บทที่ 30: พรจากสวรรค์
ม่านฉีลืมสิ้นทุกอย่างว่าในอดีตกาลนั้น ที่ตนพ้นการลงทัณฑ์ขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้มาได้เป็นเพราะผู้ใด หากไม่ได้เทียนอี้และเจี้ยนสือรวมหัวกันปั้นน้ำเป็นตัวแล้วล่ะก็ เขาคงจะไม่มีวันมาผงาดง้ำวางท่าโอหังให้สามโลกได้หวาดเกรงถึงเพียงนี้หรอก
หากทว่าการสูญเสียแขนกลับทำให้ม่านฉีโมโหโกรธาเสียยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เขาไม่สนหรอกว่าเทียนอี้จะเคยมีพระคุณมากเพียงใด บัดนี้หงุดหงิดจนแทบจะพ่นไฟออกจากปากได้ ทั้งเสียแขน ทั้งถูกขัดขวางไม่ให้ได้ลิ้มลองหัวใจมนุษย์
เรื่องนั้นมันทำให้เขาโกรธเป็นอย่างยิ่ง!
“เจ้ามนุษย์ผู้นั้นเป็นของข้า!”
ม่านฉีพุ่งเข้าหา หมายจะฆ่าฟันให้บรรลัย ไม่สนใจว่าใครเป็นใคร ใจหมายจะกินแต่หัวใจมนุษย์อย่างเดียว
เทียนอี้ซึ่งประคองซิ่นเฉิงในสภาพบาดเจ็บสาหัสไว้ในอ้อมแขนเอี้ยวตัวหลบทันควัน แม้จะกังวลว่าการเคลื่อนไหวของเขาจะสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้เป็นที่รัก แต่ก็ต้องกระทำเพราะไม่อย่างนั้น ทั้งเขาและซิ่นเฉิงจะต้องถูกม่านฉีเล่นงานแน่
มือข้างหนึ่งประคองร่างมนุษย์หนุ่มไว้ อีกข้างคว้าอาวุธมาต่อกรกับปีศาจอันเป็นบุตรของเทพมังกรวารี เสียงของโลหะจากปลายอาวุธและกงเล็บคมปะทะเข้าหากันดังสนั่นหวั่นไหว เทียนอี้ออกแรงทั้งหมดที่มีผลักอีกฝ่ายเสียจนกระเด็นไปอีกทิศ ก่อนจะรีบผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
หนี...
ต้องรีบพาซิ่นเฉิงหนีไปยังที่ปลอดภัย!
ตัวเขาจะเป็นอย่างไรนั้นก็ช่างมันเถิด เขาสนแค่จะรักษาชีวิตของคนที่เขารักไว้อย่างเดียวเท่านั้น แขนข้างนั้นอุ้มซิ่นเฉิงขึ้นแบกบนบ่า ขณะที่สองเท้ารีบก้าวอย่างรวดเร็วเพื่อให้พ้นยังบริเวณนั้น
ม่านฉีไม่จำเป็นต้องกินหัวใจของซิ่นเฉิงก็ได้ แต่ด้วยทิฐิของปีศาจที่ทระนงตนว่าเก่งกล้าเหนือผู้ใดในพิภพ ทำให้เขารีบไล่ตามเทพอสูรผู้นั้นด้วยหมายจะเอาชนะเพื่อประกาศตัวว่าปีศาจเช่นเขามีอำนาจอยู่เหนือทหารเอกขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้
ทหารเอก... ใช่ ในสายตาของม่านฉี เทียนอี้ยังคงเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแดนสวรรค์ดังเดิมแม้ว่าบัดนี้จะไม่ใช่แล้วก็ตาม
ปีศาจหนุ่มกระโจนพรวดเดียวก็ไปดักหน้าเทียนอี้เอาไว้ได้ รอยยิ้มผุดพรายขึ้นบนใบหน้าเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายชะงักงันเสียจนฝุ่นผงตลบคลุ้ง
“จงเลือกเอาว่าจะส่งหัวใจของมนุษย์นั่นมาให้ข้าดีๆ หรือจะต้องให้ข้าลงไม้ลงมือก่อน”
หัวใจของมนุษย์...
หัวใจของซิ่นเฉิง... มันเป็นของเทียนอี้ต่างหาก เรื่องอะไรถึงจะยกให้ผู้อื่นกันเล่า!
เทียนอี้ไม่ยอมแน่ ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าคร้ามครันหล่อเหลาก็ปรากฏร่องรอยแห่งความกรุ่นโกรธ ก่อนจะแผดเสียงขึ้นบ้าง
“หากเจ้าจะเอาชีวิตที่เต็มไปด้วยตบะมาทิ้งไว้ที่นี่แล้วล่ะก็ เข้ามาได้เลยม่านฉี!”
“เช่นนั้นก็คงต้องเล่นสนุกกับเจ้าหน่อยแล้ว!”
ม่านฉีแสยะยิ้มเสร็จก็โผกระโจนเข้าหา มือข้างที่ยังอยู่กางเล็บออก หมายจะฉุดกระชากร่างของมนุษย์ที่แบกอยู่บนบ่าของเทียนอี้ให้แหลกเป็นชิ้นๆ หากทว่าเทียนอี้หลบเลี่ยงได้ทันควัน กงเล็บนั้นจึงคว้าพลาดไปคว้าเอาอากาศแทน แต่พลาดเพียงครั้งเดียวก็มิอาจทำให้ม่านฉีหยุดมือได้ สะบัดตัวหันมาจู่โจมอีกครั้ง ก่อนที่เทียนอี้จะตวัดอาวุธในมือฟาดฟันปัดป้องอย่างสุดความสามารถ
ซิ่นเฉิง... มนุษย์ผู้นี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ยกให้ใคร ไม่ว่าคนผู้นั้นจะมาจากปรโลกหรือสวรรค์ เขาก็จะไม่ยอมให้พรากไปทั้งนั้น!
เทียนอี้ปกป้องอีกฝ่ายอย่างสุดความสามารถ แต่ด้วยร่างของเทพที่ไร้ซึ่งพลัง ทำให้ไม่อาจต่อกรกับเรี่ยวแรงของปีศาจเช่นม่านฉีได้ดีนัก ครั้นตวัดอาวุธในมือปัดป้องกงเล็บที่หมายจะกระชากเอาชิ้นเนื้อของมนุษย์หนุ่มที่โอบอุ้มอยู่ไปได้ ม่านฉีก็ใช้โอกาสที่เขาพลาดนั้นตวัดเม็ดทรายใส่ใบหน้าของอีกฝ่าย การกระทำนั้นทำให้เทียนอี้ผงะถอยหลัง ดวงตาปวดแสบพร่ามัวไปครู่หนึ่ง กระนั้นก็พยายามลืมตาขึ้นทั้งที่หยดน้ำตาเอ่อปริ่ม
เขามองไม่เห็น...บัดซบ!
แต่จะมัวมารอให้มองเห็นไม่ได้ เวลานี้ความเป็นความตายของซิ่นเฉิงอยู่ในมือของเขา เขาจะไม่ยอมให้เกิดอะไรขึ้นกับชายหนุ่มคนนี้เป็นอันขาด
ทว่าเมื่อพลาดท่าเสียทีครั้งหนึ่งแล้วก็พลาดท่าเสียทีอย่างต่อเนื่อง ม่านฉีเห็นว่าแผนการของตนได้ผลก็ใช้ขาเตะเม็ดทรายเข้าใส่ดวงตาของเทียนอี้อีก แรงกระแทกของเม็ดผงเล็กๆ ทำให้เทียนอี้ต้องยืนอยู่นิ่งๆ อาศัยหูเงี่ยฟังเสียงรอบข้างแทน ก่อนจะรับรู้ได้ว่ารอบกายเขาหาได้มีเพียงม่านฉีแต่ผู้เดียวไม่ หากแต่ยังมีบรรดาสมุนปีศาจของอีกฝ่ายที่พากันกรูเข้ามารายล้อมเขาในยามนี้อีก
หากปล่อยไว้เช่นนี้ไม่เป็นการดีแน่ เพราะอีกไม่นานเขาคงจะต้องถูกรุม ตัวเขาน่ะไม่เป็นอะไรหรอก จะห่วงก็แต่ซิ่นเฉิงเท่านั้น
“ในเมื่อข้าให้โอกาสแล้ว แต่ท่านเลือกที่จะช่วยมนุษย์ผู้นั้น ก็จงยอมรับความตายเถิด!”
สิ้นเสียง บรรดาลูกสมุนปีศาจก็กรูเข้าใส่เทียนอี้ทันที ในความมืดมิดนั้น เทียนอี้ใช้หูฟังและเคลื่อนไหวไปตามเสียงที่อยู่รอบกาย มือตวัดอาวุธฆ่าฟันปีศาจเหล่านั้นอย่างชำนาญ
แม่ทัพใหญ่แห่งสวรรค์ อย่างไรก็ยังคงเป็นแม่ทัพใหญ่ เพียงเคลื่อนไหวก็ทำให้โลหิตคาวคลุ้งน่าสะอิดสะเอียดของปีศาจพวกนั้นสาดกระเซ็นเป็นสาย เม็ดทรายถูกอาบไปด้วยของเหลวสีดำคล้ำ ขณะที่ในใจของเทียนอี้คิดอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ไม่ว่าจะต้องฆ่าฟันผู้อื่นอีกเป็นร้อยเป็นพัน เขาก็จะพาซิ่นเฉิงหนีไปให้ได้!
การต่อสู้นั้นบ้าคลั่งดุเดือด เทียนอี้ไม่ลดราการเข่นฆ่าเลยแม้แต่น้อย ท่าทีของเขาทำเอาเหล่าสมุนปีศาจเริ่มอกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กัน ม่านฉีเห็นท่าไม่ดีจึงกระโจนเข้าไป กงเล็บที่พุ่งไปหาขูดไปกับเกราะเงินบนกายของเทียนอี้ดังครืดก่อนจะเกิดประกายไฟวูบวาบ สิ้นเสียง เกราะนั้นก็แตกออกเป็นเสี่ยง
พลังของม่านฉีนั้นน่ากริ่งเกรงยิ่ง...
ชวนให้กริ่งเกรงยิ่งกว่าเมื่อม่านฉีพุ่งเข้าใส่เทียนอี้พร้อมกับกระชากเอาเกราะอ่อนที่ยังคงอยู่บนกายเขาขาดวิ่นเป็นชิ้น โลหิตไหลซิบไปตามแนวคมเล็บที่ขูดลากไปบนผิวเนื้อ เทพอสูรหนุ่มร้องออกมาด้วยความปวดแปลบ ก่อนจะทรุดฮวบเมื่อขาข้างหนึ่งถูกกงเล็บนั้นเสียบแทงเข้ามาสุดแรง
“ส่งเจ้ามนุษย์นั่นให้ข้าแต่แรกดีๆ ก็สิ้นเรื่อง”
“อั้ก!”
ม่านฉีว่าพลางออกแรงแทงกงเล็บของตนเข้าไปมากกว่าเดิม เทียนอี้มิอาจทนไหว หากเขายังเป็นเทพที่ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดทางกายใดๆ เขามั่นใจเลยว่าม่านฉีไม่มีทางทำเช่นนี้กับเขาได้แน่
ไม่สิ ไม่ใช่เพียงม่านฉี ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถทำอันตรายใดให้ร่างกายเขาได้ทั้งนั้น
หากแต่ในยามนี้ไม่ใช่ ถึงแสงจันทร์จะสาดส่องแปรเปลี่ยนให้ร่างเทพอสูรกลับคืนสู่ร่างเทพ แต่ก็ไร้ซึ่งอภินิหารใด แล้วเขาจะเอาสิ่งใดไปสู้กับปีศาจตนนี้ได้?
ขาข้างที่ถูกแทงสั่นระริก กระนั้นก็พยายามจะลุกขึ้นยืน ทว่าม่านฉีก็แทงลงมาอีก ทำให้เขามิอาจยืนขึ้นได้ดั่งในนึก มือที่แบกซิ่นเฉิงอยู่ยังคงโอบกอดอีกฝ่ายไว้แน่นอย่างหวงแหน ดวงตาที่บัดนี้พอจะมองเห็นแล้วจับจ้องไปยังสีหน้าลำพองใจของปีศาจตนนั้นอย่างขุ่นแค้น
ทำไม...
ทำไมจะต้องเป็นซิ่นเฉิงกัน!?
“ส่งมนุษย์ผู้นี้มาให้ข้า ไม่เช่นนั้น ข้าสังหารท่านแน่”
“หากเจ้าอยากจะสังหารข้านัก” เทียนอี้ปริปาก “ก็สังหารเสียเลยสิ!”
น้ำเสียงและแววตาบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ยอมโอนอ่อนให้ ม่านฉีก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าเทียนอี้มีอุปนิสัยเช่นไร แต่ก็เอาเถิด ในเมื่อออกปากเอง เขาก็จะสงเคราะห์ให้ ที่เขาถามก็เพราะเห็นว่าเคยมีพระคุณและเป็นสหายของบิดามาก่อนต่างหาก ในเวลานี้ถือว่าความสัมพันธ์ใดจบสิ้นลงหมดแล้วก็แล้วกัน
“เช่นนั้นก็ลาก่อน...ท่านแม่ทัพใหญ่เทียนอี้”
มือกระชากออกมาจากต้นขาของแม่ทัพใหญ่ เล็บที่เต็มไปด้วยโลหิตสีแดงสดกางออก หมายจะฉุดกระชากศีรษะของอีกฝ่ายให้หลุดออกจากร่างในคราเดียว ทว่า...ม่านฉีก็ทำได้เพียงคิดเท่านั้น เพราะในเสี้ยวนาทีนั้นเอง ดาบเล่มเขื่องก็พุ่งเข้ามาเสียบแผ่นหลังของเขาเข้าอย่างจัง
ม่านฉีกระอักโลหิตออกมา เหลือบมองคมดาบที่ทะลุหน้าอก ก่อนค่อยๆ หันไปมองยังด้านหลัง
“แต่เห็นทีข้าคงจะต้องบอกลาเจ้าก่อนแล้ว...ม่านฉี”
คมดาบนั้นเป็นของ...
“มะ...แม่ทัพ...จะ...เจี้ยนสือ...”
ริมฝีปากของปีศาจหนุ่มครางแผ่วออกมา เจี้ยนสือซึ่งบัดนี้มีสีหน้าน่ากลัวไม่แพ้กันไม่โต้ตอบสิ่งใด ทำเพียงออกแรงกระแทกให้คมดาบนั้นแทงร่างของม่านฉีให้มากขึ้นกว่าเดิม
ปีศาจหนุ่มคว้าคมดาบที่พุ่งทะลุอกไว้มั่น ออกแรงดันกลับคล้ายจะต่อกร ทว่าก็หาได้กระทำโดยง่าย เหตุเพราะมีแขนเหลือเพียงข้างเดียว อีกอย่าง... ดาบที่แทงทะลุหน้าอกเขามานั้น มันแทงทะลุอกด้านซ้าย
หัวใจ...
หัวใจของข้า!
ม่านฉีกรีดร้องในใจ ความปวดปลาบที่แล่นไปทั่วสรรพางค์กายทำให้เขาล้มคุกเข่าโดยไม่รู้ตัว
ข้า...นี่ข้าจะมาจบสิ้นเท่านี้?
อดคิดไม่ได้เลยว่าเหตุใดชะตากรรมถึงได้น่าอดสูนัก หากแต่เจี้ยนสือก็ไม่รามือ อีกทั้งไม่เห็นใจ
ในเมื่อมันเป็นผู้ทำร้ายยอดดวงใจของเขา ก็ไม่ควรที่จะมีลมหายใจอยู่บนโลกนี้อีก!
“ลาก่อนม่านฉี”
เจี้ยนสือว่าออกมาสั้นๆ เพียงเท่านั้น ก่อนที่จะใช้ดาบในมืออีกข้างตวัดตัดศีรษะของปีศาจบุตรมังกรวารีจนขาดกระเด็น
ไร้ซึ่งเสียงร้องโหยหวนใด มีเพียงเสียงของหนักๆ หล่นลงบนผืนทะเลทรายดังตุ้บ แต่นั่นก็ดังประหนึ่งฟ้าร้องกัมปนาท เหล่าสมุนปีศาจที่อาละวาดอยู่พากันกระถดถอยด้วยความหวาดกลัวอย่างรวดเร็ว ผู้เป็นหัวหน้าสิ้นไปแล้ว พวกมันจะทำสิ่งใดได้ ขณะที่เหล่าเทพอสูรพากันร้องเฮเมื่อประจักษ์ว่าพวกตนจะได้กลับคืนสู่สวรรค์ พลันความฮึกเหิมก็เอ่อล้น ไล่ล่าสังหารสมุนปีศาจเสียจนไม่เหลือซาก
ความน่ายินดีพร่างพรายไปทั่วทุกบริเวณ ท้องฟ้ามืดมิดเปิดทันใดราวกับว่าเง็กเซียนฮ่องเต้เปิดประตูสวรรค์ต้อนรับให้เทพอสูรทุกตนกลับคืนมา เสียงร้องขอพรดังกึกก้อง โดยส่วนมากเป็นการร้องขอให้ตนกลับคืนสู่การเป็นเทพ ก่อนที่แสงจันทร์ซึ่งสาดส่องลงมายังพื้นดินจะบันดาลให้เหล่าเทพอสูรที่ร้องขอพรกลับคืนร่างเดิมกันถ้วนหน้า
สิ่งนั้น...เป็นสัญญาณว่าการลงทัณฑ์ตั้งแต่อดีตกาลนั้นได้จบสิ้นลงแล้ว
หากแต่เทียนอี้ไม่สนใจที่จะร้องขอพรใด เขายังคงเป็นกังวลกับอาการของคนรัก เมื่อเห็นว่าสิ้นตัวปัญหาไปแล้ว เขาก็รีบวางซิ่นเฉิงนอนราบ มือแตะเบาๆ ที่ซีกหน้าคร้ามซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยคราบโลหิตของซิ่นเฉิง
“เฉิงเฉิง ได้ยินข้าไหม”
น้ำเสียงนั้นเรียกสติของซิ่นเฉิงที่มีอยู่เลือนรางไป ซิ่นเฉิงปรือตามอง พยายามจะขยับริมฝีปากที่แห้งผากเอ่ยเรียกคนตรงหน้า
“ทะ...เทียน...”
“ข้าอยู่นี่... ข้าอยู่นี่แล้ว”
ไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดจบ เทียนอี้ก็รีบโพล่งด้วยเกรงว่าการเปล่งเสียงจะทำให้ซิ่นเฉิงเจ็บปวดมากกว่าเดิม หากแต่ซิ่นเฉิงนั้นดื้อด้านอย่างไรก็ดื้อด้านอย่างนั้น ในที่สุดก็เปล่งเสียงเรียกออกไปจนได้
“เทียน...ทะ...เทียนอี้...”
ไม่เพียงเรียกเปล่า ยังจะพยายามยกมือมาจับอีกฝ่าย เทียนอี้รีบคว้ามือของคนตรงหน้าไว้ บีบเบาๆ เมื่อรู้สึกว่ามือของซิ่นเฉิงเย็นเยียบราวกับซากศพ
“ข้าอยู่นี่...”
เทียนอี้ย้ำคำราวกับว่าไม่อยากได้ยินซิ่นเฉิงพูดอีกแล้ว ขณะที่อีกฝ่ายเองมีเรื่องอยากจะบอกกับคนตรงหน้ามากมาย
อยากบอก...
อยากบอกเหลือเกิน...
อยากบอกว่าเขานึกคิดสิ่งใด อยากบอกว่าเหตุใดถึงได้จากมา อยากจะบอกทุกอย่างที่เทียนอี้ไม่เคยรับรู้
ทว่า...สภาพร่างกายเลวร้ายเกินกว่าจะปริปากพูดสิ่งใดได้อีกแล้ว เพียงอ้าปากก็กระอักโลหิตออกมากองใหญ่ เทียนอี้ใจหายวาบ เขาไม่เคยประหวั่นใจกับสิ่งใดได้มากเท่ากับการได้เห็นซิ่นเฉิงเป็นเช่นนี้เลย
“เจ้าจะต้องไม่เป็นไร ข้าจะพาเจ้ากลับไปรักษา”
ว่าแล้วก็หมายจะพาซิ่นเฉิงกลับแคว้นเฟิงฝู ที่แคว้นนั้นมีทั้งหมอและโอสถดีอยู่ หรือบางทีแม่ทัพนายกองบางคนอาจจะยังมีน้ำอมฤตหลงเหลืออยู่ในจวนบ้างก็เป็นได้ โดยที่เทียนอี้หาได้คิดเลยว่ากว่าจะกลับไปถึงยังที่หมาย ตอนนั้นซิ่นเฉิงคงจะเหลือแต่ร่างไร้วิญญาณแล้ว
มีเพียงเจี้ยนสือเท่านั้นที่คิด ทว่าก็หาได้พูดพร่ำสิ่งใด เพราะเขาเองก็อึ้งงันจนมิอาจขยับกาย
เขาจะต้องทำอย่างไร?
ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยซิ่นเฉิงได้!?
เห็นเทียนอี้หมายจะอุ้มซิ่นเฉิงขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนก็ไม่ห้ามปราม จะมีก็แต่เพียงซิ่นเฉิงเท่านั้นที่ส่ายหน้าเบาๆ
“มะ...ไม่...ไม่ต้อง...”
เทียนอี้ชะงักกึก “เจ้า...”
“มะ...ไม่ต้องรักษาข้า ขะ...ข้ามิอาจทนไหวอีกแล้ว”
ได้ฟัง ใจของสองเทพก็สั่นไหวราวกับเปลวเทียนต้องลม สภาพบาดแผลที่ซิ่นเฉิงได้รับนั้นก็พอจะเข้าใจอยู่ว่าเหตุใดจึงไม่ไหว แต่พอได้ฟังก็มิอาจจะยอมรับความจริงได้
“ไม่ เจ้าต้องไม่เป็นอะไร ข้าสัญญาว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไร!”
เทียนอี้ไม่ฟังคำพูดใดอีกแล้ว อุ้มซิ่นเฉิงไว้ในอ้อมแขน รีบกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปทันที ปากก็ร้องเรียกกองทหารแพทย์ไปด้วย
“ท่านหมอ! ท่านหมออยู่ไหน! รีบมาดูอาการซิ่นเฉิงเร็วเข้า!”
ความโกลาหลเกิดขึ้นในบัดดล เทพอสูรในสังกัดกองทหารแพทย์ที่กลับคืนสู่ร่างเดิมแล้วรีบพากันกุลีกุจอมาดูอาการ ดูอยู่ได้ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้าช้าๆ ให้กับแม่ทัพใหญ่เป็นคำตอบเป็นเชิงว่าไม่มีหวังแล้ว
เทียนอี้เห็นก็ตวาดกร้าวทันที
“รักษาไม่ได้ได้อย่างไร! เจ้าต้องรักษา! ต้องรักษาซิ่นเฉิงให้ได้!”
คำสั่งนั้นสร้างความลำบากใจให้ผู้ฟังยิ่งนัก แต่ก็มีผู้กล้าออกปากบอกไปตามตรง
“บาดแผลฉกรรจ์เพียงนี้ มิอาจรักษาขอรับท่านแม่ทัพเทียนอี้”
สีหน้าของเทียนอี้ดูแย่ยิ่งกว่าเดิมเสียอีก เขาไม่ยอมหรอก ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องช่วยชีวิตซิ่นเฉิงให้ได้
“พวกเจ้าต้องรักษาให้ได้! รักษาเขาประเดี๋ยวนี้!”
ไม่เคยมีครั้งใดเลยที่เทียนอี้ไร้เหตุผลและใช้อารมณ์เช่นนี้ ท่าทางนั้นทำเอาหมิงจูและพ่อบ้านเหลียงต้องเข้ามาห้ามปราม
“ใจเย็นก่อนเถิดเทียนอี้ เจ้านั่นน่ะ ไม่รอดแล้ว”
“เจ้าหุบปากไปเลย! หากพูดจาไม่เป็นมงคลเช่นนี้ก็อย่าพูดออกมา!”
เป็นหมิงจูที่ถูกตวาดบ้างแล้ว เทียนอี้ไม่ฟังผู้ใด และจะไม่ฟังด้วย
ได้! ในเมื่อที่แห่งนี้หาได้มีผู้ใดประสงค์จะช่วยซิ่นเฉิง เขาก็จะกระทำของเขาเองแต่ผู้เดียว!
แม่ทัพใหญ่รีบอุ้มอีกฝ่ายตรงไปยังอาชาตัวเขื่อง หมายจะกลับไปยังแคว้นเฟิงฝูให้เร็วที่สุด ขณะที่เจี้ยนสือเห็นแล้วก็ไม่รอช้า รีบตามหลังไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะคว้าบังเหียนม้าตัวนั้นให้อยู่นิ่งๆ เทียนอี้มองหน้าสหาย พลันเจี้ยนสือก็เอ่ยขึ้นมา
“ชีวิตของเจ้าแมวป่าตัวนั้นสำคัญยิ่ง รีบไปเถิด ข้าจะไปกับเจ้า”
ในเวลานี้ สองสหายก็สามารถสามัคคีกันได้ ถึงเทียนอี้จะรู้ว่าเป็นเพราะเจี้ยนมือเองก็มีใจให้แก่ซิ่นเฉิง แต่ก็หาได้คิดการใดให้มากความในตอนนี้แล้ว รีบปีนขึ้นไปบนหลังม้า เอนกายของชายหนุ่มให้พิงกับร่างของตน ก่อนที่จะควบม้าออกไปโดยมีเจี้ยนสือควบไล่ตามมา
แสงจันทร์ส่องสว่างเปิดทางให้เห็นพื้นที่โดยรอบ ลมเย็นที่โชยปะทะใบหน้าปลุกให้ซิ่นเฉิงพอจะรู้สึกตัวอยู่บ้าง
หากแต่นั่น...กลับเป็นสติสัมปชัญญะสุดท้าย
เขารู้ตัวแล้วว่าสังขารมิอาจทนความเจ็บปวดนี้ได้ไหว สายตาพร่าเลือนจับจ้องยังใบหน้าคร้ามของเทียนอี้ที่แลดูตึงเครียดก่อนที่หยดน้ำตาสีใสจะไหลออกจากดวงตา
โทษทัณฑ์ที่เป็นเทพแต่ริอ่านมีรัก บัดนี้กลับย้อนคืนมาพรากพวกเขาออกจากกันในชาตินี้อีกครั้งแล้ว
แต่ในชาตินี้...
ในชาตินี้ไม่เหมือนเดิม เขาไม่ได้รักเจี้ยนสืออีกต่อไปแล้ว หากแต่หัวใจของเขานั้นถูกยกให้กับคนตรงหน้า
“ทะ...เทียนอี้...”
น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยเรียก เทียนอี้หลุบตาลงมองก็เห็นว่าคนในอ้อมแขนจ้องหน้าเขาด้วยดวงตาปรือจนแทบปิดอยู่
“ขะ...ข้า...”
เสียงนั้นขาดห้วงและแผ่วเบา ทว่าอีกฝ่ายกลับได้ยินชัด โดยเฉพาะประโยคถัดไปที่หลุดออกมาจากริมฝีปากแห้งผากของซิ่นเฉิง
“ข้ารักเจ้า...”
สิ้นเสียงก็หมดลมหายใจ ร่างแกร่งค่อยๆ หมดแรงลงทีละน้อยก่อนจะแน่นิ่ง เทียนอี้เบิกตาโตด้วยตกใจสุดกำลัง มือทั้งสองที่กุมบังเหียนไว้อยู่ชะงักหยุดฝีเท้าม้าทันที ก่อนที่จะร้องเรียกคนในอ้อมแขน
“ซิ่นเฉิง”
“...”
“ซิ่นเฉิง เจ้าได้ยินข้าไหม ซิ่นเฉิง!”
“...”
“ซิ่นเฉิง!”
เสียงนั้นเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เทียนอี้ดูจะควบคุมสติของตนไว้ไม่ได้ มือเขย่าร่างของคนรักที่แน่นิ่งไปหลายต่อหลายครั้ง ทำเอาเจี้ยนสือที่ควบม้าไล่ตามหลังมาหยุดเทียบข้าง ครั้นมองไปยังใบหน้าซีดเผือดของมนุษย์หนุ่ม เขาก็ชาวาบไปทั้งกายพร้อมกับความปวดร้าวที่แล่นพล่านเข้ามายังหัวใจ
ซิ่นเฉิง... เจ้าแมวป่าของเขา... จากไปแล้ว
“ซิ่นเฉิง! ข้าเรียกเจ้าได้ยินหรือไม่! ซิ่นเฉิง!”
“เทียนอี้... เขาตายแล้ว”
เจี้ยนสือจำต้องเอ่ยขัดขึ้นมา เทียนอี้หันขวับไปมองสหาย พลันก็มีสีหน้ากราดเกรี้ยว
“เจ้ากล้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร! ซิ่นเฉิงไม่เป็นอะไร ซิ่นเฉิงยัง...”
“เขาตายแล้วเทียนอี้! เขาตายแล้ว! ซิ่นเฉิงตายแล้ว!”
เจี้ยนสือตะเบ็งสวน เขาเองก็ไม่อยากจะยอมรับความจริงนี้เหมือนกันนั่นแหละ แต่ก็มิอาจจะหลีกเลี่ยงได้
สิ้นเสียงเขา เทียนอี้ก็นิ่งงันไป
ใช่... เจี้ยนสือพูดถูก ในอ้อมแขนเขาตอนนี้หาใช่ซิ่นเฉิงที่มีเลือดเนื้ออีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นซากศพไร้วิญญาณเท่านั้น
ทำไม...
ทำไมกัน! สวรรค์ถึงได้ลงทัณฑ์เขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพียงนี้!
ความแข็งแกร่งที่เคยมีมลายหายสิ้นราวกับหินผาที่ถูกน้ำฝนกัดเซาะเสียป่นปี้ เทียนอี้ไม่อาจทนรับความเจ็บปวดนี้ได้ไหว เมื่อครั้งที่หลิวซูตาย เขาก็ปวดใจจนไม่สามารถกระทำสิ่งใดได้แล้ว ในครั้งนี้เขามีรักใหม่ สวรรค์ก็ยังมาพรากคนรักของเขาไปอีก
ทำไมถึงไม่เห็นใจกันบ้าง!
“พอพระทัยแล้วสินะองค์เง็กเซียน! พระองค์พอพระทัยแล้วใช่ไหม!”
เทียนอี้แผดเสียง เงยหน้าขึ้นบริภาษผู้เป็นใหญ่ในแดนสวรรค์ จากนั้นก็ร่ำไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น สองแขนโอบร่างเย็นเยียบของซิ่นเฉิงไว้แน่น
เขาจะต้องทำอย่างไร... ต้องทำอย่างไรถึงจะได้มนุษย์ผู้นี้คืนมา?
ภาพนั้นช่างน่าอดสูแก่เจี้ยนสือที่มองอยู่นัก เขาทนไม่ได้ถึงกับต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ขอบตาร้อนผะผ่าวราวกับมีผู้ใดมาจุดเทียนลนอย่างไรอย่างนั้น
เขาเองก็เสียใจไม่แพ้กัน หากแต่มิอาจเสียใจมากกว่าได้ ไม่เช่นนั้นทั้งเขาและเทียนอี้จะไม่เป็นผู้เป็นคนกันทั้งคู่
หากจะมีผู้ใดวิปลาส ก็เป็นเทียนอี้แต่เพียงผู้เดียวพอแล้ว...
เทียนอี้วิปลาสจริงอย่างที่เจี้ยนสือคิด เขาพร่ำก่นด่าสวรรค์สลับกับร่ำไห้คำรามไม่หยุดหย่อน ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าที่จะสงบสติอารมณ์ลงได้
ดวงตาสีทองอำพันจับจ้องไปยังดวงจันทร์ที่สาดทอแสงลงมา...
การเป็นเทพจะมีความหมายอะไรกันถ้าหากเขาต้องสูญเสียคนรักไปครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้?
พลันก็นึกชิงชังการเป็นเทพสวรรค์ขึ้นมา
ปราบปีศาจได้แล้วจะได้คืนสู่สวรรค์ในฐานะเทพอย่างนั้นหรือ? ฮึ! ไม่เอาหรอก เอาชีวิตของซิ่นเฉิงคืนมายังดีเสียกว่า!
คิดเช่นนั้นแล้วก็พลันฉุกใจขึ้นมาได้
ได้กลับคืนเป็นเทพอย่างนั้นหรือ? หากจำไม่ผิด องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ได้มีรับสั่งว่าจะประทานพรให้แก่เทพอสูรทุกตน เขายังไม่ได้ขอพรใด ถ้าเช่นนั้น...
สายตาเหลือบมองยังร่างไร้วิญญาณของซิ่นเฉิงทันที
พรที่เขามี ...เขาจะขอมอบมันให้กับมนุษย์ผู้นี้
จะมอบให้ทั้งหมด ต่อให้เขาต้องสูญสิ้น เขาก็ยินดีหากได้ชีวิตของซิ่นเฉิงกลับคืน
“ข้าขอ... ขอให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อ...ซิ่นเฉิง ข้าขอให้เจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อข้า...”
สิ้นเสียงก็โน้มใบหน้าลงต่ำ ประทับจูบแผ่วเบาบนริมฝีปากซีดเผือดของซิ่นเฉิงราวกับจะส่งพรนั้นไปให้กับคนตรงหน้า ครั้นถอนริมฝีปากออกมา แสงสว่างก็ประกายวาบโอบอุ้มร่างของซิ่นเฉิงเอาไว้ เจี้ยนสือหันกลับมามองด้วยอารามตกใจ ก่อนที่จะโพล่งขึ้นเมื่อเห็นว่าร่างกายของสหายค่อยๆ เลือนรางลงทีละน้อย
“เทียนอี้... เจ้า...”
เทียนอี้ชำเลืองมองไปทางสหาย ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นน้อยๆ ราวกับรู้ว่าต่อจากนี้จะเกิดสิ่งใดขึ้น
“เจี้ยนสือ ต่อจากนี้ข้าขอฝากด้วย”
เลือนรางจนกลายเป็นฝุ่นผงธุลีและกระจายหายไปตามสายลมที่โบกโบย ทิ้งไว้เพียงซิ่นเฉิงที่ฉับพลันก็หายใจเฮือกออกมา ก่อนที่เขาจะลืมตาโพลง กวาดมองไปรอบๆ ด้วยประหลาดใจว่าตนมาอยู่บนหลังม้าได้อย่างไร ก็ในเมื่อก่อนหน้านี้เขา...
สายตาปะทะเข้ากับเจี้ยนสือซึ่งยังคงมองอยู่ข้างๆ ก่อนจะเปล่งเสียง
“เจี้ยนสือ?”
หากแต่พอไม่เห็นใครอีกคนที่น่าจะอยู่กับเขามากกว่าคนตรงหน้า ปากก็ร้องถามทันควัน
“แล้วเทียนอี้ล่ะ เทียนอี้อยู่ไหน”
เจี้ยนสือหนักใจนักที่จะพูดความจริงออกไป เขาได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกสับสนยิ่ง ทั้งดีใจที่เห็นซิ่นเฉิงฟื้นคืนดังเดิม ทั้งเสียใจที่ต้องสูญเสียสหายซึ่งร่วมทุกข์ร่วมสุขไปตลอดกาล
“ว่าอย่างไร เทียนอี้อยู่ไหน!”
เห็นไปพูดสักที ซิ่นเฉิงก็ถามออกมาอย่างร้อนรน รู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดี เจี้ยนสือทอดถอนหายใจ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เขา...ก็อยู่กับเจ้าแล้วอย่างไรล่ะ”
ซิ่นเฉิงไม่เข้าใจนัก แต่ก็รับรู้ได้ว่าสิ่งที่เจี้ยนสือบอกนั้นไม่ใช่เรื่องดีแน่ ขณะที่เจี้ยนสือเหลือบมองไปยังมวลไอบางอย่างที่ก่อรูปก่อร่างขึ้นอยู่ทางด้านหลังของซิ่นเฉิง มวลนั้นก็คือ...
...เทียนอี้
หากแต่ซิ่นเฉิงไม่เห็น มีเพียงเหล่าเทพและปีศาจเท่านั้นที่มองเห็นได้ กระนั้น...เขาก็กลับมาแล้ว
...กลับมาในสถานะอากาศธาตุ กลับแดนสวรรค์ก็ไม่ได้ ไปสู่ปรโลกก็ไม่ได้ เวียนว่ายอยู่ในระหว่างสามโลกอย่างไม่มีที่สิ้นสุดชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่เทียนอี้ก็ยินดียิ่งที่จะอยู่ในสถานะนี้
รอยยิ้มผุดพรายขึ้นที่มุมปากของอดีตแม่ทัพสวรรค์ สายตาจับจ้องไปยังคนรักด้วยสุขล้ำที่ได้คืนชีวิตให้กับคนตรงหน้า
ต่อให้เขาต้องสละทุกสิ่ง เขาก็ยินดีหากมันเป็นไปเพื่อซิ่นเฉิง
พรจากสวรรค์ประการนั้น...ส่งผลให้เทียนอี้สถิตอยู่กับผู้เป็นที่รักตราบนิจนิรันดร์แล้ว
------------------------------------------
มาต่อให้แล้วค่ะ หายไปนานเลย ฮา เดี๋ยวจะมาลงให้จนจบนะคะ เหลือตอนหน้ากับบทส่งท้ายก็จบละ ที่เหลือจะเป็นตอนพิเศษ ไปติดตามต่อในเล่มเน้อ
ลบข้อความการประกาศขายนิยายออกนะคะ
เรื่องยังอยู่ห้องนิยาย นิยายยังลงไม่จบ ห้ามประกาศขายในกระทู้ทั้งสิ้น
BaoBao