เบสที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ท่าทางมันดูงงไม่น้อยที่เห็นผมกำลังจะเอื้อมมือไปจับกุญแจรถของอีกฝ่ายที่เป็นอริกันอย่างงั้น แต่ด้วยความมือไว อาร์มยัดกุญแจรถใส่มือของผมแบบที่ก็ต้องเอาใส่กระเป๋าแบบเร่งรีบ เพราะเราขับรถคนละยี่ห้อกัน แล้วแน่นอนว่า ความแตกชัวร์แบบไม่ต้องสืบเลย
“ ว่าไงมึง ” หลุดถามออกไปด้วยหน้าตาแบบที่ไม่รู้เรื่องอะไร แต่อีกฝ่ายก็ยังเหลือบมองฝ่ายอริแบบที่ไม่วางตา มองจนคนโดนมองถึงขั้นเอ่ยถาม
“ มองเหี้ยอะไร ” อาร์มว่าแบบนั้นแต่คนมองก็แค่แบะปากใส่ เบสก้าวมายืนข้างผม มันดึงแขนข้างนึงของผมไปควง ก่อนจะก้มลงกระซิบแบบเด็กๆ “ อย่าไปอยู่ใกล้มันมึง ”
“ อะไรของมึง ” ผมหันไปถามอีกฝ่าย “ กูแค่ทำกุญแจรถหล่นแล้วมันก็เก็บให้ ”
“ งั้นมีแอลกอฮอล์เปล่า อย่าลืมฉีดฆ่าเชื้อนะ ” มันว่าผมก็ได้แต่ถอนหายใจ ต่างกับอาร์มที่ไม่ได้พูดอะไร อีกคนแค่ยกยิ้มก “ ยิ้มเหี้ยอะไร ”
“ เสือกอะไรมึงละ ” ว่าแบบนั้นเสียงของลิฟต์ตัวที่รอก็เปิดออกพอดี จังหวะนั้นอาร์มเดินเข้าไปด้านในเป็นคนแรกตามด้วยผมแล้วก็เบสที่ก็เดินกอดคอกันเข้ามา
“ วันนี้มึงมาเร็วนะ ” ร่างสูงถามกันผมก็พยักหน้ารับก่อนจะดึงชอคโกแล็ตเย็นที่ซื้อมาขึ้นมาดูดเพราะไม่รู้จะทำอะไร แน่นอนว่าเพราะสายตาคมของคนที่ยืนอยู่ด้านหลังกำลังมองกันอยู่พอดี ความรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องแบบที่ใครว่ากัน ก็คงประมานนี้ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่มีประโยคอะไรที่อยากจะพูดทั้งนั้น เป็นแค่ความรู้สึกที่อยากจะหายไปจากตรงนี้ หายไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ก็ยิ่งดี
“ มึงเอามือออกได้มั้ย ” ไม่ใช่เสียงของผม แต่เป็นเสียงของคนด้านหลังที่พูดขึ้น แล้วนั่นก็ทำให้ไอ้เบสหันไปมองดูด้วยความไม่เข้าใจเท่าไหร่
“ พูดอะไรของมึง ”
“ กูบอกว่า ให้เอามือออก ” ไม่พูดเปล่ามือหนาเอื้อมมาจับข้อมือของเบสก่อนจะดึงมันลงด้วยสายตาไม่พอใจเท่าไหร่ที่อีกฝ่ายกอดกันอยู่อย่างงั้น
“ เหี้ยอะไรเนี้ย ” ร่างสูงคนที่ยืนอยู่ข้างกันหันไปถาม สถานการณ์ที่ทำให้ผมได้แต่มองหน้ามันสองคนแบบเลิ่กลั่กอย่างไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี แต่ก็เหมือนโชคยังดีอยู่ที่ประตูลิฟต์มันเปิดออกพอดี ผมก็เลยได้โอกาสดึงอีกคนให้ออกมาจากลิฟต์
“ ถึงแล้ว ออกมาไอ้สัด ” ว่าแบบนั้นมือก็ทั้งฉุดทั้งกระชากเพื่อนสนิทตัวเองให้เดินตามกันออกมา แบบที่ยิ่งไกลจากคนที่อยู่ร่วมกันในลิฟต์ได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี
“ แล้วนี่มึงจะลากกูไปถึงไหนไอ้สัด ” ว่าแบบนั้นคนที่โดนลากอยู่ก็ทำตัวให้หนักขึ้น ไอ้เบสขมวดคิ้วมองผม ใบหน้าหล่อเหลาของมันที่จ้องมองกัน เป็นท่าทางที่ชวนให้ผมผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะเหลือบไปมองทางอื่น
“ อะไร ”
“ มึงดูเหมือนมีอะไรนะ ”
“ ไม่มี!! ” หันไปเถียงอย่างงั้นอีกคนก็นิ่งไป ผมทำทีเป็นถอนหายใจ “ กูกลัวมึงแม่งไปวางมวยกับไอ้สัดอาร์มในลิฟต์น่ะสิไอ้สัด เลยต้องดึงออกมาก่อน ”
“ ไม่วางหรอกน่า ไอ้อาร์มไม่ใช่คนแบบนั้น แต่ถ้าไอ้ดีนอะ ไม่แน่ ” ว่าแบบนั้นมือหนาก็ดึงขึ้นมากอดคอกันอีกครั้ง และคราวนี้มันดึงให้ผมเดินตรงไปกับมันตรงทางฝั่งของโรงอาหาร “ ไอ้อาร์ม เห็นแบบนั้นมันใจเย็นนะ แต่ก็ในวงเล็บที่ว่า ถ้ากูไม่ไปต่อยไอ้ดีนเข้าละก็นะ เพราะถ้ากูต่อยไอ้ดีนเข้า ไอ้สัดนั้นคงกระโจมเข้ารุมกูจนยับเลยมั้ง ”
“ ก็มึงแม่งเสือกไปต่อยเพื่อนรักมัน ”
“ ใช่ที่ไหน เพราะกูต่อยเมียมันต่างหากละ ”
“ นี่มึงยังจะคิดเรื่องนี้อยู่อีก ” ผมว่า แบบที่อยากจะตะโกนออกไปว่า ‘ ต่อยเมียมันอะไร แฟนไอ้สัดอาร์มคือกูที่มึงกอดอยู่เนี้ย แล้วที่มันจะต่อยมึงเมื่อกี้ ก็เพราะมึงกอดกูนั่นแหละ ยังจะไม่รู้ตัวอีก ส้นตีน ’
“ อ้าวๆ ว่าไม่ได้นะ เพราะเมื่อคืน กูได้รับข่าวสารเด็ดมาก ฟังแล้วจะขนลุก กูขอบอกแค่นี้แหละ แต่ว่าขอเล่าพร้อมๆกันนะ พี่เบส ไม่ชอบพูดหลายที ”หันมาบอกกันด้วยสายตาเหมือนขาเม้าส์ในทีวี ก่อนที่มันจะหันไปโบกมือทักทายกับไอ้เจ้ยที่ก็กำลังนั่งกินข้าวร้านโปรด พร้อมกับพูดคุยกับคนในหน้าจอมือถือ ซึ่งแน่นอนว่าก็คงเป็นมิ้ง แฟนของมันแบบที่ไม่ต้องเดินไปเห็นก็รู้ได้เลยจากตรงนี้
“ หวัดดีจ้ามามิ้ง ” ปล่อยมือที่กอดคอกันอยู่ ไอ้เบสไปเอียงหน้าใส่หน้าจอมือถือของเพื่อนสนิท ทักทายคนที่อยู่ในนั้น ส่วนมิ้งเองก็แค่ยิ้มหวานก่อนจะโบกมือทักทายกลับมาให้
“ มาถึงก็เสือกเรื่องครอบครัวชาวบ้านเลยนะไอ้สัด ” เจ้ยมันว่าแต่ถึงอย่างงั้นก็ยิ้มกว้างอยู่ดี
มิ้งเป็นแฟนของเจ้ย เท่าที่รู้มันคบกันมาตั้งแต่ม.ปลาย อีกคนเรียนอยู่มหาลัยรัฐชื่อดังแต่ทั้งคู่ก็อยู่คอนโดเดียวกันตามประสาคู่รักที่ก็ห่างกันไม่ได้เลย ถ้าไม่มีใครไอ้เจ้ยก็ยกมือถือขึ้นคุยกับมิ้งตลอด ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า พวกมึงจะคุยอะไรกันเยอะแยะ อยู่บ้านด้วยกันยังคุยกันไม่พอใจอีกเหรอ
“ มามิ้งหวัดดี ” ทักทายอีกคนตามธรรมเนียมคนที่เห็นก็เบิกตาก่อนจะยิ้มกว้างให้ จนอดแซวไม่ได้เลย “ ก็คือยังน่ารักเหมือนเดิมเลยน้า ”
“ เมียกู หน้าเหี้ย ” ตามประสาผัวขี้หวงไอ้เจ้ยมันว่าอย่างงั้นพร้อมทั้งผลักหัวผมให้ออกห่างจากหน้าจอ ซึ่งแน่นอนว่ามันวุ่นวานพอสมควร เพราะมีทั้งผมทั้งเบสที่คอยผลัดวนเวียนอยู่ที่หน้าจอนั้นเพื่อกวนตีนมัน
มิ้ง เป็นสาวผมยาว ตัวเล็ก ที่ผิวขาวมาก แถมยังชอบทำสีผมแปลกๆในความรู้สึกของผม แล้วสีที่ทำอยู่ก็เหมือนจะเป็นสีม่วงๆเทาๆแบบพาสเทล ที่ก็เข้ากับอีกคนมาก ชนิดที่ว่าหน้าเหมือนบาร์บี้อยู่แล้ว ทำสีนี้ก็ยิ่งเหมือนบาร์บี้ไปอีก
“ งั้นเพื่อนมาครบแล้ว มิ้งวางละนะ เธอไม่เหงาละ ”
“ ไม่เกี่ยวเลย ” ถึงจะว่าอย่างงั้นแต่เจ้าของเครื่องก็แค่ยิ้มก่อนจะพยักหน้ารับ สายนั้นถูกตัดไป พร้อมกับผมแล้วก็ไอ้เบสที่ก็โบกมือไล่หลังเสมือนแบล็คกราวของภาพ
“ ไปหาข้าวแดกเลยไปไอ้พวกขี้เสือก ” เจ้าของเครื่องหันมาบอกด้วยหน้าตาไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก ก่อนจะหันไปกินข้าวต่อ ผมนั่งลงตรงข้ามกับคนที่กำลังกินข้าว พลางยกน้ำที่ถือมาขึ้นดูด ก่อนจะหันบอกคนที่กำลังจะเอ่ยชวน
“ กูกินมาแล้ว มึงไปซื้อเถอะ ”
“ โอเค ” ไอ้เบสรับคำก่อนจะเดินออกไปจากโต๊ะ แผ่นหลังที่ห่างออกไปชวนให้โล่งใจอย่างน่าประหลาด ผมผ่อนลมหายใจออกมาจนคนที่กินข้าวอยู่ถึงกับต้องทัก
“ โล่งใจขนาดนั้น ”
“ โหห มึงต้องเห็นฉากเมื่อกี้ที่ลิฟต์ไอ้สัด ” ผมว่า “ กูกับไอ้อาร์มยืนอยู่หน้าลิฟต์ แล้วอาร์มมันก็กำลังจะยื่นกุญแจรถมาให้กู เพราะมันมีเรียนบ่ายด้วยเผื่อกูกลับก่อนไรเงี้น แต่ไอ้สัดนี่รู้มาจากไหน อยู่ๆโผล่มา เลิ่กลั่กกันชิบหายตอนนั้น แถมมันยังมากอดคอกูอีก ไอ้อาร์มก็เสือกสั่งให้ปล่อยแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเลย ดีนะลิฟต์เปิดพอดี กูนี่ลากออกมาแทบไม่ทัน โชคยังดีมันไม่เซ้าซี้ถาม ว่าทำไมไอ้อาร์มถึงมาสั่งให้มันห้ามกอดคอกู ”
“ กูก็บอกแล้วว่าให้บอกๆซะ เรื่องจะได้จบๆ ” คนตรงหน้าส่ายหน้าไปมายิ้มๆ “ เชื่อกูหน่อยเถอะ ขอร้องแล้วก็ได้ ”
“ เออ กูจะบอกมันเดี๋ยวนี้แหละ ”
“ ก็หวังว่ามึงจะไม่คิดขึ้นมาได้อีก กับคำที่ว่า เพราะมันมีความสุขกับข้าวเช้ามากๆ ก็เลยไม่อยากจะทำให้มันเสียอารมณ์ ” ประโยคที่ฟังตั้งแต่หน้ามหาลัยก็รู้ว่าประชด ผมเผลอถอนหายใจออกมาก่อนจะมองไปทางร่างสูงที่กำลังคุยกับป้าร้านขายข้าวด้วยท่าทางสนิทสนมอย่างอารมณ์ดี “ ถามจริงเถอะ ”
“ ว่า ”
“ ตอนนี้มึงมีความสุขเหรอ ที่ต้องปิดบังเรื่องของไอ้อาร์มกับไอ้เบส ” ได้แต่นิ่งไปในตอนที่อีกคนถาม “ เอาแบบคำตอบพื้นฐาน จากความรู้สึกพื้นฐานของมึงในตอนนี้นะ อึดอัดมั้ยวะ ถามจริง ”
“ ก็ไม่ขนาดนั้น ” ทั้งที่ตอบออกไปอย่างงั้นแต่ในใจก็มีแต่ความรู้สึกเหนื่อยล้า ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะตัวที่นั่ง ส่วนคนถามก็ได้แต่หัวเราะ
“ ไอ้เมี่ยงเป็นเหี้ยอะไร ” เสียงที่ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมาก็รู้ว่าเป็นใคร น้ำหนักตัวของคนมาใหม่หย่อนตัวลงนั่งข้างเพื่อสนิทตัวเอง ตอนนั้นไอ้เจ้ยบอกเบส
“ มันมีเรื่องให้เครียดนิดหน่อย ”
“ เรื่องอะไร ” คำถามที่ถูกโยนมาให้ผมผ่อนลมหายใจแล้วในตอนที่กำลังจะส่ายหน้า สมองก็เหมือนจะหยุดความรู้สึกนั้นไว้ ‘ พิรี้พีไรอยู่นั่นแหละไอ้สัด จะบอกก็แค่บอก บอกๆไปเลยไปต้องพูดนู้นเรื่องนี้เลยนะ พูดออกไป พูดเลย มึงมีแฟนแล้วนะ แล้วแฟนมึงก็ชื่ออาร์ม แล้วถ้าถามว่าอาร์มไหนก็บอกไปเลย อาร์มเพื่อนไอ้สัดดีน เพื่อนรักมึงนั่นแหละเบส ’
“ ว่าไง ”
“ กูมีแฟนแล้วนะ ” ตัดสินใจบอกไปอย่างงั้นไอ้เบสก็หลุดยิ้มกว้าง มือที่จับช้อนอยู่ปล่อยลงด้วยความสนใจในประโยคของผมแทบจะทันที
“ เฮ้ยเดี๋ยววววว ใคร ไปคบกันตอนไหนไอ้เสือ ก็ว่าเงียบๆกลับเร็วตลอด ตอนแรกคิดว่าติดแมวนะมึงน่ะ แล้วหน้าตาเป็นไง มีรูปมั้ย มาให้กูใส่ใจหน่อย สาวคณะไหน มหาลัยเราปะ หรือว่าคนละมหาลัย ”
“ มึงฟังมันให้จบก่อนมั้ย ” เจ้ยพูดขัดคนที่นั่งข้างกัน อีกคนก็ได้แต่ทำหน้าเซ็งราวกับเด็กเล็กที่โดนพ่อแม่ดุ
“ ก็กูตื่นเต้นไอ้สัด น้องเมี่ยงจะมีแฟนแล้ว คุณพ่อแบบกูก็ต้องตื่นเต้นสิ ”
“ แฟนกูเป็นผู้ชายนะ ” ประโยคที่ผมพูดทำเอาคนที่ยิ้มอยู่ยิ้มค้างอยู่อย่างงั้น สายตาเล็กเหลือมองคนที่นั่งข้างกันเหมือนจะหาแนวร่วมกับคำพูดนั้นที่ได้ยิน แต่ยังไม่ทันพูดอะไร ผมก็ชิงพูดต่อ “ แล้วแฟนกูก็คือไอ้อาร์มนั่นแหละ ที่มึงเห็นว่าอยู่ด้วยกันเมื่อกี้ ”
“ ห๊ะ ? เดี๋ยวนะ อาร์ม ? อาร์มไหน ”
“ อาร์มเพื่อนของเพื่อนรักมึงไงเบส เพื่อนดีนของเบส เพื่อนที่เบสรักม๊ากมาก ” เจ้ยที่หันไปลากเสียงใสอีกคนด้วยท่าทางสนุกแต่เหมือนแววตานั้นจะไม่ได้สนุกด้วย เบสดูท่าทางนิ่งไป เป็นท่าทางนิ่งๆที่แม้แต่เจ้ยยังหุบยิ้ม ก่อนจะขยับมือที่วางอยู่ใกล้ๆสะกิด “ เป็นเหี้ยอะไร นิ่งไปเลยไอ้สัด ”
“ ก็มึงเล่นเหี้ยอะไรกัน ไม่เห็นสนุก ” มันว่าอย่างงั้นก่อนจะถอนหายใจ “ ช่วยตอแหลอะไรที่มันเนียนๆหน่อยได้มั้ย พวกหน้าเหี้ย ไอ้อาร์มมันชอบไอ้ดีน ชอบมาตั้งนานแล้วด้วย ”
“ ไม่ได้โกหก ” ผมบอก แต่อีกคนก็แค่ยิ้ม
“ กูดูออกไอ้สัด ไม่ได้โง่เลย มึงสองคนวางแผนกันมาใช่มั้ย จะแกล้งกูใช่มั้ย ”
“ เรื่องจริงเบส ” เจ้ยหันไปบอกเพื่อนตัวเองเสียงจริงจัง อีกคนก็นิ่ง
“ แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง กูไม่เห็นรู้เรื่องเลย มึงไปเจอกันที่ไหน ที่มหาลัยก็ไม่เห็นพวกมึงจะมีท่าทางชอบเหี้ยอะไรกันเลย นั่งตรงข้ามกันก็บ่อย ”
“ มึงไม่ได้สังเกตเองหรือเปล่า หรือว่ามึงมัวแต่มองไอ้ดีน จ้องแต่จะหาเรื่องทะเลาะกับมัน ก็เลยไม่ได้สนใจอะไรอย่างอื่นเลย ” คนตรงข้ามผมพูดแบบนั้น ร่างสูงก็หันมามองหน้ากันแบบที่ยังไม่อยากจะเชื่อกันเท่าไหร่
“ ขอร้อง อย่าตอแหลกูเรื่องนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่มึงจะมาล้อเล่นกูเลยนะ ก็เมื่อคืน..”
“ กูไม่ได้โกหก ” ผมย้ำอย่างงั้น ก่อนจะถอนหายใจ “ มึงจำได้มั้ยว่ากูเคยบอกว่า กูจะย้ายห้องเพราะเริ่มเลี้ยงแมวมั้ย ”
“ ก็ อื้ม ”
“ นั่นแหละ ห้องที่กูย้ายไปข้างๆห้องมันคือห้องของอาร์ม ไอ้สัดนั่นเลี้ยงแมวอยู่ตัวนึง เราก็เลยรู้จักกัน คือจริงๆเรื่องมันยาวกว่านั้น แต่นั่นแหละ กูกับมันก็รู้จักกันแบบลับๆ ไม่ได้คิดจะบอกมึง เพราะกลัวมึงไม่โอเค ที่กูเป็นเพื่อนมึง แล้วไปสนิทกับเพื่อนอริของมึงอย่างดีน แต่สุดท้ายก็นะ..” ผมเว้นเสียงพลางเหลือบมองคนที่มองกันอยู่
“ สุดท้ายก็คือเป็นแฟนกันเลย ”
“ อื้มมมม ” ลากเสียงยาวพลางพยักหน้ารับ คนฟังก็ได้แต่ถอนหายใจไปทางอื่น สำหรับเบส ในวินาทีนี้อาหารตรงหน้าคงดูน่าเบื่อลงทันทีในความรู้สึก แต่ก็นั่นแหละ ความจริงก็คือความจริง ยังไงสักวันก็ต้องรู้
“ อย่าทำสีหน้าให้เพื่อนลำบากใจสัดเบส ” เจ้ยมันออกปากเตือน “ เมี่ยงมันเครียดมากเรื่องที่มันชอบกับไอ้อาร์มทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ต้องเครียดเลย มันแม่งต้องมีความสุขเพราะมีความรักด้วยซ้ำ แต่เพราะกลัวมึงรู้สึกไม่ดี เมื่อวานก็ไม่ยอมบอก รับรู้ไว้ด้วยว่า มันแคร์มึงแค่ไหนแล้ว ”
“ แล้วคือกูต้องโอเคเลยเหรอ ” เบสมันเอ่ยถามเราสั้นๆ “ ใจเย็นหน่อยเจ้ย ให้กูทำใจก่อน กูไม่ได้ค่อยๆรู้เรื่องของมันแบบที่มึงรู้ จะให้กู ตาโต ปรบมือดีใจ แล้วบอกว่า ดีใจด้วยนะมึง มันยังไม่ได้อะตอนนี้ แถมเมื่อคืนกูเจอไอ้ดีนแล้ว.. ”
“ แล้วอะไร ”
“ เปล๊า ” ว่าแบบนั้นคนตัวสูงก็พยักหน้ารับ “ อย่าสนใจเลยไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะกูอาจจะเข้าใจผิด หรือเปล่านะ.. ”
“ อะไรของมึง ”
“ โทษทีนะมึง ” ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงพูดออกมาแบบนี้ท่ามกลางเพื่อนทั้งสองคนตรงหน้า ผมแค่รู้สึกมันเป็นคำที่อยากจะพูด เหมือนกับว่าความจริงผมควรเล่าเรื่องของอาร์มให้มันฟังตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ผมสมควรค่อยๆเล่า แบบที่เล่าให้เจ้ยฟัง ไม่ใช่อยู่ๆจะบอกก็บอกแบบนี้
“ มันไม่ใช่ความผิดของมึงเมี่ยง ” คนตัวสูงบอกกันอย่างงั้น พลางยกมือขึ้นราวกับจะห้ามความคิดของผม “ แต่ขอเวลากูทำใจหน่อย เพราะตอนนี้คือช็อคมากจริง ยังงงอยู่ด้วยเนี้ย ” ว่าแบบนั้นเบสก็หันมองเพื่อนสนิทตัวเอง “ เจ้ย..”
“ เออ เรื่องจริงไอ้สัด ต้องให้ย้ำอีกกี่หน พวกกูจะโกหกมึงทำเชี้ยอะไรละ ”
“ คือมันมีอะไรให้มึงชอบเมี่ยงกูถามจริง หล่อก็ไม่หล่อ กูยังหล่อกว่าอีก ”
“ ให้โอกาสมึงพูดอีกทีนะ ” ว่าแบบนั้นคนพูดก็ถึงหันมามองกันตาโต เบสมันเม้มปากในตอนที่เรามองกดดันมัน
“ เออ มันหล่อ แต่กูก็หล่อเหมือนกันอะ กูเฟรนลี่กว่าด้วย ไม่เหมือนมัน มันไม่ค่อยพูด พูดทีก็น่าต่อย มึงเอาอะไรไปชอบมัน ”
“ มึงต้องลองคบมันดู เปิดใจ ”
“ คือจะให้กูแย่งผัวมึง ”
“ ไอ้สัด ” สบถออกไปคนฟังอยู่ก็หัวเราะ เบสมันหันไปกินข้าวของมันต่อ ก่อนจะถามขึ้นมา เหมือนกับว่าคิดอะไรบางอย่างได้ “ แต่ว่านะ เรื่องนี้ไอ้ดีนยังไม่รู้ใช่มั้ย ”
“ กำลังจะรู้ ” บอกแบบนั้นก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเตรียมพิมพ์ไปบอกอีกคนตามที่ตกลงกันไว้ แ ต่เหมือนเบสจะจมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่สักพัก
“ คิดเหี้ยอะไรอยู่ ” คนที่นั่งข้างกันหันไปถามเพื่อนตัวเอง เจ้ยมันขมวดคิ้วเหมือนสงสัยอยู่นาน
“ เมื่อวานกูเจอไอ้ดีนที่ผับ มันแม่งเมาแอ๋เลย แถมมาคนเดียว ” ร่างสูงว่าอย่างงั้นก่อนจะยิ้ม
“ ไปผับได้ไง มันบอกน้ำมันรถจะหมด ”
“ ไม่รู้ แต่สาวรุมล้อมมันเพียบเลย เหมือนจะเลี้ยงเหล้าด้วยมั้ง แถมยังพูดอีกว่า..” สายตาเรียวหยุดสิ่งที่กำลังจะพูดพลางหันไปมองกลุ่มคนที่เดินเข้ามา แล้วนั่นก็คือ กลุ่มของอาร์มและพรรคพวก เบสนิ่งไปสักพักก่อนจะพูดเบาๆกับตัวเอง “ หรือว่านะ..”
“ หรือว่าอะไร ” เจ้ยถาม แต่อีกคนก็ไมได้ตอบอะไรร่างสูงแค่ยกยิ้มพลางยกมือขึ้นเหมือนขอพักการพูดคุยกับเรา
“ วี๊ดวี้ว ว่ายังไงครับ คุณเพื่อนเขย ” ประโยคที่แทบอยากจะมุดดินหนีไปให้ไกลสุดขอบฟ้า อาร์มหันมองผมเหมือนจะถามกันว่า ‘ บอกเบสแล้วเหรอ ’ แต่ผมกลับไม่กล้าแม้จะหันไปมองตาอีกคน ทำได้แค่ยิ้มแห้งๆอยู่อย่างงั้น แบบชนิดที่ไม่ต่างกันกับไอ้เจ้ย รายนั้นก็ถอนหายใจออกมาแถมยังยกมือจับหัว แน่นอนว่าเราคงสบถคำเดียวกัน แล้วนั่นก็อาจจะเช่น ‘ ไอ้สัดเอ้ยยยยยยยยยยยยยย ’
“ อะไรกันวะ ” คนตัวเล็กที่ชื่อจุ้นเอ่ยถามออกมาด้วยความไม่รู้ สีหน้าแตกต่างจากดีน อาร์ม แล้วก็โฮมโดยสิ้นเชิง มันถามเบส “ เพื่อนเขยเหี้ยอะไรมึง ”
“ อ้าววววว นี่ยังไม่รู้กันเหรอค้าบ ” คนตอบว่ายิ้มๆก่อนจะยืนขึ้นพลางผายมือมาทางผม “ ก็คือเพื่อนผมน้องเมี่ยงคำ ตอนนี้ดำรงตำแหน่ง แฟนของพี่อาร์ม ที่เป็นเพื่อนพวกคุณอยู่ไง ผมก็เลยทักทายเค้าไงครับ ฮายยยย ว่ายังไงครับเพื่อนเขย ”
“ กูจะอยากจะบ้าตาย ” เจ้ยที่ถึงขั้นส่านหน้าแต่อาร์มกลับแค่ยิ้ม มันตอบรับ
“ เออ ว่ายังไง ”
“ เชี้ยอาร์ม เดี๋ยว นี่เรื่องจริงเหรอวะ กูคิดว่าอำเล่นๆ ” ยังเป็นจุ้นคนเดิมที่ออกอาการตกใจกว่าใคร มันที่หันไปมองดีนแต่เหมือนอีกคนจะแค่จ้องมองผมอยู่อย่างงั้น แบบที่ไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ
“ อย่ามองเพื่อนกูด้วยสายตาอย่างงั้นสิครับคุณดีน มันไม่เป็นมิตรเลยน้า นี่เพื่อนเขยไง นี่แฟนของเพื่อนรักเลยน้า ” เน้นคำนั้นเป็นพิเศษ แต่ดีนก็แค่มองมันด้วยหางตาอย่างที่ไม่ใส่ใจเท่าไหร่
“ เสือก ” ว่าแบบนั้นก่อนจะเหลือบมองเพื่อนตัวเองอย่างอาร์ม แล้วก็พูดเสียงเรียบ
“ กูขอให้รักของมึงมันล่มจมไวๆก็แล้วกันนะไอ้สัด ”
“ มันไม่เป็นแบบนั้นหรอก ” ร่างสูงตอบรับก่อนจะยกยิ้ม
“ ปากเสียจริงเว้ย ไม่น่ารักเลยน้า คำนั้นอะ ” เบสมันสวนกลับ “ แต่ก็อย่างว่าละน้า ใครมันจะไปดีใจด้วยลง คนที่ชอบเรามาตั้งนาน อยู่ๆก็เปลี่ยนใจจากเราไปหาคนอื่น หนำซ้ำยังเป็นคนที่เราเกลียดอีก เห้อออออ ”
“ หมายความว่าไงวะ ” ผมที่เอ่ยถามออกไป เบสมันก็หันมามองกัน
“ มึงคงยังไม่รู้ งั้นกูจะบอกไว้ เพราะยังไงมึงก็รู้อยู่แล้ว เมื่อคืนไอ้ดีนไปเมาเหล้าที่ผับประจำ ซึ่งกูก็อยู่ที่นั้น สาวคนนึงในกลุ่มมันเล่าว่า ไอ้อาร์มชอบไอ้ดีนจ้า ชอบมากกกกกกกกกกกกกเลย ชอบมาตั้งนานแล้วด้วย ที่มันมาเมาก็เพราะ อาร์มเปลี่ยนใจหปจากมันแล้ว และคนที่มันเปลี่ยนใจไปหาก็คือมึงไงครับ เพื่อนเมี่ยง ”
สายตาของผมหันมองอาร์มในตอนที่ได้ยินนั้น แต่เหมือนอีกคนจะแค่นิ่งไป อาร์มไม่เถียงกลับอะไรเลย ไม่ปฎิเสธด้วย ว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่ความจริง
“ เหี้ย เดี๋ยวนะ เดี๋ยวเลย เดี๋ยว..” จุ้นเพื่อนอาร์มเอ่ยขัดขึ้นมา ก่อนจะเชิดหน้าถามไอ้เบสแบบหาเรื่อง “ มึงพูดเหี้ยอะไรของมึง พูดให้มันดีๆหน่อย ใครชอบใคร มึงพูดเหมือนไอ้อาร์มเคยชอบไอ้ดีน ”
“ ก็ใช่ไง ตามนั้นแหละ ” คำพูดที่พูดขึ้นมาแบบเสียงเรียบๆของดีน ชวนให้ตรงนั้นเงียบไปหมด สายตานั้นหันมามองจ้องผม “ ก่อนหน้านี้อาร์มเคยชอบกู แล้วนี่ก็คือของขวัญที่กูซื้อให้กู ” แหวนที่นิ้วนางด้านซ้ายถูกยกขึ้นมาเป็นหลักฐาน คนที่กำลังพูดอยู่ตรงหน้าผมยกยิ้มให้กัน “ แต่ตอนนี้เหมือนว่า มันจะเลิกชอบกูแล้ว และมันก็ไปชอบมึงไง ” เชิดหน้ามาให้กัน ก่อนที่แหวนบนนิ้วนั้นจะถูกถอดออกแล้วยื่นมาให้ “ กูให้ เอาไปสิ ยังไงมันก็ไม่ได้ชอบกูแล้ว กูก็คงไม่จำเป็นต้องใส่อีก ”
ได้แต่ยืนมองดูแหวนนั้นที่ถูกยื่นเอามาให้อย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ คล้ายกับว่าโลกทั้งใบมันมีแค่ผมกับดีนที่อยู่ตรงหน้านี้ หูของผมอื้อ หน้าผมชา หัวใจของผมเหมือนลอยเคว้างคว้างไปหมด ก็คล้ายกับการถูกตบฉาดใหญ่กลางสี่แยก แล้วก็คล้ายกับการลอยคว้างไปอย่างไร้จุดหมายในหลุมดำที่แสนว่างเปล่า
สติของผมขาดไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะบรรยายความรู้สึกตอนนี้ว่ายังไง ขนาดในสมองเองก็ยังมีแต่คำถาม ว่า นี่มันอะไรกันวะ แต่ทว่าในคำถามนั้นก็เหมือนจะมีคำตอบอยู่แล้ว คำตอบของคำถามมากมายที่เคยสงสัยก่อนหน้านี้
ทำไมดีนถึงวุ่นวายกับเรานัก ทั้งๆที่มันเป็นแค่เพื่อนสนิท
ทำไมดีนถึงดูเหมือนพยายามดึงอาร์มออกไปจากผมนักนะ ทั้งๆที่อีกฝ่ายก็บอกอยู่ตลอด ว่าอยู่กับแฟน ก็น่าแกรงใจกันสิ
แต่แล้วเหตุผลทุกอย่างมันก็อยู่ตรงนี้
ก็เค้าไม่ใช่แค่เพื่อนไง แล้วนั่นก็คือคำตอบ
คนที่อาร์มเคยบอกผมว่า มันมีคนคนนึงที่ชอบอยู่แล้ว คนที่ทำให้อีกคนเจ็บปวดเหมือนจะตาย นั่นก็คือดีน
ดีนคนที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทที่สุด และคนที่รักที่สุดของอาร์ม
ดีนคนที่เป็นคำตอบของทุกๆอย่าง แม้แต่ในเรื่องราวที่อีกฝ่ายบอกกันไว้ก่อนหน้านี้ว่าถึงเวลาเมื่อไหร่แล้วจะเล่ากัน
ดีนคนที่ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นใครคนนั้น
“ รับไปสิ ตอนนี้มึงเป็นแฟนอาร์มแล้วไง ” อีกคนว่าอย่างงั้น แต่มือหนากับแค่คว้าแหวนนั่นไว้ก่อน
“ อย่าหลงตัวเองดีน ” อาร์มดึงแหวนนั้นที่ดีนกำลังถืออยู่ ก่อนจะหันไปบอก “ อย่าดูถูกกูขนาดนั้น กูรักเมี่ยง แล้วเค้าก็ไม่ได้มาแทนที่ใคร ” แหวนเงินถูกโยนทิ้งลงบนพื้นจนเกิดเสียงกระทบ ผมที่มองดูมันหมุนวนอยู่อย่างงั้น ทั้งๆที่ตอนนี้คนสองคนที่ประจันหน้ากันไม่ใช่ดีนกับเบสอีกต่อไป แต่มันคืออาร์มที่ผลักดีนออกไปให้ไกลจากผม ผมที่ได้แต่นิ่งอย่างงั้น แบบที่ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มทำอะไรก่อน “ อย่ามายุ่งกับแฟนกู ” ว่าแบบนั้นร่างสูงก็หันกลับมามองกัน
แล้วนั่นก็เหมือนจะเป็นจังหวะเดียวกันที่ผมเองก็เงยหน้าขึ้นมองอาร์มพอดี
“ นี่มันเรื่องจริงเหรอวะ ” ทั้งๆที่ไม่ใช่ประโยคที่ควรถามเลย ทุกอย่างก็ชัดเจนอยู่แล้วด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างงั้น ปากผมก็ยังถามอีกคนออกไป ด้วยใจที่อยากจะภาวนาให้มันเป็นแค่เรื่องโกหก
ทว่าในตอนนั้นอาร์มแค่นิ่ง อีกฝ่ายที่ผ่อนลมหายใจออกมา มันคล้ายกับตอนที่เราเล่นเกมส์แล้วแพ้ ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามแผน อีกคนมองตาผม สายตานั้นมีคำตอบอยู่แล้ว
‘ ใช่ มันจริงอย่างงั้น ’ นี่คือสิ่งที่อีกคนบอกกัน
แล้วมันก็เหมือนจะย้ำ ให้เจ็บซ้ำลงไปอีก
.............................................................
กอดน้องเมี่ยงนะลูก
แต่ก็สงสารพี่อาร์มเหมือนกัน พี่อาร์มก็ชัดเจนมากแล้วนะ
ไม่รู้จะยังไงดี สงสารทุกคนเลย
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์
หนมมี่