บทที่ 34 ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ปล่อยมือ
“ปราชญ์ ตื่นได้แล้วนะ ไม่คิดถึงกูหรอไง” มือบางพูดพลางลูบไล้ใบหน้าคมที่ยังคงหลับไม่ได้สติ ก่อนขยับมากุมมือหนาเอาไว้ และยกมันขึ้นแนบใบหน้าตัวเอง หยดน้ำตาไหลหยดบนฝ่ามือของปราชญ์ เขาใช้มันเหมือนผ้าเช็ดหน้าที่เอาไว้ซับน้ำตา เสียงสะอื้นแผ่วเบายังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขาไม่ทันรู้สึกตัวว่ามีคนอื่นเข้ามาในห้องอีก
จนกระทั่งฝ่ามือของใครบางคนวางลงบนไหล่ที่กำลังสั่นเทา
“ตฤน มันไม่เป็นไรแล้ว”
ตฤนหันหน้าไปหาเจ้าของมือที่วางบนหัวไหล่ของเขา ก่อนเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงเบาหวิว
“กวาง...”
“ร้องไห้ขี้มูกโป่งเลย หมดหล่อ”
“ฮืออออ”
กวางดึงอีกฝ่ายมากอดไว้หลวม ๆ มือยกขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายอย่างปลอบโยน
“มันไม่เป็นอะไรแล้ว นอนไม่พอ ให้มันนอนหน่อย เดี๋ยวก็ฟื้น”
“กวางบอกว่ามันจะไม่ไหวแล้ว”
“พูดเล่นน่ะ”
ตฤนขยับออกจากอ้อมกอดนั้น ก่อนมองสบตาอีกฝ่าย พูดเล่น? สาวเจ้ายิ้มออกมา
“มันโคม่าตอนแรกไง แต่ถึงมือหมอก็ปลอดภัยแล้ว” เธอผุดยิ้มเจ้าเล่ห์ เป็นการเอาคืนแทนปราชญ์ เพราะถ้าพามาหาหมอไม่ทัน ก็คงได้จากไปจริง ๆ “ไม่ปลอดภัยจะได้ย้ายออกมาห้องธรรมดาได้ยังไงล่ะ”
“...” ตฤนมองอีกฝ่ายนิ่ง นึกเคืองอยู่ไม่น้อย
“ตัวเปียกเป็นลูกหมา” เธอพูดพลางแตะเสื้อตัวเองที่พลอยชื้นไปด้วย ก่อนสาวเจ้าจะเดินไปหยิบชุดผู้ป่วยมายื่นส่งให้ “เปลี่ยนไปใส่นี่ชั่วคราวก่อน เดี๋ยวก็ป่วยอีกคน”
ตฤนรับมาถืออย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำ
กวางยืนมองสำรวจคนป่วย ก่อนยกมือขึ้นแตะที่แขนของคนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวเบา ๆ เธอโน้มหน้าไปใกล้ข้างแก้มของปราชญ์ ก่อนจะพูดพึมพำเสียงเบา
“เกลียดนายเป็นบ้า ทำให้ใจหายใจคว่ำ” ก่อนจะขยับออกแล้วบ่นต่อ “แฟนมาหาแล้วก็อย่าเล่นตัวนักเลย ตื่นได้แล้ว ตฤนมันร้องไห้จนน้ำท่วมโรงพยาบาลแล้ว”
เปลือกตาคนหลับพริ้มมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย คนป่วยเริ่มรู้สึกตัว ลำคอแห้งผาก เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา... ใบหน้าแรกที่เขาเห็นคือกวาง
“ปราชญ์ฟื้นแล้ว!” กวางพูดโวยวายเสียงดังให้ตฤนได้ยิน กวางดีใจมาก เธอรีบประคองปราชญ์ ปรับเตียงขึ้นอย่างคล่องแคล่ว พร้อมกับป้อนน้ำให้เขา
เขาจิบไปนิดนึง พอให้ชุ่มคอ ก่อนจะปิดเปลือกตาหนักอึ้งลงไปด้วยความเหนื่อยอ่อน
ปราชญ์รู้สึกหน่วงในใจ เขาไม่รู้ว่าตัวเขาเพิ่งผ่านวิกฤติเฉียดตายมา เขารู้แค่ในห้องนี้ไม่มีคนที่เขาอยากเจอ ในห้องนี้ไม่มีตฤน...
อยู่ท่ามกลางความมืดนั่นยังดีเสียกว่า
ประตูห้องน้ำเปิดออก ตฤนรีบเดินไปที่เตียง เขาเข้าไปเปลี่ยนชุด ล้างหน้าล้างตาแปปเดียวเท่านั้น เขาก็ได้ยินเสียงกวางดังลอดเข้ามา
ร่างสั่นเทาเดินไปเกาะที่ข้างเตียง
“ปราชญ์...”
เสียงตฤนทำให้เปลือกตาหนักอึ้งค่อย ๆ ลืมขึ้นอีกครั้ง เขาคิดว่าตัวเองหูแว่ว แต่ไม่ใช่ ตฤนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
“ตฤน...” เสียงแหบแห้งเรียกชื่อคนรักออกมาอย่างยากลำบาก
ตฤนเอื้อมมือไปกุมมือปราชญ์เอาไว้ “เออ กูอยู่นี่แล้ว”
“อย่าหายไป...อีกนะ” ปราชญ์ค่อย ๆ ปรือเปลือกตาลง เขาอ่อนเพลียมากจริง ๆ ก่อนจะหลับไปอีกครั้ง
ตฤนลูบข้างแก้มของปราชญ์อย่างรักใคร่ เขาไม่ไปไหนแล้ว การตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา ทำให้เขาเกือบจะเสียปราชญ์ไปจริง ๆ เขาจะไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นอีกแล้ว
ร่างบางขยับริมฝีปากไปแตะสัมผัสที่เปลือกตาของปราชญ์เบา ๆ พักผ่อนให้สบาย เขาจะอยู่ตรงนี้ อยู่ข้าง ๆ
จะผ่านทุกอย่างไปด้วยกัน...
“กลับไปทำงานก่อนนะ”
“ขอบใจมากกวาง”
กวางเดินออกไปสวนกับปราบบนทางเดิน เขากำลังจะกลับไปที่ห้องพอดี
“พี่ปราบคะ ปราชญ์ฟื้นแล้วนะ”
“จริงหรอ” ปราบร้องเสียงดังด้วยความดีใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“แต่ตอนนี้หลับไปแล้วล่ะ คงจะเพลีย”
เขาผงกหัวงึกงัก อย่างเข้าใจ คงจะเพลียมากจริง ๆ แค่รู้ว่าฟื้นขึ้นมาก็พอแล้ว เขาจึงรีบโทรไปบอกแม่ของเขา เพื่อแจ้งข่าวดีว่าน้องฟื้นแล้ว
พี่ขวัญกับแม่เปิดประตูเข้ามา พร้อมเสบียงอาหาร
“ตฤนรู้มั้ยให้เงินพี่วันไปเท่าไหร่”
“หืม? ครับ ไม่รู้” ตฤนที่กำลังเตรียมตักข้าวเข้าปาก ถึงกับถือช้อนค้างไว้
“สี่พัน!!! แล้วยังมีเศษ ๆ อีก นี่นายบ้าหรือเปล่า” พี่ขวัญโวยวาย ดีนะที่คน ๆ นั้นคือพี่วัน ที่รู้จักกันดี ไม่งั้นมีหวัง เสียเงินฟรี ๆ ไปแน่
“ตอนนั้นผมรีบ” ตฤนพูดพลางส่งยิ้มแหย ๆ
“เดี๋ยวผมคงจะต้องกลับก่อน” ปราบพูดขึ้นมา ทางนี้ไม่น่าเป็นห่วงแล้ว ยังไงตฤนก็คงดูแลปราชญ์อย่างดี ส่วนเขา... เหมือนว่าแม่จะกำลังพยายามพูดกล่อมพ่อ เขาก็จะไปช่วยด้วยอีกแรง เขาคิดว่าพ่อของเขาใจอ่อนลงไปมากแล้ว พ่อคงเข้าใจแต่ก็ยังคงรับไม่ได้
พอหมดเวลาเยี่ยมตอน 2 ทุ่ม ทุกคนก็แยกย้ายกลับบ้าน เหลือแค่ตฤนที่นอนเฝ้าปราชญ์ เขาลากเก้าอี้ไปไว้ที่ข้างเตียง ขยับเข้าไปจูบหน้าผากคนป่วยด้วยความคิดถึง เขานั่งลงบนเก้าอี้ ขยับสองมือขึ้นกุมมือของปราชญ์เอาไว้ จะไม่ปล่อยมือ...
ปราชญ์รู้สึกตัวขึ้นในกลางดึก ตฤนฟุบหลับอยู่ข้าง ๆ เขาขยับยิ้มบางในความมืด สองมือเรียวบางกุมมือเขาเอาไว้แน่น อย่างกลัวว่าเขาจะหายไป แต่คนที่ต้องกลัวมันคือเขาต่างหาก ความคิดสะดุดลง ความเพลียทำให้เขาผล็อยหลับไปอีกครั้ง ราวกับนอนชดเชยให้กับช่วงเวลาที่ผ่านมา
ตฤนตื่นขึ้นมาในตอนเช้าที่แสงแดดสาดเข้ามา เขาพบว่าปราชญ์นอนมองเขาตาแป๋ว
“ทำไมไม่ปลุกละ” เสียงแหบที่ฟังดูเซ็กซี่เอ่ยกับคนที่เอาแต่นอนมองเขา
“นอนมองแบบนี้ก็มีความสุขดี”
ดวงตากลมมีประกายวูบไหว เมื่อคิดว่าเขาเกือบทำคนตรงหน้าหายไปตลอดกาล เกือบทำให้คนสำคัญตรอมใจตาย เขารู้สึกผิด...
ร่างบางจ้องใบหน้าหล่อเหลานิ่ง ก่อนขยับปล่อยมือที่เกาะกุมปราชญ์ออก มันทั้งร้อนและชื้น แต่ปราชญ์กลับดึงเอาไว้ เขาจับมันไว้แน่น
“หือ?”
“ไม่ปล่อยไปอีกแล้ว” ปราชญ์พูดเสียงเบา ทว่าหนักแน่น
“ปล่อยเถอะ” ตฤนพูดตอบทันควัน
ใบหน้าของปราชญ์เจื่อนลง เขาคิดว่าอะไร ๆ ดีขึ้นแล้วเชียว มันแค่ช่วงที่เขาป่วยหรอ งั้นเขาจะป่วยแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ตฤนจะได้ไม่ไปไหน
ตฤนเพ่งมองใบหน้าเจื่อน ๆ นั่น ก่อนจะรีบพูดออกมา เพราะกลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด “กูปวดฉี่”
ปราชญ์ยิ้มออกมาแต่ไม่ยอมปล่อยมือ “ก็หาขวดแถวนี้ใส่เอาสิ”
“ไอ้ปราชญ์”
“ก็ได้” เขาพูดพลางปล่อยมือ “รีบ ๆ กลับมานะ คิดถึง”
ตฤนกลับออกมาจากห้องน้ำ เขาเดินกลับเข้าไปหาคนป่วยที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ร่างบางอ้าแขนออกกว้างก่อนจะกอดคนป่วยเอาไว้แน่น
ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ต่างฝ่ายต่างกอดกันนิ่ง ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกันก็ได้ ให้อ้อมกอดอุ่นและเสียงหัวใจคุยกัน แค่นั้นก็พอ...
ช่วงเวลาที่ผ่านมาเหมือนพายุฝนที่พัดกระหน่ำจนน้ำท่วม จนอะไรต่อมิอะไรมันพังทลาย แต่พอมาตอนนี้ พายุร้ายถูกปัดเป่าออกไป พร้อมกับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ความอบอุ่นกลับมาเยือนพวกเขาอีกครั้ง...
“ขอกลับไปบ้าน อาบน้ำเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนได้มั้ย” ตฤนพูดขึ้นขณะนั่งเท้าคางมองคนป่วยอยู่ข้างเตียง
“ก็ได้...แต่คิดถึงนะ”
“ไปแปปเดียว รีบไปรีบมา อยู่คนเดียวได้มั้ย”
“ไปเถอะ” ร่างสูงพูดพลางขยับมือมายีหัวอีกฝ่ายจนผมเสียทรง “กูอยู่ได้เดี๋ยวที่บ้านก็คงมาเยี่ยมแล้ว กวางอีกมันอาจจะแว่บมา”
ตฤนพยักหน้า ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องเพื่อกลับไปที่บ้าน ที่จากมาหลายวัน
ครอบครัวของปราชญ์มาเยี่ยมในช่วงสาย ๆ
ปราชญ์เห็นครอบครัวมาเยี่ยมพร้อมหน้า แม่กับพี่ชาย ถามไถ่อาการไม่หยุด เขาเห็นแม่น้ำตาคลอเมื่อเขาบอกว่าสบายดี ผู้เป็นพ่อนั่งอยู่ที่โซฟาไม่มีวี่แววว่าจะเดินมาหาเหมือนคนอื่น เขาดึงสายน้ำเกลือออกก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าพ่อ เขาคุกเข่าลง ก้มหัวต่ำ หน้าผากแนบลงไปกับพื้น
“พ่อครับ...ผมขอโทษ แม่ครับผมขอโทษ พี่ครับผมขอโทษ”
“ปราชญ์ ทำอะไรแบบนั้น” ผู้เป็นแม่เอ่ยทักแม้จะยังงงๆอยู่
“ผมรักตฤนจริง ๆ ครับ ขอโทษที่ไม่เคยบอก...”
ผู้เป็นพ่อยังคงเงียบ เขามองลูกชายนิ่ง ๆ เลือดที่ไหลซึมตรงจุดให้น้ำเกลือ ไหลออกมาเปรอะเปื้อนพื้น
“ให้ผมรักเขาเถอะนะครับ ผมรักเขาจริง ๆ” น้ำเสียงปราชญ์หนักแน่นแต่ก็แอบที่จะสั่นอยู่หน่อย ๆ เมื่อน้ำตาลูกผู้ชายเอ่อคลอ
“...”
“ได้โปรดอย่าทำร้ายตฤนเลย”
“ลุก” ผู้เป็นพ่อพูดออกมาแค่คำเดียว ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ไม่ครับ จนกว่าพ่อจะยอมรับตฤน”
เลือดสีเข้มยังคงไม่หยุดไหล ชายหนุ่มยังคงพูดต่อ
“ผมน่ะไม่ใช่คนดีคนเก่งอะไรขนาดนั้น แต่ตฤน...ทำให้ผมพยายาม ให้เป็นผมที่ดียิ่งกว่าเดิม”
เขานึกถึงสมัยเรียนที่นั่งอยู่หลังห้อง ซ้อมกีฬาแล้วรู้สึกว่าตัวเองเท่ เขาไม่ใช่คนโง่ แต่แค่ไม่ขยัน อาจจะไม่รอดก็ได้ ถ้าไม่เจอเด็กเนิร์ด ที่คอยให้เขาลอกการบ้าน จากนั้นเขาก็แค่อยากเป็นปราชญ์ที่ดีกว่าเดิม ดีพอจะปกป้องดูแลอีกฝ่ายได้ เป็นคนที่จะคอยดูแลนายตฤนชาติตลอดไป
“ผมรักตฤน มันสำคัญกับผมจริง ๆ”
ตฤนมาถึงโรงพยาบาลในช่วงสาย มือบางแง้มประตูเปิด เขาเห็นปราชญ์นั่งคุกเข่าก้มหน้าติดพื้นในห้องผู้ป่วย เขาเข้าไปได้มั้ย เรื่องภายในครอบครัวหรือเปล่า ...ได้มั้ยวะ
“ผมรักตฤน...”
เรื่องของเขา... ไม่ใช่เรื่องของใคร งั้นเขาก็ควรที่จะเข้าไปอยู่ข้าง ๆ อีกฝ่าย
ตฤนพยายามปั้นหน้าให้ดูนิ่งสุขุมสู้ความกังวล พี่ปราบกับคุณแม่ เขาไม่หนักใจ แต่เขากลับกังวลกับคุณพ่อของปราชญ์ ยังจำเสียงตวาดกับความเจ็บที่หัวไหล่ได้ดี เขาจะพยายามอดทน จะรับมือให้ได้
ในห้องเงียบสงัด บรรยากาศกดดัน ทำให้ตฤนเกร็งไปหมด ปราชญ์ที่นั่งคุกเข่าเงยหน้าขึ้นมองสบตาเขา เจ้าตัวรู้สึกแปลก ๆ ที่ตฤนกลับมาเร็วเกินไป จนต้องมาเห็นสภาพไม่ได้เรื่องของเขา
ตฤนนั่งลงคุกเข่าข้าง ๆ ปราชญ์
“ผมขอโทษด้วยครับ” ตฤนพูดขึ้นพลางก้มหัวแนบติดพื้น เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องขอโทษ แต่ก็ยอม เขาเห็นปราชญ์ทำแบบนั้น ยอมทำแบบนั้นเพื่อเขา “ให้เราได้รักกันเถอะนะครับ”
ชายสูงวัยมองผู้ชายสองคนที่นั่งคุกเข่าก้มหัวขอร้องอ้อนวอนเขา ขอให้เขายอมเมตตาอนุญาตให้ทั้งคู่ได้รักกัน...
แต่...
“ฉันขอโทษ” พ่อของปราชญ์พูดขึ้นมาลอย ๆ
“ครับ” ตฤนจำใจขานรับ เมื่อทุกคนต่างเงียบ ไม่มีใครตอบรับคำพูดของพ่อปราชญ์
“ที่...ปาของใส่” ชายสูงวัยพูดเสียงเบา เขาจะพยายามยอมรับให้ได้ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา “แล้วก็อย่าทำให้มันต้องโคม่าอีก” พ่อพูดแค่นั้นก็ลุกเดินออกจากห้องไป
“พ่อเขาเป็นแบบนั้นแหละ ท่าเยอะ” ผู้เป็นแม่พูดพลางส่งยิ้มให้ เธอก็ยังรับไม่ได้เต็มร้อยนัก แต่ถ้าเทียบกับการที่ปราชญ์ต้องเฉียดตาย เธอยอม...เห็นแก่ความสุขของลูกดีกว่า
“ลุกขึ้นมาได้แล้วว้อย ทำเป็นละครน้ำเน่าสมัยก่อนไปได้ มานั่งคุกเข่าก้มหัวอะไรกัน” พี่ปราบพูดกวน
ตฤนขยับลุกขึ้นในขณะที่ปราชญ์เงยหน้าขึ้นมาแต่ยังนั่งนิ่ง
“ปราชญ์เป็นอะไรเปล่าวะ ลุกได้มั้ย” ตฤนถามออกไปด้วยความเป็นห่วง
“เหมือนโลกหมุนเลย”
“เลือดออกเยอะอ่ะดิ” ตฤนเข้าไปประคองอีกฝ่าย มือบางสอดที่ใต้วงแขนของคนป่วยก่อนจะออกแรงยกปราชญ์ขณะที่เจ้าตัวก็พยายามลุกขึ้นยืน
“ถอดสายน้ำเกลือแบบนี้ แกโดนป้าพยาบาลด่าแน่” ปราบยังคงพูดแหย่น้องชาย ปล่อยให้แฟนหนุ่มประคองปราชญ์ไปนั่งที่เตียงผู้ป่วยอย่างทุลักทุเล
“ไม่ช่วยแล้วยังบ่นอีก” ปราชญ์พูดสวนกลับ
“แกต้องขอบคุณพี่นะปราชญ์” ปราบพูดพลางกอดอก
“ทำไมล่ะ”
“เพราะนอกจากพี่จะแบกแกมาโรงพยาบาลแล้ว พี่ยังรับแบกภาระการปั้มลูกมาไว้เองยังไงล่ะ!” ปราบพูดขึ้นมาอย่างหน้าไม่อาย
“พี่จะทำได้หรอ” ปราชญ์แกล้งพูดสบประมาทผู้เป็นพี่
“ไอ้นี่ ได้สิวะ”
“หึ อย่าบอกนะว่าพี่กับพี่ขมิ้นน่ะ” ปราชญ์พูดแหย่ หญิงสาววิศวกรประจำไซต์งานที่พี่ชายเขาแอบต้องตาต้องใจ
“เออจีบติดแล้วว้อย” ปราบพูดพลางยิ้มเขิน ใบหน้าขึ้นสีเรื่อ เขาก็มีแฟนสาวที่น่ารักมากเหมือนกัน “ตฤนพี่ฝากดูแลปราชญ์ด้วยนะ ขุนให้มันกลับมามีเนื้อมีหนัง หล่อเหลาเหมือนพี่”
“แบบพี่เรียกอ้วน” ปราชญ์ยังคงปากดี
ปราบทำท่าจะประเคนมะเหงกใส่ปราชญ์ เห็นแก่มันเพิ่งฟื้น ก็เลยยอมปล่อยไปก่อน แล้วยังทำใจเด็ดดึงเข็มที่ให้น้ำเกลือออกอีก
“แม่ครับไปกันเถอะ รำคาญน้อง เออ เดี๋ยวไปบอกพยาบาลให้ โดนบ่นแน่ไอ้ปราชญ์”
แม่ส่งยิ้มอ่อนโยนให้ตฤน ก่อนพวกเขาเดินออกไป ทิ้งทั้งคู่ให้อยู่กันตามลำพัง
“ปราชญ์... กูขอโทษนะ”
พอทุกคนออกไปกันหมด ตฤนก็เดินเข้าไปกอดอีกฝ่ายอีกครั้ง เขาอยากจะอยู่ใกล้ ๆ สองมือโอบรอบแผ่นหลัง ใบหน้าเนียนซุกอยู่กับไหล่หนาพูดสิ่งที่ยังติดอยู่ในใจ เขารู้สึกผิดจริง ๆ ที่ทำให้ปราชญ์ต้องเป็นแบบนี้ ถึงขั้นต้องถอดสายน้ำเกลือออก แล้วยังต้องมานั่งคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนแบบในละครอีก
“อาการป่วยมันเกิดจากที่กูกินไม่ได้นอนไม่หลับเอง” คนป่วยกอดปลอบ
“แต่ต้นเหตุ...”
“อื้ม แค่สัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้อีกก็พอ” คนป่วยพูดพลางกระชับอ้อมแขน
“สัญญา”
ดวงตากลมมีน้ำตารื้นที่ขอบตา เขาพยักหน้าเบา ๆ ก่อนซุกหน้าลงกับไหล่หนา แต่อารมณ์เศร้าก็ถูกขัดเมื่อปราชญ์พูดหยอก...
“ต้องจูบสาบานก่อนถึงจะเชื่อ”
“ไม่ใช่แต่งงานนะเว้ย” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ตฤนก็ขยับตัวออก พวกเขาจ้องหน้ากันนิ่ง ปลายจมูกแตะกันก่อนที่ตฤนจะเอียงหน้า และประกบจูบอย่างเขินอาย
“อื้อ”
ตฤนครางในลำคอ เขาสัญญาจากใจ ไม่เอาอีกแล้วแบบนี้ เหนื่อยเกินไป สองมือลูบไล้กันด้วยความคิดถึง แต่มีอีกอย่างหนึ่งที่จะต้องถาม...
เมื่อคลายอ้อมกอด ตฤนมีท่าทางอึกอักลังเลใจ เขาก้มหน้าลอบมองพื้น ก่อนจะตัดสินใจถามออกไป
“ปราชญ์ มึงอยากมีลูกมั้ย” จู่ ๆ ตฤนก็ถามขึ้นมา ไอ้เรื่องคิดมาก มันแก้ไม่ได้จริง ๆ
“อยาก”
ตฤนหันควับกับคำตอบนั้น นั่นเป็นสิ่งที่เขาทำให้ไม่ได้ หรือจะให้ปราชญ์ไปมีผู้หญิงอื่น ปราชญ์จะได้มีลูกมีครอบครัวที่สมบูรณ์ ...
ใบหน้าของตฤนเจื่อนลงอย่างชัดเจน ปราชญ์เห็นแบบนั้นก็พยายามกลั้นยิ้ม เมื่อร่างบางตรงหน้าถามเองนอยเอง หวงเขาขึ้นมาเหมือนกันเล้วล่ะสิ
“ตฤนล่ะ อยากมีลูกหรือเปล่า”
ความคิดที่ทำให้ตฤนใจหายสะดุดลง เมื่ออยู่ ๆ อีกฝ่ายกลับถามเขากลับมา
“ก็เฉย ๆ มีก็ได้ไม่มีก็ได้”
“ไว้หลายปีข้างหน้า พวกเราพร้อม เราไปรับเด็ก ๆ มาเลี้ยงกันเนอะ” ปราชญ์พูดพลางยิ้มสดใส ความจริงแค่มีตฤนเขาก็พอแล้ว
“อื้อ” ตฤนพยักหน้าหงึกหงัก เขายิ้มกว้าง เมื่อปราชญ์เตรียมทางออกเอาไว้ให้ เขาไม่ต้องยอมให้ปราชญ์ไปมีใคร หรือเป็นของใคร เพราะมันเป็นของเขาคนเดียว
“แต่...”
ความคิดของตฤนสะดุดลงอีกครั้งเมื่อมีคำว่าแต่...
“แต่อะไร?”
“มีอย่างอื่นที่อยากทำมากกว่า” ดวงตาปราชญ์มีประกายวิบวับ ใบหน้าที่อยู่ดี ๆ ก็ดูกรุ้มกริ่มกระลิ้มกระเหลี้ย ตฤนรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร แต่ เขาไม่ยอม... ยังอ่อนแออยู่แท้ ๆ เป็นคนป่วยที่ขาดน้ำขาดอาหารแบบนี้ ยังจะหาเรื่องเอาน้ำออกอีก เขาคิดอย่างเขิน ๆ
“ไม่ได้ จนกว่าจะหายออกจากโรงพยาบาล” คำพูดของตฤนดับฝันแสนหวานของปราชญ์ไปทันที
“ไม่ได้จริง ๆ หรอ” ปราชญ์ทำหน้างอแง ก่อนจะทำคอตกอย่างน่าสงสาร ก็เขาอยากจะใกล้ชิดสนิทแนบแน่นให้หายคิดถึง
“เออไม่ได้ กินเยอะ ๆ นอนเยอะ ๆ หายแล้วค่อยว่ากัน” รอบนี้ต้องเสียใจด้วยจริง ๆ เขาใจแข็งพอ เพื่อตัวของมันเอง เขาจะไม่ยอม...ทำอะไร ๆ
“ถ้าได้ออกกำลังกายอาจจะหายเร็วก็ได้” ปราชญ์ยังคงพยายามจะชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดกล่อมเขา
ตฤนขยับเข้าไปจุ๊บเบา ๆ ที่ริมฝีปากช่างเจรจานั่น จะได้เงียบสักที
“ให้แค่นี้”
ปราชญ์ได้แต่พยักหน้า แค่นี้ก็ได้วะ!!!
ก๊อก ก๊อก
“คนไข้ เตรียมใจจะโดนเจาะมืออีกรอบหรือยังคะ” เสียงเคร่งขรึม ติดจะดุของป้าพยาบาลดังขึ้น ทำเอาปราชญ์ยิ้มแห้ง ก่อนที่ป้าพยาบาลจะบ่นยาวเหยียดถึงสิ่งที่คนป่วยทำ “จะดึงถอดสายน้ำเกลือแบบนี้ไม่ได้ รู้มั้ยว่ามัน... บลาบลา” คำบ่นยาวจนทั้งคนป่วยและพยาบาลจำเป็นได้แต่ก้มหน้าก้มตารับฟังคำดุแต่โดยดี นี่ถ้าแกเอาไม่บรรทัดตีได้คงไล่ตีทั้งปราชญ์และเขาแล้ว และอาจจะให้ไปยืนขาเดียวคาบไม้บรรทัด หันหน้าเข้าหากำแพงด้วยเป็นการลงโทษ...
.
[ปราชญ์ฟื้นเเล้ว เลิกดราม่า เลิกหน่วง มารักกันจริง ๆ จัง ๆ สักที
สาดน้ำตาลไล่น้ำตากันค่าาาา
]