.:*・สร้างรัก・*:. วันที่10
แสงแดดอันร้อนระอุก่อให้เกิดการบิดเบือนของแสงตลอดการนั่งรถทัวร์ไปยังดอยในจังหวังแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของประเทศ การประชุมถูกจัดขึ้นในอาทิตย์ก่อนหน้านี้เพื่อบอกถึงวัตถุประสงค์ที่ไปรวมถึงสิ่งต่างๆที่จำเป็นต้องรับรู้
แน่นอนว่ามีเพียงคนเดียวที่สร้างความแตกตื่นให้กับทุกคนไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่หรือรุ่นน้อง ปริ้น ออฟ อาร์ทของมหาวิทยาลัยจะไปค่ายอาสาด้วย ทุกสายตาล้วนจับจ้องพร้อมด้วยเสียงซุบซิบในระยะประชิดจนผมต้องเอื้อมมือไปจับแขนอีกฝ่ายไม่ให้ลุกหนีไปกลางครัน
เสียงซุบซิบเหล่านั้นไม่ได้นินทาแต่กำลังกรี๊ดกร๊าดที่จะได้เข้าค่ายร่วมกับคนดังของมหาลัย ช่วงก่อนปล่อยหลังจบการประชุมมีรุ่นพี่เดินเข้ามาคุยกับฌอนว่าด้วยเรื่องของการไปดอย เห็นว่าอยากให้ฌอนวากรูปเป็นที่ละลึกให้กับที่นั่นหน่อย แต่ฌอนเองก็บอกแค่ว่า...
‘ถ้าผมมีอารมณ์จะวาดให้ละกัน’
ก็สมกับเป็นฌอนดี
“ฌอน กินทาโร่ไหม”ผมยื่นถุงทาโร่ไปตรงหน้าฌอนโดยที่สายตามองไปยังทิวทัศน์ด้านข้างของถนน
พวกเราเดินทางกันตั้งแต่เมื่อคืนจนมาถึงตัวจังหวัดในช่วงเช้า จากนั้นรถก็แล่นเข้าไปในตัวจังหวัดและตอนนี้ก็กำลังอยู่ในแถบภูเขา สองข้างทางเต็มไปด้วยธรรมชาติสีเขียว
คาดว่าอีกไม่นานคงจะถึงที่หมาย
“กินไม่หยุดเดี๋ยวตอนขึ้นเขาก็อ้วกหรอก”ฌอนหันมาบ่น
“ห่วงกันก็บอกมา”
“อืม ห่วง”ผมที่คิดจะกวนกลับถูกอีกฝ่ายทำให้ใจเต้นไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
ความรู้สึกมันเริ่มเด่นชัดขึ้นทุกทีซึ่งนั่นทำให้ผมกลัวที่จะยอมรับมัน
ถ้าผมยอมและตอบรับความรู้สึกนั้นมันจะมีอะไรเปลี่ยนไปรึเปล่า
ผมชอบที่เป็นอยู่ในตอนนี้แม้จะมีอึดอัด เขินอายหรือโมโหบ้างเป็นบ้างครั้งแต่โดยรวมผมก็มีความสุขกับช่วงเวลาแบบนี้
ไม่อยากให้อะไรเปลี่ยนไป
แต่ผมก็รู้ดีว่าทุกอย่างมันย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปตามวันและเวลา
มันอยู่ที่เมื่อเปลี่ยนไปเราจะทำยังไงต่อ
“เปล่า...นี่น้ำเปล่า”เสียงเรียกพร้อมแรงเขย่าเรียกสติให้ผมหันไปมองหน้าฌอนงงๆ
“อะไร เสียงดังนะเดี๋ยวคนอื่นก็มองหรอก”
“คนอื่นลงไปหมดรถแล้วเนี่ย เหม่ออะไรอยู่”
“ห๊ะ? จริงด้วย ทำไมไม่เรียกให้เร็วกว่านี้เล่า”ผมลุกขึ้นมองรอบๆ ภายในรถตอนนี้มีเพียงผมและฌอนเท่านั้น
“เรียกเป็นสิบรอบแล้ว ไม่สบายรึเปล่า”ฌอนถามกลับด้วยใบหน้าห่วงๆ
“ไม่เป็นไร แค่คิดอะไรนิดหน่อย”
“คิดอะไร บอกได้ไหม”สายตาที่จ้องมานั่นทำให้ผมได้แต่ส่งยิ้มตอบกลับไป
“มันเป็นสิ่งที่ฉันควรคิดด้วยตัวเอง”ตอบเพียงแค่นั้นผมก็ลงจากรถก่อนจะตามมาด้วยฌอน
ทันทีที่ก้าวถึงพื้นอากาศเย็นๆก็แผ่ซ่านจนต้องกระชับเสื้อแขนยาวให้แน่นขึ้น
นี่มันหนาวกว่าที่คิดไว้อีกนะเนี่ย
“เอาล่ะทุกคน เอากระเป๋าไปไว้ที่เต็นท์แล้วแยกย้ายทำตามหน้าที่ที่จัดไว้ได้เลย”หัวหน้าของค่ายอาสาครั้งนี้คือพี่หมู เป็นพี่ปีสี่ของคณะมนุษย์ศาสตร์ซึ่งเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดี เข้ากับคนง่าย
“เต็นท์นี่ชายหญิงรวมกันได้ใช่มะ”รุ่นพี่อีกคนซึ่งเป็นเหมือนรองหัวหน้าหันไปถามเสียงกวน
“อยากโดยผู้หญิงเตะก็ตามใจ หน้าเต็นท์จะมีป้ายอยู่ว่าสำหรับผู้ชายหรือผู้หญิง ทุกคนสามารถเลือกเต็นท์ได้ตามสบายถึงจะมีแค่5เต้นก็เถอะนะ ฮ่าฮ่า”
“โห่”หลายคนส่งเสียงโห่ตอบกลับไม่ให้พี่หมูต้องขำอย่างเดียวดาย
“เต็นท์ไหนดีฌอน”ผมหันไปถามคนด้านหลัง
“ก็เหมือนๆกันหมด จะอันไหนก็ได้”
“งั้นอันนี้ละกัน”ผมเลือกเต็นท์ที่ใกล้สุดแล้วเปิดเข้าไปด้านใน เต็นท์นี่ถึงจะมีแค่5เต็นท์แต่ขนาดของมันนั้นใหญ่มากพอจะจุได้เต็นท์ละ20คนเลยล่ะ
ด้านในของเต็นท์ถูกหลายคนจับจองที่นอนกันเกือบเต็มเหลือเพียงตรงกับกับริมด้านในสุดเท่านั้น
“ตรงริมไหม”ผมเสนอเพราะรู้ว่าฌอนไม่ชอบคนเยอะๆให้ตอนตรงกลางคนไม่ชอบเท่าไหร่
“อืม”ฌอนพยักหน้าตอบแล้วหอบกระเป๋าไปวางจองไว้ด้านริม
ผมเองก็วางกระเป๋าโดยเว้นที่ห่างจากฌอนเล็กน้อย
ทุกคนได้มีการแบ่งหน้าที่ตั้งแต่การประชุมครั้งก่อนแล้วว่าใครต้องทำอะไรโดยจะมีตั้งแต่สร้างห้องสมุด ทำอาหารไปจนถึงเป็นอาจารย์ให้กับโรงเรียนเล็กๆบนดอยแห่งนี้
พวกเรานั้นถูกรับหน้าที่ให้เป็นอาจารย์ ความจริงคือพวกรุ่นพี่บอกว่าฌอนน่าจะเหมาะกับการเป็นอาจารย์ส่วนผมนั้นเป็นเหมือนคนถูกบังคับให้มาร่วมด้วยทั้งๆที่ผมอยากไปสร้างห้องสมุดไม่ก็ทำอาหารมากกว่าแท้ๆแต่เพราะฌอนบอกไปว่าต้องให้ผมทำหน้าที่เดียวกันก็เลยต้องเป็นเช่นนี้
หน้าที่นี้ไม่ได้มีเพียงแค่ผมแต่ยังมีรุ่นพี่รุ่นน้องคนอื่นๆอีกโดยจะผลัดกันสอบคนละสามชั่วโมงซึ่งชั่วโมงแรงหรือก็คือ11โมงนี้เป็นเวลาของผมและฌอนทำการสอน
อาคารหลังเล็กชั้นเดียวถูกสร้างขึ้นด้วยปูนและคอนกรีตอย่างง่ายๆเป็นรูปทรงมาตรฐานที่สามารถพบได้ทั่วไป ด้านหน้าอาหารมีบันไดสำหรับที่ตอนนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนรออยู่
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ”ผมไหว้ตอบการทักทายนั้นด้วยรอยยิ้ม คาดว่าผู้หญิงคนนี้คงเป็นอาจารย์ประจำ
“ยินดีที่ได้รู้จัก เรียกฉันว่าพี่แยมก็ได้นะ ที่นี่มีอาจารย์แค่ฉันคนเดียวเลยดีใจมากที่จะมีคนมาช่วยสอน”พี่แยมพูดด้วยรอยยิ้ม
“แค่สิบวันเองครับ”
“ถึงจะแค่นั้นก็พอแล้ว เด็กที่นี่ชอบการเรียนและทำกิจกรรมในห้องมายังไงจะพาไปแนะนำนะ ตามมาสิ แล้วอีกคนชื่ออะไรเอ่ย?”ก่อนจะเดินเข้าไปพี่แยมก็หันไปถามฌอนที่ยังเงียบอยู่
“ฌอน ฮิลลารี่ครับ”ฌอนแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน? ไม่สิ ลูกครึ่งสินะพูดไทยได้ชัดมากเลย”
“ครับ ผมเป็นลูกครึ่ง”
“ดีเลย หวังว่าพวกเธอจะช่วยสอนภาษาให้เด็กๆด้วยนะ”คำพูดของพี่แยมทำให้ผมได้แต่หัวเราะแหะๆกลับไปให้
อยากจะบอกเหลือเกินว่าภาษาอังกฤษผมยังเอาตัวเองไม่รอดเลยจะให้สอนคนอื่นไม่มีทาง
พี่แยมพาเราเดินเข้าไปในอาคารซึ่งมีห้องเพียงห้องเดียว พอเปิดประตูเข้าไปก็พบกับเด็กอายุไม่น่าเกิด10ขวบอยู่ประมาณ20คนได้ ดูจากหลายๆคนผมคิดว่าน่าจะมีอายุไม่เท่ากัน
แปลว่าเรียนรวมสินะ
“เด็กๆนั่งที่จ้า วันนี้จะมีพี่ๆมาสอนแทนอาจารย์นะ แนะนำตัวให้เด็กๆรู้จักกันเลยดีกว่า”พูดจบก็ส่งสายตามายังผมเป็นเชิงบอกให้แนะนำตัว
“ครับ สวัสดีครับ พี่ชื่อปภาวิน ศรีมาลา เลขประจำตัว เอ้ย ไม่ต้องนี่”ผมรีบยกมือปิดปากเมื่อกำลังจะบอกเลขประจำตัวออกไป การกระทำของผมส่งผลให้เด็กทั้งห้องหัวเราะลั่น
“หึ...”ไม่ใช่เด็กที่หัวเราะแต่ฌอนเองยังมองมาด้วยสายตาขบขัน
“ไม่ต้องมาขำเลย คนมันตื่นเต้นนี่”
“ไม่แนะนำตัวต่อแล้ว?”เสียงของฌอนทำให้ผมนึกได้ว่ายังแนะนำตัวไม่จบ
“เอ่อ พี่ชื่อปภาวิน อ๊ะ บอกไปแล้วนี่...เรียกพี่ว่าพี่น้ำก็ได้นะ ยินดีที่ได้สนิทกับทุกคนนะ”ผมแนะนำตัวต่อจนจบแล้วสะกิดฌอนเป็นเชิงให้พูดต่อ
“ฌอน ฮิลลารี่ เรียกพี่ฌอนก็ได้”การแนะนำตัวเพียงสั้นๆดูเหมือนจะเรียกความสนใจของเด็กทั้งห้องได้ อาจเพราะมีทั้งสีผมและสีตาไม่เหมือนคนไทยเลยเป็นจุดสนใจได้ง่าย อีกทั้งชื่อยังออกเสียงแปลกๆจนเด็กหลายคนถึงกับเอียงคอ
“ทั้งคู่แนะนำตัวแล้วก็เริ่มการสอนได้เลย ฉันขอตัวก่อนล่ะ”
“จะไม่อยู่ดูเหรอครับ”ผมถามกลับ
นึกว่าจะอยู่คุมซะอีก
“ไม่หรอกจ้า จะสอนหรือทำกิจกรรมอะไรก็เต็มที่เลย”บอกเสร็จก็เดินออกจากห้องไปด้วยรอยยิ้มปล่อยให้ผมและฌอนยืนนิ่งอยู่หน้าห้องเรียนกันสองคน
เด็กๆกว่า20คนต่างก็นั่งเงียบๆรอดูปฏิกิริยาของพวกผมว่าเป็นยังไงต่อซึ่งผมเองตอนนี้ก็เริ่มขาสั่นเพราะไม่ถูกกับสายตากว่า20คู่ที่จ้องมา
ขนาดออกไปพูดหน้าชั้นยังไม่ค่อยกล้าเลย
“เอายังไงดีฌอน”ผมกระซิบถามคนข้างๆเสียงเบา
“แล้วแต่นายสิ”
“อย่ามาโยนให้กันนะ”ผมเสียงดังขึ้นเล็กน้อยเมื่อถูกปัดความรับผิดชอบ
“ดูเข้ากับเด็กได้ดีนี่”
“ใช้อะไรมาตัดสินกัน”
“ก็พวกเขาหัวเราะนาย”
“นายก็หัวเราะเหมือนกันแหละน่า”ผมสวนกลับ
“ไม่ให้ขำได้ไงเล่นจะบอกรหัสประจำตัว”
“ฌอน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า พวกพี่เขาทะเลาะกันแหละ”ระหว่างกำลังเถียงกันเสียงของเด็กให้ห้องก็ดังขึ้น
“จริงด้วยๆ ทะเลาะกัน”
“ไม่ถูกกันเหรอคะ?”
“แม่ผมเคยบอกว่าทะเลาะกันไม่ดีนะ”
และแล้วความเงียบภายในห้องก็จบลง เด็กกว่า20คนต่างส่งเสียงเจี๊ยวจ้าวจนผมไม่รู้จะทำยังไงต่อ
พอหันไปมองฌอนก็พบว่าอีกฝ่ายเบือนหน้าหนีเข้ากำแพงไปแล้ว
“พวกพี่ไม่ได้ไม่ถูกกันหรอก ความจริงสนิทกันม๊ากมาก เนอะ”ผมใช้ข้อศอกกระทุ้งแขนฌอน
“งั้นเหรอ”
“ฌอน”คำตอบที่ได้ทำเอาเด็กทั้งห้องหัวเราะขึ้นอีกครั้ง
“พี่น้ำน่าสงสารจัง”
“อย่าคิดมากนะครับ”
มันคงจะดีกว่านี้ถ้าผมไม่ต้องมาถูกเด็กปลอบ
ฌอนก็นะทำไมชอบมากวนกันตลอดเนี่ย
ถ้าจะเล่นกันแบบนี้ก็จัดให้
“เอาเป็นว่าจะให้พี่ฌอนสอนการทักทายเป็นภาษาอังกฤษละกันนะ!”ผมตะโกนพร้อมรอยยิ้มบอกเด็กทั้งห้อง
“เดี๋ยวสิเปล่า...”
“อย่าที่เห็นว่าพี่ฌอนนั้นเป็นครึ่งดังนั้นเรื่องภาษาหายห่วงได้เลย รบกวนด้วยละกันนะ”ผมเดินไปแตะไหล่อีกฝ่ายเบาๆพร้อมยกยิ้มขึ้น
“คิดจะเอาคืนรึไง”ฌนถามเสียงเบา
“พูดอะไร เด็กๆก็ควรเรียนรู้ภาษาติดตัวไว้ใช้สิ”
“จะได้ไม่เหมือนายที่แค่คำง่ายๆยังออกเสียงไม่ถูกสินะ”
“หาเรื่องรึไงฌอน”
“หึ...เดี๋ยวจะเอาคืนบ้าง”
“จะรอดูนะครับ”และแล้วผมก็เดินไปยืนข้างห้องคอยดูฌอนว่าจะทำยังไงกับสถานการณ์นี้
“อยากได้คำไหนกันล่ะ”ฌอนถามเด็กๆ
“อะไรก็ได้ค่ะ พวกเราพอจะเคยเรียนมาแล้ว”เด็กผู้หญิงคนหนึ่งตอบ
“งั้นลองพูดหน่อยสิ”ฌอนบอกพลองมองไปยังเด็กผู้หญิงคนเดิม
“เอ่อ กู๊ดอาฟเตอร์นูน ทีทเชอร์”เด็กสาวออกเสียงด้วยสำเนียงแข็งๆ
ก็สมเป็นเด็กดีนะ
“ออกเสียงดีกว่าพี่คนนั้นอีกนะ”พูดจบกระชี้นิ้วมายังผม
“ฌอน ฉันออกเสียงดีกว่าเหอะ”เรื่องนี้ผมยอมไม่ได้
ถึงจะรู้ว่าไม่เก่งแต่ผมก็เรียนมากเกือบจะทั้งชีวิตนะภาษาอังกฤษน่ะ
อย่างน้องต้องดีกว่าเด็กแหละน่า
“จริง?”
“แน่สิ คอยดูนะ กู๊ดมอร์นิ่ง ทีสเชอร์ เป็นไงล่ะ”ผมยืดอกด้วยความมั่นใจ
“หึ มามอร์นิ่งอะไรล่ะนี่จะเที่ยงแล้วนะ”
“อึก...”พูดผิดซะได้น่าขายหน้าจริงๆเลยตัวผม
“ไม่เป็นไรนะครับพี่”เด็กชายข้างๆถึงกับพูดปลอบด้วยน้ำเสียงสงสาร
“นายจงใจแกล้งฉัน”ผมชี้หน้าฌอนอย่างไม่พอใจ
“เปล่านี่ คนพูดผิดมันนายเองนะ”
“คนขี้แกล้ง”
“บอกตัวเองเถอะ”
“ฌอน”
“การจะออกเสียงสำเนียงอังกฤษให้ดีจำเป็นต้องฝึกใช้บ่อยเพราะภาษาอังกฤษนั้นมีการออกเสียงที่มีการไล่ระดับเสียงไม่เหมือนภาษาไทย”
“พี่ช่วยพูดให้พวกเราฟังได้ไหมครับ”เด็กชายหลังห้องถาม
“ได้ good morning good afternoon good evening goodnight ประมาณนี้”สำเนียงอังกฤษแปะๆดังขึ้นท่ามกลางเด็กที่อ้าปากกว้างด้วยความตะลึงในสำเนียงการพูด
ขนาดผมรู้อยู่แล้วยังอดชื่นชมไม่ได้
คำพวกนี้ได้ยินมาเกือบทั้งชีวิตแต่สำเนียงเพราะขนาดนี้พึ่งเคยเจอ ตอนเรียนก็มีที่เรียนกับชาวต่างชาติแต่ไม่ใช่คนอังกฤษสำเนียงเลยไม่ดีเท่านี้
“สุดยอดเลย พูดอีกได้ไหมครับ”เหมือนเด็กๆจะเริ่มสนใจการออกเสียงของฌอนแล้วล่ะ
“เอาเป็นอะไรล่ะ”ฌอนเองก็ไม่ปฏิเสธที่จะทำให้ดู
“หนูอยากฟังคำสารภาพรักค่ะ”เด็กผู้หญิงผมแกะยกมือพร้อมกับเสนอ
“เดี๋ยวสิ ขออย่างอื่น...”นี่ไม่ใช่เสียงฌอนแต่เป็นผมเอง ผมรู้สึกไม่ปลอดภัยสักเท่าไหร่ถ้าให้ฌอนพูดสารภาพรักด้วยภาษาอังกฤษ เพียงแค่คิดก็รู้สึกเหมือนใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นแล้ว
“ได้ งั้นเริ่มกันเลย”
“ฉันขอไปห้องน้ำ อ๊ะ...”ยังไม่ทันได้หนีออกจากห้องก็ถูกมือของฌอนคว้าแขนเอาไว้แน่พร้อมกับดึงให้หันกลับมาเผชิญหน้ากันตรงๆ ดวงตาสีเทาอ่อนประสานกับดวงตาสีน้ำตาลของผมอย่างสื่อความนัยบางอย่าง
“I adore you แปลว่า ฉันหลงรักคุณ”เพียงประโยคแรกที่ดังขึ้นก็ทำเอาร่างกายผมขยับหนีไม่ได้
“ฌอน...ปล่อย...”ถึงรู้ว่าหนีไม่พ้นแต่ก็ยังพยายามขืนจนถึงที่สุด
“You fill my heart แปลว่า คุณมาเติมเต็มให้หัวใจของฉัน”
“อึก...”มือที่จับแขนผมเริ่มเปลี่ยนมาเป็นกุมมือไว้หลวมๆราวกับเขารู้ว่าผมไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้
“You’re my missing piece แปลว่า คุณคือส่วนที่ขาดหายไปของฉัน”น้ำเสียงทุ้มนุ่มยังคงเอ่ยประโยคต่อๆไปโดยที่สายตาประสานอยู่กับผม
“I only have eyes for you แปลว่า ฉันมองแค่คุณคนเดียว”
เสียงหัวใจเริ่มเต้นดังขึ้น
“You make my life worth living แปลว่า คุณทำให้ชีวิตฉันมีค่า”
ความร้อนภายในร่างกายปะทุออกมาทางใบหน้าซึ่งแดงก่ำจนตัวเองยังรู้สึกได้ว่าใกล้ไหม้เต็มที
“You’re the light of my life นายคือแสงสว่างในชีวิตของฉัน”ประโยคนี้ถูกกระซิบเป็นประโยคสุดท้ายข้างใบหูก่อนริมฝีปากของฌอนจะลากผ่านแก้มอันแดงก่ำของผมเร็วๆ
หัวใจเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมา
ใบหน้าแดงราวกับจะมอดไหม้
ร่างกายแทบหมดแรงราวกับถูกหลอมละลาย
นี่มันเหมือนถูกสารภาพอีกครั้งแถมครั้งนี้ยังมาเป็นชุด
น้ำเสียงของฌอนไม่เพียงแค่มีสำเนียงอันไพรเราะแต่ยังสื่ออารมณ์ออกมาอย่างชัดเจนจนผมไม่รู้จะทำยังไง
สุดท้ายผมก็ได้แต่ปล่อยให้ฌอนพูดภาษอังกฤษให้เด็กฟังโดยที่ตัวเองแอบไปหลบอยู่หลังห้อง แม้จะหมดชั่วโมงสอนไปแล้วใบหน้าผมก็ยังคงเห่อแดงจนหลายคนเข้ามาทัก
ยิ่งทักความทรงจำก่อนหน้านี้ก็เหมือนถูกปลุกเลยส่งผลให้หน้าแดงเข้าไปอีก
“หน้าแดงไม่หยุดเลยนะ”ฌอนพูดพลางมองหน้าผมด้วยรอยยิ้ม
“แล้วคิดว่าเป็นเพราะใครเล่า”
“เพราะฉัน”
“รู้ตัวนี่”
“ห้ามหน้าแดงกับคนอื่นนอกจากฉันนะ”
“ไม่รู้ ถึงจะทำก็ไม่เกี่ยวกับนายนี่”ผมสะบัดหน้าหนีก่อนจะก้าวยาวๆกลับเต็นท์
“เกี่ยวสิ ฉันหึง”คำพูดนั่นเรียกหัวใจที่สงบนิ่งกลับมาเต้นรัวอีกครั้ง
“บ้า!”
ตอนนี้เป็นช่วงค่ำหลังกินอาหารเย็นเสร็จ มีหลายคนยังอยู่พูดคุยหรือเตรียมงานสำหรับพรุ่งนี้ต่อและมีหลายคนเดินไปอาบน้ำยังบ้านของคนในละแวกนี้ แน่นอนว่าไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นผมเลยเลือกที่จะไม่อาบ
ด้วยอากาศหนาวทำให้ไม่มีเหงื่อออกเลยไม่จำเป็นต้องอาบทุกวันก็ได้
“ท่าทางของนายทำให้ฉันมีความหวัง”
“...อะไร”ผมหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองฌอนตรงๆ
“หวังว่าความรู้สึกนายจะเหมือนกัน”
“...แล้วถ้ามันไม่เหมือนล่ะ”ผมถามต่อ
“ก็จะทำให้เหมือนเอง”
“คิดจะบังคับกันรึไง”
“นั่นสินะ ไปดูดาวไหม”ฌอนเปลี่ยนเรื่องระหว่างเงยหน้ามองบนท้องฟ้าสีดำสนิท
“เอาสิ”ผมพยักหน้าก่อนที่พวกเราจะเดินไปยังชายป่าด้านหลังซึ่งไม่มีแสงไฟเหมือนอย่างบริเวณเต็นท์ทำให้เมื่อแหงนหน้ามองท้องฟ้าสามารถมองเห็นดวงดาวได้มากมาย
นี่สินะที่เขาบอกกันว่าดวงดาวนับล้านดวง
นับไม่ถ้วนจริงๆ
ถ้าเป็นในเมืองไม่มีทางเห็นได้ขนาดนี้
“สวยจัง”ผมพึมพำโดยไม่ละสายตาออกจากท้องฟ้าสีดำสนิทอันมีดาวดาวนับล้านส่องสว่าง
“อืม”
“ดีจังที่ได้มา”เพราะมานี่ถึงได้เห็นภาพอันแสนประทับใจนี่
“เหมือนกัน ดีใจที่ได้มองภาพนี้กับนาย”
“ฌอน...”
“ฉันไม่เร่งรัดเรื่องคำตอบ ฉันอยากให้นายตอบกลับมาด้วยความรู้สึกจริงๆ”
“...เข้าใจแล้ว”
“ไปพักกันเลยไหม”ฌอนถามต่อ
“อืม เหนื่อยแล้วเหมือนกัน”
“หน้าแดงจนเหนื่อยน่ะเหรอ”
“ดูบรรยากาศหน่อยได้ไหมฌอน กำลังโรแมนติกเลย”เล่นพูดซะหมดความโรแมนติก
“อะไร อยากให้โรแมนติกเหรอ”
“ก็เปล่า...เป็นแบบนี้ดีแล้ว”ไม่ต้องโรแมนติกหรอก
แค่ได้ดูดาวด้วยกันแบบนี้ก็พอแล้ว
อีกอย่างถ้าฌอนโรแมนติกผมคงอดไม่ได้ที่จะขำ
พวกเราเดินช้าๆกลับมายังเต็นท์ซึ่งมีหลายคนนอนหลับไปเรียบร้อยแล้ว ในกระเป๋าเดินทางมีผ้าปูและผ้าห่มรวมทั้งถุงนอนเตรียมใส่เอาไว้เพราะรู้ว่าอากาศบนนี้หนาวมาก
ผมเองก็หยิบทุกอย่างออกมาเตรียมปู
“นายมานอนฝั่งนี้”อยู่ๆฌอนก็บอกพลางลุกขึ้นมาทางผมแทน
“ให้ไปนายฝั่งนาย? ทำไม?”ผมถามอย่างสงสัย
“ฉันไม่คิดจะให้แฟนไปนอนติดคนอื่นหรอกนะ”
“ยังไม่ใช่สักหน่อย”ผมบอกบัดด้วยใบหน้าแดงๆ
ผมยังไม่ได้ตกลงจะคบด้วยเลยนะ
“เดี๋ยวก็ใช่แล้ว”
“อย่ามาตัดสินเองนะ”
“ไม่รีบปูเดี๋ยวก็นอนช้าหรอก”
“เพราะนายหาเรื่องนั่นแหละ”ผมบ่นแล้วลงมือปูที่นอนบริเวณด้านในสุดของเต็นท์แทนที่ฌอน
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จก็ล้มตัวลงนอน แสงไฟมีเพียงหน้าเต็นท์ทำให้ใช้เวลาในการปูพอสมควร ถ้ารู้ว่ามืดขนาดนี้คงปูเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
อากาศเย็นๆทำให้ผมดึงผ้าห่มในถุงนอนขึ้นมาจนถึงคอแต่แล้วสัมผัสของมือที่เอามาโบเอวทำให้ผมสะดุ้งเฮือกจนเกือบจะเด้งตัวลุกขึ้นนั่งถ้าไม่ติดที่มือนั้นออกแรงกดจนผมไม่สามารถทำได้
มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำอะไรแบบนี้...
“ฌอน”ผมเสียงแล้วพลิกตัวหันไปทางอีกฝั่ง
“ฉันหนาว”เสียงกระซิบดังขึ้นพร้อมแรงขยับตัวเข้ามาแนบชิด
“ไม่ได้เตรียมถุงนอนมาเหรอ”ผมถามเมื่อไม่เห็นถุงนอนมีเพียงผ้าห่มผืนหนาเท่านั้น
“ไม่ได้เตรียม”
“พี่เขาบอกแล้วนี่ว่าให้เตรียมไว้น่ะ”
“อืม”
“อืมอะไร ลืมเอามาสินะ”
“ไม่ได้ลืมแต่ไม่เอามาต่างหาก”ฌอนพูดแก้
“หมายความว่าไง”
“ถ้านอนในถุงนอนก็กอดนายไม่ได้น่ะสิ”อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดาราวกับเป็นเรื่องปกติ
“ใครจะให้กอดกัน”ผมเริ่มดิ้นไปมา
“อย่าเสียงดังสิ คนอื่นเขานอนอยู่นะ”คำพูดนั้นทำให้ผมเลิกดิ้น
ลืมไปเลยว่าไม่ได้อยู่กันแค่สองคน
“ขยับออกไปเลย”
“ไม่เอา”นอกจากปฏิเสธแล้วยังกอดแน่นขึ้นไปอีก
ผมได้แต่ขันขืนเล็กอยู่สักพักแต่ก็รู้ว่าไม่มีผลเลยได้แต่ถอนหายใจแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายกอดเอาไออุ่นไปจนถึงเช้าของวันใหม่ทีเดียว
ช่วงเช้าบนดอยอากาศค่อนข้างเย็นแต่ไม่มากเท่ากลางคืน พวกเรามีสอนช่วงบ่ายตอนนี้ผมจึงนั่งมองฌอนกำลังวาดภาพโดยใช้ขาตั้งสำหรับวางกระดาษอยู่ในระใกล้
อยู่ๆฌอนก็บอกว่าอยากวาดภาพเลยมานั่งวาดบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ติดกับริมหน้าผา เพราะอยู่บนดอยเลยสามารถมองเห็นท้องฟ้าได้ใกล้กว่าที่เคย
ผมมองภาพที่ค่อยๆเป็นรูปเป็นร่างขึ้นด้วยความสนใจ ครั้งนี้ฌอนไม่ได้ใช้ดินสอร่างแต่ใช้สีน้ำลงเลยนั่นทำให้ผมค่อนข้างสงสัยว่าจะออกมาเป็นรูปอะไร สีเขียวของหญ้าถูกระบายลงด้านล่างของกระดาษก่อนจะแซมด้วยสีน้ำตาลและหินก้อนเล็กๆตามลำดับ
ด้านบนสุดของกระดาถูกแต่งแต้มด้วยสีฟ้าสดของท้องฟ้าอันสดใสอันเต็มไปด้วยเมฆร่องรอยอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์สาดส่องลงมายังพื้นโลก
ส่วนกลางของภาพเป็นรูปคนกำลังก่อสร้างอะไรบางอย่างอยู่ทางซ้ายมือสุด บริเวณใจกลางมีรูปของการเตรียมอาหารลากยาวไปถึงด้านขวาที่ปรากฏรูปห้องเรียนและเด็กนั่งอยู่ภายใน
ภาพนี้ไม่ได้ลงรายละเอียดถึงหน้าตาของคนทว่าผมกลับรู้ว่าแต่ละคนคือใคร นี่คือภาพของคณะอาสาที่กำลังสร้างห้องสมุด ร่วมกันทำอาหารและสอนเด็กๆ
เป็นภาพความทรงจำอันแสนอบอุ่น
ภาพของฌอนเปลี่ยนไปจากวันแรกอย่างชัดเจน
สีขาวดำคล้ายอดีตที่ไม่มีวันลบเลือนตอนนี้ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันของอารมณ์และความรู้สึกรังสรรค์ออกมาจนได้เป็นผลงานอันยอดเยี่ยม
ความทรงจำตอนอยู่ด้วยกันค่อยปรากฏชัดยามหลับตาลง ทุกครั้งที่นึกถึงคำโต้เถียง เสียงทะเลาะหรือแม้แต้คำพูดคุยมันทำให้ผมยิ้มออก
อาจถึงเวลาที่ผมต้องยอมรับในความรู้สึกนี้สักที
ความรู้สึกที่เรียกว่าชอบ
“วันนี้เราจะมาวาดรูปบนกระดาษนี่กัน”ผมยืนกางกระดาษแผ่นยักษ์หน้าชั้นเรียนในห้องเดิมกับเมื่อวานด้วยรอยยิ้ม
ช่วงบ่ายผมได้ตัดสินใจแล้วว่าจะให้เด็กๆได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการวาดภาพ
“วาดภาพๆ”
“ว้าว น่าสนุกจัง”
“พี่มาวาดด้วยกันนะคะ”เหล่าเด็กๆเองก็ดูเหมือนจะเห็นชอบด้วยเลยมีการจัดสถานที่ใหม่
ในห้องมีโต๊ะเรียงวางอยู่จึงไม่สามารถวางกระดาษได้เลยจัดการขยับโต๊ะไปไว้ทั้งสี่มุมของห้องแล้ววางกระดาษแผ่นยักษ์ลงกลางห้อง รอบๆกระดาษมีถังสีและพู่กันสำหรับวาดเพียงพอสำหรับทุกคน
“เอาล่ะ ลงมือวาดเลย แสดงจิตนาการของทุกคนออกมา”พูดจบผมก็คว้าพู่กันจุ่มถังสีสีน้ำตาลแล้วลงมือวาดยังกระดาษตรงหน้า
สีน้ำตาลถูกวาดให้มีส่วนปลายแหลมคล้ายรูปสามเหลี่ยมและมีส่วนปลายเป็นพวงสีเดียวกัน ระหว่างวดภาพของตัวเองผมก็เงยหน้าขึ้นมองฌอนซึ่งอยู่อีกฝั่งกำลังใช้พู่กันลากสีเขียวเข้มเป็นภูเขาติดกันหลายๆลูก
“พี่น้ำวาดจรวดเหรอครับ”เด็กชายข้างๆเอ่ยถาม
“จรวด? ไม่ใช่นะ นี่คือหมาจิ้งจอกต่างหาก ดูหางที่เป็นพวงนี่สิ”ผมอธิบายรูปหมาจิ้งจอกด้วยความภูมิใจ
“ไม่เห็นเหมือนเลย”
“ว่าไงนะ ไม่จริงน่า...เหมือนจะตาย”
“ไม่เหมือนสักนิด สู้หมาผมก็ไม่ได้”พูดจบเด็กชายก็ชี้ไปยังรูปหมาสีน้ำตาลของตัวเอง
“ทานูกิ?”ผมเอียงคอถามเมื่อเห็นภาพ
“ไม่ใช่ หมาต่างหาก”
“ดูยังไงก็ทานูกิ”
“ของพี่ดูยังไงก็จรวด”
“หมาจิ้งจอก”
“พี่น้ำ ดูของหนูด้วยสิ”ระหว่างกำลังพูดชายเสียงผมถูกกระตุก
“ได้สิ ไหนๆ เอ่อ...ดอกไม้?”ผมเอ่ยออกไปอย่างไม่แน่ใจในภาพที่เห็น
“ไม่ใช่ดอกไม้ค่ะ กระต่ายต่างหาก”
“อะ...อ่า”ผมนี่ไม่รู้จะต่อยังไงเลย
“ฝั่งนู้นวาดสวยกันจังนะคะ”เด็กสาวพูดพลางมองไปยังอีกฝั่งที่มีฌอนเป็นคนหลักในการวาดภูเขาและทะเลส่วนเด็กๆก็วาดสัตว์น้ำและต้นไม้รอบๆ
วาดออกมาในทางเดียวกันสุดๆ
แต่พอมองฝั่งผม
หมาจิ้งจองที่เหมือนจรวด
หมาที่เหมือนทานูกิ
กระต่ายที่เหมือนดอกไม้
“ฝั่งนั้นขี้โกงนี่!”ผมตะโกนบอก
“ตัวเองวาดไม่สวยอย่าโวยวายน่า”ฌอนเงยหน้าตอบพร้อมยกยิ้มขึ้นคล้ายกลั้นขำเมื่อเห็นภาพวาดผม
“ฉันจงใจวาดไม่สวยจะได้กลืนกันฝีมือเด็กๆหรอก”ผมสวนกลับ
“ไม่ต้องพยายามแก้ตัวก็ได้”
“ไม่ได้แก้ตัว เอางี้ มาแข่งกันดีไหม”ผมเสนอความเห็น
เด็กหลายคนเริ่มวางพู่กันแล้วหันมามองหน้าผมอย่างสนใจว่าจะทำอะไร
“แข่ง?”
“ใช่...เราจะแบ่งเป็นสองฝั่งตามนี้แล้วมาแข่งกันว่าภาพของฝั่งไหนจะเจ๋งกว่า”
“ก็ไม่ขัด แต่ชนะแล้วจะได้อะไรล่ะ”ฌอนถามต่อ
“คนแพ้ต้องทำความสะอาดอุปกรณ์และพื้นในห้องนี้ให้สะอาดเป็นไง”ผมลองเสนอ
“ได้ ฝั่งก็เอาตามที่อยู่ตอนนี้ละกัน”
“ไม่มีปัญหา ทุกคนจะเอาด้วยไหม”ผมยืนขึ้นพร้อมตะโกนถาม
“เอาค่า/ครับ!”
“ให้พี่แยมเป็นคนตัดสิน”
“ได้”
“จัดไป”ผมมองฌอนอย่างท้าทาย
และแล้วการแข่งขันวาดรูปก็ได้เริ่มต้นและจบลง การประชัดวาดรูปกว่าสามชั่วโมงเสร็จสิ้นท่ามกลางเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีของฝั่งผมที่ชนะจากคำตัดสินของพี่แยม พูดถึงภาพที่ชนะสักหน่อย...นอกจากในภาพจะมีทั้งหมาจิ้งจอกคล้ายจรวด หมาคล้ายทานูกิ กระต่ายคล้ายดอกไม้แล้วยังมีทั้งช้างคล้ายวาฬ พระอาทิตย์สีแดงฉานมีหัวใจดวงเล็กลอยรอบและอีกหลายสิ่งซึ่งไม่สามารถบรรยายได้ว่าเป็นอะไร
เทียบกับของฝั่งฌอนนั้นอย่างที่เคยบอกว่าเป็นภูเขาและทะเล ในน้ำก็เหล่าสัตว์ทะเลหน้าตาเดาได้ว่าคืออะไรซึ่งถือว่าเรียบง่ายและธรรมดามาก
ผมค่อนข้างมั่นใจไม่ใช่เพราะตัวเองมีฝีมือแต่คนชนะไม่จำเป็นต้องวาดภาพสวย
ผมบอกไปแล้วนี่ว่าเป็นคนที่วาดได้เจ๋งกว่า
คำว่าเจ๋งไม่ได้ต้องแปลว่าสวยเสมอไปนะฌอน
.............................................................................
สวัสดีค่า
สุขสันต์วันสงกรานต์นะคะทุกคน
หลายคนคงไปเที่ยวกันอยู่ ซึ่งเรานั้นอยู่บ้านเฉยๆ 555
แต่ก็ดีเพราะจะได้มีเวลาแต่งมาขึ้น
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่า
บ๊ายบาย
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪