ตอนที่ 4 : ช่วงพักของเบิ้ม
“ทำไมสันถึงต้องจ้างบอดี้การ์ดให้ฉันด้วยล่ะ”
ผ่านมาสามวัน คุณหนูที่รักยิ่งของคมสันเพิ่งจะนึกได้ว่าต้องถาม อันที่จริงเด็กนี่ปรับตัวเก่งทีเดียว ราวเคยชินกับการมีคนแปลกหน้าแวะเวียน แต่ไม่ว่าใครจะมาจะไป ก็เกาะติดกับคมสันเป็นตังเม ราวคนอื่นนั้นไม่ต่างกับเศษฝุ่น ตัวตนที่สูงค่านี้คู่ควรให้คมสันเลี้ยงดูอย่างเดียว
เบิ้ม...ซึ่งเพิ่งกินข้าวอิ่มหมาดๆ กับคมสัน แต่ตอนนี้ต้องมายืนเป็นเสาดูพี่เลี้ยงกล่อมให้เด็กตรงหน้ากินผักลอบกลอกตาหนึ่งที
คิดช้าไปมั้ยไอ้หนู!ความจริงถ้าจะรู้ตัวช้าขนาดนี้...ไม่ต้องถามยังดูฉลาดกว่า แต่ในเมื่อเอ่ยขึ้นมาแล้ว เหมือนเริ่มรังเกียจว่าเบิ้มเป็นส่วนเกิน คล้ายถูกแย่งเวลาของคมสันไปจากตัวเอง เขาก็ชักจะ...ชอบใจขึ้นมาหน่อยๆ
อันที่จริงเบิ้มก็สงสัย ทั้งที่รักและถนอมเด็กชายกิจภัทรยิ่งกว่าใคร แต่คมสันกลับใจร้ายให้เด็กนี่กินข้าวคนเดียวลงคอ ซึ่งคนรักแสนฉลาดปราดเปรื่องของเขาอธิบายว่าเพราะจะได้มีเวลาเป็นส่วนตัวบ้างและฝึกให้คุณหนูแสนรักโตขึ้น แต่เท่าที่ดู...คมสันน่าจะอยากคงมาดพี่เลี้ยงแสนสมบูรณ์แบบต่อหน้าเด็กเวรมากกว่า
เพราะเท่าที่สังเกตตลอดสามวัน คมสันจะปรากฏตัวต่อหน้าเด็กชายต่อเมื่อแต่งกายเรียบร้อย มาดเนี๊ยบ เวลากินข้าวจะปลีกตัวออกไปจัดการก่อน เวลาเข้าห้องน้ำก็จะไม่ให้ใครตามไป ราวต้องการคงภาพลักษณ์ที่ดูดีไว้ตลอดเวลานั่นเอง
ยกเว้นกับ...เบิ้ม
นึกถึงเมื่อคืนวาน ตอนที่คมสันกล่อมคุณหนูสุดที่รักแล้วแวะมาราตรีสวัสดิ์เขาด้วยชุดนอนไม่ได้นอนก็...
เบิ้มกลืนน้ำลาย อย่าแข็งต่อหน้าเด็กเชียวไอ้เบิ้ม! เมื่อคืนมือขวาโลกสวยยังไม่พอรึไง!
อะไรนะ ชุดนอนไม่ได้นอนของคมสันคืออะไรงั้นเหรอ...ไม่ใช่กางเกงขาสั้นหรือเปิดเปลือยหรอก แต่เป็นชุดคลุมอาบน้ำที่วับๆ แวมๆ ชวนเสียวไส้ว่าจะเห็นไปไหนถึงไหนต่อไหนยามก้มมองจากด้านบนแล้วเห็นไหปลาร้าขาวๆ ตามรอยแยกของผ้าต่างหาก...เชือกที่มัดรอบเอวบางๆ นั้นก็ดูเจริญหูเจริญตาโดยแท้ คมสันแต่งตัวค่อนข้างสุภาพ จะหวังให้เห็นเรียวขาเต็มตาย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่โทษเถอะ...แค่ตาตุ่มเปลือยเปล่าก็ล่อเอาเบิ้มใจเต้นรัว
คมสันกล่าวราตรีสวัสดิ์ก็กลับห้องตัวเอง แต่เบิ้มนั้นแทบไม่ได้นอนทั้งคืน
ให้ตายสิ...คนรักของเขาช่างขยันทำเรื่องเซอร์ไพรส์จริงๆ!
คมสันมักเหนือคาดตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมอบหมายงานสุดประหลาดก็ดี...การกระทำส่อนัยลึกซึ้งก็ดี...
“ว่าไงสัน จะจ้างบอดี้การ์ดให้ฉันทำไม หรือว่า...จะมีคนลักพาตัวฉันไปเรียกค่าไถ่เหมือนในหนัง!”
จินตนาการแสนหวานพังทลายกับอาการโอเวอร์แอคติ้งของเด็กชายที่ยกมือทาบแก้มพร้อมอ้าปากหวอ
“จะมีใครกล้าทำอันตรายคุณได้ยังไงล่ะครับ” คมสันหัวเราะเสียงเย็นด้วยใบหน้าอ่อนโยน ในสายตาของคุณหนูสุดที่รักของพี่เลี้ยงคนเก่ง ย่อมเห็นแต่ใบหน้าที่ยิ้มหวานปลอบโยน แต่ในโสตประสาทของเบิ้ม ได้ยินเสียงหัวเราะชวนยะเยือกนั้นชัดเจนทีเดียว “ผมจ้างบอดี้การ์ดเพราะจะได้ไม่ต้องขับรถ แล้วมีเวลาอยู่กับคุณมากขึ้นไงครับ”
เพียงประโยคเดียว ปัดเป่าความกังวลใจที่กลัวว่าเบิ้มจะมาเป็นตัวแทรกกลางในทันดล
นับว่าคมสันอ่านความรู้สึกขาดมาก และแก้ปัญหาได้ตรงประเด็น
“อ้อ จริงด้วยนะ ก็สันติดฉันมากเลยนี่นา” เมื่อสบายใจเด็กเวร...เวรของผักที่โดนเขี่ยทิ้งไปใต้จาน ก็ยิ้มหน้าบานแล้วรีบกลบเกลื่อนความผิดด้วยการกระตือรือร้นไปโรงเรียน “รีบไปกันเถอะ ฉันอยากจะไปดูหน้าคนที่ต่อยชนะเมื่อวานหน่อย เกียรติประวัติอันสูงส่งของเด็กชายกิจภัทร ชนะน็อกในหมัดเดียว!”
“อย่าลืมที่รับปากผมนะครับ”
“ฉันรู้น่าสัน ถึงจะเก่งกาจแค่ไหนฉันก็จะไม่ท้าต่อยใครซี้ซั้ว เพราะจะเป็นการใช้กำลังข่มเหงคนอ่อนแอ ฉันเป็นฮีโร่ผดุงความยุติธรรมที่แสนดีขนาดนี้ จะกระทำการไร้ยางอายอย่างนั้นได้ยังไง ไม่มีทางหรอก!”
คมสันพยักหน้าอย่างพอใจกับเด็กดี...ที่เหมือนจะพูดถูกแต่เบิ้มฟังยังไงก็ชวนตงิด ทั้งที่คิดว่าจะควรจะชินได้แล้ว แต่เวลาได้ยินน้ำเสียงแสนจะมั่นหน้ากับประโยคที่ผิดต่อจรรยาบรรณความเป็นมนุษย์อันสูงส่ง เป็นต้องคิ้วกระตุกยิกๆ ทุกที
สงสารเด็กมั้ยก็สงสาร แต่เบิ้มก็สงสารตัวเอง
อยากประท้วงคนรักชะมัดว่าอย่างน้อยบอกว่าเขาเป็นบอดี้การ์ดฝีมือดี จ้างมาปกป้องคุ้มครองป้องกันเหตุสุดวิสัยหรือเอาเท่ก็ว่าไป ไม่เห็นต้องใจร้ายบอกว่าจ้างมาขับรถเล่นเลย...
เบิ้มเป็นบอดี้การ์ดนะ! อาชีพที่ได้ใช้พรสวรรค์ส่วนตัวกับเรื่องส่วนตน เมื่อวานรึก็เพิ่งสำแดงวิชาได้ยอดเยี่ยม ต้องตีค่าให้ราคาเขามากกว่านี้สิ!
อย่าเข้าใจผิด เบิ้มไม่ได้ดูถูกอาชีพคนขับรถ อย่าลืมสิว่าพ่อของคมสันก็เป็นคนขับรถ เขาจะกล้าดูแคลนได้ยังไง แต่การให้ผู้เยี่ยมยุทธ์มาขับรถ มันออกจะ...ใช้ความสามารถไม่ตรงจุดไปสักหน่อยนะว่ามั้ย
ในใจลอบประท้วง แต่ในความเป็นจริงยามสบตากับคมสันที่จ้องเขม็ง เป็นเชิงว่าให้ไปเตรียมรถได้แล้ว ไอ้เบิ้มผู้นี้ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรีบไปสตาร์ทรอเยี่ยงข้าทาสแสนซื่อสัตย์
...ตำแหน่งพ่อบ้านใจกล้าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแล้วละเบิ้มเอ๋ย ส่งตัวเกะกะเสร็จก็ได้เวลาเข้างาน
เบิ้มดีใจมาก เพราะจะได้แก้ความประทับใจแรกพบแสนติดลบกับแม่ภรรยาสักที เขาเดินตามหลังคมสันด้วยใบหน้าเคร่งขรึมแต่นอบน้อม พอเจอกับเลขาอาวุโสมาดเนี้ยบไม่ต่างกับคนรัก ก็รีบยกมือไหว้ตัวโน้มต่ำ เอ่ยด้วยน้ำเสียงประจบไม่เข้ากับรูปร่างเลยสักนิด
“สวัสดีครับคุณแม่”
ผล...คือแม่ของคมสันที่คุยกับลูกชายตัวเองมองเมินเบิ้ม!
เขาอึ้ง เหลือบมองคนรักข้างตัวอย่างขอความเห็น ซึ่งคมสันเองก็ไม่ตอบอะไร ตั้งอกตั้งใจคุยงานกับเลขาใหญ่ราวแยกแยะว่าคนตรงหน้าคือผู้สอนงาน ไม่ใช่มารดาบังเกิดเกล้าของตัวเอง เอ่อ...แต่คนที่เพิ่งใช้ฐานะลูกชายเอาเอกสารลาออกของเขาปนไปให้ท่านประธานเซ็นก็คือคมสันนะ แล้วจะมาทำหน้าซื่อตอนนี้ทันได้ยังไง
แล้วเบิ้มกล้าท้วงมั้ย
กล้าก็บ้าแล้ว!เพราะโดนเมินอย่างสมบูรณ์แบบ เบิ้มเลยได้แต่ยืนกุมมือมองไปรอบๆ พบว่าการพูดคุยของสองแม่ลูกผู้ทรงอิทธิพลในบริษัทนี้นั้นไม่มีใครกล้าแอบฟังหรือเข้าใกล้แม้แต่น้อย จะว่าไป...ทั้งที่เป็นผู้ช่วยเลขาจบใหม่เพิ่งทำงานไม่ถึงปี กลับไม่มีใครกล้าใช้งานคมสันเลยสักนิด วานให้ชงกาแฟ เดินเอกสารหรือก็ไม่ ราวเป็นบุคคลห้ามแตะต้อง
ในแง่...ไม่ค่อยดีนัก
ความจริงแล้วคมสันทำงานเก่งมาก แต่ความเป็นเด็กเส้นดันโดดเด่นกว่าผลงาน
ก็ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะไม่มีเพื่อนร่วมรุ่นในบริษัทสักเท่าไหร่ เพื่อนต่างวัยยิ่งไม่มี กลายเป็นโดดเดี่ยวเดียวดายในบริษัท
เพียงคิด เบิ้มก็น้ำตาจะไหล
โอ้พระเจ้า เขาสงสารคนรักแสนดีจับใจ
ไม่เป็นไรนะสัน นับแต่นี้ฉันจะอยู่เคียงข้างนายเอง!เบิ้มปฏิญาณ ระหว่างนั้นก็ตะแคงหูฟังแผนงานในวันนี้คร่าวๆ ของแม่คมสันด้วย แต่ดันฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ช่วยไม่ได้ เขาไม่ถนัดเรื่องงานเอกสารหรือบริหารจัดการแบบสุดกู่
จนเมื่อทั้งคู่คุยเสร็จ เบิ้มก็รีบเดินตามหลังคมสัน มองตามแผ่นหลังเหยียดตรงแสนงามสง่าด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ ดูสิ ภายใต้แผ่นหลังนี้แฝงไปด้วยความเหงาว้าเหว่มากขนาดไหน ทำดีแทบตายแต่ก็โดนหมั่นไส้เพราะเด็กเส้น คนรักของเขาเก่งมากแท้ๆ กลับถูกปฏิบัติเหมือนโดนบอยคอต แม้มักเผยสีหน้านิ่งเรียบไม่รู้สา แต่ในใจจริงๆ แล้วนั้นต้องเจ็บปวดมาก!
น่าแปลก เพราะวูบหนึ่งเขาเห็นแม่คมสันมองมาคล้ายเวทนา...เวทนาในตัวเบิ้ม
แม่ภรรยาไม่ชอบเขามากขนาดนั้นเลย!
เบิ้มเสียใจ แต่ด้วยมาดของเลขาอาวุโสผู้ยิ่งใหญ่ ดูเข้มงวดจริงจังเกินจะชวนคุย เบิ้มเลยทำได้เพียงหดคอ
เพราะตำแหน่งของเบิ้มค่อนข้างพิเศษ ท่านประธานปิดหูปิดตาข้างหนึ่ง คนอื่นๆ แม้จะสงสัยก็ไม่กล้าถาม มองเบิ้มแบบสงสัยแกมหวาดระแวง พอเดินตามคมสันมาที่โต๊ะทำงาน เบิ้มเลยตัดสินใจลากเก้าอี้มานั่งฝั่งตรงข้าม เผื่อจะได้ไม่ต้องเผอิญเห็นข้อมูลสำคัญของบริษัท ไม่ต้องดูว่าคมสันกำลังจัดการงานเรื่องอะไรอยู่
คมสันค่อนข้างพอใจกับการเจียมเนื้อเจียมตัวนี้มากทีเดียว อีกฝ่ายดันแว่น...ซึ่งเบิ้มเพิ่งสังเกตว่าเป็นท่าเดียวกับแม่ของคมสันเด๊ะๆ ก่อนจะบอกสั้นๆ ว่ามีประชุมตอนสิบโมง
“ฉันจะรอ” เบิ้มยิ้มให้กำลังใจ สิบโมงตรง คมสันก็เข้าประชุมพร้อมเลขาคนอื่นๆ ทิ้งให้เบิ้มเป็นเงาดำๆ ไม่มีอะไรทำอยู่คนเดียว
ถ้าถามว่าเบิ้มเบื่อมั้ย ตอบแบบถนอมน้ำใจได้เลยว่านิดหน่อย เฮ้อ...สมัยทำงานเป็นสตั้นท์แมน เบิ้มต้องออกกองเป็นประจำ บางทีก็ขึ้นเหนือล่องใต้ ได้เจอกับสารพัดฉากให้ออกกำลังผาดโผน พอต้องมานั่งเฉยๆ ในสำนักงานแล้ว ผู้เก่งกล้ามากวิชาอย่างเบิ้มเลยรู้สึกร่างกายฝืดๆ อยากจะลงไปวิดพื้นเสริมกล้ามเนื้อสักสามร้อยครั้ง
“ใกล้ๆ นี้มีฟิตเนส นายจะไปฆ่าเวลาตรงนั้นก็ได้นะ” พอออกจากห้องประชุม คมสันที่สังเกตเห็นเบิ้มนั่งเหม่อก็เสนอความเห็นโดยไม่มองหน้า เพราะจดจ่อกับเอกสารการประชุมที่เพิ่งเสร็จสิ้นและต้องสรุปส่งให้ท่านประธานโดยย่อ
เบิ้มบอกได้เลย ผู้รู้ใจเขาในโลกนี้คือคมสัน
สมเป็นคู่สร้างคู่สม คู่สวรรค์สร้างโดยแท้!
“หรือจะไปหาครอบครัวก็ได้ ตอนนี้เป็นเวลาอิสระของนาย อย่าลืมล่ะว่าสัญญาว่าจ้างครอบคลุมถึงวันเสาร์-อาทิตย์ด้วย เท่ากับว่านายไม่มีวันหยุดเหมือนคนปกติหรอกนะ”
จริงอยู่ว่างานนี้ไม่มีวันหยุด แต่เวลาเหลือเฟือช่วงกลางวันก็นับว่าทดแทนกันได้ เบิ้มพยักหน้ารับ ตัดสินใจไปฟิตเนสจะได้ยืดเส้นยืดสายสักหน่อย หากไม่หมั่นออกกำลังกาย กล้ามเนื้อจะฟีบลงได้ จากซิกแพคอาจจะเหลือแค่วันแพค
แต่...
“พักกลางวันฉันจะส่งข้อความไปหา นายค่อยขับมารับแล้วกัน วันนี้อากาศดี ฉันอยากกินข้าวข้างนอก” คมสันพูดอย่างรู้ทันว่าเบิ้มกำลังจะถามเรื่องอะไร
ในใจหวานซาบซ่านอย่างบอกไม่ถูก คนไม่เคยมีความรักอย่างเบิ้ม เมื่อมีแฟนครั้งแรกก็จะชื่นอกชื่นใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเขาที่สังเกต(ดักเจอ)คมสันมาตลอดสามเดือน นอกจากไม่มีเพื่อนคบแล้วผู้ช่วยเลขาผู้นี้ยังมุ่งมั่นกับงาน มักสั่งอาหารขึ้นมากินชั้นบนคนเดียว
“ได้ครับ”
คนมีความรักก็จะดูเด็กลงไปนิดนึง สำหรับเบิ้มตอนนี้ เขาเหมือนกลับเป็นสิบแปดอีกครั้ง
โลกรอบข้างก็คล้ายจะเป็นสีชมพู ไม่ชมพูธรรมดา ยังเป็นสีชมพูแบบพาสเทลด้วย
แน่นอนว่าก่อนจะขับรถไปฟิตเนส เบิ้มโทรหาครอบครัวก่อน
อะไรนะ เบิ้มไม่เคยเล่าถึงพื้นเพตัวเองมาก่อนเลยงั้นเหรอ
มัวแต่บรรยายว่าคมสันน่ารักอย่างงู้นอย่างงี้ ชวนใจเต้นอย่างงั้นอย่างโง้นใช่มั้ย เอาน่า อย่าหาว่าเบิ้มลำเอียงสิ เขากำลังจะเล่าให้ฟังแล้วนี่ไง
ครอบครัวเบิ้มไม่มีอะไรพิสดาร ประกอบด้วยพ่อ แม่ พี่ชายคนโต และน้องชายคนเล็ก
มาประหลาดตรงที่น้องชายคนเล็ก...ดันเล็กมาก มากขนาดที่ว่าเบิ้มโตจนตัวแทบชนกรอบประตูแล้ว แต่น้องชายเขาเพิ่งอายุหกขวบเท่านั้นเอง...เพราะมีน้องตอนอายุเยอะ หลังคลอดแม่ของเขาเลยร่างกายอ่อนแอ ทำงานหนักๆ มากไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ เบิ้มเลยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักของครอบครัว
แล้วพ่อเบิ้มไปไหน?
พ่อเบิ้มเสียไปเพราะอุบัติเหตุเมื่อสองปีก่อน ช่วงที่เบิ้มมีโอกาสได้ไปต่างประเทศเพราะโดนอาจารย์ผลักดัน ฝึกวิชาการต่อสู้จนมีชื่อเสียงและถูกทาบทามจากหลายวงการ ข่าวเศร้าที่มาอย่างกะทันหันนั้นทำให้เบิ้มกลับมาดูใจไม่ทัน เขารู้สึกแย่มาก จึงตัดสินใจทิ้งอนาคตสวยหรูกลับมาที่ประเทศไทย ก่อนจะโดนอดีตหัวหน้าแผนกซึ่งเป็นรุ่นพี่โรงเรียนเดียวกันชักชวนมาทำงานเป็นสตั้นท์แมน
เทียบกับชื่อเสียงและเงินเป็นล้าน การได้ส่งท่านในช่วงวาระสุดท้ายสำคัญกับเบิ้มมากกว่า แล้วยังไม่นับที่แม่ของเขาสุขภาพไม่ดี กับน้องชายที่เพิ่งจะเตรียมตัวเข้าชั้นประถมอีก
แม้เบิ้มจะเป็นคนมัธยัสถ์ ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่การที่น้องชายใกล้จะเข้าประถมก็ทำให้เขาเครียดเหมือนกันด้วยเกรงว่าเงินเดือนจะไม่พอใช้ สัญญาจ้างพ่วงขอแต่งงานของคมสันจึงมาในเวลาที่เหมาะสม และตรงกับที่ต้องการพอดี
เห็นมั้ย เบิ้มไม่ได้หน้ามืดตามัวในรักขนาดนั้นสักหน่อย!
เขายังคิดเผื่อครอบครัว ทำเพราะความจำเป็นด้วยหรอกนะ!!
แต่ก็มีปัญหาอยู่อย่าง...
(( เมื่อไหร่เบิ้มจะพาแฟนมาเปิดตัวที่บ้านสักทีล่ะลูก บิ๊กเองก็อยากเห็นนะ ))
เบิ้มสะอึก การโทรถามสารทุกข์สุกดิบช่วงนี้มักวนเวียนเกี่ยวกับแฟนเบิ้ม แน่ล่ะ ก็เบิ้มไม่เคยมีคนรัก แม่จะสนใจก็ไม่แปลก แม้เขาจะเห็นว่าคนรักตัวเองเพอร์เฟ็คที่สุดในสามโลก ไม่เกี่ยงเรื่องเพศ แต่แม่เขา...จะรับได้มั้ยเนี่ยสิ
เพราะเบิ้มไม่เคยแสดงออกว่าเบี่ยงเบนมาก่อน
ซึ่งอันที่จริงเบิ้มก็ไม่ใช่พวกเบี่ยงเบน เขาเพียงยอมรับได้ทั้งชายและหญิง ขอแค่มีคนเข้าใจก็พอแล้ว
แต่แม่จะเข้าใจหรือไม่นั้นนับเป็นปริศนาธรรม...อาจจะเย็นชาเหมือนกับแม่คมสันที่แม้ไม่คัดค้านแต่แอบห่างเหินก็ได้ โอ๊ย นึกแล้วเบิ้มละเจ็บปวดใจ โดนเด็กเวรเมินยังไม่เท่าโดนแม่ภรรยาเมิน ผู้ชายตัวโตก็ร้าวรานได้เหมือนกัน
“ยังไม่สะดวกเลยครับแม่ ไว้ผมจะบอกอีกทีนะ”
เบิ้มรีบวางสาย อันที่จริงเขาไม่ค่อยสนิทกับครอบครัวเท่าไหร่ เพราะแต่เด็กก็ชอบออกจากบ้านไปฝากตัวตามค่ายมวย นอนกลางดินกินกลางทราบตามค่ายฝึก เบิ้มหลงใหลศิลปะการต่อสู้แต่เด็ก ความบ้าคลั่งในการจะเรียนรู้ศาสตร์หลายแขนงนั้นทำให้แทบไม่อยู่ติดบ้าน เอะอะเป็นต้องวิ่งโร่ออกข้างนอก เหมือนที่เขาวิ่งมาฟิตเนสให้เหงื่อออกสักนิดถึงจะสบายใจ
เดิมทีครอบครัวไม่สนับสนุน แม่เขาใจจะวายทุกครั้งที่เห็นลูกชายเจ็บตัว แต่สุดท้ายก็ยอมความบ้าของเบิ้ม เริ่มปลงแล้วปล่อย ฉะนั้นแม้เบิ้มจะไม่ค่อยติดบ้านก็ไม่ถึงกับห่างหาย มักโทรศัพท์หาเสมอ ออกแนวตัวห่างแต่ใจยังรัก ฉะนั้นตอนพ่อเสีย เบิ้มถึงเสียใจมาก เขาอยากพูดคุยกับพ่อครั้งสุดท้ายแต่ไม่มีโอกาส
แม่เองก็ชินกับการอยู่ไม่ติดบ้านของลูกชายคนโต พอเบิ้มบอกว่าจะต้องไปค้างบ้านคนอื่นเพราะได้งานใหม่เป็นบอดี้การ์ด เลยยอมรับได้ง่ายๆ
ก็หวังว่าจะยอมรับคมสันง่ายๆ แบบนี้ด้วยนะเบิ้มภาวนาจากเบื้องลึกของจิตใจ
“แล้วเจอกันที่บ้านนะสัน ฝากไปรับเจ้าเด็กแสบด้วยละ!”
“ครับท่าน”
แม้เป็นเรื่องปกติที่คมสันจะกลับก่อนเวลาเลิกงาน แต่ที่ไม่ปกติคือท่านประธานเดินมาส่งคมสันด้วยตัวเองอย่างสนิทสนมประหนึ่งเป็นครอบครัวกันมากกว่าลูกน้อง
ท่าทางนั้นยิ่งเรียกสายตาในแง่ลบจากเพื่อนร่วมงานเข้าไปอีก แต่คมสันไม่สะทกสะท้าน ผิดกับเบิ้มที่ขมวดคิ้วมุ่น...สงสัยว่าบ้านหลังที่ว่า...หมายถึงบ้านไหน
“ไว้คุยกัน” คมสันกระซิบ เบิ้มเลยรีบปรับสีหน้า ยกมือไหว้ท่านประธานและแม่คมสันแล้วเดินตามหลังคนรักลงไปลานจอดรถต้อยๆ อย่างเชื่อฟังทั้งที่เป็นบอดี้การ์ดซึ่งควรจะมีมาดโหดเหี้ยมข่มขวัญคน
แหม แต่พออยู่กับคนรักสองต่อสองทีไร เบิ้มวางมาดไม่ออกเลยนี่นา
โลกสีชมพูสดใสกับจิตใจที่ชุ่มช่ำด้วยความรัก เบิ้มรีบเปิดประตูฝั่งข้างคนขับ บริการอย่างดีเพราะหวังจะเห็นอีกฝ่ายยิ้มให้สักนิด
แต่คมสันไม่ยิ้ม
หลังรอให้เบิ้มเดินอ้อมมานั่งฝั่งคนขับ คาดเข็มขัดเรียบร้อย คมสันก็ดันแว่นหนึ่งครั้งก่อนอธิบาย
“ทุกวันศุกร์กับเสาร์ท่านประธานจะไปค้างด้วย เป็นข้อตกลงที่สัญญากับคุณหนู ฉะนั้นเย็นนี้ถ้าเจอท่านประธานก็อย่าตกใจละ”
ไปค้างด้วย...พูดซะอย่างกับว่าไม่ใช่เจ้าของบ้านเบิ้มอยากจะถามว่าแล้วปกติท่านประธานไปค้างที่ไหน แต่เมื่อเช้าเพิ่งจะปรามาสเด็กเวรว่าคิดช้า ย้อนกลับมามองตัวเอง...อยู่มาสามวัน เพิ่งฉุกคิดว่าทำไมเจ้าของถึงไม่กลับมานอนบ้าน...นี่มันช้ายิ่งกว่าเต่าจนเกรงจะเข้าตัว เลยตัดสินใจเงียบดีกว่า
แถมพอลองคิดความเป็นไปได้ต่างๆ นาๆ แล้วคำตอบไม่น่าจะเข้าข่ายดีสักเท่าไหร่
ฉะนั้นอย่าปากหาเรื่องเลยนะเบิ้มเอ๊ย
“กลับมาแล้วเหรอภัทร”
โชคดีที่คมสันบอกเตือน ฉะนั้นตอนเห็นร่างของท่านประธานยืนรออยู่หน้าประตู เบิ้มเลยไม่ตกใจนัก
เพราะคนที่ตกใจคือไอ้เด็กเวรต่างหาก
เด็กชายมองพ่อตัวเองแล้วเลิกคิ้ว เหมือนประหลาดใจว่าทำไมถึงมายืนอ้าแขนรอให้กอดอยู่ตรงนี้ จนกระทั่งคมสันก้มกระซิบบอกว่าวันนี้วันศุกร์นั่นแหละ ถึงได้ร้องอ้อ แล้วเดินไปกอดตอบแบบขอไปทีสุดๆ
ขอไปทียังไงน่ะเหรอ
“สัน นายสัญญาแล้วนะว่าจะพาฉันไปว่ายน้ำข้างนอก!”
ขอไปทีขนาดที่ตัวอยู่ในอ้อมกอดพ่อ แต่หน้าดันหันไปพูดกับคมสัน
“ว่ายน้ำที่บ้านก็ได้นี่ครับ”
“ว่ายคนเดียวจะสนุกอะไร สันนะดีทุกอย่าง แต่ดันว่ายน้ำไม่เป็น!”
โอ้ โอ้ โอ้ คาดไม่ถึงว่าคนรักของเขาจะมีจุดอ่อนที่น่ารักขนาดนี้อยู่ด้วย!!
“ฮ่าๆ ไม่ใช่ว่าคมสันว่ายน้ำไม่เป็น แต่ว่ายน้ำไม่แข็งต่างหาก” ท่านประธานเอ่ยแทรก หวังเป็นส่วนหนึ่งในบทสนทนา เบิ้มว่าเขาไม่ค่อยสนิทกับครอบครัวแล้วนะ เวลากลับบ้านมักจะมีบรรยากาศประหลาดๆ คล้ายกับตอนนี้ แต่ก็ไม่ถึงขั้นโดนเมินเหมือนเป็นส่วนเกินเท่านี้...“คมสันทำได้ทุกอย่างเลยใช่มั้ยล่ะ แต่เพราะว่ายน้ำไม่ค่อยเก่ง เขาเลยไม่อยากว่ายต่างหาก ไม่ใช่ว่าว่ายน้ำไม่เป็นหรอก”
“งั้นไม่ต้องกลัวนะสัน ฉันเองก็ว่ายไม่ค่อยแข็งเหมือนกัน เราจะได้ว่ายน้ำไปด้วยกันได้ไง” นานครั้งจะเห็นไอ้เด็กเวร...เวรของสวรรค์ที่ส่งมาเกิดเป็นลูกท่านประธานพูดจาน่าฟัง แต่น่าเสียดายเพราะคงไม่รื่นหูคนเพอร์เฟ็คที่มักเผยแต่ด้านดีๆ ให้คุณหนูสุดที่รักได้เห็นสักเท่าไหร่
“ว่ายกับเบิ้มแล้วกันนะครับ”
“ทำไมล่ะสัน” เด็กน้อยทำปากแบะอย่างขัดใจ นานครั้งจะโดนปฏิเสธจากพี่เลี้ยงคนนี้
“เบิ้มน่ะว่ายน้ำเก่งมาก ตีลังกาในน้ำได้สามสิบตลบเลยนะครับ”
“จริงเหรอ!?” จู่ๆ ก็โดนมองด้วยสายตาคาดหวัง เบิ้มถึงกับไปไม่เป็น
คือ...ก็ใช่ว่าทำไม่ได้หรอกนะ แต่เขาอยากสอนคมสันว่ายน้ำมากกว่านี่!!
“ว่ายกับพ่อสิภัทร พ่อว่ายน้ำเก่งมากเลยน้า”
“สรุปว่าพรุ่งนี้ไปว่ายน้ำข้างนอกกันเนอะ สัน ไปช่วยเลือกกางเกงว่ายน้ำกับฉันเร็ว” พูดจบเด็กกตัญญูซะที่ไหนก็วิ่งเข้าไปในบ้าน ทิ้งให้พ่อบังเกิดเกล้ายิ้มเก้ออย่างน่าเห็นใจ
คมสันก้มตัวให้เล็กน้อยขณะเดินผ่านท่านประธาน ดูมองเมินพอกันแต่อย่างน้อยก็ยังมีมารยาท ก่อนจะตามหลังคุณหนูสุดที่รักซึ่งออกจะเริงร่ากว่าใคร
ทิ้งให้เบิ้มสบตาปริบๆ กับท่านประธานในระยะประชิดในครั้งแรก
“เอ่อ...ท่านครับ...คือว่า” เขาอยากจะปลอบ ความขัดแย้งของลูกชายจอมแก่นกับพ่อแม่นั้นเป็นเรื่องปกติในสังคม เบิ้มเองยังมีประสบการณ์เลยเพราะตอนเด็กชอบหาเรื่องเจ็บตัวเสมอ โดนด่าโดนเตือนตั้งมาก เพราะไม่ได้การสนับสนุน เขาเลยขยันออกจากบ้านไปตามหาความฝัน เวลากลับบ้านแต่ละทีเลยค่อนข้างกระอักกระอ่วน ตอนคุยโทรศัพท์ยังพอไหว แต่พอเจอหน้าแล้วบรรยากาศไม่ยักจะกลมเกลียวเท่าที่ควร
เพราะแบบนี้ละมั้งพอได้พบคมสันที่ทุ่มเทให้แถมยังเข้าใจทุกอย่าง เบิ้มเลยตกหลุมอย่างรวดเร็ว
แต่ความหวังดีของเบิ้มถูกปัดทิ้ง
เพราะท่านประธานคร้านจะสนทนากับลูกจ้างอย่างเขา หรือไม่ก็หน้าบาง เพราะดันมาเห็นมุมโดนลูกเมินอย่างนี้
เอาเถอะ เมินมาเบิ้มก็เมินกลับได้ เลิกสนใจท่านประธานแล้วฝันหวานถึงวันพรุ่งนี้
คมสันในชุดว่ายน้ำ! กางเกงรัดรูปตัวเดียว!อูย...แค่คิดก็กำเดาจะไหล สงสัยต้องเตรียมกระดาษทิชชูไปเยอะๆ แล้ว!!
---------
ตอนนี้ไม่ค่อยกาวมาก เพราะมาเล่าถึงฝั่งเบิ้มกันค่ะ
จะได้เห็นภาพคร่าวๆ เนอะว่าทำไมเบิ้มถึงรักปักใจกับคมสัน เชื่อว่าเป็นนางฟ้าของเบิ้ม แบบว่าหลายๆ อย่างมันพอเหมาะพอเจาะพอดี ก็ไม่รู้ว่าสวรรค์ประทานมา หรือโดนจอมมารจิ้มตัวเลยขัดขืนชะตาไม่ได้กันแน่ 555
ถือเป็นตอนพักยกและปูตัวละคร เริ่มมีปัญหาครอบครัวเข้ามา เพราะจะหาครอบครัวที่รักใคร่กลมเกลียวแบบชาวประชาทองคำดีนั้นหายากนะเออ ส่วนตอนหน้า...กาวมา!!!//ซู๊ดดดด
#จอมมารคมสัน
เพจนักเขียนที่ชอบชุดนอนไม่ได้นอนของจอมมารTwitter : MajaYnajaปล.คมสันเป็นพวกเพอร์เฟ็คชั่นนิสค่ะ ไม่ใช่ว่าไม่อยากว่ายน้ำกับเสี่ยนะ แต่เวลาทำอะไรแล้วมันไม่ดีพอ ท่านจอมมารจะไม่ค่อยมั่นใจ ไม่อยากโชว์ให้ใครเห็นค่ะ เห็นมั้ย จอมมารก็มีมุมอ่อนไหวนะ!