-1-
“วันนี้ฉันมีงานที่ไหนบ้าง..กระวาน!” แรงกระฉากหูฟังออกจากหูทำให้ผมสะดุ้งโหยง เสียงเพลงที่กำลังขับกล่อมให้มีสมาธิก็หลุดไปด้วย ผมมองหน้าเพื่อนร่วมรุ่นที่ยืนเท้าเอวจ้องหน้าด้วยแววตาขุ่นเคือง “ฉันถามว่างานวันนี้ฉันมีอะไรบ้าง ไม่เข้าใจทำไมถึงต้องใส่หูฟังตลอด ตั้งแต่ตอนเรียนแล้วนะ”
“เข้าออฟฟิศไปคุยเรื่องบทละครใหม่ แล้วตอนเย็นก็ต้องไปถ่ายละครซ่อมฉากที่เสียงไม่ชัด” ผมร่ายคิวของวันนี้ให้เพื่อนสาวที่กลายมาเป็นนักแสดงดัง ไม่รู้หรอกทำไมถึงให้ผมมาเป็นผู้จัดการ หรือความสงสารที่ผมไม่มีคนคบก็ไม่รู้
“ทำไมรับเยอะล่ะ ฉันเหนื่อย” พูดจบก็ทิ้งร่างผอมแห้งลงบนโซฟาราคาแพง “ตอนเย็นแคนเซิลได้ไหม”
“ไม่ได้ คิวทุกคนว่างวันนี้วันเดียว” อาการงอแงแบบนี้เกิดอีกแล้ว ทำไมดาราดังๆ ถึงชอบเรื่องมาก ตอนมีงานก็บ่น ไม่มีงานก็บ่น
“น่าเบื่อที่สุด แล้วรู้อะไรไหม ฉันไม่ชอบตัวรองของเรื่องนั้นเลย ทำเป็นเชิ่ด สวยก็ไม่สวย” ส่ายหน้าระอาให้กับคำนินทาของเพื่อน
“ชอบไม่ชอบก็ต้องไปทำงานนะ” พอได้ยินผมพูด แววตาหญิงสาวก็กร้าวขึ้นมา “อะไร”
“นายเป็นแค่ผู้จัดการ ไม่มีสิทธิ์มาออกคำสั่ง โอเค๊” คิ้วกระตุกนิดๆ เมื่อได้ยิน “แล้วก็นะ หน้าที่หลักของนายคือฟังที่ฉันระบาย อย่าขัด”
เห็นผมเป็นกระโถนรองรับอารมณ์สินะ
“ก็ไม่อยากขัดหรอก แต่บางทีมันก็ต้องขัดนะจิน”
“จินนี่ย่ะ เรียกให้ถูกด้วย คราวที่แล้วต่อหน้านักข่าวด้วย นายเผลอเรียกฉันแค่จินเฉยๆ”
“เออๆ ต่อไปจะระวัง” ผมไม่เข้าใจจริงๆ แค่เข้าวงวารจำเป็นต้องเพิ่มชื่อห้อยท้ายทำไม “พรุ่งนี้มีอีเว้นท์นะ ตอนบ่ายมีคุยเรื่องปกนิตยสารวัยรุ่น”
“พูดถึงนิตยสาร...ทำไมนายถึงปฏิเสธปกคุณมีชัย” เสียงเข้มทำให้ผมรีบเงยหน้าขึ้นจากสมุดจดคิวงาน เจอจินนี่กำลังจ้องมองด้วยแววตาหาเรื่อง “นายรู้ไหม ว่าเขาให้ค่าตัวฉันเท่าไหร่”
“เจ็ดหลัก”
“แปดย่ะ แปดหลัก รู้ไหม ว่านายทำให้ฉันสูญเงินกี่สิบล้าน เมื่อก่อนฉันก็พอเข้าใจว่าต้องรักษาภาพพจน์ แต่นี่ ปกคุณมีชัยเชียวนะ เขาเอาแต่ดารา นักแสดงดังๆ ทั้งนั้น”
“ก็เพราะเขาอยากเอาน่ะสิ” พึมพำกับตัวเองเบาๆ
“นายแย่มากรู้ไหม ครั้งนี้ฉันจะตัดเงินเดือนนาย โอ๊ย กี่เดือนถึงจะพอวะ” สะดุ้งโหยงเมื่อถูกเสียงแหลมเล็กตวาด “โทรไปตกลงเขาใหม่ บอกว่าฉันจะถ่าย”
“ไม่ดีหรอก เขาไม่ใช่คนดีนะ” พยายามเลี่ยงคำว่าเฒ่าหัวงู ทุกคนเขาก็รู้กันหมดว่าอีตาเจ้าของหนังสือชอบเคลมสาวๆ โดยเฉพาะสาวสมองมีน้อยแบบคนที่นั่งโวยวายตรงหน้าผม
“ไม่ใช่คนดีแล้วยังไง มันไม่เกี่ยวกับฉันสักหน่อย โทรไปเลยนะ อย่าให้ฉันต้องอารมณ์เสีย แค่นี้ตีนกาก็ขึ้นแล้ว” ผมเบ้ปากมองคนที่บอกว่าตีนกาจะขึ้น ทั้งที่ทั้งหน้ามีแต่น้ำยาโบท็อกซ์ ขึ้นได้ก็คงเป็นซุปเปอร์ตีนกาแล้วล่ะ
“แต่ฉันยังยืนยัน ว่าเขาไม่ใช่คนดี เขาอยากได้เธอนะจินนี่”
“เอ๊ะ ก็ฉันจะถ่าย เงินแปดหลักไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆ เทียบกับเงินเดือนของนาย อีกกี่ร้อยปีถึงจะได้ฮะ”
ดูถูกกันเกินไปแล้ว
“ฉันทำงานด้วยความสามารถ แม้เงินที่ได้จะมากไม่เท่าเธอ แต่มันก็มาจากน้ำพักน้ำแรง มาจากสมองที่คิดแทนเธออยู่นี่ไง” บางทีความอดทนของคนก็มีจำกัด โดยเฉพาะไอ้กระวานผู้ซึ่งมีความจำกัดเลเวลต่ำสุด พอผมว่าเข้าให้ จินนี่ก็กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ของที่วางตรงหน้าถูกขว้างไปคนละทิศละทาง ผมรู้หรอก ว่าเธอก็อยากใช้เต้าไต่เหมือนกัน ความคิดต่ำตมจากสมองของเธอ ผมได้ยินจนชิน แต่เสียงที่เกลียดรองมาจากความคิดพวกนั้นก็คือ เสียงกรีดร้องอย่างกับคนบ้าแบบที่จินนี่เป็นอยู่ตอนนี้ “หุบปากสักที ปวดหูโว้ย”
“กล้าด่าฉันเหรอวะ กล้าขึ้นโว๊ยกับฉันเหรอ ไอ้กระวาน ไอ้บ้า ไอ้สติไม่เต็ม”
เป็นคำด่าที่ผมควรเจ็บใช่ไหม แต่ไม่หรอก มันชินแล้วต่างหาก
“ถ้าฉันสติไม่เต็ม เธอคงไม่มีสมองแล้วล่ะ”
“ไอ้บ้า ฉันไล่แกออก!!”
ผมหลับตานับหนึ่งถึงสามในใจ พยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้ลุกไปต่อยหน้าผู้หญิง แม้จะเป็นเพื่อนก็เถอะ
“โอเค ฉันลาออกเอง เบื่อเหมือนกันที่ต้องทนฟังเธอฟุ้งซ่านคิดแต่เรื่องใต้สะดือตลอดเวลา รู้ไหม พระเอกที่เธอเฝ้าอยากจะถวายตัวให้ เขาไม่สนเธอเลยสักนิด เขาไม่เคยพิศวาสนมของเธอที่หกต่อหน้าเขาหรอกนะ” พูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินหอบข้าวของตัวเองออกจากห้อง ยังโชคดีที่ปิดประตูทัน ไม่งั้น หมอนคงปลิวมาโดนหัวแล้ว
เป็นคนที่ไม่น่าเข้าใกล้จริงๆ
ผมเดินปึงปังมารอลิฟต์ที่ยังแช่นิ่งอยู่ชั้นล่าง กดย้ำๆ ก็ไม่ยอมขึ้นมา สงสัยจะมีคนกดค้างไว้ กระเป๋าผ้าที่พ่อผมเย็บให้พร้อมปักรูปดอกไม้มีข้าวของจำเป็น รวมทั้งยาดมที่ผมเริ่มใช้บ่อยตั้งแต่มาเป็นผู้จัดการให้กับเพื่อนสนิท ยาดมยี่ห้อธรรมดาแต่ทำให้อารมณ์ดี ผมยัดมันเข้ารูจมูกเพื่อคลายความเครียด
ผมกลายเป็นคนตกงานแล้วตอนนี้
“ทำไมไม่ขึ้นมาสักทีวะ” สบถอย่างอารมณ์เสียพลางเขย่าขาคลายความโมโห
ติ๊ง เสียงลิฟต์หยุดพร้อมประตูเปิดออก ขาที่กำลังจะก้าวเข้าไปต้องชะงัก เมื่อคนที่เดินออกมาเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาดี ในอ้อมแขนเขามีสาวสวยหุ่นอวบอั๋นเดินออดอ้อน ช่วงที่ผมขยับหลีกทางให้ เสียงดัดแหลมก็ลอยมาเข้าหู มันคือความคิดของสาวหุ่นดีที่กำลังจิตนาการท่าทางและลีลาที่จะใช้ยั่วยวนผู้ชายให้หลงใหล แม่คุณร้อยท่าช่างเร้าร้อนเหมือนชุดเดรสสีแดงเพลิงที่สวมใส่ซะจริงๆ แต่ก็น่าแปลก ที่ผมไม่มีเสียงของผู้ชายแทรกเข้ามาเลย ทั้งๆ ที่มือของเขาก็ลูบไล้ก้นงอนอยู่ตลอดเวลา
แล้วนี่ ผมจะสนใจเรื่องคนอื่นทำไม ควรคิดเรื่องจะบอกคนที่บ้านว่าตกงานยังไงไม่ให้ถูกด่ามากกว่า พอนึกถึงก็เครียดเลยให้ตาย
ลงลิฟต์มาชั้นล่างสุดก่อนมุ่งหน้าไปที่ลานจอดรถของคอนโด ยังจำสมัยตอนเพื่อนเพิ่งเข้าวงการเป็นนางเอกหน้าใหม่ที่ดังจนมีแฟนคลับจำนวนมาก แม้เธอจะโด่งดังขนาดไหน แต่กลับหาคนดูแลยาก ไม่ใช่ไม่มีใครอยากเป็น แต่เพราะความเรื่องเยอะเลยไม่มีใครทนได้ ช่างบังเอิญที่มีคนสั่งปิ่นโตที่ร้าน ผมเลยได้ไปส่งอาหารที่กองถ่าย ทันทีที่เธอเห็นผม เธอก็รีบเข้ามาชวนคุยนั่นนี่ ก่อนจะชวนผมมาทำงานเป็นผู้จัดการให้ ด้วยความที่คิดว่าทำงานให้เพื่อน อีกทั้งยังเป็นงานสบาย แค่จัดตารางงานงาน แถมได้เจอดารามากหน้าหลายตา ผมเลยตกลงรับปาก จากวันนั้นถึงวันนี้ก็เกือบๆ สองปี
เป็นสองปีที่ผมนับหนึ่งถึงล้านมาตลอด ตอนนี้คงไม่มีแบบนั้นแล้ว โล่งใจไหม ก็ใช่ แต่ตกงานไหม ก็ใช่อีก
รถโฟล์คเต่าสีชมพูที่ได้รับตกทอดมาจากพ่ออีกทีจอดโดดเด่นอยู่ที่ลาน แม้สภาพจะดูหวานน่ารัก แต่เครื่องมันแรงนะครับ เห็นแบบนี้ผมเปลี่ยนเครื่องใหม่ยกคัน รถฟอร์มูล่าวันยังต้องยกนิ้วให้ ล้วงกุญแจรถที่มีตุ๊กตากระต่ายสีชมพูห้อยติดอยู่ มันเป็นตุ๊กตาที่แม่ให้ผมมา ด้านในของมัน มีของขลังที่ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่แม่บอกมันกันสิ่งเร้นลับได้
เห็นผมมีพลังพิเศษแบบนี้ ผมก็กลัวผีมากนะครับ
เสียงเครื่องยนต์เวลาสตาร์ทช่างนิ่มนวลจนต้องยิ้มออกมา เข้าเกียร์เดินหน้าเตรียมกลับไปร้านของพ่อที่อยู่แถวชานเมือง คันเร่งที่เหยียบนิดเดียวก็ทะยานออกไปด้านนอก แต่ไปได้ไม่ไกลก็ต้องเหยียบเบรกจนหน้าเกือบทิ่มกระจก
“เชี่ยเอ๊ย ซื้อใบขับขี่มาหรือเปล่าวะ” สบถอย่างหัวเสียเมื่อถูกรถคันแพงปาดหน้าทางออกคอนโด แถมยังเฉี่ยวกันชนผมด้วย รู้อยู่หรอกว่ารถผมกับรถคู่กรณีราคาต่างกันมาก แต่ผมก็รักพี่ชมพูมันนะครับ
“ขับรถยังไงวะ” ไอ้คนขับรถเก๋งลงมาโวยวาย ผู้ชายผมสีน้ำตาลอ่อนสวมสูทดูดีย่อตัวนั่งลงดูด้านหน้ารถตัวเองที่จูบกับรถผมอยู่
“คุณนั่นแหละขับยังไง ไม่เห็นเหรอว่ารถผมกำลังออกมา”
“โหยคุณ ผมขับมาทางตรง คุณควรหยุดดูรถก่อน ไม่ใช่พุ่งออกมาดื้อๆ ซื้อใบขับขี่มาหรือเปล่า”
“อ่าว พูดแบบนี้หาเรื่องกันนี่หว่า”
เงยหน้า ยืดคอหาเรื่อง แม้เขาจะตัวสูงใหญ่กว่าแต่ผมก็ไม่กลัวนะเออ ศิลปะการป้องกันตัวก็พอมีอยู่บ้าง
“ผมพูดดีด้วยนะ...”
“เสร็จหรือยัง”
เสียงที่แทรกขัดขึ้นดังมาจากด้านในตัวรถเก๋ง ผมหรี่ตามองทะลุกระจกสีดำเห็นเพียงเงาลางๆ ของคนที่นั่งอยู่เบาะด้านหลัง
“ยังครับ” คนที่มีเรื่องกับผมตะโกนตอบกลับไป ก่อนจะหันมาหาเรื่องผมอีกรอบ “จะเอายังไงล่ะคุณ รถคุณมีประกันหรือเปล่า”
“ถึงรถผมจะเก่า แต่ประกันไม่เคยขาดนะ”
“ประกันไม่ขาด แต่ภาษีขาดต่อนะ” ผมมองตามนิ้วที่ชี้พุ่งมาทางป้ายภาษีที่ติดตรงหน้ากระจก แล้วเกิดอาการเถียงไม่ออกขึ้นมา เมื่อมันหมดอายุตามที่เขาบอกจริงๆ “เถียงต่อไม่ได้เลยสินะครับ”
“จะยังไงก็แล้วแต่ รถคุณชนรถผม ต้องจ่ายเงินค่าซ่อม” ว่าแล้วก็แบมือไปตรงหน้า
“สติไม่ดีหรือเปล่า ก็ผมบอกไปแล้วว่าคุณเป็นฝ่ายผิด”
“นายสิผิด” ไม่มีความสุภาพอีกต่อไป กว่าจะปรับอารมณ์จากจินนี่มาได้ไม่ใช่ง่ายๆ “เห็นๆ กันอยู่ว่านายพุ่งมาตัดหน้าทำให้รถชน นายนั่นแหละผิด”
“พูดไม่รู้เรื่อง...”
“ดีน เสร็จหรือยัง ฉันรีบ!” เสียงตะโกนออกมาจากในรถ คราวนี้ดังกว่าเดิมจนเจ้าของชื่อจิ๊ปากอย่างขัดใจ “ดีน!”
“ฝากไว้ก่อนเถอะ” คนชื่อดีนชี้นิ้วใส่หน้าผมก่อนจะรีบวิ่งไปขึ้นรถ
แต่เดี๋ยวสิ ผมยังไม่ได้เงินค่าซ่อมรถเลยนะเว้ย
“เดี๋ยวๆ เงินล่ะ ค่าซ่อมรถฉันยังไม่ได้เลยนะ” รีบวิ่งไปเคาะกระจกข้างคนขับ เงาของคนด้านในดูไม่ได้สนใจ แถมเลี้ยวรถออกไปเฉย “เฮ้ยๆ”
ผมวิ่งตามรถคันหรูนั่น ต้องบอกว่าโชคดีที่การจราจรติดขัดหนักมากทำให้รถวิ่งไปอย่างช้าๆ ผมเลยวิ่งตามทัน มือก็คอยทุบกระจกให้รถจอด แล้วเหมือนโชคจะช่วยรอบสอง เมื่อสัญญาณไฟจราจรด้านหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงรถเลยต้องหยุด จังหวะนั้นผมก็รีบเคาะกระจกรัว ก่อนสะดุ้งโหยงเมื่อประตูด้านหลังเปิดออก รองเท้าหนังสีดำมันปราบคือสิ่งแรกที่ผมเห็น ก่อนเจ้าตัวจะออกจากรถมายืนเต็มความสูง ใบหน้าเรียบเฉยแต่นัยน์ดุจ้องมองหน้าผมอย่างตำหนิ
ทำไมผมต้องรู้สึกกดดันยามถูกจ้องด้วยวะ
“มีปัญหาอะไร” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ดวงตาคมจ้องกดดันจนผมพูดไม่ออก “รู้ไหมว่าการเคาะกระจกรถคนอื่น มันไม่มีมารยาท”
“รู้สิ”
“รู้แต่ก็ยังทำ คนดีๆ เขาไม่ทำกันหรอกนะ”
หน้าชาเลยผม
“ก็...เพื่อนของคุณไม่ยอมตกลงกับผมก่อน”
พอผมพูดจบ คนตรงหน้าก็ปรายตามองคนที่นั่งอยู่ในรถ ก่อนมือที่กอดคอจะเปิดเสื้อสูทหยิบกระเป๋าหนังใบเล็กๆ ออกมา ตอนเขาล้วงเข้าไปในสูทก็แอบสั่นเหมือน กลัวที่หยิบออกมาจะเป็นปืนแบบในละครที่เคยเห็นตอนไปเฝ้าจินนี่ถ่ายทำ
“วันนี้ผมรีบ มีอะไรก็ติดต่อมา” บัตรแข็งเล็กๆ ถูกยื่นมาตรงหน้า พอผมยื่นมือไปรับบัตรนั่นกลับถูกชักกลับ “แต่ดูเหมือนรถสีชมพูนั่นจะไม่มีรอยอะไรเลยนะ รถผมต่างหากที่น่าจะเป็นรอยน่ะ”
ก็จริงอย่างที่เขาว่านั่นแหละครับ เพราะกันชนเหล็กด้านหน้าของรถผมยังมีสีดำของรถคันนี้ติดอยู่
“เอ่อ...”
“คุณหนึ่งครับ” เสียงตะโกนดังมาจากในตัวรถ เมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว
“ติดต่อมาแล้วกัน ถ้าคิดว่ารถสมควรไปซ่อม”
หน้าชาอีกรอบ พร้อมๆ กับนามบัตรใบเล็กถูกยัดใส่มือ ก่อนเจ้าของบัตรจะรีบกลับขึ้นไปนั่งแล้วรถก็ขับออกไป ทิ้งให้ผมได้ตามท้ายรถตาปริบๆ
“จักรพรรดิ บริบรรณ” ชื่อเจ้าของนามบัตร และตรงมุมบนด้านซ้ายมีชื่อตึกที่เหมือนผมเคยขับรถผ่านอยู่บ่อยๆ “วันเดอร์ฟลูแลนด์...อาบอบนวดไฮโซนี่หว่า”
มัวแต่ตะลึงชื่อเจ้าของนามบัตรจนลืมสังเกตว่าตอนนี้ผมยืนอยู่กลางถนน พอถูกรถบีบแตรไล่ถึงมีสติรีบวิ่งกลับขึ้นไปบนฟุตบาท ผมก้มมองนามบัตรในมืออีกรอบ นี่ไอ้กระวานกำลังหาเรื่องเจ้าของอาบอบนวดไฮโซหรือนี่ เคยได้ข่าวว่าคนพวกนี้มีลูกน้อง มีมือปืนมาก ดีไม่ดีส่งมือปืนมาเก็บผมจะทำไง
ว่าแต่ เขาไม่รู้จักผมหรือบ้านผมนี่น่า จะกลัวล่วงหน้าไปทำไม ไร้สาระ
ผมเดินย้อนกลับไปที่รถของตัวเอง ที่ตอนนี้กำลังถูกรปภ.ใช้แม่แรงยกออกจากหน้าคอนโดเพราะจอดขวางทางเข้าออกของคนอื่น ผมต้องยกมือขอโทษขอโพยน้อมรับคำด่าจนปั้นสีหน้าแทบไม่ถูก กว่าจะขึ้นรถได้ก็หน้าชาจนด้านไปเลย ตกงานยังไม่พอ ยังมามีเรื่องกับเจ้าของอาบอบนวด แถมยังโดนคนด่าอีก อะไรมันจะซวยซ้ำซ้อนได้ขนาดนี้ สงสัยต้องไปทำบุญสักหน่อยแล้ว ผมว่าปีนี้ผมต้องเป็นปีชงแน่ๆ
ขับพี่ชมพูมาจนถึงร้านอาหารที่มีป้ายร้านขนาดใหญ่ชื่อว่าร้าน หิ้วปิ่นโต มีโลโก้เป็นรูปปิ่นโตสีชมพู จากเดิมร้านนี้คุณตากับคุณยายทำแต่อาหารไทยแท้ พอเปลี่ยนมือให้พ่อผมเข้ามาดูแล พ่อก็ปรับปรุง เพิ่มเมนูให้หลากหลายมากขึ้น มีการผสมผสานเมนูไทยในรูปแบบต่างๆ หรือที่เรียกว่า อาหารไทยฟิวชั่น แม้ร้านเราจะอยู่แถวๆ ชานเมือง แต่ด้วยความอร่อยกับร้านที่ตกแต่งน่ารักทำให้มีลูกค้าแวะเวียนมาใช้บริการอยู่ไม่ขาดสาย และที่ดีไปกว่านั้นคือ ร้านพ่อของผมมีบริการส่งถึงบ้านด้วย หากไม่ไกลมากนะครับ
ตอนนี้ในร้านลูกค้าเริ่มบางตา คงเพราะเลยช่วงเที่ยงมาเป็นชั่วโมงแล้ว ผมเดินเอื่อยๆ เข้าไป ก่อนทิ้งตัวนั่งแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะตรงข้ามกับพ่อที่กำลังเคร่งเครียดกับบัญชีของร้าน
“เป็นอะไรกระวาน ทำไมวันนี้กลับเร็ว” คำถามของพ่อทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมอง
“เซ็งๆ” ตอบแบบไปทีแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะอีกรอบ
“โดนไล่ออกมาแน่ๆ ท่าทางแบบนี้” เสียงกวนโอ๊ยแทรกเข้ามา ผมรีบเงยหน้ามองคนพูด โป๊ยกั๊ก น้องชายคนรองจากผมกำลังยิ้มเยาะมา “มองแบบนี้ แสดงว่าผมพูดถูกใช่ไหมพี่กระวาน”
“ฉันลาออกเองเว้ย”
“แหม เสียงแข็งเชียว”
“ไอ้โป๊ยกั๊ก”
“พอเลยทั้งคู่” พ่อรีบปรามพร้อมตวัดสายตาดุมองผมกับน้องสลับไปมา “เจอหน้ากันทีไรก็ชอบว่าให้กันอยู่เรื่อย”
“ก็โป๊ยกั๊กมันจ้องหาเรื่องผมนี่”
“อ่าว พูดแบบนี้ได้ไง ก็...”
“หยุดทั้งคู่นั่นแหละ พ่อละปวดหัวจริงๆ” พ่อใช้ปากกาชี้หน้าผมกับน้อง “เดี๋ยวพ่อจะไปรับเพกา อยู่กันดีๆ ล่ะ อย่าทะเลาะกัน”
“ครับ” ผมยิ้มรับแต่ก็ถูกปากกาเคาะหัว
“เรานั่นแหละ ปากดีให้มันน้อยๆ ลงหน่อย”
พอพ่อพูดจบ โป๊ยกั๊กก็แลบลิ้นปลิ้นตาล้อเลียนผมทันที เห็นไหมว่ามันน่าคุยดีได้ที่ไหน
ที่จริงเราก็ไม่ได้ทะเลาะกันเป็นเรื่องเป็นราวหรอกนะครับ เห็นกวนๆ ผมแบบนี้ ถ้ามีเรื่องโป๊ยกั๊กก็พร้อมที่จะเข้าช่วยเหลือผมเสมอ แม้ปากจะดีมากไปหน่อยก็เถอะ
พอพ่อออกจากร้านไปแล้ว โป๊ยกั๊กก็กลับเข้าหลังร้านปล่อยให้ผมนั่งฟุบหน้าหลับอยู่คนเดียว ผมกะจะพักสายตาแต่ดันผล็อยหลับไปจริงๆ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่พี่ชายคนโตมาสะกิด พี่ใบไธม์ยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน
“ทำไมมานอนตรงนี้ล่ะ” พี่ไธม์กวาดสายตามองไปทั่วร้าน “แล้วพ่อไปไหน”
“พ่อไปรับน้องเพกา พี่มานานแล้วเหรอ” ถามพร้อมอ้าปากหาววอดๆ “พี่อยู่รอก็ได้นะ เดี๋ยวก็มาแล้ว”
“ไม่ล่ะ พอดีพี่แค่มาขอของเพิ่ม”
“ได้ เดี๋ยวกระวานบอกให้” ผมมองพี่ชายคนโตด้วยความสงสัย เพราะท่าทีเหมือนกำลังระแวงอะไรบางอย่าง “โป๊ยกั๊กอยู่ในร้านนะ”
“อืม พี่คงไม่ได้เข้าไปทักหรอก ต้องรีบไป ฝากด้วยนะ เดี๋ยวพี่มาเอาวันหลัง” พี่ไธม์พูดรัวๆ ก่อนจะรีบออกจากร้านไป ผมก็พอรู้มาบ้าง ว่างานที่พี่เขาทำมันอันตราย แต่ไม่รู้ว่าขนาดไหน ถ้าให้เดาจากท่าทางแล้วคงจะอันตรายมากทีเดียว
คล้อยหลังพี่ไธม์ไม่นาน โป๊ยกั๊กก็เดินออกมา มันรีบชะเง้อคอมองหาอะไรสักอย่าง คงจะเห็นหลังพี่ไธม์แวบๆ สินะ ถึงได้รีบออกมาทั้งที่มือยังถือฟองน้ำล้างจานอยู่
“พี่ไธม์มาเหรอ”
“อืม กลับไปแล้ว”
“ทำไมกลับไวล่ะ ไม่เห็นไปทักด้วย” หลุดขำกับสีหน้างอแงของน้องชายตัวโต “ห้ามขำกันนะกระวาน”
“ไอ้โป๊ยกั๊ก!” โวยวายลั่นร้านตอนถูกฟองของน้ำยาล้างจานกระเด็นใส่ เพราะโป๊ยกั๊กบีบจนฟองเยอะแล้วเป่ามาหา ไอ้นี่ชอบทำให้ผมโมโหอยู่เรื่อย
การโวยวายของผมค่อยๆ ลดลงเมื่อมีลูกค้าเดินเข้าร้าน ด้วยความที่ผมว่างอยู่เลยออกไปรับออเดอร์ซะเอง ชายหญิงสองคู่เงยหน้าขึ้นยิ้มให้ผมขณะวางเมนู
“เราตามร้านมาจากในอินเตอร์เน็ตค่ะ ร้านจริงน่ารักมากเลย” หญิงสาวผมสั้นพูดด้วยรอยยิ้ม เมื่อกี้ผมเห็นเธอถ่ายรูปกับรูปปั้นปิ่นโตสีชมพูหน้าร้านด้วย
“ขอบคุณครับ” รีบยิ้มตอบกลับ ก่อนจะถูกสายตาข่มขู่จากคนข้างตัวของเธอ “เดี๋ยวจะมารับออเดอร์นะครับ” รีบชิ่งก่อนจะเกิดเรื่อง ผมไม่ชอบมีเรื่องอยู่แล้ว เลยเลือกที่จะถอยดีกว่า เกิดมีอะไรขึ้นมาถึงขั้นลงไม้ลงมือ ร้านคงพังพอดี แถมอาจเจ็บตัวอีก ไม่ใช่ผมที่จะเจ็บตัวหรอกนะครับ แต่ลูกค้านั่นแหละ อย่าลืมว่าตอนนี้หลังร้านมีโป๊ยกั๊กอยู่ ขืนรู้เรื่องมีหวังพุ่งออกมาหาเรื่องแน่ ผมเดินเลี่ยงมายืนข้างๆ พนักงานของร้านที่ยืนเรียงกันอยู่
“เป็นอะไรเหรอพี่ เกิดอะไรขึ้น”
“เจอคนหวงเมียน่ะสิ คิดได้ไงวะ” พูดจบ ไอ้เด็กข้างๆ ก็เลิกคิ้วมองหน้าผม “มองกูแบบนั้นหมายความว่ายังไงไอ้ไนท์” ไอ้นี่หน้าตาหล่อดีใช้ได้เลยนะครับ
“แค่สงสัย แบบพี่นี่ทำให้สาวอ่อยได้ด้วยเหรอ”
“ไอ้!”
เกือบจะด่าอยู่แล้วหากโต๊ะเมื่อครู่ไม่ยกมือเรียก ผมชี้หน้าพนักงานในร้านก่อนจะเดินไปรับออเดอร์ มาถึงก็ถูกสายตาเขม่นจากผู้ชายคนเดิม ผมรู้ว่ามันข่มขู่ทางสายตาอยู่ตลอด แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ ก็นะ ในหัวมันมีแต่เรื่องอย่างว่ากับสาวคนข้างๆ สงสัยจะคบกันไม่นานถึงหวงก้างขนาดนี้ คงยังไม่หนำใจล่ะสิ
“ขอผัดไทกุ้งสดห่อไข่นะคะ แล้วก็.....”
ผมรีบจดรายการอาหารตามที่ลูกค้าบอก จดเสร็จก็ยิ้มส่งท้ายแล้วรีบเดินกลับมาหาซัน ผู้ช่วยเชฟอันดับหนึ่งของพ่อ หมอนี่ก็หน้าตาดีเหมือนกัน จะว่าไป ร้านผมมีแต่พนักงานหน้าตาหล่อ เวลามีการโปรโมทอะไรก็ใช้พวกนี้นั่นแหละครับ ประหยัดเงินดี
“ทำไมทำหน้างั้นล่ะพี่” ซันเลิกคิ้วมองหลังจากรับใบรายการอาหารไปแล้ว
“เบื่อ” บอกไปสั้นๆ ทำให้ซันมันขำ
“ก็งานที่นี่ไม่ตื่นเต้นเหมือนที่พี่เคยทำนี่ ดาราก็ไม่เจอ”
“ดาราเจอจนเบื่อแล้วว่ะ บางคนหน้ากล้องดี ลับหลังอย่าได้พูดถึง”
เบ้ปากเมื่อนึกถึงหน้าคนที่ผมเพิ่งจากมาเมื่อเช้า ป่านนี้คงวิ่งวุ่นหาผู้จัดการคนใหม่แน่ๆ ไม่มีหรอกที่จะแคร์หรือกลับมาง้อผม แต่จะให้ผมไปง้อก่อนก็ไม่มีทางซะหรอก
ผมเดินเลี่ยงมานั่งอยู่ที่โต๊ะมุมเดิม มานั่งคิดทบทวนเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มทำงานเป็นผู้จัดการดารา แรกๆ จะตื่นเต้นแทบทุกครั้งที่ได้ไปงานต่างๆ ได้พบปะดารา นักร้องที่ชื่นชอบ หลังๆ เจอบ่อยก็ทำให้ชินตาไปซะงั้น แต่สิ่งที่ดูน่าตื่นเต้นแทนคงจะเป็นข่าวสารเบื้องหลังของคนดังๆ ละมั้ง มัวคิดอะไรเพลิน รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ไนท์ พนักงานของร้านเดินมาสะกิด
“อะไร”
“อาหารเสร็จแล้วพี่”
“อ่อ ขอบใจ”
รีบลุกจากเก้าอี้ไปคว้าถาดอาหาร ที่จริงจะใช้ไนท์มันก็ได้ ในเมื่อเป็นพนักงานของร้าน แต่เพราะผมต้องรับผิดชอบโต๊ะของตัวเอง ดังนั้น ต่อให้ได้ยินอะไรก็ต้องทน
“ผัดไทกุ้งสดห่อไข่กับพะแนงหมูไข่เจียวดาวได้แล้วครับ” วางจานลงบนโต๊ะพร้อมโปรยยิ้ม เซอร์วิสมายนั้นเป็นสิ่งที่ต้องมีสำหรับการทำงานบริการ “ส่วนอีกสองท่านกรุณารอสักครู่ครับ” บอกอย่างสุขภาพแล้วรีบเดินกลับมายกอีกถาด
“พี่มองหาอะไร” จังหวะที่จะยก เด็กในร้านที่ชื่อกอล์ฟก็เอ่ยถาม คงเห็นผมชะเง้อคอมองหาของ
“หูฟังน่ะสิ เห็นของพี่ไหม”
“ไม่นะ ผมไม่เห็นตั้งแต่พี่เข้าร้านมาแล้ว”
สงสัยผมจะลืมไว้ในรถแน่ๆ จะไปเอาตอนนี้ก็คงเสียเวลา เลยต้องไปเสิร์ฟอาหารทั้งแบบนั้น
เพราะอะไรผมถึงชะเง้อหาหูฟังน่ะเหรอครับ ก็เพราะภาพความคิดของไอ้คนที่ข่มขู่ทางสายตาน่ะสิ มันแบบว่า...เอ่อ เกินบรรยายออกมาได้เลยเชียวล่ะ ไม่รู้ผู้หญิงคนสวยนี้ทนได้ยังไง แต่ละท่านะ พูดได้แค่สองคำคือคำว่า โอ้โห
กลั้นใจเสิร์ฟอาหารจนเสร็จแล้วสับขากลับมุมตัวเองอย่างไว ซอยเท้าจนก้นส่ายดิกๆ เหมือนหมา เสียงที่ได้ยินมันทำให้ผมเหมือนนอนหลับตาฟังหนังโป๊น่ะครับ พอนึกออกกันไหม ไม่เห็นภาพแต่ได้ยินเสียง ว่าแล้วก็ขนลุกเลย
“กระวาน” แรงสะกิดที่แขนทำให้ผมลืมตาแล้วหันไปมอง โป๊ยกั๊กยืนเลิกคิ้วมองผมอยู่ “อย่าบอกว่าได้ยินเสียงนั่นอีกแล้ว”
“เออสิ ทำไมพวกนี้ถึงชอบคิดเรื่องพรรณนั้นอยู่เรื่อย” ขยี้รูหูซ้ำไปซ้ำมาจนแก้วหูจะทะลุ
“ไม่ชินอีกหรือไง” โป๊ยกั๊กว่าขำๆ
ที่จริงจะว่าชินมันก็ใช่ ไม่ว่าจะไปอยู่ไหน ทำงานอะไรเสียงพวกนี้ก็จะผ่านเข้าหูอยู่ตลอด ยังดีที่มีหูฟังสามารถกั้นเสียงพวกนี้ได้ ไม่งั้นผมคงบ้าไปแล้ว
“ว่าแต่ โรงเรียนหยุดให้อ่านหนังสือไม่ใช่เหรอ อ่านได้กี่ตัวแล้วล่ะ” เหล่ตามองน้องชายที่อายุห่างกับผมเยอะพอดู เด็กมอปลายอะไรสูงกว่าผมอีก แม่ต้องเก็บแคลเซียมไว้ให้โป๊ยกั๊กแน่ๆ
“อ่านเสร็จแล้วสิ ไม่ได้ขี้เกียจ”
“โม้”
ส่ายหน้าให้กับน้องชายคนรองจากผม โป๊ยกั๊กเดินกลับเข้าไปหลังร้าน เห็นหรอกว่าอ่านหนังสือการ์ตูนน่ะ แล้วแบบนี้จะสอบได้ไหมเนี่ย ผมละเป็นห่วงจริงๆ แม้จะทำตัวให้ดูโตสักเพียง แต่เด็กก็ยังเป็นเด็กวันยังค่ำ...
“อ่านหนังสือเรียน อย่าอ่านหนังสือการ์ตูน”
“ยุ่งจังวะ ก็อ่านอยู่นี่ไง”
โป๊ยกั๊กตะโกนออกมาทำเอาผมหัวเราะ ก่อนหันกลับมาถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย เมื่อไหร่พลังพิเศษของผม จะทำให้ผมเจอเรื่องดีๆ บ้าง ทุกวันนี้ไปที่ไหนก็มีแต่เรื่องอย่างว่า อยากได้เรื่องดีๆ บ้างน่ะมีไหม!
...ไม่มี
...TBC
ตอนที่ 1 มาแล้ววววว นิยายเรื่องนี้จะลงอาทิตย์ละตอนนะคะ และเรื่องของกระวานลงช้าสุด (น้ำตาไหล) ต้องขอโทษด้วย เพราะอีกสองเรื่องลงไปตั้งแต่เสาร์ อาทิตย์แล้ว (ทรุดลงพื้น) ต้องกราบขออภัยจริงๆ ค่าาาา
หากมีตรงไหนขัดข้องสามารถติเข้ามาได้นะคะ จะทำการปรับปรุงอย่างเร่งด่วนค่าาา
กราบขอบพระคุณค่าาา