ยกที่16 งานก็มา
โชคดีที่รอยแดงตรงคอหายก่อนวันเรียน ส่วนแผลพกช้ำดำเขียวอันนี้คงทำใจสถานเดียว คิดพลางมองสำรวจตัวเองหน้ากระจก
“โป้เสร็จยังวะ”
เจ้าของเสียงเปิดประตูเข้ามาแบบไม่เกรงใจ
“อีกแป๊บๆ มึงรีบเหรอ”
“เปล่า กูแค่จะมาดู เผื่อมึงแอบนอนต่อ”
“คุณมึงครับ มึงพูดกับกูโปรดเงยหน้าสบตากูด้วย ไม่ใช่จ้องแต่หัวนมกูไอ้สาด”
พอมันเห็นท่าทางปิดหัวนมปานสาวน้อยของผมก็หัวเราะดังลั่น เข้ามาช่วยผมแต่งตัวมีเนียนลวนลาม หวิดจะเสียตัวถ้าหากไม่ติดว่ามีเรียนเช้าทั้งคู่นะ
ว้า...เสียดาย
“เหม่ออะไรมึง วันนี้กูจะขับรถไปนะ”
ผมหันขวับ ร้อยวันพันปีไม่เคยขับ จะขับเฉพาะออกต่างจังหวัดหรือไปไหนไกลๆ เท่านั้น เนื่องจากมันเบื่อรถติด
“ราคาน้ำมันลด มึงเลยจะขับ?” ผมแกล้งถาม ผมหันมาแยกเขี้ยวใส่
“กูไม่ได้งกขนาดนั้น ตัวมึงเป็นรอยช้ำด่างดวงอย่างกับคนเป็นโรค ขืนให้นั่งรถโดยสารเดี๋ยวคนอื่นจะหวาดผวากันหมด”
“ถุยครับ แค่ช้ำไม่กี่ที่ มึงอย่ามาเว่อ”
พูดพลางหอบข้าวของ เด็กสถาปัตย์นี่ของเยอะจริงๆ กระเป๋าเป้หนึ่งใบ ใส่พวกหนังสือสมุดอุปกรณ์ที่พอจะยัดเข้าไปได้ มือถือกระดานรองวาดกับม้วนกระดาษร้อยปอนด์ ถ้าวันไหนไม่มีเรียนวาดนั่นแหละถึงพอจะเดินตัวปลิว ซันที่ใส่รองเท้าเสร็จแล้วช่วยผมถือของลงลิฟท์ไปยังลานจอดรถ
คอนโดที่พวกเราอยู่ หนึ่งห้องสามารถจอดได้สองคัน คันหนึ่งเป็นของซัน อีกที่ทิ้งว่างไว้สำหรับพวกเฮียเฟย์หรือไม่ก็พี่ชายของซันมาเยี่ยม ซึ่งผมยังไม่เคยเจอสักที
ข้าวของถูกวางไว้ด้านหลัง ผมนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถ เปิดแอร์เย็นฉ่ำ ชวนมันคุยไปตลอดทางพลางลอบมองสีหน้าจริงจังเวลาขับรถของคนข้างตัวเพลินๆ พอไฟเขียวยกยิ้มมุมปากพอใจ เวลาไฟแดงหรือเจอรถกวนประสาท คิ้วจะขมวดเป็นโบว์อยู่กลางหน้าผาก
ทุกคนคงเข้าใจว่าคนอย่างซันมันจะตะโกนกระโชกโฮกฮาก ไม่เลย ผมบอกแล้วมันมีความเป็นคุณหนูอยู่ลึกๆ อย่างมากแต่สบถคำหยาบ
“ถึงแล้ว”
ผมกระพริบตาปริบๆ มองมัน พอซันเห็นหน้าเอ๋อๆ ของผม มันขยับมาดูดปากล่างผมดังจ๊วบ
“เชี่ย ดูดขนาดนี้แดกเลยไหม”
“ก็เห็นมึงเหม่อมองหน้ากู คิดว่าอยากจูบ ลงไปได้แล้วมึงกูจะไดไปคณะบ้าง” ซันเอี้ยวตัวไปด้านหลังหยิบฉวยเอาของมายัดใส่แขนผม
“ตอนเที่ยงมึงอย่าเพิ่งกินข้าว เดี๋ยวกูมารับไปกินร้านอร่อย ไอ้มิทมันชวนมา อ่อ แล้วที่กูยอมขับรถวันนี้เพื่อมึงเลยนะ กลัวจะช้ำมากกว่าเก่า ขอบคุณผัวสิจ๊ะ”
ยังจะมาขยิบตากวนส้น ผมยกนิ้วกลางให้เป็นรางวัลแถมปิดประตูรถอัดหน้า จนรถมันไปไกลแล้วนั่นแหละถึงได้ยิ้มออกมา ทำตัวน่ารักเป็นบ้า เห็นทีเย็นนี้ต้องทำอาหารสุดฝีมือ
หันหน้ากลับเข้าอาคาร ด้านล่างเปิดโล่งเป็นโรงอาหารในตัว มีโต๊ะไม้ยาวเรียงเป็นแถวสำหรับให้นักศึกษาใช้สอย รายล้อมอาคารด้วยกระถางต้นโมกกับต้นปีบสูงใหญ่ เวลาออกดอกส่งกลิ่นหอมอบอวนตีกันจนมึน
ด้วยความที่ทางขึ้นลิฟท์ฝ่ากลางโรงอาหาร ผมเลยต้องเดินอวดสารร่างตัวเองต่อสายตาประชาชี พวกคนที่รู้จักส่งเสียงทักกันเซ็งแซ่ ส่วนใหญ่จะทักประมาณว่า
“ฟัดกับหมาที่ไหนมาวะโป้” ไม่ใช่หมาหรอก แต่เป็นควายถึก
“แฟนซ้อมเหรอมึง” ได้ข่าวว่าผมเป็นฝ่ายชอบลงไม้ลงมือกับมันมากกว่า
ส่วนคำตอบของผมน่ะเหรอ...
“กูหน้าตาดีเกินไป คนอิจฉาเลยมีเรื่องกันว่ะ”
“โห่!! / เอ้อ ไอ้คนหน้าตาดี! / ไปตายให้หนอนแดกไป๊!”
ได้รับคำสรรเสริญแต่หัววัน ผมหัวเราะเบิกบานโบกไม้โบกมือปานนางสาวไทย ล้อเลียนพวกมันจนบางคนลุกขึ้นมาไล่เตะก้น ขณะที่ผมกำลังจะเผ่นเข้าลิฟท์ เสียงเรียกแหลมสูงดังกลบเสียงโห่ฮาจนเงียบกริบ
“อีโป้!!/นังโป้!!”
ผมหันขวับไปมอง เจอคู่หูมหาภัยประจำคณะ พี่ปุ้นกับพี่ฝ้ายวิ่งมากระโปรงพลีทปลิวพรึบพรับเห็นบ๊อกเซอร์ เหล่าชายหนุ่มพากันหันหลบเป็นทิวแถว ด้วยกลัวจะเอาไปฝันร้าย พวกที่ไล่หลังผมมาโกยแน่บกลับโต๊ะหลบความซวย ใจจริงผมก็อยากจะหลบด้วยนะ แต่กลัวตายเลยยืนตั้งรับอยู่ที่เดิม
ทุกคนจำกันได้ไหมครับ พี่ปุ้นกับพี่ฝ้าย สาวสุดแกร่งจิกหัวใช้ผมตอนทำแสตน ที่เสื้อผมขาดแล้วซันบุกมาหาถึงคณะนั่นไง
“แฮ่กๆ เหนื่อยเว้ย”
พี่ฝ้ายบ่นเขย่าคอเสื้อพิงผมแบบทิ้งน้ำหนักเต็มที่ เกือบเซ
“แล้วจะวิ่งควายมาทำไมวะพี่” ผมสวนใช้กระดานรองวาดรูปช่วยพัดให้ พี่ปุ้นยื่นหน้ามารับลมด้วย
“ดีๆ พัดแรงๆ ก็ยัยฝ้ายนั่นแหละ บอกให้แข่งกันวิ่งมาหามึง คนไหนแพ้เลี้ยงข้าววันนี้ พอดีเลย เมื่อกี้มึงเห็นกูวิ่งมาถึงก่อนใช่มะ”
“น้อยๆ หน่อยยัยปุ้น ฉันมาถึงก่อนเห็นๆ”
“โอ๊ยพี่ พอเหอะ อย่าเพิ่งมาตีกันกระชากมิตรตอนนี้ ตกลงพวกพี่วิ่งมาหาผมมีเรื่องอะไรให้ช่วยอีกล่ะ เป็นคู่ควงไม่ได้แล้วนะ ผัวผมโหด” แค่คิดภาพมันกระทืบคนเมื่อวานผมก็กลืนน้ำลายอึกแล้ว สีหน้ามันตอนนั้นสุดสะพรึง เสียงเท้าหนักลงเน้นๆ บรื๋อ โดนทีกลายเป็นปีโป้เละติดพื้น
“เชอะ! ยัยคนมีผัว อิจ!!” ยังมาแยกเขี้ยวถลึงตาใส่ผมอีก ช่วยไม่ได้ ดันสวยแต่โหด แถมยังเรื่องมาก เลยไม่มีแฟนกับเค้าสักที นี่บางคนยังเข้าใจผิดด้วยซ้ำว่าพวกพี่เขาเป็นแฟนกัน เห็นตัวติดกันตลอด แน่นอนว่าทั้งหมดทั้งสิ้นผมคิดในใจ ขืนพูดไปตายแน่
“เอาล่ะๆ ใครมีผัวมีเมียช่างหัวมัน” พี่ปุ้นโบกมือตัดบทพี่ฝ้าย หันมาคุยกับผมด้วยรอยยิ้มปานนางฟ้า “โป้ พี่จำได้ว่าตอนแนะนำตัวบ้านโป้ทำกิจการเกี่ยวกับพวกผ้าไหมทอมือใช่ไหม”
“ก็ใช่...เป็นกิจการของแม่ผมน่ะ”
“นั่นแหละ! เพื่อนพี่อยู่ศิลปกรรมเขาจะจัดงานวันพุธ นี่ก็วันจันทร์แล้ว แต่คนที่จะมาสาธิตการทอผ้าไหมดันหายหัวไปกะทันหัน มึงทอเป็นไหม ไปช่วยเพื่อนพี่หน่อย”
“เฮ้ย ไม่ดีมั้งพี่ ผมคนของคณะนี้ไปช่วยงานคณะนู่น เกิดคนที่มาดูถามจะตอบเขายังไง”
ผมโบกไม้โบกมือปฏิเสธ มันไม่ใช่อะกิ๊บ ถ้าให้ผมไปช่วยยกของ วาดรูปให้ยังเป็นไปได้มากกว่า!
“เขาไม่มานั่งถามมึงหรอกว่ามึงมาจากคณะอะไร เห็นมึงไปนั่งสวยๆ ทอผ้าเขาก็เข้าใจว่ามึงมาจากคณะนั้น ที่สำคัญ คณะอื่นแล้วไง ยังไงก็มหา’ลัยเดียวกัน มีคนสนใจชื่นชมผลงาน ทำให้มหา’ลัยมีชื่อเสียงเราควรภูมิใจสิ”
พี่ฝ้ายฝ้ายชูกำปั้นยกขาเหยียบเก้าอี้ใกล้ตัว เหมือนผมเห็นภาพพี่ฝ้ายยืนเหยียบหินอยู่บนหน้าผา ด้านหลังมีคลื่นทะเลกระทบหินน้ำกระเซ็นแบบในการ์ตูนญี่ปุ่น สงสัยผมคงดูการ์ตูนกับปอนด์มากไป เห็นทีคงต้องเพลาๆ ลงหน่อย
เจ้าตัวเล่นพูดมาขนาดนี้ผมปฏิเสธไปก็คงไม่ดี อีกอย่างมันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากมายด้วย ทำเท่าที่ทำได้แล้วกัน
“เอางั้นก็ได้พี่ แต่ผมไม่รับปากนะว่าจะช่วยได้ ขอไปลองคุยรายละเอียดดูก่อน”
“พี่มั่นใจว่าเราทำได้แน่ ไว้จะไปรับที่ห้องเรียนตอนเที่ยง จะได้ไปคุยกับเพื่อนพี่เลย”
พี่ปุ้นตัดสินใจเสร็จสรรพ ตบบ่าผมป้าบๆ ก่อนจะเดินกอดคอพี่ฝ้ายจากไป ไม่รอฟังว่าผมจะตกลงรึเปล่า ผมยืนคอตกอย่างหดหู่ ก่อนจะสำนึกได้ว่าตัวเองมีเรียนเช้า รีบใส่เกียร์หมาเข้าเรียนแบบเส้นยาแดงผ่าแปด
โชคดีอาจารย์คนนี้อายุไม่ห่างพวกผมเท่าไหร่เลยเข้าใจนิสัยพวกวัยรุ่นดี พอเห็นสภาพรีบวิ่งมาจนหอบแดก แล้วยังรอยช้ำบนตัว อาจารย์มองด้วยสายตาว่างเปล่า
“กินเหล้าไม่ว่า แต่ไม่ควรให้เสียการเรียนนะ”
น้ำเสียงเนิบๆ แต่บาดลึก ผมยิ้มแห้งเปิดประตูให้อาจารย์เข้าไปก่อนอย่างสงบ อาจารย์คงเข้าใจว่าเมื่อคืนผมไปดื่มมาแล้วมีเรื่อง วันนี้เลยมาเกือบสายพร้อมสภาพอย่างที่เห็น ตัวผมเองไม่คิดจะแก้ ในเมื่อมันเป็นเรื่องจริง ถึงจะไม่ทั้งหมดก็ตาม ผมเกือบเข้าสายเพราะพี่ปุ้นกับพี่ฝ้ายต่างหากเล่า!
กวาดตามองเพื่อนที่นั่งกันหน้าสลอน แม็คโบกมือหย่อยๆ เรียก ผมเลยเดินเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ที่มันจองไว้ให้ ถึงได้เห็นอาร์ทในสภาพแย่กว่าผมยกมือทักทาย ผมเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ ปกติอาร์ทมันไม่มานั่งกับพวกผมนี่
“ไง วันนี้ขอนั่งด้วยนะ”
“ตามสบาย จ่ายเงินเท่ากันนั่งตรงไหนก็นั่งเถอะ แล้วเจ้านั่นล่ะ” หมายถึงคนที่ตั้งแง่กับพวกเพศที่สาม จนถึงตอนนี้ผมก็ยังจำชื่อมันไม่ได้ ก็นะ คนมันไม่มีค่าพอให้จดจำ
“มันโดนแบนออกจากกลุ่มเพราะเรื่องที่มันเข้าข้างมึง โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงยังทำตัวเหมือนเด็กอนุบาล”
แม็คเป็นฝ่ายตอบ ความจริงมันดูไม่ค่อยชอบหมอนั้นมานานแล้ว แต่คำว่าเพื่อนร่วมคลาสมันค้ำคอ มันบอกว่าต้องทนเหม็นหน้าอีกตั้งห้าปี ไม่อยากสร้างบรรยากาศแย่ๆ ในห้องเรียน
ระบบมหา’ลัยช่วงแรกเข้าปีหนึ่งมายังไม่รู้เรื่องอะไร ปกติก็จะลงวิชาเรียนตามคู่มือ ไม่ก็ตามที่อาจารย์กับรุ่นพี่แนะนำ ซึ่งมันเป็นไปตามลำดับขั้นตอน ปีหนึ่งจะเป็นพวกวิชาพื้นฐานปูทางไปยังวิชาเฉพาะตามสายในภายหลัง
ตรงจุดนี้แหละที่จะแตกต่าง เพื่อนบางคนไม่ผ่าน ไม่พอใจเกรดอาจจะดรอปลงเรียนใหม่ บางคนขยันอัดตารางแน่นเอี๊ยดจะได้จบเร็วๆ ตารางเรียนถึงไม่ค่อยตรงกับคนอื่น
แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างผมนี้แหละ ไปแบบสบายๆ เก็บหน่วยกิจจบตามระยะเวลาที่มหา’ลัยกำหนด ดังนั้นมันเลยคล้ายกับระบบมัธยมแบบเลื่อนชั้นยกห้องเพียงแค่มันมีอิสระมากกว่า เจอหน้ากันไปอีกยาว
“มึงโอเคนะ” ถามแบบสบายๆ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ผู้ชายเขาไม่คิดมากกันหรอก และไอ้อาร์ทก็เป็นแบบที่ผมคิด มันยักไหล่ไม่สนใจสายตาร้องแรงจากกลุ่มพวกนั้นที่แผ่มาจากด้านหลังสุดของห้อง
“กูรู้สึกเหมือนตัวเองหลุดพ้นมากกว่า”
“ตอบได้ดี” ท่านแม็คกอดอกพยักหน้ารับหงึกๆ
อาจารย์เริ่มหันมามองทางพวกผม เราเลยสงบปากสงบคำก้มหน้าก้มตาจุดเลคเชอร์มือเป็นระวิง หลังเลิกคลาสผมยังไม่ทันเก็บของออกจากห้องตามคนอื่นๆ ที่เริ่มทยอยกันออกไป สองสาวก็โผล่มาลากตัวผมต่อหน้าต่อตาแม็คและอาร์ท สองคนนั้นยกมือไหว้รุ่นพี่ค้างกลางอากาศ ตัวผมกับสองสาวก็หายไปจากจุดนั้นซะแล้ว
“จะรีบอะไรขนาดนั้นพี่”
ณ เวลานี้ ผมกำลังนั่งอยู่บนรถของมหา’ลัยเพื่อไปคณะศิลปกรรม ความจริงเดินเอาก็ได้แต่พี่ปุ้นบอกว่าเสียเวลาเลยมานั่งรถกัน
“ยัยนั่นพักเที่ยงแค่แป๊บเดียวต้องไปดูแลกิจกรรมชมรมต่อน่ะสิ” พี่ฝ้ายตอบระหว่างพี่ปุ้นโทรบอกทางนั้นว่ากำลังจะไปหาให้มารอที่ใต้คณะ
ทุกคณะจะมีโรงอาหารเหมือนกันหมด แต่จะพิเศษยังไงขึ้นอยู่กับลักษณะของคณะนั้นๆ อย่างคณะผมจะมีพื้นที่ว่างสำหรับให้นักศึกษาเอาผลงานในคลาสมาโชว์ บางครั้งอาจารย์ก็ให้คะแนนจากความสนใจของคนที่เดินผ่านไปผ่านมา
“โทรศัพท์ดังแหนะโป้ ผัวโทรตามรึเปล่า”
ผมกรอกตาด้วยความเอือม คำก็ผัว สองคำก็สวย อยู่กับพวกพี่มากๆ ผมชักเริ่มคิดแล้วว่าตัวเองไม่ใช่เกย์แต่เป็นเพื่อนสาวจริงๆ หยิบมือถือขึ้นมาดู หน้าหงิกของไอ้ซันที่ผมบังคับมันถ่ายรูปเป็นภาพตอนโทรเขาโชว์หรากลางจอ
ฉิบหาย กูลืมผัว!
/ไอ้โป้มึงอยู่ไหน! กูมาหาที่คณะเจอแต่เพื่อนมึงสองคนเนี่ย กูบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะมารับไปแดกข้าว มึงเบี้ยวนัดกูไปกับผู้หญิงสองคน อยากโดนตีนสินะ/
กดรับสายไม่ทันอ้าปากส่งเสียงฮัลโหล วาจาเกรี้ยวกราดมารวดเป็นชุด คนทั้งรถหันมามองผมเป็นตาเดียว ผมเหงื่อตกผงกหัวขอโทษขอโพยแล้วกดเบาเสียงใช้มือป้องปากคุย นึกคาดโทษในใจ ไอ้เพื่อนเวร มันเอาคืนเรื่องที่ผมทิ้งพวกมันไปกับสองสาวสวยประจำคณะแหง
“มึงใจเย็นก่อน กูไม่ได้เบี้ยว กู...”
/กูอะไร/
กูแค่ลืม...บอกไปตายชัวร์!
“กูกำลังจะโทรบอกมึงพอดี รุ่นพี่ขอให้มาช่วยงานเพื่อนศิลปกรรม มึงมารับกูที่คณะนี้เลยก็ได้ คุยธุระไม่นานหรอก”
/เออ/ มันตอบเสียงห้วน แต่สัมผัสได้ว่ามันใจเย็นลงแล้ว ผมลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ด้วยความที่มันยังไม่กดวางสายทันทีเลยได้ยินเสียงมันเรียกเพื่อนดังลอดมา /เฮ้ยมิทปอนด์ พวกมึงเลิกซนสักทีสิวะ ริวลากคอพวกมันขึ้นรถ กูจะไปรับโป้/
อีกฝ่ายตัดสายไปแล้ว ผมคิ้วกระตุก มากันครบเลยนี่หว่า จริงสิ มันบอกตั้งแต่แรกว่าจะไปกินข้าวข้างนอกกัน ผมตบหน้าผาก เตรียมตั้งรับคำถามจากมิทปอนด์ได้เลย แต่ก่อนอื่นต้องจัดการกับสายตาอยากรู้อยากเห็นของพี่ปุ้นกับพี่ฝ้ายก่อนล่ะนะ