ตอนที่ 29 ครึ่งหลัง
รามินทร์มาถึงตอนสี่ทุ่มกว่าๆ เพราะฝ่าทั้งฝน ทั้งรถ ทั้งอุบัติเหตุระหว่างทาง แต่ก็นับว่าเร็วสุดๆ แล้วในสถานการณ์ที่อุปสรรคในการเดินทางเยอะแบบนี้
“ยังไม่นอนอีกหรือวะ” รามินทร์ถามเสียงอ่อน อินทัชที่นั่งดูทีวีอยู่หันมามองนิดเดียวก่อนจะหันกลับไปดูละครต่อไม่สนใจรามินทร์ จนร่างสูงทำตัวไม่ถูก
“ทำไมไม่ตอบ” แม้ว่าใจจะโอนอ่อนขนาดไหน แต่ความปากแข็งมันก็ไม่หายง่ายๆ รามินทร์เลยใช้น้ำเสียงเข้มๆ แกมบังคับออกไป
“ก็เห็นอยู่ว่ายังไม่นอน จะเอาคำตอบอะไรอีก”
ก็จริงของมันนะ...คำถามของเขาก็ช่างเป็นคำถามที่โง่เง่าเต็มที
“มึงก็ควรจะพูดกับกู หรือถามอะไรกูก็ได้”
“แล้วทำไมกูต้องพูด ต้องถามมึงด้วย ปกติเราก็ไม่ค่อยจะคุยอะไรกันอยู่แล้วนี่”
“มึงกำลังทำให้กูหงุดหงิดนะอิน” ร่างสูงเดินตรงไปหาอินทัช ยืนค้ำหัวอีกคนแล้วมองลงไปยังร่างที่นั่งดูทีวีอยู่ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
ทั้งๆ ที่เขารีบกลับมาหามัน เสี่ยงอันตรายแทบตาย ต้องมาเจออินทัชกวนประสาทแบบนี้บอกตรงๆ ว่าโมโห หงุดหงิด...
มันไม่ได้สนใจเขาเลย...ไม่โกรธ ไม่หาเรื่อง ไม่โวยวาย
“ฮึ! ไม่ว่าจะยังไง กูก็ทำให้มึงหงุดหงิด ไม่ชอบใจตลอดนั่นแหละ” รามินทร์กำหมัดแน่น กัดฟันกรอด ดวงตาคมมองใบหน้าสวย ฉายชัดถึงความไม่พอใจ
มันก็ดีแล้วนี่...มันไม่โกรธ ไม่โวยวาย ไม่ถามมาก นั่นเป็นสิ่งที่มึงควรต้องการราม แล้วนี่...มึงจะไม่พอใจอะไร มึงต้องการอะไรจากมัน!!!
“รู้ตัวก็ดี”
“ทีหลังมึงก็ล่ามกูไว้ด้วยเลยก็ได้นะ”
ตอนแรกคิดว่ามันจะจบ ที่ไหนได้ อินทัชก็หาเรื่องขึ้นมาเพราะอดไม่ได้
“ไม่ต้องบอกหรอก ถ้ามึงคิดหนีเมื่อไหร่ กูล่ามเมื่อนั้นแหละ แต่พอดีกูไม่ได้เอามันมาด้วยไง เลยไม่ได้ล่ามมึงไว้” รามินทร์ตอบแบบประชดประชันกลับไปเช่นกัน
ร่างบางกัดริมฝีปากล่างอย่างเจ็บใจ
นึกถึงวันแรกที่เขารู้ตัวว่าถูกจับมา ขาเขาถูกล่ามเอาไว้ด้วยโซ่ราวกับนักโทษ ภาพทรงจำอันเลวร้ายก็ฉายขึ้นมาราวกับเปิดหนัง ทั้งโดนทำร้าย ก่นด่า ต่อว่า ทำกับเขาเยี่ยงทาส ย่ำยีเขาอย่างไม่ใช่คน...
แค่คิด น้ำตาก็ไหลลงมา ไร้เสียงสะอื้น ไร้เสียงร้องไห้ มีเพียงแค่หยาดน้ำตาที่รินไหล
“มึง...” รามินทร์ทำท่าจะเข้าไปปลอบ แต่ก็ต้องชะงักตัวเองเอาไว้ กลืนน้ำลายอึกใหญ่ แล้วหันหน้าหนีภาพใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตา
“ตอนแรกกูคิดว่ามึง...จะดีแล้ว แต่มาวันนี้ มึงก็เหมือนเดิม” เสียงสั่นเครือของอินทัชมันบาดลึกเข้าไปในหัวใจของรามินทร์เหลือเกิน
มันใจร้ายเหมือนเดิม...มันเห็นว่าเขาเป็นแค่นักโทษของมัน
เพราะมึงหวั่นไหวไงอิน เพราะหวั่นไหว มึงถึงคาดหวังว่ามันจะดีกับมึง แล้วเป็นยังไง ความใจร้ายของมัน ทำให้มึงนั่งเสียใจอยู่แบบนี้
พอกันที จะไม่เชื่ออะไรจากปากของมันอีกแล้ว!!!
“หึ! สมเพชกูล่ะสิ สะใจมากสินะ ที่เห็นกูเป็นแบบนี้”
“มึงอย่ามาดราม่าไอ้อิน อย่าคิดไปเอง!!” ร่างสูงตะคอก ทำเอาร่างโปร่งถึงกับปาดน้ำตาออกด้วยความคับแค้นใจ แล้วหันหลังให้กับรามินทร์
อย่าคิดไปเอง...ใช่ กูคิดเองไปเอง
“กูอยากรู้จริงๆ” เสียงทุ้มสั่นของอินทัชเอ่ยขึ้นมาเบาๆ “ว่ามึงถูกเลี้ยงมายังไง จิตใจถึงได้โหดเหี้ยม ใจร้ายได้ขนาดนี้!!!” ก่อนจะตะโกนออกมาสุดเสียง
ปัง!!!
ร่างโปร่งหยัดกายลุกขึ้นยืน เดินเข้าห้องนอนแล้วล็อกประตูอย่างแน่นหนา
“โถ่เว้ย!!” ส่วนรามินทร์ก็สบถแล้วทิ้งตัวบนโซฟาอย่างหัวเสีย หลับตาทั้งๆ ที่คิ้วก็ยังขมวดแน่นไม่คลาย...รามินทร์ที่เหนื่อยมาทั้งวันจากการเดินทางไป อยู่ร่วมงานจนเดินทางกลับ ไหนจะยังมามีเรื่องกับอินทัชอีก ความล้าที่มีก็ทำให้เขาหลับไปทั้งๆ ที่ยังเครียดอยู่
...
...
เฮือก!!!
ร่างแกร่งสะดุ้งพรวดขึ้นมาเมื่อรับรู้ได้ว่าตอนนี้เช้าแล้ว อะไรบางอย่างทำให้เขาต้องลุกขึ้นเดินไปยังห้องนอนทันทีและทันทีที่เปิดประตูได้ คิ้วเข้มก็ผูกกันแน่น ใจเต้นแรงคาดหวังว่าจะเจออินทัชในห้อง แต่แล้วก็ต้องรู้สึกผิดหวังเมื่อทั้งห้องนอนและในห้องน้ำ ไม่มีคนที่ตามหาอยู่แล้ว
“หรือว่ามัน...หนี” รามินทร์สันนิษฐานหน้าเครียด วิ่งไปยังห้องครัวแต่ก็ไม่พบใครอยู่
สองเท้ายาววิ่งออกไปยังข้างนอกเพื่อไปตามหาอินทัช เสื้อผ้าก็ยังอยู่ในชุดสูทตัวเดิมกับเมื่อวาน น้ำท่าก็ไม่ได้อาบ สายตาคมมองหาไปรอบๆ ใจก็เต้นแรงเพราะความกังวล
“มันไปไหนของมันวะ!!”
“คุณราม หาใครหรือครับ” ลูกน้องที่เห้นว่าเจ้านายกำลังวิ่งตามหาใครสักคนอยู่เดินเข้ามาถามเพราะอยากจะให้ความช่วยเหลือ
“คนที่มากับฉันน่ะ เป็นผู้ชายๆ สูงเกือบเท่าฉัน หน้าสวยๆ เหมือนผู้หญิง เห็นบ้างไหม”
“ไม่เห็นนะครับ ผมอยู่แถวนี้ตั้งแต่ตอนเช้าแล้วก็ยังไม่เห็นใครเลย”
“ถ้างั้นก็ช่วยตามหาหน่อยนะ”
“ได้ครับคุณราม”
เขามองตามลูกน้องที่วิ่งไปเพื่อช่วยตามหาอินทัช รามินทร์ก็รู้สึกโกรธและโมโหตัวเองที่ดันสะเพร่าหลับสนิทปล่อยให้อินทัชหนีไป
ร่างสูงใช้เวลาเดินหาทั่วรีสอร์ทก่อนจะกลับไปที่บ้านพักและที่จอดรถก็ยังมีรถของเขาจอดอยู่ เช็คกล้องวงจรปิดก็ไม่มีอินทัชเดินออกจากรีสอร์ทไป แต่ในตัวของรีสอร์ทไม่มีกล้องไหนจับอินทัชได้เลย เนื่องจากกล้องตรงบ้านพักเขามันเสีย เลยไม่ได้คิดเอาไว้ว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้
“ไปอยู่ที่ไหนวะ!!”
รามินทร์เชื่อ เชื่อว่าอินทัชยังอยู่ในรีสอร์ท เพียงแต่เขาไม่รู้เท่านั้นเองว่าร่างโปร่งอยู่ส่วนไหนของรีสอร์ท แต่นั่นก็ยังสบายใจไม่ได้ถ้าไม่ได้เห็นกับตาว่าอีกคนยังอยู่
มันก็มีหลายวิธีที่จะออกจากที่นี่ได้...
“มีที่ไหนอีกบ้างที่ยังไม่ได้หาวะ” พูดกับตัวเองเบาๆ รามินทร์คิดระหว่างที่เดินกลับบ้านพัก และเมื่อถึงหน้าบ้าน ก็ไม่เห้นรองเท้าของอินทัชวางอยู่ก็คิดได้ว่ามันยังไม่กลับมา สายตาเขามองตรงไปยังข้างหน้าที่เลยบ้านไปอีก ที่ที่เขายังไม่ได้หา...
“จริงสิ!”
มันมีศาลาชมวิวที่เขาสร้างเอาไว้นั่งเล่น นั่งพักผ่อนอยู่ถัดจากบ้านพักไปอีก ที่เขากับลูกน้องไม่ได้มาหาที่นี่เพราะรามินทร์เองก็ลืมไปแล้ว ส่วนลูกน้องก็คิดไม่ถึง ขายาวๆ รีบก้าวเดินไปยังสถานที่นั้นทันที
“เฮ้อ...” แล้วพอเห็นตัวศาลาเขาก็พบแผ่นหลังที่คุ้นเคยนั่งมองไปยังวิวที่มีเทือกเขามากมายอยู่เงียบๆ นิ่งๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ
รอยยิ้มจุดประกายที่มุมปากนิดๆ
อินมันไม่ได้หนี...มันรักษาสัญญาทั้งๆ ที่มันจะหนีก็ได้
ต้องเป็นคนยังไงนะ มีโอกาสหนี แต่ไม่ยอมหนี...
“มึงรู้ไหมว่ากูให้ลูกน้องออกตามหามึงซะวุ่นวายไปทั่วรีสอร์ท” เสียงของรามินทร์ทำให้ร่างที่นั่งนิ่งอยู่สะดุ้งนิดๆ และก็เรียกร้องความสนใจจากอินทัชไม่ได้
รามินทร์เดินเข้าไปหาแล้วนั่งลงข้างๆ กับร่างเล็กกว่าอย่างเงียบๆ ดวงตาก็มองไปยังวิวธรรมชาติเบื้องหน้าด้วยเช่นเดียวกัน จนบรรยากาศรอบตัวปกคลุมไปด้วยความเงียบ ราวกับว่าอยู่ตัวคนเดียว
“กูจำเป็นที่ต้องขังมึง” รามินทร์เอ่ยทำลายความเงียบ
“เออ! กูเข้าใจ มึงกลัวกูหนีไง”
“มันก็ไม่ใช่ทั้งหมด”
“เฮอะ! นอกจากเหตุผลนี้แล้วยังจะมีอะไรอีกไม่ทราบ”
อีกเหตุผลก็คือ...เขาไม่อยากให้อินทัชกลับไปตอนนี้
“แล้วแต่มึงจะคิดก็แล้วกัน”
อินทัชที่อารมณ์ดีแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจมากมาย เพราะรู้ว่าเหตุผลที่โดนขังคืออะไร แต่อย่างไรก็ตาม คำว่า ‘คน’ ย่อมไม่ชอบถูกกักขัง หรือแม้แต่ ‘สัตว์’ เอง ก็ยังต้องการอิสระ
มันไม่ผิดที่เขาจะโกรธ
มันไม่ผิดที่เขาจะเสียใจ
“พรุ่งนี้กลับเพชรบูรณ์นะ” รามินทร์บอก
“ทำไมต้องบอก ตอนมา ก็ไม่เห็นจะพูดอะไรมากมาย”
“เมื่อวาน กูได้คุยกับเพื่อนมึงด้วย เขามาถามหามึงกับกู” รามินทร์เล่าบอกไปตามความจริง
“ไอ้ธีร์น่ะหรือ? หึ! แล้วมึงตอแหลไปว่ายังไงล่ะ”
“มึงไม่ต้องรู้หรอก”
“ถึงมึงไม่บอก กูก็รู้ว่าคนเหี้ยๆ อย่างมึงพูดบอกเพื่อนกูไปว่ายังไง”
“จะบอกว่ารู้ใจกูว่างั้น”
“คนละเรื่องแล้วไหม? ตรงไหนที่บ่งบอกว่ากูรู้ใจมึง” หันมาถามอย่างเอาเรื่อง
“แล้วทำไมต้องร้อนตัว กูก็พูดไปงั้น”
“ไอ้!!!”
อินทัชหงุดหงิด ไม่รู้จะด่าร่างแกร่งยังไงถึงจะสะเทือนมัน แล้วต้องด่ายังไงถึงจะสะใจตัวเอง ในเมื่อคำหยาบใช้ไม่ได้ผล อะไรก็ไม่ได้ผล สุดท้ายก็หมดอารมณ์ที่จะดูวิว ร่างโปร่งบางลุกขึ้นยืนแล้วเดินหน้าบึ้งกลับบ้านพักไป โดยที่รามินทร์ก็ตามไม่ห่างด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่งดั่งเดิม
มีโอกาสให้หนีได้แล้ว...ทำไมถึงเลือกที่จะทิ้งมันไป
ถ้าจะเอาคำตอบจากอินทัช เขาก็บอกได้อย่างเดียว คือ...ไม่รู้
ไม่รู้ว่าทำไมถึงโง่ ที่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือไป
“กูไม่รู้หรอกนะว่าทำไมมึงถึงอยู่ แทนที่จะหนีไปเพราะมีโอกาสแล้ว แต่ยังไงซะ จากนี้ไปกูจะพยายามทำตัวดีๆ ไถ่โทษที่ร้ายกาจกับมึง ก่อนจะปล่อยมึงกลับไป” รามินทร์พึมพำมองตามหลังที่อยู่ข้างหน้าตนเอง
เสียงมันเบามาก ไม่ได้พูดกับอินทัช แต่เป้นการย้ำเตือนตัวเอง
อย่างน้อย ก็อยากให้อินทัชมีความทรงจำดีๆ กลับไปบ้าง
และที่สำคัญ นอกจากความเลวร้ายที่รามินทร์ทำกับอินทัชแล้ว เขาอยากจะให้อินทัชเชื่ออย่างสนิทใจว่าเขา...รู้สึกผิดและอยากจะขอโทษจริงๆ
...
...
...
“ไอ้อิน ทำยังไงดีวะ คุณจอมเขาโกรธกูอ่ะ”
“เรื่อง?”
“มานั่งๆ เดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง ว่าแต่มึงหายหัวไปไหนมาวะ” ร่างโปร่งโดนเพื่อนหน้าเถื่อนลากไปนั่งยังร่มไม้เมื่อเดินทางมาถึงรีสอร์ทที่เขาค้อได้ไม่ถึงชั่วโมง ส่วนรามินทร์พอมาถึงก็สั่งให้เขาไปทำงานของตัวเอง แล้วมันก็หายไปกับผู้จัดการรีสอร์ท จักรที่ยืนกระวนกระวายอยู่แถวนั้น เห็นร่างโปร่งของอินทัชกำลังทำงานอยู่ก็ตรงเข้าไปทันที
“ถามเจ้านายมึงดิ”
“เออช่างมันเถอะ ตอนนี้เรื่องกูก็หนักใจพออยู่แล้ว”
“ว่ามาๆ”
ไม่นานร่างแกร่งของจักรก็เล่าทุกอย่างออกไปตามความจริงทั้งหมด ซึ่งพอเห็นใบหน้าสวยของเพื่อนขมวดคิ้วแน่นไม่รู้ว่าโกรธเขาไปอีกคนหรือกำลังไม่พอใจแก้วที่ทำให้เกิดเรื่องกันแน่
“เรื่องก็มีเท่านี้แหละ”
“ไม่เห็นจะยาก มึงก็ไม่ได้ผิดอะไรนี่ แค่อาจจะโง่เชื่อคนง่ายไปหน่อย”
“นี่จะช่วยให้กำลังใจหรือกำลังหลอกด่ากูกันแน่”
“กูไม่ได้หลอกด่า อย่าเข้าใจผิด กูด่ามึงตรงๆ เลย มึงก็รู้ว่าไม่ควรไปห้องผู้หญิงตอนค่ำๆ มืดๆ แบบนั้นป่ะ เมื่อไหร่ไอ้ความใจดีพร่ำเพรื่อของมึงจะหมดไปวะ กูเป็นน้องจอมกูก็โกรธ” จากที่ขอคำปรึกษากลับต้องมารู้สึกไม่ดีซ้ำเข้าไปอีก
แต่ทำยังไงได้ เพราะความใจดีของเขาเองนั่นแหละที่ทำให้เจ้าจอมโกรธ
ไอ้จักรคนนี้กลายเป็นคนไม่รักษาคำพูด ไม่รักษาสัญญา
“กูจะทำยังไงดีวะ”
“สิ่งที่มึงทำได้นะไอ้จักร คือตามตื๊อเหมือนอย่างที่มึงเคยตามจีบ ทำหน้าเหงาหงอยเหมือนหมาโดนเจ้านายทิ้งยามที่ตัดพ้อคิดว่าเจ้าจอมไม่มีทางหันมาสนใจ แล้วก็ทำตัวโง่เง่าซื่อบื้อต่อไปพอ อ้อ! ทำหน้าเศร้าๆ หงอยๆ เข้าไว้ เดี๋ยวน้องจอมก็ใจอ่อนเอง”
เพราะแค่มึงตามตื๊อเข้าหน่อย เจ้าจอมก็ใจอ่อนเองแหละ ไอ้นี่ก็โง่ คิดว่าเจ้าจอมจะโกรธจริงจังมากมาย ไอ้โกรธน่ะโกรธจริง แต่ก็ไม่ได้มากมายขนาดนั้น
“จะได้ผลเหรอวะ แม่งคำปรึกษาของมึงเหมือนโดนด่าไปด้วยเลยว่ะ”
อินทัชส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอา
“งั้นกูต้องตื๊อยังไง”
“คิดเองบ้างนะมึง ถ้ามึงมาให้แต่กูช่วยแบบนี้ น้องจอมรู้เข้าว่าไม่ใช่ความคิดของมึงเอง มึงจะซวยอีกไม่ใช่น้อยเลยล่ะ”
“เออว่ะ จริงด้วย!!” คนผิวเข้มทำหน้าเหมือนเพิ่งจะคิดได้ ก่อนจะใช้สายตาที่แสนจะขอบคุณให้กับร่างบาง จนอินทัชยิ้มให้น้อยๆ
“มีอะไรอีกไหม จะไปทำงานต่อ”
“ไปไหนวะ?”
“ว่าจะไปดูผักหน่อยน่ะ”
“ด้านล่างนั่นน่ะเหรอ” จักรถามโดยนิ้วก็ชี้ไปยังด้านล่างที่เป็นแอ่งเขาซึ่งจำได้ว่าอินทัชเคยพักอยู่ที่นั่นด้วย
“อือ”
“กูว่าอย่าดีกว่า ช่วงนี้มึงอย่าลงไปที่นั่นเลยนะ” จักรทำหน้าเครียดๆ จนอินทัชอดสงสัยไม่ได้
“ทำไม?”
100%
ขอโทษที่ให้รอนานนะคะ หลังจากนี้จะพยายามมาอัพให้บ่อยขึ้นค่ะ อ่านแล้วคอมเม้นท์ให้ยูกิด้วยนะคะ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับคนเขียนต่อไปค่ะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
หากต้องการสอบถาม พูดคุย ติดตามข่าวสาร ทวงนิยาย ก็ไปหายูกิได้ที่แฟนเพจนะคะ
https://www.facebook.com/sawachiyuki/