ตอนที่ 26
ยังเจ็บอยู่ครับยังไม่หายง่ายๆ
หลังจากสอบวิชาสุดท้ายเสร็จเป็นเวลาบ่ายสอง ผมมองโทรศัพท์ตัวเองจะกดโทรหาปอบอกว่าเสร็จแล้ว แต่ไม่เอาดีกว่า มันคงกำลังงานยุ่ง ผมว่าผมเดินเข้าไปหามันที่ห้องช็อปเลยดีกว่า และเมื่อคิดได้อย่างนั้นผมจึงเดินลงไปยังด้านล่างเพื่อที่จะเข้าห้องช็อป เห็นกรีนมันนั่งอยู่ใต้ต้นไม้หน้าตึกคนเดียว ผมว่าผมควรหาคนเข้าร่วมเพื่อที่จะเข้าไปข้างในนะ เดินไปคนเดียวเดี่ยวๆ มันชักจะมั่นใจเกินไปยังไงไม่รู้ เมื่อคิดได้ ผมจึงเดินเข้าไปหามันทันที
มันเงยมามองก่อนจะยกยิ้ม “สอบเสร็จแล้วเหรอ?”
“เออ แล้วนายล่ะ?”
มันพยักหน้าตอบพร้อมยิ้ม “เออ เราว่าจะเข้าไปในช็อป ไปกับเราไหม?”
“มะ ไม่ดีกว่า นายไปเถอะ”
มันส่ายหน้าปฏิเสธทันที แปลกๆ นะไอ้นี่ หรือมีความลับอะไรปิดบังผมอยู่วะ เห็นแล้วภาพตอนที่มันถูกไอ้ปอเรียกเข้าไปคุย ไปขอเบอร์ขอลายน์อะไรทำนองนั้นเข้ามาในหัว
คิดมากอีกแล้วกู
“งั้นเราไปกับไอ้ต้นก็ได้” ว่าแล้วผมก็กดโทรศัพท์โทรหามันไปด้วย ฟังเสียงรอสายอยู่ครู่ก่อนที่มันจะกดรับสาย
“อะไร?”
หืม นี่มึงลืมเพื่อนไปแล้วงั้นเหรอ
“ไปช็อปกับกูไหม?” เข้าเรื่องเลยละกัน
“ไปทำไม?”
เออ ไปทำไมวะ
“ไปนั่งให้กำลังใจพวกมัน”
“คิดถึงพี่ปอเหรอ?”
ผมขมวดคิ้วตัวเอง “เปล่าซักหน่อย จะไปไหมเนี่ยถ้าไม่ไปกูไปคนเดียวก็ได้”
“ไปๆ เดี๋ยวกูเดินตามไป มึงอยู่ไหน?”
“อยู่หน้าตึกกับกรีนเนี่ย”
“เออ รอกูก่อน”
เมื่อผมเตรียมไพล่พลเป็นที่เรียบร้อย เอาเพื่อนไปกันหน้าแตกด้วยเพราะผมแม่งอายเพื่อนมันอยู่เลยเรื่องเมื่อเช้า จะให้เดินลั้นลาไปอย่างหน้าด้านๆ ก็คงจะไม่ใช่ ผมไม่ใช่คนแบบไอ้ปอนะครับ
ทำไมไอ้กรีนไม่ยอมไป มันมีอะไรในใจรึเปล่า
แล้ววันนั้นเห็นมันคุยกันกับไอ้ปอ ไม่อยากหลงตัวเองว่าไอ้กรีนมันไม่ชอบไอ้ปอเพราะผม แต่เพราะอะไรวะ ผมมีแต่คำถามเกิดขึ้นในหัวมากมายและหาเหตุผลมารองรับไม่ได้
ผมนิ่งถอนใจกับตัวเอง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในขณะที่เรากำลังนั่งรอให้ไอ้ต้นเดินลงมาจากตึกเรียน มือผมควานมันขึ้นมาด้วยความสงสัยว่าใครกันที่โทรมาในเวลานี้ ก่อนจะนิ่งจ้องเบอร์ด้วยความสงสัยและแปลกใจเมื่อรู้ว่าเป็นใครที่โทรมา แต่ก็ยอมกดรับสายในที่สุด
“ฮัลโหล…”
ผมนิ่งฟังปลายสายที่กรอกเสียงกลับมา เป็นแม่ของผมเอง คิดว่าน่าจะกำลังงานยุ่งอยู่เสมอนี่นะ “ภีมลูก หนูสอบเสร็จแล้ใช่ไหมจ๊ะ?”
“ครับ ทำไมเหรอ?” ผมย้อน
แปลกๆ ที่แม่จะโทรมา ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดโทรมาสักที จะมาบ้านก็มาเลยนี่นะ
“เดี๋ยวพ่อกับแม่จะบินไปจัดการเรื่องเอกสารให้ลูกนะ”
เอกสาร เอกสารอะไร ผมไม่เข้าใจ
“หมายความว่าไงแม่?” ผมว่า เสียงปลายสายหัวเราะนิดๆ
“ไม่ต้องตื่นเต้นหรอกจ้ะแม่รู้ว่าหนูดีใจนะที่จะได้มา พ่อกับแม่ตัดสินใจแล้วที่ทิ้งลูกไว้อยู่บ้านคนเดียวน่ะมันไม่ดีเลย แม่ก็เลยจะให้หนูย้ายมาเรียนที่นี่เลยน่ะจ้ะ”
ใจผมหายวาบ
“มะ แม่!” ผมว่าเสียงดัง เมื่อกี้ผมได้ยินผิดไปใช่ไหม
“อีกสองสามวันแม่จะบินไปนะลูก จัดการเรื่องสอบให้เสร็จนะรู้ไหม?”
“ไม่ แม่ครับ…”
“ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นหรอก แค่สามวันนะลูกแม่จะไปจัดการเรื่องให้เลย ทีแรกพ่อก็ไม่ยอมหรอกนะแต่แม่ขอร้องให้พามา ถึงหนูจะโตแล้วแต่อยู่คนเดียวมันอันตรายนะ”
“ภีมอยู่ได้ ภีมไม่ค่อยได้อยู่บ้านแม่ก็รู้ ภีมมาอยู่กับพี่ปอ…”
“ตายจริง งานตรงนี้ยังไม่ได้เคลียร์เหรอเนี่ย ขอโทษนะจ้ะภีมเดี๋ยวแม่โทรหาใหม่ทีหลังนะ”
“แม่ ฟังภีมก่อน แม่!” ผมชะงักเมื่อปลายสายวางไปด้วยความเร่งรีบ ใจตกลงไปถึงตาตุ่มเมื่อได้รับรู้ในไม่กี่นาทีที่ผ่านมาว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
ไม่จริง จะมารู้สึกผิดอะไรตอนนี้!
ตัวผมสั่นนึกถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังจะเจอในอนาคต
พี่ปอ…
ปอ!
ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเองท่ามกลางคำถามของกรีนที่คอยถามเสมอด้วยความงุนงงว่าผมกำลังเป็นอะไร ผมกำลังเจ็บปวดเมื่อคิดได้ว่าตัวเองรั้นนานเกินไป ตอนที่ปอมาขอคืนดีกับผม ผมปล่อยให้เวลามันผ่านมาเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะได้อยู่กับมันแค่ช่วงเวลาสั้นๆ
ผมจะทำไง! ผมจะทำยังไงให้ตัวเองได้อยู่กับมันต่อไป!
“ภีม บอกเราสิว่าภีมเป็นอะไร?”
ผมก้มลงร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้ผมเกลียดพ่อกับแม่ คนที่พรากความสุขออกไปจากผมครั้งแล้วครั้งเล่า ในตอนนี้ผมกำลังมีความรัก ผมมีความสุขกับคนที่ผมรัก ท่านก็ยังใช้ความเห็นแก่ตัวพรากเราออกจากกัน
อีกไม่กี่วัน! อีกไม่กี่วันเท่านั้น!
ที่ผมจะได้นอนข้างๆ ปอ ที่ผมจะได้ลืมตาตื่นมาเจอมันเป็นคนแรก
มือผมสั่น ไม่มีแรงที่จะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน ผมจะเดินไปบอกปอยังไงว่าอีกไม่กี่วันผมกับมันจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ยิ้มเหรอ หัวเราะเหรอ
ในเมื่อตัวผมเองที่กำลังกลัวการอยู่ห่างจากมันขนาดนี้
“ภีม ภีม!”
“ฮึก…ไม่เอา” ผมว่าเสียงเบาพลางเงยหน้ามามองกรีน หน้าตาของผมตอนนี้คงทุเรศมาก ผมร้องไห้เสียงดังและไม่พูดไม่จากับใคร แม้แต่กับไอ้ต้นที่เดินมาหน้างงๆ ว่าผมร้องไห้ทำไม มือมันเขย่าบ่าของผมสุดแรงเรียกให้หันไปมอง
“เป็นอะไร อย่าเพิ่งโวยวายนะภีม” มันว่า เรียกสติผม
“ต้น กู…” ผมว่าเสียงสั่น มองมันผ่านม่านน้ำตา
ปากผมสั่นจนพูดไม่ออก รู้สึกถึงความร้อนของใบหน้าตัวเอง น้ำร้อนๆ ไหลออกมาจากดวงตาไม่ขาดสาย ผมห้ามตัวเองไม่ได้ เมื่อผมเสียใจ ผมเจ็บปวด ผมต้องร้องไห้ระบายมันออกมาจนหมดถึงจะพอ
และต้นมันคงเห็นแบบนั้น มันปล่อยให้ผมร้องไห้ ผมร้องไห้เป็นชั่วโมงท่ามกลางเสียงปลอบใจของกรีน แม้มันจะไม่รู้ว่าผมเป็นอะไรก็ตามที
“กูจะไม่ได้อยู่กับพี่ปอแล้วว่ะต้น” ผมว่าเสียงเบา
“หมายความว่ายังไง?”
“กูจะต้องย้ายโรงเรียน กูจะไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้ว”
ผมว่าเสียงเบาพลางเงยหน้าไปมองมันทั้งสอนคนผ่านน้ำตาที่เอ่อชื้นรอบดวงตา ผมนิ่งมองพวกมันที่พูดอะไรไม่ออก ต้นมันหน้าถอดสี ทว่ากลับมายกยิ้มขึ้นกับตัวเอง
“กูคิดว่ากูจะไปคนเดียวซะอีก…”
ผมเงยหน้ามองมัน ถึงจะยิ้มอยู่แต่ตอนนี้ผมกำลังดูออกว่ามันกำลังฝืนยิ้ม มันหมายความว่ายังไงกันแน่ ผมไม่ค่อยเข้าใจ อันที่จริงผมไม่เคยเดาใจไอ้ต้นได้ตั้งแต่ทีแรก
“หมายความว่ายังไงต้น หมายความว่าไง?” ผมถามย้ำ มันยกยิ้มนิดๆ
“กูว่าหลังสอบ กูจะย้ายไปเรียนที่อื่น อาจจะไปเริ่มใหม่อยู่ต่างประเทศ”
“ต้น!” หมายความว่าไง
ผมไม่เข้าใจ ได้แต่ส่ายหน้า “แล้วพี่ธาม พี่พีล่ะ มึงตัดสินว่ายังไง”
ผมนิ่งมองมันที่เอื้อมมือมาแตะผมเบาๆ ผมปัดมันออกไม่ใยดีด้วยความโกรธที่มันทำอะไรไม่นึกถึงใจคนอื่น ทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังเสียใจแต่บอกเลยว่าตอนนี้ผมทนไม่ไหว ผมไม่เข้าใจมันเลยว่าจะทำแบบนี้ทำไม
“นี่แหละการตัดสินใจขอกู ตอนที่กูเข้าไปคุยกับพี่ธาม คุยกับพี่พี ทั้งสองดีแตกต่างกัน มีกูคนเดียวทีเลว แล้วพวกเขาก็ไม่สมควรมารักคนเลวๆ แบบกูด้วย กูมันสกปรก กูมันร่านยอมให้คนอื่นเอาง่ายๆ ขอกูไปเถอะ ไปจากพวกมันเงียบๆ”
“ไม่!” ผมว่าเสียงดัง
“ทำไมจะต้องบอกว่าไม่ พวกพี่เขาน่าจะเจอคนที่ดีกว่ากู ไม่ใจง่ายเหมือนกู กูไม่อยากได้สิทธิ์ที่จะต้องเลือกทั้งๆ ที่ค่าของกูไม่มีพอเลยที่จะได้รับสิทธิ์นั้น กูขอเป็นคนไป ขอเป็นคนที่เจ็บคนหนึ่งร่วมกับพี่ๆ เขา เพราะถึงกูเลือกไป กูก็ต้องเจ็บที่ใครสักคนต้องเสียใจอยู่ดี ถ้ากูยังเลือกไม่ได้แบบนี้ ให้กูไป…”
“ไม่…” ผมว่าเสียงเบา “ไม่เอาแบบนี้”
“ไม่เอาน่าภีม ยังไงมันก็ต้องถึงวันนี้ปะวะ มึงน่ะไม่ต้องมาคิดมากเรื่องกูหรอก ยังพอมีเวลาอยู่กับพี่ปอ มึงไปเคลียร์กันดีๆ ดีกว่าไหมภีม ดีกว่ามานั่งร้องไห้ นัดกันว่าจะเจอกันยังไง ช่วงปิดเทอมจะเจอกันตอนไหนแล้วก็ไปเที่ยวที่ไหนบ้าง”
ผมเงยมองหน้ากรีน มันส่ายหน้าแสดงถึงความใจหายออกมาอย่างเห็นได้ชัด ผมเองก็เหมือนกัน ไม่ต่างอะไรจากพวกมันสักนิด อาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
มันทั้งสองคนคือเพื่อนที่ผมไม่เคยคิดว่าจะมี ผ่านอะไรหลายๆ อย่างมาด้วยกัน
ใจผมหาย มือสั่นระรัวราวกับกำลังหนาว
“ร้องไห้ให้พอนะภีม แล้วไปจัดการเรื่องต่างๆ ให้เรียบร้อย เรื่องมันจะเกิดหรือไม่เกิดมึงตัดสินใจเองได้ ถ้ามึงอยากยื้อมึงก็ต้องยื้อให้นานที่สุด อยู่กับพี่ปอให้นานที่สุด ถ้ามึงจะต้องไป มึงก็ต้องไปตกลงว่าจะเอายังไงไม่ใช่มานั่งร้องไห้แบบนี้”
“แต่ถ้าเป็นเรา อยู่ห่างกันขนาดไหนก็ยังรอนะ” กรีนมันว่า ขมวดคิ้วตัวเองมองมายังผม “ถึงเราจะไม่ชอบที่ภีมคบกับพี่ปอ แต่ว่าภีมอย่าเลิกกับเขาเลย เราเอาใจช่วยนะ”
ผมนิ่งมองมัน ปล่อยน้ำตาไหล
ใช่…
ผมอาจจะช๊อคไปหน่อย แต่สิ่งที่ผมควรทำเป็นสิ่งถัดไปคือจัดการ ผมต้องจัดการเรื่องผมกับปอให้มันเข้าที่เข้าทางถ้าจะต้องย้ายโรงเรียนกันจริงๆ ผมจะต้องเดินเข้าไปบอกกับปอว่าเราจะต้องห่างกันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ถ้าปอรักผมจริงๆ ก็ต้องรอได้
ผมเดินไปล้างหน้าล้างตา ทำตัวเองให้เข็มแข็ง ดวงตามองใบหน้าแดงๆ ของตัวเองผ่านกระจกตรงหน้า ถ้าเดินไปหามันแบบนี้มีหวังมันคงรู้แน่ว่าตอนนี้ผมกำลังเป็นอะไร
เข้มแข็งก่อนภีม อย่าเพิ่งโวยวาย
ไม่แล้ว กูไม่โวยวายแล้ว
ผมคิดมากเรื่องของไอ้ต้นแทนนี่สิ มันตัดสินใจแน่แล้วเหรอว่าต้องการแบบนี้ โอย…ผมปวดหัว
ต้องกลับไปเป็นไอ้ภีมคนเดิมก่อน กลับมาสิกลับมา อย่าไปร้องไห้ให้ไอ้ปอมันเห็นเด็ดขาดเลย
“มึงบอกเรื่องนี้กับพี่ธามพี่พีรึยังต้น?”
ผมว่าขณะที่เราสามคนเดินเอื่อยๆ เข้าช็อป กรีนมันเป็นห่วงผม ยอมตามผมมาถึงแม้ตัวเองจะไม่อยากมา ส่วนต้นมันหันมายิ้มกับผมแววตาเศร้าสร้อยบ่งบอกว่ากำลังปวดหัวใจ
“ไว้บอกตอนจะไปทีเดียว”
“ได้ยังไง?” ทำไมมันคิดจะทำอะไรแบบนี้
“กูไม่อยากเปลี่ยนใจว่ะภีม ถ้ารีบบอกพวกพี่ๆ เขาจะต้องทำให้กูเปลี่ยนใจ มึงเองก็อย่าเพิ่งบอกนะกูขอร้อง”
ผมหันไปมองหน้ามัน ถ้าตัดสินใจอย่างนี้แล้วผมคงจะทำอะไรไม่ได้ ผมว่ามันค่อนข้างที่จะไตร่ตรองมานานสมควรถึงได้เลือกตัดสินแบบนี้ ผมควรจะเข้าใจมันสิ ไม่ใช่ค่อยเอาแต่ความคิดตัวเองเป็นหลัก ต้นมันน่ะเจ็บปวดมามากพอแล้ว
“ภีม!” เสียงคนจากห้องหนึ่งเรียก
ที่จริงในช็อปนี้เป็นโรงช่างขนาดใหญ่มากๆ เพื่อรองรับกับนักเรียนหลายสาขางาน แบ่งแยกเป็นสาขาวิชาช่างต่างๆ มากมาย มีทั้งหมดสองชั้นด้วยกันรองรับจำนวนนักเรียนที่เข้ามาเรียน เครื่องไม้เครื่องมือแต่ละห้องครบครันสำหรับใช้งานได้จริง โรงเรียนมีชื่อเสียงเกี่ยวกับงานอาชีพที่สามารถสอนแล้วนำไปใช้งานได้จริง มีโรงงานและบริษัทในเครือมารอรับตัวตั้งแต่ก่อนเรียนจบ
เมื่อมีการประกวดแข่งขันอาชีวะระดับประเทศไม่ว่าด้านสาขาไหนมักจะติดท๊อปเสมอ ตั้งแต่งานช่างฝีมือ งานวิชาการ หรือแม้แต่ความหน้าตาดีของนักเรียนที่ติดระดับประเทศทั้งนั้น พ่อแม่ผมจึงดั้นด้นส่งผมเรียนแม้ค่าเทอมจะแสนแพงนี่ยังไงล่ะ
ผมคิดว่าเรื่องค่าเทอมเป็นส่วนหนึ่งที่พ่ออยากให้ย้ายโรงเรียนด้วย นี่แค่เทอมเดียวที่มาเรียนเองนะ
เรามองไปยังร่างของไอ้ปอที่กวักมือเรียก มันถือแก้วน้ำดื่มยืนรอด้วยรอยยิ้มใจดีอย่างเคย หน้าผมชานิดๆ พยายามตีหน้าให้เป็นปกติยกยิ้มให้มัน ตรงนี้เหมือนเป็นอู่รถยนต์ขนาดย่อม มองๆ ป้ายบอกว่าเป็นห้องของพวกมัน
“สอบเสร็จเร็วนะเนี่ย” มันว่าพลางยกมือมาแตะหัว ยกน้ำดื่มแล้วพูดต่อกับผม “พี่เพิ่งจะได้ออกมาพักน่ะ เหนื่อยจริงๆ”
ผมพยักหน้ารับ “กินข้าวเที่ยงยังปอ?”
“ยังเลย แต่เพิ่งจะกินตอนสิบโมงน่ะเลยไม่ค่อยหิวเท่าไหร่” มันว่าพลางยกน้ำกินดังอึกๆ คงเพลียน่าดู ผมมองเข้าไปด้านในห้อง เห็นเพื่อนๆ มันขมักขเม้นอยู่บนรถยนต์คันเก่าสนิมเขรอะคันหนึ่งอยู่ เพื่อนห้าหกคนรุมกันจัดการมันด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง แต่ก็คุยกันหัวเราะสนุกสนาน
ปอมันคงสนุกเวลาอยู่กับเพื่อนนะ
ผมมองไปยังร่างเล็กๆ ของรุ่นพี่คนนั้น คนที่ชื่อเพื่อน พอเห็นใส้ชุดช็อปทำท่าท่างว่องไวจับโน่นจับนี่แล้วบอกเลยว่าต่างกับหน้าตามาก พี่เขาเท่มากเลยว่ะ
“จะทำอะไรกับรถคันนี้อ่ะ?” ผมถามมันที่มองไปยังกลุ่มเพื่อน
“โมดิฟายทั้งคัน จะเอาให้มันกลับมาโลดแล่นบนถนนได้อีกครั้ง”
ผมนิ่งมองแล้วยิ้ม ความฝันของพวกมันสินะ
“รถคันนี้เป็นรถเก่าของปู่ไอ้เพื่อน มันอยากทำให้ปู่มัน แต่ปู่มันบริจาคเอาไว้ใช้ในโรงเรียนแล้ว เหมือนกับไอ้เจ้าเนี่ย ที่พวกกูคืนชีวิตให้มันช่วงปวช. 3 ตอนนี้ก็เอาไว้ขี่เล่นๆ ในโรงเรียน ให้อาจารย์ขี่บ้าง เวลามีกิจกรรมโรงเรียนก็เอาไปใช้ได้นะภีม”
กูคงไม่มีโอกาสได้ใช้หรอกปอ
ผมมองไปยังรถมอเตอร์ไซต์คันเก่าที่มันชี้ให้ไปดู ความสุขของช่างก็คือการซ่อมสินะ ได้มองสิ่งที่ตัวเองซ่อมกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งมันทำให้คนซ่อมมีกำลังใจที่จะทำต่อไป ผมยกยิ้มหันไปมองมันก่อนจะชะงักเมื่อไอ้ต้นมันสะกิด
จะเอายังไงดี
“จะให้นั่งตรงไหน?” ผมเริ่มเรื่อง ปอมันพยักเพยิดหน้าเข้าไปในห้องเครื่องมือข้างใน ความจริงมันมีโต๊ะสำหรับนั่งอยู่ แต่พวกพี่ๆ เขาทำงานแล้วจะให้ผมสามคนไปนั่งดูเนี่ยนะ
“พักก่อนมึง ใครหิวกันบ้าง?” ปอมันร้องว่า จูงมือผมเข้าไปข้างใน ไอ้ผมก็เอื้อมไปดึงมือไอ้ต้นที่พร้อมใจขยับไปคว้ามือไอ้กรีนตามเข้ามา
“มึงเอาอะไรไหมเพื่อน กูเห็นเมื่อเช้ามึงไม่ได้กินอะไรกับพวกกูเลย”
“อ๋อ เออ เอาแบบพวกมันก็ได้ ง่ายๆ สั่งเหมือนกันจะได้ไม่ต้องรอ”
“เออดี ไม่เรื่องมาก” ปอมันว่าพลางจดใส่กระดาษ
ผมมองคนชื่อเพื่อนที่กำลังเช็ดเหงื่อเดินมาทรุดตัวนั่งยิ้มให้ตรงข้ามกับผม ก็คือนั่งข้างๆ ไอ้ปอตรงข้ามกับไอ้กรีน ใจผมหายเมื่อเห็นมันสองคนมองตากัน ถึงจะมองแบบเพื่อนก็เถอะแต่ผมก็ไม่มั่นใจอยู่ดี ถึงปอมันบอกว่าเชื่อใจ แต่ผมไม่เชื่อใจคนๆ นี้
กรีนมันนั่งเงียบ ไม่พูดไม่จาข้างๆ ผม ไอ้ต้นนิ่งมองพร้อมกับยกยิ้มให้ด้วยใบหน้าที่บอกว่ามีเลศนัยสุดๆ เพราะพี่ธามเองก็ไม่ได้จะหาเรื่องหรือพูดอะไรสักอย่างกับมันราวกับพูดคุยเข้าใจกันแล้ว เรานั่งร่วมกลุ่มคุยกันบนโต๊ะซึ่งมีไอ้ปอเป็นคนเริ่มเรื่องมาทุกครั้ง
“เพื่อน มึงอยู่เฉยๆ นะห้ามพูดอะไร” ปอมันหันไปว่ากับคนที่นั่งข้างๆ
ส่ายตาผมมีแต่คำถามส่งไปให้มันที่พูดแบบมีลับลมคมในอยู่สองคน
ผมโกรธนะ แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากเชื่อใจ
“เดี๋ยวๆๆ ขอกูพูดอะไรสักนิดเหอะ” พี่เพื่อนว่า
“เดี๋ยวกูจัดการเอง มึงไม่ต้องทำอะไรเดี๋ยวป๋าจัดให้” ปอมันว่าพลางหลุดหัวเราะ
“ไอ้ป๋าใหญ่ ก็เมื่อวานเพราะมึงทำป๋าแบบนี้กับกูไง”
“เออๆ เอ่อ…มึงจะออกไปสั่งข้าวกับกูไหม?”
ปอมันว่า ผมขมวดคิ้วมองมันทั้งคู่แล้วได้แต่ผ่อนอารมณ์ตัวเองไม่ให้โกรธมัน แต่มันไม่สนใจผมเลยสักนิด พออยู่กับเพื่อนแล้วก็ติดเพื่อน
“อะ เอ่อ…” พี่เพื่อนละสายตามองไอ้กรีนที่นั่งขรึมเงียบๆ กวาดสายตาไปยังไอ้ต้นที่กำลังจ้องจับผิดพี่เขาจนผมยังรู้สึกได้
มองขนาดนี้มึงถามพี่เขาไปตรงๆ เลยเถอะว่ะ
“ไป ไปก็ได้…” พี่เขาว่ายิ้มๆ
ใจผมหายและทำได้เพียงเงียบมองปอมันเดินไปคุยโน่นคุยนี่กับเพื่อนด้วยความร่าเริง หยอกล้อกันแล้วก็ทวนเมนูที่เพื่อนๆ สั่ง ร่างเล็กๆ ของพี่เพื่อนหัวเราะกับมุกเพื่อนๆ และละมามองทางผมอยู่บ่อยครั้ง บ่อยผมจนรู้สึกได้
มองทำไม วางตัวไม่ถูกเหรอ
“ปอ…” ผมเรียกมัน มันหันมาส่งยิ้มให้พลางเดินมายกมือแตะหัวอย่างเคย
“กูมีเรื่องจะคุยด้วย”
“เออ เดี๋ยวมาคุยด้วยนะ ไปสั่งข้าวก่อน”
ผมนิ่งมองตามหลังมันที่หยิบกุญแจรถไปเสียบบนรถมอเตอร์ไซต์แล้วก็ขับออกไป ไอ้ผมที่อ้าปากจะร้องเรียกต้องหยุดชะงักลงเมื่อเห็นตัวเล็กๆ ของรุ่นพี่ที่ชื่อเพื่อนนั้นขึ้นนั่งเบาะข้างหลังของมัน เกาะกอดเอวของมันแล้วหันมาส่งยิ้มให้ผม
ยิ้มให้ผมทำไม
ใจของผมหล่นตุบเมื่อเห็นเช่นนั้น ผมควรจะบอกปอไหมว่าเรากำลังจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ผมกลัวความห่างเหินระหว่างเราทำให้คนที่อยู่ข้างหลังปอมันคืบคลานเข้าไปจับจองหัวใจมันแทนผม ผมไม่อยากเสียปอไปอีกแล้ว คนแบบปอน่ะ ผมไม่อยากเสียมันเป็นรอบที่สอง!
ใจผมหาย มือสั่นมองมันที่ขับรถออกจากช็อปไป ผมเห็นกรีนก้มหน้ามองโต๊ะนิ่ง เมื่อรู้สึกว่าผมกำลังมอง มันเงยมายกยิ้ม
“พี่คนนั้นใครวะ?” ไอ้ต้นว่า
“ลูกพี่ลูกน้องไอ้ปอ สนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว”
ผมมองเพื่อนปอที่ตอบขึ้นมา พี่ธามยกยิ้มให้ผม มองตามไอ้ต้นที่ยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผิดกันจากผม ไม่มีวันที่จะกลบเกลื่อนความรู้สึกได้ง่ายๆ คิดแล้วต้นมันเก่งจริงๆ มันคงเข้มแข็งมากแน่ๆ ที่ต้องบังคับใจตัวเองขนาดนี้
“มันไม่รู้เหรอว่าพี่ปอมีเมียแล้ว ตามติดตัวพี่ปอแจขนาดนั้น” ต้นมันว่าต่อ
“มึงไม่รู้อะไรไม่ต้องมาพูดหรอก ขนาดเมียมันแท้ๆ ยังไม่เห็นหึงเลย”
ใครบอกว่ากูไม่หึง
“หรือหึงหว่า?” เสียงอีกคนว่า ผมชะงักหันไปมอง
“มะ ไม่ได้หึง”
“แน่นา…อย่าไปหึงไอ้เพื่อนมันเลย ไอ้นี่มันก็สนิทกับทุกคนแบบนี้แหละ มันใจดีเข้ากับคนง่ายเจอใครก็ยิ้มใส่ท่าเดียว” ผมนิ่งคิด
ยิ้มใส่อย่างเดียวเหรอ
แบบตอนที่ยิ้มมาให้ผมเมื่อกี้อย่างนั้นเหรอ
ยิ้มตอนที่มันกอดไอ้ปออยู่อย่างงั้นเหรอ
ทั้งๆ ที่รู้ว่าผมมองตามคนรักของผมอยู่ก็ยังหันกลับมาส่งยิ้มให้
ผมก็หวงของผมเป็นนะ
ร่างกายผมอ่อนล้า ผมอยากกลับไปพักแล้ว ไม่อาจทำให้ตัวเองเข้มแข็งต่อหน้าใครได้อีก ความร้อนแล่นเข้ามายังดวงตาพร้อมกับผมที่พยายามกระพริบถี่ๆ
“กลับก่อนนะ บอกปอด้วยว่าผมจะนั่งแท็กซี่กลับ”
“อ้าว เดี๋ยวสิภีม”
“ภีม อย่าไปนะภีม!” ผมชะงักขณะที่กำลังจะเดินออกมา ได้ยินเสียงของกรีนร้องตามหลังด้วยความตกใจที่ผมทำแบบนี้
ร่างของมันเดินมาดึงแขนให้ผมหันไปมองดวงตาของมันที่นิ่งจ้องอยู่นาน แววตามันสับสนและงุดลงพื้นพยายามรวบรวมความกล้า กรีนมันแปลกๆ ตั้งแต่เดินเข้ามาในช็อปแล้ว ไม่พูดไม่จาเอาแต่นั่งเงียบอยู่คนเดียว
อันที่จริงก็แปลกตั้งแต่ชวนมันมานี่นะ มันไม่อยากมาที่นี่
“ถ้าภีมหึงพี่ปอเพราะเรื่องรุ่นพี่คนนั้น ฟังเราก่อนนะ ที่พี่เขาต้องออกไปพร้อมพี่ปอไม่ใช่ว่าเขาชอบพี่ปอหรอก มันเป็นเพราะ…”
ผมนิ่งมองมันที่ลากเสียงตัวเอง มันไม่เป็นตัวเองเลย ปกติจะกล้าแสดงออกแล้วพูดมาตรงๆ นี่นะ
เพราะอะไร บอกเรามาสิ ผมนิ่งจ้องตามันที่ละไปด้านอื้น
ผมมองผิดไปหรือเปล่า มันกำลังเขิน หน้าแดง หูเหอแดงไปหมดไม่เหมือนเมื่อก่อนเลยสักนิด
“เพราะพี่เขาชอบเรา เขาไม่กล้าอยู่ต่อหน้าเราน่ะ”
อะ อะไรนะ
ผมนิ่งมองมันตอนว่า ได้แต่อ้าปากค้างมองกรีน
“ระ รุ่นพี่คนนั่นน่ะเหรอ?” ผมแหงนมองหน้ากรีนย้อนถาม
“ใช่ เมื่อวานพี่ปอมาขอเบอร์เราให้พี่เขาน่ะ แต่เราปฏิเสธไปเพราะเรายัง…”
ยังชอบผมอยู่
ผมนิ่งมองกรีนก่อนจะถอนใจ เงยหน้ามองมันที่นิ่งจ้องผมอย่างไม่ละ ทำไมกรีนแม่งเป็นคนดีจังวะ ถ้ามันทำให้ผมเข้าใจปอผิดแล้วก็ทะเลาะกับปอ มันอาจจะทำให้กรีนกับผมมีหวังขึ้นมาบ้าง แต่มันเลือกที่จะบอกว่าความจริง
คนแบบกรีนนี่ดีจริงๆ มันยกยิ้มให้ก่อนจะดึงแขนผม
“เพราะงั้นอย่ากลับบ้านเลยนะ”
ผมยิ้ม ยิ้มให้มันสุดๆ แบบที่ไม่เคยยิ้มให้ใครมาก่อน ยอมเดินกลับไปแต่โดยดี รอตอนที่ปอกลับมาแล้วผมจะกอดมันให้แน่นจนสุดแรง ที่มันไม่คิดจะนอกใจผม ที่มันย้ำเตือนตัวเองว่ารักผม ขอบคุณที่ทำให้ผมได้เชื่อใจว่าสิ่งที่มันทำคือ รักแท้
ผมรู้แล้วครับ ว่าผมจะทำยังไง
ผมจะไป…
ผมจะให้ปอมันไปอยู่กับแม่ได้อย่างที่ฝันในช่วงซัมเมอร์ ผมจะให้มันใช่เวลาในการซ่อมสิ่งของที่มันรักอย่างดีที่สุดอย่างเต็มความสามารถ และ…
ผมให้มันเข้าในการรออย่างแท้จริง
และผมจะกลับมาในไม่ช้า…
แต่ช่วงเวลานี้ ผมต้องใช้กับมันให้คุ้มค่าที่สุด
ผมจะบอกรักมันทุกวันเลย
รัก…
รักพี่ปอแค่คนเดียว
ตลอดไปเลย….
เอาแล้วไง มีงานเข้า!
หลังจากล่อลวงคุณผู้อ่านด้วยฉากฟินๆหวานๆ ไปแล้ว
ก็ถึงตอนฉากเสียเลือด และตามมายังฉากดราม่าที่คืบคลานเข้ามาเรียกน้ำตาคนอ่านอีกครั้งอย่างแนบเนียน อิอิ
งื้อออออ พี่ปอน้องภีมจะต้องจากกันโอ้มายก้อด แล้วจะได้กลับมารักกันไหม รอติดตามนะคะ ช่วงนี้เฉลยเรื่องพี่เพื่อนแล้วนะว่าอะไรยังไง มีคนมาดามใจกรีนแล้วน้า ใครเชียร์นางยกมือขึ้น
ระหว่างสามพีก็ยังเศร้าไม่หาย ต้นตัดสินใจแบบนี้แล้วจะยังไงต่อละเนี่ย พอจะดราม่าก็ดราม่านะ อย่าลืมคอมเม้เป็นกำลังใจหนูนาด้วยน้า ช่วงนี้ติดตามให้ดีๆ ใกล้จะจบเต็มทีแล้ว
อัพไม่บ่อยค่ะอัพแค่ทุกวัน เพิ่มตอนใหม่ตลอดด้วย
สโลแกน อัพเร็ว อัพบ่อย อัพถี่ๆ ต้องหนูนานะค๊าาาา อิอิ ขอบคุณสำหรับสโลแกนอีกครั้ง 555
งั้นเจอกันตอนหน้าจ้า บ๊ายบาย