Embrasse-moi the Series
Mon Fiancé
Chapter 7 ความลับของเรา (2/3)
รูปถ่ายประติมากรรมเกะสลักหินอ่อน ‘เดวิด’ ของศิลปินเลื่องชื่อ มิเคลันเจโล ถูกฉายผ่านโปรเจคเตอร์ให้นักศึกษาในคาบเรียนประวัติศาสตร์ศิลปะได้ซาบซึ้งถึงความงามของงานศิลป์ในยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการหรือยุคเรเนซองส์ เสียงบรรยายของอาจารย์ที่กล่าวถึงความงามและความสำคัญของยุคทองแห่งศิลปะยังคงดังอยู่หน้าชั้นเรียน แต่เวลานี้จิตใจของผู้เรียนอย่างนาวากลับเลื่อนลอยไปถึงเดวิดผู้โศกเศร้า…
งานแกะสลักหินอ่อนที่ประณีตงดงามชิ้นนี้เป็นงานที่มิเคลันเจโลเสกสรรขึ้นมาจากเรื่องราวของกษัตริย์ผู้โทมนัสที่จารึกไว้ในไบเบิล พระเจ้าเดวิด หนุ่มน้อยผู้ฆ่ายักษ์โกไลแอต
นาวาหวนนึกถึงเรื่องราวตอนหนึ่งที่เคยอ่านและนำมาแปลเล่นจากพระคัมภีร์ไบเบิล
11 And Jonathan said to David, “Come, let us go out into the field.” So both of them went out
into the field. 12 Then Jonathan said to David: “The LORD God of Israel is witness! When I
have sounded out my father sometime tomorrow, or the third day, and indeed there is good
toward David, and I do not send to you and tell you, 13 may the LORD do so and much more
to Jonathan. But if it pleases my father to do you evil, then I will report it to you and send you
away, that you may go in safety. And the LORD be with you as He has been with my father.
14 And you shall not only show me the kindness of the LORD while I still live, that I may not
die; 15 but you shall not cut off your kindness from my house forever, no, not when the LORD
has cut off every one of the enemies of David from the face of the earth.”
และโจนาธานพูดกับเดวิดว่า “มาเถอะ ไปที่ทุ่งนากัน”
แล้วทั้งคู่ก็ออกไปยังท้องทุ่ง ที่นั่นโจนาทานบอกกับเดวิดว่า “ขอพระเจ้าของชาติอิสราเอลจงเป็นพยานเถิด!
หากเมื่อวันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ฉันทูลถามเสด็จพ่อว่าทรงมีท่าทีที่ดีต่อเดวิดหรือไม่ แล้วฉันไม่ส่งข่าวไม่บอก
เธอ ขอให้พระเจ้าจงลงโทษโจนาธานผู้นี้ แต่ถ้าหากการทูลถามของฉันเป็นเหตุให้เสด็จพ่อตั้งพระทัย
ทำร้ายเธอ ฉันจะรีบแจ้งเธอและพาเธอหลบหนีเพื่อเธอจะได้พ้นภัย และขอให้พระเจ้าสถิตอยู่กับเธอเฉก
พระองค์สถิตอยู่กับท่านพ่อ หากฉันยังไม่ตาย เธอจะต้องแสดงความเมตตาของพระเจ้าต่อฉัน และเธอต้อง
ไม่ตัดไมตรีกับครอบครัวของฉันตลอดไป ไม่นะ ต้องใยดีกันแม้กระทั่งพระผู้เป็นเจ้าทรงทำลายศัตรูของเธอ
ลงหมดแล้ว
17 Now Jonathan again caused David to vow, because he loved him; for he loved him as he
loved his own soul.
โจนาธานให้เดวิดสัญญาอีกครั้งว่าจะรักเขา เนื่องจากโจนาธานนั้นรักเดวิดเหมือนที่เขารักจิตวิญญาณของ
ตนเอง
1 Samuel 20: 11-17ทว่าเรื่องราวความรักของโจนาธานกับหนุ่มน้อยเดวิดก็ไม่เป็นไปดั่งปรารถนาที่ทั้งคู่ต้องการ ความรักขัดใจพ่อเป็นเหตุให้บิดาของโจนาธานไม่ประสงค์ดีต่อเดวิดหนุ่มรูปงาม ทั้งคู่จึงต้องจากลากัน…
41 After the boy had gone, David got up from the south side of the stone and bowed down
before Jonathan three times, with his face to the ground. Then they kissed each other and
wept together—but David wept the most.
หลังจากเด็กรับใช้ไปแล้ว เดวิดก็ออกมาจากหลังกองหิน คุกเข่าคำนับโจนาธานสามครั้ง ใบหน้าจรดพื้นดิน
แล้วทั้งสองต่างจูบลากัน ทั้งคู่ร่ำไห้น้ำตาไหลพราก แต่เดวิดโศกเศร้า ร้องไห้หนักกว่าโจนาธานมากนัก
1 Samuel 20: 41 เมื่อวันเวลาผ่านไปทั้งคู่ต่างมีชีวิตที่ดำเนินไปของตนเอง จนอยู่มาวันหนึ่งเดวิดผู้ได้เป็นกษัตริย์ทราบข่าวการเสียชีวิตของโจนาธานชายผู้เป็นที่รัก เจ้าฟ้าหนุ่มคร่ำครวญถึงโจนาธาน และสั่งให้ชาวเมืองร้องเพลงโศกไว้อาลัยแก่การจากไปของคนรัก เนื้อความของเพลงตอนหนึ่งมีอยู่ว่า
Oh, how I weep for you, my brother Jonathan,
how much I loved you!
And your love for me was deep,
deeper than the love of women!
โอ้ว่าพี่โจนาธานข้าขานเรียก จงสำเหนียกข้าครวญคร่ำร้องร่ำไห้
ความรักพี่มีต่อข้ามั่นกว่าใคร เกินหญิงใดในพิภพจบแดนดิน
2 Samuel 1:26เพราะเพลงโศกบทนี้ให้ภาพของเดวิดในความคิดของนาวาเป็นความงดงามที่เศร้าสร้อยแต่กระนั้นยังคงอ่อนหวานไปด้วยความรักที่มันคงลึกซึ้ง หากคนเราจะมีความรักที่คงมั่นอย่างเดวิดและโจนาธานที่ไม่ว่าเวลาจะผันผ่านไปสักเท่าไรก็ไม่สามารถลืมเลือนกันไปได้ก็คงจะดีไม่น้อย
เดวิดและโจนาธานผูกพันกันด้วยพันธะสัญญาจากความรู้สึก
นาวาหวนคิดถึงเรื่องหมั้นหมายของตัวเอง เขากับตรีเพชรผูกพันกันด้วยพันธะสัญญาจากผลประโยชน์…
นึกถึงตรีเพชร นัยน์ตาสีเฮเซิลของนาวาภายใต้แว่นกรอบหนาเหลือบไปมองมือถือที่เขาวางไว้บนโต๊ะเรียน ชายหนุ่มโทรเข้ามาจนโทรศัพท์สั่นรบกวนสมาธิของคนตัวเล็กตั้งแต่เกือบหมดคาบประวัติศาสตร์ศิลปะแล้วเพราะนี่คือวิชาสุดท้ายของวันนี้ นาวาไม่ลืมคำสั่งของชายหนุ่มที่ให้ไว้
“เย็นนี้รอกลับพร้อมกัน จะไปรับที่คณะ”ท้ายคาบ อาจารย์สั่งการบ้านก่อนจะออกจากห้องไป เห็นดังนั้นนักศึกษาหลายคนจึงเก็บหนังสือและเครื่องเขียนเข้ากระเป๋า นาวาก็กำลังเก็บสมุดของตัวเองแต่ร่างบางต้องชะงักเมื่อไหล่ของตัวเองมีหัวหนักๆของเพื่อนซบลงมา
“ง่วงจังเลย…” เก้าลากเสียงด้วยความง่วงงุน ซุกหัวไว้กับไหล่ของนาวามืออีกข้างขยี้ตาเพื่อไม่ให้ตัวเองผล็อยหลับลงไปซะตรงนี้
“ยังนอนไม่พอหรือไง” นาวาถาม พลางเก็บของของตัวเองต่อ ไม่ใส่ใจเพื่อนที่เอาหัวซุกเขาราวกับลูกหมา
“แอบงีบนิดเดียว แต่ที่เหลือก็ฟังนะ” เก้าตอบทั้งๆที่ปิดตา
“ลุกได้แล้ว เพื่อนออกไปเกือบหมดแล้วนะเว่ย” นาวาท้วง
“อีกนิดนึงนะ ไหล่วานุ่มดี เราชอบ” เก้าอ้อนเบาๆ นาวาได้แต่ส่ายหัวกับท่าทีของเพื่อน
นิสาที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้แต่นั่งเงียบเก็บหนังสือเรียนของตัวเองและเก็บให้เก้าเพราะเธอรู้ว่ารายนั้นคงจะอิงไหล่นาวานอนง่วงอยู่อีกนาน
“วา เย็นนี้แกไปไหนไหม ฉันว่าจะไปวิ่งหน่อย ไปเป็นเพื่อนฉันนะ” นิสาพูดกับนาวา หล่อนมองข้ามเก้าไปพยายามไม่ใส่ใจ
“เย็นนี้ไม่ว่างว่ะสา มีธุระ” นาวาบ่ายเบี่ยงเพื่อนเพราะไม่อยากให้เพื่อนรู้ว่าวันนี้เขากับตรีเพชรมีนัดต้องไปสถานที่หนึ่งด้วยกัน
“ชวนไอ้เก้าไปดิ” นาวาหาทางออกให้เพื่อน “เก้า มึงไปวิ่งเป็นเพื่อนสามันหน่อย”
“ไม่ไป… อยากจะนอนอยู่อย่างนี้” เก้าบ่นกับไหล่ของนาวา
สมุดเล่มบางของนิสาฟาดใส่หลังเก้าเต็มแรง
“โอ๊ย ไอ้สา!” เก้าโวย เด้งตัวออกจากไหล่อุ่นของนาวา ลูบหลังตัวเองบรรเทาความเจ็บ ชายหนุ่มตื่นเต็มตา นัยน์ตาที่ถามว่ามัน
เรื่องอะไรที่เธอต้องฟาดฉันแรงขนาดนี้ส่งไปให้นิสา แต่ไม่มีคำตอบใดๆนอกจากการเดินออกจากห้องไปของหญิงสาวร่างโปร่ง
“เป็นอะไรของเขาวะ” เก้าฉงน ชายหนุ่มมองไปทางนาวาอย่างขอความเห็น นาวาส่ายหน้าสื่อความว่าตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจ
“สงสัยมีรอบเดือน” เก้าสรุป
“อยากโดนอีกใช่ไหมไอ้เก้า!” เสียงของนิสาตะโกนมาจากหน้าห้องทำให้ทั้งสองรู้ว่าเธอยังยืนรออยู่ สองหนุ่มจึงต้องรีบออกจากห้องไป
“
And that’s it. Let’s call it a day. For you who have any further questions, please feel free to email your inquiries or you could meet me in the office during my office hours. Have a good weekend.”
เสียงบรรยายของอาจารย์ชาวแคนนาดาจบลง เป็นนัยบ่งบอกว่าการเรียนที่สุดแสนหนักหนาของวันนี้ได้จบลงแล้ว BBA หลักสูตรนานาชาติของที่นี่ใช้หลักสูตรเข้มข้นชนิดที่ว่าผู้เรียนไม่สามารถกระดิกตัววอกแวกสนใจสิ่งอื่นขณะอยู่ในห้องเรียนได้เลย แต่กระนั้นตรีเพชรไม่ได้สนใจอาจารย์ประจำวิชา Taxation แต่อย่างใด ชายหนุ่มนั่งจ้องหน้าจอมือถือของตัวเอง พลางสงสัยว่าทำไมคนที่เขาโทรหาถึงไม่ยอมรับสาย
“เป็นไรคะเพชร โบว์เห็นเพชรจ้องแต่มือถือ” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งใกล้กันถามขึ้น ชายหนุ่มส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“จอม” ตรีเพชรเรียกจอมทัพที่นั่งโต๊ะถัดไป จอมทัพที่กำลังเก็บของของตัวเองหันหน้ามาทางต้นเสียง “กูไปก่อนนะเว่ย ฝากบอกไอ้เปรมว่าค่อยไปยิมด้วยกันวันหลัง วันนี้มีธุระ”
“แล้วงานวันเกิดน้องไอ้เปรมเสาร์นี้ล่ะ มึงไปไหม” จอมทัพถาม
“เออ ไป” ตรีเพชรรีบเก็บของของตัวเอง
“อ้าวเพชร จะรีบไปไหนคะ” โบว์เห็นท่าทีรีบร้อนของตรีเพชรแล้วนึกประหลาดใจ ธุระอะไรสำคัญเสียจนทำให้ชายหนุ่มผู้ชินชาไม่สนใจอะไรถึงกับรีบเร่งออกจากห้องเรียนไป
“ไปคณะมนุษย์” ตรีเพชรตอบแค่นั้น แล้วร่างของชายหนุ่มก็หายพ้นไปจากธรณีประตู สองขาของเขาเร่งฝีเท้าเพื่อให้ไปถึงรถ
ของตัวเองโดยเร็วที่สุด
จอมทัพได้ยินคำตอบของเพื่อนถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย มีบางสิ่งที่ทำให้ชายพูดน้อยคนนี้ตั้งคำถามกับตัวเองในใจ คำถามที่ผุดพรายขึ้นมาในความคิดทำให้เขารู้สึกอึดอัดชอบกล จอมทัพได้แต่ภาวนาให้ความคิดของเขาเป็นเพียงความคิดฟุ้งซ่านที่อีกไม่นานความสงสัยทั้งหลายก็จะจางหายไปราวไม่เคยเกิดขึ้น
ใต้คณะมนุษย์ศาสตร์นักศึกษาหลายคนจับกลุ่มนั่งคุยเล่นกันในยามเย็น นาวา เก้า และนิสาก็นั่งจับกลุ่มกันอยู่ที่โต๊ะไม้ประจำเพื่อให้นิสากับเก้ารอแบงค์และเอ็มมารับไปทานข้าว ส่วนนาวาก็นั่งที่โต๊ะฆ่าเวลาเพื่อรอคนบ้าอำนาจมารับออกไป
“ไอ้สา เป็นไรวะ ยังไม่หายโกรธพวกเราอีกหรือไงหน้าบูดเชียว” เก้าถามนิสาที่นั่งตรงข้ามกัน
“ฉันจะโมโหอีกรอบก็เพราะแกรื้อฟื้นมันขึ้นมานี่แหละ” นิสากอดอกสะบัดดวงหน้าบึ้งตึงออกไปอีกทาง ท่าทีน่ารักนี้ทำให้เพื่อนทั้งสองคนแอบอมยิ้มในใจ นานๆนิสาจะมีท่าทีเยี่ยงผู้หญิงขี้งอนกับเขาบ้าง
“อ้าวไม่ใช่พวกเรา แล้วใครอีกวะ” เก้าแสดงความอยากรู้
“โอ๊ยไม่อยากจะเมาท์” แค่ประโยคนี้ใครๆก็รู้ว่าอีกหน่อยหล่อนก็จะคายทุกอย่างที่หล่อนได้รู้มาให้เพื่อนฟังจนหมดเปลือก คนที่คบหากันมานานทำไมจะไม่รู้ว่านิสา(และนาวา)เป็นคนพูดมากขนาดไหน เรื่องที่รู้ต้องขยายชนิดที่เรียกว่าต้องข่มเขาเพื่อนขืนให้กลืนหญ้า
“เหลือบไปที่โต๊ะข้างๆสิ ยัยผมน้ำตาลทองนั่นน่ะ” นิสาเริ่มปฏิบัติการซุบซิบระยะเผาขน
“นั่นมันตาลเอกจีนนิ” นาวาทบทวนความรู้เกี่ยวกับเพื่อนร่วมคณะ ผู้หญิงคนนี้อยู่รุ่นเดียวกันกับพวกเขาแต่เรียนอยู่เอกภาษาจีน
เจ้าหล่อนเคยลงประกวดดาวของคณะแต่ว่าก็ไม่ได้รางวัลใดๆติดไม้ติดมือกลับมา
“ฉันเจอยัยนี่ที่ห้องน้ำ” นิสาเริ่มเปิดฉาก เก้ายกคิ้วสูงบ่งถึงคำถามว่าแล้วไงต่อ นิสาเลยต้องคายเรื่องที่ทำให้เธอหงุดหงิดออกมา
“ฉันกำลังส่องกระจกของฉันอยู่ปกติ หล่อนกับพวกของหล่อนก็ออกมาจากห้องน้ำหัวเราะคิกคัก เรื่องที่คนพวกนี้หัวเราะชอบใจก็เพราะว่าเมื่อปลายเดือนที่แล้ว ตาลมันเคยควงพี่เพชร!”
“ฮ่าๆ สา แกหึงหรือไง” เก้าถามสาอย่างไม่คิดปิดบังสิ่งที่สงสัย
“บ้าเรอะ” นิสาปฏิเสธหนักแน่น “ฉันโมโหแทนนาวามันต่างหาก”
“ห๊ะ แกมาโมโหแทนทำไม” นาวาถามออกไปเสียงหลง เขาไม่ได้ข้องเกี่ยวกับไอ้บ้าเพชรนั่นสักหน่อย จะโกรธทำไม
“โถ่เอ้ย แกมันไม่รู้อะไรนาวา” นิสาหันมาเหวี่ยง “ยัยพวกนั้นมันพูดว่า ‘พี่เพชรชอบชวนตาลไปโน่นมานี่ แถมยังเคยพาตาลขึ้นคอนโดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ต่อไปตาลคงเป็นว่าที่นายหญิงของวรจักรกรุ๊ป’ เพื่อนยัยนั่นก็นะ… อวยกันไปต่างๆนาๆ เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก มันทำให้ฉันโมโหตอนที่พวกมันหันมาเจอฉันน่ะสิ”
“ยังไง หน้ากระจกห้องน้ำก็มีอยู่แค่นั้น ไม่เห็นกันก็แปลกแล้ว” เก้าว่า
“หึ น้อยไปสิ คนมันจงใจจะพูดให้ฉันได้ยินต่างหาก” นิสาพูดเสียงดัง ไม่สนใจถึงโต๊ะข้างๆที่ตนกำลังนินทาให้รู้ซึ่งๆหน้า “พอเห็นหน้าฉันก็พูดประมาณว่า ‘อุ๊ยสา โทษทีนะที่พวกเราพูดเสียงดังเธอคงไม่ถือนะ แต่เอ…ได้ข่าวสากับเพื่อนก็เคยไปทานข้าวกับพี่เพชรนิ คงจะพอรู้จักแฟนของตาลอยู่บ้าง ไม่ถือนะ’ ฉันพยักหน้าส่งๆไปตั้งใจจะออกจากห้องน้ำ แต่อิพวกปากไวดันดักฉันไว้ก่อน เพื่อนสนิทยัยตาลนั่นพูดกับฉันว่า ‘วันก่อนเห็นเพื่อนของสาที่ชื่อนาวาน่ะ นั่งรถไปกับพี่เพชร แถมอีกวันพี่เพชรปั่นจักยานให้นาวาซ้อนอีก นาวากับพี่เพชรดูไม่น่าจะมารู้จักกันได้นะ คือแบบว่าน่าจะอยู่กันคนละสังคมน่ะ พวกสาไปรู้จักไปสนิทกับพี่เพชรขนาดนั้นได้ยังไง’”
“ผู้หญิงนี่น่ากลัวแฮะ” เก้าพูดขึ้นมาเบาๆ
คนละสังคม… น่าจะหมายถึงอยู่กันคนละระดับสินะ นาวาไตร่ตรองในใจ
“ฉันได้ยินแบบนั้นแทบจะปี๊ดแตก แต่ยังดีที่ฉันยังไม่อยากโดนรุม ก่อนจะออกมาฉันเลยบอกพวกปากหอยปากปูไปว่า ‘โอ๊ย พวกเราน่ะสนิ๊ทสนิทกับกลุ่มเพื่อนของพี่เพชร โดยเฉพาะพี่เพชรเนี่ยสนิทม๊ากมากถึงขั้นเห็นและสัมผัสรสจูบกันมาแล้ว!’”
“ฮ่าๆๆ” เก้าตบโต๊ะหัวเราะตลกวิธีแก้เผ็ดของนิสา
“อะไรนะ” ต่างกับนาวาที่ร้องเสียงหลง อายสิ่งที่เพื่อนพูดออกไป “ที่ว่าเห็นและสัมผัสนี่มันยังไงไอ้สา”
“ก็ฉันเห็น แกสัมผัสไง” นิสาตอบกลับด้วยแววตาใสซื่อที่ซ่อนความซุกซนเอาไว้
“โอ๊ยจะบ้าตาย” นาวาบ่นพลางเอาหัวฟุบลงบนกระเป๋า
‘I was a quick, wet boy, diving too deep for coins. All of your street light eyes wide on my plastic toys’ เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์นาวาดังขึ้น เป็นเหตุให้คนที่กำลังก้มหน้าหนีความอับอายต้องกดรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล” นาวากรอกเสียงไป
‘อยู่ไหน’ ปลายสายถามมาสั้นๆ น้ำเสียงของคนที่โทรมาทำให้นาวารู้ได้ทันทีว่าคุยอยู่กับใคร จะใครที่ไหนล่ะก็ไอ้คนที่เป็นประเด็นอยู่ตอนนี้ไง
“อยู่ใต้คณะ” คนตัวเล็กกรอกเสียงชินชาใส่ บ่งถึงความรำคาญให้อีกฝ่ายทราบ
‘อือ เดี๋ยวไปรับ’ “เฮ้ยไม่ต้อง เดี๋ยวออกไปเอง ไปรอแถวๆวงเวียนก่อนถึงคณะดิ” นาวาบ่ายเบี่ยงไม่ให้ชายหนุ่มมาหา
‘ทำไมต้องไปที่วงเวียน ไกลก็ไกล’ “เอาน่า ทำตามที่บอกมั่งเหอะ” นาวาต่อรอง
‘อ๋อ ไม่อยากให้เพื่อนรู้ละสิ’ น้ำเสียงยียวนกลั้วหัวเราะของอีกฝ่ายจับทางนาวาได้
“ช่างเหอะน่า ไปรอที่วงเวียนนะ” คนตัวเล็กพูด
‘ไม่ต้องออกไปรอละ ไปพร้อมกันเลย’“พูดอะไรของนาย งง”
‘หันมามองข้างหลังดิ’ แล้วสายจากตรีเพชรก็ตัดไป
เมื่อนาวาหันไป ชายหนุ่มหยุดอยู่ด้านหลังเขาพอดี ทำให้หัวทุยๆของเด็กแว่นชนกับหน้าท้องแกร่งของตรีเพชร นาวาได้กลิ่นหอมของเสื้อผ้าและน้ำหอมโชยมาอ่อนๆจากสัมผัสที่ไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเงยหน้าไปก็พบกับรอยยิ้มและดวงตาเรียวรีของชายหนุ่มรออยู่แล้ว
“ไอ้ตี๋ มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงตกใจหมด” นาวาบ่นแก้อาการงกๆเงิ่นๆของตัวเอง
“อ้าวก็บอกแล้วนิว่าจะมา” ตรีเพชรพูดไป
“พี่เพชร” นิสาเรียกตรีเพชรเสียงดัง จนทำให้โต๊ะข้างๆหันมามองเป็นตาเดียว “จะมารับวาไปเหรอคะ”
“อื้ม” ตรีเพชรยิ้มตอบรุ่นน้อง “พอดีมาส่งก็ต้องมารับกลับน่ะ”
“อ๋อถึงว่า วันนี้วามันไม่ปั่นจักรยานมา แต่มันโกหกพวกเราว่านั่งแท็กซี่มาค่ะพี่เพชร” นิสาหญิงสาวหัวไว หาทางแก้เผ็ดเพื่อนจอมบิดบังด้วยการแสร้งยิ้มใสไร้เดียงสาแล้วแฉทุกอย่างที่มันบิดบังเอาไว้อย่างไม่รู้สึกร้อนหนาวอะไร
“เพื่อนเรานิสัยแย่เนาะ” ตรีเพชรบ่น
“แย่โคตรครับพี่เพชร ไม่เห็นบอกอะไรมั่งเลย พวกเราอุตส่าห์เป็นห่วงกัน เห็นปกติงกไม่ยอมเสียเงินให้แท็กซี่” เก้าก็ร่วมวงซ้ำเติมนาวาด้วยอีกคน
“ไว้พี่จะดัดนิสัยให้ละกัน” ตรีเพชรยกยิ้ม และส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ เรียกให้ใบหน้าของนาวาหงิกงออย่าไม่สบอารมณ์
“ไปกัน…” ตรีเพชรจะชวนนาวาให้ออกไป แต่ชายหนุ่มกลับพูดไม่จบประโยคเมื่อรู้สึกว่าแขนข้างขวามีมือบางคู่หนึ่งมาคล้องเอา
ไว้ เขาจึงต้องเบนความสนใจไปที่หญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยควงไปไหนมาไหนด้วยในระยะเวลาสั้นๆ
“พี่เพชรคะ” ตาล หญิงสาวผู้ที่เคยอยู่ในบทนินทาของนิสากำลังเกาะแขนตรีเพชร ตรีเพชรมองมือที่เกาะแขนเขาด้วยปลายตา
“มาทำอะไรแถวนี้คะ ตอนบ่ายตาลโทรไปแต่สงสัยพี่เรียนอยู่เลยไม่ได้รับ คือเย็นนี้ตาลกะจะชวนพี่ไปหาอะไรทานกันที่ร้านเดิมของเราน่ะค่ะ”
ทุกถ้อยคำของตาลบอกชัด หล่อนกับตรีเพชรเคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้ง ร้านเดิมของเรา… นาวายิ้มเยาะ ร้านเดิมของหล่อนและใครอีกหลายคนที่หมอนี่เคยพาไปละสิไม่ว่า คิ้วน้อยๆของนาวาขมวดไม่ชอบใจ พลางคิดว่าตัวเองไม่น่ามาข้องเกี่ยวกับชายเจ้าชู้ประตูดินอย่างตรีเพชรเอาเสียเลย
“พี่มีธุระกับคนแถวนี้ครับ แต่คนนั้นไม่ใช่ตาลนะ” ตรีเพชรพูด ชินชา แต่ยังคงสุภาพรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองเอาไว้ได้อย่างงดงาม นาวาได้แต่นึกหมั่นไส้ชายหนุ่มอยู่ครามครัน คนแถวนี้… เดี๋ยวเถอะพ่อจะสอยให้ร่วง ไอ้คนแถวนี้
“แต่พี่เพชรบอกแล้วว่าถ้าว่างจะพาตาลไปทานข้าวไปดูหนัง” ตาลยังคงดึงดัน
“แต่วันนี้พี่ไม่ว่างครับ” ตรีเพชรแกะแขนออกจากตาลอย่างสุภาพ
“
วันอื่นก็ไม่ว่าง”
ทุกสายตาหันมามองที่ต้นเสียงด้วยแววที่มีอารมณ์แตกต่างกันไป สายตาของตาลและเพื่อนออกจะโมโหนิดๆ นิสาและเก้าส่อแววสงสัยชัดเจน แต่แววตาของตรีเพชรกลับประหลาดใจและตกใจอยู่ในที
นาวาลุกขึ้นยืดตัวสุดความสูง เกี่ยวกระเป๋าหนังสีน้ำตาลแก่ขึ้นบ่าแล้วออกเดินนำตรีเพชรที่ยืนอึ้งอยู่กับที่ เมื่อรู้สึกว่าไม่มีใครตามมา นาวาจึงหันมองคนข้างหลังฉายปลายตาเพียงแวบเดียวราวไม่อยากมองให้เสียลูกกะตา
โอ้ว่าพี่โจนาธานข้าขานเรียก “ไอ้ตี๋จะไปไหม ร้านเดิมน่ะ” เสียงเรียกของนาวาทำให้เพื่อนสองคนประหลาดใจ ร้านเดิม… นิสาเลิกคิ้วอย่างสงสัยพลางเข้าใจว่าเพื่อนของตัวเองนี่ชอบแก้เผ็ดคนเล่นเหมือนกัน
“ปะ ไปครับ” ตรีเพชรขานรับ พลางเรียกสติของตัวเองกลับมา รอยยิ้มฉาบฉายบนใบหน้าก่อนชายหนุ่มจะวิ่งตามนาวาไป