Wish 7 “เชิญคนไข้ได้เลยค่ะ” พี่เก๋เปิดประตูพาคนไข้เข้ามา ก่อนจะถอยออกไปและปิดประตูลงอย่างเงียบๆ
“สวัสดีครับ เชิญนั่งเลยครับ” ผมทำเป็นอ่านรายงานในคอมฯ โดยที่ยังไม่ละสายตามามองผู้มาใหม่
“สวัสดี ธัน ไม่คิดว่าจะเจอกันที่นี้”
“อ้าว คริสเหรอ” ผมแสร้งทำเป็นว่าเซอร์ไพรส์สุดๆ ไม่เคยรู้มาก่อนเล้ย ว่าคนไข้คือใคร
“ทำเหมือนกับยังไม่ได้อ่านประวัติฉัน”
“เอาล่ะ ฉันขอสอบถามประวัติหน่อยนะ ไม่ต้องเกร็งนะ ก็เหมือนที่คุยกับหมอวินนั่นแหละ หมอจิตแพทย์ที่นายคุยเมื่อสักครู่ เขาน่าจะบอกนายแล้วว่าให้มาหาฉันที่นี่ ฉันที่เป็นนักจิตวิทยา เพื่อมาทำเทสต์” ผมบอกหน้าคริส เจ้าตัวไม่ได้พูดอะไร นอกจากพยักหน้าทำท่าว่าเข้าใจ
“ปัจจุบันนายทำงานอะไร” ผมเริ่มคำถามแรก
“เมื่อกี้หมอคนนั้น ไม่ได้ถามฉันแบบนี้”
“คริส...คือมันอาจจะไม่เหมือนกันเป๊ะๆ แต่ก็จะคล้ายๆ กัน”
“ไม่ใช่ ฉันหมายถึง เรา..ฉันกับหมอน่ะ คุยกันเป็นภาษาอังกฤษ นายสนใจที่จะถามฉันด้วยภาษานี้ด้วยมั้ย” กวนตีนครับ แถวบ้านเรียกแบบนี้
“ไม่ล่ะ ขอผ่าน คิดซะว่าฉันถามในเวอร์ชั่นภาษาไทยละกัน” ผมปรายตามองอีกฝ่าย
“ปัจจุบันคุณทำงานอะไรครับ” ผมเริ่มยิงคำถามใหม่ เวอร์ชั่นภาษาไทยในแบบสุภาพ
“ผมทำธุรกิจส่วนตัวของที่บ้าน” น่าแปลก ไม่ได้เกี่ยวการทูตเหรอ เกิดอะไรขึ้น แล้วที่เรียนมาล่ะ นั่นคืออะไร
“บอกผมได้หรือเปล่าครับว่าทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร” ไม่ใช่ว่าถามเพราะอยากรู้เป็นการส่วนตัวนะ แต่ก็คือ..ไม่เชิงอะ ผมต้องถามเพื่อมาประกอบกับการวิเคราะห์ อาชีพก็มีผลกับสภาวะทางด้านจิตใจนะครับ
“ธุรกิจนำเข้าอาหารแช่แข็งครับ” ผมจดตามที่อีกฝ่ายบอกลงในกระดาษ
“คุณสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอลหรือเปล่า”
“ข้อนี้ คุณน่าจะรู้นะครับ” เขายอกย้อน
“เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน ใจก็เปลี่ยนได้ครับ ผมหมายถึงคนเราเปลี่ยนแปลงได้เสมอ”
“ก็คงเหมือนคุณใช่มั้ยครับ ที่ใจเปลี่ยน...... ผมไม่สูบบุหรี่ ส่วนแอลกอฮอล ก็มีบ้างเวลาไปสังสรรค์ นั่นคือคำตอบของผม” ผมกำลังโดนอีกฝ่ายประชดเรื่องเมื่อนานมาแล้ว แต่ช่างมันก่อนเถอะครับ งานต้องมาก่อน แต่ไม่น่าเชื่อว่าคริสจะสามารถพัฒนาทักษะการค่อนขอดได้ดีขึ้นมาแล้ว
“อาการนอนไม่หลับเป็นมานานหรือยังครับ”
“สักสองสามเดือนที่ผ่านมาครับ”
“ระหว่างที่นอนไม่หลับ ส่วนใหญ่คิดถึงเรื่องอะไรครับ”
“ก็หลายอย่าง เรื่องงาน เรื่องครอบครัว รวมถึงเรื่อง....ส่วนตัว”
“คุณมีแฟนหรือยังครับ” คำถามนี้...เอ่อ ก็ไม่เชิง ผมก็อยากรู้ด้วย อย่าเพิ่งคิดในทางที่ไม่ดีสิครับ คือปัจจัยรอบด้านมีผลต่อด้านจิตใจทั้งหมดเลยนะครับ ผมต้องถามตามหน้าที่จริงๆ นะ
เชื่อผมสิ
“อยู่ในขั้นตอนการรักษาด้วยเหรอครับ” เขาหรี่ตาลงมองผมด้วยความไม่ไว้ใจ
“ครับ” ผมตอบสั้นๆ ไม่อธิบายเพิ่มเพื่อไม่ให้เข้าตัว
“มี...” คำตอบของเขาทำใจผมห่อเหี่ยวอย่างไม่มีสาเหตุ
“แต่เลิกแล้ว...เพิ่งเลิกกันไปเมื่อเดือนก่อน” แล้วมันก็ฟูฟ่องขึ้นมาได้ในทันที ช่างอัศจรรย์เหลือเกิน
“ดา?” ผมหลุดปากถามออกไป
“ดา... ใช่...รู้เรื่องของฉันด้วยเหรอ” คริสกลับมาใช้สรรพนามเรียกตัวเองเหมือนเดิม
“ก็..นายดังจะตายไป ใครๆ ในมหา’ลัยก็ต้องรู้ทั้งนั้นแหละ” อันนี้ผมยอมรับว่าอยากรู้เองเพราะมันไม่ได้อยู่ในหัวข้อการรักษาเลยแม้แต่น้อย
“งั้นเหรอ ไม่คิดว่านายจะสนใจฉันอีกแล้ว นอกจากนัท”
“ถึงไม่สนใจ คนก็พูดกันทั่วนั่นแหละ ยังไงก็ต้องเข้าหูอยู่ดี”
“คงจะจริงอย่างที่นายพูด”
“เข้าเรื่องต่อนะ หลังจากที่เลิกกันอาการนอนไม่หลับ เกิดขึ้นบ่อยกว่าเดิมมั้ย”
“ไม่ครับ ไม่ต่าง” เขาหรี่ตามองผมอีกรอบ แต่ก็ไม่ทักท้วงอะไร ยอมตอบแต่โดยดี
ผมเอื้อมมือไปหยิบเอกสารสำหรับในกล่องลิ้นชักที่อยู่ติดกับกำแพงออกมาสองสามแผ่นแล้วยื่นไปให้คนตรงหน้า เขาทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงอ่าน
“เอกสารพวกนี้เป็นแบบประเมินนะครับ ใบนี้” ผมชี้ไปทางใบซ้ายสุดของคริส
“เป็นแบบประเมินความเครียด มีทั้งหมด ห้าข้อครับ ส่วนใบกลางนี้คือแบบประเมินดัชนีชี้ความสุข หลายข้อหน่อยน่ะครับ อาจจะเบื่อนิดหน่อย แต่ขอความร่วมมือด้วยนะครับ ส่วนใบสุดท้ายตอนนี้คนไทยเป็นโรคนี้กันอย่างมาก ยังไงผมคงต้องขอประเมินด้วยนะครับ”
“โรคอะไรครับ”
“ภาวะโรคซึมเศร้าครับ ผมจะให้เวลาคุณประมาณ หนึ่งชั่วโมงนะครับ ไม่ต้องรีบ ถ้าครบหนึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่เสร็จก็ไม่เป็นไรครับ หลังจากนั้นผมขอดูผลประเมินแล้วเราจะพูดกันต่อว่าตอนนี้คุณเป็นอย่างไรนะครับ”
“นั่งทำที่นี่ใช่มั้ย” เขาถามผม
“ไม่ต้องที่นี่ก็ได้ แล้วแต่คุณเลย แต่ขอเป็นภายในโรงพยาบาลนะ จะได้ไม่ต้องตามหาตัวกันลำบาก”
“แล้วคุณล่ะ”
“ผมก็จะนั่งทำงานต่ออยู่ตรงนี้แหละครับ เพราะยังไม่มีเคสคนไข้คนอื่นนอกจากคุณ”
“ถ้างั้นผมนั่งทำตรงนี้ละกัน”
“ตามสบายครับ” ผมบอกคริสแล้วก็ละสายตาไปทางหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อบันทึกรายละเอียดของชายหนุ่มลงไป ถึงกระนั้นก็ไม่วายที่จะเหล่มองผู้ชายที่ผมไม่ได้เจอมาหลายปีตั้งแต่เรียนจบ
เขาหน้าตอบมากกว่าเดิม คงเพราะน้ำหนักตัวที่ลดลงไป
เขามีโครงหน้าที่เข้มขึ้น ดูบึกบึนขึ้น คงเพราะวัยที่เติบโตตามกาลเวลา
เขายังน้ำเสียงที่ทุ้มน่าฟัง เพิ่มเติมคือความสุขุมในน้ำเสียง คงเพราะประสบการณ์ในการทำงาน
และเขายังมีดวงตาและผมสีเดิมที่ทำให้ผมหลงใหล คริสมีเส้นผมที่เล็กและตรงสวย ซ้ำยังนุ่มลื่นเวลาที่ผมใช้มือสางเข้าไปในเส้นผมของเขา เวลาที่เขาปล่อยมันไม่สบายๆ โดยไม่เซท มันทำให้เขาดูหน้าเด็กกว่าเดิมไปมากโข เหมือนในวันนี้
ฉันคิดเธออีกแล้ว และยิ่งมากขึ้นทุกที แม้กระทั่งที่เขานั่งอยู่ต่อหน้าผมแล้วก็ตาม
“หน้าฉันมีอะไรแปลกเหรอ ถึงได้จ้องหน้าฉัน” คริสพูดทั้งที่ยังก้มหน้าทำแบบทดสอบอยู่ ผมตกใจลนลานจนเผลอทำปากกาในมือหล่น และคริสเป็นฝ่ายเก็บปากกาด้ามนั้นมาคืนให้
เขากำลังสบตาผม
ตึก..ตึก.. ตึก..ตึก..
หัวใจผมเต้นถี่เร็วราวกับจะหลุดออกมา ผมบังคับมือไม่ให้สั่นไหวตอนที่ยื่นมือออกไปรับปากกานั้นคืน
“ขอบใจ”
“ไม่เป็นไร ทำงานที่นี่นานแล้วเหรอ” คริสไม่ทวงคำถามเก่า เขาเลือกก้มหน้าทำแบบประเมินต่อแต่ก็ถามเรื่องของผมไปด้วย เขาน่าจะชวนคุย เพื่อไม่ให้ห้องเงียบเกินไป
“ตั้งแต่เรียนจบ แล้วนายกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ปีที่แล้ว หลังเรียนจบโท” เขาเงยหน้ามามองผมแว๊บหนึ่ง ก่อนจะลงมือทำมันต่อ
“อืม ทำไมถึงเลิกกับดา” ผมกำลังอยากรู้มากกว่าหน้าที่ของตัวเอง
“แล้วทำไมนายถึงเลิกกับนัท” คริสไม่ตอบแต่ดันถามผมกลับ
“นัท...”
“นายไม่เคยคบกับนัทแล้วจะเลิกกับนัทได้ยังไง จริงมั้ย” คริสรู้ เขารู้ได้ยังไง แสดงว่าเขาต้องรู้ว่าผมโกหกถึงสาเหตุที่บอกเลิกเขา
“นายเอานัทมาอ้างเพื่อโกหกฉันทำไม ถ้าอยากเลิกกันก็แค่บอกมาตรงๆ” เขามองหน้าผม แต่ผมไม่กล้ามองเขาเลย สายตาของผมกำลังเห็นคริสกำปากกาแน่น กลัวว่าจะหักคามือเหลือเกินตอนที่เขาพูดกับผม
“ฉันขอโทษ” ผมไม่รู้จะใช้คำพูดไหนในเวลานี้ นอกจากคำนี้
“ฉันเองก็ต้องขอโทษ เรื่องมันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ฉันไม่ควรจะขุดเรื่องเก่าๆ มาพูดอีก”
“ไม่เป็นไร”
“มันก็แค่คาใจ...”
คริสเงียบจนกระทั่งเขาเลื่อนกระดาษคืนมาตรงหน้าผมอีกครั้ง ผมหยิบแบบประเมินนั้นคือมาตรวจดูผล ซึ่งมันค่อนข้างจะใช้เวลาสักพัก
“จากผลทดสอบนี้ คริส…. นายยังไม่มีภาวะโรคซึมเศร้า” ผมยิ้มให้เขาด้วยความดีใจ เพราะถ้าเขาเป็นโรคนี้ขึ้นมาผมคงจะแย่ตามไปด้วย และต้องกังวลหนักมากแน่ๆ เพราะผลกระทบมันรุนแรงยิ่งนัก
“แล้ว?”
“นายแค่มีภาวะเครียดเท่านั้น จากหลายๆ ข้อที่นายตอบมา นายไม่ใช่จะทุกข์ในทุกเรื่อง มีทั้งสุขด้วย ทุกๆ อย่างดูสลับๆ กัน ซึ่งไม่ใช่ภาวะผิดปกติอะไร คราวนี้ฉันจะถามถึงทางเลือกว่านายอยากจะรักษาแบบไหน”
“ว่ามาสิ”
“ใช้ยากับไม่ใช้ยารักษา ในฐานะนักจิตวิทยาฉันอยากจะแนะนำให้รักษาโดยไม่ใช้ยาก่อน อยากให้ร่างกายและจิตใจได้ฟื้นฟูด้วยตัวมันเอง โดยไม่ต้องพึ่งยา ส่วนการใช้ยาก็เป็นทางลัดที่ช่วยให้เห็นผลเร็วขึ้น สำหรับการรักษาแบบใช้ยาเนี่ย จะต้องเป็นจิตแพทย์เท่านั้นที่สั่งจ่ายยา ซึ่งฉันทำไม่ได้”
“อืม..”
“นายอาจจะลำบากใจหน่อยนะเพราะถ้าเลือกแบบไม่ใช้ยารักษา นายจะต้องมาเจอกับฉัน พูดคุยบำบัดเรื่องความเครียดของนาย โดยไม่ได้เจอกับจิตแพทย์ ฉันไม่ว่าอะไรหรอกนะ ถ้านายจะไม่อยากเจอฉัน ในกรณีนี้นายที่เป็นคนไข้มีสิทธิ์เลือกแนวทางการรักษาได้อยู่แล้ว” คริสกำลังใช้ความคิด สิ่งที่ผมแนะนำเขาไปนั่นคือสิ่งที่พึงกระทำในอาชีพของผม
ก๊อก..ก๊อก..
“เชิญครับ” ผมร้องตอบคนที่เคาะประตูอยู่
“คุณธัน เสร็จหรือยัง อ้าว คุณคริส” หมอมาวินเดินเข้ามาทักผมก่อนที่จะเห็นว่าตรงหน้าผมยังมีคนไข้ที่เขาส่งเคสมาให้
“ครับ ใกล้จะเสร็จแล้วครับ”
“ถ้างั้นผมขอไปเปลี่ยนชุดที่ห้องพักก่อน แล้วเจอกันที่หน้าตึกละกันนะครับ”
“ครับ”
“แฟนเหรอ” คริสถามหลังจากที่หมอมาวินเดินออกไปแล้ว
“ไม่เชิง”
“หมายความว่ายังไง”
“ก็ยังไม่ได้เป็นแฟน”
“กำลังจีบ?”
“งั้นมั้ง ก็แค่ไปกินข้าวด้วยกันเฉยๆ” บ้าจริง แล้วผมจะอธิบายไปทำไมกัน ทำไมต้องกลัวคริสจะเข้าใจผิดด้วยล่ะ ในเมื่อเราก็ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วนี่
“ก็ดี...งั้นฉันเลือกการรักษาแบบไม่ใช้ยาก่อนละกัน” ก็ดีอะไร ผมไม่เข้าใจคำพูดของคริส แต่ไม่ได้เก็บเอามาคิดนานเพราะผมต้องออกใบนัดเขามารับการรักษา
“เดี๋ยวฉันจะนัดวันเวลาให้นายเข้ามารับการรักษานะ ถ้าไม่สะดวกหรือติดอะไรก็โทรบอกล่วงหน้าหนึ่งวัน เบอร์โทรศัพท์อยู่ในใบนัด แจ้งกับพยาบาลได้เลย แล้วก็ฉันอยากให้นายมารักษาแบบต่อเนื่อง ไม่ใช่มาๆ หายๆ ได้หรือเปล่า” ประโยคหลังนี่ ผมแทบอยากจะขอร้องเขา เพราะกลัวเขาจะขาดการรักษาเหลือเกิน เพราะถ้าปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขวันหนึ่งมันจะอาจจะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าเดิม
“ได้ ฉันจะพยายาม”
“ครั้งหน้าฉันจะอธิบายถึงวิธีการรักษาให้นายฟัง ระหว่างนี้ขอให้งดเครื่องดื่มแอลกอฮอลทุกชนิด ย้ำว่าทุกชนิดนะครับ รวมถึงบุหรี่หรือสารเสพติดทุกชนิด”
“ฉันไม่สูบบุหรี่” คริสขัดขึ้น
“รู้แล้ว แค่พูดเผื่อไว้เฉยๆ”
“สังเกตพฤติกรรมของตัวเองเวลาที่รู้สึกเครียด ออกกำลังกายด้วยนะครับ อย่าลืม ถ้ามีอะไรที่เคยทำแล้วรู้สึกชอบหรือสบายใจ ก็ใช้เวลากับเรื่องนั้นให้มากหน่อยนะครับ”
“อืม เข้าใจแล้ว”
“ที่พูดทั้งหมดเนี่ย ฉันพูดในฐานะคนที่จะคอยช่วยเหลือนาย และ เพื่อนของนาย...”
“อืม ขอบใจ”
“และข้อสุดท้าย ถ้ามีอาการทรุดลงกว่าเดิม หมายถึง เครียดวิตกมากกว่าเดิม ก็มาหาได้เลยไม่ต้องรอตามใบนัด ตกลงมั้ย”
“ครับ คุณธัน” คริสลงเสียงหนักตอนเรียกชื่อผม
“วันนี้ก็ไม่มีอะไรแล้วครับ เดี๋ยวออกไปนั่งรอหน้าห้องสักครู่ จะมีพยาบาลเรียกนะครับ”
“ครับ” คริสลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาไม่กล่าวลาอะไรผม ซึ่งผมไม่ควรจะคาดหวังมัน และ ตอนที่คริสกำลังจะเดินออกจากประตูไป ผมก็เรียกชื่อเขา
“คริส”
“หืม” คริสหันกลับมา เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ขับรถดีๆ ล่ะ”
“ขอบใจ” คริสยิ้มให้ผมนิดหนึ่ง นิดเดียวจริงๆ แต่แค่นั้นผมก็มีความสุขมากเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้แล้ว หัวใจมันพองโตไปหมดเลย ผมยิ้มให้กับตัวเองอีกสักพักใหญ่ แม้ว่าคริสจะไม่อยู่ในห้องแล้วก็ตาม ผมนี่ท่าจะเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ
“รอนานหรือเปล่า” ผมมายืนรอที่หน้าตึกหลังจากคริสกลับออกไปแล้วไม่นาน ก็เห็นรถยนต์คันหรูเข้ามาจอดเทียบท่า ผมได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ คนประเทศนี้เขาชอบรถทรงนี้กันหรือไง มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ ที่รถของหมอวินกับคริสนั้น ทั้งยี่ห้อและสไตล์ของรถนั้นเหมือนกัน ผมพยายามคิดในแง่ดี
“ไม่นานครับ ผมเพิ่งมาถึงเมื่อสักครู่นี้เอง”
“ผมรีบแทบแย่เลย กลัวคุณจะรอนาน”
“หมอวินก็พูดเกินไป แล้วนี่เราจะไปกินข้าวที่ไหนกันเหรอครับ”
“เพื่อนผมแนะนำร้านอาหารร้านหนึ่งบอกว่าอร่อย ผมเลยจะพาคุณไปลองทานร้านนี้ดู”
“ครับ”
“เคสคุณคริสเป็นยังไงบ้าง อันที่จริงผมไม่อยากคุยเรื่องงานหรอกนะครับ แต่มันอดไม่ได้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ ดีเสียอีกที่คุณหมอห่วงคนไข้”
“ผมกลัวคุณเบื่อ”
“ไม่เบื่อครับ เคสของคุณคริส จากผลประเมินแล้วแค่สภาวะเครียด ไม่ได้หนักหนาอะไร ถ้าปรับตัวให้กินอิ่มนอนหลับได้ เดี๋ยวก็หาย”
“คุณธัน พูดเหมือนง่ายอีกละ”
“ก็จริงนี่ครับ ตามทฤษฎีมันมีแค่นี้เอง ติดที่เราทำตามมันไม่ได้ต่างหาก”
“ถ้าจิตใจของคนเรามันเชื่อฟังกันง่ายๆ ผมก็คงสมหวังในความรักไปแล้ว” คุณหมอหันมาฉีกยิ้มกว้างให้ผม ถึงแม้เจ้าตัวจะทำเป็นติดตลก แต่ผมก็รู้ในความหมายแฝงว่าเขาก็รอให้ผมตอบตกลงเสียที
“ขอโทษที่ทำให้หมอผิดหวัง แต่มันเป็นไปไม่ได้จริงๆ ครับ”
“ผมก็อยากจะเข้าใจนะ แต่มันก็ไม่เข้าใจ”
“หมอวินควรจะมองคนอื่นบ้างนะครับ คนอย่างหมอวินทำให้คนรักได้ไม่ยากหรอกครับ”
“ผมอยากให้คนนั้นคือคุณนะ คุณธัน” หมอวินละมือซ้ายจากพวงมาลัย หมอใช้นิ้วเกลี่ยเบาๆ ที่แก้มของผม
“ผมก็อยากจะรักหมอนะครับ หมอเป็นคนดี หมอดูแลผมดี เรามีงานที่คล้ายกัน เราเจอกันแทบตลอดเวลา แต่ผมมีคนที่อยู่ในใจแล้ว ผมยังลืมเขาไมได้ แล้วมันคงไม่แฟร์ถ้าผมจะตกลงเลือกหมอทั้งที่ผมยังรักคนอื่นอยู่ จริงมั้ยครับ” ผมดึงมือหมอวินออกแล้วส่งคืนให้กับเจ้าพวงมาลัยแทน
“อกหักอีกแล้ว เจ็บจัง”
“หมอก็ทำพูดเล่น” ผมบ่นเขาอย่างไม่จริงจัง
“ที่บอกว่าอกหักเนี่ยอกหักจริงๆ นะ ไม่รู้เหมือนกันว่ารอบที่เท่าไหร่”
“รักคนที่เขารักเราเถอะหมอ เชื่อผม”
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมคุณธันไม่รับรักผมล่ะ” หมอวินพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนมาทำให้ผมใจอ่อนเหมือนเคย แต่ผมก็ไม่ตกหลุมอีกฝ่าย
“วกเข้าหาผมจนได้ ก็เพราะผมรู้ไงครับว่ามันไม่มีความสุขเอาเสียเลย ผมก็เลยต้องแนะนำสิ่งดีๆ ให้จิตแพทย์ไงครับ”
“ผมอยู่กับคุณธันแล้วสบายใจจัง”
“เหมือนกันครับ นอกจากไอ้นัทแล้ว ก็มีหมอเนี่ยแหละที่ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจ” ถ้าไม่นับเรื่องความสัมพันธ์ชู้สาวแล้ว หมอวินก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่นิสัยดีคนหนึ่งเลยทีเดียว
“ช่วงนี้คุณนัท เขายุ่งๆ เหรอครับ ไม่ค่อยเห็นมาที่โรงพยาบาล”
“ครับ งานเยอะ โรงพยาบาลนั้นโหดกว่าโรงพยาบาลของเราเยอะเลย อีกอย่างผมไม่แน่ใจหรอกนะครับเพราะนัทเคยพูดสักพักหนึ่งแล้ว เรื่องเรียนต่อ ไม่รู้วุ่นเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า เงียบหายไปเลย”
“โทรไปชวนคุณนัทมากินข้าวกับเราดีมั้ยครับ” ผมชอบนิสัยของหมอวินก็ตรงนี้ เขานึกถึงคนอื่นเสมอ จิตใจของเขาดีสมกับเป็นหมอจริงๆ บางทีนิสัยของเขาทำให้ผมรู้สึกผิด ผมควรจะเลือกหมอวินแล้วลืมใครคนนั้นให้ได้เสียที
เพราะจิตใจมันบังคับกันไม่ได้
“อย่าเลยครับ กะทันหันแบบนี้ ไม่มาหรอก แถมยังจะบ่นยาวเหยียดจนหูชาอีก” ใช่ครับ นัทไม่ชอบการนัดกระชั้นชิด มันบอกว่าเป็นการกระทำของคนที่ไม่ได้รับการวางแผน แต่เรื่องนี้ ยกเว้นกับแฟนคนสวยของมันนะครับ ถ้าเป็นแฟนสาวของมันล่ะก็ เวลาไหนก็ได้ ขอแค่ให้ว่างเถอะ
กฎระเบียบย่อมมีข้อยกเว้นเสมอ
“ครับ” หมอวินกลับมายิ้มสดใสเหมือนเดิมแล้วก่อนจะตั้งใจขับรถให้ถึงที่หมาย
“บรรยากาศดีนะครับ ร้านก็ตกแต่งสวยเชียว” ผมเอ่ยชม ร้านตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เห็นวิวสะพานที่มีเริ่มเปิดไฟประดับ
“นั่นสิ เซอร์ไพรส์ผมสุดๆ เลย เพื่อนมันบอกแค่อาหารอร่อย แต่ไม่ยักบอกว่าร้านก็สวย วิวก็ดี”
“ขอบคุณนะครับ ที่พาผมมา”
“ด้วยความเต็มใจครับผม”
ผมกำลังนับวันรอถอยหลังอยากใจจดใจจ่อ ภาวนาให้คริสไม่ติดงานและมาตามวันนัดได้ ผมอยากเห็นหน้าเขาใจจะขาดแล้ว
============================
เข้าสู่ช่วงปัจจุบันแล้ว เค้าป๊ะกันแล้วววววว
ติดตาม พูดคุย กันได้เลยค่ะ
ทวิตเตอร์
https://twitter.com/khemmakanเฟซบุ๊ค
https://www.facebook.com/akanae14/#WishingYou