Chapter Two.
‘จะใส่ชุดเหมียวรอ’ดั่งขนมหวานชิ้นเลิศที่ถูกตั้งไว้เพื่อหลอกล่อให้ไปหา...
การทำงานในห้าวันที่ผ่านมาของปินผ่านพ้นไปด้วยความกระตือรือร้นสุดขีด แม้กายจะเหนื่อยและอ่อนล้า ทว่าสิ่งที่รอคอยอยู่ช่างหอมหวาน จนเพียงแค่นึกถึงก็มีกำลังใจสู้กับงานต่อ
และยิ่งตอนนี้ที่ยืนอยู่หน้าห้องหัวใจยิ่งลิงโลดราวกับเพลงที่ปล่อยออกมาคว้ารางวัลเพลงแห่งปี
ในเวลาสามทุ่มเศษ เสียงระบบสแกนนิ้วมือทำงาน เสียงกดรหัสหกหลังดังตามมา ก่อนเสียงประตูปลดล็อกจะดังขึ้น
ร่างสูงเดินเข้าไปข้างในจากนั้นประตูจึงปิดลงตามหลัง ตรงหน้ามีเพียงความว่างเปล่าและเงียบงัน มีเพียงความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่ทำให้รู้ว่ามีใครอยู่ในนี้
ปินเดินตรงไปโดยมีเป้าหมายคือห้องนอน แต่แล้วยังไม่ถึงครึ่งทางดีร่างเพรียวของคนที่อยากเจอก็ปรากฏตัวขึ้นก่อน
“กลับมาแล้วเหรอ”
ฝุ่นเอ่ยถามขณะเดินออกมาพร้อมแก้วน้ำเปล่าในมือ ปินจึงพยักหน้าพร้อมทั้งรับมันมาดื่ม ยามที่ดวงตาจับจ้องคนตรงหน้าซึ่งอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำโดยไม่ละไปไหน
“เพิ่งอาบน้ำเสร็จเหรอ”
“อื้อ” มือบางเอื้อมมารับแก้วแล้วนำไปวางลงบนโต๊ะใกล้ๆ
“นึกว่าเปิดประตูเข้ามาแล้วจะเห็นแมวฝุ่นซะอีก”
คนที่กำลังจะหมุนตัวกลับมาชะงักไปเสี้ยววินาที ทว่าท่าทีภายนอกก็ดูไร้ซึ่งความผิดปกติใดๆ จนปินไม่อาจสังเกตเห็น
“ไปอาบน้ำก่อนดีไหม ทานข้าวมาหรือยัง”
“ผมทานข้าวแล้ว งั้นไปอาบน้ำดีกว่า...ฝุ่นจะถูหลังให้ไหม”
ดวงตาเรียวรีเล็กลงเพราะรอยยิ้มบนริมฝีปาก ความอารมณ์ดีแม้ใบหน้าจะดูเหนื่อยล้าเจือมาด้วยความเจ้าเล่ห์แบบที่คนอื่นคงไม่สามารถสัมผัสได้ แต่ฝุ่นย่อมรับรู้
หมาป่ากำลังจะออกมา
“อยากให้ถูให้หรือเปล่าล่ะ”
“แน่นอนว่าผมต้องอยากสิ แต่ว่าตอนนี้มีสิ่งที่ต้องทำก่อน”
คราวนี้แขนขาของหมาป่าเริ่มโผล่ออกมาทีละนิด ระยะห่างระหว่างกันสั้นลงเนื่องจากอีกคนก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้น
“อะไร”
“Kiss me,please.”
ปินยื่นหน้ามากระซิบข้างหูด้วยเสียงทุ้มนุ่มที่ทำให้คนฟังหลงใหลกว่าค่อนประเทศ ก่อนสัมผัสบางเบาจะประทับลงบนข้างลำคอจนฝุ่นหยุดหายใจไปหนึ่งจังหวะ
หากแต่ก็ไม่มีเวลาหวั่นไหวได้นาน ยามอีกคนผละออกไปจึงได้รับสิ่งที่ร้องขอในทันที
ริมฝีปากปากที่ห่างหายกันไปเป็นเดือนแนบชิดเข้าหากันด้วยความคิดถึง เรียวลิ้นทั้งสองต่างเกี่ยวกระหวัดรัดรึงอย่างที่ไม่มีใครยอมใคร
เสียงจูบดังขึ้นในความเงียบ จากที่ตั้งใจเพียงแค่จูบกลับกำลังเลยเถิดไปไกลเมื่อสายผูกเอวของชุดคลุมอาบน้ำถูกกระตุกออกแผ่วเบา
“ฝุ่น...”
ปินส่งเสียงครางในลำคอยามสาบเสื้อแยกออกแล้วเผยให้เห็นแมวน้อยที่ถูกซุกซ่อนไว้ข้างใน เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าน้ำลายช่างกลืนลงคอได้ยากลำบาก ขณะคนที่ถูกมองรู้สึกวูบวาบไปทั้งตัวยิ่งกว่าครั้งไหน
ยิ่งกว่าครั้งแรกที่มีอะไรกัน...
“ก็บอกว่าจะใส่ชุดเหมียวรอ”
ฝุ่นเอ่ยขึ้นเสียงเบาด้วยความกระดากอาย ถึงจะพยายามกดเสียงให้ราบเรียบแค่ไหนทว่าความสั่นไหวก็ยังเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน
ปินยกยิ้มพลางขยับถอยหลังเพื่อมองภาพตรงหน้าให้กว้างขึ้น
“น่ารัก”
สีชมพูของชั้นในหนังตัวเล็กเข้ากับผิวขาวราบกับน้ำนมของฝุ่นตามที่คิดเอาไว้ คำชมนั้นทำให้ฝุ่นรู้สึกเหมือนเลือดในกายร้อนขึ้นจนลวกผิวไปทั่วร่าง
ปินต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่พุ่งเข้าไปฟัดคนตรงหน้าในทันใด
ปกติหมาเห็นแมวแล้วต้องอยากไล่ แต่เขากลับอยากฟัดแมวตัวนี้ให้ส่งเสียงเว้าวอนอยู่ใต้ร่าง
“ถอดชุดคลุมออกสิครับ ผมอยากเห็นหางตรงด้านหลัง”
หากปินอยากดูก็ต้องถอด
ริมฝีปากสีสดถูกขบกัดจนความเจ็บแปรเปลี่ยนเป็นความชา แต่ถึงอย่างนั้นมือก็ยังขยับเลื่อนชุดคลุมออกจากตัว ถึงจะอ้อยอิ่งแค่ไหนสุดท้ายแล้วมันก็ลงไปกองอยู่บนพื้น เปิดเปลือยทุกอย่างให้อีกคนเห็นจนแทบหมดสิ้น
เพียงเท่านั้นหมาป่าก็ปรากฏกายขึ้นเต็มตัว
ร่างสูงของปารินทร์เดินอ้อมไปสำรวจสิ่งที่ตัวเองอยากเห็น ชั้นในสีชมพูเข้มมีส่วนเว้าตรงกลางด้านหลังเพื่อให้หางสีชมพูสามารถเชื่อมออกจากกายบาง ภาพนั้นทำเอาเลือดลมในกายของคนมองร้อนผ่าว ตัวตนภายใต้กางเกงดุนดันขึ้นมาจนปวดหนึบ
“ฝุ่นยังใส่ไม่ครบนี่ ต้องมีปลอกคอแล้วก็หูด้วย”
ลมร้อนจากการหายใจและการพูดกระทบเข้ากับใบหู ฝุ่นตัวแข็งทื่อเมื่อรับรู้ได้ว่าอีกคนอยู่ใกล้กันเพียงใด
“ก็เดี๋ยวไปใส่ในห้อง...”
“อืม งั้นผมเข้าไปรอในห้องน้ำนะ อยากอาบน้ำแล้วมีแมวฝุ่นมาถูหลังให้”
ความใกล้ชิดนั้นผละออกไปแล้วทว่าความร้อนตามกายยังคงอยู่ ดั่งอีกคนขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิมมากกว่าจะถอยห่าง
ฝุ่นสูดลมหายใจเข้าลึกด้วยใจอันสั่นไหว แข้งขาที่หมุนเปลี่ยนทิศแล้วก้าวเข้าไปยังห้องนอนเหมือนจะสั่นจนแทบควบคุมไม่ได้ ยามรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่อยู่ภายใน
ก่อนหน้าต้องใช้ความอดทนอย่างมากกับการนิ่งเฉย แต่ตอนนี้ที่ปินรู้แล้วจึงปล่อยให้ตัวเองแสดงความอึดอัดออกมาได้มากขึ้น
มันเสียดสี ไม่อยู่นิ่งเวลาขยับตัว...
แกร๊ก
เสียงเปิดประตูห้องน้ำตามเข้ามาดังขึ้นหลังจากเวลาผ่านไปราวๆ ห้านาที คนที่นอนรออยู่ในอ่างอาบน้ำพร้อมทั้งเปิดเพลงคลอไปด้วยจึงลืมตาขึ้นมอง ก่อนจะพบเข้ากับลูกแมวที่กำลังก้าวเข้ามาหาอย่างเชื่องช้า
ไม่สิ เป็นแม่แมวต่างหาก มีหูเล็กๆ และปลอกคอครบ
“ลงมาด้วยกันสิครับ”
ปินเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเนื่องจากเห็นฝุ่นจะก้าวไปทางด้านหลัง ต่อมาอ่างอาบน้ำกว้างจึงมีคนสองคนอยู่ในพื้นที่เดียวกัน
“ทำไมไม่บอกว่าจะแช่อ่าง”
“แค่เปิดน้ำเอง ผมทำได้”
“เมื่อยหรือเปล่า เดี๋ยวนวดให้”
“ไม่เมื่อยเลย ฝุ่นขยับมานี่สิ”
สายตาเลื่อนลงมองบ่งบอกให้รู้ว่าคือตรงไหน และแน่นอนว่าฝุ่นต้องทำตาม ทั้งเป็นเพราะคำสั่งและความต้องการของตัวเอง
ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ชอบการใกล้ชิดปิน
“ถ้านั่งลงมันจะรู้สึกหรือ”
มือใหญ่หยาบสากจากการเล่นดนตรีเกี่ยวหางที่ลอยขึ้นมาบนน้ำไปมาเบาๆ ขณะที่คนถูกถามรู้สึกเหมือนน้ำเย็นๆ ในอ่างกำลังกลายเป็นน้ำต้มเดือด
“...รู้สึก” คนที่ทำได้เพียงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเอ่ยตอบ
“รู้สึกมากเท่าของผมหรือเปล่า”
ปลายนิ้วเลื่อนมาจนเกือบถึงตำแหน่งที่หางและร่างกายเชื่อมต่อกัน ก่อนปินจะค่อยๆ จับมันหมุนวนให้ฝุ่นรู้สึกจนต้องกัดริมฝีปาก
หมาขี้แกล้ง
“ว่าไงครับ รู้สึกเท่าของผมไหม”
“มะ ไม่”
“อืม ไม่มีประโยชน์แบบนี้งั้นถอดเลยดีไหม”
ถามไปอย่างนั้นหากแต่การกระทำกลับสวนทางกับคำพูด ส่วนที่อยู่ข้างในถูกดันให้ลึกขึ้นจนมือเล็กต้องวางลงบนแขนใหญ่เป็นการบอกให้หยุด
“อึก”
“แมวฝุ่นน่ารักจัง”
ริมฝีปากร้อนร้ายประทับลงมาหลังจากคำพูดนั้นก่อนจะไล้เลียไปตามกลีบปากแผ่วเบาราวกับบอกให้เลิกกัดปาก ปินยอมหยุดการผลักดันสิ่งนั้นเข้ามาหากแต่มือกลับเลื่อนไปฟ้อนเฟ้นสะโพกบาง ไม่นานนักร่างสูงก็ผละออก จับฝุ่นให้ยันเข่าขึ้นแล้วดันให้ขยับไปค้ำแขนอยู่กับขอบอ่างแทนที่ตัวเอง
“มีปลอกคอแสดงว่าแมวตัวนี้มีเจ้าของ...ใช่ไหม”
เสียงกระซิบระผิวตรงตำแหน่งของสิ่งที่กำลังพูดถึง แผ่นอกแข็งๆ แนบชิดกับแผ่นหลังจนส่วนล่างรับรู้ได้ถึงส่วนที่ดุนดันขึ้นมา
“อือ”
“ตอบหน่อยได้ไหมครับว่าเจ้าของแมวฝุ่นชื่ออะไร”
“ปิน...”
“ผมอยากจะใจเย็น แต่มันทำได้ยากเหลือเกิน”
มือที่ลูบไล้ปลุกเร้าอารมณ์คนร่างเล็กผละออกไป หางสีชมพูที่ลอยล่องถูกเกี่ยวไปไว้ด้านข้าง ขณะที่ฝุ่นกำลังประมวลผลว่าความใจเย็นที่ปินพูดหมายถึงเรื่องใด บางส่วนก็คลืบคลานเข้ามาในตัว
“อึก”
เข้ามาทั้งที่ส่วนหัวของหางยังอยู่ในกาย...
“เจ็บไหมครับ”
ฝุ่นส่ายหน้า
มันไม่เจ็บ แต่รู้สึกได้มาก รู้สึกทุกการเคลื่อนไหวของสองสิ่งที่เบียดกันอยู่ข้างใน
“ฝุ่นคิดถึงผมไหม”
ใบหน้าคนถามยังคงระบายยิ้มอ่อนโยน แตกต่างจากส่วนล่างที่ไม่อ่อนโยนต่อคนรองรับเลยสักนิด
“อะ อื้อ”
“คิดถึงผมไหม” ถามย้ำอีกครั้งบ่งบอกว่าไม่พอใจเพียงเสียงรับคำ
“คะ คิดถึง”
พอตอบออกไปก็ได้รับการเติมเต็มขั้นสุด...
“ผมก็คิดถึง” ความคิดถึงมาพร้อมการขยับกาย
มือที่ดันอยู่กับขอบอ่างกำแน่น หัวใจสั่นไหวกับคำที่ได้ยิน ร่างกายสั่นไหวกับสิ่งที่ได้รับ
ยามปินขยับเข้ามาเติมเต็ม วัตถุเรียวรีก็จะถูกดันเข้าไปลึกยิ่งกว่า
“อื้อ”
ไม่ไหว...
“วันนี้จะเล่นกับแมวให้หายคิดถึงเลย”หมาป่าผู้หิวโหยมองหางสีชมพูด้วยดวงตาวาววับ จากนั้นจังหวะเชื่องช้าเนิบนาบก็เปลี่ยนไป...
--
ร่างเพรียวที่สลบไสลไปเนิ่นน่านเริ่มขยับตัว เปลือกตาที่ปิดสนิทกระพือเปิด ความเมื่อยล้าที่ยังหลงเหลือเป็นสิ่งแรกที่รู้สึก ยามสายตาพร่ามัวเลื่อนไปข้างกายแล้วพบเพียงหมอนข้างและความว่างเปล่าฝุ่นจึงค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่ง
สิ่งที่ปกปิดร่างกายอยู่คือเสื้อนอนตัวใหญ่ของอีกคน เมื่อขาเรียวตวัดลงไปยืนข้างเตียงปลายเสื้อจึงหล่นลงมาปกปิดในระดับหน้าขา
ฝุ่นเดินออกจากห้องนอน ได้ยินเสียงโทรทัศน์เปิดอยู่แว่วๆ จึงตรงไปทางนั้น
“ฝุ่นตื่นแล้วเหรอ”
คนที่เอนกายดูทีวีสบายๆ ในวันหยุดของตัวเองหันมาหาพลางขยับกายขึ้น หมาป่าตัวเมื่อวานหายไปแล้ว เหลือเพียงหมาโกลเด้นตัวเดิม
“กินข้าวหรือยัง” แม้ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายตื่นมาตอนไหน แต่เวลาเกือบเที่ยงนี้ก็ควรที่จะต้องมีอะไรตกถึงท้อง
“ผมกินนมจืดกับไข่ก่อนจะไปออกกำลังกายตอนสายๆ”
“ฟิตขนาดนั้นเลย” ร่างของคนถามทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน
“ได้รับพลังงานจนเต็มหลอดแล้ว ให้ไปปีนเขายังไหว”
ฝุ่นโคลงหัวด้วยความอ่อนใจ นึกถึงปารินทร์อีกคนในเมื่อคืนแล้วแทบนึกถึงหมาตัวนี้ไม่ออก
แต่ก็ชินเสียแล้ว ปินก็เป็นอย่างนี้...เวลานั้นจะเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบ แบบที่ยังคงความเป็นหมาอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนไปเป็นหมาป่าก็เท่านั้น
“งั้นเดี๋ยวอาบน้ำแล้วจะทำมื้อเที่ยงให้” ฝุ่นตั้งท่าจะหยัดกายลุกขึ้นเพื่อกลับไปอาบน้ำในห้อง
“เดี๋ยวก่อนฝุ่น” ทว่ามือหนากลับเอื้อมมารั้งข้อมือไว้เบาๆ ให้กลับมานั่งลงเช่นเดิม
“มีอะไร”
คิ้วคู่สวยขมวดเข้าหากันเล็กน้อยด้วยความสงสัย ก่อนคนที่เรียกเอาไว้จะตอบคำถามด้วยการทาบทับริมฝีปากเข้าหา จากนั้นจึงเลื่อนปลายจมูกไปกดลงตรงข้างแก้มแผ่วเบา
“ขอบคุณสำหรับแมวฝุ่นครับ” ปินผละออกแล้วพูดด้วยรอยยิ้มหวานละมุน
“...อืม” คนถูกขอบคุณทำเพียงรับคำพลางหยัดกายขึ้นแล้วก้าวเร็วๆ ไปทางห้องนอน ไม่เปิดโอกาสให้ปินรั้งเอาไว้ได้อีกครั้ง
ร้ายกาจ
ไม่ว่าจะเป็นหมาปิน หรือหมาป่าปิน ก็ร้ายกาจทั้งนั้น
“ห้องเก็บของจะเต็มอีกแล้วนะ” ฝุ่นเอ่ยขึ้นเมื่อจัดของมากมายที่ปินได้จากแฟนคลับให้เข้าที่แล้วเรียบร้อย
ห้องสำหรับเก็บของเหล่านี้โดยเฉพาะไม่มีพื้นที่ให้สามารถยัดอะไรเข้ามาได้อีก
“ผมว่าจะบอกแฟนคลับแล้วว่าไม่รับของ รับแต่จดหมายก็พอ”
“ควบคุมได้เหรอ”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่คงดีขึ้นกว่านี้...ผมอยากให้เขาเอาเงินไปทำอะไรที่มีประโยชน์กับตัวเอง หรืออะไรที่มีประโยชน์กับคนที่เขาขาดแคลนจริงๆ”
ปินคิดเรื่องนี้มาแล้วสักพัก คงถึงเวลาที่ต้องบอกออกไปอย่างจริงจัง
“ก็ลองดู” ฝุ่นให้การสนับสนุน
หลังจากปินบันทึกภาพในห้องด้วยมือถือเสร็จ คนทั้งสองก็ออกจากห้องแล้วกลับมายังหน้าทีวีเช่นเดิม
“ไม่ได้มีเวลาว่างมานาน รู้สึกแปลกๆ จังแฮะ” คนที่กำลังอัพไอจีสตอรีเพื่อเป็นการขอบคุณแฟนคลับเอ่ยขึ้น
“อยากทำงานตลอด?”
“เปล่า แต่แค่ไม่ชินนิดหน่อย เดือนหน้าก็คงจะยุ่งแบบมากๆ ยาวไปถึงปลายปีเลย”
โทรศัพท์ในมือถูกวางลง เมื่อคิดถึงคิวงานอันแน่นเอี๊ยดแล้วปินก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้
“เพลงใกล้เสร็จแล้วเหรอ”
“อื้อ พรุ่งนี้น่าจะสมบูรณ์ เดี๋ยวผมจะเปิดให้ฝุ่นฟังคนแรกเลย”
ฝุ่นยิ้มรับ ก่อนจะสะดุ้งให้กับหัวที่ทิ้งลงมานอนบนตักโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
“ผมชอบเวลาว่างที่ได้อยู่กับฝุ่นแบบนี้” คนพูดหลับตาลงพร้อมทั้งเอ่ยพูดด้วยรอยยิ้มผ่อนคลาย
ความเหนื่อยล้าวุ่นวายถูกวางลงจากบ่าชั่วคราว การได้ใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาเป็นสิ่งที่ปินแสนชื่นชอบ
ความฝันและความรักต้องแลกมาด้วยความสงบสุข หลายครั้งที่ชายหนุ่มก็ถามตัวเองว่ามันคุ้มค่าจริงหรือเปล่า
“มีงานทำเยอะๆ ก็ดีกว่าไม่มีงาน” มือบางสางผมเส้นหนาไม่เป็นทรงให้คนบนตักแผ่วเบา
คนตรงหน้านี้ต้องเหนื่อยแค่ไหน ฝุ่นรู้และเห็นมันทั้งหมด
“ก็คงอย่างนั้น แต่บางทีก็อยากไม่มีงานเหมือนกัน” เสียงหัวเราะทุ้มดังตามมา
“ตอนนี้มีโอกาสก็ต้องคว้าไว้ก่อน ค่อยพักตอนสามสิบสี่สิบก็ยังไม่สาย”
“นั่นสิ...เอ้อ ผมว่าจะถามหลายครั้งแล้ว เห็นฝุ่นเปรยๆ ว่าอยากเรียนทำขนม ดูที่ไหนไว้หรือยัง” เปลือกตาที่ปิดลงก่อนหน้าลืมขึ้นมองคนด้านบนยามเอ่ยถาม
“ก็ดูไว้บ้างแล้ว”
“เอาสิ อยากสมัครที่ไหนก็สมัครเลย จะได้ไม่เบื่อตอนผมไม่อยู่ด้วย”
“ใครเบื่อ ไม่มีหมาคอยกวนสบายจะตาย” คราวนี้คนนอนขยับลุกพรวดขึ้นมานั่ง ดวงตาหรี่ลง คิ้วขมวดเข้าหากัน
“แน่ใจนะ?”
“แน่” ปินยกยิ้ม เก็บซ่อนความเจ้าเล่ห์เอาไว้ข้างใรในจากนั้นจึงพูดออกมา
“งั้นฝุ่นคงจะสบายมากเลย หลังจากโปรโมตเพลงนี้เสร็จผมต้องบินไปทำงานที่จีนสองเดือน” คนแสนจะสบายชะงักกึกกับคำว่าสองเดือนที่ได้ยิน
และแน่นอนว่าท่าทางนั้นไม่อาจรอดพ้นสายตาคนที่จับจ้องอยู่ก่อนแล้ว
ต้องไปทำงานที่จีนจริง แต่ไปเพียงสองอาทิตย์เท่านั้น
“ก็...ดีสิ แบบนั้นยิ่งสบายมากๆ”
สบายมากแต่เสียงกลับเบาลงโดยไม่รู้ตัว
“อืม ฝุ่นสบายก็ดีแล้ว ยังไงก็อย่าลืมสมัครเรียนทำขนมนะ ผมจะได้จัดการเรื่องค่าเรียนให้”
ปินไม่คิดแกล้งอีกคนมากไปกว่านั้นจึงวกกลับไปเรื่องที่ยังคุยค้างเอาไว้
ใกล้ถึงเวลาจะไปค่อยแกล้งอีกหน่อย
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวจ่ายเอง”
“ผมบอกว่าจัดการให้ก็คือจะจัดการให้”
ใครว่าหมาตัวนี้เชื่องและเชื่อฟังคนง่าย ความดื้อรั้นในตัวปินมีไม่น้อยเลยล่ะ เช่นในยามนี้ที่ท่าทางของเจ้าตัวบ่งบอกชัดว่าจะไม่ยอมให้จ่ายเงินค่าเรียนเอง
“งั้นก็ตามใจ” ฝุ่นได้แต่รับคำอย่างจำยอม “แล้ว...จะไปทำอะไรที่จีน”
ปินคงระบายยิ้มกว้างจนเต็มหน้าหากไม่พยายามกลั้นเอาไว้ สุดท้ายฝุ่นก็ไม่อาจอยู่สบายได้ตามที่ปากพูด น้อยครั้งมากกับการที่จะถามกันถึงเรื่องรายละเอียดงาน เจ้าตัวคงไม่รู้ว่ากำลังเผยท่าทีอะไรออกมา
“ก็ไปโปรโมตเพลงแล้วก็เตรียมตัวสำหรับแฟนมีตติ้ง”
“อืม”
รับคำแล้วก็เลื่อนสายตาไปยังหน้าจอ ทำทีเป็นไม่สนใจเรื่องนี้ต่อแล้วทว่าความเป็นจริงในหัวกลับคิดถึงเรื่องระยะเวลาสองเดือนไม่หยุด
สองเดือนเลยเหรอ...นานไปหรือเปล่า
“ฝุ่น”
“หืม” คนถูกเรียกขานรับพร้อมทั้งหันไปหา ต่อมาริมฝีปากของปินก็ฉกวูบเข้ามาแนบชิด แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆ อีกคนถึงจูบกันแต่ฝุ่นก็ตอบรับสัมผัสนี้กลับไปด้วยความเต็มใจ
“เรามาเล่นเกมกันดีไหม”
ปินถามขึ้นหลังจากผละริมฝีปากออก โดยที่ฝุ่นถูกจับให้ขยับขึ้นมานั่งบนตัก
“เกมอะไร”
“เกมพูดความจริง”
“ยังไง”
“เราจะสลับกันถามคนละสามคำถาม แล้วต้องสัญญาว่าจะตอบแต่ความจริงเท่านั้น”
“เล่นก็เล่น”
“งั้นผมเริ่มนะ” ฝุ่นพยักหน้ารับ
“ฝุ่นชอบให้ผมจูบตรงไหนมากที่สุด”
ถามออกไปพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ส่วนคนถูกถามก็ย่นจมูกใส่คนถามทันทีที่ได้ยิน
“ทำไมถึงต้องถามคำถามนี้”
“เอ้า ก็ผมอยากรู้...ตอบตามความจริงนะครับ ถ้าฝุ่นโกหกถึงผมจะไม่รู้แต่เทวดารู้นะ”
“ไม่ต้องพูดขนาดนั้นก็ตอบอยู่แล้ว ไม่ใช่คนชอบโกหกสักหน่อย”
“งั้นก็ตอบมา ผมรอฟังอยู่” คนรอฟังยิ้มกริ่ม ขณะที่ฝุ่นใช้เวลาคิดคำตอบอยู่ชั่วครู่
“ขา...”
คำตอบนั้นแสนจะธรรมดา ทว่าคนที่รู้ตำแหน่งของขาส่วนที่ว่านี้ดีทำสายตาแพรวพราว ส่วนคนตอบก็เบือนสายตาหนีไปทางอื่นเป็นที่เรียบร้อย
“เหมือนจะตกไปคำนึงนะ ฝุ่นต้องบอกว่าตรง
ซอกขา”
“มันก็เป็นขาไหมล่ะ” ตอบกลับเสียงสะบัดอย่างกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเอง
“อะๆ โอเค งั้นตาฝุ่นถามบ้าง”
คนที่มองไปทางอื่นดึงสายตากลับมา ครุ่นคิดคำถามยามมองหน้าปารินทร์ไปด้วยว่าอะไรจะเป็นสิ่งที่ตัวเองอยากรู้จากคนคนนี้
“ถ้าไม่ได้เป็นนักร้องจะเป็นอะไร”
“อืม...เอาจริงนะ ผมไม่รู้เลย ผมเกิดมาพร้อมกับการชอบร้องเพลง เสียงคือสิ่งเดียวที่พ่อทิ้งเอาไว้ให้และเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดในชีวิต”
พ่อของปินเสียไปแล้วตั้งแต่ชายหนุ่มยังเป็นเด็ก
พ่อที่สอนให้ร้องเพลง พ่อที่มอบเสียงอันนุ่มทุ้มนี้ให้...
“ถ้าจะให้เลือกจริงๆ ล่ะก็...ผมคงจะเป็นจิตรกรเหมือนแม่ล่ะมั้ง”
ส่วนฝีมือด้านการวาดภาพที่ไม่เลวร้ายนักได้รับมาจากคนเป็นแม่ ถึงแม่จะไม่ใช่จิตรกรชื่อดังแต่ก็เลี้ยงเขากับน้องมาได้ด้วยเงินจากตรงนั้น
“ยังไงก็ยังอยู่ในสายศิลปินสินะ”
“ก็พ่อกับแม่เป็นศิลปินทั้งคู่เลยนี่นา...ตาผมถามฝุ่นแล้ว”
“ว่ามาสิ”
“ฝุ่นชอบส่วนไหนในร่างกายผม”
“ทำไมมีแต่คำถามเทือกนี้” ฝุ่นขมวดคิ้วมุ่น ไม่เพียงแต่คำถามแต่มือซุกซนก็เริ่มไต่เข้ามาภายในเสื้อเป็นที่เรียบร้อย
“ก็ผมอยากรู้”
“...”
“ตอบเร็ว”
“เอว”
“เอวผมดีเหรอ”
ปึก
“ทะลึ่ง” เสียงก่อนหน้าคือมือที่ฟาดลงบนหน้าอกของปิน ตามมาด้วยคำที่ว่าตามลำดับ
“ก็ฝุ่นตอบแบบนี้จะให้ผมคิดยังไง” เสียงหัวเราะทุ้มดังในลำคอ
“ไม่ใช่แบบที่คิดก็แล้วกัน”
“แล้วเพราะแบบไหน”
“จะตอบถ้ามันเป็นคำถามที่สาม”
ปินถอนหายใจให้กับความเคี่ยวของอีกคน และมันเป็นเรื่องน่าเสียดายที่คำถามที่สามถูกคิดเอาไว้แล้วตั้งแต่ต้น
“ไว้ผมค่อยหลอกถามฝุ่นก็ได้” ฝุ่นยักไหล่ตอบกลับเพราะคิดว่าจะไม่หลุดคำตอบนี้ออกไปโดยง่าย
ใครจะบอกกันล่ะว่าที่ชอบเอวเพราะเวลากอดมันเหมาะเจาะกับแขน ไม่รู้สิ...เขาชอบกอดปินโดยการสอดทั้งสองแขนโอบรอบเอว ซบหน้าเข้ากับแผ่นอกหรือแผ่นหลังกว้างอยู่อย่างนั้น
“แล้วคำถามที่สองของฝุ่นล่ะ”
“เคยอยากเลิกเป็นนักร้องบ้างไหม”
“ทำไมคำถามของฝุ่นมีแต่คำถามยากๆ” คนถูกถามขมวดคิ้ว
“ยากตรงไหน”
“ตรงนี้แหละ...ผมยอมรับว่าก็มีบ้างนะ บางทีมันเหนื่อยมาก ทำงานเยอะมาก มีกฎเกณฑ์เยอะแยะไปหมด แต่มันก็ถูกตัดไปด้วยความคิดที่ว่าผมอยู่ตรงนี้เพราะอะไร มีหลายคนที่อยากเป็นแบบนี้แต่ก็ไม่มีโอกาส ถือว่าตัวเองโชคดีมากแล้ว ผมคงจะเลิกเป็นนักร้องในตอนที่เพลงของผม เสียงของผม ไม่ได้ทำให้คนฟังมีความสุขอีกต่อไป”
ฝุ่นจับจ้องประกายในดวงตาของปินโดยไม่ละไปไหนเลยสักวินาที ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้ปินจะจริงจังเสมอเพราะความรักที่มีต่อการร้องเพลงอย่างเต็มเปี่ยม
“เหลือคำถามสุดท้ายของปินแล้ว” ฝุ่นเอ่ยขึ้น
“ถามอะไรดีนะ~” ปินแสร้งทำเป็นคิดเล็กน้อย
“คิดไม่ออกก็ไม่ต้องถาม”
“ใจเย็นๆ สิ...ผมคิดออกแล้ว”
“...”
“ตอนผมไม่อยู่ฝุ่นคิดถึงผมเวลาไหนบ้าง” นี่ต่างหากคือสิ่งที่อยากรู้ที่แท้จริง
ฝุ่นที่เพิ่งรู้ตัวว่าตกหลุมหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าให้นั่งนิ่งงัน นึกอยากจะทุบอีกคนหลายๆ ทีให้กับความเจ้าแผนการนี้ทว่าเมื่อพูดออกไปแล้วก็ต้องเป็นไปตามนั้น
“ที่ให้เล่นเกมเพราะอยากถามคำถามนี้สินะ”
“ทำไมฝุ่นเก่งจัง”
ยังมีหน้ามายิ้มระรื่นตอบ
“หลายเวลา” แต่ฝุ่นยังฉลาดพอที่จะตอบคำถามแบบไม่โกหกและไม่เข้าเนื้อตัวเอง
“ทุกเวลาเลยหรือเปล่า” ถึงจะพอใจกับคำตอบแต่ปินก็ยังอยากได้ยินมากกว่านั้น
“ครบสามคำถามแล้ว”
“โธ่ฝุ่น”
“ไม่ต้องมาโธ่ ตัวเองพูดเองก็ต้องคำไหนคำนั้นสิ”
ปินมองหน้าคนแสนใจร้าย จากนั้นจึงขยับไปกัดริมฝีปากบางเล็กตรงหน้าด้วยความมันเขี้ยว
“อื้อ เจ็บ”
“ผมจะกัดฝุ่นทุกที่เลย”
“พอก่อน ยังเหลืออีกคำถาม”
“ผมให้เวลาสามวินาที” จากปากก็เลื่อนลงไปที่คอแล้วเรียบร้อย
จะกัดให้สมกับที่ฝุ่นชอบเรียกว่าหมาปิน
“แล้วปินล่ะ”
“หืม?”
“ตอนไปทำงานคิดถึงกันเวลาไหนบ้าง”
คำถามนั้นทำให้ปินชะงัก ปากที่คลอเคลียอยู่กับซอกคอบางผละออกห่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอีกคน
และเป็นอีกครั้งที่ฝุ่นหลบสายตาด้วยการทำเป็นมองอย่างอื่น
“ทุกเวลา”
“...”
“ผมคิดถึงฝุ่นทุกเวลานั่นแหละ”ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง ไม่อยากคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างกันจะเป็นมากกว่าคนดูแลและคนถูกดูแล
แต่สองปีที่ผ่านมามันสร้างความรู้สึกและความผูกพันให้ลึกๆ แล้วฝุ่นปรารถนาในสิ่งที่ไม่ควรปรารถนา
สิ่งที่กำลังทำให้ใจเต้นแรงในตอนนี้...สิ่งที่ไม่รู้เลยว่าปินคิดอะไรกับคำพูดนั้นมากน้อยแค่ไหน
ไม่รู้และไม่กล้าคิดTo be continued.
มาต่อตอนที่ 2 แล้วนะคะะะ
ฝากแท็ก #secrecyลับรัก
ฝากหมาปินกับแมวฝุ่นด้วยน้า