังคงมีแสงไฟสาดส่องมาจากที่ไกลๆอยู่ พวกเขาสามารถมองเห็นทางเดินและเชือกที่จับได้อย่างชัดเจนเมื่อสายตาเริ่มชินกับความมืด ความสงสัยคงจะมีมากกว่านี้ถ้า....
“กริ๊ดดดด..”
“อะไร!”
เพื่อนคนหนึ่งที่เดินด้วยกันกริ๊ดออกมาเสียงดัง ขณะที่อีกคนหนึ่งก็ตะโกนถามขึ้นมา
“อื้อออ...มะ...มันมีอะไร..ไม่รู้” คนกริ๊ดพูดด้วยเสียงที่เริ่มสั่น
“แล้วอะไรเล่า” เพื่อนอีกคนเร่งเร้า
“ฮือออออ...อะไรก็ไม่รู้มาโดนตัวอ่า~” หล่อนทำเสียงโอดครวญ
“.....”
ทุกคนเกิดอาการกระสับกระส่ายกันเล็กน้อย ใช่ว่าคนพูดจะโดนคนเดียว แต่หลายๆคนก็รู้สึกว่าโดนอะไรมาสัมผัสก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่คิด ไม่คิด หลายๆคนคิดแบบนี้ จนมีคนพูดขึ้นมานี่แหละ ความกลัว ความไม่มั่นใจ จึงเพิ่มเป็นทวี
“ชู่ๆ ไม่มีอะไรๆ” โน้ตลูบไหล่กุลปลอบเบาๆ เมื่อสังเกตเห็นอาการกระสับกระส่ายของคนตัวเล็ก
“ไม่มีไรหรอกน่า ไปต่อเถอะ กลุ่มหลังตามมาจะทันแล้ว” ช่างเป็นการตัดบทหลอนจากสโนว์ได้ชะงักนัก ทุกคนจึงพากันเดินไปต่อ
ลับหลังกลุ่มของเบญไปก็มีงูใหญ่ตัวหนึ่งเลื้อยผ่านบริเวณที่พวกเขาเคยยืนคุยกัน แววตาคมของงูตัวนั้นมองตามหลังใครบางคนที่เพิ่งเดินผ่านไป ก่อนที่มันจะแลบลิ้นสองเฉกออกมาสองครั้งและเลื้อยไปอีกทาง
ระหว่างเดินตามเชือกนั้นเบญไม่รู้ตัวเลยว่า สัญลักษณ์เลือดที่ปรากฏบนหลังมือด้านซ้ายกำลังจะสมบูรณ์เป็นตราสัญลักษณ์บางอย่าง มีแสง...แต่เป็นคงไม่มีใครสังเกตเห็นมัน เพราะมันเป็นแสงสีดำ มันก่อตัววนเป็นอากาศเหมือนจะสร้างให้สัญลักษณ์นั้นสมบูรณ์ สัญลักษณ์ที่เป็นตรา...
...‘ตราดาร์ทเนล’...
... ‘พลังแห่งดาร์ทเนล’....
‘ตราสัญลักษณ์...แห่งความมืด’
...‘ตราแห่งมาร’...
...‘ตราแห่งตัณหา’... จวบจนเดินออกมาเกือบจะพ้นแนวต้นมะพร้าวแล้ว สัญลักษณ์แห่งความมืดบนหลังมืดด้านซ้ายก็สมบูรณ์ และจู่ๆก็มีแสงส่องสว่างจ้าดั่งดวงอาทิตย์ออกมาจากตราแห่งมารที่อยู่บนหลังมือซ้ายของเบญ
“อ๊ะ!”
“อะไรเนี่ย?”
“อื้ออ..”
หลายๆคนอุทานขึ้นกันเบาๆ เพราะแสงที่ส่องสว่างออกมาจ้ามาก จ้าเสียจนทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นต้องหยีตาหลับตาลงกันหมด เพราะสายตาทนต่อแสงสว่างจ้านั้นไม่ไหว รวมถึงตัวเบญเองด้วย
หากแต่เมื่อเบญเปิดเปลือกตาขึ้นมา...
...กลับปรากฏว่า....
เขากำลังยืนอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนั้นเป็นสวนพฤกษชาติที่มีความงดงามดั่งในเทพนิยาย ที่เขาเคยเห็นปรากกฎในตำนานเทพปกรณัมกรีก-โรมันทั้งหลาย สวนสวยงดงามท่ามกลางเมฆหมอกที่บางเบา แต่สายหมอกนั้นกลับให้ความรู้สึกนุ่มนวลเมื่อผิวสัมผัส กลิ่นหอมของพฤกษชาติหอมฟุ้งกระกายไปทั่วบริเวณสวนแห่งนี้ เบญมองไปรอบบริเวณสวนที่เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ก่อนจะก้มมองดูตัวเองปรากฎว่าเบญไม่ได้อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขายาวที่สวมมาเล่นกิจกรรมยามกลางคืนแล้ว แต่เขาอยู่ในชุดสีขาวมีลายคราบทองงดงามทั้งชุด
"ท่านอัลฟ่าร์" เสียงเรียกดังมาจากด้านหลังของเขา เบญหันไปตามเสียงนั้นและเขาเพิ่งรู้สึกว่า ‘อัลฟ่าร์’ คือชื่อของเขา
“มูน...มีอะไรงั้นหรือ? ร้อนรนมาเชียว” เบญถามคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้มหวาน เหมือนเขาจะรู้อยู่แล้วว่าคนเรียก เรียกเขาทำไม
ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้จักกับคนๆนี้ และรู้ได้อย่างไรว่าคนที่เรียกเขาว่าท่านอัลฟ่าร์ชื่อมูน
“ก็คราวนี้ท่านนำอะไรกลับมาด้วยล่ะครับ” มูนพูดอย่างค้อนๆ
มูนเป็นเด็กหนุ่มตัวเล็กผิวขาวใส ตากลมโตสีเขียวอ่อน มูนอยู่ในชุดสีขาวผ้าพลิ้วไสวแต่ไม่รุ่มร่าม แม้จะบอกว่ามูนเป็นเด็กหนุ่มตัวเล็ก แต่จริงๆแล้วมูนมีอายุมากกว่าอัลฟ่าร์กว่าร้อยปีแล้ว
“เถอะน่า...ก็แค่นกตัวเล็กๆเอง” เบญหรืออัลฟ่าร์ยิ้มหวานบอก
“....” มูนไม่ตอบคำ แต่เม้นปากและส่งสายตาที่ทั้งเอือมทั้งเอ็นดูมาให้
‘เหยี่ยว’ เนี่ยนะ นกตัวเล็กๆ มูนไม่เข้าใจท่านอัลฟ่าร์เลยจริงๆ
สำหรับมูนแล้วท่านอัลฟ่าร์ยังคงเป็นเด็กนัก แม้ท่านอัลฟ่าร์จะเป็นผู้ที่มีพลังเวทมนตร์วิเศษสูงที่สุดตั้งแต่ ‘เอลฟ์’ ถือกำเนิดก็ตาม นอกจากนั้นท่านอัลฟ่าร์ยังงดงามทั้งกิริยาจาวาและจิตใจ ท่านอัลฟ่าร์ผู้มีนัยน์ตาสีเงิน เส้นผมยาวสลวยนุ่มดั่งแพรไหมสีเงิน ท่านมีปีกเล็กๆสีขาวที่งดงามงอกมาจากใบหูราวปีกของหางนกยูงสีขาว และกลิ่นตัวที่หอมดั่งพฤกษชาติที่หอมสดชื่นไปทั่วทั้งวังแห่ง ‘เอลฟ์’
‘เอลฟ์’ ราชาแห่งภูติ เทพแห่งธรรมชาติและเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ เอลฟ์หรือที่คนไทยมักเรียกว่า ‘ภูติพราย’ พวกเขาจะมีหน้าที่ปกปักษ์รักษาความสมดุลของธรรมชาติ หากแต่มนุษย์มักเข้าใจว่าเอลฟ์หรือภูติพรายเป็นพวกภูติผีปีศาจที่จะมาทำร้ายตัวเอง ทั้งที่สถานที่พวกเขามักไปปรากฎตัวนั้นก็เพื่อทำการชำระล้างความโสมมที่มนุษย์ก่อขึ้น ก่อนจะรักษาต้นไม้ใบหญ้าให้กลับมาเจริญงอกงามอีกครั้ง
“สวนเอเดนเป็นอย่างไรบ้างครับ” มูนถาม
“งดงามมาก ^___^” อัลฟ่าร์ยิ้มกว้างตอบอย่างน่ารัก
“...^__^” มูนอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม
มูนเป็นพี่เลี้ยงของเขาตั้งแต่เขาจำความได้แล้ว ทั้งคู่จึงมีความสนิทสนมกันมากเสมือนเพื่อนหรือพี่น้องกันมากกว่านายบ่าว นั่นเพราะอัลฟ่าร์เป็นเจ้าชายแห่งภูติที่เกิดจากองค์ราชาแห่งภูติกับเทพีไดอา เทพีแห่งมนต์ตรา
ส่วนสวนเอเดนนั้นเป็นสวนศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดของธรรมชาติและความอุดมสมบูรณ์ทั้งปวง ผู้ที่จะเข้าไปในสวนเอเดนได้นั้นจะต้องเป็นเทพหรือเทพีที่มีตำแหน่งสูงเท่านั้น กับเอลฟ์หรือภูติพรายที่เป็นผู้ดูแล และที่อัลฟ่าร์ได้รับหน้าที่ดูแลสวนเอเดนเพราะว่า...การดูแลสวนเอเดนต้องใช้พลังวิเศษเป็นจำนวนมหาศาล หากผู้ดูแลมีพลังไม่มากพอร่างกายอาจดับสลายได้ แม้ว่าจิตจะยังอยู่ก็ตาม ดังนั้นผู้ที่ร่างกายดับสลายไปแล้วก็ต้องไปกำเนิดใหม่เท่านั้น
............................................................
สามวันก่อนหน้านั้นเหล่าเทพกำลังเผชิญกับภาวะสงคราม สงครามระหว่างเทพกับมาร เอเทอร์ องค์ราชันย์แห่งสวรรค์ ราชาแห่งทวยเทพ ผู้ปกครองสูงสุดบนสวรรค์ พระองค์มีคำสั่งเรียกเหล่าเทพให้เข้าเฝ้าเพื่อเตรียมการรับมือกับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น
ณ ท้องพระโรงนครเฮเวนท์ นครแห่งสรวงสวรรค์
เอเทอร์นั่งอยู่บนบังลังก์ทองขนาดใหญ่ ซ้ายมือของราชาแห่งทวยเทพคือเทพีวีร่า องค์ราชินีแห่งสรวงสรรค์และดวงดาว และเทพีแห่งการสมรสและความจงรักภักดี ขวามือคือเทพีไดโอนี เทพีแห่งความรัก ความปรารถนา และความงาม
เทพที่มาเข้าเฝ้าประกอบไปด้วย เทพเซดอน เทพแห่งท้องทะเลและแผ่นดินไหว เทพอาเรีย เทพแห่งสงคราม เทพเฮอร์มิส เทพแห่งการค้า และเทพแห่งการโจรกรรม ผู้ส่งสารของเหล่าทวยเทพ เทพเฮฟเฟส เทพแห่งการตีเหล็ก และเทพแห่งไฟ เทพีเธียน่า เทพีแห่งปัญญา เทพีดีเมียร์ เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์และการเก็บเกี่ยว เป็นน้องสาวฝาแฝดของเอลฟ์ราชาแห่งภูติพราย เทพแห่งธรรมชาติและความอุดมสมบูรณ์ ชื่อเอลฟ์จึงเป็นที่มาของเหล่าเอลฟ์ และเทพเอลพอล เทพดวงอาทิตย์ และเทพแห่งแสงสว่าง การเยียวยา การดนตรี ทุกคนแต่งกายงดงามดั่งในเทพนิยาย
จุดเริ่มต้นแห่งสงครามนี้เกิดจากฮาเดส เดิมเป็นเทพแห่งแดนบาดาล แต่เขาได้ล่วงละเมิดต่อกฎข้อห้ามด้วยการไปแตะต้องพลังแห่งความมืด พลังแห่งมาร พลังแห่งตัณหา จนจิตใจของฮาเดสตกสู่ความมืดมิด ราชาแห่งทวยเทพจึงได้ขับไล่ฮาเดสไปสู่ดินแดนแห่งความตาย ดินแดนแห่งความมืดมิด ฮาเดสรู้สึกคับแค้นใจเอเทอร์เป็นอย่างมาก ด้วยอำนาจที่เขาได้รับมาทำให้ฮาเดสเกิดความต้องการแก้แค้นเอเทอร์และเหล่าเทพทั้งหลาย
“ดาร์ทเนลงั้นหรือ?” องค์ราชันย์กล่าวอย่างคาดไม่ถึง
“พะย่ะค่ะ” เทพอาเรีย เทพแห่งสงครามตอบ
“ตำนานกลายเป็นเรื่องจริง” เทพีดีเมียร์กล่าวขึ้น
“ไม่ใช่ เรื่องจริงกลายเป็นตำนานต่างหาก” และตามด้วยเทพีเธียน่า
ทุกคนหันมามองหน้ากันเกิดความเงียบไปทั่วบริเวณ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ร้ายแรงกว่าการทำสงครามเสียอีก เรื่องจริงเมื่ออดีตกาล...ยาวนาน...จวบจน...กลายเป็นตำนาน...ได้กลับมาอีกครั้ง และฝ่ายตรงข้ามก็ได้พลังบางอย่างนั้นไป ‘พลังแห่งดาร์ทเนล’ พลังเก่าแก่ที่สร้างแต่ความสับสนวุ่นวาย ดาร์ทเนลเป็นพลังที่เป็นจุดเริ่มต้นของมวลสารแห่งพลังทั้งปวง พลังที่เกิดก่อนการสร้างโลก ‘พลังแห่งความมืดมิด’
พลังแห่งดาร์ทเนลเป็นพลังที่สามารถอำพลางตัวเองจากการมองเห็น ร้ายแรงกว่านั้นพลังนี้ยังสามารถปกปิดการมองเห็นแม้อีกฝ่ายจะใช้พลังเพื่อมองแล้ว ก็ไม่สามารถเห็นได้ ส่วนที่เรียกว่าตราแห่งตัณหานั้นเพราะดาร์ทเนลจะกลืนกินชีวิตผู้ใช้พลังนั้น และให้ผู้ใช้พลังนั้นกลืนกินชีวิตผู้อื่นด้วยการเสพสุขราคะจนกว่าคนผู้นั้นจะดับสลาย นั่นคือสิ่งที่ทุกคนรู้ หากแต่กลับไม่มีใครฉุนคิดเลยว่าในเมื่อดาร์ทเนลเป็นจุดเริ่มต้นของมวลพลังทั้งปวง ดาร์ทเนลก็ใช่ว่าจะมีแต่กลืนกินชีวิตผู้ใช้เพียงอย่างเดียว ในข้อเสียก็ยังมีข้อดีเสมอและผู้ค้นพบความลับนั้นก็คือ....
... ‘ผู้ที่มีตราดาร์ทเนล’...
... ‘พลังแห่งดาร์ทเนล’....
‘ตราสัญลักษณ์...แห่งความมืด’
...‘ตราแห่งมาร’...
...‘ตราแห่งตัณหา’...
ณ วังจันทรา
‘วังจันทรา’ สถานที่ใช้กักบริเวณเทพชั้นสูงที่กระทำความผิดร้ายแรง วังแห่งนี้ครั้งหนึ่งก็เคยใช้กักบริเวณฮาเดสด้วย แต่ปัจจุบันเทพที่อยู่ที่นี่เป็นถึงเจ้าชาย ‘เจ้าชายไคนาส’ เทพแห่งท้องฟ้าและสายฟ้า บุตรชายเพียงคนเดียวของราชาแห่งทวยเทพ ราชาเอเทอร์กับเทพีวีร่า องค์ราชินีแห่งสรวงสรรค์และดวงดาว และเทพีแห่งการสมรสและความจงรักภักดี เจ้าชายแห่งทวยเทพผู้มีดวงตาสีทองดั่งดวงตะวัน เส้นผมเงางามราวแพรไหมชั้นดีสีทองยาวสลวย พลิ้วไสวเปล่งประกายเจิดจ้ายามต้องแสงอาทิตย์ ใบหน้าหล่อเหลางดงามยิ่งกว่าเทพ
ในขณะที่เจ้าชายเจ้าของผมสีทองกำลังทอดเนตรไปไกลแสนไกลออกไปทางหน้าต่างบานใหญ่ที่ถูกกั้นไปด้วยเวทมนต์ชั้นสูง ก็ปรากฏร่างๆหนึ่งมาจากทางด้านหลังของพระองค์ เป็นร่างของหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ที่งดงามไร้ที่ติ
“แม่มีเรื่องอยากให้เจ้าช่วย” นางพูดขึ้น และนางคือ ‘เทพีวีร่า องค์ราชินีแห่งสรวงสรรค์และดวงดาว และเทพีแห่งการสมรสและความจงรักภักดี’
“....” ไคนาสไม่ตอบอะไร หากเพียงมองมารดาด้วยแววตาเรียบเฉยตามวิสัยของเขา
“ดาร์ทเนล” นางพูดต่อ
“หึ!” เขายิ้มที่มุมปาก ไม่ตอบและไม่ถาม
“ไคนาส”
“......” เงียบ
“มีเพียงลูกเท่านั้นที่จะหยุดเรื่องนี้ได้” ใช่มีเพียงเขาเท่านั้น แล้วยังไง ในเมื่อตอนนี้เขาอยู่ที่วังจันทราไม่สามารถออกไปไหนได้ หรือต่อให้ออกไปได้เขาก็ไม่คิดที่จะช่วย
“เอเทอร์พูดอย่างนั้น?” ไคนาสแดกดันเล็กน้อย
“...ไม่ พ่อของเจ้าไม่เคยรู้เรื่องนี้ เจ้าก็รู้” พ่อหรอ? เขาไม่เคยมองว่าคนๆนั้นเป็นบิดาของเขา ณ ตั้งแต่เวลานั้น..ที่คนๆนั้นทำให้ท่านแม่เขาเสียน้ำตา ไคนาสพยายามระงับอารมณ์พลุ่งพล่านไว้
“นั่นเพราะเขาไม่เคยสนใจ...”
“ไคนาส...เจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ เจ้าทำตัวเอง เจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”
“ข้าทำตัวเองหรือ?” เขาพูดอย่างกลั้นโทสะ หากเพราะเขารักผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้ามากไม่ใช่หรือไง?
“ข้าเพียงแต่ให้แสงสว่างแก่เอเทอร์” ใช่! หากไม่เพราะเอเทอร์ทำให้ท่านแม่เขาเสียใจแล้วล่ะก็...
“...แต่นางก็เป็นน้องสาวของแม่” น้องสาวที่ทรยศได้แม้กระทั่งพี่สาว นางให้อภัยแต่เขาไม่ให้!!!
“......”
“...และถึงอย่างนั้นเค้าก็คือพ่อเจ้า” นางพูดต่อ
“เค้าไม่ใช่พ่อข้า!!!” อีกครั้งกับประโยคนี้ และครั้งนี้โทสะของไคนาสก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว ไคนาสจึงได้ระเบิดออกมาเสียงดังทั้งที่เขาไม่เคยทำ นางสะดุ้งเล็กน้อย ไม่คิดว่าบุตรชายจะโกรธบิดาตัวเองขนาดนี้
“...ฮื่อ! งั้นข้าก็คงไม่ใช่แม่เจ้า” นางทำเสียงขึ้นนาสิกอดที่จะประชดออกมาไม่ได้ นางรักเอเทอร์และนางก็รักบุตรชายเพียงคนเดียวของนาง และนางก็มีเพียงเอเทอร์เป็นสวามีเพียงคนเดียว หากบุตรชายนางไม่ได้เกิดจากเอเทอร์ แล้วจะเกิดจากนางได้หรือ?
“...ท่าน..ไม่ใช่แม่ข้า...” ..ได้อย่างไร? เขากลืนน้ำลายก่อนพูดเพราะรู้สึกลำคอแห้งผาก
ข้ารักท่านมาก..ท่านแม่ ข้ามีเพียงท่านเท่านั้นที่เข้าใจ และข้ามีเพียงท่านเท่านั้นที่ข้ารักที่สุด เขากลั้นกลืนคำพูดที่เหลือเอาไว้ เพราะหากบอกไป ท่านแม่ของเขาคงทุกข์ใจไม่น้อย เพราะคงคิดว่าตนเป็นต้นเหตุให้บุตรชายฆ่า ‘เทพีโซเฟีย’ เทพีแห่งความเย้ายวนและความอิจฉาริษยา
“......” ความรู้สึกเสียใจเอ่ยล้นอย่างห้ามไม่ได้ นางยิ้มทั้งน้ำตาคลอ...อย่างข่มใจและพยายามกลั้นน้ำตาอย่างยิ่งยวด
เมื่อเห็นเช่นนั้นไคนาสก็รู้สึกเสียใจอย่างมาก ที่กล่าวออกไปเช่นนั้น ทั้งยังไม่สามารถพูดสิ่งที่คิดทั้งหมดออกไปได้ ใช่...ทุกสิ่งที่เขาทำ เขาคิด เขาไม่เคยเอ่ยมันออกมา ไม่เคยมีใครรู้ แม้แต่เทพีวีร่ามารดาของเขา และเขาก็จะไม่มีวันเอ่ยมันออกมาไม่ว่าตัวเขาจะถูกลงทัณฑ์เช่นไร
“.....”
“.....”
ความเงียบโรยตัวอยู่ชั่วครู่ นางรู้ว่าบุตรชายกำลังโกรธ แต่นางก็อดที่จะเสียใจกับคำพูดนั้นไม่ได้ ถึงอย่างนั้น นางก็ถือว่านางคือแม่ หากบุตรชายนางไม่เห็นแก่บิดา ไม่เห็นแก่นาง นางก็อยากให้บุตรชายเห็นแก่ราษฎรในอาณาจักรเฮเวนท์และอาจรวมถึงทั้งจักรวาลด้วย
“...ถือว่าแม่ขอร้อง”
นางกล่าว ก่อนร่างกายจะค่อยๆหายตัวไป เหลือเพียงอากาศท่า
TBC
ทักทายทักทาย
คุ้นๆมั้ย? กับบางรูปประโยคในตอนนี้
บางประโยคในตอนนี้เราเอามาจากหนังแฟนตาซีเรื่องหนึ่ง คอเดียวกันคงจำได้ หรือเปล่า?
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ คอเดียวกันอาจจะจำได้ ถามเพื่อ? ไม่รู้ดิ
ขอบคุณที่ติดตามและตามติดทุกกกกกกกกคน
และ...ยินดีต้อนรับนักอ่านใหม่ๆนะจ้ะ
อยากลืมอ่านแล้วเม้นต์ด้วยนะจ้ะ เม้นต์น้อยเค้าเสียใจ ลงช้าด้วยนะเออ
Uri จ้า ปอลอลอ บวกเป็ดทุกคนแล้วนะจ้ะ
[attachment deleted by admin]